เรื่อง...ผีๆสางๆ ตอน 2


     ต่อกันเลยครับกับเรื่อง...ผีๆสางๆ ตอนสอง เรื่องผีๆที่สุดลึกลับน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง จากกระทู้พันทิปโดยคุณลอยชาย หรือLoyChinE นักเล่าเรื่องผีที่มีคนติดตามมากคนหนึ่ง เพราะการเล่าเรื่องของเขาน่าสนใจมาก เราลองไปติดตามเรื่องนี้กันเลยครับ "เรื่อง...ผีๆสางๆ" เขียนไว้ยาวมาจึงขอทำเป็นสองตอน ตามต้นฉบับ

     อย่างไรก็ขอเกริ่นซ้ำไว้อีกสักครั้งก่อนแทนคำเตือน เรื่องทั้งหมดที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล บางอย่างก็ยากที่จะเชื่อหรือนำมาแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ขอให้เพียงอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ผมไม่ได้มีเจตนาจะมอมเมาหรือหลอกลวงใดๆทั้งสิ้น เพียงแค่ ‘อยากเล่า’ เท่านั้น
...............................................................................

           รถค่อยๆเคลื่อนตัวออกสู่ถนนใหญ่ ระหว่างทางนั้นเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดทำให้ผมจำเป็นต้อง ‘อธิบาย’ ถึงตัวผมให้พ่อของมีนฟังอีกครั้ง อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดแต่ก็เพียงพอเพื่อให้เข้าใจตัวผมขึ้นมาได้บ้าง แน่นอนว่าพ่อค่อนข้างแปลกใจแต่ไม่ถึงกับปฏิเสธ คงเป็นโชคดีที่เรารู้จักกันมานานพอสมควร
          ลุงหวังยังนิ่งเงียบอยู่ที่เบาะข้างหน้าข้างคนขับ พวกเราปล่อยให้มันเงียบอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งเพราะไม่รู้จะต้องพูดอะไรกันในเวลาอย่างนี้
          สักพักพ่อเลี้ยวเข้าไปจอดที่ปั๊มน้ำมันเพื่อแวะกินข้าวกัน บนโต๊ะอาหารลุงหวังเริ่มพูดบ้างแล้วแต่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนบ้านเดียวกับพ่อเท่านั้น เหมือนคนที่จากบ้านมาคุยกัน
          ขาออกจากปั๊มลุงหวังเริ่มหันมาคุยกับผมบ้าง มันเป็นเรื่องทั่วๆไปแต่ก็พอจะรู้ได้ว่าเขาไม่ใช่คนคุยเก่ง แต่อาจจะอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ยังเกรงใจกันอยู่บ้างเพราะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน
           ลุงหวังล้วงมือเข้าไปในยามของตัวเองเหมือนคลำหาอะไรอยู่พักใหญ่ แต่จริงๆแล้วอาจไม่ใช่การควานหาแต่เป็นการหยิบจับอะไรบางอย่างเอาไว้ในมือไม่ยอมปล่อย
          ผมเอนหลังกลับมาพิงเบาะด้านหลังเพราะไม่รู้จะเริ่มประโยคการสนทนาอย่างไรต่อไปดี
          ลุงหวังเรียกชื่อผมก่อนจะยื่นอะไรบางอย่างให้ผมโดยไม่ได้หันกลับมามอง ผมโน้มตัวเอื้อมมือไปรับอะไรก็ตามที่ลุงหวังกำไว้แน่น
          ผมแบมือรองไว้ต่ำกว่ามือของลุงหวัง ของบางอย่างตกลงใส่มือของผม น้ำหนักไม่มากนักแต่กลับทำให้รู้สึกวูบไหวไปชั่วขณะ
          ห่อผ้าเก่าๆห่อหนึ่งวางอยู่บนมือผมตอนนี้ มันถูกพันทบไปมาหลายชั้นจากเศษผ้าเก่าๆหลายสี ถ้าจะบอกว่าเป็นห่อผ้าก็อาจจะไม่เห็นภาพซะทีเดียว ให้นึกภาพตามว่ามันเป็นของที่ถูกมัดพันด้วยเชือกหลายๆชั้นคล้ายมัมมี่
          ขนาดของมันน่าจะประมาณเกือบคืบหนึ่งเห็นจะได้ ผมพลิกและกลิ้งมันไปมาบนมือด้วยความสงสัยพร้อมกับความรู้สึกมึนงงๆที่ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
‘แกะดูสิ’
          ลุงหวังพูดจากเบาะหน้าโดยไม่หันมาเช่นเคย ผมพยายามมองหาปลายผ้าที่เป็นชิ้นนอกสุดซึ่งมันถูกกลัดอยู่กับผ้าอีกเส้น ผมออกแรงดึงไม่มากนักมันก็หลุดติดมือผมออกมา
          ผมสาวผ้านั้นไว้ในมือ ผ้าชั้นนอกสุดถูกดึงออกจนหมดก็เผยให้เห็นเศษผ้าที่เก่ากว่าจนดูสกปรกห่อของข้างในไว้อีกชั้น พอผ้าชั้นนอกสุดถูกปลดออกมันก็ส่งกลิ่นฉุนคลุ้งไปทั่วรถ
          เราต้องรถกระจกรถลงหน่อยเพิ่มความแรงของเครื่องปรับอากาศเพื่อไล่กลิ่น
          ลุงหวังบอกให้แกะต่อเพื่อดูของข้างใน เศษผ้าชั้นต่อมานั้นเก่าจนกลัวว่าถ้าออกแรงมากไปมันจะขาดติดมือ ผมค่อยๆคลี่ผ้าออกจึงได้เห็นว่าที่ด้านหลังของมันมีตัวหนังสือเป็นอักขระเขียนอยู่ซึ่งเป็นภาษาที่ผมไม่เคยเห็น
          ทุกครั้งที่ผ้าถูกแกะออกความพะอืดพะอมก็เข้ามากระทบหน้าจนเกือบจะอ้วกไปหลายที
          ในทีสุดผมก็ได้เห็นของที่ถูกห่ออยู่ข้างใน ผมแทบจะมืออ่อนปล่อยมันลงกับพื้นรถ เพราะมันเป็นเศษกระดูกเก่าๆชิ้นหนึ่ง ตอนนั้นผมไม่รู้ว่ามันคือกระดูกอะไร แต่สภาพมันไม่น่ามองสักเท่าไหร่เลยจริงๆ
          กระดูกชิ้นนั้นดูแข็งและไม่มีร่องรอยของกาผุพังตามกาลเวลาเหมือของใหม่ นอกจากรอยแตกหักที่น่าจะเกิดจากสาเหตุอื่น ที่รอบๆกระดูกนั้นมียางไม้เหนียวๆสีน้ำตาลคล้ำจนเกือบดำขีดเขียนตัวหนังสือเอาไว้เหมือนกับบนเศษผ้า
          ลุงหวังถามผมว่ารู้ไหมมันคืออะไร ผมไม่รู้ว่ามันมาจากสิ่งมีชีวิตชนิดใด รู้เพียงทำให้ผมปวดหัวไปหมดในเวลานี้ ลุงหวังบอกให้ผมเอื้อมมือไปสัมผัสมันโดยตรงลองดูอีกครั้งว่ามันคืออะไร
           ผมช่างใจครู่หนึ่งแต่ก็ทำตามคำแนะนำนั้น ผมใช้มือเปล่าๆวางเบาๆลงบนตัวหนังสือที่เขียนจากยางไม้เหนียวข้นที่แข็งแล้ว จากนั้นค่อยๆไล่นิ้วลงไปตามความยาวของกระดูกชิ้นนั้น
         ไม่มีภาพหรืออะไรปรากฏขึ้นในความคิด ไม่มีเสียงของใครดังเข้ามาเหมือนในครั้งก่อนๆ มีเพียงสิ่งเดียวที่ชัดเจนและมันก็มากพอที่จะทำให้ผมต้องบอกให้พ่อของมีนจอดรถข้างทางโดยกะทันหัน
         กลิ่นสาบสัตว์คละคลุ้งอยู่ในจมูกและลมหายใจของผม กลิ่นของมันฉุนและเหม็นมาก หากใครเคยสัมผัสสัตว์ป่าน่าจะพอจินตนาการถึงกลิ่นนี้ออก แต่มันไม่ใช่แค่นั้นมันผสมปนเปไปด้วยกลิ่นเน่าที่ผมคุ้นเคย กลิ่นศพ กลิ่นเลือด และสุดท้ายกลิ่นที่ทำให้ผมทรมานที่สุดคือกลิ่นควันไฟ ที่ร้อนแสบลึกลงไปในโพรงจมูกและลำคอ
         ผมกระโดดลงจากรถทันทีที่เปิดประตูได้ อาหารที่เพิ่งกินเข้าไปไม่ทันได้ย่อยให้กลายเป็นสารอาหารตอนนี้มันออกมากองอยู่บนพื้นหญ้าข้างทางเป็นที่เรียบร้อย
         ผมตะกายกลับขึ้นมาบนรถด้วยสภาพที่ย่ำแย่เพราะความปวดหัวและคลื่นไส้ ตัวผมเองมีปัญหาเรื่องโพรงจมูกอยู่บ้างแล้วตั้งแต่ยังเด็ก คือ ผมแพ้สารระเหยทุกชนิด แม้แต่น้ำหอมของผู้หญิง เวลาได้กลิ่นอะไรแรงๆจะเกิดอาการปวดหัวเป็นประจำ พอมาเจออย่างนี้เข้ามันไม่เหมือนกับความนึกคิดที่ผุดขึ้นมา แต่เหมือนเราได้สัมผัสสูดดมกลิ่นนั้นเข้าไปจริงๆ
           เวลาผ่านไปสักพักผมค่อยๆดีขึ้นจึงกลับมาคุยกับลุงหวังที่กำลังบรรจงพันผ้านั้นกลับเข้าที่เดิมอย่างระมัดระวัง สิ่งที่ดูขัดกันคงจะเป็นสีหน้าในเวลานั้น แม้มือจะบรรจงและประณีตเท่าไหร่สายตาคู่นั้นกลับแข็งกร้าวไร้แววของความเมตตาจนคนมองอดขนลุกไม่ได้
         ลุงหวังไม่ยอมบอกถึงที่มาของมันได้แต่พูดว่า ‘ไม่นานก็จะได้รู้ เพราะนี่คือสาเหตุที่ต้องให้เธอมาด้วย’
         ด้วยความเพลียผมปล่อยให้ตัวเองหลับไปทั้งอย่างนั้น รอจนกว่าเพื่อนหรือใครก็ตามจะปลุกผมขึ้นมาเมื่อถึงที่หมาย
         ในช่วงบ่ายแก่ๆเราก็มาถึงสถานที่ดังกล่าว ที่นั่นเป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างเงียบสงบ จริงๆแล้วก็คงเรียกว่าเป็นชุมชนมากกว่าเพราะมีขนาดใหญ่ มีร้านสะดวกซื้อมีอนามัย มีเสาไฟฟ้า เรียกได้ว่าไม่กันดาร แต่บ้านหลายๆหลังยังคงเป็นแบบเก่าอยู่คล้ายกับบ้านแม่ของมีน
         แม้จะเป็นชุมชนกึ่งเมืองแต่เลยเข้าไปอีกหน่อยจะเห็นตีนเขาอยู่ไม่ไกลนัก ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันชื่อว่าอะไรแต่เหมือนมันจะเป็นชื่อที่คนแถวนั้นใช้เรียกกันมากกว่า เพราะผมลองเสิร์ชหาใน google ดูก็ไม่พบชื่ออย่างที่ว่า หรือบางทีมันอาจไม่ได้เป็นที่ท่องเที่ยว เลยไม่มีในข้อมูลทั่วๆไปก็เป็นได้
          เราจอดรถที่ตลาดเพื่อซื้อหากับข้าวเข้าบ้าน ลุงหวังขอแยกตัวที่นี่เลย พวกเราไม่ได้ถามอะไรต่อมากนัก จริงๆแล้วพวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามาทำอะไรที่นี่ แต่เมื่อได้ลุงหวังช่วยเอาไว้กับเรื่องก่อนหน้านี้ก็เป็นการยากที่จะปฏิเสธคำขอนี้เช่นกัน
         พวกเราเข้ามาที่บ้านพ่อของมีนซึ่งห่างออกไปจากตลาดพอสมควรเพราะเป็นบ้านสวน เท่าที่สังเกตดูน่าจะเป็นสวนที่ทำตามแบบฉบับของคนโบราณอย่างแท้จริง คือแบ่งไว้เป็นสัดส่วน มีหลายๆอย่างผสมรวมๆกัน แต่ก็เป็นระเบียบสะอาดตา ทางเข้าบ้านยังเป็นดินทั้งหมด
‘คนที่บ้านเขาชอบน่ะ ไม่ยอมให้ราดยางราดปูน บอกว่ามันร้อน’
         พ่อพูดพร้อมกับรอยยิ้มขณะเลี้ยวรถเข้าบ้าน ก็จริงอย่างที่ว่าถนนคอนกรีตหรือจะสู้ถนนดิน ยิ่งอยู่นอกเมืองอย่างนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ถนนดินแบบนี้ต้องคอยพรมน้ำเอาไว้บางๆเพื่อไม่ให้ฝุ่นมันฟุ้งแต่ก็เยอะเกินไม่ได้เพราะจะกลายเป็นโคลนแทน อากาศช่วงนี้ค่อนข้างสบายทำให้ที่นี่น่าอยู่เป็นพิเศษ
         บ้านสวนแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงบ้านที่ผมโตมาในช่วงวัยเด็กอาจไม่ใช่บ้านสวนแบบนี้แต่ก็เป็นบ้านนอกที่มีแต่ต้นไม้และกลิ่นดิน ซึ่งตอนนี้ไม่เหลือแล้วแม้ว่าจะขับรถกลับไปเยี่ยมชมแถวนั้นก็เหลือแต่เพียงตึกปูนเต็มไปหมด แม้แต่บ้านหลังที่ผมโตมาก็ไม่เหลือแล้วเช่นกัน
         เรากินอาหารเย็นกันในบรรยากาศแบบบ้านๆอย่างที่ชอบ คือนั่งกับชานบ้านมีโต๊ะไม้เตี้ยๆวางบนแคร่ไม้อันใหญ่ล้อมวงกันหลายคนผมจำได้ไม่หมดเพราะญาติเยอะมาก วันนั้นมีแต่ความสนุกสนานและความอบอุ่นทำให้ลืมเรื่องราวที่เพิ่งเจอมาไปเสียสนิท
         แต่เรื่องแปลกเรื่องหนึ่งที่ผมเอะใจก่อนจะแยกตัวไปพักผ่อนคือ ผู้ใหญ่คนหนึ่งในวงข้าวเย็นพูดขึ้นมาว่า ‘อย่าออกไปไหนกลางดึกนะ แล้วอย่าไปเที่ยวเล่นแถวป่าด้านโน้นล่ะ’
         ผมมองตามมือที่ผายไปก็เห็นเป็นตีนเขาที่ผมเห็นตอนขับรถเข้ามาเมื่อตอนเย็น มันอาจจะเป็นความกังวลของผู้ใหญ่ตามปกติ ผมคิดอย่างนั้น
         ผมกับมีนแยกตัวออกมายังเรือนเล็กหลังเรือนใหญ่ด้านหน้า เมื่อสมัยเด็กๆบ้านนี้ถูกสร้างเพิ่มเพื่อมีนและครอบครัวเวลามาพักผ่อน เพราะตัวบ้านค่อนข้างเก่าและไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยมากนักอาจไม่เหมาะใจกับคนเมืองสักเท่าไหร่
         เรือนไม้หลังนี้เรียกว่า ถูกใจผมเป็นอย่างมาก มันเป็นทรงโบราณที่ผสมผสานกับบ้านปัจจุบัน จริงๆแล้วอาจพบเห็นได้ทั่วๆไปตามร้านอาหารไทยหลายๆร้ายที่ตอนนี้เกลื่อนกลาดจนไม่เหลือความเป็นเอกลักษณ์อีก
           เรานั่งกินกันต่อคุยกันต่ออีกพักหนึ่ง จนเลยเที่ยงคืนไปจึงหลับได้ อากาศในวันนั้นจำได้ว่าเย็นสบายไม่เหนอะหนะเหนียวตัวทำให้ความเหนื่อยล้าค่อยๆอันตรทานหายไปในที่สุด
           ไม่รู้ช่วงเวลาแต่ความทรงจำนั้นชัดเจน ผมได้ยินเสียงผิวน้ำกระเพื่อมเป็นระรอกคลายกับมีคนว่ายไปมาอย่างช้าๆ เป็นความจริงที่คลองเล็กๆของชุมชนนั้นทอดตัวยาวผ่านเรือนไม้หลังน้อยของมีน แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะใกล้จนชิดเสียให้ได้ยินชัดเจนขนาดนี้
          เสียงจ๋อมแจ๋มของระรอกน้ำดังเข้าเมื่อมันกระทบเข้ากับชานไม้ของศาลาที่ยื่นต่ำลงไป เสียงน้ำกระทบไม้นั้นน่าฟัง หากเคยได้ยินก็คงจะไม่มีวันลืมและนึกออกในชั่วเสี้ยววินาทีที่ได้ยินมันอีกครั้ง
กึก...
          เสียงน้ำหนักหนึ่งกดลงกระทบกับแผ่นไม้ หรือบันได้ที่ท่านน้ำ ไม่แน่ใจ แต่เสียงนั้นไม่หนักมาก ผมหลับตาฟังอยู่บนเตียงอย่างสงบ
          ใจหนึ่งคิดว่าอาจเป็นใครสักคนที่มาเล่นน้ำหรืออาบน้ำในตอนเช้าตรู่เพราะตอนนั้นผมไม่ได้ดูนาฬิกาเห็นเพียงแสงจันทร์สลัวอยู่นอกหน้าต่าง
          ถัดจากเสียงน้ำหนักลงกระทบไม้ก็ตามมาด้วยเสียงคลื่นน้ำก้องอยู่ในอากาศ หากฟังแต่เสียงก็พอจะจินตนาการได้ว่าใครบางคนคงจะเอาเท้าแกว่งน้ำเล่นอย่างสบายใจ
          เสียงจักจั่นดีดปีกไพเราะผสมผสานกับเสียงลมพัดผ่านใบไม้ซึ่งเป็นเสน่ห์ของบ้านสวน แต่ที่เสนาะหูที่สุดคงจะเป็นเสียงนกที่ออกหากินยามค่ำคืน ความทรงจำในคืนนั้นช่างสดใสและสวยงาม แต่แล้วทุกอย่างก็พลันเงียบไปในเวลาเพียงอึดใจเท่านั้น

ความเงียบเข้ามาแทนที่ทุกสรรพเสียงที่เคยบรรเลงสอดคล้องกันอย่างลงตัวเหลือเพียงเสียงหนึ่งเสียงเดียวที่ยังคงชัดเจน เสียงผิวน้ำที่กระเพื่อมไปมาตามแรงกว่างของใครสักคน
          อากาศที่จู่ๆก็เย็นเยียบจนน่าขนลุก ลมหนาวอ่อนๆไล้เลียไปตามผิวหนังจนรู้สึกได้ บรรยากาศนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นอายบางอย่างที่เหมือนจะคุ้นเคย แต่ก็นึกไม่ออก
          แล้วคำตอบก็ปรากฏขึ้นให้ผมได้หายสงสัยถึงสิ่งที่รับรู้ได้ทั้งหมด เสียงท่วงทำนองสูงต่ำสลับกันเป็นจังหวะประหลาด แต่ไพเราะ แม้ฟังไม่ได้ศัพท์ แม้ไม่รู้ว่าต้องการจะสื่ออะไร ไม่ใช้แม้แต่เสียงเพลงจากเครื่องดนตรีชนิดใด
‘เพลงพราย’
          อีกครั้งที่บทเพลงนี้กลับมาสร้างความกังวลให้กับใจของผม แม้จะไม่เหมือนกันสักทีเดียว ไม่ใช่ว่านี่คือเพลงชาติของพรายทั่วโลกทั่วประเทศ หากแต่มันคือความถี่หรือช่วงพลังงานหนึ่งของจิตดวงนั้นๆที่ส่งออกมาเพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง จิตในหมู่และจำพวกเดียวกันจะคล้ายคลึงกันให้ความรู้สึกใกล้เคียงกันจนเรารู้สึก คุ้นเคย เพราะเคยสัมผัสมาแล้วครั้งหนึ่ง
          ท่วงทำนองนั้นบางครั้งไพเราะดุจมนต์สะกดของเครื่องดนตรี บางคราวเล็กแหลมเสียดแทงแก้วหูจนรู้สึกเจ็บแปลบและวิ้งขึ้นมาคล้ายหูอื้อ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้เสมอเมื่อเราได้ไปเยือนริมน้ำริมทะเล แต่เราก็คงจะเลือกเชื่อเอาวิทยาศาสตร์มาอธิบายมันเสียงก่อนว่ามันอาจเป็นความแตกต่างของความกดอากาศและความดัน แต่หากเปิดใจสักนิด เชื่อสิ คุณจะได้ฟังเพลงประหลาดที่แสนไพเราะจากใครบางคน
          เสียงนั้นเหมือนพยายามจะบอกและสื่อสารอะไรบางอย่าง กับใครบางคน แม้หลับตาแต่ตอนนี้สติของผมครบถ้วนสมบูรณ์พร้อมแน่ใจว่าไม่ใช่ ความฝัน
‘เธอมา... เสียที... นานแล้ว... ที่รอ...’
          เพียงชั่วครู่เดียวที่ในใจคิดอยากหาคำตอบเหมือนกับสมองทำหน้าที่เป็นเครื่องวิทยุหมุนหาคลื่นจนจูนตรงกับผู้ส่งมาแปลเป็นข้อความให้ผมได้ เข้าใจแม้เล็กน้อย
          หลังสิ้นเสียงข้อความนั้นความง่วงที่อยู่ๆก็ก่อตัวขึ้นจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ผมหลับไปอีกครั้ง และตื่นมาในช่วงสายๆของวันต่อมา
          ผมตื่นมาพร้อมความสนชื่อที่เหมือนได้เกิดใหม่ ไม่มีความเหนื่อยล้าหลงเหลืออีก ผมหันไปหามีนที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่ไม่ไกลนักพร้อมถามมันว่า
‘สรุปวันนี้จะทำอะไรวะ’
          พวกเราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเรามาที่นี่ทำไมนอกจากการมาส่งลุงหวังกลับบ้าน
‘ตื่นกันยังลูก สายแล้วไปกินข้าวลุงหวังมารอนานแล้ว’
          เสียงเรียกของพ่อทำให้เราสองคนต้องรีบตาลีตาเหลือกอาบน้ำแต่งตัวให้พร้อม เพราะการที่มีคนไม่สนิทมานั่งรอแบบนี้ค่อนข้างน่าเกลียดยิ่งเป็นคนที่มีอายุมากกว่าแล้วด้วย
          เราสองคนเดินออกจากเรือนมาไม่ไกลก็ถึงตัวบ้านอย่างที่ได้เล่าไปก่อนหน้านี้ ลุงหวังนั่งหลับตานิ่งๆในมือมีไม้เท้าค้ำอยู่กับพื้นสองมือวางประสานอยู่ข้างบน
          เราเดินขึ้นไปบนบ้านโดยไม่ได้ทักทายผู้มารอ
          ระหว่างมื้อเช้าพ่อบอกว่าลุงหวังจะให้เราไปนอนค้างที่บ้านของลุงหวัง ซึ่งจริงๆแล้วจะให้แค่ ผม ไปคนเดียวแต่พ่อกังวลเลยคิดว่าจะไปกันทั้งหมดนี่คงจะดีกว่า
          เมื่อทราบความดังนั้นเราก็ออกจากบ้านของมีนมาในเวลาไม่ถึงชั่วโมงหลังจากเตรียมข้าวของเสร็จ ด้วยความตั้งใจว่าจะไม่กลับมาแวะที่บ้านนี้อีกแล้ว พอเสร็จธุระก็คงจะกลับในทันที
          บ้านของลุงหวังอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก แต่ก็ต้องใช้เวลาในการนั่งรถระหว่างทางลุงหวังยังไม่พูดอะไร บอกตรงๆว่าผมค่อนข้างอึดอัดหลังจากได้ฟังว่าผมต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่กลับไม่ยอมเล่ารายละเอียดอะไรใดๆทั้งสิ้น
          เรามาถึงบ้านของลุงหวังแล้ว บ้านนี้ถ้าพูดถึงทัศนียภาพคงต้องบอกว่า สวยงามเป็นที่สุดเพราะอยู่ติดกับริมน้ำและห่างไปไม่ถึง 500 เมตรจะเป็นตีนเขาที่เห็นได้ไกลๆจากบ้านมีน ติดก็ตรงที่ตัวบ้านนั้นเก่ามาก ไม้บางส่วนเริ่มผุพัง และเหมือนพ่อจะรู้ทันพูดดักเอาไว้ว่า
‘เขาชอบของเขาไม่ใช่ไม่มีตังหรอก’
          ผมหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าใส่หลังเดินไปตามทางดินที่มีหญ้าขึ้นเป็นหย่อมๆ ทางหน้าบ้านหลังนี้ไม่มีถนนลาดยาง มีแต่ทางดินเก่าๆแม้แต่รถยนต์ก็ต้องจอดเอาไว้ในโรงไม้เก่าๆข้างบ้านที่น่าจะเป็นที่สำหรับทำงานช่างงานไม้ เพราะเห็นเครื่องมือและเศษไม้วางอยู่เต็ม
‘กล้า หาน้ำที’
          ลุงหวังตะโกนบอกลูกชายที่ผมไม่ทันได้สังเกตว่าเขากำลังทำอาหารอยู่ในครัวด้านข้างบ้านที่เป็นส่วนยื่นออกมา ผมยกมือไหว้ตามความเคยชิน ‘พี่กล้า’ ยิ้มรับอย่างเป็นมิตรต่างจากผู้เป็นพ่อโดยสิ้นเชิง
          เราเดินเข้ามานั่งที่ชานหน้าบ้านซึ่งเป็นลานไม้โล่งๆ เก้าอี้ที่นั่งแคร่ไม้ต่างๆดูแล้วคงจะทำเองด้วยฝีมือของคนในบ้าน ลุงหวังเดินหายเข้าไปในบ้านไม่นานก็ได้กลิ่นธูปกับเทียนลอยมาตามลม
‘มาปรึกษาพ่อกันหรือ’
          พี่กล้าชวนคุยเหมือนคำถามนี้จะเป็นคำถามตามปกติทั่วๆไปของคนที่นี่ เพราะลุงหวังยังไม่กลับมาพี่กล้าเลยนั่งคุยกับเราก่อนเพื่อไม่เป็นการเสียมารยาทจึงได้รู้ว่าลุงหวังเป็นหมอวิชาของหมู่บ้าน ซึ่งสืบทอดกันมายาวนานรุ่นสู่รุ่น จากพ่อสู่ลูก แววตาของลูกชายแวววาวเป็นประกายเมื่อได้กล่าวถึงความดีของพ่อ
          ไสยขาว นั้นหายาก ยิ่งขาวบริสุทธิ์ยิ่งยากยิ่งเพราะสุดท้ายแล้วมันจะถูกเจือด้วยวัตถุและกิเลศ คงจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในล้านก็ไม่เกินจริงเสียเท่าไหร่
           ไม่นานนักลุงหวังก็เดินออกมาที่ลานหน้าบ้าน พร้อมกับกล่องไม้เล็กๆในมือของตัวเอง ลุงหวังเปิดมันออกพร้อมกับกลิ่นไม้ที่ลอยฟุ้งออกมา ข้างในนั้นมีหนังสือเก่าๆอยู่เล่มหนึ่ง อีกหนึ่งเป็นสมุดใบลานที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นกับตาอีกครั้ง
          ลุงหวังบอกเล่าที่มาที่ไปให้ตัวเองฟังอีกครั้ง พวกเรานิ่งฟังอย่างพิจารณาเพราะคนที่พูดน้อยเมื่อพูดแล้วนั่นหมายถึงมันเป็นสิ่งที่ต้องพูดจริงๆ
‘สักวันหนึ่ง ผมก็จะสืบทอดต่อจากพ่อนี่แหละ’
          พี่กล้าพูดด้วยความภูมิใจเหมือนเตรียมตัวรอมานานกับการสืบทอดตำราที่ถูกเก็บเอาไว้อย่างดี มันก็คงไม่แปลกอะไรที่ลูกชายจะอยากเดินตามรอยพ่อที่ตัวเองเพิ่งจะโฆษณาไปยกใหญ่เมื่อสักครู่
          พอดีกับที่เรากินอาหารเสร็จแล้วพี่กล้าจึงอาสาเก็บทุกอย่างไปล้าง
          กลิ่นธูปยังลอยคลุ้งอยู่รอบๆบริเวณบ้านทั้งที่มันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น บ้านโล่งๆที่มีลมโชยผ่านอยู่ตลอดเวลา แต่ความรู้สึกนั้นเหมือนกับว่ากลิ่นมันวนอยู่รอบๆตัวเราอย่างจงใจ
          ลุงหวังหยิบเอาทุกอย่างออกจากกล่องไม้จนเห็นที่ก้นกล่องว่ามีกล่องไม้เล็กๆอีกอันหนึ่งวางไว้อยู่
          ขนาดของกล่องยาวประมาณปากกาด้ามหนึ่งความกว้างนั้นแค่ประมาณกล่องลิปสติกเท่านั้น ลุงหวังหยอบมันขึ้นมาอย่างเบามือและอ่อนโยน แวบหนึ่งผมเห็นดวงตาของลุงหวังรื้นไปด้วยน้ำตา
          กล่องไม้ใบเล็กในมือถูกส่งต่อมาให้ผมถือ ผมรับมาน้ำหนักของมันกำลังพอดีทั่วทั้งอันเรียบลื่นเพราะถูกขัดมาอย่างดี กล่องใบนี้ไม่มีลวดลายใดๆแต่ก็ดูสวยในแบบของมัน กลิ่นหอมอ่อนๆของเนื้อไม้ที่เลือกมาอย่างดีชวนให้รู้สึกเศร้า
‘เปิดดูสิ’
          ผมคลำหาที่เปิดแต่ก็หาไม่เจอเพราะมันเป็นแบบสลัก ลุงหวังจึงรับไปเปิดด้วยตัวเอง ทันทีที่ข้างในถูกเปิดออกผมก็รู้สึกขนลุกเกรียวไปทั่วทั้งตัวโดยไม่ได้เป็นเพราะสัมผัสอะไรได้แต่เพราะสิ่งที่เห็นล้วนๆ
          กล่องใบเล็กในมือถูกบรรจุดวงเถ้าสีขาวที่ผมรู้ได้ตั้งแต่ครั้งแรกว่ามันคือ กระดูก เพราะเส้นผมที่ถูกมัดเก็บไว้เป็นกระจุกอยู่คู่กันในกล่องนั้น

มีนที่ไม่ได้เคยชินกับเรื่องพวกนี้อย่างผมนักถึงกับเวียนหัวคล้ายจะเป็นลม พ่อของมีนก็เช่นกัน ใบหน้าที่แตกตื่นนั้นสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อตั้งสติได้พ่อก็พูดขึ้นมาเบาๆ
'ส้มหรือครับ'
          ลุงหวังพยักหน้าน้อยๆก่อนจะปาดน้ำตาที่คลออยู่จนเกือบจะหยดลงมาให้เห็น ส้ม คือลูกสาวคนเล็กของลุงหวังที่ตอนนี้ไม่อยู่กับเราอีกแล้ว เธอจากไปด้วยเหตุผลบางอย่างที่เราจะได้รู้กันในเวลาต่อมา เหตุผลที่ลุงหวังยังไม่เล่าให้ฟัง หรือจริงๆแล้วคงจะต้องเรียกว่า ทำใจเล่าไม่ได้ เสียมากกว่า
          เราคุยกันต่ออีกสักพักถึงสิ่งที่ลุงหวังถือครองอยู่นั่นคือวิชาต่างๆมากมายเพื่อให้เข้าใจคนตรงหน้ามากขึ้น จนในช่วงเกือบๆเย็นลุงหวังชวนเราให้ออกไปตลาดด้วยกันเพื่อเตรียมข้าวของที่ต้องใช้สำหรับทำในสิ่งที่ลุงหวังต้องการให้ผมมาร่วมด้วยในครั้งแรก
          เรามาถึงที่ตลาดเดิมอีกครั้งแต่คราวนี้เราไม่ได้ซื้อหาข้าวปลาอาหารใดๆอีก แต่เป็นข้าวตอกดอกไม้ผลไม้และเครื่องเซ่นหลายอย่าง แต่ที่น่าประทองใจและแปลกใจไปพร้อมๆกันนั้นคือ ใบตองและหยวกกล้วย มันถูกซื้อหามาในจำนวนมากและข้าวของที่ผมพูดมาทั้งหมดนั้นเราเสียงเงินไม่ถึงหนึ่งร้อยบาท
          ไม่ใช่เพาะอิทธิพลของใคร แต่เป็นน้ำใจของคนที่ลุงหวังเคยช่วยเหลือไว้ก่อนหน้านี้ด้วยหน้าที่ของหมอธรรม และมากไปกว่านั้นเมื่ออธิบายข้าวของและสิ่งที่ลุงหวังจะทำให้ชาวบ้านฟังแล้วพวกเขาดูยินดีและกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ด้วยคำสั้นๆคำเดียว
‘ฉันจะเปิดป่า’
           การเปิดป่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้ไกลตัวมากนัก หลายครั้งที่ผมได้ยิน และหลายครั้งที่ผมเคยทำ แต่คำถามมันอยู่ที่ ทำไมถึงต้องเปิดป่า ส่วนมากเหตุผลในการเปิดป่าคือ ตามหาคนหาย หรือไม่ก็ขอเข้าไปทำกิจบางอย่างในป่าที่เชื่อว่ามีเจ้าของปกปักษ์อยู่
          เรากลับมาที่บ้านพร้อมข้าวของมากมาย ญาติๆของมีนตามมาช่วยที่บ้านของลุงหวังในการเตรียมข้าวของ ผมถูกลุงหวังเรียกออกมาที่ด้านหลังบ้าน
          พี่กล้าเดินตามมาด้วยพร้อมย่ามใบหนึ่ง ลุงหวังบอกผมว่าเราจะเดินเข้าไปในนั้น ผมรู้สึกอึ้งอยู่ได้ไม่นานก็โดนพี่กล้าเดินมาประคองไหล่ให้เดินตามลุงหวังที่ล่วงหน้าเข้าไปแล้ว
          ในตอนนั้นเวลาร่วมๆ 6 โมงเย็นน่าจะได้ ท้องฟ้ากลายเป็นแสงสีส้มอมแดงดูอบอุ่น แต่ก็น่ากลัว คำว่าผีตากผ้าอ้อม คำนี้ชัดเจนในหัวผมตลอดเวลา จะมีใครบ้างที่ไม่เคยได้ยินว่า ห้ามนอน ห้ามเข้าป่า ห้ามเล่นซ่อนแอบ ในยามผีตากผ้าอ้อม
          จริงๆแล้วผมก็ไม่รู้ว่า ผีตากผ้าอ้อม คำคำนี้มาจากไหน แต่สิ่งที่ผมรับรู้คือ ช่วงเวลาอย่างนี้เป็นรอยต่อของเวลา กลางวันและกลางคืน แสงจากดวงอาทิตย์จะมีกระแสอย่างหนึ่งที่รุนแรง ในขณะที่กระแสจากดวงจันทร์จะมีความนุ่มนวลมากกว่า นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่กลางคืนจะมีอัตราการพบเจอวิญญาณได้มากกว่า เพราะขาดจากกระแสของดวงอาทิตย์
          ช่วงเวลาก้ำกึ่งอย่างนี้เองจะยิ่งเป็นเรื่องง่ายที่รอยต่อของสองภพจะซ้อนทับจนเหลื่อมล้ำกันเมื่อทุกอย่างเหมาะสม
          ป่าในยามนี้ไม่สวยสดงดงามอย่างที่เคยเห็นเมื่อไปเที่ยวตามอุทยาน เสียงลมหวีดหวิวกรีดผ่านใบไม้คล้ายเสียงครวญครางของหญิงสาวดังอยู่รอบๆ
          เสียงกรอบแกรบของใบไม้แห้งชวนหลอนประสาทให้คิดไปว่ามีใครกำลังเดินตามหลังของเรามา แม้จะมีเสียงนกเสียงสัตว์สดใสน่าฟัง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรๆดีขึ้นเลย
‘เดินไหวไหม คนเมืองน่าจะลำบากหน่อย’       
          พี่กล้าที่เดินชะลอให้ผมเดินตามทันหันมาถามในขณะที่ลุงหวังเดินล่วงหน้าไปไกลแล้ว
          ผมที่ไม่รู้จักทางบวกกับแสงสลัวของยามเย็นทำให้เดินได้ช้ามากเมื่อเทียบกับคนข้างหน้า แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกได้อยู่ตลอดเวลาคือ ผมอยากกลับ ที่นี่ไม่น่าอยู่ ที่นี่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผม กลัว
          ความรู้สึกอึมครึมเหมือนเวลาเมฆฝนเริ่มก่อตัวคล้ายต่ำลงมาจนเราไม่รู้ว่ามันจะตกลงมาเมื่อใด ความรู้สึกเหมือนถูกรายล้อมด้วยสายตา จากใครหลายคน ใครที่ทั้งเดินตามและเฝ้าดูเราอยู่ตลอด
          กลิ่นหอมของดอกไม้ใบไม้ชวนให้สดชื่นแต่มันกลับปนมาด้วยกลิ่นฉุนสาบที่คุ้นเคยแต่นึกไม่ออก
‘พี่กล้า เข้ามามืดๆอย่างนี้ ไม่กลัวยิ้มลัวหมีหรอพี่’
‘หุบปาก!’
          ลุงหวังตะหวาดดังมาจากข้างหน้า ผมตกใจจนใจหล่นวูบเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคนตรงหน้าส่งเสียงดังมากกว่าปกติ
‘เข้าป่าใครเขาให้ถามหาเสือ อยากตายนักหรือไง คนแก่ที่บ้านไม่เคยสอนใช่ไหม’
          พอถูกด่าอย่างนั้นจึงนึกถึงภาษิตโบราณที่ได้ยินมานานแต่มันค่อนข้างไกลตัวจนไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด
          พี่กล้าหันมาปลอบผมที่ดูจะตกใจมาก คงไม่แปลกเท่าไหร่ที่ผู้ใหญ่จะหงุดหงิดกับความไม่รู้ของเด็ก และมันก็เป็นเรื่องจริงที่ผมได้ทำสิ่งที่ไม่สมควรลงไปเสียแล้ว
          เราเดินขึ้นมาถึงช่วงกลางๆเขาที่ยังไม่ชันมาก ตรงนั้นเป็นป่ารกทึบที่มองอะไรไม่เห็นแสงอาทิตย์ที่เคยมีตอนนี้มืดสนิท ท้องฟ้าเปลี่ยนผ่านสู่พลบค่ำอย่างสมบูรณ์ สัตว์น้อยใหญ่หลายชนิดที่เคยส่งเสียงก็เงียบหาย เหลือไว้เพียงเสียงลมที่ยังหวีดหวิวผ่านกิ่งไม้และใบไม้เท่านั้น
‘กล้า ตรงนี้แหละ’
          ลุงหวังหยุดเดินพร้อมพูดออกมาเบาๆกับพี่กล้าโดยไม่ได้หันมา พี่กล้าเดินแซงผมขึ้นไปพร้อมหยิบของในย่ามออกมา
          ข้างในนั้นบรรจุธูป ดอกไม้ และกระธงใบเล็กๆหลายใบ ดอกไม้ถูกวางใส่ไว้ในกระทงเล็กขนาดใหญ่กว่าเหรียญสิบบ้านประมาณหนึ่งพร้อมกับข้าวสารที่ยังไม่ได้หุง ธูปนั้นถูกปักไว้ข้างๆ แต่ที่ผมเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกคือการนำเอาดินที่เก็บมาจากหมู่บ้านข้างล่างมาวางไว้บนกลีบดอกไม้อีกชั้นหนึ่ง
          ธูปถูกจุดโชยกลิ่นไปทั่วบริเวณ พร้อมกันกับที่เสียงลมเสียงไม้ดังกระหึ่มจนผมรู้สึกหวิวเสียวสันหลังขึ้นมา
          ผมขยับเดินขึ้นมาให้อยู่ใกล้ๆกับทั้งสองคน พอขึ้นมาตรงนี้จึงได้เห็นว่าสูงขึ้นไปบนหัวเรามีรูคล้ายถ้ำเล็กๆ ด้วยความมืดและแสงจันทร์ที่น้อยมากเพราะเป็นป่าทึบมีเพียงไฟฉายในมือเท่านั้นจึงเป็นการยากที่จะมองมันให้ชัดเจน
          ลุงหวังนั่งลงพนมมือสวดบริกรรมอย่างตั้งใจ ผมสัมผัสได้ถึงความเข้มขลังและความตั้งใจของคนผู้นี้
          ระหว่างรอผมเลือกมานั่งที่หินก้อนหนึ่ง ผมนั่งมองไปรอบๆอย่างชื่นชมและระแวงไปพร้อมๆกัน ระหว่างนั้นเองผมได้ยินเสียงเหมือนกับเสียงหายใจของใครบางคนที่ค่อนข้างดัง จังหวะนั้นช้า และหนักหน่วง
          เสียงใบไม้กรอบแกรบยังคงได้ไปมาทั่วบริเวณเพราะเสียงลม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า มันเหมือนกับเสียงคนเดินไปมาอยู่ในบริเวณนั้น
          เสียงหายใจนั้นดังขึ้นอีกครั้งดังกว่าเดิมจนมันชัดเจนเกินไป ผมหันไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียงซึ่งคือทางลาดต่ำลงไปตรงที่พวกผมได้เดินผ่านมาไม่นาน
          ตรงนั้นที่หลังต้นไม้ใหญ่ ผมเห็นเงาร่างหนึ่งมลังเมลืองในความมืด ผมไม่ได้ตาฝาด ร่างนั้นราวกลับจะหลุดมาจากพื้นหลังที่เกือบมืดสนิท เธอคนนั้นสว่างได้ในความมืด
          แสงสว่างนั้นไม่ได้เจิดจ้าแต่เป็นแสงสลัวที่พอสะท้อนเห็นเห็นร่างตรงหน้าชัดขึ้นมาจากพื้นหลัง แม้ว่าร่างนั้นจะนั่งย่อต่ำลงจนแทบจะติดพื้น
          หัวใจผมหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเพราะไม่ว่าเธอจะย่อตัวลงมากแค่ไหน มนุษย์ก็ไม่มีทางที่จะวางศีรษะของตัวเองเอาไว้ต่ำได้มากข้างนั้น ถ้าจากสังเกตแล้วไม่น่าจะเกินสองไม้บรรทัด
          ใบหน้านั้นดูดุร้ายผมเผ้ารุงรังยาวสกปรก ใบหน้าเปรอะเปื้อนมอมแมม แม้ว่าผมจะรู้แล้วว่าคนตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์ แต่ภาพนั้นก็น่ากลัวเกินกว่าจะละสายตาหนี

ธรรมชาติของมนุษย์ ยิ่งกลัวจะยิ่งมองหา ยิ่งระแวงจะยิ่งเห็นมันชัดขึ้น
          ผมจดจ้องเงาตรงหน้าโดยที่ไม่สามารถส่งเสียงเรียกอีกสองคนได้ มือเย็นชืดเหงื่อไหลชุ่มไปทั่วทั้งใบหน้าและฝ่ามือ
          ร่างตรงหน้ายังคงจดจ้องผมอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอไม่ได้เข้ามาใกล้ เธอมอง มองอยู่อย่างนั้น ผมกลัว ผมแน่ใจ นอกจากรูปลักษณ์ที่ไม่น่ามองแล้วเธอยังให้ความรู้สึกที่ประหลาด
          ความรู้สึกเหมือนเวลาเราขับรถอยู่บนทางเปลี่ยวบนเขาที่ไม่มีไฟถนนในคืนที่ฝนตก ความรู้สึกตอนที่เรากำลังยืนอยู่บนที่สูงโดยไม่มีที่กั้นไม่ให้เราตกลงไป ความรู้สึกที่บอกเราว่า ชีวิตของเรานั้นช่างบางเบา และมันอาจดับไปได้ทุกเมื่อ
‘เอาล่ะ ไปกัน’
           ผมเบี่ยงความสนใจไปที่เสียงของลุงหวัง แม้จะไม่ได้หันหน้าไปตามเสียงนั้นแต่สติที่ขาดไปชั่วครู่หนึ่งก็ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวที่ผมเห็นอยู่หายไปจากคลองสายตาเสียเฉยๆ
          ผมบอกลุงหวังว่าผมเห็นอะไร โดยอธิบายลักษณะท่าทางของคนคนนั้นอย่างชัดเจน ลุงหวังมีท่าที่อารมณ์เสียขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับพี่กล้า ผมไม่รู้ว่าผมพูดอะไรผิดไปหรือไม่ แต่มันคงไม่ใช่สิ่งที่ควรพูดสักเท่าไหร่เมื่อดูจากสถานการณ์แล้ว
          พี่กล้าย้ายไปเดินข้างหลังสุด มีผมตรงกลาง และลุงหวังนำขบวน พวกเราจะแวะตามทางลงเป็นระยะเพื่อจัดวางกระทงดอกไม้และปักธูป พอทำอย่างนี้ผมจึงได้เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นคืออะไร เรากำลังนำทางใครบางคนกลับบ้าน กลับไปยังที่ที่เขาควรอยู่
          เมื่อได้ข้อสรุปอย่างนี้ การเปิดป่า จึงเป็นที่เข้าใจได้และตรงจุด เมื่อผมเข้าใจแล้วก็พอที่จะช่วยพวกเขาได้บ้าง การนำสิ่งของมาวางไว้นั้นเช่นพวกอาหารคือสิ่งที่ใช้แทนคำขอ หรือสินบน นั่นเอง ที่เรามักเรียกว่าเครื่องเซ่น ดอกไม้ก็เช่นกัน และกลิ่นธูปคนไทยเชื่อว่ามันคือเครื่องมือในการสื่อสารกับวิญญาณ
          แต่ที่ผมรู้สึกขนลุกด้วยความซึ้งใจคงจะเป็นเศษดินที่ถูกวางเอาไว้ด้วย บางครั้งเราจะใส่เสื้อผ้าหรือของใช้ไว้ตามกระทงนำทาง นั่นคือความเชื่อว่าเจ้าของจะจำข้าวของที่ตัวเองรักมากได้ การใช้ดินก็คงเหมือนเป็นการบอกให้กลับบ้าน กลับสู่ดิน กลับสู่ที่ที่ควรอยู่เสียเถิด
          เราเดินลงมาจนถึงทางออกซึ่งผมแปลกใจมากเรากลับออกมาที่บริเวณเดิมกับตอนที่เข้าไปแบบพอดี ซึ่งถ้าคนนำทางไม่ใช่ผู้ชำนาญทางอย่างแท้จริงก็คงจะทำไม่ได้เป็นแน่
          ที่ตีนเขาเราต้องนำเครื่องเซ่นชุดเล็กๆมาวางเพื่อทำการขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขาก่อนที่จะทำพิธีเปิดป่าในรุ่งเช้า ระหว่างนั้นผมมองกลับเข้าไปในป่ามืดๆนั่น ผมก็ได้เห็นเธออีกครั้ง
          หญิงสาวที่ผมเคยคิดว่าอายุน้อยตอนนี้เธอดูมีรอยเหี่ยวย่นตามใบหน้าจนดูมีอายุขึ้นมาก ผมเผ้าก็ดูจะยาวขึ้นรุงรังมากขึ้น เธอนั่งอยู่บนหินโขดหนึ่งที่พอเห็นได้ จริงๆแล้วคงต้องบอกว่า เธอต้องการให้เห็นเสียมากกว่า
          เธอยังนั่งมองผมในท่าชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง สายตานั้นจดจ้องราวกับอยากจะบอกอะไรสักอย่างกับผม มันทั้งแข็งกร้าวและน่าเกรงขาม เสื้อผ้าเธอขาดรุ่งริ่งเก่าจนไม่คิดว่าน่าจะใส่ได้อีก แต่ที่ชัดเจนกว่าคือกลิ่นสาบเหมือนอบอวลไปทั่วบริเวณ กลิ่นเหมือนมันอยู่ตรงหน้าห่างจากจมูกไม่เกินหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น
          ลุงหวังและพี่กล้าก็ได้กลิ่นเช่นกันแต่คงไม่เท่ากับผมเพราะตอนนี้ผมเริ่มทนกลิ่นไม่ไหวแล้ว อาการเวียนหัวอยากอ้วกเริ่มมากขึ้น จนต้องควักเอายาดมมาสูดเข้าปอดเฮือกใหญ่
          เมื่อเสร็จสิ้นพิธีตรงหน้าแล้ว เราก็รีบเดินกลับออกมาอย่างรวดเร็ว โดยเมื่อหันหลังไปมองผมก็ได้เห็นเงาร่างมากมายมารุมทึ้งเครื่องเซ่นที่วางอยู่บนพื้น บ้างผอมแห้งบ้างก็อ้วนพุงโลจนน่าเกลียดไม่เหมือนกับสรีระของมนุษย์ บ้างนั่งบ้างนอนราบไปกับพื้น เหมือนพวกสัตว์มากกว่า
          เรากลับมาถึงบ้านในเวลาประมาณ ทุ่มกว่าๆ ใช่ครับ ผมตกใจมาก ผมไม่คิดว่ามันจะเร็วอย่างนี้เพราะความรู้สึกของเราคือเราเข้าไปในนั้นนานมาก แต่มันยังไม่ถึงสองทุ่มเลย คนที่คอยมาช่วยยังนั่งกินข้าวเย็นกันอยู่ในบ้านเสียด้วยซ้ำ
          ทันทีที่คนในบ้านเห็นพวกเราก็รีบเข้ามาถามเรื่องราวว่าเรียบร้อยดีไหม สำเร็จไหม คำว่าสำเร็จสะดุดหูผมเพราะผมยังไม่รู้เรื่องทั้งหมดในตอนนั้น
          ลุงหวังบอกให้ทุกคนกลับไปแล้วมาเจอกันในตอนค่อนแจ้งเพื่อจัดเตรียมพิธีต่างๆ ก่อนจะเริ่มพิธีจริงในแสงแรกของวัน
          พวกเราแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวจนเรียบร้อยด้วยความไม่สบายใจบางอย่างผมจึงอยากที่จะเข้าไปกราบพระนั่งสมาธิสักเล็กน้อยเพื่อให้ใจเย็นลงบ้างเหมือนที่ผมใช้วิธีนี้เป็นประจำเวลามีเรื่องไม่สบายใจหรือคิดไม่ตก
          ผมเดินตามหาลุงหวังเจ้าของบ้านไม่เจอ จึงเดินไปขออนุญาตพี่กล้าแทน พี่กล้าบอกว่าเข้าไปได้เลยพ่อเองก็อาจจะอยู่ในนั้นเหมือนกัน พี่ล้างจานชามอะไรเสร็จแล้วก็จะตามเข้าไป
          พอเปิดประตูห้องพระที่ได้เห็นเมื่อตอนมาถึงเข้าไปก็จริงอย่างที่พี่กล้าว่า ลุงหวังนั่งหลับตาอยู่หน้าโต๊ะหมู่ที่ผมไม่คุ้นตา
          บนโต๊ะหมู่มีพระพุทธรูปเป็นประธานมีพระเกจิหลายองค์รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง นอกจากนั้นก็มีรูปของผู้ล่วงลับวางเรียงรางคิดแล้วว่าคงจะเป็น บรรพบุรุษที่สืบทอดวิชากันมา บนโต๊ะแยกข้างๆคือกล่องที่พวกเราได้เห็นก่อนหน้านี้
‘นั่งไปเงียบๆแล้วกัน’
          ลุงหวังบอกเชิงอนุญาต ผมแค่นั่งหลับตาทำใจให้สบายเข้าสู่สมาธิเท่านั้น ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายไปกว่านั้น แต่อาจเพราะการกระทำอย่างนั้นเองเมื่อจิตเข้าสู่สมาธิ บวกกับคนตรงหน้าเองก็มีสภาวะจิตที่ละเอียดและสูงกว่าคนทั่วไปในระดับหนึ่ง แม้เพียงวูบเดียวแต่ผมก็รับรู้ถึงความวุ่นวายใจ อารมณ์ที่สับสนตีกันอยู่ในใจของคนตรงหน้า
          แม้ไม่ได้พูดออกไปแต่มันก็คือการเสียมารยาท การละลาบละล้วงใจคนอื่นคือสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่ด้วยจิตที่ไม่สำรวมของตัวเองก็ได้พลาดทำมันลงไปเสียแล้ว
          เราปล่อยให้ห้องนั้นเงียบอยู่อีกนานสองนานก่อนพี่กล้าจะเดินเข้าในห้องและทำลายความเงียบลง
          พี่กล้าขอให้ลุงหวังช่วยอธิบายเรื่องราวให้ผมฟังสักหน่อยจะดีกว่า กาให้ผมเข้าไปร่วมด้วยโดยไม่บอกกล่าวอะไรมันคงจะไม่ดีนัก
           ลุงหวังเห็นด้วยอย่างนั้น จึงยอมเล่าเรื่องราว ‘บางส่วน’ ให้ผมฟัง
          เรื่องมันนานมาแล้ว นานมาก ตั้งแต่รุ่นทวดของลุงหวังอีก เรื่องราวมันสืบทอดต่อกันมาในหมู่บ้านนี้ที่ครั้งหนึ่งเคยอาศัยอยู่กินกับป่าเขาเหมือนกับพื้นที่อื่นๆทั่วไป แต่แล้วอยู่ดีๆวันหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้นกับคนที่เข้าไปล่าสัตว์แล้วไม่ได้กลับออกมา บางคนได้กลับออกมาแต่ก็เสียสติไปไม่เหมือนเดิม
          ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่านั่นเป็นเพราะอาถรรพ์ป่า เจ้าป่าเจ้าเขาผีป่าผีเขาหรืออะไรก็ตามเป็นต้นเหตุให้เกิดเหตุขึ้นอย่างนั้น ในเวลานั้นทุกคนช่วยกันหาทางออก แต่ก็ไม่ได้บอกผมว่า ทางออกคืออะไร
          หลังจากนั้นไม่นานทุกอย่างก็เหมือนจะเรียบร้อยดี เวลามีใครเข้าไปหาของป่าจะได้กลับออกมาครบสมประกอบแต่กลับกัน มันเริ่มมีเหตุที่ไม่เคยเกิดขึ้นเริ่มต้นขึ้นมา
          ในหนึ่งปี หรือปีเว้นปีจะมีคนในหมู่บ้านหายเข้าไปในป่าโดยไม่ทราบสาเหตุ ต่างกันนะครับ ก่อนหน้านี้คือ มีคนเข้าไปและไม่ได้ออกมา แต่คราวนี้คือคนไม่ได้เข้าไป แต่กลับถูกอะไรบางอย่างพาเข้าไป เหมือนทุกอย่างมันกลับกันไปหมด
          และหลังจากมีคนหายเข้าไปในนั้นเวลาจะประมาณ 3 วัน จะพบตัวคนที่หายไปในสภาพไร้วิญญาณ ฟังดูเหลือเชื่อแต่ก็เป็นจริงดังนั้นเสมอมา โดยคนที่หายเข้าไปในป่านั้น ไม่มีความเกี่ยวโยงใดๆกันทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น เพศ อายุ ชื่อ วันเดือนปีเกิด ทุกอย่างไม่สัมพันธ์กันมีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือ เป็นคนหมู่บ้านนี้
          ลุงหวังขยายความต่อไปอีกว่า คนหมู่บ้านนี้ต้องเป็นคนที่มีต้นตระกูลในบ้านนี้ พวกที่ย้ายมาใหม่ มาตั้งรกราก แต่งงานแต่งกาลย้ายมา ครอบครัวที่เป็นอย่างนี้ ไม่มีใครเคยโดนเลย มีแต่คนที่เป็นคนพื้นที่เท่านั้นที่จะโดน
          มาถึงตรงนี้พี่กล้าเริ่มน้ำตาคลอเบ้าเหมือนจะร้องไห้ ผมพอจะติดตามเรื่องราวและปะติดปะต่อมันได้บ้างแล้ว ‘ส้ม’ ก็คงจะเป็นหนึ่งในนั้น
          พกเราไม่เคยได้เห็นหรอกว่าตอนที่คนนั้นหายเข้าไปในป่าเป็นอย่างไร มีอาการอย่างไร เข้าไปอย่างไร เราจะเจอเขาอีกครั้งเมื่อทุกอย่างมันจบแล้ว
          แต่มีความเชื่อหนึ่งที่วนเวียนอยู่ในหมู่บ้านเพราะมีคนเคยเห็น และเคยเอาคงทรงมาดูหลายต่อหลายครั้งรวมถึงตัวฉันและบรรพบุรุษของฉันก็รู้ และเห็นเหมือนกันหมด

‘เสือสมิง’
          คำนั้นทำเอาผมขนลุกวูบไปทั่วทั้งตัวนึกถึงกระดูกที่ลุงหวังเอาให้ดูบนรถ ลุงหวังพยักหน้าตอบรับกับความคิดของผม
          เมื่อส้มจากไป ลูกสาวตัวเล็กๆที่น่ารักยังคงชัดเจนในความทรงจำ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าภาพสุดท้ายที่ลุงหวังได้เห็น มันเป็นอย่างไร แต่มันคงจะไม่ดีนักเพราะภาพนั้นทำเอาลุงหวังหายเข้าไปในป่าร่วมอาทิตย์เพื่อคิดจะตามล่าให้ใครก็ตามที่ทำกับสาวน้อยคนนั้น
          ลุงหวังกลับออกมาพร้อมกระดูกชิ้นนั้น โดยไม่ได้บอกว่าไปเอามาจากไหน แต่มันเข้มขลังไปด้วยพลังงานอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ใช่ว่ามันขลัง แต่เรียกว่าเป็นอาถรรพ์คงจะถูกกว่า
       
          กระดูกชิ้นนั้นไม่ได้ถูกใช้เพื่อป้องกันตัวหรือบูชา ลุงหวังเก็บมันไว้กับตัวและในวันเวลาที่เหมาะสมเขาจะหยิบมันขึ้นมาบริกรรมคาถา ใช้วิชาทำร้ายเจ้าของกระดูกชิ้นนี้ด้วยความแค้น แม้จะหาตัวมันไม่เจอ การได้ส่วนหนึ่งของมันมาทรมานก็เป็นการระบายอารมณ์อย่างหนึ่งเช่นกัน
          ผมเริ่มสัมผัสได้ถึงความบิดเบี้ยวของคนคนนี้ ความสูญเสียที่รุนแรงพัดพาเอาสามัญสำนึก ผิดชอบชั่วดี หายไปหมด แต่ก็ยังดีที่เขายังคงช่วยเหลือผู้คนตลอดมา เหมือนกับว่าเขาไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน
          ผมได้ฟังเรื่องราวมาถึงตรงนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่า การเปิดป่าที่หมายถึง คงเพื่อพาดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับกลับออกมาเท่านั้น แต่ถ้าแค่นั้นจะต้องให้ผมมาทำไม ลุงหวังน่าจะทำได้อยู่แล้ว
          ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรออก ลุงหวังที่เล่าเรื่องราวให้ฟังก็เหมือนถูกสะกิดต่อมความรู้สึกที่ซ่อนไว้ เขาขอตัวไปนอนก่อนที่จะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ พี่กล้าจากร้องไห้ก็กลายเป็นสีหน้าของความโกรธแค้นเช่นกัน
          ทั้งสองคนจากไป ทิ้งผมไว้ในห้องพระ อย่างนั้นเพียงคนเดียว
          ผมกลับมานั่งนิ่งๆเงียบๆอีกครั้งโดยเอาหลังพิงกำแพงไว้เพื่อจะปล่อยให้ตัวเองหลับไปทั้งอย่างนั้นหลังจากเข้าสมาธิเสร็จ
          บ่อยๆที่ผมจะเข้าสมาธิในช่วงก่อนนอนแล้วปล่อยให้ตัวเองหลับไปทั้งอย่างนั้นในวันที่เหนื่อยหรือเมื่อวันรุ่งขึ้นมีงานใหญ่รออยู่ เพราะมันทำให้รู้สึกสดชื่นมากกว่าการไปนอนบนเตียงตามปกติ แต่ก็ต้องจัดท่าทางให้ดีหน่อยไม่อย่างนั้นตื่นมาจะได้ปวดหลังปวดเอวเป็นแน่
          ผมหลับไปได้ไม่นานเพราะยังไม่ขาดจากสมาธิผมได้ยินเสียงก๊องแก๊งคล้ายโลหะกระทบกัน ผมเดินออกมาดูข้างนอกตามที่มาของเสียง
          เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งนั่งอยู่กับพื้นไม้ของบ้านในท่าพับเพียบ ผมของเธอทำขลับยาวลงมาจนถึงพื้น เธอน่ารัก แต่ในเวลานี้คงไม่ใช่เวลาของเด็กน้อยแล้ว
          เธอหยิบช้อนกินข้าวอันสั้นๆทำท่าตักและผัดอาหารไปมาในจานชามสังกะสีเลียนแบบพวกผู้ใหญ่ อายุของเธอคงจะไม่พ้น 5 6 ขวบเห็นจะได้ เธอนั่งเล่นข้าวของอยู่อย่างนั้น
‘ส้ม’
          ผมเรียกชื่อเธอแม้ไม่รู้มาก่อนว่าเธอหน้าตาอย่างไร เด็กน้อยหันมายิ้มให้ผมแทบจะในทันที สีหน้านั้นดูดีใจเป็นอย่างมาก คงเพราะไม่มีใครคุยกับเธอมานานแล้ว หรือไม่ก็ไม่เคยมีใครเคยเห็นเธอ
          เด็กน้อยมานั่งข้างๆเอาตัวแปะแขนของผมไว้ สัมผัสของเธอไม่ใช่กายหยาบแต่คงเป็นความเคยชินในสมัยที่เธอยังมีชีวิตอยู่ เธอพูดเก่งเล่านั่นเล่านี่ให้ฟัง เรื่องส่วนมากที่เธอเล่านั้นดูงดงามในสายตาเธอ แต่คนฟังอย่างผมกลับขนลุกจนเย็นไปทั้งสันหลัง
‘หนูเคยอยู่บ้าน ตอนนี้หนูอยู่ในป่า หนูตายแล้ว’
‘หนูอยู่กับใคร’
‘ในป่า หนูมีเพื่อน เยอะแยะเลย’
          เด็กๆคงไม่รู้หรอกว่าความตายคืออะไร แต่เมื่อกายสังขารดับลง จิตจะกระจ่าง ความรู้ความเข้าใจจะมีมากกว่าตอนมีชีวิตอยู่ ในคือความจริงของจิต ธรรมชาติของจิต ซึ่งหลายคนรู้กันดีและมีคนเขียนไว้ในหนังสือหลายเล่ม แต่ก็เป็นเพียงเรื่องเหลวไหลสำหรับใครหลายๆคน
‘แล้วทำไมวันนี้หนูกลับบ้าน’ ผมถาม
‘หนูมาทุกวัน หนูคิดถึง แต่มาก็ไม่เคยเจอใคร เลยนั่งเล่นรอพ่อ กับพี่กล้า’
          เพียงประโยคนั้นน้ำตาของผมก็ไหลหยดลงที่พื้นด้วยความสงสาร เวลาของพวกเราเดินไม่เท่ากัน ฝั่งนี้เวลามันหมุนไปแล้วเนิ่นนาน หากแต่หนูน้อยคงรู้สึกเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน เธอคงรู้สึกเหมือนเวลาที่พ่อกับพี่ชายออกไปจ่ายตลอดเท่านั้น
          แม้สัมผัสไม่ได้ผมก็อยากลูบหัวเธอสักครั้งให้เธอคลายกังวล แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ เธอไม่ได้มีกายเนื้ออีก เพราะเหตุนี้ผมจึงเลิกกลัวผีมานานมากแล้ว ผีไม่ได้น่ากลัวไปเสียหมด วิญญาณที่ไร้ทางออก จิตที่ไร้เดียงสาเหล่านี้ น่าสงสารยิ่งกว่าคนเป็นๆที่ขอทานอยู่ตามถนน เพราะเขายังเริ่มใหม่ได้ แต่เธอคนนี้ไม่มีอีกแล้วโอกาสนั้น
          หลายคนคงเคยถามและสงสัยในตัวผมว่าผมทำไปทำไม ทำไมยังเดินบนเส้นทางนี้อยู่ ทำไมถึงมาเขียนให้คนด่า คนที่ไม่เชื่อก็มีเยอะ เพราะอะไร? เพราะแบบนี้นั่นแหละครับ ผมอยากให้หลายๆคนได้รู้บ้างว่า วิญญาณไม่ใช่สิ่งน่ากลัว พวกเขาน่าสงสาร และพวกเขายังอยู่รอบๆตัวเรา
          เด็กน้อยลุกขึ้นอย่างกะทันหันเหมือนได้ยินเสียงเรียก ผมเดินตามเธอไปที่บันไดบ้าน เธอวิ่งลงจากบ้านตรงไปยังชายป่าที่พวกผมเพิ่งออกมาเมื่อตอนค่ำ ที่ตรงนั้นมีหญิงสาวคนเดิมยืนอยู่ เด็กน้อยวิ่งตรงเข้าไปหาเธอ แล้วทั้งสองคนก็หันหลังกลับเข้าไปในความมืด
‘ตื่นโว้ย! ตื่นๆๆๆๆ’
           เสียงมีนดังขึ้นช้างๆหู พร้อมกับแรงเขย่าตัวผมที่นั่งหลับพิงกำแพงอยู่ ตกลงว่าผมหลับไป? สิ่งที่เกิดขึ้นมันเหมือนจริงมากเกินไป แต่ก็คงเป็นความฝันตื่นหนึ่ง
          ยังไม่ทันจะได้พูดคุยอะไรมากผมก็ได้ยินเสียงของคนหลายคนมาโวยวายอยู่ใกล้ๆบ้าน มีนบอกว่ามีคนหายไป หายไปจากบ้านเฉยๆ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น
          เมื่อออกมาข้างนอกเราก็ได้เห็นคนร่วมสิบคนคุยกับลุงหวังอยู่ เรื่องราวสั้นๆคือทุกคนผลัดกันตื่นนอนเพื่อเฝ้ากันเองไม่ให้ใครหายไปเพราะลุงหวังจะเปิดป่า ทุกคนก็กลัวว่าจะมีใครมาขโมยคนไปอีก
‘ต้องเป็นเสือสมิงแน่ๆ มันมาเอาคนไป’ คนหนึ่งพูดขึ้นมา
‘อย่าพูดสิโว้ย เดี๋ยวมันก็มาหรอก’
          อีกครั้งที่ผมได้ยินคำนี้ และมันก็คงจะจริงอย่างนั้น การเรียกหาไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ ตอนนี้มีคนคนหนึ่งหายไปจากบ้านวนหาแล้วก็ไม่เจอ ทุกคนจึงลงความเห็นว่าคงจะเข้าไปในนั้นเป็นแน่
          ฟ้ายังไม่สว่างผมหยิบโทรศัพท์มาดูนาฬิกาพบว่ามันยังแค่ตี 3 เท่านั้น แต่คงจะไม่เหลือเวลาว่างให้นอนต่ออีกแล้ว
          ลุงหวังเข้าไปเตรียมข้าวของหลายอย่างพร้อมกับพี่กล้า พวกเราต้องเข้าไปในนั้นจริงๆ เพราะญาติของคนที่หายไปบอกว่ามันเพิ่งจะไม่ถึงชั่วโมงนี้เองที่เห็นกันอยู่ ก่อนจะเผลอหลับไป
          คนที่ได้เข้าไปในป่ามี ผม พี่กล้า ลุงหวัง แล้วก็ผู้ใหญ่ที่เข้าป่าบ่อยๆอีกสองคน ส่วนมีนกับพ่อไม่ได้เข้าไปด้วยเพราะลุงหวังห้ามไว้ กลัวรับผิดชอบไม่ไหวนั่นเอง
          อย่างหนึ่งที่ผมคิดมาตลอดทาง ลุงหวังไม่เคยห่วงผมเลย ห้ามคนนั้นคนนี้แต่ลากผมเข้าไปทุกงานทุกจังหวะที่อันตราย ไม่รู้ว่าแกคิดอะไรอยู่ ดีที่มีพี่กล้าคอยตามประกบติดไม่อย่างนั้นผมก็คงจะหลงป่าไม่ก็สะดุดไม้สะดุดหินตายไปแล้ว

ลุงหวังเดินนำด้วยความเร็วที่มากกว่าตอนเย็น สีหน้าของแกดูรีบร้อนและเต็มไปด้วยอารมณ์ ความประทับใจที่เคยมีในคนคนนี้เริ่มหายไปจากใจผมทีละนิดแต่มันก็ถูกชะลอไว้ด้วยความเข้าใจว่า เขาสูญเสียมามาก และผมก็ยังมีคำถามอยู่ในใจมากมาย ว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้กับคนในหมู่บ้าน
          เราแยกกันออกไปหาโดยจะใช้วิธีส่งเสียงเรียกและแสงไว้ในการบอกทาง ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตามพี่กล้าไปติดๆ ในป่านั้นมืดมากมืดจนเกือบจะไม่เห็นรอบข้างถ้าไม่มีแสงไฟ
          ตลอดทางที่เดินไปมีเสียงสัตว์นานาชนิดรายล้อมเราเหมือนกับวันนี้ไม่มีสัตว์ตัวใดหลับลงอีกแล้ว พี่กล้าบอกว่า วันนี้แปลก ป่าไม่หลับ ชักจะน่ากลัวแล้วสิ
          ผมได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังแว่วอยู่ไม่ไกลตัวผม เสียงนั้นเป็นเสียงที่ผมเคยได้ยินมาแล้วเสียงหายใจหนักๆ เป็นจังหวะพร้อมกับเสียงใบไม้กรอบแกรบทั่วบริเวณ
          และพอผมเผลอสติไปกับเสียงรอบข้าง ผมก็คลาดสายตากับพี่กล้าไปแล้ว ตอนนี้เหลือผมเพียงคนเดียวในความมืดและเธอคนนั้นที่ผมรู้ดีว่าเธอตามผมมาตลอด
          ผมตัดสินใจนั่งลงกับพื้นไม่เดินไปไหน เพื่อรอให้เธอออกมาคุย ตามที่เธอต้องการ
          ไม่นานเธอก็ค่อยๆปรากฏตัวออกมาจากความมืด เธอยังอยู่ในสภาพเดิม ใบหน้าไม่น่ามอง เนื้อตัวมอมแมม หยาบแห้ง ส่งกลิ่นสาบรุนแรง เธอไม่ใช่วิญญาณมนุษย์ แต่เหมือนพยายามจะแสดงให้เราเห็นว่าเป็นมนุษย์ เท่านั้น
          เธอเอาแต่จ้องหน้าผม ไม่พูดอะไร ดวงตานั้นมีแววดุร้ายไม่ใช่สายตาของมนุษย์อีก เธอถอยห่างออกไป ห่างจนผมคิดว่าเธอจะจากไปแล้ว แต่เปล่าเธอหยุดอยู่ตรงนั้น
‘กลับไป อย่ามายุ่ง’ เสียงของเธอก้องไปมาทั่วทั้งป่า แต่นั่นไม่ใช่การตะคอกแต่เป็นการ บอก
          ผมส่ายหัวผมทำอย่างนั้นไม่ได้ ผมเข้ามายุ่งแล้วและเรื่องนี้ก็มีบางอย่างไม่ถูกต้อง ผมคงจะปล่อยมันไว้เฉยๆไม่ได้ ไม่ทันที่ผมจะได้สนทนากับเธอต่อ เธอก็หันไปทางหนึ่งแล้วออกวิ่งในทันที ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นเธอ คือ เธอไม่ได้อยู่ในรูปมนุษย์อีก สีเหลืองเข้มดูสกปรกสลับกับลายพาดสีดำทำให้ผมขนลุก ขาแข็งก้าวไม่ออก
          เสียงคำรามโฮกนั้นไม่ได้ทรงพลังแต่แหบพร่าเหมือนคนกำลังจะสิ้นลม สภาพของเธอน่าเกลียดไม่ต่างจากภาพมนุษย์ที่เธอพยายามแสดงออก
‘ทางนี้ๆ’
          เสียงใสๆดังขึ้นข้างหลังผมพร้อมกับภาพของ ส้ม ตอนนี้เธออยู่กับผม ยิ้มแย้มให้อย่างน่ารัก เธอหันไปตามทางที่วิญญาณเมื่อสักครู่เพิ่งจากไป
‘พวกเราผิด’
          หนูน้อยพูดคำสั้นๆด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยก่อนจะกลับมายิ้มอีกครั้ง ‘ไปหาพี่กล้ากัน’
          เธอนำทางผมไปในความมืด ตัวตนของเธอสว่างเรืองจากพื้นหลังแต่ไม่ใช่การส่องแสงหรือเรืองแสงอย่างในหนัง เธอไม่ได้พูดอะไรได้แต่เดินเงียบๆพร้อมรอยยิ้ม
          ไม่นานเราก็ได้เจอกับพี่กล้าที่กำลังตามหาผมอยู่เช่นกัน พี่เขารีบเข้ามาขอโทษผมยกใหญ่ที่ปล่อยให้หลงแต่ผมก็ไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร ผมเองก็ผิด
          ส้มตอนนี้เธออยู่บนหลังของพี่กล้าในท่าทางเหมือนกำลังขี่โก่งแบบที่เด็กๆชอบทำกัน เธออยู่อย่างนั้นบนแผ่นหลังของพี่ชายที่คุ้นเคย แม้ว่าพี่ชายผู้แสนดีคนนั้นจะไม่ได้รับรู้เลยก็ตาม
          เราเดินไปตามเสียงเรียกที่ดังมาจากที่ไกลๆพร้อมกับแสงไฟฉายที่ส่องแวบวาบอยู่ในอากาศเป็นการบอกทาง เรามาถึงที่ซอกถ้ำที่หนึ่ง ตรงนั้นเป็นด้านนอกที่มีหินยื่นออกมาปกคลุม ทางลาดลงไปเล็กน้อย
          ที่ตรงนั้นมืดมากแต่เราสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวที่ในความมืด ไฟฉายทุกอันสาดไปที่ทางลาดนั้น ภาพที่เห็นทำให้ผมต้องรีบวิ่งไปอ้วกในทันที ผมนั้นน่าคลื่นไส้จนเกินจะทนไหว
          ชายหนุ่มอายุน่าจะราวๆสามสิบซึ่งเป็นญาติของคนที่มาที่บ้าน คนคนนี้คือคนที่หายไป เนื้อตัวของเขาเปรอะเปื้อนดินโคลนแต่ไม่มีบาดแผลนอกจากมือและเท้าที่เปิดเปิงเป็นแผลเลือดไหลเล็บหลุดออกมาเหมือนกับใช้สองมือต่างเท้าเดินทางไปมานานพอสมควร
          ที่ผมรับไม่ได้ที่สุดคือ ปากของเขาเต็มไปด้วยเลือดเปรอะไปทั้งตัว พร้อมกับซากงูในปากที่ห้อยลงมาน่าขนลุก เขากินมันเข้าไป กินสดๆทั้งอย่างนั้น ดวงตาของเขาไร้แววเหมือนคนไม่ได้สติ
          ผมยืนขาแข็งอยู่บนนั้นปล่อยให้คนอื่นๆลงไปรวบตัวเขาขึ้นมาบนพื้นราบในระดับเดียวกับพวกเรา
          คนที่ตามมาด้วยใช้เชือกมัดเขาไว้และจับกดไว้ด้วยน้ำหนัก ชายที่ถูกมัดยังไม่ได้สตินอกจากส่งเสียงขู่ในลำคอเหมือนกับสัตว์
          คนหนึ่งที่เป็นญาติเข้ามาใกล้จับใบหน้าพยายามเรียกชื่อคนตรงหน้าแต่ก็กลายเป็นว่า ชายคนนั้นอ้าปากกัดลงบนฝ่ามือของญาติตัวเองสุดแรงจนจมเขี้ยวเลือดไหลออกมาปริมามาก พร้อมกับสะบัดคอไปมาเหมือนกับพวกสัตว์ไม่มีผิด
          แผลนั้นลึกมาก จนต้องให้กลับลงไปก่อนเพื่อไปโรงพยาบาลทันที ตอนนี้ใบหน้าของลุงหวังเต็มไปด้วยความโกรธแค้นหากร่างตรงหน้าไม่ใช่คนเขาคงจะเตะให้สักทีหนึ่ง
‘มลึงออกมาคุยกับกลู’
          ลุงหวังตะโกนใส่ร่างตรงหน้าพร้อมกับใช้ไม้เรียวยาวๆฟาดลงไปบนหลังของคนที่ถูกมัด ผมตกใจมากพยายามห้ามแต่ก็ไม่เป็นผล ลุงหวังไม่ฟังอะไรอีก กระหน่ำฟาดอยู่อย่างนั้น
          แผ่นหลังของคนตรงหน้าเริ่มแดงจนเป็นแผลถลอก โดยท่าทีของคนที่ถูกมัดดูไม่ได้เจ็บปวดอะไร แค่มองนิ่งๆและส่งเสียงขู่ในลำคอ
          ลุงหวังบริกรรมคาถาซ้ำอีกพร้อมหวดไม้ในมือด้วยแรงเท่าที่มี แต่กลายเป็นว่าคนตรงหน้าหลุดออกจากเชือกและคนที่จับกดอยู่ได้อย่างไรไม่ทราบ ชายคนนั้นกระโจนเข้าหาลุงหวังจนล้มกลิ้งไปตามพื้น มือของชายคนนั้นเกร็งแข็งข่วนลงบนใบหน้าจนลุงหวังร้องเสียงหลง
          เรารีบวิ่งตามไปช่วย สิ่งที่เห็นคือคนทั้งสองออกแรงสู้กันพันละวัน พี่กล้าเข้าไปล็อกตัวคนคร่อมออกมาให้ห่าง ลุงหวังลุกขึ้นยืมพร้อมกับเอามือกำใบหน้าและต้นคอด้านข้างใกล้ช่วงไหล่ ใบหน้าถูกขวดด้วยเล็บจนเป็นแผลเลือดไหล ตรงต้นคอถูกฟันกัดจนเป็นแผลเช่นกัน
          ลุงหวังใช้สมุนไพรป่าโปะไว้เพื่อห้ามเลือดตามที่ได้เตรียมมา คนตรงหน้ายังอาละวาดอยู่ด้วยเสียงขู่โฮกฮากไม่มีความเป็นมนุษย์ ลุงหวังล้วงมือลงไปในย่ามควักเอามีดหมอและกระดูกชิ้นนั้นออกมา
          เขากรีดมีดลงไปบนท่อนกระดูกพร้อมกับเสียงโอดครวญของคนตรงหน้า ผมเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันต่างไป มันไม่เหลือความเป็นมนุษย์แล้วจากทั้งสองฝั่ง ผมพยายามส่งเสียงห้ามแต่ก็เปล่าประโยชน์
          มีดอาคมดูจะไม่ได้มีประโยชน์สักเท่าใดนัก ลุงหวังจึงเปลี่ยนวิธีหยิบเอาเทียนขึ้นมาจุด ทันทีที่เห็นไฟร่างตรงหน้าก็ออกแรงดิ้นอย่างสุดชีวิตด้วยความกลัว ลุงหวังใช้เปลวไฟนั้นรนกระดูกโดยตรงจนมันเริ่มส่งกลิ่น
‘หยุด ลุง หยุด’ ผมตะโกนจนเสียงแหบ
‘หุบปากไป ฉันเอาแกมาช่วยก็เพราะอย่างนี้ ถ้าแกไม่มา มันคงไม่ออกมาให้จับได้แบบนี้หรอก’ ลุงหวังตะคอกสวน
          พวกเราเถียงกันอีกพักโดยไฟในมือไม่ได้ถูกลดลง ร่างหรือวิญญาณตรงหน้าเริ่มอ่อนแรงจากการดิ้นทุรนทุราย แต่ผมยังสัมผัสได้ถึงความแค้นที่คับคั่ง
‘พ่อน่ากลัว’
          เสียงใสๆดังขึ้นท่ามกลางความรุนแรง ผมคิดว่าผมคงเป็นคนเดียวที่ได้ยิน แต่เปล่า ทุกคนได้ยิน
‘ส้ม นั่นเสียงส้มใช่ไหมลูก’ ลุงหวังตะโกนก้องอย่างดีใจ
‘พ่อมาช่วยแล้วลูก กลับบ้านกัน’
‘หนูไม่กลับ พ่อน่ากลัว’ เสียงใสๆยังดังอยู่ พร้อมกับภาพเธอที่อยู่บนหลังของพี่กล้า
‘ส้ม พี่คิดถึง กลับไปอยู่บ้านเรา’ พี่กล้าช่วยอีกแรง

เสียงนั้นทำให้ทุกคนเลิกสนใจคนตรงหน้าจนเผลอผ่อนแรงลง ทำให้คนเขาดิ้นจนหลุดและวิ่งหนีหายไปในความมืดได้อีกครั้ง ญาติคนหนึ่งที่อยู่ช่วยจับไม่พอใจอย่างมากจนโวยวายเอาเรื่อง แต่ก็ไม่มีใครได้สนใจเลยสักนิด เพราะตอนนี้ส้มอยู่กับเรา
          เสียงของส้มยังคุยกับพวกเราอยู่ เธอบอกให้พวกเราไปคุย กับวิญญาณดวงนั้น เสือตัวนั้น ใช่ นั่นคือเสือจริงๆ เธอบอกไว้แค่นี้แล้วก็จากไป ไม่มีการตอบรับใดๆอีก
          ลุงหวังหันมาหาผมขอให้ผมช่วยอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมไม่ยอมแล้ว ผมยื่นเงื่อนไขไปว่าถ้าอยากให้ผมช่วยจะต้องทำตามในแบบของผมเท่านั้น ถ้าลุงหวังไม่ทำ ผมก็จะไม่ทำเช่นกัน
‘แกจะปล่อยให้คนนั้นตายรึไง ไอ้เด็กนี่’ ลุงหวังตะคอก
‘ใช่’ ผมตอบเสียงแข็ง ทั้งที่ไม่ได้คิดอย่างนั้น
          ญาติของคนที่หายไปช่วยพูดอีกแรง ลุงหวังจึงยอมสงบลงได้บ้าง พร้อมกับความคิดถึงลูกสาวนั้นกระมังที่ช่วยชโลมใจที่ร้อนเป็นฟืนไฟอย่างนั้นลงได้
          ผมนั่งลงกับพื้นนิ่งๆทุกคนถามว่าเราจะไปตามหาที่ไหน ผมบอกว่าไม่ เราจะให้เขามาหา ผมนั่งหลับตาพยายามพาตัวเองเข้าสู่สมาธิให้เร็วที่สุด เงียบที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้
          ป่าในคืนนี้ช่างโวยวาย เสียงของความสับสน เสียงสัตว์น้อยใหญ่ร้อนใจกันไปหมด เสียงโหยหวนของวิญญาณหลายดวงน่าขนลุก กลิ่นสาบสัตว์คละคลุ้งไปทั่วบริเวณผสมกับกลิ่นเน่าชวนอ้วก
‘เธอจะคุยกับเขาใช่ไหม’ เสียงอันไพเราะยิ่งดังลอยมาในอากาศ
‘ใช่ครับ ผมจะคุย’
‘รอสักครู่’
          เสียงใสกังวานนั้นตอบรับคำขอของผม เธอผู้เคยมาร้องเพลงอยู่ที่ท่าน้ำ เธอมาช่วยผมในเวลานั้น
          เพียงครู่เดียวเขาก็มา ร่างของชายคนนั้นเดินมาหยุดยืนอยู่ไกลๆ ไม่เข้ามาใกล้ ลุงหวังที่ต้องพยายามกดอารมณ์เอาไว้ก็เหมือนใกล้จะถึงขีดจำกัดเต็มที
‘มันเกิดอะไรขึ้น เล่าให้ฟังที’
          ชายตรงหน้าค่อยๆพูดทีละคำเหมือนไม่คุ้นชินกับการใช้ภาษา แต่ผมจะสรุปให้ฟังก็แล้วกัน
          เธอในร่างของเขา เธอคือ เสือสมิง อย่างที่ทุกคนเชื่อ แต่เธอไม่ใช่เสือหนึ่งตัว เธอคือตัวแทนของความนึกคิดจากสรรพสัตว์หลายๆตัวที่ถูกคร่าชีวิตไปด้วยน้ำมือของคนในหมู่บ้านนี้เมื่อนาน นานมากแล้ว
          ครั้งหนึ่งคนในหมู่บ้านเคยเข้ามาหาของป่า เบียดเบียนชีวิตในป่า จนบางครั้งกรรมก็ตามทัน พวกเขาต้องแลกกับสิ่งที่เขาเอาไป มันมาจากกรรมของเขา ไม่มีใครทำให้เขาตายทั้งสิ้น
          แต่แล้วคนในหมู่บ้านก็คิดว่าคงเป็นผีสางที่มาทำร้าย จึงทำการเผาป่าทั้งหมดในส่วนที่เป็นที่หากิน ไม่ใช่เขาทั้งลูก พวกเขาเผาทุกอย่างและทำพิธีสวดส่ง นอกจากนั้นยังทำสะกดเอาไว้อีกด้วย
          ผมได้ฟังอย่างนั้นจึงค่อยเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้เกิดเสือสมิงตนนี้ขึ้นมา ความแค้นที่มากพอให้สร้างรูปของจิตได้นั้น คงต้องฟังต่อไป
          ในวันที่ไฟโหมทั่วทั้งป่า สัตว์น้อยใหญ่พากันตายไปทีละตัวๆ เธอคือเสือที่มีลูกมีครอบครัวไม่ต่างจากมนุษย์ เธอทำได้แค่เฝ้าดูลูกๆที่น่ารักของเธอถูกไฟคลอกตายอย่างทรมาน เสียงร้องของลูกๆเธอในวันนั้นดังเข้ามาในหัวผมจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอไม่ได้ตายในทันทีเธอแค่โดนไฟไหม้บางส่วนแต่ก็เป็นแผลฉกรรจ์ สุดท้ายเธอก็ตาย แต่ก่อนจะตายนั้นเธอเต็มไปด้วยความโกรธ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
          วิญญาณสัตว์หลายๆดวงเริ่มหล่อหลอมกลายเป็นตัวตนที่เรียกว่า สมิง นี้เพื่อมาทวงสิ่งที่พวกเขาถูกกระทำ คนในหมู่บ้านก็เหมือนลูกหลายที่พวกเขาเสียไป เขามาทวงถาม เพื่อบอกกล่าว และสั่งสอน ว่าเราทำสิ่งใดลงไปกับพวกเขา
          มันอาจไม่ใช่ทุกครั้งที่จะเกิดเรื่องอย่างนี้ แต่ที่นี่คงมีอะไรบางอย่างทำให้มันเกิดขึ้น
          เมื่อรู้สาเหตุ เราก็ต้องมาดูที่ผล ฝ่ายคนก็ไม่ยอมเพราะเสียญาติแม้จะไม่ได้สนเหตุเลยก็ตาม เรื่องที่ได้ฟังไม่ต่างจากลมผ่านหู
          ลุงหวังไม่สนใจแค่จะเอาส้มคืน เท่านั้น
          แต่ด้วยข้อต่อรองที่มีต่อกัน ลุงหวังต้องฟังผม ผมขอให้เธอจากไป แล้วออกจากร่างชายคนนี้ก่อน ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้ ผมรับปาก
          เธอทำตามเพื่อเป็นการแสดงมารยาทและความจริงใจ ผมขอให้ลุงหวังหยุด ให้เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น มันจะไม่มีวันจบลงถ้ายังเป็นอย่างนี้ วันหน้าก็จะมีอีกเรื่อยๆ ไม่รู้จบ
          ลุงหวังยังไม่ฟัง แต่เมื่อผมบอกว่าถ้าเป็นอย่างนี้ ส้มจะกลับบ้านไม่ได้ ประโยคเดียวทำให้ลุงหวังเงียบ และยอม
          ผมนั่งเงียบๆขอคุยกับเธออีกครั้ง ผมขอให้เธอหยุดเช่นกัน ขอให้เธอปล่อยดวงวิญญาณทั้งหมดที่เธอพรากมา นอกเหนือจากรรมของเขา แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม
          ธรรมชาติจะไม่ปล่อยพวกเขาไว้เธอก็รู้ กรรมจะสนองเขาในวันหนึ่ง เธอเองอย่าสร้างกรรมต่ออีกเลย กลับไปหาลูกๆเสียจะดีกว่า
          เธอไม่ตอบรับ แต่เธอก็ถอยไป
          เรากลับลงมาที่ด้านล่างพร้อมกับคำโกหกก้อนโตของลุงหวังว่า ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เสือสมิงได้ตายไปแล้ว เจ้าป่าเจ้าเขาช่วยสะกดให้แลกกับการที่ ห้ามขึ้นไปล่าสัตว์อีก
          คืนนั้น ส้มกลับมาที่บ้าน เธอไม่ได้มาคุย แต่จานสังกะสีนั้นถูกเอาออกมาเล่นและวางทิ้งไว้บนพื้นบ้านให้ลุงหวังมาเห็นในตอนเช้าของวันถัดมา ลุงหวังกับพี่กล้ากอดชามแน่นด้วยความคิดถึง
          วันรุ่งขึ้นเรากลับในทันที เพราะผมไม่อยากอยู่ต่ออีกแล้ว ลุงหวังเดินมาขอโทษ และบอกว่าเข้าใจแล้วถึงสิ่งที่มันควรจะเป็นที่ผ่านมาก็แค่ปล่อยให้ความแค้นครอบงำตัวเองเท่านั้น
          ที่ตรงนั้นป่าผืนนั้นทุกวันนี้ เธอ ก็ยังอยู่ ยังไม่ไปเกิด และคงจะอีกนานแสนนานกว่าเธอจะไป เธอคงอยู่เพื่อเฝ้าดูคำสัญญาที่มนุษย์ให้ไว้ วันใดที่มนุษย์กลับคำ เธอคงจะออกมาอาละวาดอีกครั้ง
          แต่ถึงมนุษย์จะไม่ทำอย่างนั้น ผลกรรมที่เคยก่อนจะวนมาหาตัวพวกเขาเองสักวันหนึ่ง
          ผมกลับบ้านด้วยใจที่ขุ่นมัว ไม่มีอะไรคลี่คลาย ไม่มีการแก้ไข ไม่มีอะไรทั้งสิ้น นอกจากการรอดูความเป็นไปที่นอกเหนือความสามารถของผม
          ประโยคสุดท้ายที่ลุงหวังพูดกับทุกคนในหมู่บ้านตามคำแนะนำของผมคือ ‘อย่าพูดถึงมัน มันจะมา สะกดไม่ได้แข็งขนาดนั้น’
          จริงๆแล้วผมก็แค่อยากให้ทุกคนลืม ลืมเสือตนนี้ เลิกแช่ง เลิกใส่ความเขาเสียที หยุดสร้างกรรมต่อกัน ก็แค่นั้น
..............................................................................................................................................................................

หลังจากเรื่องราวนั้นจบลงได้สักพักหนึ่งผมก็ยังคงไม่เข้าใจและไม่ได้คำตอบถึงความเกี่ยวข้องของตัวผมกับเรื่องในครั้งนี้ ผมเฝ้าคิดและหาคำตอบอยู่นาน นานจนลืมมันลงได้ในวันหนึ่ง
          และในคืนหนึ่งที่ผมลืมทุกอย่างไปแล้ว ไม่เฝ้าหาคำตอบใดๆอีกต่อไป ก็เป็นคำตอบเองที่วนกลับมาหาผม
          คืนนั้นเป็นช่วงสุดท้ายในชีวิตมหาวิทยาลัย ผมออกมานั่งเล่นคนเดียวที่ริมสระน้ำข้างลานสมเด็จเหมือนอย่างในหลายๆคืนที่ผมรู้สึกสับสน ปกติผมจะมานั่งด้วยความรู้สึกไม่สบายใจและไม่สงบ แต่คืนนั้นต่างออกไป
          ผมแค่กลับมานั่งตรงนี้ เพื่อซึมซับความทรงจำกับสถานที่แห่งนี้ เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตผมเองจะพัดพาไปอย่างไร ผมจะได้กลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่
          เวลาล่วงไปเกือบตี 2 เห็นจะได้ คืนนั้นเงียบ เงียบสงัด แม้หมาสักตัวยังไม่ส่งเสียงเห่าหอนทะเลาะกันเหมือนอย่างทุกที ลมสงบแต่อากาศก็เย็นจัด
          ความเงียบนี้ผมคุ้นเคยดี มันเป็นสัญญาณบอกว่ามีใครบางคนกำลังมา ใครที่เกินการจะคาดเดาของคนตัวเล็กๆอย่างผม
          ท่ามกลางความเงียบก็ปรากฏเสียงหนึ่งขึ้นมาอย่างช้าๆ เสียงนั้นนุ่ม เย็น ฟังแล้วสบายใจ เสียงผิวน้ำสั่นไหวเป็นระลอก น่าฟัง
          เสียงผิวน้ำก็เกิดเป็นคลื่นๆเล็กๆอยู่อีกพักหนึ่งก็ยังไม่มีใครปรากฏกายออกมาให้ได้เห็น จนผมแอบถามอยู่ในใจว่า ‘ทำไม’
‘เรียกเธอมา เธอต้องเรียก เธอมาเองไม่ได้’
          ผมหันขวับกลับไปที่ลานพระบรมรูป สุระเสียงของท่านกังวานเพียงครู่ก็ดับไปคลายควันธูปที่ลอยหายไปตามลม
‘มาเถอะ มาคุยกัน’
           เสียงคลื่นน้ำสงบลงเปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆของไม้แห้งที่คุ้ยเคย กลิ่นนั้นจางอยู่ในอากาศแต่ก็ชัดเจน ข้างกายผมปรากฏเป็นภาพหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง เราเคยภพกันมาแล้ว
‘เธอที่ท่าน้ำ’
          เธอหันมายิ้มให้ แม้ดวงหน้าจะเปลี่ยนไปบ้างแต่เธอก็ยังเป็นเธอผมจำได้ ครั้งนี้เธออยู่ในรูปกายสวยงามพร้อมเครื่องแต่งกายที่ไม่น่าจะใช่ของชาวบ้านทั่วๆไป
          ครั้งหนึ่งเธอต้องเคยมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปแล้วแสนนาน ผมไม่ได้มีความรู้มากพอจะบอกได้ว่าเสื้อผ้าเธอเรียกว่าอะไร คงบอกได้แค่ว่าน่าจะเป็นชุดของชาววังระดับหนึ่ง
          หลังจากทักทายผมเธอหันไปมองรอบข้างอย่างเงียบๆ แม้เธอไม่ใช่มนุษย์แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกปนปีติ ความรู้สึกนั้นยากจะอธิบาย ใบหน้าเธอปรากฏก็หยดน้ำตาไหลลงที่ข้างแก้มแล้วหายไป นั่นคงไม่ใช่น้ำจริงๆ แต่คงเป็นความเคยชินที่เธอแสดงให้เราเห็นเท่านั้น         
‘ที่นี่ อยู่สุขสบายดีกันแล้วใช่ไหม’
          เพียงประโยคเดียวผมก็เข้าใจถึงมวลความรู้สึกที่สัมผัสได้ก่อนหน้านี้
‘นานแสนนาน นานเหลือเกินที่ฉันไม่ได้กลับบ้าน ได้แต่ติดอยู่ที่นั่น’
‘นานเหลือเกินที่ไม่ได้มากราบท่านอย่างนี้’
          เธอหันหลังกลับด้วยมารยาทของชนชั้นสูง เธอนั่งในท่าพับเพียบก้มลงกรามหันหน้าไปทางพระบรมรูป ครั้งหนึ่งเธอคงไม่ใช่แค่บริวาร แต่คงเป็นผู้พลัดถิ่นไปตามไฟสงครามในยามนั้น
          ผมไม่ได้พูดอะไรปล่อยให้เธอซึมซับความคิดถึงให้เต็มที่ เมื่อเธอพร้อมเธอจะพูดเอง
          เธอบอกผมว่า ที่แห่งนั้นผมมีความเกี่ยวข้อง ครั้งหนึ่ง ‘พวกเรา’ เคยเดินทางไปเหยียบ ผมได้กลับแต่เธอไม่ ด้วยความแค้นความผิดหวังและอะไรหลายๆอย่างทำให้เธอติดอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้
          เรื่องราวดำเนินผันผ่านไปเรื่อยๆ เธอได้แต่เฝ้ามอง คนในหมู่บ้านสร้างกรรมวนเวียนอย่างน่าเวทนา แต่เธอจะทำอะไรได้ในเมื่อเธอก็เป็นเพียงวิญญาณที่ต้องชดใช้กรรมดวงหนึ่ง แม้สำนึกในบุญคุณก็ไร้ความสามารถ
          เธอให้ผมเห็นแม้เพียงครู่ ภาพของกองทัพผสมรวมกันทั้งคนเดินเท้า ม้า ช้า และวัว ในนั้นไม่ได้มีแต่ทหาร แต่มีชาวบ้านชาววังรวมอยู่ด้วย
          เพียงเท่านั้นก็เช้าใจได้ หลังจากนั้นผมลงไปไล่หาความรู้อ่านเพิ่มเติมก็จริงดังนั้น แม้ไม่ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนเพราะไม่ได้มีเหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ แต่ที่ตรงนั้นคงจะเป็นทางเดินทัพครั้งหนึ่งของ ท่าน
‘แล้วผมเกี่ยวอะไรกับชาวบ้าน’
‘เธอไม่ได้เกี่ยวกับชาวบ้าน แต่เธอรับใช้ท่าน’ เธอหันไปมองพระบรมรูปอีกครั้ง
‘ผู้ที่อยู่ในกงกรรมไม่อาจตาสว่างและหลุดพ้นจากมันได้ บางครั้งก็ต้องอาศัยคนนอกเข้ามาช่วย’
          เธอเล่าต่ออีกหน่อยว่าในเวลานั้นอาหารมีน้อยนิด แต่ชาวบ้านของชุมชนนั้นในเวลานั้น ได้แบ่งปันอาหารให้บางส่วนเพื่อยังชีพพวกเรา
          แม้เวลาผ่านไปนาน ลูกหลายผลัดเปลี่ยนเวียนรุ่นไป แต่เชื่อเถอะผู้ที่ถูกส่งมาเกิดในที่ใดที่หนึ่งมักจะมีความเกี่ยวข้องกับที่นั้นๆ และวนเวียนมาแล้วหลายครั้งหลายคราว
‘ฉันต้องไปแล้ว หมดเวลาแล้ว’
          เธอหันไปกราบลาท่านอีกครั้ง ก่อนจะใช้มือลูบไล้ไปตามผืนดินที่เธอแสนคิดถึง แต่ไม่มีวันได้กลับมาเหยียบ
‘ฉันขอลาเท่านี้ ขอบคุณที่ทำให้ฉันได้กลับบ้าน’
          ผมปาดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้ อีกครั้งที่รู้สึกว่าเราช่าง ไร้ความสามารถ ไม่อาจช่วยให้เธอนั้นพบความสุขได้ ต้องปล่อยให้เธอจมและวนเวียน ต่อไปอีกนาน
          ผมหันไปหาท่าน กราบท่านอีกครั้งด้วยใจที่ยังไม่สงบ แม้จะเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องเป็น ผม แต่ในใจก็ยังมีคำถามว่าทำไมถึงเป็นท่านที่ส่งผมไป
‘แม้อาหารเพียงมื้อ ข้าวสารเพียงหยิบมือ เราจะไม่ลืมบุญคุณ’ สุระเสียงนั้นหนักแน่นแต่เปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า
ลายชาย.

......................................................................................................................
มาคิดดูอีกครั้ง ความบังเอิญคงไม่มีในโลก เพราะถ้าผมไม่ได้รู้จักมีนก็คงไม่ได้ไปที่นั่น และมาทบทวนดูอีกครั้งก็ได้พบว่า เรื่องราวในหลายๆครั้งมาจากเพื่อนทั้งนั้น นั่นคงหมายถึงเพื่อนๆที่อยู่รอบตัวของผม ก็คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญเช่นกัน