บ้านหลังที่สาม โดย คุณบอล จาก The Ghost Radio
ดำเนินมาจนถึงเรื่องสุดท้ายสำหรับ 8 เรื่องของคุณบอล แห่ง The Ghost Radio ถูกถอดความโดยสมาชิกพันทิป หวานยิหวา โดยกระทู้ชื่อ [สำหรับคนชอบอ่าน] รวมจักรวาลผีของคุณบอลทั้ง 8 เรื่องจาก The Ghost Radio จากเรื่องแรก "สิ่งที่ผมเจอ", "บทสรุปสิ่งที่ผมเจอ", "สิ่งที่เพื่อนผมเจอ", "ผมยังไม่อยากตาย", "สิ่งที่พ่อผมเจอ" และ "บ้านหลังที่หนึ่ง" "บ้านหลังที่สอง" และภาคจบของเรื่องราว จักรวาลผีของคุณบอล "บ้านหลังที่สาม" ขอบคุณที่ติดตาม และขอให้มีความสุขสยองจากเรื่องต่อไปนี้......
ย้อนกลับไปในปี 2526 สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือยังไม่มี เวลาติดต่อกันจะใช้โทรศัพท์บ้าน คุณพ่อผมก็ใช้โทรศัพท์บ้านติดต่อทำธุรกิจการค้า หรือแม้แต่คุยกับเพื่อน ทีนี้คุณพ่อผมจะมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่งชื่ออาพัด เพื่อนสนิทมาตั้งแต่เด็กก็จะปรึกษาปัญหาชีวิตกันมาตลอดว่าชีวิตเจออะไรกันมาบ้าง หลัง ๆ อาพัดก็มาปรึกษากับคุณพ่อผมว่า คุณแม่ของอาพัดมีอาการแปลก ๆ ก็คุยกันไปตามปกติ แต่พอจะวางสายคุณพ่อผมก็ได้ยินเสียงท้ายสายบอกว่า มางานศพด้วยนะ แล้วสายก็ตัดไป
คุณพ่อผมก็แปลกใจว่างานศพอะไร เลยโทรกลับไปหาอาพัด ถามว่ามันมีงานอะไรเหรอทำไมไม่บอกให้ละเอียดจะได้ไปถูก อาพัดก็บอกว่า งานอะไร ไม่มี คุณพ่อผมก็เลยเข้าใจว่าน่าจะเกิดจากสัญญาณจากเครื่องอื่นแทรกเข้ามาหรือที่สมัยก่อนเรียกว่าสายพันกัน ผ่านไปประมาณเดือนกว่า ๆ อาพัดก็โทรมาบอกว่า มางานศพด้วยนะ แม่เสียแล้ว คุณพ่อผมก็ถามถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ เพราะคุณพ่อผมกับอาพัดเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กมีความผูกพันกับครอบครัวของอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็ก คุณแม่อาพัดก็ถือเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่คุณพ่อผมนับถือ ยังไงคุณพ่อผมก็ต้องไปงานศพคุณแม่อาพัด
แต่ในปี 2526 คุณแม่ผมกำลังตั้งท้อง แล้วคุณพ่อผมมีความเชื่อว่า ผู้หญิงที่ตั้งท้องเนี่ย ถ้าไม่ใช่งานศพที่สนิทจริง ๆ หรือเป็นญาติผู้ใหญ่จริง ๆ จะไม่ค่อยอยากให้ไปงานศพ แต่งานนี้ต้องไป คุณพ่อผมก็ใช้วิธีให้คุณแม่คล้องพระและติดเข็มกลัดเอาไว้เพื่อเป็นการแก้เคล็ด หลังจากนั้นก็นัดหมายกับกลุ่มเพื่อน ๆ เพื่อจะไปจังหวัดที่จัดงานศพคุณแม่อาพัด พอขับรถไปใกล้จะถึงบ้านของอาพัด ลักษณะคือถ้าเรามาจากทางหลักจะต้องเลี้ยวซ้ายมันจะเป็นทางรองเพื่อจะเข้าไปในหมู่บ้านหนึ่ง พอตรงเข้าไปวัดจะอยู่ทางขวา ข้างวัดจะมีถนนดินเส้นหนึ่งแล้วถัดไปก็จะเป็นบ้านของอาพัด ก็คือบ้านของอาพัดอยู่ติดกับวัดเลยครับ
คุณพ่อผมขับรถเข้าไปตอนนั้นเป็นเวลาเกือบค่ำแล้ว คุณพ่อผมไม่เห็นวัดจริง ๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงไม่เห็น แต่จุดสังเกตคือบ้านอาพัดจะอยู่ติดกับสระน้ำ คุณพ่อผมเห็นอีกทีก็เป็นสระน้ำแล้ว แสดงว่าเลยวัดมาแล้ว คุณพ่อผมก็เลยกลับรถออกมา ขาออกเจอวัดนะครับแต่ขาเข้าไปไม่เจอ ขณะที่กำลังจะเลี้ยวรถเข้าวัด ฝั่งที่ตรงข้ามกับวัด คุณพ่อผมสังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคนผิวคล้ำ ๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นคนแถวนั้นหรือต่างด้าว แต่เป็นคนผิวคล้ำแบบผิดปกติ เหมือนเขายืนหาของอยู่แต่คุณพ่อผมก็ไม่ได้สนใจก็เลี้ยวเข้าวัดไป
พอเข้าไปในวัดก็ไปคุยกับเพื่อน ๆ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกัน แล้วก็ร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพให้คุณแม่อาพัด พอถามถึงเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น อาพัดก็บอกคร่าว ๆ ว่า คุณแม่เกิดอุบัติเหตุโดนรถชนเสียชีวิตที่ข้างบ้าน พอเสร็จพิธีก็ต้องหาที่นอน คุณแม่เป็นคนท้องคุณพ่อผมก็ไม่อยากให้อยู่ใกล้บริเวณวัด ก็เลยฝากกับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงให้ไปหาโรงแรมนอนในเมือง ส่วนคุณพ่อผมด้วยความที่อยู่กับวัดอยู่แล้วชอบปฏิบัติธรรม คุณพ่อก็บอกว่าเดี๋ยวเขานอนอยู่ที่วัดนี่แหละ ส่วนเพื่อนกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งที่เหลือก็ไปนอนที่บ้านอาพัด เพราะถ้าจะให้ไปนอนที่บ้านอาพัดทุกคนมันนอนไม่พอครับ
พอเช้ามืดเลยประมาณตีห้า เพื่อนกลุ่มที่ไปนอนบ้านอาพัดก็เดินมาหาคุณพ่อผมที่นอนอยู่ทั้งกลุ่มเลยครับ พอมาถึงก็นอนไม่มีใครพูดอะไรเลย คุณพ่อผมก็คิดว่าคงมาเตรียมทำพิธีงานช่วงเช้ากันก็เลยไม่ได้สนใจอะไร พอถึงตอนเช้าก็ทำพิธีตามศาสนาเรียบร้อย เพื่อนคุณพ่อผมคนหนึ่งชื่ออาโจก็พูดขึ้นมาว่า คืนนี้ไม่นอนแล้วนะจะมานอนที่วัด อาพัดก็ถามว่าทำไมถึงไม่นอนดูแลบกพร่องตรงไหนหรือเปล่าจะได้แก้ไข อาโจเลยเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนในขณะที่อาโจและเพื่อน ๆ นอนอยู่ที่บ้านอาพัดบนชั้นสองประมาณสี่ห้าคน กลางดึกประมาณตีสองตีสาม อาโจได้ยินเสียงร้องเรียก โจ โจ ซึ่งอาโจไม่ได้เป็นคนแถวนั้น ไม่มีคนรู้จักอยู่แถวนั้นแน่นอน แล้วผู้หญิงที่เป็นเพื่อนก็ไปนอนโรงแรมในเมือง เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครมายืนเรียกอาโจตอนกลางคืนแบบนั้น
เสียงนั้นก็ยังเรียกอยู่ โจ โจ ตัวอาโจก็รู้สึกใจไม่ดี เลยพลิกตัวหันไปหาเพื่อนก็เห็นเพื่อนนอนลืมตาอยู่ อาโจก็ตกใจพยายามมองว่าใช่เพื่อนหรือเปล่าก็เป็นเพื่อนจริง ๆ ระหว่างนั้นก็มีเสียงเรียก โจ โจ ดังขึ้นมา อาโจก็เลยถามเพื่อนเบา ๆ ว่า ได้ยินมั้ย เพื่อนอาโจไม่ตอบ แต่เขาพยักหน้า พอเพื่อนอาโจพยักหน้า เสียงผู้หญิงก็ตะโกนมาเลยครับว่า ได้ยินแล้วทำไมไม่ตอบ เท่านั้นแหละเพื่อนทุกคนรวมทั้งอาโจลุกขึ้นมานั่งเรียงกันเลยครับ ตอนนั้นอาโจสติหลุดแล้วครับจะวิ่งออกจากบ้านไปที่วัด แต่เพื่อนอาโจรีบคว้ามือไว้ถามว่าจะไปไหน เพื่อนอีกคนก็บอกว่าไม่ต้องไปไหนหรอกอยู่นี่แหละ อาโจก็บอกว่าจะอยู่ได้ยังไงมันน่ากลัว เพื่อนก็เลยบอกว่าถ้าเขาเข้ามาได้เขาเข้ามาแล้ว แล้วเราจะวิ่งออกไปหาเขาทำไม
ตอนนั้นทุกคนก็เลยต้องจำใจอยู่ตรงนั้นเพื่อรอให้เช้า นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมตอนเช้ามืดพอเริ่มมีแสงออกมา กลุ่มเพื่อนถึงพากันเดินมาที่วัด อาพัดก็ไม่สบายใจว่าเพื่อนมาแล้วต้อนรับเพื่อนไม่ดี คุณพ่อเลยบอกว่าไม่เป็นไร งั้นทุกคนก็มานอนที่วัด ส่วนคุณพ่อของผมจะไปนอนเป็นเพื่อนอาพัดเอง เพราะคุณพ่อผมคิดว่าอาพัดเสียคุณแม่ไปแล้ว เพื่อนก็ไม่ยอมนอนด้วย เลยไม่อยากให้นอนคนเดียว และคุณพ่อผมก็อยากไปทำพิธีบางอย่างด้วย
พอตอนกลางคืนคุณพ่อผมกับอาพัดก็มาที่บ้าน พอมาถึงสิ่งที่คุณพ่อผมตกใจอย่างแรกเลยคือ บ้านอาพัดฝั่งด้านหน้าจะเป็นปูนฝั่งด้านท้ายจะเป็นไม้ แล้วฝั่งด้านท้ายบ้านมันพังครับ คุณพ่อก็สงสัยทำไมปล่อยให้บ้านพัง คุณพ่อผมก็ไปจับไม้ดูมันมีขี้เถ้าติดมา คุณพ่อผมท่านรีโนเวทบ้านเยอะ ท่านก็ทราบว่าบ้านนี้มันไม่ได้พังมานานแล้วแต่มันเพิ่งพัง มันต้องมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ตอนนั้นคุณพ่อผมก็ไม่ซักไซ้อะไร ถ้าอาพัดอยากเล่าเมื่อไหร่ก็คงเล่าเอง
คุณพ่อผมก็ขึ้นไปนอนบนชั้นสองตรงจุดที่พวกอาโจนอนกันเมื่อคืน พอขึ้นไปนอนคุณพ่อผมก็สวดมนต์ไหว้พระตามปกติ แล้วบทที่คุณพ่อผมใช้ก็คือกรณียเมตตสูตร ก็คือบทที่พระพุทธเจ้าทรงประทานให้ภิกษุสาวกสวดเพื่อให้เหล่าผีสางเทวดาเป็นมิตร ก็มีการแผ่เมตตาไป แล้วคุณพ่อผมก็นั่งวิปัสสนากรรมฐานเพื่อจะแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้กับวิญญาณอะไรก็ไม่รู้ที่อาโจเจอมา ระหว่างนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ จนกระทั้งคุณพ่อผมจะนอน คุณพ่อผมก็จะทำสมาธิก่อนนอนเพื่อให้จิตมันสงบ
ในขณะที่คุณพ่อผมทำสมาธิเนี่ย คุณพ่อผมรับรู้ได้ว่ามันมีพลังงานบางอย่างมากระทบที่จิต พลังงานนั้นรุนแรงมากจนคุณพ่อผมรู้สึกว่าไม่น่าอยู่ ร้อน อยู่ไม่ได้ เหมือนเขาพยายามไล่เราออกไปจากตรงนั้น คุณพ่อผมก็เลยอธิษฐานในใจว่า ในเมื่อเราไม่เคยมีเวรมีกรรมต่อกัน งั้นเราก็มาสร้างกุศลด้วยกัน เรามาทำสมาธิกันเถอะ ทันทีที่คุณพ่อผมคิดแบบนั้นก็มีเสียงสวนขึ้นมาเลยครับว่า กูไม่ทำ คุณพ่อผมได้ยินแบบนั้นก็รู้แล้วว่าต้องเป็นวิญญาณที่อาฆาต เป็นวิญญาณที่ไม่ดีแน่ ๆ คุณพ่อผมก็เลยไม่วุ่นวายกับเขาอีก ก็นั่งแผ่เมตตาแล้วนึกถึงคาถาที่คุณพ่อผมชอบใช้คือ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันเกษมสูงสุด ที่พึ่งอื่นเสมอเหมือนไม่มี ก็ท่องอยู่อย่างนั้น
พอมาตอนเช้าคุณพ่อผมก็เตรียมตัวไปวัด อยู่ดี ๆ อาพัดก็เดินมาหาคุณพ่อผมแล้วก็ถามว่า เขาชวนทำอะไรเหรอ คุณพ่อผมก็เลยรู้ว่าเสียงเมื่อคืนที่เขาตะโกนว่ากูไม่ทำเนี่ย คุณพ่อผมไม่ได้ได้ยินคนเดียว อาพัดก็ได้ยินด้วย อาพัดก็บอกว่าอาพัดได้ยิน ได้ยินแม้แต่คืนก่อนที่มีคนมาตะโกนเรียกอาโจ แต่เขาไม่กล้าเล่าเพราะกลัวว่าเพื่อนจะกลัว เพื่อนตั้งใจมางานคุณแม่จะไปเล่าให้เพื่อนกลัวก็คงไม่ใช่เรื่อง
พออาพัดเล่ามาถึงตรงนี้ก็ถึงเวลาจับเข่าคุยกันแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น อาพัดก็เล่าให้ฟังว่า อาพัดไม่ได้เริ่มอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มาตั้งแต่แรก อาพัดอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง แต่คุณแม่ป่วยก็เลยมาดูแลคุณแม่ที่บ้านหลังนี้ ซึ่งเป็นบ้านที่คุณแม่อยู่กับคุณพ่อใหม่หรือที่เรียกว่าพ่อเลี้ยง ตั้งแต่วันแรกที่เหยียบเข้าบ้านหลังนี้ อาพัดมีความรู้สึกว่าบ้านนี้ไม่น่าอยู่แต่อาพัดก็ต้องอยู่เพราะต้องดูแลคุณแม่ มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าเป็นเสียง เป็นภาพ แต่ยังไงอาพัดก็ต้องดูแลคุณแม่..
ฝั่งพ่อเลี้ยงจะมีลูกติดมาคนหนึ่ง เหมือนเป็นคนเพี้ยน ๆ ชอบเดินพูดคนเดียว แต่เขาไม่ได้เสียสตินะครับ แค่เป็นคนเพี้ยน ๆ คิดอะไรไม่เหมือนคนอื่น แล้วที่แปลกที่สุดคือระหว่างที่อาพัดดูแลคุณแม่ ในห้องของลูกเลี้ยงคนนี้เขาจะชอบสวดมนต์ แล้วเป็นบทสวดที่อาพัดไม่คุ้นเลย เป็นบทสวดแปลก ๆ มันเลยทำให้อาพัดยิ่งไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับลูกเลี้ยงคนนี้ครับ คุณพ่อผมก็ถามว่าแล้วตอนนี้ลูกเลี้ยงคนนี้ไปไหน อาพัดก็บอกว่า อ๋อ เขาเสียไปก่อนหน้านี้แล้วเดือนนึง
คุณพ่อผมก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างกับบ้านหลังนี้ อาพัดเลยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง คือมีวันหนึ่งตอนที่คุณแม่อาพัดกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว ส่วนตัวอาพัดไปทำธุระในเมือง วันนั้นมันมีรถที่วิ่งมาด้วยความเร็วจากท้ายหมู่บ้านออกไปปากซอย แล้วเสียหลักพุ่งชนบ้านในส่วนที่เป็นไม้แล้วเดินหน้ามาชนคุณแม่ของอาพัด คุณแม่อาพัดกระเด็นล้มหมดสติ กะโหลกแตก หนังศีรษะเปิด ต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวอยู่เป็นเดือน ต้องผ่าตัดเพื่อคีบเอากระดูกออกมาจากสมองเพราะมันมีเศษกะโหลกเข้าไปอยู่ตรงนั้น
ผ่าถึงสามครั้ง สุดท้ายคุณแม่อาพัดก็ไม่รอด แต่ตอนนั้นไม่ได้มีแค่คุณแม่อาพัดที่เสียชีวิตคนเดียว มีเด็กอีกคนหนึ่งก็คือลูกเลี้ยงคนนี้อยู่ตรงข้างบ้านด้วย รถคันนั้นอัดเด็กคนนี้ชนกับบ้าน สภาพคือสะโพกเขาบิดไปอีกข้างหนึ่งของลำตัว แต่รถยังชนกับบ้านอยู่เด็กคนนี้ยังไม่เสียชีวิตทันที ก็ร้องเรียกขอความช่วยเหลือ ชาวบ้านแถวนั้นก็พยายามจะเข้ามาช่วย แต่อยู่ดี ๆ ไฟก็ลุกขึ้นมา อาจเป็นเพราะชนครัวแล้วมีถังแก๊สหรือเพราะถังน้ำมันอะไรก็ตามแต่ ไฟก็ลุกขึ้นมาแล้วเผาน้องคนนี้ทั้งเป็น นี่จึงเป็นสาเหตุที่บ้านของอาพัดครึ่งที่เป็นไม้มันพัง แล้วก็มีเขม่า เรื่องราวเพิ่งเกิดประมาณเดือนก่อน แต่ลูกติดคนนี้เสียชีวิตทันทีในวันนั้นก็ทำศพไปก่อน ระหว่างนั้นคุณแม่อาพัดก็รักษาตัวแล้วมาเสียชีวิตทีหลัง
พอเล่าเรื่องนี้เสร็จ อาพัดก็เดินไปหยิบรูปถ่ายมาให้คุณพ่อผมดู เป็นรูปที่คุณแม่เขาถ่ายกับพ่อเลี้ยงแล้วก็ลูกเลี้ยง พอคุณพ่อผมเห็นรูปใบนี้ก็ตกใจ เพราะเด็กผู้หญิงผิวขาวสวยในรูปหน้าตาเป็นคน ๆ เดียวกับผู้หญิงที่ยืนหาของอยู่ที่คุณพ่อผมเจอในคืนแรก ที่ผิวเขาดำเพราะเขาโดนไฟเผา แล้วอาพัดก็บอกว่านี่คือห้องของน้องผู้หญิงคุณนี้ พอคุณพ่อผมเปิดประตูเข้าไป ตกใจกว่าเดิมอีกครับ
ฝั่งขวาของห้องเนี่ยเป็นตู้เสื้อผ้า เป็นเตียงปกติ แต่ฝั่งซ้ายมีโต๊ะหมู่บูชาสามสี่ชุดใหญ่ ในบรรดาโต๊ะหมู่บูชานั้น พระสักองค์ก็ไม่มี มันเป็นสิ่งที่เรียกว่ามนต์ดำไสยเวทย์ทั้งนั้น คุณพ่อผมเดินไปดูว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้นบ้าง ก็ไปเตะตากับขันใบหนึ่งเป็นขันเงินตั้งอยู่ด้านล่าง คุณพ่อผมก็คิดว่าขันใบนี้ต้องเอาไว้ใช้ทำพิธีอะไรแน่ ๆ ด้วยความที่คุณพ่อของผมมีความนับถือศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างตั้งมั่น ก็รวบรวมจิตแล้วอธิษฐานขอเข้าไปดูว่ามันคือขันอะไร พอเข้าไปหยิบขันมาก็เจอตุ๊กตาอยู่ในขัน เป็นตุ๊กตาไม้เขียนวันเดือนปีและเวลาเกิด คุณพ่อผมหยิบออกมาแล้วเอาให้อาพัดดู อาพัดเห็นตุ๊กตาไม้นั้นอาพัดน้ำตาซึมเลยครับ เพราะมันเป็นวันเดือนปีและเวลาเกิดของคุณแม่อาพัด และส่วนหัวของตุ๊กตาไม้ถูกเฉือนออกไปครึ่งหนึ่ง หมายความว่าทุกคืนที่อาพัดได้ยินเสียงเขาสวดมนต์ คือเขาพยายามทำของใส่คุณแม่อาพัด
อาพัดก็คิดว่าจะทำยังไงกับขันใบนี้ คุณพ่อเลยบอกว่าขันใบนี้เดี๋ยวจะเอาไปให้สัปเหร่อที่วัดจัดการเขาน่าจะมีความรู้ ส่วนบ้านหลังนี้จะทำยังไง เขาก็ปรึกษากัน แล้วอาพัดกับคุณพ่อผมเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน อาพัดรู้อยู่แล้วว่าพ่อผมชอบซื้อบ้านที่มีประวัติมารีโนเวทขาย อาพัดก็เลยถามว่าสนใจมั้ย บ้านเค้าเนี่ย คุณพ่อผมตอบไปทันทีเลยครับ ไม่สนใจ เพราะคุณพ่อผมรู้ว่าที่ไหนควรซื้อไม่ควรซื้อ ที่ไหนควรทำไม่ควรทำ เขาก็ปฏิเสธทันทีเลยว่าเขาไม่เอา ยังไงก็ไม่เอา
พองานศพจบลง ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับ ระหว่างที่ขับรถกลับบ้านที่ศรีสะเกษคุณแม่ก็เล่าว่า ไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นนะ วันที่อยู่ที่วัดเนี่ยลูกดิ้น ยิ่งออกมาจากวัดแล้วอยู่ฝั่งที่ใกล้บ้านลูกก็จะยิ่งดิ้นมาก คือคุณแม่ผมท้องได้หกเดือนแล้วนะครับตอนนั้น แล้วมีอยู่วันหนึ่งคุณแม่ผมจะมาตามคุณพ่อ แค่เดินข้ามถนนมายังไม่ถึงตัวบ้าน ลูกดิ้นมากจนคุณแม่ผมเกร็งหลัง หลังเจ็บ ยืนไม่ได้จนต้องลงไปนั่งพับเพียบ เจ็บจนเดินต่อไปไม่ได้ คุณพ่อก็บอกว่ามันก็แปลกดีนะ ผมก็มีเรื่องแปลกเหมือนกัน คุณพ่อผมก็เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้กับคุณแม่ฟัง
กลับมาที่ศรีสะเกษได้ไม่นาน อาพัดก็โทรมาบอกว่าบ้านที่ตอนแรกว่าจะซ่อมมันซ่อมไม่ได้ ให้ใครมาทำก็ทำไม่ได้ ให้คุณพ่อผมช่วยหน่อย ถ้าไม่ซื้อก็ช่วยมาทำหน่อยได้มั้ย คุณพ่อผมก็ปฏิเสธว่าไปไม่ได้ ติดงาน ตอนนั้นคุณพ่อผมไม่อยากไป ปฏิเสธไปหลายรอบ อาพัดก็โทรมาหลายรอบ หลัง ๆ คุณพ่อผมโดนรบเร้ามาก คุณพ่อผมเลยไปคุยกับพระอาจารย์ที่คุณพ่อผมนับถือที่จังหวัดจันทบุรี ตอนนี้ท่านละสังขารแล้วนะครับ เป็นสายของหลวงปู่มั่น พอไปถึงก็ไปกราบพระอาจารย์ เสวนาธรรมกันอยู่พักหนึ่ง คุณพ่อผมก็ปรึกษาเรื่องที่คุณพ่อผมไปเจอมาที่บ้านของอาพัด
พระอาจารย์ท่านนี้ก็บอกว่า โยมต้องไปนะ บุญบาปสัมพันธ์ที่โยมมีนั้นทำให้โยมต้องไป ประโยคนี้ทำให้คุณพ่อผมใจอ่อนลงมาครึ่งหนึ่ง คุณแม่ผมเห็นแบบนั้นเลยบอกว่า พัดก็เป็นเพื่อนกันมานานแล้ว คราวนี้เพื่อนคงหมดหนทางจริง ๆ ก็ไปช่วยหน่อย คุณแม่ผมก็เป็นกำลังใจให้คุณพ่อผมด้วย มันเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณพ่อผมต้องกลับไปช่วยอาพัดรีโนเวทบ้านหลังนี้ ดังนั้น บ้านหลังนี้จึงพิเศษตรงที่เป็นบ้านหลังเดียวที่คุณพ่อผมไม่ได้ซื้อแต่ทำการรีโนเวท
ในการไปครั้งนี้ สิ่งที่คุณพ่อผมห่วงที่สุดคือคุณแม่ผมที่กำลังท้อง ความเชื่อของคุณพ่อผมตามหลักพระพุทธศาสนา การเกิดจะมีสี่อย่าง แต่ผมขอพูดแค่สองอย่างคือ ชลาพุชะโยนิ หมายถึงการเกิดในครรภ์ก็คือเกิดแบบสัตว์ทั้งหลาย กับโอปปาติกะโยนิ คือการเกิดแล้วเป็นตัวตนเลย อย่างเช่น เกิดเป็นเทวดาเลย หรือเกิดเป็นสัตว์นรกเลย อันนี้ไม่ต้องอาศัยครรภ์ ตามที่คุณพ่อผมเข้าใจ ชลาพุชะโยนิเนี่ย เป็นการเกิดในครรภ์เมื่อยังไม่มีจิตมาจุติ มันมีโอกาสที่จะให้โอปปาติกะทั้งหลายเข้าไปจุติจิตในครรภ์ได้
คุณพ่อเขาก็ห่วงว่าลูกเขาจะแท้งหรือจะมีเหตุการณ์อื่น ๆ เกิดขึ้นกับลูกบ้าง คุณพ่อผมก็เลยปรึกษากับท่านอาจารย์ ท่านก็เลยให้ยันต์มาผืนหนึ่งเรียกว่าเป็นผ้ายันต์เจ้าจตุโลกบาลทั้งสี่ คุณพ่อผมก็เลยเอาผ้ายันต์ผืนนี้ม้วน แล้วมัดด้วยเชือก แล้วต่อเชือกคล้องเอวคุณแม่ให้อยู่ในระดับครรภ์เพื่อให้คุ้มครองครรภ์ของแม่ผมเอาไว้ พอทุกอย่างพร้อมเขาก็ตรงไปที่บ้านของอาพัดเพื่อที่จะไปซ่อมบ้าน
พอไปถึงบ้านหลังนี้คุณพ่อก็พาช่างกลุ่มเดิมไปทำ แต่คุณพ่อผมสั่งห้ามคุณแม่เลยว่าห้ามไปยุ่งเกี่ยวหรือเข้าไปใกล้บ้านหลังนี้ คุณแม่ผมก็มีหน้าที่ทำอาหารแล้วส่งไปให้คุณพ่อกับพวกทีมช่าง คุณพ่อผมพอไปถึงจังหวัดนี้ก็เช่าบ้านที่อยู่ในเมืองไว้หนึ่งหลัง เริ่มทำงานตอนสาย ๆ คือเก้าโมงไปแล้ว พอบ่ายสามหยุดงานทันทีเลยไม่รอเย็น กะเวลาว่าทำไม่นานน่าจะสองสามอาทิตย์เสร็จ
ระหว่างที่ทำ ฝั่งคนงานของคุณพ่อก็ได้เจอได้ยินได้เห็นสิ่งแปลก ๆ ไม่ว่าจะเป็นของย้ายที่ เครื่องมือช่างจากอยู่ชั้นล่างก็ไปอยู่ชั้นบนทั้งที่ไม่มีใครไปชั้นบน หรือแม้แต่นั่งทำงานอยู่ก็รู้สึกว่ามีคนเดินไปเดินมาอยู่ข้างนอก หรือมีคนงานอยู่ท่านหนึ่งไปนอนฟังวิทยุระหว่างพัก ก็ได้ยินเสียงกระซิบแทรกขึ้นมาสนุกมั้ย ฝั่งคุณพ่อผมก็มีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้น คือมีคืนหนึ่งพาลูกน้องไปกินข้าว พอเดินเข้าไปในร้านเจ้าของร้านก็บอกว่ามากันเยอะแยะขนาดนี้โต๊ะจะพอเหรอ ทั้งที่ความจริงคุณพ่อคุณแม่กับลูกน้องไปกันแค่หกคน ไม่ได้เยอะแยะอะไรขนาดนั้น
แล้วก็มีเหตุการณ์หมาหอนตอนกลางวัน คุณพ่อผมก็พยายามคิดในแง่บวกว่าสมัยก่อนมันจะมีรถพ่วงที่มีลำโพงฮอร์น มันอาจไปตรงกับโสตประสาทของหมาแถวนั้นก็ได้มันเลยหอนขึ้นมา แต่มันมีสองเหตุการณ์ที่คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เหตุการณ์แรกก็คือ วันนั้นคุณแม่ผมต้องแวะมาหาคุณพ่อเพื่อคุยธุระสำคัญ แต่พอคุณแม่ผมมาถึงก็ไม่เจอคุณพ่อ คุณแม่ผมก็เลยเข้าไปนั่งรอเพื่อจะคุยกับคุณพ่อ
พอนั่งลงก็เห็นคุณพ่อผมเดินไปเดินมาแบบหัวเสีย อารมณ์ไม่ดี คุณแม่ผมเลยไม่กล้าเอาเรื่องอื่นไปเพิ่ม คุณพ่อผมก็เดินไปเดินมาเหมือนหาของครับ คุณพ่อเดินไปเดินมาแล้วก็บ่น อยู่ไหนนะ อยู่ไหนนะ เดินไปหน้าบ้านก็บ่น เดินไปหลังบ้านก็บ่น จนคุณแม่ผมถามว่าหาอะไร ให้ช่วยหามั้ย คุณพ่อผมก็ไม่ตอบ จนสุดท้ายคุณพ่อผมก็ไปยืนหน้าบ้านเท้าสะเอวแล้วถอนหายใจบ่นว่า มันหายไปไหนนะ คุณแม่ผมก็เลยเดินไปจับมือคุณพ่อถามว่า คุณ คุณหาอะไร เดี๋ยวฉันช่วยหา
คุณพ่อผมหันกลับมาแล้วบอกว่า ผมก็หาคุณนั่นแหละ คุณหายไปไหน ผมเห็นคุณมาแล้วคุณก็หายไปเลย ผมไม่อยากให้คุณมาบ้านหลังนี้ คุณมาทำไม แล้วคุณหายไปไหนมา คุณแม่ผมบอกว่าเค้านั่งอยู่ตรงนี้ แล้วเค้าก็ชี้ไปที่เก้าอี้ ซึ่งเก้าอี้มันก็ตั้งอยู่ในบ้าน คุณพ่อผมก็เดินผ่านไปผ่านมาแต่คุณพ่อผมไม่เห็น แล้วเก้าอี้ตัวนั้นตั้งอยู่หน้าห้องของน้องที่เป็นลูกเลี้ยงของคุณแม่อาพัด คุณพ่อผมเลยรู้สึกว่าไม่เอาแล้ว นี่มันต้องเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่าผีบังตาแน่ ๆ คุณพ่อผมก็เลยพาคุณแม่ออกมาจากบ้านแล้วไปส่งที่บ้านเช่าในเมือง แล้วกำชับคุณแม่เลยว่าไม่ให้มายุ่งกับบ้านหลังนี้อีก
เหตุการณ์ที่สองคือวันที่คุณพ่อกับทีมช่างได้ทำบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว วันนั้นคุณพ่อผมรู้สึกเหมือนจะป่วย อาการไม่ค่อยดี เลยกินยาแล้วขึ้นไปนอนชั้นสอง ก่อนไปนอนก็สั่งลูกน้องไว้ว่าทำงานเสร็จแล้วก็เก็บข้าวของ เดี๋ยวตอนบ่ายเขาจะลงมาเช็คความเรียบร้อยแล้วกลับพร้อมกัน ให้ขึ้นมาปลุกด้วยตอนงานเสร็จ แล้วคุณพ่อผมก็เผลอหลับไป สมัยนั้นคนทำงานก่อสร้างเขาจะชอบถือกระติกน้ำเย็น ๆ ใส่น้ำแดงน้ำเขียวกินให้ชื่นใจ คุณพ่อผมก็ถือกระติกนั้นขึ้นไปด้วย ก็วางไว้แล้วก็นอน
คุณพ่อผมตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงคนเตะกระติกใบนี้ล้ม ตอนตื่นขึ้นมาอย่างแรกที่คุณพ่อผมเห็นเลยคือมันมืด มันเป็นกลางคืน แล้วประตูห้องเปิดอยู่เห็นชั้นล่างเปิดไฟอยู่ จังหวะนั้นคุณพ่อผมเห็นหลังไว ๆ พุ่งออกจากห้อง คุณพ่อผมก็เลยลุกออกมาดูว่ามันเป็นอะไร พอคุณพ่อผมลุกจากเตียงเหยียบไปที่พื้นห้อง มันก็เลอะน้ำ คุณพ่อผมก็ก้มลงไปมอง เค้าเห็นเท้าตัวเองเหยียบบนน้ำ และเห็นรอยเท้าที่เหยียบบนน้ำแล้ววิ่งออกจากห้องไป
โดยปกติเวลาเราเดินออกจากห้องปลายเท้าเราจะชี้ไปที่ประตูใช่มั้ยครับ แต่รอยเท้าอันนั้น ส้นเท้ามันชี้ไปที่ประตู ซึ่งมันเหมือนคนเดินถอยหลังออกไปที่ประตู ระหว่างที่คุณพ่อผมกำลังคิดอยู่ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง โอ้ย โอ้ย อยู่ข้างล่าง คุณพ่อผมก็รีบลงไปเพราะเสียงที่คุณพ่อผมได้ยินเป็นเสียงที่คุณพ่อผมคุ้นเคยมาก นั่นคือเสียงของคุณแม่ผม คือคุณแม่ผมมารอก่อนหน้านี้แล้ว แล้วก็ไล่ทีมช่างกลับไปก่อนบอกว่าไม่ต้องไปปลุก คุณพ่อผมไม่ค่อยสบายอยากให้นอนเต็มที่ แล้วคุณแม่ผมก็ทำเอกสารรอ..
คุณพ่อผมเห็นแบบนั้น คุณพ่อผมก็โกรธมากบอกว่า บอกแล้วไงว่าไม่ให้มายุ่งกับบ้านหลังนี้ยังจะมาอีก แต่ตอนนั้นคุณแม่ของผมเจ็บท้องแบบเจ็บมากครับ จะว่าคลอดก็ไม่ใช่เพราะเพิ่งตั้งท้องได้หกเดือน คุณพ่อผมก็กังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเด็กในท้อง คุณพ่อผมก็เลยพาคุณแม่ไปขึ้นรถ จังหวะที่กำลังขับรถจะออกไปที่โรงพยาบาลในเมือง ตอนนั้นสติเขาอยู่ที่คุณแม่อย่างเดียวไม่สนใจอะไรเลย พอขับออกจากบ้านเห็นทางเลี้ยวเขาก็เลี้ยว พอเลี้ยวไปสักพักเขาเห็นทางขวาเป็นวัด ซึ่งปกติแล้วออกจากบ้านมันต้องมีทางตรงออกจากบ้านผ่านวัดไปถนนใหญ่ได้เลย แต่คุณพ่อผมไม่เห็นทางตรงเห็นแต่ทางเลี้ยว
คุณพ่อก็เลยเลี้ยวมาทางข้าง ๆ แล้วทางข้าง ๆ ตรงนี้มันเป็นทางที่สร้างอ้อมสระน้ำ คุณพ่อผมก็ต้องขับรถอ้อม เลี้ยวซ้ายอีกสองครั้งเพื่อจะกลับมาทางหลักเหมือนเดิม ซึ่งแน่นอนว่าคุณพ่อผมต้องขับผ่านบ้านอีกครั้งเพราะเหมือนไปเริ่มต้นใหม่ที่ท้ายซอย พอคุณพ่อผมเลี้ยวกลับมาทางหลัง และกำลังพะว้าพะวงกับคุณแม่ที่มีอาการเจ็บท้อง คุณพ่อผมเห็นผู้หญิงคนเดิมคนนั้น ยืนอยู่ที่เดิมที่นั้น เค้ายืนหันหลังให้ แต่หันแค่ช่วงบน ช่วงล่างไม่ได้หันด้วย แล้วตัวบิดเบี้ยว มือบิดเบี้ยว พอหันหน้ามาคุณพ่อผมก็จำได้ว่าเหมือนกับหน้าของคนที่อยู่ในรูปภาพ ก็คือลูกเลี้ยงคนนั้น
แล้วเขาก็วิ่งเข้ามาใส่รถ เหมือนวิ่งกวดรถคุณพ่อผม คุณพ่อผมก็ตั้งสติสวดมนต์ภาวนา แล้วตั้งใจว่าสิ่งที่เจอไม่รู้นะว่าเป็นคนหรือเป็นผีหรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ ถ้าวิ่งมาขวางรถ เขาจะชน ไม่ได้มีเจตนาจะชนเพื่อทำร้ายแต่เพื่อผ่านไปเพราะจะพาคุณแม่ไปโรงพยาบาล พอวิ่งผ่านตรงนั้น ผู้หญิงคนนี้ก็วิ่งสวนมา กระโดดขึ้นมาบนรถแล้วก็หายไป คุณพ่อผมก็ตกใจ มองกระจกหลังก็ไม่เห็นมองข้างหน้าก็ไม่เห็น แล้วมันก็ค่ำแล้วมันมืด พอคุณพ่อผมขับผ่านบ้านที่คุณพ่อผมกำลังรีโนเวท คุณพ่อผมหันไปเห็นเป็นกลุ่มคนมากกว่าสิบคน ยืนอยู่หน้าบ้าน ข้างบ้าน บนหลังคา ยืนอยู่เต็มไปหมดเลยครับ
พอหันมาที่กระจกด้านซ้ายฝั่งคุณแม่ เค้าก็เห็นผู้หญิงนั้นเกาะกระจกอยู่แล้วก็เอาลิ้นมาเลียที่กระจก คุณพ่อผมพอเห็นแบบนั้นก็อาราธนาทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณพ่อผมเชื่อถือ ยึดมั่น แล้วก็ขับรถตรงไปที่วัดที่ตอนแรกมันไม่มีทางตรงแต่ตอนนี้มันมีแล้ว คุณพ่อผมกะว่าจะเลี้ยวเข้าวัดแต่เสียงคุณแม่ก็ร้อง มันชุลมุนมาก คุณพ่อผมก็เลยตั้งใจไปโรงพยาบาล พอพ้นปากซอยจะไปโรงพยาบาล อาการของคุณแม่ผมก็ค่อย ๆ ดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น จนกระทั่งถึงโรงพยาบาลแล้ว อาการเจ็บท้องของคุณแม่ผมหายไปเลยครับ
แต่คุณพ่อผมบอกว่ายังไงก็ต้องตรวจ ไม่รู้ว่าลูกเป็นอะไรบ้างหรือเปล่า คุณแม่ก็บอกว่า แต่ฉันไม่เป็นอะไรแล้วนะ ลูกก็ไม่ดิ้นแล้วนะ นิ่งสนิทเลย คุณพ่อบอกว่ายิ่งนิ่งสนิทนี่แหละยิ่งน่ากลัว ไปตรวจ พอไปตรวจคุณแม่ผมก็ไม่เป็นอะไร ทุกอย่างปกติดี เลยเป็นที่สงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ วันถัดมาคุณพ่อก็โทรบอกอาพัดว่าบ้านเสร็จแล้วนะให้มาดู ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่ของผมก็ไปกราบพระที่วัด คือตั้งแต่มาอยู่มาทำบ้านสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา คุณพ่อกับคุณแม่ของผมไม่มีโอกาสมาทำบุญที่วัดนี้เลย เอาแต่ทำงาน ก็เลยเข้าไปกราบหลวงพ่อที่วัด
ก็เสวนาธรรมกันอยู่พักหนึ่งแล้วก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง หลวงพ่อท่านก็บอกว่าที่ตรงนี้มันแรง คุณพ่อก็ถามว่ามันแรงยังไงครับ หลวงพ่อก็บอกว่าให้ไปคุยกับพวกคณะกรรมการวัดแล้วจะรู้ว่ามันแรงยังไง คุณพ่อก็เลยไปหากรรมการวัด เขาก็เล่าให้ฟังว่า สมัยนั้นพ่อเลี้ยงของอาพัด สมมติว่าชื่อลุงพลนะครับ ลุงพลเป็นลูกคนมีฐานะ มีที่นาที่ดินเยอะ แต่ลุงพลเป็นคนเกเร ด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่เป็นคนมีสตางค์ เขาก็ใช้ชีวิตแบบประมาท ไม่ทำมาหากิน สำมะเลเทเมาไปเรื่อย ด้วยประมาทว่าทรัพย์สินเงินทองมีเยอะ จนวันหนึ่งคุณพ่อกับคุณแม่ของลุงพลเขาเสียชีวิตไป
สมบัติทุกอย่างก็ตกมาที่ลุงพล แต่มันมีที่อยู่แปลงหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ของลุงพลเขายกให้วัด แต่ลุงพลแกไม่ยอม ด้วยความที่แกเป็นคนไม่เชื่ออะไรเลย ที่ผืนนี้แกจะเอามาให้ได้ เพราะในความจริงโฉนดมันก็เป็นชื่อของลุงพลนั่นแหละ มันเป็นการยกโดยคำพูด ก็เลยดึงที่กลับมาไม่ให้วัด แล้วสร้างถนนขึ้นมาข้างวัดคั่นระหว่างวัดกับบ้าน แล้วที่ตรงนั้นเขาไม่สนใจเลยว่าเป็นอะไรมาก่อน เขาก็สร้างเลย มารู้ทีหลังก็คือมันเป็นที่เผาศพมาก่อน แต่ลุงพลแกไม่สนใจ ทุบทุกอย่างทิ้งแล้วสร้างบ้านทับ ซึ่งเหตุการณ์ทุกอย่างมันเกิดขึ้นก่อนที่ลุงพลจะไปชอบพอกับคุณแม่ของอาพัด
และไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ลุงพลได้เขียนพินัยกรรมและมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้กับคุณแม่ของอาพัด มันเลยทำให้ลูกสาวที่เป็นลูกติดของลุงพลไม่ชอบคุณแม่ของอาพัด เขาเลยทำของใส่คุณแม่อาพัดครับ พอคุณพ่อผมรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ก็คิดว่าจะพาอาพัดมาคุยกับพวกกรรมการวัด จะได้รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับบ้านหลังนี้บ้าง พออาพัดได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด อาพัดตัดสินใจทันทีเลยว่าที่ตรงนี้จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ที่ของเขาแต่แรกอยู่แล้ว มันเป็นที่ของคุณพ่อคุณแม่ลุงพลที่ตั้งใจจะยกให้วัด เพราะฉะนั้น กรรมสิทธิ์อันนี้เขาไม่ขอรับไว้ เขาก็ขอยกให้วัดตามเจตนารมณ์ของคุณพ่อกับคุณแม่ของลุงพล
แล้วเขาก็ขอยกส่วนบุญส่งกุศลในการถวายที่ดินให้วัด แผ่ไปยังลุงพล แผ่ไปยังทุก ๆ ชีวิตที่อยู่ยังบริเวณนี้ ส่วนฝั่งคุณพ่อผมก็ทำพิธีบังสุกุลผีไร้ญาติ พอเหตุการณ์การตรงนี้จบคุณพ่อผมก็กลับไปอยู่ที่ศรีสะเกษ ก่อนที่จะไปเจอบ้านอีกหลังหนึ่งที่นนทบุรีที่ผมเล่าไว้ในเรื่อง สิ่งที่พ่อผมเจอ นั่นแหละครับ
แล้วคำพูดของพระอาจารย์ที่บอกว่า บุญบาปสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงระหว่างคุณพ่อผมให้ต้องไป สิ่งที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้มันอาจจะดูไม่สมเหตุสมผล ตรงนี้ขอให้แล้วแต่วิจารณญาณของทุกคนจะเชื่อเลยนะครับ แต่โดยส่วนตัวผม ผมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ พระอาจารย์ท่านบอกว่า ในสมัยหนึ่งประเทศไทยเคยถูกคุกคามด้วยอหิวาตกโรค ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่หนึ่งถึงรัชกาลที่ห้าอหิวาตกโรคระบาดจนคนตายเป็นหมื่น ๆ คนมาแล้ว จนล่าสุดสมัยรัชกาลที่ห้ามีการระบาดสองครั้งในปี 2402 กับปี 2424 ซึ่งเป็นการระบาดครั้งสุดท้าย
ครั้งนั้นมีคนตายประมาณ 2600 -2700 คน พระอาจารย์ท่านเล่าว่า ครั้งหนึ่งคุณพ่อผมก็เคยเกิดอยู่บริเวณบ้านหลังนี้ บริเวณวัดนี้ เคยเป็นคนในหมู่บ้านนี้ แล้วไปสัญญากับพวกที่ตายด้วยโรคนี้ก่อนแล้วว่า จะดูแลจัดการศพเหล่านี้ให้ แต่คุณพ่อผมยังไม่ทันได้ดูแลจัดการศพเหล่านี้ คุณพ่อผมก็ติดเชื้ออหิวาแล้วตายตามไปด้วย มันเลยเป็นสัญญาว่าศพบางศพที่ยังไม่ได้มีการจัดการตามที่คุณพ่อผมสัญญาเอาไว้ พอมาในชาตินี้คุณพ่อผมเลยต้องมาทำพิธีบังสุกุลผีไร้ญาติเพื่อแก้ไขสัญญาที่เคยผูกพันกันไว้ในชาติปางก่อน อันนี้คือเป็นความเชื่อของคุณพ่อผมครับ
ส่วนสิ่งที่ผมเรียกว่าผีตีนกลับ ผมไม่แน่ใจว่าสมัยนี้ยังมีอยู่มั้ย แต่ในสมัยนั้นคุณพ่อเล่าให้ฟังว่าก็ยังมีชาวบ้านเจอผีตีนกลับไล่กวดรถที่ขับผ่านไปผ่านมาตรงนี้อยู่ ผมก็ถามว่าแล้วทำไมเขาไม่ได้ไปเกิดเหรอ คุณพ่อผมก็บอกว่า คนที่เล่นของ คนที่ทำคุณไสย มันไม่ได้ไปไหนง่าย ๆ เราอย่าไปยุ่งกับของพวกนี้จะดีที่สุดครับ
ส่วนเรื่องบ้านหลังที่สองกับสาม (คุณบอลมาเฉลยไว้ในคอมเม้นต์ใต้คลิป) มีความสัมพันธ์กันคือ ถ้ามันไม่ใช่ของเรา จะพยายามยังไงก็ไม่ใช่ของเรา หลังที่สามนี้ เจ้าของเดิมตั้งใจอย่างหนึ่งไว้ ดังนั้น ใครมาอยู่ก็อยู่ไม่ได้ สุดท้ายก็เป็นไปตามเรื่องที่เล่าไว้ครับ สัมพันธ์กับบ้านหลังที่สอง คนที่มาซื้อบ้านหลังนี้ทุกวันนี้เขายังอาศัยอยู่ ผมไม่กล้าพูดถึงเขามาก แต่ที่รู้เขาเป็นญาติกับครูนาฏศิลป์ คุณพ่อผมไปซื้อตัดหน้าเขามาก่อน และอาจเป็นความตั้งใจของครูนาฏศิลป์ที่ทำให้คุณพ่อผมรีโนเวทบ้านไม่ได้ ทุบบ้านไม่ได้ เพราะเขาต้องการให้คนนี้มาอยู่ ซึ่งก็อยู่ได้ถึงปัจจุบันครับ ที่งงกว่านั้นคือ เจ้าของบ้านหลังที่สองนี้สมัยหนึ่งเคยอาศัยในบริเวณใกล้ ๆ หมู่บ้านของบ้านหลังที่สาม ก่อนจะย้ายไปอยู่อีกสองที่ แล้วมาซื้อบ้านหลังที่สอง และอาศัยอยู่ถึงปัจจุบันครับ.. //จบทั้ง 8 เรื่องอย่างบริบูรณ์
Post a Comment