อาถรรพ์ 'ดาบเพชฌฆาต'


     เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องจากนักเล่าผู้มีพรสวรรค์มากเขาคือ ลอยชาย หรือ LoyChinE นักเล่าสมาชิกพันทิป กลับมาครั้งนี้กับเรื่องสุดลี้ลับ ที่มาจากกระทู้พันทิปที่มีชื่อว่า อาถรรพ์ 'ดาบเพชฌฆาต' ลองไปติดตามกันเลยครับ

     เรื่องที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้าง ‘เชื่อได้ยาก’ หากไม่ได้ประสบพบเจอกับเหตุการณ์นั้นๆด้วยตัวเอง หลายต่อหลายครั้งที่เรามักถามตัวเองว่า มันจริงหรือ ใช่หรือ เราบ้าไปเองหรือเปล่า
           บางครั้งเรื่องที่มันดูบังเอิญจนน่าประหลาดใจก็กลายเป็นว่ามันลงตัวเสียจนอยากจะพูดว่า ใครจัดฉาก
          เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินกันจนชินหู เรื่องของการ ‘สร้างบ้านทับที่’ เรื่องเล่าแนวๆนี้มีอยู่เยอะมากหากจะลองหาอ่านหรือหาฟังดูตามอินเตอร์เน็ต
          บางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่อง ยอดฮิต แต่งได้ง่ายหรือใครๆก็เจอ แต่ถ้าเรามองอีกมุมหนึ่งนั่นอาจจะหมายความว่า พื้นดินแทบทุกที่มันมีเรื่องราวของมัน เพราะ ‘ทุกที่มีคนตาย’
          วันหนึ่งผมได้มีโอกาสรู้จักกับกลุ่มเพื่อนกลุ่มหนึ่งโดยบังเอิญจากการไปเที่ยวตามๆกันไปนั่นแหละครับ เราเจอกันในสถานที่ท่องเที่ยวนั้นที่พักก็ใกล้ๆกัน เลยทำให้ได้พูดคุยกันบ้างตามมารยาท
          ในตอนกลางคืนเรามีปาร์ตี้เล็กๆเหมือนที่ใครๆก็ทำกันเช่นเดียวกับบ้านพักหลังข้างๆ
          ที่ที่เราไปนั้นเราพักในบ้านพักที่ถูกสร้างให้อยู่ติดๆกันเป็นโซนๆ จากสายตาที่มองผ่านๆก็ค่อนข้างแน่ใจว่า เพื่อนบ้าน น่าจะมีอายุมากกว่าพวกผมพอสมควร คงจะราวๆ30ต้นๆเห็นจะได้
          หลังจากปาร์ตี้กันไปได้พักใหญ่เครื่องดื่มที่มีก็เริ่มจะไม่เพียงพอสำหรับการอยู่รอชมพระอาทิตย์ขึ้น ผมที่กำลังจะออกไปหาอะไรมาทำกับข้าวกินพอดีจึงอาสาออกไปหาซื้อพร้อมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่จะหลบออกมาโทรศัพท์พอดี
          ด้วยความที่บ้านพักติดกันมากเราจึงจำเป็นต้องเดินผ่านวงสังสรรค์ของพี่บ้านข้างๆครู่หนึ่ง พวกเรายิ้มทักทายให้ตามมารยาทเพราะพวกพี่ๆเขาดูใจดีมากๆ
‘น้องจะไปไหนครับ ไปข้างนอกหรือ’ พี่คนหนึ่งในกลุ่มตะโกนมาถาม ตอนนั้นไม่รู้ว่าแค่แซวเล่นหรือเห็นเราเป็นเด็กๆกัน
‘ไปซื้อของมาเพิ่มหน่อยครับ เดี๋ยวร้านมันจะปิดเสียก่อน’ ผมเป็นคนตอบกลับไปเพราะเพื่อนคุยโทรศัพท์อยู่
‘น้องไปยังไง พี่ไปด้วยสิ เดี๋ยวเอารถพี่ไปๆ’
          ในตอนนั้นผมลังเลมากเพราะเราไม่ได้รู้จักกันมาก่อนแต่เขาก็ทักทายอย่างอัธยาศัยดีดูไม่น่ากลัว บวกกับเราปฏิเสธเขาไม่ทัน เผลอแปปเดียวก็ขับรถมาจอดรอที่ทางเดินข้างหน้าแล้ว
          ผมกับเพื่อนขึ้นไปบนรถครอบครัวคันใหญ่ที่สภาพใหม่เอี่ยมแต่ออกจะรกไปหน่อย พี่เขาชวนคุยไปตลอดทางโดยแนะนำตัวว่าชื่อ ‘พี่ทิว’
‘พี่เห็นพวกน้องแล้วนึกถึงเพื่อนๆสมัยเรียน นี่ก็ทำงานกันหมดแล้วรวมกันยาก’
          คงจริงอย่างเขาว่าเพราะพวกพี่เขามากันแค่ 5 คน จากการพูดคุยก็รู้ว่าพวกพี่เขามักจะนัดมาเที่ยวเจอกันทุกปี แล้วแต่สถานที่ที่อยากไป
          แต่ด้วยอายุและภาระทำให้รวมตัวกันได้น้อยลงทุกครั้ง แต่งงานบ้าง ติดงานบ้าง เหตุผลที่ใครๆก็คงยากจะปฏิเสธ
          เราออกไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อถัดออกไปหลายซอยเพราะร้านค้าในละแวกนั้นปิดหมดแล้ว
          ไม่นานเราก็กลับมาถึงที่บ้านพักผมกับเพื่อนไหว้ขอบคุณพี่เขาหลายครั้งเพราะได้ของมามากกว่าที่คาด แถมพี่เขายังซื้อเบียร์เพิ่มให้ออก บอกว่าอยากให้สนุกกันไว้ วัยเรียนมันผ่านไปไวยิ่งกว่าเงินเดินออก
          ผมที่มักจะมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องอาหารในทุกๆงานจึงอยากจะขอบคุณพี่เขาสักหน่อยแบ่งอาหารที่ทำกินกันอย่างง่ายๆใส่จานยกไปให้พวกพี่ทิวที่ตอนนี้ยังนั่งสนุกกันไม่เลิก
          ผมไปยืนเกาะรั้วเรียกพี่เขาแล้วส่งจานให้ พี่เขารับไปอยากดีใจแต่ดูแล้วคงเริ่มได้ที่ไม่เบา พอผมกลับมากินกับเพื่อนๆต่อได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงเรียก
‘เฮ้ย น้องๆ น้องงงง’
          เสียงเรียกของพี่ผู้ชายอีกคนมาเกาะรั้วตะโกนเรียกด้วยใบหน้าที่มึนได้ที่ และข้างหลังพี่คนนั้นก็มีเพื่อนๆอีก4คนรวมพี่ทิวอยู่ในนั้นด้วย ทุกคนมีข้าวของเต็มมือพร้อมจะ ย้ายถิ่นฐาน
‘พวกพี่ขอร่วมวงด้วยสิ คนน้อยไม่สนุก’
          ท้ายที่สุดพวกเราก็มานั่งกินรวมกันกลายเป็นวงใหญ่ งานดูสนุกมากขึ้นเพราะพวกพี่เขาเป็นเด็กสถาปัตถ์ทั้งหมด มีเรื่องเล่าเยอะแยะ แถมแนวการใช้ชีวิตยังหลุดโลกไม่เบา
          หลังจากเวลาผ่านไปค่อนคืนด้วยความสนุกที่มากเกินไปแผนที่วางไว้ว่าจะดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันจึงล่มไม่เป็นท่า แต่ละคนเมาหลับหมดสภาพไปอย่างเละเทะ
          ผมที่ไม่ได้กินบ่อยนักก็ได้แต่ดื่มพอประมาณด้วยการอ้างว่าจะทำกับข้าว แต่มันก็มากพอที่จะทำให้หนักหัวเหลือเกิน ผมเดินไปนอนลงบนเตียงในห้องพักโดยปล่อยให้คนอื่นๆนั่งหลับนอนหลับคาวงไปทั้งอย่างนั้น
          เพื่อนอีกคนที่นอนอยู่ก่อนนั้นเงยหน้ามามองผมเพราะรู้สึกถึงแรงทิ้งตัวลงบนเตียงจากผม น่าจะเป็นอย่างนั้นผมคิดเอา
‘เออมา ดีๆ นอนกันหลายๆคน อบอุ่นๆ’
          หลายคน? ผมมีสติให้ทบทวนคำพูดของเพื่อนนิดหนึ่งก่อนจะหลับไปด้วยเวลาอันรวดเร็ว สงสัยมันจะเมามากจนตาลาย ผมคิดอย่างนั้น
          ผมหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่คงจะไม่นานมากเพราะฟ้ายังมืดอยู่ ผมสะดุ้งตื่นอย่างตกใจเพราะรู้สึกถึงสัมผัสอันเย็นเยียบที่ไล้ไปตามเท้า
          ผมรีบหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆห้อง แต่ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลจึงทำให้การมองไปมาอย่างรวดเร็วทำให้ปวดหัว แต่หางตาก็ยังเห็นได้ชัดว่า ‘มีใครเพิ่งเดินออกจากห้องไป’
          ในตอนแรกผมไม่คิดจะตามไปเพราะคิดได้ว่าคงเป็นเพื่อน แต่สัมผัสที่รู้สึกได้ตรงเท้ามันแปลก ความเย็นนั้นยังอยู่ ยังรู้สึกได้
          ผมเดินออกมาที่หน้าบ้าน สภาพนั้นยังเหมือนเดิมทุกคนนั่งนอนหมดสภาพ ผมพยายามมองหาเงาของคนที่ผมเพิ่งจะเห็นไป
‘อ้าว ตื่นแล้วหรือ ต่อไหม เหลืออีกเยอะเลย’
          พี่ทิว ส่งเสียงทักจากด้านหลัง ผมสะดุ้งเพราะไม่ทันตั้งตัว ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับพี่เขา ก็เลยได้แต่ตามน้ำไปว่าออกมาเดินเล่น พี่ทิวเลยเปิดเบียร์ให้ขวดหนึ่งนั่งกินกัน
          ผมยังไม่อยากกินเพราะยังคาใจไม่หาย พร้อมๆกับที่พี่ทิวพยายามมองไปรอบๆอย่างลนลานจนผมสังเกตได้
‘มีอะไรรึเปล่าพี่’
‘พี่หาไอ้เอ็กไม่เจอ’
          พี่ทิวพยายามมองหาเพื่อนอีกคนหนึ่งที่หายไปไหนไม่รู้ ผมบอกให้พี่แกไปหาในบ้านฝั่งพวกพี่เขาดูส่วนผมเดินเข้าไปหาในบ้านตามห้องนอนและห้องน้ำ
          ระหว่างที่หาอยู่นั้นหูผมก็แว่วได้ยินเสียงที่เคยคุ้นหู เสียงที่ไม่อยากจะได้ยินอีกในชีวิตนี้ เสียงสูงต่ำแว่วหวานแต่เย็นเยียบลอยมาตามลม เสียงนั้นแผ่วเบาหากไม่เงี่ยหูฟังอาจจะไม่ได้ยิน
          ผมเริ่มกังวลกับเสียงที่ได้ยินบวกกับพี่เอ็กที่ไม่รู้ไปอยู่ไหน ผมวิ่งไปเรียกพี่ทิวให้ออกมาจากบ้าน ทั้งที่ตอนนั้นก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะบอกอะไรกับพี่เขา
          แปลก พอพี่ทิววิ่งออกมาก็หันขวับไปทางหน้าบ้านพักที่มีศาลพระภูมิอยู่ ตรงนั้นเป็นบ้านหลายๆหลังติดกันเหมือนจะให้เป็นบ้านเดียวกันหมดเลยจัดศาลไว้เพียงอันเดียวเท่านั้น
‘ตามพี่มา’
          พี่ทิวออกวิ่งไปโดยไม่รอผมและไม่ได้บอกอะไร ผมตามไปติดๆพร้อมกับจ้องไปยังเงาของผู้ชายคนหนึ่งที่เหมือนจะเดินนำหน้าพวกเราอยู่
          ท่าทางการเดินอันสบายๆนั้นผิดกับพวกเราที่วิ่งสุดกำลังแต่ไม่มีทีท่าว่าจะตามทันแม้แต่น้อย ร่างผอมแห่งไม่ใส่เสื้อมีแค่กางเกงโบราณเก่าๆตัวหนึ่ง หลังที่ค่อมนั้นน่าจะบอกอายุได้ ในมือมีไม้เท้าช่วยพยุงหากแต่ไม่มีส่วนศีรษะให้เรามองว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร
          เราตามมาจนถึงชายทะเลที่ถัดไปจากบ้านพักพอสมควร ผมเริ่มหอบแล้วแต่พี่ทิวยังดูไม่เหนื่อยเลย เงาของชายชราหายไปเหลือแต่ความว่างเปล่ายามค่ำคืนเท่านั้น
          เสียงลมพัดกระทบฝั่งฟังดูน่ากลัวทั้งที่ในตอนกลางวันนมันยังน่าฟังและรู้สึกผ่อนคลาย ผมได้ยินเสียงนั้นอีกครั้งคราวนี้มันชัดกว่ามาก
          ผมบอกให้พี่ทิววิ่งไปตำแหน่งที่ผมได้ยิน แล้วก็จริง พี่เอ็กนอนลอยคออยู่บนน้ำแม้ว่าจะไม่ลึกมากแต่คลื่นก็ค่อยๆซัดพี่เขาออกไปไกลเรื่อยๆ
          พวกเราลากพี่เอ็กกลับมาที่ชายหาดพยายามปั๊มหัวใจคิดว่าพี่เขาจมน้ำ แต่ท่าทางของแกดูสบายดีแต่ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น ด้วยความเคยตัวจึงเผลอ ปลุก พี่เขาเหมือนที่เคยทำกับพวกที่โดนผีเข้า
          พี่เอ็กตื่นแทบจะในทันที พี่ทิวดูประหลาดใจ แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรเพราะรถพยาบาลมาพอดี ผมกลับมารอที่บ้านก่อนมีแค่พี่ทิวที่ขับรถตามไป
          พวกพี่เขากลับมาในตอนเช้าพอดีด้วยคำวินิจฉัยจากหมอว่า ‘เมา’ พี่เอ็กกลับเขาไปนอนต่ออย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร เหลือพี่ทิวที่เดินเข้ามาหาผมที่นั่งกินข้าวอยู่หน้าบ้านพัก
          พี่ทิวเริ่มต้นประโยคอย่างตรงไปตรงมา ‘พี่เห็นผี’ ผมตกใจนิดหน่อยแต่ก็เงียบฟังต่อ ‘น้องก็เห็นใข่ไหม’
          มาถึงขนาดนี้ก็คงต้องเล่าให้ฟัง ผมไม่ได้บอกอะไรมากแค่บอกว่าเห็น เห็นมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว พี่ทิวถอนหายใจเหมือนได้เจอเพื่อน พี่เขาก็เล่าเรื่องราวที่บ้านให้ผมฟัง
‘บ้านพี่สร้างทับที่ไม่ดีเข้า มีเรื่องราวเยอะแยะเลยเชียวล่ะ’
‘สร้างทับอะไรหรอพี่ ป่าช้า?’
‘เปล่า ตะแลงแกง น่ะ’
          ผมฟังเรื่องราวโดยทั่วไปอย่างคร่าวๆ พี่ทิวเป็นคนอัธยาศัยดีมากจนทำให้เราสนิทกันไปโดยไม่รู้ตัว ผมจึงเผลอทำตัวตามสบายเหมือนเวลาที่อยู่กับเพื่อน
‘ดีนะพี่มีของกัน ไม่อย่างนั้นอยู่กันไม่ได้’
          พี่ทิวหันมามองหน้าผมอย่างตกใจ ผมที่ยังไม่รู้ตัวว่าเผลอหลุดปากอะไรออกไปก็มองพี่เขากลับอย่างสงสัย

‘พี่ยังไม่ได้เล่าเลยนะ รู้ได้ไง’
           ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าโพล่งเรื่องที่ตัวเอง เห็น ออกไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแต่มันก็ช้าเกินกว่าจะกลบเกลื่อนอะไรได้ทันในเวลานี้ สุดท้ายก็เลือกที่จะเล่าให้พี่ทิวฟังไปเลยแล้วกัน
          พี่ทิวมีทีท่าคิ้วขมวดเหมือนคิดหนักและกำลังช่างใจบางเรื่องอยู่ในใจ ในที่สุดพี่ทิวก็เลือกที่จะเล่าเรื่องราวในชีวิตของตัวเองให้ผมฟังเช่นกัน
‘น้องรู้จัก ฤกษ์เพชฌฆาต ไหม’
‘เคยได้ยินมาบ้างครับ แต่ไม่ได้ศึกษา’
          พี่ทิวเล่าให้ผมฟังว่าพี่ทิวเกิดในฤกษ์เพชฌฆาตซึ่งเรียกได้ว่าเป็นฤกษ์อาถรรพ์ และจำทำให้ผู้ที่เกิดขึ้นในวันเวลาดังกล่าวนั้นมีดวงแรง อุปนิสัยก็จะรุนแรงเช่นกัน
          แต่ในหมู่ผู้คนที่เกิดในฤกษ์ยามนี้ก็แตกต่างกันออกไปตามแรงวันและเวลาในฤกษ์นั้นๆเช่นกัน ฤกษ์เพชฌฆาตไม่ได้มีแค่วันเดียว มันกระจายตัวอยู่ในหลายๆวัน และบางครั้งก็เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งของวัน
          วันที่ เวลา ข้างขึ้น ข้างแรม ทุกอย่างมีผลให้เกิดความแตกต่างของฤกษ์ในแต่ละครั้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคนที่เกิดในช่วงเวลาเหล่านี้มักจะมีจุดร่วมอยู่ด้วยกันหลายๆอย่าง และพี่ทิวก็เป็นหนึ่งในนั้น
          พี่ทิวเป็นคน เห็นผี มาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น แค่ได้เห็นเท่านั้นไม่สามารถจะพูดคุยหรือติดต่ออะไรกับพวกเขาได้ แล้วก็เป็นเรื่องแปลกที่เจ้าตัวไม่ได้รู้สึกกลัวในสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็นแม้แต่น้อย
‘อาจเพราะพี่เกิดในฤกษ์นี้ หรือไม่ก็เป็นเพราะที่ดินที่บ้าน’
          พี่ทิวพูดติดตลกแต่มีแววหนักใจ พี่เขาพูดวนกลับมาที่ประเด็นหลัก บ้านที่สร้างทับตะแลงแกง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าที่บ้านนั้นจะมีแรงอาฆาตรุนแรงเพียงใด ดวงวิญญาณอันเลวร้ายที่ไม่อยากตาย ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
          ในตอนเด็กคืนหนึ่งพี่ทิวตื่นมาเข้าห้องน้ำได้ยินเสียงปี่พาทย์ผสมกับบทสวดที่ตัวเองไม่คุ้นหู ไม่เคยได้ยินมาก่อน เสียงนั้นมาจากลานหน้าบ้านที่ต่อกับโรงไม้เก่าของบ้าน
          เมื่อมองลงมาจึงเห็นกลุ่มของเงาดำที่วนเวียนอยู่เป็นก้อนๆ มองไม่ชัดแต่แน่ใจว่าเสียงมันดังมาจากตรงนั้น พี่ทิวในวัยเด็กรีบเดินกลับเข้าห้องไปแล้วไม่ออกมาเข้าห้องน้ำอีกจนเวลาเช้ามาถึง
          นั่นเป็นครั้งแรกที่พพี่ทิวได้พบกับเรื่องราวแบบนี้ แล้วมันก็ทำให้พี่ทิวเห็นวิญญาณมาโดยตลอด สิ่งหนึ่งที่ติดตัวพี่ทิวมาเช่นกันคือ ดวงอุบัติเหตุ
          พี่ทิวบอกว่าตั้งแต่เล็กจนโตมามีเรื่องให้เสียเลือดเสียเนื้อตลอด แต่ไม่เคยเข้ามาในรูปแบบของอาการป่วย ร้อยทั้งร้อยนั้นเป็นเรื่องของอุบัติเหตุทั้งหมด
          เบาบ้าง แรงบ้าง แล้วแต่ครั้ง แต่ทั้งหมดนั้นจะต้องมีเลือดไหลออกมาเสมอจนโตมาเพื่อนๆชอบแซวอย่างติดปาก ‘เดือนนี้โดนรถเฉี่ยวยัง’
          ชีวิตในด้านอื่นๆไม่มีอะไรน่าห่วงนอกเสียจากเรื่องพวกนี้ ครั้งหนึ่งสมัยเรียนพี่ทิวเข่าบ้านอยู่กับเพื่อนๆด้วยเหตุผลที่ว่ามันมีที่กว้างๆจะได้เอาไว้วาดงานไว้ทำโมเดลกับเพื่อนๆ
          แจ๊คพอต! พี่ทิวพูดออกมาเสียงดัง บ้านหลังที่ไปเช่านั้นเคยมีคนตาย และไม่ใช่ตายอย่างป่วยตาย เธอกินยาล้างห้องน้ำตาย แม้เรื่องมันจะนานมากแล้วแต่ก็เป็นที่ร่ำลือ
          พี่ทิวรู้สึกได้ตั้งแต่ครั้งแรกว่ามีอะไรบางอย่างในบ้านนั้น แต่มองไม่เห็นจนเพื่อนคนอื่นๆโดนดีกันหมด สุดท้ายก็ต้องย้ายออก ค่ามัดจำบ้านก็ทิ้งเลยตั้งหลายพัน
‘โดนอะไรกันครับ’
          ดึกๆชอบออกมาให้เห็น มากินยาล้างห้องน้ำให้ดู บางทีอาบน้ำอยู่สระผมลืมตามาก็นั่งคุดคู้กอดเข่าอยู่ตรงซอกห้องน้ำ ตัวผอมๆดำๆปากบวมๆเน่าๆ
          หนักสุดเพื่อนพี่เคยเข้าไปอาบน้ำหลังจากกลับมาจากเที่ยว เมาแล้วก็เผลอหลับไปในห้องน้ำเลย มันตื่นมาบอกว่ามีคนมาอ้วกเสียงดังข้างๆหู ตัวเองเมาก็อยากอ้วกบ้างแต่พอลืมตามามองกลับไม่ใช่เพื่อน
          ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งนอนดิ้นพลาดๆอยู่กลางห้องน้ำ อ้วกไม่หยุดร่างกระตุกอยู่หลายที จากอ้วกก็กลายเป็นเลือดตาเหลือกมองมันอย่างเอาเป็นเอาตาย
          มันวิ่งออกจากห้องน้ำสติแตกเลยพี่ต้องตื่นมาดูมัน แล้วหลังจากคืนนั้นดึกๆห้องน้ำจะเหม็นน้ำยาล้างห้องน้ำมาก เหม็นจนแสบจมูก
          พี่ทิวเหมือนพยายามเล่านอกเรื่องไม่วนเข้าเรื่องตัวเองเสียที ผมถามย้ำกลับไปอีกครั้ง แล้วเหมือนกับคำถามของผมไปสะกิดใจพี่เขา ความเงียบเข้ามาแทนที่อยู่พักหนึ่ง
‘น้องคิดว่า เพชฌฆาตเนี่ย ตายแล้วไปไหน’
          ผมไม่ได้ตอบอะไรเพราะนั่นเหมือนประโยคบอกเล่ามากกว่าคำถาม พี่ทิวบอกว่าเรื่องมันเกิดขึ้นอย่างรุนแรงจริงๆตอนที่พี่ทิวอายุได้ 24 ปี เข้า 25 ช่วงเรียนจบใหม่ๆ
          ปีนั้นพี่ทิวเกิดอุบัติเหตุหนักรถยนต์ลื่นถนนโค้งบนเส้นข้ามเขาทำให้แหกโค้งเข้าชนกับที่กันเลนถนน ดีที่ไม่ตกไปอีกฝั่ง รถพังยับ พี่ทิวไม่มีกระดูกหักสักท่อน แต่มีเศษกระจกหน้ารถกระเด็นทิ่มเข้าคออย่างจัง
‘ตายแน่’
          ประโยคที่กู้ภัยพูดตอนพี่ทิวยังไม่หมดสติ พี่เขาลูบคออย่างหวาดๆ พี่ทิวไม่ตายแต่เสียเลือดไปเยอะเห็นว่าให้เลือดไปหลายถุง นอนโรงพยาบาลไปหลายวัน
          คืนที่พี่ทิวเริ่มได้สติเต็มร้อย คืนนั้นพี่ทิวได้ยินเสียง เสียงดนตรีโบราณที่คุ้นหูแต่ไม่รู้เคยได้ยินที่ไหน เหมือนดังอยู่ใกล้ แต่บางครั้งก็ไกล ไม่รู้ที่มา
          ฤทธิ์ยาแก้ปวดทำให้สะลึมสะลือเพราะหมอพยายามใช้ยาช่วยให้หลับกลัวว่าจะเจ็บแผลจนมนไม่ไหว ในความึนงงนั้นพี่ทิวเห็นเงา
          เงานั้นพี่ทิวแน่ใจว่าเป็นผู้ชาย ในมือถือของคล้ายดาบ หันกลับไปกลับมาวาดลวดลายดาบในมืออย่างสวยงามแต่น่าขนลุก เท้าสองข้างสลับกันยกขึ้นกระทืบลงเป็นจังหวะ คล้ายจะรำ
          นั่นคือครั้งแรกที่เรื่องมันเริ่มขึ้น หลังจากนั้นพี่ทิวจะฝัน ฝันเห็นเงาร่างนี้มาร่ายรำดาบให้ดูอยู่ทุกๆคืน แต่เงาดำนั้นค่อยๆมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นทีละนิด และเหมือนจะเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ
          สิ่งนั้นสร้างความกังวลให้พี่ทิว แต่มันไม่ใช่แค่นั้น พี่ทิวเริ่มโดนผีอำ หลายต่อหลายครั้งและมันก็หนักขึ้นเรื่อยๆ สัมภเวสีที่วนเวียนมานั้นแทบไม่ซ้ำหน้า
          ครั้งที่รุนแรงจนทำให้พี่ทิวเลือกจะกลับบ้านคือพี่ทิวเลิกงานช้าจนเป็นเวลาดึกมาก คงเป็นเพราะเป็นเด็กจบใหม่ให้ทำอะไรก็ต้องทำ คืนนั้นพี่ทิวเลือกที่จะเดินกลับเพราะไม่ได้ไกลมากนัก
          พี่ทิวเดินผ่านไปแถวคลองเล็กๆใกล้ๆชุมชนข้างที่พัก มันเหมือนปกติในทุกๆวันจนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ พี่ทิวไม่ได้สนใจคงเป็นใครสักคนแถวๆนั้น แต่เสียงมันดังขึ้นเรื่อยๆ แล้วเริ่มทรมานขึ้นเรื่อยๆ
          สุดท้ายก็ตัดสินใจไปดูต้นตอของเสียงนั้น ที่ตรงนั้นเป็นริมทางน้ำไหลพี่ทิวก้มมองอย่างระวังไม่ให้ตัวเองตกลงไป แต่ความระวังนั้นมันก็ไร้ประโยชน์ เพราะพี่ทิวถูกแรงผลักจากด้านหลังทำให้ร่วงลงไปในน้ำ
          ในน้ำนั้นเย็นมากเย็นจนเริ่มเป็นตะคริว ความมืดทำให้มองอะไรไม่เห็นและที่แย่ที่สุดคือ อวนที่ถูกโรยไว้ในน้ำ มันรัดคอพี่ทิวอย่างแน่นหนา แน่นจนเริ่มหายใจไม่ออก
          ใครที่เคยจับอวนคงจะรู้ว่ามันเหนียวและแข็งมาก ถ้าเอาไปมัดมันก็คมได้ที่ทีเดียว พี่ทิวตกใจจนดิ้น ยิ่งดิ้นมันก็ยิ่งแน่นขึ้น แต่ในความโชคร้ายนั้นยังมีโชคดี
          ลุงเจ้าของอวนที่มีบ้านอยู่ใกล้ๆคงได้ยินเสียงน้ำจึงรีบออกมาดู ทำให้ช่วยพี่ทิวไว้ได้ทัน เมื่อขึ้นมาจากน้ำได้แล้วอวนยังคงพันคออยู่ไม่มีทีท่าว่าจะหลุด จนลุงต้องใช้มีดตัด แล้วมีดนั้นก็แฉลบปาดคอพี่ทิวเข้าไปนิดหนึ่ง

พี่ทิวถูกพาไปโรงพยาบาลด้วยรถยนต์คันเก่าๆของลุง แผลที่คอนั้นไม่ลึกจนเป็นอันตรายแต่ก็มีเลือดออกมาก ดีที่มันอยู่ข้างๆคอ โดนเย็บไปเหมือนกัน
‘แล้วเอ็งไปทำอะไรแถวนั้น’ ลุงถามในตอนขับรถกลับ
‘เดินเล่นครับ’ ตอนนั้นพี่ทิวไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี
‘เออ คราวหลังก็ระวังๆ ทะเลาะกับเมียรึไง เขาถึงผลักเอ็งลงไปน่ะ’
          คำพูดของลุงทำให้ตกใจเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ว่าลุงออกมาเพราะเสียงน้ำ แต่เขาเห็นเหตุการณ์อยู่ก่อน คิดว่าแฟนคงมาทะเลาะกันเพราะได้ยินเสียง ร้องไห้ ลุงเลยไม่สนใจจนได้ยินเสียงน้ำอีกทีเลยรีบวิ่งมา
          เรื่องนั้นทำให้พี่ทิวกลับบ้านในช่วงวันหยุด เพื่อไปปรึกษากับครอบครัว อาจเป็นเพราะบ้านหรือเปล่า หรือว่าอะไรทำไมมันถึงแย่อย่างนี้
           เมื่อกลับไปถึงบ้าน พี่ทิวบอกว่าจำความรู้สึกนั้นได้ดี ลมเย็นที่พัดวูบเข้ามาปะทะเขาทันทีที่ลงจากรถประจำทางเดินเข้ามาที่บ้าน บ้านเป็นบ้านสวนก็จริง แต่ลมในวันนั้นเย็นเยียบเข้าไปถึงสันหลังจนทำให้สั่นไม่รู้ตัว
          เขาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คนในบ้านฟังซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ปู่ ที่มีอายุมากที่สุดในบ้าน อาจเพราะเป็นคนเก่าคนแก่ที่พอมีวิชาเลยมีความรู้ทางไสยอยู่บ้าน นั่นคือสิ่งที่พี่ทิวคิด แต่เปล่าเลยมันไม่ใช่อย่างนั้น
‘ทิว ตามปู่มาลูก’
          พี่ทิวถูกเรียกให้เดินตามไปอย่าง งงๆ ทั้งสองคนเดินตามกันมาที่ชั้นล่างของบ้านที่เป็นพื้นยกระดับ เดินตรงไปท้ายสวนที่ติดกับแม่น้ำสายเล็กสายหนึ่งที่ตรงนั้นมีกระท่อมเล็กๆที่ทำเอาไว้เป็นที่เก็บผลไม้ยามออกผลก่อนส่งต่อไปยังตลาด
          เมื่อเดินเข้าไปในกระท่อมเก่าๆนั้นปู่ก็บอกให้พี่ทิวออกแรงยกแคร่ไม้ขนาดใหญ่ที่วางอยู่มุมในสุดของกระท่อม มันหนักมากเพราะทำจากไม้เนื้อแข็งอีกทั้งยังเป็นแคร่ไม้แบบพื้นตัน คือไม่ใช่แบบที่เป็นขาสี่ข้าง
          เมื่อยกออกมาได้แล้วจึงได้เห็นว่าข้างล่างนั้นมีประตูเหล็กเล็กๆอยู่อันหนึ่ง รูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดพอให้คนลงไปได้สบายๆ
          ปู่เปิดประตูบานพับออกอาจเพราะไม่ได้เปิดมานานจึงมีกลิ่นอับรุนแรงตีขึ้นมาทันทีหลังจากมีอากาศภายนอกถ่ายเทเข้าไป ปู่เป็นคนนำลงไปก่อน
‘ลงมา’
          เสียงปู่ก้องขึ้นมาจากห้องด้านล่าง พี่ทิวค่อยๆไต่บันไดลิงที่ทำจากไม้ตามลงไปข้างล่างโดนที่ใจนั้นเต้นระรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
          อาการหายใจติดขัด เหมือนจะเป็นลมได้ทุกเมื่อทั้งที่ยังแข็งแรงดี เหงื่อท่วมออกมาทั้งที่ตัวเองรู้สึกหนาว ความวิงเวียนอย่างบอกไม่ถูกทำให้พี่ทิวก้าวขาได้อย่างเชื่องช้า แปลกที่ปู่ไม่มีวี่แววจะเป็นห่วงแต่อย่างใด
‘มาตรงนี้ทิว’
          แสงสว่างจากประตูด้านบนส่องมาถึงเพียงแค่ครึ่งทางทำให้มองไม่เห็นปู่ วูบเดียวห้องก็สว่างด้วยตะเกียงเจ้าพายุแบบโบราณที่หาได้ยากในสมัยนี้
          กลิ่นน้ำมันเก่าๆถูกจุดให้แสงสว่างเขม่าดำลอยฟุ้ง ตะเกียงมีอยู่ 4 อัน พี่ทิวจำได้ดี ที่ตรงกลางนั้นถูกขุดให้เป็นห้องสี่เหลี่ยมที่กว้างกว่าทางเดิน
          โต๊ะหมู่เตี้ยๆที่มีฝุ่นเขรอะอยู่เต็มไปหมด โต๊ะนั้นเป็นโต๊ะหมู่ขนาดเล็กแต่ตามหิ้งวางไม่มีพระพุทธรูอย่างที่ควรจะมี มีเพียงตั่งอันบนสุดที่มีกล่องเหล็กใบหนึ่งวางอยู่ บนฝากล่องมีพุทธรูปที่ดูเก่ามากวางทับเอาไว้
          เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆจึงได้เห็นว่าแต่ละตั่งบนโต๊ะหมู่9ชิ้นนั้นไม่ได้ว่างไว้ แต่มีของชิ้นเล็กๆวางอยู่ในแต่ละตั่ง บางอันเป็นยันต์ บางอันเป็นผ้าแดงเก่าๆขาด มีอันหนึ่งเป็นตะกรุด ร้อยด้วยวัตถุสีขาว คล้ายกระดูก
          พี่ทิวจะก้มลงกราบตามความเคยชินเวลาเห็นห้องพระแต่ถูกปู่ปรามไว้ก่อน
‘ทิวอย่าไหว้ เดินมาตรงนี้พอ’
          ปู่พูดสั้นๆให้พี่ทิวฟังแล้วค่อยขึ้นไปคุยกันข้างบน ‘บ้านเราสร้างทับตะแลงแกง คนในบ้านเหมือนถูกสาป จะย้ายบ้านก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีดาบเล่มนี้ก็คงไม่มีคนคุ้มกะลาหัวเรา’
          ปู่หยิบเอากล่องเหล็กนั้นมาเปิดให้ดู ในนั้นเป็นดาบเก่าเล่มหนึ่ง สนิมพอมีให้เห็นบ้างแต่สภาพใบดาบยังเป็นทรงอยู่ ในนั้นมีดาบสองเล่ม เล่มหนึ่งใหญ่ หนา และสั้นกว่าดาบใบเรียวอีกเล่ม
          ปู่หยิบดาบเล่มสั้นขึ้นมายื่นให้พี่ทิว พร้อมบอกว่าต้องทำพิธีเซ่นดาบ เพื่อเป็นของกำนัลให้เจ้าของดาบมาคุ้มครองเจ้าของดาบ
‘ทำอย่างไรครับ’
‘ให้เขาดื่มเลือด’
          เหมือนใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม พี่ทิวไม่เข้าใจคำพูด โดยไม่รอให้พี่ทิวตบปากรับคำ ปู่หยิบเอาดาบในมือมารูดฝ่ามือพี่ทิวจนเลือดไหลเป็นทาง
          พี่ทิวบอกว่ามันเจ็บมาก เจ็บมากๆ คงเพราะดาบมันไม่ได้คมเรียบสวยงาม ความปวดทำให้พี่ทิวถึงกับน้ำตาไหล ปู่จับมือหลานยื่นตามมาในกล่องเหล็กปล่อยให้เลือดไหลหยดลงไปในกล่องแตะต้องใบดาบทั้งสองจนเป็นสีแดงฉาน
          เมื่อกลับขึ้นมาได้พี่ทิวรีบยืมรถของพ่อไปที่โรงพยาบาลเพื่อฉีดยากันบาดทะยัก เพราะดาบนั้นเขรอะสนิมเหลือเกิน แล้วมันก็เป็นเรื่องแปลก คืนนั้นพี่ทิวมีไข้สูงมาก จนต้องเข้านอนอย่างรวดเร็ว
          พี่ทิวจำได้ดีว่าฝัน ฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่งมารำดาบวนไปมาอยู่ปลายเตียง เงาร่างนั้นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนในที่สุดก็มายืนรำยกแข่งยกขาอยู่บนหน้าอกของตัวเขา
          น้ำหนักนั้นทำให้หายใจลำบาก พี่ทิวพยายามขยับตัวเพราะความกลัว เงาร่างบึกบึนนั้นเริ่มร่ายรำรวดเร็วขึ้นเป็นจังหวะ พี่ทิวยิ่งกลัวมากขึ้นไปอีก
          แม้จะขยับตัวไม่ได้ก็ขอให้ได้หันหนีก็ยังดี แต่เมื่อหันไปแล้วพี่ทิวก็เกิดความกลัวจนสติขาดไป เพราะที่ช้างเตียงนั้นมีเงาร่างประมาณ5ร่างเห็นจะได้
          ทั้งหมดนั้นนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นมือสองข้างพนมไหว้อยู่กลางอก และทั้งหมดนั้น ไม่มีหัว
          เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้พี่ทิวเริ่มคลำมือข้างที่ถนัดเหมือนพยายามคิดถึงอะไรบางอย่าง หลังจากเรื่องในวันนั้นทุกๆปีพี่ทิวจะต้องกลับไปที่บ้าง เพื่อทำการเซ่นดาบอย่างที่เคยทำ
‘แต่พี่ทิวก็ยังเห็น?’
          ผมถามพี่ทิวเพราะรู้สึกว่ามันไม่ได้ดีขึ้นเลย พี่ทิวยังเห็นผีเหมือนที่เคย แต่พี่ทิวก็ยิ้มแล้วตอบผมกลับมาว่า ใช่ พี่เห็นผี แต่ไม่เท่าเดิม เพราะมันมากขึ้น อย่างเดียวที่มันดีขึ้นก็คือ พี่ไม่เจ็บตัวจากอุบัติเหตุให้เสียเลือดเสียเนื้ออีก
           หลังจากนั้นเป็นปีพี่ก็เริ่มเห็นมากขึ้นๆ เคยคิดว่าตัวเองเห็นนะแต่จริงๆแล้วไม่น่าจะใช่อย่างนั้น พี่ว่ามันเหมือนกับ เขาตามพี่เสียมากกว่า
          ประโยคนั้นน่าสงสัย ผมเริ่มตั้งใจฟังต่อไป หลังจากครั้งนั้นพี่ทิวก็กลับไปทำทุกๆปีเหมือนอย่างที่ปู่ได้บอกไว้ พี่ทิวทำงานอยู่ในกรุงเทพเช่าคอนโดนอนอยู่กับเพื่อนอีกคนหนึ่งแต่เพื่อนมักจะไม่ค่อยอยู่เพราะช่วงนั้นมีแฟนมักจะไปนอนกับแฟนมากกว่า
          มันเป็นชั้น 7 สูงจากข้างล่างพอสมควรอาจไม่สูงมากแต่ก็มากพอจะมีลมเย็นๆพักมาในยามค่ำคืน คืนนั้นพี่ทิวออกไปนั่งกินลมชมวิวอยู่ข้างนอกนานสองนานจนเผลอหลับไป
          เมื่อรู้สึกตัวด้วยอากาศที่เย็นลงก็เดินกลับเข้ามานอนในห้องตามเดิม ระหว่างที่หลับไปพี่ทิวก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะลมเย็นๆที่โชยมาปะทะเข้าที่หน้าอย่างจัง
          สงสัยจะเปิดแอร์แรงไปหน่อย พี่ทิวพูดขำๆแต่แล้วก็ไม่ใช่เพราะผ้าม่านตรงระเบียงห้องสะบัดพลิ้วไปมาจนต้องมองออกไป แล้วก็พบว่าประตูระเบียงมันเปิดอยู่
          พี่ทิวแน่ใจอย่างมากว่าตัวเองปิดประตูดีแล้วเพราจะเปิดแอร์ก่อนนอนเหมือนทุกครั้ง พี่ทิวคิดอย่างเดียวว่าคงเป็นโจร แต่ตึกสูงอย่างนี้ทางเดียวที่เป็นไปได้ก็คงจะเป็นพวกข้างห้องไม่ก็ชั้นที่ติดๆกัน

ไม้กอล์ฟเหล็กที่พี่ทิวมีไว้ออกกำลังยามว่างถูกกระชับเข้ามือกะจะฟาดเสียให้หนักหากเจอตัว พี่ทิวเดินออกไปข้างนอกห้องพร้อมง้างไม้สูง
          ตรงนั้นมีเพียงความว่างเปล่า พี่ทิวชะเง้อมองหน้าหลังไม่เห็นใครจึงรีบกลับเข้าไปในห้องเปิดไฟให้สว่างทุกดวง สำรวจไปทั่วทุกมุมในห้อง แต่สุดท้ายก็ไม่พบใครเหมือนที่คาด
          พี่ทิวไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแต่สิ่งที่รู้สึกได้คือ ความเย็นของอากาศภายในห้องที่ค่อยๆมากจนเริ่มทนไม่ไหว พี่ทิวรีบเดินตรงไปที่ระเบียงเพื่อจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยกะว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปแจ้งความไว้เพื่อความปลอดภัย
          ก่อนจะปิดประตูระเบียงพี่เขายังกังวลใจจึงออกไปชะโงกหน้าดูตรงระเบียงเผื่อจะมีร่องรอยอะไรอยู่บ้าง แต่ก็ไม่พบ เมื่อพี่ทิวหันกลับมาก็ต้องเข่าอ่อนจนทรุดลงกับพื้น
          ห้องคอนโดทันสมัยที่ถูกเปิดไฟจนสว่างทั่วทั้งห้อง ตอนนี้มีร่างของใครต่อใครมากมายมาอาศัยอยู่ นั่งบ้างยืนบ้าง บ้างนอนระเกะระกะตามพื้นไม่เป็นระเบียบ
          เสื้อผ้าเก่าๆโบราณบ่งบอกว่าไม่ใช่คนในสมัยนี้เป็นแน่ อีกทั้งบางคนยังไม่มีเสื้อผ้าใส่ บางคนมีแผลตามตัว แต่ที่ทุกคนเหมือนกันคือ ทุกร่างไม่มีหัว
          ร่างพวกนั้นไม่ได้ขยับไปมาเหมือนในหนังที่เคยดู มันอยู่นิ่งๆ นิ่งอย่างนั้น แผลเหวอะหวะตรงลำคอมีเลือดหยดบ้าง พุ่งบ้างภาพนั้นมันน่ากลัวจนอยากจะหนีไป
          พี่ทิวไม่มีแรงลุกขึ้นจากตรงนั้น ทำได้เพียงพยายามหลับตาหยีแล้วยันตัวเองให้ติดกับกำแพงเตี้ยๆของระเบียงเหมือนว่ามันจะสามารถขยับออกไปได้
          แต่แล้วก็มีกลิ่นคาวคลุ้งตีเข้าจมูกอย่างแรง คนที่เจออุบัติเหตุบ่อยๆอย่างเขาจำได้ดี นี่คือกลิ่นของเลือด เลือดที่มีปริมาณมากพอจะทำให้กลิ่นคลุ้งได้ขนาดนี้
          ด้วยความตกใจจึงลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้า ทุกร่างยังคงอยู่ที่เดิม ระเกะระกะไปหมด แต่ที่เพิ่มขึ้นมาคือข้างๆตัวเขานั่นเอง ร่างไร้ศีรษะหลายร่างนั่งเคียงกายเขาอยู่ไม่ห่าง ร่างหนึ่งพิงชิดแนบติดกับแขนล่ำๆของเขา
‘พี่สลบไปเลยล่ะตอนนั้น’
          พี่ทิวเล่าให้ฟังด้วยใบหน้าซีดๆ คงยังกลัวอยู่ หลังจากเรื่องนั้นยังมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น บ่อยครั้งที่พี่ทิวอาบน้ำล้างหน้าแล้วมองกระจกในห้องน้ำพบกับร่างไร้ศีรษะยืนมองเขาอยู่
          พี่ทิวไปหาหมอดูที่วัดชื่อดังแห่งหนึ่งเพื่อตรวจดวงชะตาหาที่มาที่ไปของตัวเอง คำแรกที่หมอดูทักพี่ทิวคือ ‘ไปทำอะไรมา ตามมาเป็นแถวเชียว ไม่มีหัวสักคน’
          เพียงประโยคแรกก็ทำให้พี่ทิวเชื่อไปเลยหมดหัวใจ หมอดูทำหน้าคิดหนัก เหมือนไม่เข้าใจ หรือหนักใจกันแน่ พี่ทิวทำได้แค่นั่งรอนิ่งๆอย่างลุ้นระทึก
‘นี่เอ็งเกิดฤกษ์เพชฌฆาต นี่หว่า’
          ตอนนั้นพี่ทิวยังไม่เข้าใจ แต่ก็ได้หมอดูคนนี้อธิบายจนได้ความรู้ใหม่มา หมอดูบอกว่ามันแปลก มันไม่เหมือนกับว่าพี่ทิวโดนสิ่งไม่ดีติดตามหรือใครทำของร้ายอะไรใส่ แต่มันเหมือนกับพี่ทิวเป็นผู้สร้างมันไว้เองเสียมากกว่า
          หมอดูได้แต่ทำนายโชคชะตาทั่วๆไปแล้วบอกว่ามันเป็น กรรมเก่า ยากเกินกว่าจะเข้าไปยุ่งได้ อย่างไรเสียก็ให้อุ่นใจไว้ว่า ไม่ตายหรอก เอ็งดวงแข็ง พวกนี้มันทำร้ายเอ็งไม่ได้ ได้แต่ตามเท่านั้น
          ประโยคนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ใครจะทนกับการโดนตามอย่างนี้ได้ คงมีแต่พวกหมอผีเท่านั้นแหละที่จะพอใจกับเรื่องอย่างนี้
           หลังจากนั้นพี่ทิวยังคงพบเจอกับเงาคนไร้หัวเสมอๆ บางครั้งในเวลาที่พี่ทิวนอนอยู่ในคอนโดก็ต้องตื่นมาเจอเงาร่างร่างไร้หัวนั้นนั่งมองเขาอยู่ข้างเตียงหลายต่อหลายครั้ง เช่นเดียวกับเงาของชายคนนั้นที่รำดาบอยู่ไม่ห่างจากตัวเขา
          ก็แปลกนะทำไมพี่ถึงไม่สติแตกไปเสียก่อน แต่นั่นแหละเขาก็บอกว่ามันเป็นข้อดีของพวกเกิดฤกษ์แบบพี่ ถ้าเป็นคนจิตอ่อนๆอย่างคนอื่นไม่พ้นเป็นบ้าไปแล้ว
          พี่ทิวทำท่านึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องหนึ่งที่มันทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ วันนั้นพี่ทิวได้รับสายโทรศัพท์จากที่บ้านว่ามีโจรขึ้นบ้านเอาข้าวของในบ้านไปหลายอย่าง ส่วนมากเป็นสร้อยเงินสร้อยทองที่เก็บเอาไว้
‘หลายตังค์ไหมพี่ ที่เสียไป’
‘หึ ไม่เสียสักบาท’
‘ได้คืนหมดเลยหรือ’
‘ได้น่ะมันได้ แต่ว่าจริงๆแล้วไอ้สร้อยพวกนั้นเนี่ย บ้านพี่ไม่ได้ซื้อหามาเอง’
          หลังจากได้รับโทรศัพท์จากที่บ้านแล้วพี่ทิวก็รีบกลับบ้านไปด้วยความร้อนใจเพราะเป็นห่วงคนที่บ้านมีแต่คนอายุมากทั้งนั้น พวกเด็กๆหลายๆก็ยังไม่โตพอจะพึ่งได้มากนัก
          พี่ทิวได้รับข่าวในตอนเช้า ช่วงเย็นๆก็กลับมาถึงบ้านแล้ว หลังจากสำรวจแล้วทั้งหมดพบว่ามีแค่ทองกับเงินเก่าที่หายไป ของพวกนั้นเป็นของตกทอดมาจากต้นตระกูลเป็นของที่ขุดเจอแถวๆนี้ สวดมากเป็นสร้อยและเครื่องประดับ
          แต่ที่มันน่ากลัวคือ ห้องใต้ดินในกระท่อมเก็บผลไม้ถูกขโมยเอาไปด้วยทั้งกล่อง พร้อมกับพุทธรูปเก่าด้วยเช่นกัน ปู่กับพ่อของพี่ทิวบอกว่าต้องเป็นพวกเด็กขนผลไม้ที่จ้างมาทำงานแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าที่บ้านนี้มีของเก่าเก็บ อีกทั้งต้องเป็นพวกที่มาทำงานแล้วหลายรอบ
          คืนนั้นทุกคนเคร่งเครียดได้แต่รอฟังข่าวจากตำรวจที่รับเรื่องไป แต่ทุกอย่างก็ดูไร้วี่แววไม่มีใครคิดว่าจะได้คืนมาอีก แล้วก็แปลกทื่คืนนั้นบ้านไม่น่าอยู่เอาเสียเลย มันอึดอัด มันวังเวงชอบกล
          เด็กน้อยในบ้านก็ร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดเหมือนถูกแกล้ง หรือกลัวอะไร หมาแมววิ่งพล่านไปหมด บางตัวถึงกับตัวสั่นเข้าไปหลบในซอกมุมของบ้านร้องหงิงๆไม่ยอมออกมา ขนาดวางข้าวไว้ก็ไม่ยอมออกมากิน
          ช่วงประมาณ 2 3 ทุ่มมีตำรวจขี่มอเตอร์ไซด์เข้ามาที่บ้าน พร้อมตะโกนเรียกปู่ให้ลงไปหาเพราะปู่เป็นคนเก่าแก่ที่นี่ทำให้หลายๆคนรู้จักว่าเป็นนายสวนผลไม้รายใหญ่
‘ตาๆ ได้เรื่องแล้ว เจอตัวโจรแล้ว ตามผมมา มากันหลายๆคนนะ เด็กกับผู้หญิงไม่ต้องมา’
‘เอ้า ทำไมล่ะ มันเป็นอย่างไร’
‘เอาเถอะน่า เชื่อผม’
          ปู่ พ่อ และพี่ทิว ขับรถกระบะตามมอเตอร์ไซด์ของสายตรวจออกมาที่ถนนในหมู่บ้าน เลยไปจนถึงหลังวัดที่ตรงนั้นเป็นท่าน้ำเก่า มีสถูปและโกฎิหลายชิ้นตั้งเรียงรายอยู่ทั่วไปหมด
          ปกติแล้วที่ตรงนี้จะเงียบมากไม่ค่อยมีคนผ่าน แต่ตอนนี้มีคนมุงเต็มไปหมดพร้อมกับไฟสัญญาณของรถตำรวจที่เข้ามาเคลียร์พื้นที่
          เมื่อไปถึงก็เห็นมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งพังยังไม่เป็นท่าเพราะชนเข้ากับเสาไฟฟ้าต้นใหญ่ ที่ตรงนั้นมีร่างหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ในสภาพศพคอหักไม่เป็นท่าบิดจนผิดธรรมชาติตาเหลือกน่ากลัว
          อีกคนมีแค่แผลถลอกแต่สติสตังดูเหมือนจะไม่เหมือนเดิม ตำรวจใส่กุนแจมือไว้ด้านหลัง และทันทีที่ทั้งสามคนเดินเข้ามาในวงล้อมของตำรวจเพื่อดูว่าใช่เด็กขนผลไม้อย่างที่สงสัยหรือไม่
‘เออใช่แล้ว ไอ้สองตัวนี้ข้าเคยจ้างมาขน’
          ปู่แทบอยากจะเข้าไปกระทืบมันแต่ถูกตำรวจห้ามไว้ เด็กคนที่ถูกใส่กุญแจมือมีท่าทีเลื่อนลอยสลับกับส่งเสียงหลงเหมือนกลัว เหมือนพยายามหลบอะไรบางอย่าง
          เด็กคนนั้นอายุน่าจะเกือบๆ20 พอเห็นพี่ทิวก็ทำตาโตเบิกกว้างด้วยความกลัว แต่ก็เหมือนดีใจ แม้ว่ามือจะถูกล็อคไว้ด้านหลังขาสองข้างที่ยังทำงานได้ดีจึงรีบวิ่งลุกมาทางพี่ทิว

ตำรวจที่ตาไวเห็นจึงตะครุบตัวมันไว้ได้ก่อนจะเข้าไปถึง แต่มันก็ยังพยายามจะคลานต่อมาให้ใกล้กับตัวพี่ทิว มันเอาหน้าของมันถูกไปมาบนเท้าพี่ทิวอย่างน่าขนลุก
‘ช่วยด้วย ช่วยด้วย ไม่เอาแล้ว’
           มันคร่ำครวญอยู่อย่างนั้นอย่างไร้สติ แล้วมันก็เริ่มที่จะมองไปรอบๆอีกครั้งอย่างหวาดกลัว มันขยับเข้าไปใกล้ พี่ทิวถอยห่างออกมา
‘อย่า อย่าไป อย่าอยู่ห่างกัน มันจะมา มันจะมา’
          คำพูดฟังไม่รู้เรื่องยิ่งชวนให้หงุดหงิด พ่อที่ตอนนี้ใช้เท้าเขี่ยมันออกจากเท้าพี่ทิวด้วยความโกรธ ปู่ก้มลงไปพูดกับมันถามหาข้าวของว่าอยู่ไหน มันก็พูดไม่รู้เรื่อง จนสุดท้ายพี่ทิวเป็นคนพูดเอง
‘ไป ไปเอาของคืน เอาไปเลย ให้หมดเลย ไม่เอาแล้ว’
          เสียงของมันโหยหวนจนคนที่มามุงดูกลัวไปตามๆกัน บางคนเข้าบ้านไปแล้ว บางคนยังดูอยู่ ตำรวจจับให้มันยืนขึ้นแต่มันไม่ยอมยืนเอาแต่พูดว่า ยืนไม่ได้ ยืนไม่ได้
          ตำรวจเอาเชือกมามัดมือมันไว้ข้างหนึ่งแล้วปลดกุญแจมือออกตามคำขอของปู่ มันไม่ยอมยืนจริงๆ มันคลานไปตามถนนปากก็พูดแต่ว่า กลัวแล้วๆ อยู่อย่างนั้น
          มันคลานนำทุกคนไปยังที่ที่น่าจะเอาของไปซ่อนไว้รอเอาไปขาย หน้าขาและเข่าของมันครูดไปตามพื้นจนเป็นแผลเลือดไหล แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดคลาน มันยังคลานต่อไป ถ้าสังเกตจะเห็นว่าช่วงหลังและเอวมันต่ำกว่าปกติ เหมือนมีของหนักๆมาทับไว้
          มันคลานไปจนถึงมุมหลังวัดที่เป็นโกฎิเก่า ในนั้นไม่มีใครเข้าไปยุ่งเพราะยังมีส่วนของป่าช้าแบบฝังอยู่ มันใช้สองมือตะกุยเอาดินกับหญ้าออกจากพื้นรกๆนั่นเสียงเล็บขูดเห็นฟังแล้วเจ็บแทน
          ใต้โกฎิเก่ามีหลุมอยู่ในนั้นมีของทั้งหมดของบ้านพี่ทิวอยู่ เมื่อมันได้คืนของแล้วมันก็โวยวายเหมือนร้องขออะไรสักอย่าง ตำรวจพามันกลับไปขึ้นรถแล้ว ปล่อยให้คนในบ้านกับตำรวจอีกนายเก็บของคืนที่บ้าน
          หลังจากนั้นมีคนเล่ากันปากต่อปากว่าคืนนั้นมีคนเห็นเงาร่างของผู้ชายยืนอยู่บนหลังของโจรเด็กคนนั้น ทำให้มันต้องคลานไปและแน่นอนว่า บ้านพี่ทิวก็ถูกมองว่าเป็นบ้านผีสิงไปแล้ว
          หลังจากได้ของทุกชิ้นกลับมาอย่างครบถ้วน พี่ทิวบอกว่าอยากเอาดาบนั้นพกติดตัวกลับไปที่กรุงเทพด้วย ช่วงนี้เหมือนจะเจอเรื่องแปลกๆอีก โดยเอาไปเพพียงเล่มเดียว อีกเล่มเก็บไว้ที่บ้านอย่างเคย
          แปลก ทันทีที่ทุกคนกลับบ้านมาพร้อมกับข้าวของทุกชนิด บรรยากาศในบ้านก็ดูสงบเหมือนในทุกๆวัน หมาแมวเริ่มออกมานอนเล่นเหมือนปกติ เด็กๆหยุดร้องไห้อย่างพร้อมเพรียงกัน
‘เขากดพวกผีตะแลงแกงไว้’
          ปู่อธิบายลอยๆให้คนในบ้านฟัง อย่างนั้นก็หมายความว่าดาบสองเล่มนี้คงเป็นดาบที่พวกมันกลัวนักกลัวหนา ดาบที่ใช้ปลิดชีวิตพวกมันนั่นแหละ มันยังกลัวอยู่ อาถรรพ์ของดาบมันยังไม่จางไปตามเวลา ปู่ว่าอย่างนั้น
          พี่ทิวเอาดาบนั้นมาติดตัวจริงอย่างที่บอก เขาไม่เห็นผีหัวขาดตามรังควานเขาอีก แต่กลายเป็นว่ามันหนักกว่าที่คาดมาก พี่ทิวนอนคนเดียวหลายคืนจึงไม่รู้เรื่องอะไร
          แต่คืนหนึ่งที่เพื่อนกลับมานอนด้วยนั้นเพื่อนบอกว่า ได้ยินเสียงตึกตักมาจากพื้นห้องพี่ทิวเหมือนมีแรงกระทกลงบนพื้น เหมือนกระทืบเท้า
          เพื่อนเคาะประตูห้องเรียงอยู่นานก็ไม่มีใครตอบรับหรือออกมาเปิด มีแต่เสียงตึกๆนั้นดังอยู่ เพื่อนเป็นห่วงจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป แล้วก็ต้องตกใจจนเกือบฉี่ราด
          พี่ทิวถือดาบเก่าในมือนั้นวาดลวดลายอยู่ในอากาศอย่างคล่องแคล่ว และคุ้นเคย ท่าทางอ่อนช้อยราวกับถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ท่าไหว้ครูนั้นสวยงาม
          เพื่อนได้แต่นั่นตัวแข็งอยู่กับพื้นส่งเสียงเรียกเท่าไหร่พี่ทิวก็ไม่ได้สติ จนต้องรอให้การรำดาบนั้นหยุดลงเอง พี่ทิววางดาบลงบนโต๊ะที่ตัวเองเอาตั่งไม้เตี้ยๆมาวางไว้ แล้วกราบลงที่พื้นใกล้ๆ
          เพื่อนบอกว่าพี่ทิวเดินกลับไปนอนบนเตียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรียกก็ไม่ตื่นจนเพื่อนพอมีแรงแล้วเดินไปปลุกถึงตัวจึงได้สติ
          หลังจากวันนั้นก็มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทุกคืนวันแรม และวันโกน จนเพื่อนทนไม่ไหวบอกให้เอาดาบไปคืนที่บ้าน พี่ทิวไม่เคยูรู้ตัวเองหรอก แต่ก็ต้องเอากลับไปเพื่อความสบายใจของผู้ร่วมห้อง
          และแน่นอนว่าหลังจากนำดาบกลับไปคืนแล้ว พี่ทิวต้องพบกับวิญญาณไร้หัวพวกนั้นเหมือนอย่างที่เคยเจอ
          พี่ทิวบอกผมว่ามันผ่านมาหลายปีแล้วจนทุกวันนี้เหมือนเห็นเงาของคนไร้หัวที่นั่งเรียงรายอยู่ข้างเตียงเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว แต่ในใจลึกๆก็ยังอยากจะให้เรื่องราวมันผ่านพ้นไปในที่สุดเช่นกัน
‘ไปเที่ยวบ้านพี่ไหมล่ะ เผื่อเราจะรู้อะไร’
          ผมปฏิเสธทันควันเพราะเพิ่งรู้จักกันแต่สุดท้ายก็ตอบตกลงไป แต่ก็ผ่านช่วงนั้นไปเป็นเดือนเหมือนกัน
          วันที่ไปถึงที่บ้านความรู้สึกแรกที่รถวิ่งเข้าตัวบ้านผมแทบจะอ้วกออกมาในทันที ความรู้สึกกดดันที่รุนแรง ความอาฆาต ความน่าสะอิดสะเอียนหลายอย่างพุ่งเข้ามาปะทะจนต้องตั้งสติรับ
          เยอะ เยอะเหลือเกิน มันไม่ใช่แค่สิบหรือยี่สิบ ผมเชื่อว่ามันมีมากกว่าร้อย หรือสองร้อยแน่ๆ ผมตั้งสติอยู่นานจึงเดินตามขึ้นไปบนบ้านของพี่ทิวที่มีปู่นั่งรออยู่
‘ใจเย็นๆนะไอ้หนุ่ม ค่อยๆหายใจ ของไม่ดีมันเยอะ’
          ปู่คงรู้อะไรอยู่มากทีเดียวถึงพูดเช่นนี้ได้ ในวันนั้นเราไม่ได้สนทนาอะไรกันเลยที่เป็นเรื่องทั่วไป เปิดประเด็นมาก็คือเรื่องตะแลงแกงเลย
          ผมใช้ความรู้สึกของตัวเองถามปู่ออกไปตรงๆ ‘ผมเห็นคน ยืนเรียงกันเป็นแถว แต่ยาว ยาวมาก เหมือนกำแพง’
          ปู่มองอย่างครุ่นคิดก่อนจะเล่าให้ฟัง ตะแลงแกงนั้นคือลานประหาร นั่นหมายความว่าที่ดินจะต้องแรงพอจะทำให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้อยู่โดยรอบได้ หากไม่เพียงพอก็ต้องทำ
          บางตำราและเรื่องเล่าบอกไว้ว่าเมื่อมีหนึ่งศพถูกประหาร ร่างมันจะถูกนำไปลอยน้ำหรือทำลายแต่ส่วนหัวนั้นไม่ หัวแต่ละหัวจะถูกขุดหลุมฝังลงไปรอบบริเวณของตะแลงแกง แล้วตอกเสาทับลงไปพร้อมกำกับด้วยอาคมเพื่อให้เป็นวิญญาณเฝ้าไว้ ณ ตรงนั้น
          ใช้ผีเฝ้าผี ถ้ามีผีใหม่ๆ ไอ้พวกที่ถูกทำเป็นเสาจะกันไม่ให้ผีออกไปอาละวาดข้างนอกเขตได้ และในตัวตะแลงแกงจะต้องมีที่สำหรับเก็บดาบของเพชรฆาตเอาไว้ด้วย เพื่อกดพวกมันอีกทีหนึ่ง
          ดาบของเพชฌฆาตส่วนมากจะมีสองดาบ บางครั้งก็ดาบเดียว ดาบแรกปลิดชีพ ดาบสองเพียงเพื่อเก็บงานเท่านั้นโดยดาบแรกจะหน้าใหญ่ เพื่อเพิ่มแรงในการฟัน ดาบสองจะเรียวยาวไว้เฉียนเศษเนื้อที่ยังติดอยู่
          การจะตีดาบนั้นได้ต้องอาศัยยามยมขันธ์ หรือยามอัปมงคลอื่นๆ เพราะถือว่าเราทำของอัปปรีย์ใช้ฆ่าคน ต้องไม่ทำในฤกษ์มงคลเด็ดขาดส่วนผสมในดาบน้ำจะเป็นเหล็กและแร่อื่นๆ ตลอดเวลาต้องลงด้วยอาคม บางครั้งต้องใช้เลือด
          ดาบนั้นจะถูกเก็บไว้ในที่อัปมงคลเสมอ ห้ามนำออกสู่ภายนอก และผู้ถือดาบนั้นต้องคัดเลือกมาอย่างดี โดยเลือกเอาผู้เกิดในฤกษ์เพชฌฆาต ปู่หันไปมองหลานอย่างอ่อนใจ
          แต่ในหมู่นั้นต้องคัดเลือกอีก ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นได้ หลังจากนั้นต้องฝึกเพลงดาบให้ชำนาญ ฝึกอาคมชั้นสูง และสมาธิระดับสูงเพื่อให้เพียงพอต่อการสะกดและป้องกันตัวจากวิญญาณของนักโทษ
          หนึ่งในนั้นคือการเฉือนส่วนหนึ่งของศพมากินหรือเคี้ยวแล้วคายทิ้งเป็นการข่มวิญญาณตามความเชื่อ ซึ่งผมเคยเห็นคนทำอย่างนี้มาแล้วในงานศพ โดยสัปเหร่อคนหนึ่ง มันเป็นศาสตร์ของเพชฌฆาตที่ถูกนำมาใช้
‘บ้านนี้สืบทอดวิชามาใช่ไหมครับ’
          พี่ทิวทำหน้า งงๆ แต่ปู่พยักหน้ารับ บ้านนี้เป็นเชื้อสายของเพชฌฆาต ต้นตระกูลเลือกสร้างบ้านบนที่ดินผืนนี้เพราะต้องการจะเป็นคนสะกดวิญญาณเหล่านี้ไว้ด้วยตัวเอง แล้วก็สอนวิชาให้ลูกหลานเรื่อยมา

แล้วทำไมคนอื่นถึงไม่เจอเรื่องราวอย่างผม พี่ทิวถามอย่างนั้นปู่ส่ายหัวบอกว่ามันจนปัญญาเหลือเกินแต่สิ่งหนึ่งคือ ทิว เป็นคนเดียวในช่วงหลายรุ่นมานี้ที่เกิดฤกษ์เพชฌฆาต มันคงมีความหมายอะไรอยู่บ้าง
          ปู่พาผมกับพี่ทิวลงไปในห้องใต้ดินนั้น เพราะคิดว่าตรงนั้นคงมีคำตอบ พี่ทิวดูกลัวที่จะลงไป แต่ก็ไม่มีทางเลือก
          ดาบในกล่องเหล็กน่ากลัว และไม่น่าจับ แต่ผมก็ต้องจับมันขึ้นมาแล้วก็เป็นไปตามคาด เจ้าของเขายังอยู่ ที่นี่ ตรงนี้
          เงาร่างหนึ่งปรากฏให้ผมเห็นแล้วบอกว่าอยากเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง แปลก ผมไม่เคยเจอใครที่พูดง่ายอย่างนี้มาก่อน และก็แปลกอีกที่เงาตรงหน้านั้นคล้ายพี่ทิวเหลือเกิน
          ผมขอให้พี่ทิวถอดพระออกก่อน บอกพี่ทิวว่ามีคนอย่างยืมร่าง พี่ทิวกลัวมาก แต่ปู่บังคับให้ทำ มันมีวิธีอยู่ที่จะเชิญให้วิญญาณมาเข้าร่างคน
          พี่ทิวนิ่งไปพร้อมจับดาบมากรีดมือตัวเองอย่างนิ่งๆ ไร้อารมณ์ เลือดหยดลงบนใบดาบจนไหลเป็นทางยาว พี่ทิวนั่งในท่าเทพบุตรหันมาคุยกับพวกเราอีกสองคน
‘เราอยู่ที่นี่ เราเฝ้า เราไปไหนไม่ได้’
          จากถ้อยความที่ขาดหายไปเป็นช่วงๆคงเพราะแรงที่อ่อนแอของเขา เขาเป็นเพชฌฆาต จะบอกว่าเป็นต้นตระกูลนี้ก็คงไม่ผิด เขาเป็นดาบสอง พี่ทิวเคยเป็นดาบหนึ่ง เขาทั้งสองเป็น แฝดกัน
          เขาเกิดวันเดือนปีเดียวกัน ฤกษ์เดียวกัน จึงทำให้ผูกพันกัน แต่เขาไม่ได้มาเกิดเพราะครั้งหนึ่งเขาทั้งสองต้องทำหน้าที่ประหาร พ่อของตัวเอง
          พ่อเขาไปคบค้ากับพวกโจร ปล้นไปหลายครั้งจนถูกจับได้ และสั่งให้ประหาร ไม่มีใครสนหรอกว่าเป็นพ่อลูกกัน นายสั่งมาก็ต้องทำ อีกอย่างพ่อก็ทำผิดจริง ตัวเขาทั้งสองเป็นมือดาบ ความยุติธรรมเท่านั้นที่ต้องมี
          พี่ทิวในอดีตลงดาบไปด้วยความลังเลวูบหนึ่ง จึงทำให้ฟันไม่ขาด ในสภาพนั้นดาบสองจะต้องรีบซ้ำในทันทีแต่ผ้าคาดตาหลุดออกทำให้สายตาสุดท้ายจ้องมายังตัวเขาแทน
          กรรมฆ่าสัตว์นั้นรุนแรงเหลือคณา แต่นี่คือพ่อ แม้จะเป็นโจรชั่ว บุญคุณที่ให้กำเนิดก็เกินจะทดแทน ด้วยเหตุนี้เขาจึงยังอยู่ เพื่อทำหน้าที่นี้ต่อไป แม้พี่ทิวที่ได้มาเกิดก็ยังต้องทรมานอย่างนี้ต่อไป
‘มีทางออกอื่นไหม’
          ใครในร่างของพี่ทิวส่ายหน้าช้าๆ มันเกินจะช่วยเหลือแล้วจริงๆ กรรมย่อมต้องชดใช้ นั่นคือสัจจะธรรม ออกไปจากเรื่องนี้เถิด แล้วปล่อยให้มันเป็นไปตามยะถานั้น ขอเพียงแต่อย่าได้นำดาบสองเล่มนี้ออกจากเขตนี้ ไม่อย่างนั้นจะอยู่กันไม่ได้
          พี่ทิวค่อยๆได้สติกลับมาพร้อมน้ำตาที่ไหล เขาได้ยินทุกอย่าง ทุกถ้อยคำ และในช่วงที่เขาถูกยืมร่างเขาได้เห็น อดีต ที่ตัวเองเคยทำมาอย่างชัดเจน
          ผมหมดคำพูดอะไรต่อไปอีก ได้แค่ยืนมองเพียงเท่านั้น มันเกินกว่าจะช่วยเหลือได้ สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือ ช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณนักโทษส่วนหนึ่งให้ไปตามทางเท่านั้น อย่างน้อยมันก็คงจะเบาบางลงบ้างในเร็ววัน
...................................................................................................
เรื่องนี้จบลงตรงนี้ครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลยเพียงแค่ผ่านเข้าไปพัวพันเท่านั้น
เรื่องนี้อาจไม่น่ากลัวมาก แต่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่บอกได้ว่า
'สิ่งเหล่านี้ยังตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน'
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ
ทั้งนี้โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเพราะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล
...................................................................................................
พบกันใหม่เร็วๆนี้ครับ
ขอบคุณครับ