เอา...คืนมา


     ยังคงต่อเนื่องไปด้วยกันกับความสยองที่คุณ ลอยชาย เจ้าชายนักเล่าจากพันทิปและการกลับมาครั้งนี้ด้วยเรื่องราวสุดหลอนที่มีชื่อว่า เอา...คืนมา ใครทำสิ่งใดย่อมได้รับสิ่งนั้น ไปติดตามกันเลยครับ

     สวัสดีครับ วันนี้ก็มีเรื่องมาเล่าให้ฟังกันอีกสักเรื่องนะครับ ก่อนอื่นก็ต้องบอกก่อนว่ามันเป็นเรื่องของ ความเชื่อ ซึ่งนั่นหมายถึงว่าคุณมีสิทธ์ที่จะ เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ ก็ได้ อย่างไรก็แล้วแต่ผมไม่ได้มีเจตนาจะมอมเมาหรือหลอกลวงอะไร ถ้าหากมันขัดต่อความรู้สึกของคุณ ก็ขอให้อ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้นครับ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้สักพักใหญ่ๆแล้วประมาณ 2 ปีเห็นจะได้ ตอนนั้นผมมีโอกาสได้ตามเพื่อนไปที่บ้าน ส่วนมากผมจะอาศัยตามเพื่อนไปเที่ยวเสียส่วนมากเพราะที่บ้านผมนั้นไม่ค่อยจะสะดวกออกไปเที่ยวกันไกลๆเนื่องด้วยภาระของงานที่มีอยู่ แม่จึงมักจะปล่อยให้ผมไปเที่ยวด้วยตัวเองไม่ก็ไปกับเพื่อน
     ช่วงนั้นเป็นหน้าหนาวผมจึงเลือกที่จะตามเพื่อนคนนึงกลับไปที่บ้านซึ่งอยู่ทางภาคเหนือเนื่องจากอยากไปเจออากาศหนาวๆบ้างอยู่ที่นี่เจอแต่อากาศร้อน อีกอย่างผมรู้สึกชอบบ้านเมืองและบรรยากาศของจังหวัดทางภาคเหนือมากเป็นพิเศษ
     ผมจะได้ว่าบ้านเพื่อนของผมนั้นห่างจากตัวเมืองออกไปเพียงนิดเดียวเรียกได้ว่าอยู่ในเมืองเหมือนกัน แต่ก็ค่อนข้างจะเป็นชายขอบทำให้บ้านเรือนแถวนั้นจะเป็นแบบเก่าๆที่ยังไม่ถูกทำใหม่ให้เป็นตึกแถวหรือบ้านปูนไปซะหมด รอบๆนั้นก็เป็นถนนหนทางตามปกติ ไม่กันดาร พอมีลมเย็นๆจากที่โล่งๆให้พอสดชื่น แต่ถ้าหากอยากสัมผัสกับธรรมชาติจริงๆต้องลงแรงเดินทางไปอีกหน่อย
     ในช่วงนั้นเป็นเพียงแค่วันหยุดสุดสัปดาห์ทั่วๆไปเท่านั้นไม่ใช่ปิดเทอมหรือว่าเทศกาลอะไร เอาจริงๆผมแค่ อยากเที่ยว เท่านั้นขอให้ได้เดินทางได้ไปในที่ใหม่ๆต่อให้ไปแล้วได้แค่นอนอยู่บ้านก็ยังดีกว่าให้อยู่ที่เดิมๆ แต่ทุกครั้งที่ตัดสินใจเดินทางไปไหนไกลๆมันก็มักจะตามมาด้วยประสบการณ์แปลกๆเสมอๆ
     บ้านเพื่อนของผมนั้นอยู่ในชุมชนคล้ายๆกับหมู่บ้านจัดสรรแต่จะเล็กกว่าหน่อยเพื่อนบ้านสนิทกัน มีงานอะไรก็มาช่วยเหลือกันมาเรียกกัน เหมือนกันเป็นหมู่บ้านสมัยใหม่ที่มีความเป็นอยู่คล้ายชนบทค่อนข้างให้ความรู้สึกอบอุ่น
     ในช่วงที่ผมไปพักอยู่ที่บ้านของเพื่อนนั้นบ้านใกล้ๆกันนั้นมีงานฉลองกันถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นงานหมั้นที่ไม่ใช่งานแต่งจริงๆ บ้านเพื่อนของผมถูกเชิญให้ไปร่วมงานตามธรรมเนียม แขก อย่างผมก็ได้รับเชิญไปด้วยเช่นกัน
     ผมไม่ค่อยคุ้นกับพิธีทางเหนือเท่าไหร่มันจึงรู้สึกแปลกใหม่สำหรับผมและที่แน่ๆเลยคือ ผมไม่รู้จักใครเลยมันก็ทำให้เกร็งๆไปบ้าง ผมจึงตั้งใจง่วนอยู่กับอาหารบนโต๊ะแทนที่จะเดินไปเดินมาในงานให้เกะกะคนอื่นเขา
     ในตอนที่ผมกำลังเพลินกับอาหารพื้นบ้านที่ไม่มีให้กินที่บ้านผมผมก็เหลือบไปเห็นโต๊ะนึงที่มีคุณลุงอายุน่าจะราวๆ 50 ได้นั่งกินเหล้าอยู่คนเดียว การแต่งตัวนั้นไม่เข้ากับงานเลยสักนิด ลุงใส่เพียงเสื้อโปโลกับกางเกงขาสั้นเลอะเทอะมอมแมม ไม่มีใครนั่งร่วมโต๊ะกับแก และเหมือนทุกๆคนจะเลี่ยงที่จะเดินเข้าไปใกล้แก
     ด้วยความสงสัยผมจึงหันไปถามเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน ได้ความว่าลุงแกเป็นคนอัธยาศัยไม่ค่อยดี เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่บางทีแกก็ใจดีนะเวลาใครจะเข้าไปยุ่งก็ต้องดูอารมณ์แกหน่อย ไม่ใช่ว่าเกลียดกันหรอก แต่เมื่อก่อนก็ไม่ขนาดนี้นะ แต่ไม่รู้ว่าระหว่างที่ไปเรียนต่างจังหวัดมันเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า
     ผมหยุดคำถามของตัวเองเอาไว้ตรงนั้นเพราะผมเป็นคนนอกการจะไปซํกไซร้อะไรมากก็คงจะดูน่าเกลียดไม่น้อย ผมกลับมานั่งกินต่อให้เต็มที่เพื่อรอให้งานต่างๆสิ้นสุดลงแล้วจะได้กลับไปที่บ้านกันสักที
     งานดำเนินต่อไปอีกประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงก็ได้เวลาแยกย้ายกันกลับโดยที่กับข้าวที่เหลือนั้นถูกจัดใส่ถุงเอาไว้เป็นชุดๆแจกให้กับทุกคนที่เดินทางมาร่วมงานรวมไปถึงเหล้าซึ่งมีทั้งเหล้านอกและเหล้าพื้นบ้านที่ทำกันเอง ผมกับเพื่อนมองหน้ากันอย่างนึกสนุกกะไว้ว่าคืนนี้จะปาร์ตี้กันให้สนุก
     ในตอนกลับเราเดินออกมาทางหน้าบ้านงานที่เต็มไปด้วยโต๊ะหลายตัวและแน่นอนว่าต้องเดินผ่านโต๊ะที่ลุงคนนั้นนั่งอยู่ด้วยความสงสัยที่มีผมจึงแอบมองลุงตอนที่กำลังจะเดินผ่าน แล้วมันก็พอดีกับที่ลุงลุกขึ้นมาจากโต๊ะเหมือนจะกลับแล้วเช่นกัน
     ทันทีที่ลุงลุกขึ้นเราก็ตกใจจนต้องขยับถอยหนีมาเล็กน้อยแต่เหมือนกับแกจะเริ่มมึนจากปริมาณเหล้าที่แกดื่มเข้าไปตั้งแต่ต้นงานทำให้แกเซมาทางพวกเรา ด้วยสัญชาตญาณผมที่อยู่ใกล้ที่สุดจึงเอื้อมมือไปประคองแกเอาไว้โดยไม่ทันคิด
     แต่เรื่องราวน่าประหลาดมันก็เกิดขึ้น เพราะหลังจากที่ผมเอื้อมมือไปประคองแก แกก็เกิดอาการตัวเกร็งแล้วทิ้งน้ำหนักลงไปที่พื้นในทันทีผมซึ่งไม่ทันได้ตั้งตัวจึงไม่สามารถจะดึงลุงไว้ได้ทันปล่อยให้ลุงร่วงไปนอนกับพื้นในทันที
     ด้วยร่างกายที่ค่อนข้างใหญ่บวกกับความใกล้กันของโต๊ะภายในงานทำให้เก้าอี้แถวนั้นล้มระเนระนาดไปตามทางที่ลุงล้มลงไป ผมตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก ทุกคนหันมามองหน้าผมเหมือนจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นมาได้แต่ส่ายปฏิเสธแทนคำตอบ
     ผมกับเพื่อนลงไปนั่งกับเพื่อนหวังว่าจะช่วยพยุงลุงให้ลุกขึ้นมานั่งดีๆจากสภาพการนอนราบไปกับพื้นอย่างไม่มีทีท่าว่าแกจะลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง ผมกับเพื่อนจับไปที่ตัวของลุงสอดมือเข้าไปประคองลุงที่ตอนนี้หลับตาเหมือนคนหมดสติ ผมเริ่มกังวลว่าการล้มไปเมื่อสักครู่ของลุงนั้นทำให้มันเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นหรือเปล่า
    แต่แล้วสิ่งที่ตามมาก็คือ เสียง ครับ เสียงร้องโวยวายของลุงอย่างสุดเสียง เสียงดังที่เกิดขึ้นกะทันหันทำเอาผมกับเพื่อนตกใจสะดุ้งสุดตัวและหูอื้อในทันที พร้อมๆกับที่คนทั้งงานก็ได้ยินเช่นกัน
     ตอนนี้คนทางงานมามุงดูสิ่งที่เกิดขึ้น ผมกับเพื่อนยังไม่กล้าจะปล่อยลงเพราะน้ำหนักที่ลุงทิ้งลงมาบนมือผมสองคนนั้นถ้าปล่อยลงไปลุงคงจะต้องล้มลงไปอีกครั้งแน่ๆ ผมมองไปรอบๆตัวเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่รอบๆก็มีแต่ผู้หญิงที่เป็นป้าๆยายๆเหมือนจะไม่สามารถช่วยอะไรได้
     แต่เพียงครู่เดียวหลังจากที่ลุงโวยวายเสียงดัง ก็มีกลุ่มผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับลุงวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามา จากน้ำเสียงและประโยคที่ใช้คาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนกัน
     ลุงๆอีกสองสามคนกำลังเขย่าตัวเรียกชายคนที่ยังคงส่งเสียงร้องไม่หยุด ผมที่อยู่ใกล้ๆจึงได้ยินทุกอย่างที่เกิดขึ้น แล้วผมก็สะดุดหูกับประโยคหนึ่งที่มาจากหนึ่งในคนกลุ่มนั้น ‘เอาอีกแล้วหรอวะ’
     พอได้ยินอย่างนั้นผมก็เข้าใจได้ในทันทีว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และดูเหมือนมันจะเกิดขึ้นบ่อยมากพอที่จะทำให้คนในบริเวณนี้ดูสงบมากกว่าจะแตกตื่นเหมือนอย่างเหตุการณ์ทั่วๆไป
    สร้อยพระถูกคล้องลงไปที่ลุงคนนั้น และทันทีที่สร้อยสัมผัสกับร่างกายของลุง ลุงก็ยิ่งแผดเสียงออกมาให้มากกว่าเดิม เสียนั้นดังกว่าเดิมมากและมันแหลมขึ้น เสียงสูงนั้นทำเอาคนที่อยู่รอบๆต้องเอามือขึ้นมาปิดหูไว้ แต่เพียงไม่กี่วิทุกอย่างก็เงียบลงพร้อมๆกับลุงคนนั้นที่หลับไปในทันที
     ผมกับเพื่อนถูกขอให้ช่วยหามลุงไปนอนในที่ดีๆ ลุงที่นำมาวางไว้ตรงแคร่หน้าบ้านที่จัดงานป้าๆภายในงานก็รีบคว้ายาดมยารมออกมาช่วยกันบีบนวดและพัดให้กับลุงที่กำลังหมดสติอยู่
     ด้วยความอยากรู้ผมจึงยังยืนอยู่ตรงนั้นแต่ว่าทางแม่ของเพื่อนมก็บอกให้กลับบ้านกันไปก่อน อาจจะเพราะผมเป้นคนนอกไม่ควรต้องมารับรู้หรือร่วมรับผิดชอบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ก็ไม่อยากให้ผมต้องเสียบรรยากาศในการมาเที่ยว
    ผมจำเป็นต้องกลับมาที่บ้านอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่ในใจก็ยังสงสัยอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วลุงจะเป็นอย่างไรต่อไป เพื่อนรับปากว่าเมื่อพ่อกลับมาที่บ้านจะหลอกถามมาให้ได้อย่างแน่นอน
     เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครกลับมาบ้านด้วยความเบื่อพวกผมจึงตัดสินใจออกไปข้างนอกเพื่อไปหาซื้อข้าวของกลับมาทำอาหารกินกันในตอนเย็นรวมไปถึงเครื่องดื่มที่ต้องการด้วย
     ผมกับเพื่อนขัยรถออกมากันสองคนตลอดทางผมก็พยายามถามว่าลุงแกเป็นใครอะไรยังไง สรุปคือเมียแกเสียไปนานแล้วลูกแกก็ทำงานอยู่ต่างจังหวัดแต่ก็กลับมาบ่อยด้วยความเป็นห่วง หลายครั้งที่ลูกพยายามชวนให้ลุงไปอยู่ด้วยกันแต่ก็เหมือนจะไม่เป็นผล ด้วยความห่วงบ้านหรือย่างไรไม่แน่ใจ
     เวลาผ่านไปจนมาถึงในช่วงกลางคืนที่เรารอคอย ผมกับเพื่อนช่วยกันเตรียมเตาถ่านเพื่อปิ้งย่างกันตามอัธยาศัย ในคืนนั้นมีผู้ร่วมสังสรรค์ทั้งหมด 3 คนถ้วนนั่นคือ ผม เพื่อน และพ่อของเพื่อน
     ในช่วงแรกบทสนทนาเป็นเรื่องของพวกผมตลอดเวลาที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เราพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนลืมเวลาไปเลย และในตอนที่เวลามาถึงในช่วงประมาณ 5 ทุ่มเห็นจะได้เพื่อนผมก็วนเข้าไปถึงเรื่องของลุงคนนั้นอีกครั้งเพราะเพื่อนของผมก็อยากรู้ไม่แพ้ผมเช่นกัน
    พ่อที่เริ่มเมาได้ที่ก็เล่าเรื่องอย่างออกรสออกชาติ ในส่วนแรกเป็นภูมอหลังของลุงแกซึ่งก็เหมือนกับที่เพื่อนได้เล่าให้ผมฟังแล้วแต่นั่นมันไม่ใช่แระเด็นของเรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้น พ่อยังเล่าต่อไปเรื่องจนในที่สุดก็เข้าถึงประเด็นที่ต้องการ
    พ่อบอกว่าอาการแปลกๆของชายคนนี้มันเกิดขึ้นช่วง 3-4 เดือนก่อนหน้านี้ ปกติแกเป็นคนอารมณ์ร้อนขึ้นๆลงๆประจำแต่ก็มีน้ำใจทำให้มีเพื่อนมีคนเป็นห่วงตามปกติ แกเป็นคนติดเหล้ามาก จึงชอบเรียกเอาเพื่อนๆมานั่งกินกันเป็นประจำ จนในวันหนึ่งอยู่ดีๆแกก็เริ่มเก็บตัว นานๆจะชวนเพื่อนมาสักทีซึ่งผิดวิสัย นอกจากนั้นยังเริ่มมีอาการอาละวาดในบางวัน บ้างก็ส่งเสียงร้องแปลกๆออกมาอย่างที่เห็น
     เมื่อแจ้งไปยังลูกของลุงเขาแล้วก็ได้มีการพาไปรักษาตามวิธีทางการแพทย์แต่ก็ดูเหมือนจะไม่พบสาเหตุอะไร อาการดังกล่าวไม่ได้ร้ายแรงจนทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรได้ ชีวิตของเขาไม่ต่างจากคนปกติ สามารถทำมาหากินได้ทุกอย่าง จะมีก็เพียงแต่อาการแปลกๆที่เกิดขึ้นในบางครั้งเท่านั้น
    ด้วยความเป็นห่วงปนความกลัวของเพื่อนบ้านจึงมากล่อมให้แกลองไปหา ทรง แถวบ้านดูเขาว่าทรงคนนี้สามารถช่วยเหลือได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นผีหรือคุณไสยอะไรก็แล้วแต่ แล้วมันก็เป็นไปอย่างที่ทุกคนกลัว ทรง ลงความเห็นว่าชายคนนี้ถูกผีเข้า และผีที่มาเข้านั้นก็ไม่ใช่ผีที่จะคุยรู้เรื่องได้ในระดับทั่วๆไป เพราะมันคือ ผีเปรต
     พอเราได้ฟังอย่างนั้นความสนุกในการสังสรรค์ก็ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด มีเพียงแต่พ่อที่ดูสนุกมากกว่าใครเพื่อน และในตอนนั้นเองที่เพื่อนผมทำตาโตแล้วก็สะกิดคนเป็นพ่ออย่างแรง ชี้ไปที่ถนนหน้าบ้านที่มีเพียงไฟอ่อนๆจากแสงจันทร์และไฟถนนเท่านั้น ที่ตรงนั้นมีร่างของ ลุง คนที่เรากำลังพูดถึงเดินอยู่ในความมืด

ผมมองไปตามมือของเพื่อนก็เห็นลุงคนเมื่อเช้ากำลังเดินอยู่ในความมืดอย่างช้าๆ เหมือนแกลอยๆไม่ปกติสักเท่าไหร่ด้วยความอยากรู้ผมจึงเดินไปเกาะรั้วดูแกอย่างเงียบๆกลัวแกจะโวยวายตามคำบอกเล่าของพ่อเมื่อสักครู่
     พ่อที่กำลังสนุกครึกครื้นตอนนี้แกก็กลับมาสงบเสงี่ยมและทำสีหน้ากังวล แกพยายามชวนให้พวกเราเข้าบ้านเลิกกินกันไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน แต่ผมกับเพื่อนยังไม่ยอมฟังคำแนะนำนั้นจนเพื่อนเดินตามผมมาแล้วชะโงกหน้าดูลุงพร้อมๆกับผม
     ผมกับเพื่อนพยายามมองผ่านความมืดไปว่าลุงแกมาเดินทำอะไรคนเดียวในเวลาดึกดื่นอย่างนี้ ท่าทางการเดินของแกนั้นก็ผิดปกติมากเช่นกัน โดยปกติเราจะเดินตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วประมาณหนึ่ง ถ้ามีการเมาก็อาจจะมีเซบ้าง หรือถ้ามีการบาดเจ็บอะไรมันก็ควรที่จะมีความผิดปกติให้สังเกตเห็น
     ร่างของชายแก่ที่ตั้งตรงจนผิดปากติเดินไปตามถนนคอนกรีตในหมู่บ้าน สองเท้านั้นค่อยๆก้าวอย่างช้าๆ ช้าจนผิดปกติ ร่างกายนั้นไม่มีการไหวเอนหรือเซเพราะอาการเมา แต่ละก้าวนั้นดูไม่มีความมั่นใจ สายตาจ้องเขม็งลงไปที่พื้นเหมือนพยายามจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าที่พื้นนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ
     พ่อลุกมาจากโต๊ะที่เรานั่งสังสรรค์กันเมื่อสักครู่มาแอบซุ่มดูด้วยกัน แม้ว่าที่ริมรั้วนั้นจะมีร่วมเงาจากต้นมะม่วงต้นใหญ่บังอยู่ แต่เราก็กลัวว่าลุงแกจะหันมาเห็นเราในตอนนี้ ท่าทางของลุงนั้นน่าขนลุกอย่างอธิบายไม่ถูก
     พ่อพยายามเรียกให้พวกเราตามเข้าไปในบ้านด้วยการกระซิบ สายตาของพ่อดูระแวงผิดปกติผมรู้สึกสงสัยในใจว่ามันคงมีอะไรที่พ่อยังไม่ได้เล่าให้เราฟัง มันต้องมีอะไรมากกว่าการไปหา ทรง แน่ๆ ไม่เช่นนั้นผู้ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมวงร่ำสุรากับชายคนนี้อย่างพ่อคงจะไม่กลัวมากขนาดนี้
     เรามองตามไปอีกพักใหญ่ๆเพราะการก้าวเดินที่ช้าผิดปกติทำให้ลุงเคลื่อนที่ไปได้เป็นระยะทางเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับเวลา ลุงเดินไปจนหยุดอยู่ที่ข้างรั้วบ้านหลังหนึ่ง
     ชายแก่ค่อยๆเอี้ยวตัวหันไปยังบ้านหลังนั้น สองเท้าค่อยๆขยับเข้าไปใกล้พร้อมๆกับที่สายตาของพวกเราเริ่มจะชินกับความมืดมากขึ้นจึงทำให้เห็นสิ่งที่ชายคนนั้นสนใจ
     ที่ตรงหน้าขายชายคนนั้นเมื่อข้ามรั้วที่มีความสูงเพียงระดับสายตาไปแล้วก็เห็นว่าเป็น ศาลพระภูมิ เราเฝ้ามองอยู่จนได้เห็นภาพที่ทำให้เราต้องขนลุกไปตามๆกัน สองมือของชายคนนั้นเอื้อมข้ามรั้วบ้านไปควานเอาเครื่องเซ่นตรงหน้าศาลพระภูมิอย่างหิวโหย
     สองมือกวาดไปมาไร้ระเบียบปัดข้าวของตกจนเราได้ยินเสียงถ้วยชามกระทบพื้น สองมือนั้นยังควานหาอะไรบางอย่างแล้วในที่สุดเขาก็หามันเจอ ชายแก่หยิบเอาก้อนข้าวเหนียวที่ถูกนำมาเซ่นไหว้ศาลพระภูมิติดมือมา เขามองก้อนข้าวในมืออย่างพิจารณาก่อนจะค่อยๆยกเข้ามาใกล้ๆปากแต่ก็ไม่กินเขาตัดสินใจขว้างมันทิ้งลงพื้นอย่างไม่พอใจ
     แม้ว่าเราจะเริ่มเกิดความกลัวขึ้นมาในใจเล็กน้อยแต่ความสงสัยที่มีก็ยังมากกว่าเราเฝ้ามองเขาต่อไปอีกหน่อยก็เขาก็เดินต่อไปยังมุมถนนอีกมุมหนึ่ง
     ฝูงหมาที่นอนอยู่แถวนั้นลุกขึ้นมามองหน้าเขาอย่างระแวง แม้ว่าหมาบางตัวจะส่งเสียงขู่เป็นสัญญาณเตือนให้กลับไปแต่ชายคนนี้ยังคงเดินหน้าต่อไปเหมือนไม่ได้ยินคำเตือนนั้น เขาเดินเข้าไปใกล้ที่อยู่ของหมาต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็หยุดเดิน
     หลังจากที่ชายคนนั้นหยุดเดินเพราะเหมือนจะเจอสิ่งที่เขาต้องการแล้ว หมาเกือบสิบตัวมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวงบางตัวเห่าบางตัวก็ขู่ในลำคอ เขายืนนิ่งๆมองหมาพวกนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ชายคนนั้นค่อยๆอ้าปากขึ้นทีละนิด
     ทันทีที่เขาอ้าปากหมาทั้งหมดก็วิ่งหนีเขาไปทันทีทั้งๆที่เขายังไม่ได้ออกเสียงตะโกนไล่แต่อย่างใด เราทั้งสามคนขุนลุกกับภาพที่เห็นแต่สิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านก็คือภาพเหตุการณ์หลังจากนั้น
     หลังจากที่ฝูงหมาหลายตัวจากไปแล้วที่ตรงนั้นจึงโล่งมากพอให้เราได้เห็น ถุงเศษอาหารที่มีคนใจดีเอามาวางไว้ให้พวกมัน แม้ว่าเราจะมองไม่ชัดมากนักแต่ก็แน่ใจว่ามันคือเศษอาหารที่ได้มาจากการเทรวมกันของอาหารหลายๆอย่าง
     ชายคนนั้นค่อยเดินต่อไปอีกนิดตรงไปยังถุงพลาสติกใบนั้น บนพื้นรอบๆถุงมีเศษอาหารเศษข้าวกระจายอยู่เต็มไปหมด ลุงคนนั้นค่อยนั่งลงข้างๆที่ตรงนั้น สองมือของแกจุ่มลงไปในถุงข้าว แล้วสิ่งที่พวกเราไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ลุงค่อยๆหยิบเอาเศษอาหารนั้นใส่ปากอย่างช้าๆ แม้ว่าเกินครึ่งของเศษอาหารที่หยิบได้แต่ละทีจะหกเลอะเทอะลงไปที่พื้นก็ตาม
     สองมือนั้นยังคงไม่หยุดหยิบเศษอาหารนั้นเข้าปาก แต่มันก็กลายเป็นว่าเศษอาหารส่วนมากร่วงลงไปอยู่ที่พื้น ด้วยความเสียดายหรืออะไรก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้ อยู่ดีๆชายคนนั้นก็ก้มลงไปคลานที่พื้นเอาหน้าแนบไปกับถนนคอนกรีตก่อนจะค่อยๆอ้าปากงับเอาเศษอาหารที่ร่วงอยู่ตามพื้นกินลงไป
     เราขนลุกไปด้วยความกลัวและคลื่นไส้จนอยากอาเจียน เราสามคนเดินเข้าไปในบ้านอย่างระวังเพราะกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงเรา เพื่อนผมรีบเข้าไปอาเจียนในห้องน้ำด้วยความขยะแขยงกับสิ่งที่เห็น คนเป็นพ่อนั้นพยายามล๊อกบ้านด้วยความรวดเร็วพร้อมกับจุดธูปไหว้พระที่หิ้งพระทันที
      แม้ว่าผมจะไม่ได้อาเจียนออกมาแต่เมื่อนึกถึงภาพนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกคลื่นไส้ไม่น้อย ในคืนนั้นเราตัดสินใจเข้านอนกันในทันทีแต่จากฤทธิ์เหล้าและกับแกล้มที่กินเข้าไปนั้นยังอยู่มันเลยทำให้เรายังไม่สามารถหลับลงได้ในทันที ถ้าหากเราเมามากกว่านี้ก็คงจะหลับได้อย่างง่ายดาย
     ผมกับเพื่อนนอนมองหน้ากันอยู่พักหนึ่งก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลับลง เราจึงตัดสินใจเปิดคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของเราขึ้นมาเล่นกมส์ฆ่าเวลากันจนกว่าจะถึงเวลานอนตามปกติของพวกเรา
     เราเล่นเกมส์ไปได้สักพักหนึ่งก็เริ่มที่จะง่วงขึ้นมาบ้าง ตลอดเวลาที่เรากำลังเล่นเกมส์เราก็ยังไม่วายคุยกันเรื่องสิ่งที่เราเห็นเมื่อสักครู่ในตอนนั้นผมยังไม่มีคำอธิบายหรือคำตอบใดๆให้กับเพื่อนของผม มีแค่สิ่งเดียวเท่านั้นที่แน่ในคือ ชายคนนี้ไม่ปกติแล้ว และมันก็ดูจะมากกว่าการละเมอ หรืออาการเมา
     เราเปิดเสียงเกมส์ดังพอที่จะไม่ได้ยินเสียงจากของนอก แต่แล้วอยู่ดีๆเพื่อนผมก็ได้ยินเสียงแปลกๆดังเข้ามาจากทางหน้าต่าง เพราะเพื่อนผมนั่งเล่นอยู่บนเตียงติดกับหน้าต่างส่วนผมนั้นนั่งอยู่บนพื้นข้างเตียงถัดมา เสียงนั้นลอดเข้ามาในโสตประสาทของเราสองคนเพียงเล็กน้อย
‘เสียงอะไรวะ ได้ยินไหม’ เพื่อนผมเรียกให้ผมเงี่ยหูฟังเสียงแปลกๆที่ดังเข้ามาในห้องนอน
     ผมพยักหน้าตอบรับว่าผมก็ได้ยินเสียงแปลกๆนั้นเช่นกันแต่มันไม่ชัดเจนนักเพราะเสียงเกมส์ของเรา ผมบอกให้เพื่อนลองเบาเสียงเกมส์ลงหน่อยเผื่อจะได้ยินอะไรมากขึ้น ทันทีที่เสียงเกมส์เบาลงจนเกือบจะเงียบเราก็ได้ยินเสียงประหลาดนั้นอย่างชัดเจน เสียงเล็กแหลมคล้ายลมลอดผ่านรูเล็กๆด้วยความเร็ว
วี้ด........
วี้ด.............
     เรามองหน้ากันด้วยความตกใจผมยังคงปลอบใจเพื่อนว่ามันอาจจะเป็นเสียงนกหรือเสียงลมพัดผ่านโมบายบ้านไหนก็ได้ แต่แล้วเสียงอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาตอกย้ำความคิดที่ผิดของผม เมื่อฝูงหมาในหมู่บ้านพากันหอนรับกันสนั่นหวั่นไหว
     เสียงหอนโหยหวนของฝูงหมาทำเอาพวกเรารู้สึกขนลุกไปตามๆกัน เสียงนั้นเย็นยะเยือกจนทำให้รู้สึกวังเวียงมากกว่าปกติเราติดสินใจปิดไฟปิดคอมทุกอย่างขึ้นไปนอนบนเตียงท่ามกลางเสียงทั้งสองเสียงที่ยังดังอยู่ตลอดเวลาราวกับกำลังเถียงอะไรกันอยู่
     เสียงเล็กแหลมนั้นค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆจนเราเริ่มรู้สึกระแวงพร้อมๆกับเสียงหมาที่หอนโหยหวนรุนแรงขึ้นจนเหมือนมันจะขาดใจ แม้ว่าเราไม่ได้ต้องการจะฟังแต่เสียงนั้นก็ดังจนเราไม่สามารถหลีกหนีจากมันได้ อีกหนึ่งสิ่งที่ยืนยันความคิดของพวกเราก็คือเสียงเล็กแหลมนั้นดังต่อเนื่องไม่มีตก ไม่มีช่วงแผ่วหรือลมหายใจขาดไป มันดังสม่ำเสมอไม่มีทีท่าว่าจะหมดแรง
     เราพยายามหลับตาท่ามกลางเสียงโหยหวนเหล่านั้น แล้วก็เกิดการเปลี่ยนแปลงกับเสียงเหล่านั้น เพราะเสียงนั้นค่อยๆเปลี่ยนไป เสียงหวีดร้องเล็กแหลมนั้นเปลี่ยนเป็นเสียงหนาๆเหมือนคนส่งเสียงผ่านลำคอ พร้อมๆกับเสียงหมาหอนที่เงียบไปเหมือนคนปิดเทปที่เปิดเอาไว้
อือ....
อือ.......
     เสียงนั้นดังต่อไปอีกราวๆ 10 นาที เราทนฟังเสียงนั้นจนมันเงียบไป เรามองหน้ากันเหมือนจะถามกันว่า เราไม่ได้ฝัน เราไม่ได้เมาใช่ไหม แม้จะไม่รู้ว่าที่มาของเสียงนั้นคืออะไร แต่ตอนนี้มันก็จากเราไปแล้ว อย่างน้อยคืนนี้เราก็คงจะนอนหลับลงได้ เราตกลงกันว่าพรุ่งนี้เช้าเราจะต้องไปถามให้ได้ความ ไม่ปล่อยให้มันคลุมเครืออยู่อย่างนี้
     แล้วเราก็ไม่รู้เลยว่ามันเป็นการสร้างปัญหาให้เราเข้าไปพัวพันกับเรื่องวุ่นวายที่เกิดกว่าจะแก้ได้ด้วยตัวของพวกเราเอง

ในตอนเช้าวันต่อมาเราตื่นมาด้วยความสงสัยที่ยังค้างคาอยู่ในหัว เรารีบลงมาข้างล่างเพื่อทานอาหารเช้าให้เสร็จ เพราะจริงๆแล้วเราต้องการคำตอบและคำอธิบายของเรื่องเมื่อคืนเสียมากกว่า
     เมื่อลงมาถึงด้านล่างเราก็เห็นแม่กำลังจัดโต๊ะอาหารไว้สำหรับเราสองคน เพาะมีเพียงกับข้าวสองสามอยู่กับข้าวเปล่าสองจานเท่านั้น นั่นหมายความว่าเราลงมาไม่ทันพ่อแล้ว พอลงมาถึงโต๊ะสิ่งแรกที่เพื่อนของผมถามแม่คือ พ่อไปไหน
     แม่บอกว่าพ่อรีบออกไปตั้งแต่เช้าสงสัยจะเป็นเรื่องของ ลุงทิว แกนั่นแหละเมื่อวานก็ท่าทางไม่ดี พอได้ยินดังนั้นเราก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปรีบถามต่อถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกถูกไล่กลับมาทันที
     แม่เล่าให้ฟังว่าหลังจากที่พวกเรากลับบ้านไปแล้วทั้งแม่ทั้งพ่อต้องอยู่ช่วยเขาหลายอย่างทั้งเก็บสถานที่ทั้งจัดการอาหารที่เหลือ ก็เลยพลอยโดยให้ช่วยดูแลลุงทิวแกไปด้วย หลังจากที่แกสลบไปตอนโดนคล้องพระน่ะ ปลุกยังไงแกก็ไม่ยอมตื่น ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมตื่นจนมีคนสงสัยว่า แกตายหรือเปล่า
     พอมีคนพูดขึ้นมาอย่างนั้นก็ทำเอาแตกตื่นกันไปหมด แต่แกยังหายใจอยู่นะ แล้วก็มีคนพูดแทรกขึ้นมาอีกด้วยความเชื่อที่เขาว่ากันว่าลุงแกโดนผีเปรตสิง เขาว่าผีเปรตกินได้แต่ของเหลือเศษเดนอาหาร เขาก็เลยลองไปตักเอาเศษอาหาที่ทิ้งๆกันมาจากหลังบ้านาแล้วก็จุดธูปเรียกดู
      ตอนนั้นแม่ก็กลัวมากอยู่แต่ก็อยากรู้ พอมีคนไปจุดธูปเรียกเปรตให้มากินข้าว ลุงแกก็ตื่นขึ้นมาซะเฉยๆอย่างนั้นเล่นเอาคนแถวๆนั้นกลัวกันไปหมด คนเฒ่าคนแก่เขาบอกว่าเปรตมันเข้าไปอยู่ในตัวลุงทิว พอเอาข้าวมาล่อมันก็ออกจากร่างลุงทิวไปกินข้าว ลุงแกเลยตื่น
     แม่ก็ไม่รู้ว่ามันจริงไม่จริง แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ พ่อเขาก็รีบออกไปแต่เช้าแล้วเห็นว่าจะไปหารือกับเพื่อนๆมั้ง เมื่อคืนเจออะไรกันมารึเปล่า พ่อเขาไม่ยอมเล่าให้ฟัง
     บทสนทนาของสองแม่ลูกจบลงแค่ตรงนั้นผมได้แต่นั่งฟังเงียบๆแล้วก็พยายามจะปะติดปะต่อเรื่องราวที่ได้ยินทั้งหมดเข้ากับความรู้กับสิ่งที่ตัวเราเคยผ่านมา สิ่งหนึ่งที่คาใจมากๆคือ เปรต นั้นเป็นภพภูมิที่ต่ำเอามากๆ ต่ำกว่าสัมภเวสี การจะติดต่อกับใครก็เป็นการยาก แต่ถึงกับเข้าสิงได้มันก็ดูจะแปลกเกินไป
     เรารินทานอาหารเช้าให้เสร็จอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะตามพ่อออกไป เราไม่มีแพลนจะไปเที่ยวที่ไหนกันอยู่แล้วถึงมีก็คงจะยกเลิกเสีย เพราะเหตุการณ์ตรงหน้ามันดึงดูดใจกว่าเยอะ อีกอย่างเพื่อนผมก็คงไม่สบายใจนักถ้าจะกลับไปเรียนทั้งๆที่แถวๆบ้านมีเรื่องแย่ๆแบบนี้ คงจะเป็นห่วงพ่อกับแม่ไม่น้อย
      เราคว้าเอามอเตอร์ไซด์คันเก่าในบ้านออกมาขี่ไปหาพ่อที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ตลอดทางเพื่อนผมก็พยายามถามผมว่าพอจะรู้สึกหรือรับรู้อะไรได้บ้างไหมผมก็ตอบเพื่อนได้แค่ว่าสิ่งที่ทุกคนสงสัยกันน่าจะเป็นเรื่องจริง น่าจะมีผีไปสิงลุงทิวแกจริงๆ แต่สาเหตุก็ต้องหากันต่อไป
     เรามาถึงสวนว่างๆเกือบจะท้ายหมู่บ้าน ตรงนั้นมีศาลาไม้มีแคร่ไม้ใหญ่โตมักจะเป็นที่นัดเจอของชายวัยเกษียณในหมู่บ้านที่มักจะมานั่งจิบเหล้าจิบเบียร์โขกหมากรุกกันตลอดทั้งวัน ดีกว่านอนเฉยๆอยู่ในบ้าน
     เราตรงเข้าไปที่แคร่ไม้ตัวใหญ่ด้านหน้าตรงนั้นมีพ่อของเพื่อนผมและลุงๆอีกหลายคนนั่งอยู่ เมื่อพ่อเห็นพวกเราก็รีบกวักมือเรียกเข้ามาหาเพื่อมาช่วยยืนยันในสิ่งที่เราเห็นกันเมื่อคืน จากหนึ่งเสียงกลายเป็นสามเสียงมันก็เริ่มน่าเชื่อถือมากขึ้น แล้วเราก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหกด้วย
     เรานั่งปรึกษาหารือถึงทางออกกันต่อผมกับเพื่อนได้แค่นั่งฟังเงียบๆเท่านั้นจนลุงคนหนึ่งที่ดูจะเป็นที่เคารพของคนอื่นๆหยิบเอากระเป๋าคาดมอมๆเก่าๆของตัวเองออกมา แล้วล้วงเอาขวดเล็กๆขนาดประมาณขวดยาหยอดตาทั่วๆไปแต่เล็กกว่า
‘นั่นมัน ลักยม นี่’ ผมหลุดปากพูดออกไปด้วยความเคยชิน
     ลุงคนที่เป็นเจ้าของหันมามองผมด้วยท่าทางประหลาดใจขวดแก้วเล็กๆใสๆในมือถูกเอามาวางไว้บนโต๊ะ ลุงหันมาถามด้วยความสงสัย ‘เด็กสมัยนี้รู้จักลักยมด้วยเรอะ’
     ประโยคคำถามสั้นๆแต่ต้องตอบกันยาว ผมไม่รู้ว่าสมัยนี้เรื่องราวของคุณไสย์นั้นหลงเหลือให้คนรุ่นราวคราวเดียวกับผมรู้จักมากน้อยเพียงใด แต่สำหรับ ผม ที่คลุกคลีกับสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่จำความได้ไม่มีทางที่ผมจะไม่รู้จัก ผีเลี้ยงยอดฮิต ในอดีตอย่างลักยมแน่นอน
     เพื่อนตัดสินใจเล่าเรื่องของผมให้ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นฟังแม้ว่าจะไม่ได้เล่าละเอียดมากนักแต่ก็พอจะได้ใจความสั้นๆอย่างที่พวกเขาต้องการ คือ ‘ผมเห็นผี ไล่ผีได้ รู้เรื่องคุณไสย’ ด้วยเวลาที่จำกัดจึงบอกเล่าได้เท่านี้โดยไม่ได้อธิบายอะไรผมก็เลยโดนเหมาไปว่าเป็น ทรง เหมือนกับคนแถวๆนั้น
     ผมไม่ได้ใส่ใจจะแก้ไขความเข้าใจผิดนั้นเท่าไหร่ เพราะมันไม่สำคัญอยู่แล้วว่าเขาจะจำผมอย่างไร เราวนกลับเข้ามาที่เรื่องเดิมอีกครั้งสาเหตุที่ลุงขาวหยิบเอาลักยมออกมาก็เพื่อจะใช้งาน ลุงขาวต้องการจะส่งลักยมไปแอบดูลุงทิวว่าเขาโดยผีจริงไหม ลักยมนั้นจะผูกจิตติดกับคนที่เป็นเจ้าของ เขาจะสามารถสื่อสารกันได้ในระดับคนที่มีวิชาอาจจะถึงขั้นพูดคุยกันได้เป็นถ้อยคำ แต่บางคนก็เลี้ยงไว้แค่เฝ้าบ้าน ไม่ก็ค้าขายเท่านั้น
      ลุงขาวเดินวานให้ผมกับเพื่อนไปซื้อขนมกับน้ำหวานที่ร้านค้าใกล้ๆมาให้พร้อมกับธูป ลุงขาวจุดธูปดอกหนึ่งเพื่อสื่อสารกับลักยมที่เลี้ยงไว้ ลุงขาวต้องการให้ทั้งสองคนไปสอดส่องดูที่บ้านของลุงทิวเพื่อยืนยันในเรื่องที่พ่อเป็นคนเล่าและมีพวกเรายืนยันให้ฟัง โดยใช้ขนมเป็นค่าตอบแทน
     หลังจากที่ลุงขาวเรียกลักยมออกมาแล้วผมก็เห็นเป็นสภาพของวิญญาณเด็กทารกน้อยๆวนอยู่รอบๆตัวลุงขาวก็จะลอยไปทางที่คาดว่าน่าจะเป็นบ้านของลุงทิว ลุงขาวเหมือนต้องการจะตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับผมจึงหันมาถามลักษณะของลักยมที่เพิ่งปรากฏเมื่อสักครู่ ซึ่งผมก็ตอบตามที่เห็น
     ลุงขาวหัวเราะลั่นและยอมรับว่า ผมไม่ได้โกหก ลุงขาวดูจะถูกใจมากที่มีคนรุ่นใหม่แล้วรู้เรื่องพวกนี้จนเทยาดองใส่แก้วให้ผมกิน ซึ่งมันแรงมากผมก็เพิ่งจะเคยกินที่มันแรงขนาดนี้ เล่นเอาร้อนไปทั้งตัว
     ระหว่างรอคำตอบจากลักยมลุงขาวก็เล่าเรื่องราวของตัวเองให้ฟังเพื่อฆ่าเวลา ลุงขาวตอนหนุ่มๆเคยเป็นนายพรานรับจ้าง ทั้งพาเที่ยว หาของป่า ล่าสัตว์ ไม่แปลกที่ต้องมีวิชาความรู้ด้านนี้เอาไว้บ้าง ต่อมาก็เลิกอาชีพนี้เพราะไม่อยากฆ่าสัตว์หันมาเป็นคนวิ่งรถส่งของ แล้วก็เป็นพ่อค้าไปในตัว
     ลุงขาวชอบของขลังและพยายามเรียนรู้ไสยเวทบางอยู่ที่เอาไว้ป้องกันตัวแบบที่พอจะเรียนเอาด้วยตัวเองได้ นั่นเป็นที่มาว่าทำไมแกถึงเป็นคนมีวิชา แม้ว่ามันจะน้อยนิดแต่ก็เพียงพอสำหรับดูแลตัวเองในยามต้องเดินทาง
     ด้วยส่วนตัวผมนั้นเป็นคนที่ไม่สนับสนุนการ เลี้ยงผี เป็นอย่างยิ่งจึงเผลอเตือนลุงาวออกไปตรงๆ ดีที่แกเข้าใจแกบอกว่าลักยมนี้ได้มาโดยบังเอิญมีคนให้มา ก็เลยรับมาดูแล จริงๆก็รู้ว่ามันไม่ดีแต่ก็รู้สึกผูกพันไปแล้ว พอจะทำใจปล่อยไปก็ใจหาย แต่ก็คิดไว้ว่าจะส่งเขาไปเกิดตอนลูกชายคนเล็กบวช
     ผมไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไรต่อเพราะมันเป็นสิทธิ์ของเขา ทำอย่างไรก็ต้องรับอย่างนั้น เราเตือนแล้ว ไม่นานลักยมก็กลับมาส่งข่าวให้ผู้เป็นนายได้รับรู้ สีหน้าของลุงขาวดูประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งที่ลักยมบอกกับพ่อบอกนั้น ตรงกัน
     คราวนี้ประเด็นกลับมาอยู่ที่ว่า จะทำอย่างไรต่อไปกันดี เพราะได้ข้อสรุปแล้วว่าลุงทิวแกไม่ปกติจริงๆ หลังจากที่ทุกคนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเพื่อนผมก็เสนอขึ้นมาว่าให้ ผม เป็นคนจัดการดีไหม ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
     แต่อย่างว่าล่ะครับ เด็กอายุยี่สิบต้นๆ มาจากต่างถิ่นที่ไหนก็ไม่รู้ใครจะเชื่อใจให้ทำอะไรได้ ความคิดเห็นนี้ก็ตกไปโดยสิ้นเชิง ลุงขาวเองก็ไม่ได้มีวิชามากพอจะไปต่อกรกับผีสางที่เฮี้ยนๆหรือร้ายกาจอะไร สุดท้ายข้อสรุปก็คือ เราจะพาลุงทิวไปหา ทรง คนเดิมโดยคราวนี้จะต้องจัดการให้เด็ดขาดให้ได้
     ลุงขาวกับลุงคนอื่นๆอีกสองสามคนตัดสินใจไปหาลุงทิวที่บ้านเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ลุงทิวยอมไปหาทรงด้วยตัวเอง ซึ่งผมก็แอบคิดในใจว่าใครมันจะไปยอมกันง่ายๆ อยู่ดีๆก็มาบอกว่ามีผีเข้าไปหาทรงจะได้หายแล้วยิ่งเป็นเปรตอีก
     ตอนนี้เหลือผม เพื่อน พ่อ และลุงอีกคนนั่งรออยู่ที่เดิมโดยนั่งกินกับแกล้มเล่นไปพลางคุยกันไปพลางลุงอีกคนดูท่าทางใจดีชวนผมคุยถามไถ่อะไรหลายๆอย่างผมก็ยินดีที่จะเล่าให้ฟัง ส่วนมากก็เป็นเรื่องผีๆสางๆนี่แหละครับ
     เวลาผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ทุกคนก็กลับมาแล้วก็เป็นไปตามคาด ลุงทิวไม่ยอมมาด้วย ทุกคนจึงมานั่งคิดกันต่อว่า จะเอาอย่างไรต่อไปดี แล้วลุงขาวก็เป็นคนเสนอความคิดที่ค่อนข้าวเสี่ยงออกมา
‘เราจะล่อให้ผีมันออกมากิน แล้วเข้าไปจับ’ ลุงขาวเสนอความคิดที่ทำให้ทุกคนต้องผงะไป
     แม้ว่ามันจะฟังดูน่ากลัวแต่ก็เหมือนจะเป็นวิธีเดียวที่จะทำได้ แล้วนอกจากจะสามารถจับลุงทิวได้ก็จะได้พิสูจน์ไปในตัวด้วยว่าถ้าแกออกมาตามคำเรียกจริง แสดงว่าแกต้องมีผีสิงแน่ๆ ลุงคนอื่นๆเห็นด้วยกับความคิดนี้แต่สีหน้าดูไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก

แผนของลุงขาวมีอยู่ว่ากลางดึกคืนนี้จะเอาเศษอาหารไปวางไว้ที่ท่อน้ำทิ้งท้ายหมู่บ้านแล้วจะจุดธูปเรียกเปรตให้มากินด้วยความเชื่อที่ว่าเปรตชอบสิ่งปฏิกูล ให้ทุกคนออกมาเจอกันตอนใกล้ๆห้าทุ่ม
      เรากลับบ้านกันโดยพ่อกำชับว่า ห้ามบอกแม่ กลัวแม่จะกังวลและกลัว เรารอให้เวลามาถึงดีที่วันนี้แม่เข้านอนตามปกติหลับไปตั้งแต่ก่อน 5 ทุ่ม เราใช้จักรยานปั่นไปที่ท้ายหมู่บ้านเพื่อไม่อยากให้เกิดเสียงดัง เมื่อไปถึงก็เห็นลุงขาวกับลุงคนอื่นๆรออยู่ก่อนแล้วโดยกำลังจัดวางเศษอาหารอยู่
      เรารอให้เวลาใกล้เที่ยงคืนจนหมู่บ้านเงียบสงัด ลุงขาวเป็นคนจุดธูปและปักลงไปบนขี้โคลนข้างๆเศษอาหารนั้นแล้วก็ได้เวลาที่เราจะ เฝ้ารอคำตอบที่จะปรากฏให้เห็น
      การกระทำของลุงขาวนั้นไม่สามารถ เจาะจง ไปยังเปรตตนที่ต้องการได้ทำให้สัมภเวสีแถวๆนั้นแวะเวียนวนมากินเศษอาหารตรงนั้นด้วยภาพในวันนั้นน่ากลัวและน่าขนลุกเป็นอย่างมาก ลุงขาวเหมือนจะไม่เห็นในสิ่งที่ผมเห็น ผีตายอดตายอยากนั่งรุมกินเครื่องเซ่นอย่างมูมมาม
      ผมไปกระซิบบอกลุงขาวแกก็ดูตกใจเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้เลยใช้ให้ลักยมที่มีไล่ผีแถวนั้นออกไปให้หมดแล้วกันไว้ไม่ให้เข้ามาในตอนนี้ ลุงขาวแกไม่ได้เห็นอะไรตลอดเวลาแต่ก็ถือว่าเป็นคนมีวิชาคนหนึ่ง
      เวลาผ่านไปจนเกือบตีหนึ่ง เราได้ยินเสียงหมาหอนมาจากทางหน้าหมู่บ้าน ทุกอย่างมันกำลังจะเริ่มแล้วในตอนนี้เสียงหมาหอนนั้นเหมือนกับในคืนที่ผมกับเพื่อนได้ยินไม่มีผิดมันช่างโหยหวนราวกับจะขาดใจ
      แล้วสายตาของผมก็มองไปเป็นเห็นเงาร่างหนึ่ง เงาร่างนั้นสูงใหญ่และเก้งก้างใช่ครับ เปรต แต่ไม่รู้ว่ามันจะใช่ตนที่เราต้องการรึเปล่าคราวนี้เหมือนลุงขาวก็จะเห็นด้วย แต่สิ่งที่ทุกคนรับรู้คือ เสียงหวีดปากที่ลอยมาตามลมอย่างน่าขนลุก
      เงาร่างสูงใหญ่นั้นก้าวอย่างรวดเร็วไปทางหมู่บ้าน ผมได้แต่มองตามอยู่ไกลๆด้วยความสยอง ถ้าใครเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเปรตจะรู้ว่าสภาพมันน่าอเนจอนาถขนาดไหน แล้วในความเงียบนั้นเองลุงขาวก็พูดขึ้นมา
‘มันเดินไปทางบ้านไอ้ทิว’
      ผมตกใจกับประโยคนั้น แสดงว่าเปรตตนนี้คือตนที่เราสงสัย แล้วไม่นานคำตอบก็วิ่งมาหาเรา ร่างของลุงทิวค่อยๆเดินอย่างช้าๆผ่านความมืดตรงมายังเศษอาหารที่พวกเราเตรียมไว้ แม้ว่าธูปจะดับไปแล้วก็ตาม
      สายตาของทุกคนดูตื่นกลัวแต่ก็ไม่ยอมออกมาจากบ้านของคนที่ใกล้ตรงนั้นที่สุด ลุงทิวเดินไปตรงเศษอาหารนั้น แล้วลงมือจกกินอย่างมูมมาม ภาพตรงหน้าช่างน่าเวทนาและชวนขนลุก
       ลุงขาวเดินนำทุกคนไปหาลุงทิวที่นั่งยองๆอยู่กับพื้นแต่ก็เหมือนว่าลุงทิจะไม่สนใจเราเลย ลุงขาวส่งเสียงเรียกอย่างกล้าๆกลัวๆ ก็ไม่มีทีท่าว่าลุงทิวจะได้ยิน
       ลุงขาวให้ลุงคนอื่นๆไปจับตัวลุงทิวเอาไว้ แต่แล้วคนที่เข้าไปจับก็ต้องหงายหลังเพราะการสะบัดแขนของลุงทิว ลุงทิวไม่ได้ตัวใหญ่หรือแข็งแรงมากนักแต่กลับสามารถสะบัดให้คนอื่นถอยออกมาได้
       ลุงคนอื่นๆสามสี่คนรวมถึงพ่อของเพื่อนผมเข้าไปช่วยกันจับแต่ก็ไม่สามารถหยุดมือของลุงทิวได้ ลุงทิวไม่สนใจพวกเราเลยสาตาจ้องอยู่ที่เศษอาหารเท่านั้น จนสุดท้ายทุกคนต้องช่วยกันออกแรงผลักลุงทิวจนล้มลงไปแล้วกดเอาไว้
       แม้ว่าตอนนี้ลุงทิวจะถูกกดเอาไว้กับพื้น สายตาของลุงทิวก็ไม่วางไปจากเศษอาหารตรงหน้าพยายามยื่นคอกระยิ้มกระสนเข้าไปใกล้ เมื่อไปไม่ถึงก็พยายามแลบลิ้นออกมาเลียเอาเศษข้าวตามพื้นกิน ภาพนั้นทำให้ลุงบางคนถึงกับสั่นกลัวน้ำตาไหล
       ลุงขาวเดินตรงเข้ามาถอดพวงพระของตัวเองออกจากคอ ยกมือขึ้นอาราธนา แล้วสวมลงไปที่คอของลุงทิวทันที ร่างนั้นดิ้นเหมือนคนชักกระตุก ดิ้นแรงเสียจนต้องเผลอปล่อยมือ
       ตอนนี้ลุงทิวดิ้นอยู่กับพื้นด้วยท่าทางทรมาน แล้วลุงทิวก็เริ่มส่งเสียงประหลาดออกมา วี้ด.... เสียงนั้นน่าขนลุกเป็นอย่างมาก เมื่อทุกคนได้สติจึงเข้าไปกดอีกครั้งไม่ให้ลุงทิวดิ้นไปตามพื้นคอนกรีตแข็งๆ
       ลุงขาวพยายามสวดมนต์แต่ก็ดูจะไม่เป็นผล เสียงของลุงทิวดังขึ้นเรื่อยๆจนเริ่มแสบแก้วหู ลุงบางคนถอยออกไปแล้วด้วยความกลัวเหลือเพียงไม่กี่คนที่ออกแรงอยู่ ผมที่ทนไม่ไหวจึงเข้าไปจับหัวลุงทิวเอาไว้แล้วทำเหมือนที่เคยทำ จนในที่สุดลุงทิวก็หลับไป

ตอนนี้ลุงทิวหลับไปแล้ว ทุกคนดูไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นและผมก็ไม่คิดจะอธิบายอะไรด้วยในตอนนั้น พวกลุงๆช่วยกันหามลุงทิวเข้ามาในบ้านของลุงคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ลุงทิวถูกวางไว้ตรงม้านั่งหน้าบ้าน ทุกคนพยายามเรียกให้แกตื่นขึ้นมาแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าแกจะตื่นขึ้นมา
     น้ำเย็นๆถูกเทลงบนหน้าของลุงทิวเพื่อปลุกแกให้ตื่น แต่ก็ไม่เป็นผลลุงทิวยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น ด้วยความกังวลลุงๆก็พยายามฟังเสียงหัวใจเอามือไปอังจมูกกลัวว่าแกจะเป็นอะไรไป
     หลังจากที่ไม่สามารถปลุกลุงทิวให้ตื่นได้ในตอนนี้พวกลุงๆจึงตัดสินใจกันเอาเองว่าพรุ่งนี้เช้าจะรีบพาลุงทิวไปหา ทรง เพื่อรักษาในทันทีไม่ว่าลุงทิวจะตื่นหรือไม่
     ลุงๆผลักันเฝ้าลุงทิวผลัดกันไปนอนเป็นระยะๆเพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรแปลกๆขึ้นอีก พวกผมถูกไล่ให้กลับไปนอนที่บ้านโดยมีพ่อเป็นคนพอกลับไป เมื่อมาถึงบ้านเพื่อนผมกำชับปนบังคับให้พ่อปลุกด้วยในตอนเช้าเพราะเขาก็ไม่อยากพลาดเหตุการณ์นี้เช่นกันซึ่งพ่อก็รับปากอย่างดีแล้วก็อยากจะเอาผมไปด้วยเผื่อมีเหตุฉุกเฉินอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน
     เราหลับแทบจะในทันทีที่เรามาถึงห้องนอน มันรู้สึกเหนื่อยอย่างไรไม่รู้ เราปล่อยให้ตัวเองหลับไปทั้งๆที่ยังไม่ได้อาบน้ำกันแต่อย่างใด
     ในตอนเช้าเราถูกปลุกด้วยเสียงเรียกของพ่อ ตอนนั้นเป็นเวลาที่เช้ามากถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะใกล้ๆ6โมงเช้าพอดี เราตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงียแต่ก็เต็มใจเพราะอยากจะตามไปให้ถึงที่หมายของวันนี้
     ในเวลาประมาณ7โมงเช้าเราก็มารวมกันที่บ้านหลังเดิมเมื่อคืนนี้ ทุกคนมารออยู่ก่อนแล้ว พร้อมกับลุงทิวที่ยังนอนหลับสนิทอยู่ตั้งแต่เมื่อคืน ทุกคนค่อยๆหามลุงทิวไปนอนตรงเบาะหลังของรถอีกคนอย่างระมัดระวัง
    เราเดินทางออกจากหมู่บ้านเพียงไม่ถ฿ง15นาทีก็เจอเข้ากับบ้านที่เปิดเป็นตำหนักอย่างชัดเจน แม้ว่าเราจะมากันตั้งแต่เช้าแบบนี้ก็พบว่ามีชาวบ้านคนอื่นมารอต่อคิวเข้าพบทรงอยู่ก่อนแล้ว
     ผมคิดว่าเราจะต้องรอนานเสียแล้วแต่ดีที่ลุงขาวโทรมาจองคิวไว้ตั้งแต่เช้ามืด เหมือนลุงขาวจะค่อนข้างคุ้นเคยกับตำหนักนี้พอสมควร ลุงทิวถูกหามขึ้นไปบนบ้านของทรงในทันทีโดยมีพวกเราตามขึ้นไปติดๆ
     เมื่อเข้ามาด้านในก็เห็นว่าเป็นห้องโถงโล่งๆที่ส่วนหน้าของชั้นสองของบ้าน พื้นกระเบื้องถูกถูไว้จนสะอาด หน้าต่างโปร่งโล่งสบาย หิ้งพระขนาดใหญ่วางตั้งเรียงรายอยู่ที่ใจกลางห้องพร้อมกับชายแก่อายุน่าจะราวๆ70ได้นั่งอยู่ตรงกลางในชุดขาวทั้งตัวมีสไบพาดไหล่
     สิ่งแรกที่สัมผัสได้เมื่อเดินขึ้นมาถึงที่นี่คือ กลิ่นหมาก กับยาฉุนที่ฟุ้งไปทั่วบริเวณ ลุงทิวถูกหามมานอนไว้ตรงหน้าของคนที่ถูกเรียกว่า ทรง
     คุณตาท่าทางใจดียิ้มให้กับทุกคนที่เข้ามานั่งในห้องนี้ ในห้องนี้ไม่ได้มีแค่พวกเราแต่ยังมีแขกคนอื่นๆเข้ามานั่งรวมอยู่ด้วยเพื่อรอให้ถึงคิวของตัวเองบางคนก็เสร็จธุระแล้วแต่อยากอยู่ดูอะไรสนุกๆก่อนที่จะกลับไปเฉยๆ
     คุณตามองมาที่พวกเราไล่เรียงไปทีละคนก่อนจะทักทายลุงขาวที่ดูจะรู้จักกันมาก่อนหน้านี้ คุณตามองหน้าผมแล้วยิ้มอย่างพอใจไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรผมก็ได้แต่ยกมือไหว้อย่างเก้ๆกังๆเพราะทำตัวไม่ค่อยถูก
     ลุงขาวเป็นตัวแทนของพวกเราเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ ทรง ฟังก่อนหน้านี้ลุงทิวเคยถูกพามาที่นี่แล้วครั้งหนึ่งแต่ในตอนนั้นยังไม่ได้มีอาการหนักจนน่าเป็นห่วงขนาดนี้ ทรงมองดูลุงทิวอย่างพิจารณาก่อนจะสรุปความให้พวกเราฟัง
‘เปรตมันหิว มันก็เลยเอาร่างของไอ้นี่ไปหากิน’ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างใจดีค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นความจริงจังและดุดัน
      คุณตาค่อยๆหันหลังกลับไปที่หิ้งพระจุดธูปเทียนถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์และครูบาอาจารย์ เพื่อเชิญให้ท่านเข้ามาประทับร่างหรือที่เราเรียกกันว่าการ เข้าทรง ซึ่งตรงนี้ก็อยู่ที่ความเชื่อของแต่ละคนว่าจะมองมันอย่างไรนะครับ แต่ก็แนะนำว่ามองกลางๆไว้จะดีกว่าของอย่างนี้มีทั้งจริงและไม่จริง
     ทรงหันมาที่ลุงทิวเอามือล้วงเข้าไปในปากเล็กน้อย จากนั้นเอาน้ำหมากที่ตัวเองเคี้ยวอยู่แต้มลงไปตรงกลางหน้าภาคของลุงทิวที่ยังนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น สองมือพนมขึ้นเพื่อบริกรรมคาถาตามไสยเวทย์ที่ตัวเองเรียนรู้ ทรงเป่าลมลงไปที่ตัวของลุงทิวหลายครั้งไล่ตั้งแต่หัวลงไปจนปลายเท้า
‘เอ้า ตื่น! มาคุยกัน’ ทรงตะโกนเสียงดังจนบางคนตกใจ
     แปลกที่หลังจากได้ยินเสียงตะโกนของทรงแล้วลุงทิวก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน ลุงๆที่มาด้วยกันดูตกใจเป็นอย่างมากเพราะลองหลายๆวิธีแล้วก็ไม่สามารถจะปลุกลุงทิวขึ้นมาได้
     ลุงทิวค่อยๆลืมตาขึ้นมาจนสุดจากนั้นทำท่าเหมือนจะพยายามลุกนั่งแต่ก็เหมือนจะไม่มีแรงจนคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆต้องเข้าไปช่วยกันพยุงและประคองลุงทิวเอาไว้ในท่านั่ง สายตาของลุงทิวยังเหม่อลอยอยู่เหมือนคนยังไม่ได้สติแม้ว่าทั้งสองตาจะลืมขึ้นมาตามปกติแล้วก็ตาม
‘รอหน่อย มันยังไม่ได้สติ ไอ้หนูนี่มันกดจิตเขาไว้เลยตื่นยาก แต่ดีแล้วล่ะไม่อย่างนั้นคงอาละวาดแย่’
     ทรงพูดให้คำตอบกับคนที่เหมือนจะสงสัยในอาการของลุงทิวพร้อมชี้มาทางผม ผมไม่ได้ปฏิเสธอะไรแต่ก็พอจะสังเกตได้ว่ามีสายตาบางคู่ที่มองผมอย่างตำหนิ ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะจี้เกียจอธิบาย เพียงไม่กี่นาทีต่อมาลุงทิวก็ได้สติคืนมาแกบอกว่าแกจำอะไรไม่ได้เลย จำได้แค่ว่าอาบน้ำแล้วก็นอนหลับไปบนเตียงมาตื่นอีกทีก็ตอนนี้แล้ว
     ทุกคนพยายามสอบถามคาดคั้นเอาความจากลุงทิวแต่ก็เปล่าประโยชน์เมื่อลุงทิวไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่สามารถตอบคำถามใดๆได้ทั้งสิ้น ทรงถามว่าจำอะไรได้บ้างรู้ตัวไหมว่าผีเข้า แกก็บอกว่าไม่รู้อย่างเดียว มีเพียงฝันบ้างบางครั้ง
     ลุงทิวเล่าให้ฟังว่าบางคืนแกก็ฝัน ฝันเหมือนกับได้ยินเสียงวี้ดๆลอยในอากาศ แล้วแกก็เดินอยู่ในความมืด ความรู้สึกเหมือนมีคนไล่ตามมาแกก็ได้แต่วิ่งหนีแค่นั้น ไม่เห็นเป็นภาพหรืออะไรเพิ่มเติม
     ดูเหมือนว่าการพูดคุยกับลุงผันนั้นจะไม่ได้ผลเสียแล้ว เราไม่ได้เบาะแสหรือต้นเหตุจากการพูดคุยครั้งนี้แต่อย่างใด ทรงตัดสินใจจะ ไล่ ผีให้ออกไปอย่างเดียวโดยไม่สนว่า สาเหตุนั้นมันจะเกิดมาจากอะไรก็ตาม  ‘ไล่ไปเสียก็จบ’
     ทรงเริ่มทำพิธีไล่ผีในแบบของเขาซึ่งก็คือใช้กันโยงสายสิญจน์จากมือของตัวเองไปยังมีดลงอาคมของตัวเอง แล้วลากต่อไปยังตัวของลุงทิวโดยตรง สายสิญจน์ถูกพันรอบหัวของลุงทิวลงมี่มือสองข้างและปลายเท้า ผมไม่เคยเห็นพิธีแบบนี้มาก่อนจึงทำให้เกิดความสงสัยและตั้งใจดูเป็นอย่างมาก
     ทรงเริ่มบริกรรมคาถาอีกครั้งพร้อมๆกับขันน้ำมนต์ที่มีเทียนปักเอาไว้ข้างๆ ดอกเทียนค่อยๆหยดลงในขันอย่างช้าๆ อาการของลุงทิวเริ่มกลับมาไม่ปกติอีกครั้ง มือเท้าของลุงทิวเริ่มแข็งเกร็งและมีอาการสั่น แต่งทรงบอกให้คนที่อยู่ใกล้ๆจับมือลุงทิวไว้ให้อยู่ในท่าพนมมือตลอดเวลา
     ผู้ชายสามคนช่วยกันออกแรงกดและจัดท่าของลุงทิวเอาไว้ให้เหมือนเดิม ร่างกายของลุงทิวยังคงสั่นเทิ้มอย่างไร้สาเหตุ ลุงทิวเริ่มส่งเสียงแปลกๆออกมาเป็นเสียงครางในลำคอฟังไม่รู้เรื่อง ทรงหันมาถามใครบางคนที่อาศัยร่างของลุงทิวอยู่ในขณะนี้
‘เอ็งเป็นใคร บอกมา’ ทรงถามใครบางคนที่ไม่รู้ที่มา
     ไม่มีคำตอบใดตอบกลับมาในตอนนั้นมีเพียงเสียงประหลาดๆที่ออกมาจากลุงทิว แต่เมื่อลองฟังดีๆเราอาจจะตีความไปว่า นั่นคือสิ่งที่เขาพยายามจะพูดหรือเปล่าและเหมือรทรงก็จะคิดแบบเดียวกันกับผม แกเดินออกจากตรงที่นั่งมาที่ลุงทิวเอาสีผึ้งพร้อมแผ่นทองปิดลงไปที่ริมฝีปากของลุงทิวเพื่อ เปิดปาก ให้วิญญาณนั้นสามารถสื่อสารกับพวกเราได้
‘จะถามอีกครั้ง เอ็งเป็นใคร’ ทรงขึ้นเสียงอย่างดุดันเหมือนคนเริ่มอารมณ์เสีย
‘อย่าทำกันเลย...’ ลุงทิวตอบด้วยเสียงสั่นๆน้ำเสียงนั้นแปลกไปกว่าตอนที่ลุงทิวพูดคุยกับเรามาก
     เสียงเล็กๆแหลมๆนั้นเอาแต่พูดซ้ำๆอยู่ประโยคเดียว ‘อย่าทำกันเลย’ ทรงเริ่มจะอารมณ์เสียหนักกว่าเดิมจากการที่คุยกันไม่รู้เรื่องจนต้องเดินกลับมานั่งบริกรรมคาถาต่อไป เสียงร้องของลุงทิวนั้นน่าประหลาดและน่าเวทนาอย่างบอกไม่ถูก
     เสียงสวดของทรงค่อยๆดังขึ้นและดูกระแทกกระทั้นเหมือน อาการของลุงทิวค่อยๆหนักขึ้นร่างนั้นเริ่มพยายามตะเกียกตะกายหนีออกไปจากตรงนั้นแต่ก็ถูกรวบกดเอาไว้ที่พื้นอย่างน่าสงสาร ทรงไม่แม้แต่จะลืมตามามองตั้งหน้าตั้งตาบริกรรมคาถาอย่างเดียว
     เวลาผ่านไปไม่นานก็ดูเหมือนจะสิ้นสุดพิธี เมื่อลุงทิวกระตุกเกร็งอย่างรุนแรงก่อนจะสลบล้มพับหลับไปอีกรอบ ทรงหยิบเทียนน้ำมนต์ที่ปักอยู่ข้างขั้นมารนสายสิญจน์จนขาด จากนั้นรวบเอาสายสิญจน์ที่พันรอบตัวลุงทิวมากำไว้ในมือก่อนจะใช้เทียนน้ำมนต์เล่มเดิมรนไฟไปที่สายสิญจน์จนไหม้เป็นเถ้าไม่เหลืออะไร

ลุงทิวถูกประคองให้นอนอย่างเงียบๆ ทรงหันไปเรียกให้เด็กในตำหนักเอาขันน้ำมนต์นั้นไปเททิ้งที่หน้าบ้านตรงต้นไม้ใหย่ที่เดิม ในตอนที่เด็กคนนั้นกำลังถือขันน้ำมนต์ผ่านหน้าผมไปมก็แอบเหลือบไปดูในขันด้วยความสงสัย ในขันนั้นมีดอกเทียนเต็มไปหมด แต่ว่าเกือบทั้งหมดนั้นเป็นสีดำสนิท ซึ่งนั่นมันหมายความว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นไม่ใช่ชองดีไม่ใช่น้ำมนต์ที่จะเอามาอาบมาพรมได้เลย
     ทรงเดินไปตรงหน้าต่างบ้านที่เปิดโล่งเอาไว้เรียกให้ทุกคนตามมาดู ทรงบอกว่าจะปล่อยเปรตมันกลับที่มันเพราะมันไม่ยอมคุยด้วยให้มันกลับไปที่ของมันแล้วลองตามไปดูอาจจะได้อะไรเพิ่มขึเนมาบ้าง ตอนนี้ก็เพียงแค่ไล่ออกไปแล้วกันไม่ให้มันเข้ามาอีก ไมได้แก้ไขที่ต้นเหตุ
     เรามองตามลงไปที่นอกหน้าต่างก็เห็นเด็กคนนั้นเอาขันน้ำมนต์ไปเททิ้งที่ใต้ต้นไทรใหญ่ของบ้าน เพียงครู่เดียวตรงหน้าเราก็ปรากฏเป้นเงาร่างสูงใหญ่ของสิ่งที่เราเรียกกันว่า เปรต ร่างนั้นร้องโหยหวนทรมานหันซ้ายหันขวาเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง ก่อนจะวิ่งหนีไปไกลจนเรามองไม่เห็นอีก
     ในตอนนั้นมีเพียงผม ทรง และลุงขาวที่เห็นเปรตตนนั้น ทรงหันมาบอกว่าให้พวกเราไปทางนั้นตามมันไป ที่วัดชื่ออะไรสักอย่างผมจำไม่ได้แล้ว เมื่อไปที่นั่นก็จะได้รู้สาเหตุทั้งหมดนั้นเอง
     ลุงขาวเป็นตัวแทนถวายค่าครูแก่ทรงคนนั้นแล้วลากลับในทันทีเพราะกะเอาไว้ว่าจะเลยไปวัดอย่างที่บอกไว้ในตอนนี้เลย เมื่อเราลงมาที่ด้านล่างผมกับเพื่อนก็เห็นว่ามันเป็นช่วงเกือบจะเที่ยงแล้ว ใกล้เวลาที่พวกผมจะต้องกลับไปที่มหาวิทยาลัย แต่ด้วยความค้างคาที่ยังมีอยู่เราจึงยังไม่อยากกลับ
     เพื่อนหันไปคุยกับผู้เป็นพ่อเพื่อขออนุญาตอยู่ต่อ ทางพ่อนั้นก็เห็นดีเห็นงามด้วยเพราะเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องแปลกๆเข้าแล้ว กลัวว่าเดินทางในตอนนี้อาจจะเกิดอันตรายได้ เราโทรกลับไปหาเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเพื่อนตรวจสอบดูว่ามีงานหรืออะไรที่สำคัญเป็นพิเศษไหม เพราะเราเรียนกันอยู่คนละคณะ โชคดีที่ในวันนั้นมีการงดคลาสไปบ้างทำให้ไม่กระทบมากนัก
     เรามุ่งหน้าตรงไปยังวัดที่กล่าวถึงตลอดทางพ่อก็พยายามถามผมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไร ผมยังไม่ทราบคำตอบแต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้แน่ๆนั้นคือ เปรตจะไม่มายุ่งกับใครก็ตามที่ไม่มีความเกี่ยวข้องหรือมีกรรมร่วมกับตัวเอง คงต้องรอไปถึงที่วัดเสียก่อนจึงจะได้รู้ว่า อะไรเป็นอะไร
     ไม่นานเราก็มาถึงที่วัดนั้น วัดนั้นเป็นวัดกึ่งบ้านกึ่งป่ายังมีส่วนสบอยู่เยอะ แต่ก็ได้รับการพัฒนาไปมาก มีศาลาสวยๆ แต่ก็มีป่าเงียบๆให้ได้สงบจิตสงบใจ เราตรงไปยังกุฏิของหลวงพ่อที่เป็นเจ้าอาวาส
     ในตอนที่ลงรถมาเราเห็นวาลุงทิวเดินลงมาได้ด้วยตัวเองแล้วแต่มีเพียงท่าทางอ่อนแรงเล็กน้อย เราเดินมาจนถึงที่กุฏิก็พบว่าหลวงพ่อท่านนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ด้านหน้ากุฏิพอดี ลุงขาวเป็นตัวแทนของทุกคนเข้าไปกราบนมัสการ แล้วปรึกษาถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น
     หลวงพ่อปิดหนังสือในมือลงแล้วฟังพวกเราอย่างตั้งใจ หลวงพ่อรับเรื่องไว้และออกปากว่าจะช่วยเหลือเองแต่คืนนี้จะต้องมานอนค้างกันที่วัด ไม่เช่นนั้นก็จะช่วยอะไรไม่ได้ เราลาหลวงพ่อกลับกันก่อนเพื่อไปเตรียมข้าวของมานอนค้างในคืนนี้
    เรากลับมาที่วัดในช่วงเย็นๆโดยที่ต้องมาให้ถึงก่อนเวลาทำวัตรเพราะลุงทิวจำเป็นต้องเข้าไปร่วมทำวัตรกับพระท่านด้วย ลุงๆบางคนก็ตามเข้าไปเหมือนถือโอกาสมาทำบุญ เพื่อนผมหลบไปโทรหาแฟนอยู่ไหนไม่รู้ทำให้ผมได้มีเวลาเดินเล่นไปทั่วๆวัด
    ผมเดินชมสถานที่เหล่านั้นด้วยความสุข การจัดแต่งอย่างเรียบง่ายสะอาดตาทำให้มันดูร่มรื่น หมาแมวท่นอนเล่นอยู่ตามทางทำให้ใจเราสงบกว่าเวลาอยู่ในเมืองใหญ่ ผมเดินไปเรื่อยๆจนถึงเวลาพลบค่ำก็กลับมารอที่หน้ากฏิของหลวงพ่อ
     หลวงพ่อบอกว่าในตอนนี้เรายังทำอะไรไม่ได้ ต้องรอให้ดึกว่านี้ ให้เงียบกว่านี้เสียก่อนแล้วจะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร ผมรู้สึกว่าหลวงพ่อต้องรู้อะไรแน่ๆแต่ท่านยังไม่ยอมบอกในตอนนี้ เรานั่งหาอะไรทำไปเรื่อยๆ ผมนั่งเล่นเกมส์โทรศัพท์บ้างคุยกับเพื่อนบ้าง ลุงๆก็เอากระดานหมากรุกที่พกมาด้วยโขกกันอย่างสนุกสนาน
     ผมรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำจึงเดินออกมาที่ข้างนอกก็เห็นหลวงพ่อท่านกำลังนั่งเล่นกับหมาในวัดอยู่ใกล้ๆ ผมยกมือไหว้แล้วค่อยๆค้อมหลังเดินผ่านไป ในตอนขากลับมานั้นหลวงพ่อยังนั่งอยู่ตรงนั้นแต่มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาก หมาเกือบจะทั้งวัดมานั่งล้อมหลวงพ่อเหมือนจะเฝ้าหรือมาอ้อนก็ไม่แน่ใจ
‘เหนื่อยไหมโยม ขออาตมาคุยด้วยหน่อยสิ’ หลวงพ่อเอ่ยทักอย่างใจดี
‘ ครับ ’ ผมตอบรับแล้วเดินเข้าไปหาหลวงพ่อ
     หลวงพ่อนั่งอยู่บนศาลาไม้ใกล้ๆ ผมจึงนั่งลงตรงขั้นบันไดด้านล่างแทน ความสูงของผมนั้นเลยจากหมาๆทั้งหลายมาเพียงนิดเดียวเรียกว่ามันสามารถเลียหน้าผมได้อย่างง่ายๆ บางตัวก็เดินมาพิง บางตัวก็ทิ้งหัวลงบนตัก หมาวัดนี้สะอาดมาก ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีเห็บหมัดเลย
     หลวงพ่อเล่าให้ฟังอย่างภูมิใจว่า หมาวัดนี้อยู่ดีกินดีนะ อาบน้ำให้ตลอด พาไปฉีดยา บงทีหมอเขาก็อยากทำบุญมาฉีดให้ฟรีๆ ไม่ต่างจากหมาบ้านเลย ก็จริงอย่างที่หลวงพ่อพูด หมาที่นี่อ้วนท้วนสมบูรณ์ แมวที่นอนอยู่ไกลๆก็อ้วนไม่แพ้กัน
     หลวงพ่อชวนคุยไปเรื่อยๆจนวนเข้ามาสู่เรื่องที่เป็นประเด็นสำหรับตัวผม หลวงพ่อรู้ในสิ่งที่ผมเป็นและพยายามสอนหลายๆอย่างให้เตรียมตัวเข้าไว้ ผมรับฟังแต่โดยดีและน้อมรับเอาไว้
     หลังจากคุยกันได้สักพักหลวงพ่อก็เดินนำผมกลับเข้าไปในกุฏิ เพราะมันได้เวลาแล้ว หลวงพ่อเรียกให้ทุกคนมานั่งที่ตรงหน้าหิ้งพระในกุฏิ หลวงพ่อนำสวดมนต์อีกครั้ง เราสวดมนต์ตามที่หลวงพ่อบอก
    หลังจากสวดมนต์เสร็จแล้วหลวงพ่อก็หันมาถามไถ่อาการของลุงทิว ลุงทิวบอกว่ามันรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีคนมอง เหมือนจะได้ยินอะไรแว่วๆตลอดเวลา แล้วก็ร้อนๆหนาวๆ ไม่รู้เป็นอะไร
     หลวงพ่อบอกแต่เพียงว่า รออีกหน่อย เขาจะมาแล้ว จะได้คุยกันให้รู้เรื่อง ในตอนนั้นทุกคนเริ่มกลัวเป็นอย่างมาก เพราะนั่นหมายความว่าคืนนี้เราจะต้องเจอผีอีกแน่ๆ
     ไม่นานเกินรอหมาในวัดก็เริ่มส่งเสียงหอนอย่างโหยหวนทุกคนเริ่มระแวงหันซ้ายหันขวา หลวงพ่อบอกให้ลุงทิวยื่นแขนออกมาแล้วก็กระตุกเอาสายสิญจน์ที่ผูกข้อมือของลุงทิวเอาไว้ออกไป
     สายสิญจน์นั้นลุงทิวได้มาจากทรงเพื่อป้องกันไม่ให้ผีร้ายนั้นเข้ามาสิงได้อีก แต่การที่หลวงพ่อทำอย่างนี้นั่นหมายความว่าหลวงพ่อเปิดทางให้มันเข้ามาได้
     เสียงหอนที่ดังขึ้นเริ่มทำให้ลุงทิวมีอาการแปลกๆ แกบอกว่าแกหน้ามืดรู้สึกเหมือนจะเป็นลม มันหายใจไม่สะดวก ทรมาน หลวงพ่อชวนให้พวกเราออกมานั่งข้างนอกด้วยเหตุผลที่ว่า เขาเข้ามาในกุฏิไม่ได้ เมื่อออกมาข้างนอกเราก็ได้ยินเสียงหวีดร้องดังไปทั่วบริเวณ หมาทั้งหลายที่หอนอยู่ก็เงียบไป
     เสียงหวีดนั้นดังขึ้นเรื่อยๆแล้วก็เงียบไปเหมือนเทปขาดตอน แล้วเสียงนั้นก็กลายเป้นลุงทิวเองที่ส่งเสียงร้องในลำคออย่างน่าขนลุก มีลุงสองสามคนคอยประคองไม่ให้ลุงทิวล้มลงไปเพราะแกมีอาการไหวเอนไปมาน่าหวาดเสียว
     หลวงพ่อยังนั่งมองนิ่งๆไม่ได้พูดอะไร ท่านหลับตาลงเหมือนจะกำหนดจิตบางอย่าง ผมคิดเอาเองว่านั่นอาจจะเป็นการ หยั่งจิต ของพระที่มีญาณในระดับสูง เรานั่งรออีกครู่หนึ่งหลวงพ่อก็พูดขึ้นมาทั้งๆที่หลับตาอยู่
‘โยมบุญเลิศ นั่นโยมใช่ไหม’ หลวงพ่อถามลุงทิวที่มีอาการแปลกๆ
อือ....
อือ......
     ร่างของลุงทิวส่งเสียงดังขึ้นพร้อมขยับตัวเข้ามาใกล้หลวงพ่อ สองมือนั้นยกมือไหว้ท่วมหัวก่อนจะกราบลงที่พื้นแล้วร้องไห้คร่ำครวญอย่างทรมาน เรางงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้านี่คือลุงทิว แล้ว บุญเลิศคือใคร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ในร่างของลุงทิว
     หลวงพ่อได้คำยืนยันแล้วว่า คนที่อยู่ในตัวของลุงทิวคือใคร หลวงพ่อพยายามพูดคุยกับวิญญาณดวงนั้นถึงที่มาว่าทำไมถึงมาตามสิงชายคนนี้ แต่ก็ดูจะไม่มีวี่แววว่าจะคุยกันได้รู้เรื่อง
‘อาตมาจะแผ่ส่วนกุศลให้นะ แล้วก็พูดคุยกัน’ หลวงพ่อพูดด้วยความเวทนา
     หลวงพ่อแผ่เมตตาให้วิญญาณที่น่าสงสารในร่างของลุงทิว ลุงทิวค่อยๆสงบลงไม่ส่งเสียงโวยวายอย่างในตอนแรก ลุงทิวคลานเข้าไปใกล้ๆแล้วกราบลงอีกครั้งสองมือแบกว้างหน้าผากจรดพื้นค้างอยู่อย่างนั้น หลวงพ่อที่นั่งหลับตาอยู่พูดเออ ออ กับตัวเองเหมือนรับรู้อะไรบางอย่าง

เวลาไม่นานนักหลวงพ่อก็ถอยจากสมาธิพร้อมกับขอให้ โยมบุญเลิศ ถอยออกไปจากร่างของลุงทิวเสียก่อนเพื่อที่จะได้อธิบายเรื่องราวทุกอย่างให้คนอื่นๆฟัง ร่างของลุงทิวค่อยๆสงบลงแล้วหงายลงไปกับพื้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ลุงทิวไม่ได้หลับไป แกยังมีสติยู่และคราวนี้แกบอกว่า แกมีสติตลอดเวลาที่โดนผีเข้า แต่แค่บังคับร่างกายไม่ได้
      หลวงพ่อชวนให้เราออกมาข้างนอกเดินตามหลวงพ่อไปยังโบสถ์ภายในวัด หลวงพ่อเดินเข้าไปข้างในเป็นคนแรกก็จัดการเปิดไฟเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท หลวงพ่อเรียกให้ทุกคนนั่งลง ก่อนจะหันไปกราบพระ
‘นึกอะไรออกไหมโยม’ หลวงพ่อให้ไปหาลุงทิว
     ลุงทิวส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่หลวงพ่อถาม หลวงพ่อยิ้มแล้วบอกกับพวกเราว่าจะเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง
     นานมาแล้วตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อยังเป็นเณรใหม่ๆ ที่วัดนี้มีคนเข้าออกน้อย เพราะเป็นวัดป่าไม่ค่อยมีงานบุญหรือญาติโยมแวะเวียนมา แต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่คอยแวะเวียนมาช่วยงานในวัดอยู่บ่อยๆจนพระในวัดรู้จักกันดี
     โยมคนนั้นดูเป็นคนไม่มีพิษมีภัยกับใครทุกคนจึงไว้ใจให้โยมนั้นเข้าออกวัดและส่วนต่างๆได้ตามต้องการ แต่แล้ววันหนึ่งมันก็เกิดเรื่องขึ้น เมื่อเงินบริจาคของทางวัดนั้น หายไป ไม่รู้ว่าหายไปได้อย่างไร ไม่มีร่องรอยของการงัดแงะหรือขโมยอะไร
     ทุกคนช่วยกันตามหาที่มาทั้งแจ้งตำรวจทั้งขอให้ชาวบ้านช่วยกันเป็นหูเป็นตาตามหาเงินดังกล่าว เวลาผ่านไปหนึ่งวันก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้เงินนั้นคืนมา
     เรื่องราวเงียบไปโดยที่ไม่สามารถจับโจรได้ เวลาผ่านไปเรื่องเดิมๆก็เกิดขึ้นซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้ง เงินหายบ้าง พุทธรูปองค์เล็กๆ พระเครื่องหายบ้าง และทุกๆครั้งนั้นก็ไม่มีใครสามารถจับตัวคนร้ายได้เลย
     จนในวันหนึ่งเด็กวัดมันวิ่งมาบอกหลวงพ่อว่าเห็นโยมคนนั้นหยิบเอาพระเครื่องใส่กระเป๋าออกไปทางหลังวัด ทุกคนไม่อยากเชื่อจึงตามไปดูในตอนนั้นมีชาวบ้านตามไปด้วยนิดหน่อย เมื่อไปถึงก็จริงอย่างที่เด็กวัดมันว่า โยมบุญเลิศขโมยของในวัดไปขาย
     โยมบุญเลิศถูกล้อมจับด้วยพระและชาวบ้าน โยมคนนั้นถูกด่าทอต่อว่าต่างๆนาๆจากคนรอบตัวไม่ว่าเหตุผลนั้นคืออะไร สิ่งที่เขาทำก็เกินกว่าจะให้อภัยได้ในตอนนั้น เมื่อคาดคั้นกันจนถึงที่สุดก็ได้คำตอบ เขาไม่ได้เดือดร้อน ไม่ได้ป่วย เขาเพียงแค่ ติดเหล้า และติดยา
     เงินที่ทำงานหาเช้ากินค่ำมันไม่พอจะทำให้เขาสามารถซื้อหาของดังกล่าวมาใช้ได้ เขาจึงเลือกที่จะ ขโมย และขายมันออกไปให้เร็วที่สุด จะไปงัดบ้านใครก็ไม่กล้า เลยมาขโมยเอาที่วัด โยมบุญเลิศถูกจับขังเอาไว้ที่ห้องครัวของวัดเพื่อจะนำไปส่งตำรวจในตอนเช้า และเผื่อว่าเขาจะกลับใจเรื่องอาจจะไม่ถึงตำรวจ
     แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร ด้วยความเครียด หรือกลัวความผิดก็ไม่ทราบ โยมบุญเลิศได้งัดกุญแจออกมาในตอนค่อนแจ้ง แล้วผูกคอตายอยู่ที่ท้ายเมรุวัด หลังจากนั้นก็เป็นที่ล่ำลือกันว่าแกกลายไปเป็นเปรตเฝ้าอยู่ที่วัดนี้อย่างทุกข์ทรมาน จะออกมาในคืนวันโกนในใครๆได้พบเจอกันมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น
    เมื่อเล่าจบสีหน้าของลุงทิวก็ซีดลงไปในทันที หลวงพ่อหันมาถามลุงทิวด้วยคำถามเดิมอีกครั้ง ‘นึกอะไรออกไหม’ ลุงทิวคลานเข้าไปกราบหลวงพ่อพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา พร้อมๆกันนั้นเสียงหวีดร้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงนั้นดังจนทำให้หูอื้อ ลุงคนหนึ่งต้องการจะปิดหน้าต่างไม่ให้เสียงนั้นลอดเข้ามาได้ แต่ก็ต้องตกใจจนเป็นลมหงายหลังลงไป
     ที่นอกหน้าต่างนั้นมีร่างสูงใหญ่แขนขายาวเก้งก้างยืนอยู่ ร่างนั้นร้องโหยหวนอย่างน่าขนลุก ททุกคนที่อยู่ในโบสถ์วันนั้นต่างได้ยินอย่างชัดเจน ทุกคนไม่กล้าลุกไปปิดหน้าต่างแล้ว เพราพเพียงแค่มองออกไปเท่านั้นก็จะเห็นเงาร่างนั้นยืนอยู่
     ลุงขาวสารภาพว่าในวันหนึ่งที่ทางวัดมีงาน แกมาเที่ยวดื่มกินจนเมา แต่ยังอยากดื่มต่อ เงินที่พกมาเกิดไม่พอ เมื่อเดินไปเห็นกระถางผ้าป่าจึงหยิบเอามากะว่าพรุ่งนี้จะเอาเงินมาทำบุญคืนเท่าที่หยิบไป แต่แกก็ดันกินเหล้าเมามายจนหลับข้ามวัน แล้วลืมเรื่องในคืนนั้นไปจนหมด
     หลวงพ่อส่ายหัวกับการกระทำของลุงทิวลุงทิวพยายามถามหาทางออกแต่มันก็ดูเหมือนจะไม่มีในเมื่อทำลงไปแล้ว เงินที่เอาไปนั้นเท่าไหร่ก็ไม่รู้จำไม่ได้ ต่อให้เอามาคืนมันก็ไม่ใช่เงินอันเดิมเสียแล้ว ลุงทิวคร่ำครวญด้วยความกลัวพร้อมกับเยงหวีดนั้นที่ดังขึ้นไม่ยอมหยุดจนหลวงพ่อท่าต้องออกป่าวให้เขาเงียบลง
     ในคืนนั้นลุงทิวไม่มีทีท่าว่าจะยอมทำอะไร มีเพียงความกลัวเท่านั้นที่ครอบงำแกอยู่แกเอาแต่จะกลับบ้านท่าเดียว หลวงพ่อก็สุดความสามารถที่จะช่วยเหลือจริงๆ ก่อนจะกลับไปหลวงพ่อได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า
     ‘โยม เปรตน่ะ เขาไปยุ่งกับคนที่ไม่เกี่ยวกับเขาไม่ได้หรอกนะ ถ้าไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่เจ้ากรรม แต่การที่เขาไปสิงโยมได้ก็คงจะเป็นผลกรรมที่มีคล้ายๆกัน ไม่รู้ว่าเขาไปเตือนโยม หรือว่ายินดีรับเพื่อนใหม่กันแน่นะ’
......................................................................................................................................
เรื่องราวสำหรับตัวผมนั้นสิ้นสุดลงตรงนั้นในวันรุ่งขึ้นก็ได้เดินทางกลับทันที แต่หลังจากนั้นก็ได้ยินว่าลุงแกกลับมามีอาการอีก เที่ยวไปเดินดึกๆ กินข้าวหมาบ้าง เศษอาหารบ้าง ส่งเสียงร้องแปลกๆบ้าง ทนได้อยู่เกือบเดือนก็ทนไม่ไหว กลับไปที่วัดนั้นแล้วขอบวช ตอนนี้น่าจะเป็นพระอยู่ แต่ก็เหมือนว่าโยมบุญเลิศก็ยังมาหาในทุกๆคืน
..........................................................................
ลอยชาย.