ไปรับศพที่นิติเวช
ที่เกิดเหตุคือโรงงานตุ๊กตาที่พุทธมณฑลสายสี่ ผมก็ไปยังที่เกิดเหตุด้วย แต่ผมไปถึงขณะที่เพลิงสงบแล้ว แต่ด้านในยังร้อนระอุไปหมด พวกเราจึงทําอะไรกันไม่ได้มาก
...ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องจักรช่วยในการค้นหาซากศพผู้เสียชีวิต ซึ่งในครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตจํานวนไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว ซากศพเป็นจํานวนมากนั้น
...ต้องนําส่งนิติเวชเพื่อชันสูตร ก่อนจะนําไปทําพิธีทางศาสนา และในวันรุ่งขึ้น ตอนประมาณเที่ยงๆ พี่อ๊อดก็โทรตามผมอีกรอบ บอกให้ออกมาหาพี่เค้าที่บ้าน และก็ไม่พูดอะไร พูดจบก็วาง โทรศัพท์ไป...
...แสดงว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ผมเลยรีบออกไปหาพี่อ๊อดทันที
...บ้านพี่อ๊อดอยู่ไม่ไกลจากบ้านผมนัก เดินไปไม่ไกลก็ถึง...
“เออ...เมื่อตะกี้นี้พี่รุ่งเขาโทรมาบอกจะมารับ”
พี่อ๊อดว่า ไปไหนหรอพี่"
“ยังไม่รู้เลย เค้าบอกให้แต่งตัวรอไว้...เออ...เอ็งอย่าลืมเอาชุดมูลนิธิไปด้วยล่ะ"
“แล้วนี่เราจะไปไหนกันพี่รุ่ง”
ผมหันไปถาม
“อ๋อ...พอดีเมื่อวานพี่เอาศพไปส่งที่นิติเวช ญาติเค้าก็เลยให้พี่มารับศพไปส่งที่วัดให้หน่อย ก็เลยช่วยๆเค้านะ”
เราใช้เวลาเดินทางไม่นาน...
...แล้วพวกเราก็มาถึงนิติเวช ซึ่งมีญาติของผู้เสียชีวิตมารอ อยู่ก่อนแล้ว พี่รุ่งจึงให้ญาติผู้เสียชีวิตไปติดต่อ เพื่อรับศพ สักพักพี่รุ่ง เรียกผม กับพี่อ๊อดเดินตามเข้าไปรับศพ
ผมเข้าไปเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ตกใจมาก
...ศพคนตายมากมายเหลือเกิน มีทั้งที่อยู่ในลิ้นชัก และในเปลนอกลิ้นชัก วางเรียงรายเต็มไปหมด ญาติผู้ตายชี้บอก แล้วพวกผมก็ยอกออกมาทั้งเปล ใส่ลงโลงที่ญาติเตรียมมา
...ก่อนที่จะยกใส่โลงนั้น
...เราต้องสอดด้วยผ้าพลาสติกเสียก่อน เพราะศพนั้นเริ่มมีน้ําเหลืองออกมาแล้ว พอถ่ายใส่โลงเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยปิดฝาโลง ขณะตอกตะปูนั้นผมเห็นที่ปากเขาท่องคาถาอะไรสักอย่าง หลังจากนั้น ก็นําโลงขึ้นรถ และมุ่งหน้าไปสู่จังหวัดสุพรรณบุรี มีรถหลายคันมารับศพกันเป็นแถว และก่อนจะขับรถออกไปนั้น รถทุกคันต้องบีบแตรเสียงลั่นสามครั้ง ผมไม่ทราบว่ามีบทําไมจึงตัดสินใจถามพี่รุ่งซะเลย
“พี่รุ่งครับ...ทําไมต้องบีบแตรด้วยล่ะ"
"เค้าว่ากันว่า บีบแตรเพื่อเรียกวิญญาณผู้ตายให้ตามร่างไปไงล่ะ"
ค่าตอบของพี่รุ่งทําให้ผมหายสงสัย และนั่งนิ่งไม่พูดอะไรต่ออีก
...หลังจากนั้นไม่นานเราก็มาถึงวัด พวกเราและญาติๆ ต่างก็ช่วยกันยกโลงลงจากรถไปไว้ในศาลา สัปเหร่อจัดแจงงัดโลง เปิดฝาโลงออกเพื่อจะนําร่างออกมาทําพิธี อาบน้ําศพ พวกผมและญาติผู้เสียชีวิตก็ช่วยกันยกผ้าพลาสติกที่รองศพผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา ร่างกายนั้นส่งกลิ่นโชยขึ้นทันที รวมทั้งมีน้ําเหลือง ไหลนองเต็มผ้าพลาสติกเต็มไปหมด จากนั้นเหล่าญาติพี่น้องก็ช่วยกันอาบน้ําแต่งตัวให้กับศพ ลุงแก่ๆ คนหนึ่งเดินปรี่เข้ามาที่พวกผม และขอบอกขอบใจเป็นการใหญ่ เลยทีเดียว และเย็นนั้นพวกเราก็กลับมาที่ศูนย์บางบัวทองเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อ ในค่ํานั้นทุกคนในจุดทยอยกันมาเรื่อยๆ ส่วนพี่อ๊อดนั่งฟัง ว. อย่างตั้งใจ พวกผมที่ทยอยมา กันจนครบนั้นก็นั่งคุยเฮฮากันไปตามเรื่องตามราว เวลาผ่านไปจนเที่ยงคืน ทุกคนที่อยู่ในศูนย์นั้น เริ่มผ่อนเปลือกตาลงทีละคน คืนนั้นเหตุการณ์สงบเงียบมาก รวมถึงในศูนย์ด้วย จน กระทั่งเหลือผมกับพี่อ๊อดสองคนที่ยังคงนั่งฟังวิทยุอยู่ด้วยกัน
"เฮ้ย...เอ็งฟังวิทยุแทนสักเดี่ยว ข้าปวดท้องจะไปเข้าห้องน้ํา
“ตามสะดวกเลยพี่อ๊อด”
พี่อ๊อดพูดจบ ก็คว้าบุหรี่ไฟแช็คไปเข้าห้องน้ําที่อยู่ทางด้านหลัง ซึ่งด้านหลังนั้นก็จะเป็นที่เก็บโลง และผ้าดิบ ถุงมือและอะไรต่างๆ ที่คนบริจาคไว้ ผมนั่งไปเรื่อยๆ ก็มีความรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับมีคนมองผมอยู่อะไรทํานองนั้น พอผมเหลือบตาไปมอง ก็เหมือนกับมีเงาอะไรดําๆ บ...ไป...ผมหันกลับมาที่หน้าวิทยุ ทําเป็นไม่สนใจ คงคิดไปเองละมั้ง..แต่จู่ๆ ก็มีเสียง
“ตั้ง...ง...ง”
ดังมาจากทางห้องน้ํา ผมเห็นพี่อ๊อดรีบเดินหน้าเซ็งออกมา ผมถามพี่อ๊อดทันทีว่ามีอะไร
“อ้าว...ก็เอ็งหรือใครล่ะที่ไปเคาะประตูเร่งข้าอยู่ได้”
พี่อ๊อดพูดแบบหงุดหงิดๆนิดหน่อย
“หา...พี่อ๊อด ผมยังไม่เห็นมีใครเดินเข้าไปด้านหลังเลย”
ผมปฏิเสธเสียงแข็ง แต่พี่อ๊อดก็ไม่เชื่อ
“นี่ไอ้ป..*-*-*-*-*-*-*-*-*ไม่ต้องมาล้อเล่นอะไรกับกูแบบนี้เลยนะ"
พี่อ๊อดทําท่าส่ายหัวไม่เชื่อเด็ดขาด...ผมเลยบอกไปอีกครั้ง
"พี่อ๊อด...ฟังผมนะ ผมยังไม่ได้ลุกจากเก้าอี้ตวนี้เลยด้วยซ้ํา”
ถึงตรงนี้ ผมไม่ได้ตลกด้วยแล้ว ท่าทางผมคงซีเรียสจริงจังพี่อ๊อดเลยอ่อนเสียงลงบ้าง
“อ้าว...แล้วเอ็งได้ยินเสียงเคาะไหม?"
ผมบอกว่า “
ก็ได้ยินแต่ตอนพี่อ๊อดเปิดประตูกระแทกๆ แล้วก็เดินหงุดหงิดออกมาเท่านั้นแหละ"
คิ้วของผมและพี่อ๊อดขมวดย่นด้วยกันทั้งคู่เลย เราเริ่มจะใจไม่ดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราสองคนแล้ว จู่ๆ ผมก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทั้งตัว เลยทีเดียว พอดีพี่รุ่งที่ตื่นขึ้นมาพอดี
“เฮ้ย...เอ็งสองคนเปลี่ยนกันไปนอนบ้างก็ได้ เดี๋ยวพี่ฟังวิทยุเอง”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่รุ่ง...ปกับพี่อ๊อดตอนนี้นอนไม่หลับหรอกครับ..."
ซึ่งจะว่าไป มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
“นอนไม่หลับ งั้นก็ออกไปหาอะไรกินกันไหม?"
ผมและพี่อ๊อดตอบตกลงทันที พร้อมกับลุกขึ้น เดินตามพี่รุ่งเปิดประตูเดินออกไปที่รถเพื่อออกไปหาอะไรกินกันตามที่พี่รุ่งชวน พวกเราขับตระเวนกันไปพักหนึ่งก็เจอร้านบะหมี่เกี้ยว
..เราสามคนตกลงเห็น ดี ด้วยกับการสั่งบะหมี่ พอสั่งเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็ เดินมานั่งที่โต๊ะ สักครู่คนขายจึงเดินเอาบะหมีมาให้ แล้วถามเปรยๆว่า...
“อ้าว...พี่ ผู้หญิงในรถไม่ลงมาทานด้วยรึคะ?"
พวกเราสามคนมองหน้าพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างแปลกใจ ส่วนผมนั้นเย็นวูบวาบไปทั้งตัว เรารีบมองไปที่รถก็ไม่เห็นมีใคร อยู่สักคน แต่เราทุกคนยังคงทําท่าเฉยๆ ไว้ ระหว่างที่กําลังกินบะหมีอยู่นั้นในหัวผมนั้นคิดอยู่ตลอดเวลาเรื่องที่คนขาย บะหมีบอกให้ ช่วน ผู้หญิง ที่นั่งในรถลงมากินด้วย แต่ผมเริ่มเสียวมากขึ้น เมื่อผมกินบะหมี่หมดชาม พี่รุ่งจ่ายเงินเสร็จ เดินนําหน้าไปที่รถ ผมและพี่อ๊อดเดินตามหลังพี่รุ่งมาติดๆ พี่รุ่ง ขับรถกลับมาเรื่อยๆ ในระหว่างทางนั้นเงียบมาก ไม่มีใครยอมพูดกันสักคนมีแต่เสียง ว. เท่านั้นที่ดังก้องอยู่ในรถเป็นระยะๆ ความเงียบทําให้ความโล่งอกโล่งใจของผมหายไปทีละนิดเมื่อผมคิดขึ้นไปเอง ว่า ถ้าเกิดมีใครมาเคาะกระจกหลัง แล้วผมหันไปเจอ ในสิ่งที่ไม่พึงประสงค์จะเจอนั้น ผมจะทําอย่างไรดี แล้วอยู่ๆ ผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อพี่รุ่งตะโกนขึ้นมาว่า
“เฮ้ย...ใครมีบุหรี่มั่งวะ”
เสียงนี้ทําให้ผมและจ่าอ๊อดที่นั่งเงียบอยู่นาน เอะอะขึ้นมาบ้าง
“โธ่...พี่รุ่ง ตกใจหมด พูดเบาๆ ก็ได้”
จ่าอ๊อดถอนหายใจดังฟู พี่รุ่งหัวเราะ ก่อนจะบอกว่า
“แหม... แหม....ขวัญอ่อนเหลือเกินนะ ไอ้ป ไอ้อ๊อด"
“ก็ผมคิดเรื่องสยองๆอยู่ นี่พี่”
“เรื่องอะไรของเอ็งวะที่ว่าสยองน่ะ”
พี่รุ่งถามถึงความคิดของผม แต่ผมก็ไม่ได้บอกอะไร ได้แต่บอกว่าเปล่า
... ทั้งๆที่ในใจนั้นอยากจะถามถึงเรื่องผู้หญิงคนที่แม่ค้าบะหมี่ ถามว่า ทําไมไม่ลงมากินด้วยกัน
แต่น่าแปลกที่พวกเรามองไม่เห็นใครเลยสักคน แล้วอยู่ๆ พี่รุ่งก็มีอาการแปลกๆ เมื่อพี่รุ่งเอามือข้างซ้ํายมาเขย่าหัวเขาของจ่าอ๊อด อย่างแรง แต่สายตาของพี่รุ่งนั้นไม่หันไปดูจ่าอ๊อดเลย กลับตาค้างจ้องมองไปที่กระจกมองหลัง
“เฮ้ย..เฮ้ย...ไอ้อ๊อด"
สียงพี่รุ่งสั้นมาก
“อะไรพี่"
พี่รุ่งไม่ยอมพูดอะไรต่อ นอกจากทําท่าชี้ไปที่กระจกมองหลัง จ่าอ้อดขมวดคิ้วมองหน้าพี่รุ่งอย่าง งงๆ ต่อด้วยการหันไปมองที่กระจก แล้วก็ตาค้าง อ้าปากค้างไปอีกคน ผมเริ่มตกใจแล้ว แต่พอหันไปมองที่หลังรถก็ไม่พบอะไรจึงโถมตัวไปหาพี่ทั้งสอง และมองไปที่กระจกมองหลังบ้าง แล้วผมก็ต้อง สะดุ้งสุดตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างกายของผมเย็นวาบขึ้นมาทั้งตัวโดยอัตโนมัติ มือเท้าของผมนั้นมีเหงื่อขึ้นเต็มไปหมด เมื่อ พี่รุ่งถามผมด้วยคําพูดซ้ําๆ เนิบๆ ว่า
“พวก...เอ็ง...เห็น...อย่าง...ที่...ข้า...เห็น...เปล่า...วะ...?"
จ่าอ๊อดและผมพยักหน้าพร้อมกันทันทีหลังจากที่เราได้เห็นผู้หญิงคนเดียว กับ ที่ไปรับมาจากนิติเวชเมื่อกลางวันนั่งอยู่หลังรถ ผม พูดกับจ่าอ๊อดด้วยเสียงสั่นๆว่า
"จ่า นั่งด้วยนะ.."
จ่าอ๊อดยังไม่ทันตอบอะไร ผมก็ไปนั่งเบียดด้วยทันทีแล้วก็ถามขึ้นมาเบาๆว่า
“ละ...แล้ว เราจะทํายังไงดีล่ะทีนี้?"
“จะทําไงได้ล่ะวะ ก็บอกให้พี่รุ่งแกขับเร็วขึ้นอีกน่ะ"
ยังไม่ทันที่จะบอกอะไรเลย พี่รุ่งแกก็เหยียบคันเร่งเร็วขึ้น เราหันไปมองผู้หญิงที่หลังรถ พอไม่เห็นก็โล่งใจ แต่ทุกคนนั่งเงียบ ใจจด ใจจ่อว่าจะทํายังไงกันดี ในใจนั้นผมอยากให้พี่รุ่งขับรถให้ถึงจุดศูนย์ให้เร็วกว่านี้ ผมรู้สึกว่าขากลับมันไกลกว่าขาไปมากเหลือเกิน พอไปถึงหน้าศูนย์ พี่รุ่งกับจ่าอ๊อดก็รีบเปิดประตูรถแล้วพากันโกยอ้าวเข้าไปใน ศูนย์โดยไม่สนใจ ผมเลยสักนิด ผมรู้สึกเสียวๆ ยังไงไม่รู้เมื่อตอนคล่าหาที่เลื่อนเบาะไม่เจอ เพราะมือไม้สั่นไปหมดแล้ว พอลงมาได้ ผมรีบวิ่งตามไป โดยลืมปิด ประตูรถ พอวิ่งมาถึงที่ศูนย์ ผมก็ต้องตกใจอีกครั้งหนึ่ง เพราะเห็นทุกคนยืนและหันไปมองที่รถ ผมจึงหันไปดูบ้าง แล้วผมก็เห็นผู้ หญิงคนนั้นยังนั่งอยู่และโบกมือมาทางพวกเราด้วย เท่านั้นแหละครับ พวกเราทุกคนถึงกับต้องนัดกันใส่บาตรในตอนเช้า และกลับไปนอนไม่สบายไข้ขึ้นอยู่อีกหลายวันเลยทีเดียว
ที่มา: หนังสือ มูลนิธิเรื่องเล่าชาวเก็บศพ โดยวศิน ทองธารี
Post a Comment