ลูกผมผีเข้า


      เรื่องราวสัมผัสสยองนี้มาขากคุณ ลอยชาย หรือ LoyChinE นักเล่าเรื่องหลอนและเรื่องทุกเรื่องของเขา มีความหลอนปนสยองและยังให้แนวทางการดำเนินชีวิตอีกด้วย เรียกได้ว่าแต่ละเรื่องลองคุณ ลอยชาย น่าติดตามมาก จากกระทู้พันทิป ' ลูกผมผีเข้า ' เล่า เรื่องโดย ลอยชาย หรือ LoyChinE ลองไปสัมผัสสยองนี้กันเลยครับ

‘บ้าน’ ที่ที่ควรจะเป็นสถานที่แห่งความสุขที่ที่ควรจะมีแต่ความอุ่นใจ ที่ที่ทุกคนจะกลับมาพักผ่อนได้ในทุกเวลาที่ต้องการ
          การจะสร้างบ้านสักหลังเป็นเรื่องยากมากในสมัยนี้ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของเงินทองและเรื่องความสอดคล้องกับวิถีชีวิตของใครหลายๆคน
          หลายต่อหลายคนพยายามค้นหาหนทางทุกอย่างเท่าที่พอจะทำได้เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดี และอย่างหนึ่งที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตของคนไทยมาอย่างยาวนานก็คือ การตั้งศาลพระภูมิ
           เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังในวันนี้เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่ผมได้เข้ามารู้จักกันโดยบังเอิญ ผ่านการแนะนำของคนรอบๆตัวเหมือนอย่างในทุกๆที แต่ครั้งนี้ดูจะมีความแตกต่างของเรื่องราวพอสมควรเมื่อเทียบกับที่ผ่านๆมา
          เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นล้วนแล้วแต่เป็น ‘ความเชื่อส่วนบุคคล’ นั่นหมายถึงคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่อย่างไรเสียผมก็ขอออกตัวไว้ก่อนสักเล็กน้อยว่า
‘ผมไม่ได้มีเจตนาในการมอมเมาหรือหลอกลวงใดๆทั้งๆสิ้น’
          หากเรื่องราวที่ผมกำลังจะเล่าให้ทุกท่านได้ฟังนั้น ไม่เข้าที หรือไม่ถูกจริต ก็ขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
.....................................................................................................................................................................
          ช่วงค่ำๆของวันหนึ่งในขณะที่ผมกำลังนั่งเขียนหนังสือเหมือนอย่างในทุกๆวัน โทรศัพท์ของผมก็มีข้อความแจ้งเตือนจากไลน์เข้ามาสองสามข้อความ
‘พี่แนะนำคนคนนึงให้โทรไปหานะ ฝากด้วย’
          ข้อความสั้นๆแต่มักจะนำพาเรื่องราวเข้ามาหาผมอยู่เสมอๆ เวลาผ่านไปสักครู่เดียวโทรศัพท์ของผมก็สั่น คนที่ว่าคงจะโทรมาแล้ว
    ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย แต่แปลก มันไม่หยุดสั่น และเมื่อหันกลับมาดู ผมก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง มันยังอยู่ในหน้าจอปกติ ไม่ได้มีสายเรียกเข้า
          โทรศัพท์สั่นอยู่ในมือผมอีกสี่ห้าครั้งก็เงียบไป แล้วยังไม่ทันจะได้วางโทรศัพท์ลงที่เดิม ก็มีสายเรียกเข้ามาทันที
‘สวัสดีค่ะ น้อง.... ใช่ไหมคะ เมื่อกี้โทรไปแล้วบอกไม่มีหมายเลข ตกใจหมดเลย’
          ผมรับสายแล้วคุยต่อได้สักพักหนึ่งหลอดไฟในห้องเริ่มกระพริบทั้งๆที่ผมเพิ่งจะเปลี่ยนมันได้ไม่นานนี้เอง แต่ก็ยังไม่น่าสนใจเท่าเรื่องหลังจากนั้น
          หลังจากคุยทางโทรศัพท์แล้วก็ไม่ได้ใจความอะไรมากมายนัก ทาง ‘พี่นก’ จึงขอให้ผมออกมาพบในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันหยุดพอดี
          วันรุ่งขึ้นพี่เขาอาสามารับผมถึงที่พักเพื่อไปหาที่นั่งคุยกันเงียบๆด้วยปัญหาที่ว่าผมไม่ใช่คนแถวนี้ จะเดินทางไปไหนมาไหนก็ไม่ค่อยคล่อง
          สุดท้ายเรามานั่งคุยกันในร้ายอาหารเงียบๆแถบชานเมือง เงียบมากจริงๆ แทบไม่มีคนเข้ามากินอาหารเลย แต่อาหารอร่อยมาก จึงเป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงไม่มีคนเข้ามาเลย
          ครอบครัวของพี่นกมีกันอยู่ 3 คน พี่นก พี่บอย(สามี) และลูกชายอายุใกล้ๆสองขวบชื่อ น้องต้อม
          พี่ๆเสียเวลากับการแนะนำอาหารให้ผมทานอยู่นานก็ยังไม่ยอมเข้าเรื่อง เหมือนลังเลใจ แต่ผมก็ไม่ได้เร่งเร้าอะไร รอจนกว่าเขาจะอยากพูดออกมาเอง
‘พี่คิดว่าลูกชายพี่ ผีเข้า’
          คนเป็นแม่กระชับลูกน้อยเข้ามาในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นปล่อยให้คนเป็นพ่อเป็นผู้เล่าเรื่องแทน หลังจากนี้ผมจะสรุปความจากสิ่งที่ผมได้ฟังมาทั้งหมดให้ได้อ่านกัน
          เรื่องมันเริ่มมาจากช่วงที่สร้างบ้านหลังนี้เสร็จ พี่บอยกับพี่นกเข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่วันแรกๆที่บ้านเสร็จพร้อมอยู่ตามประสาความตื่นเต้นของคนวัยสามสิบกว่าๆที่เริ่มสร้างครอบครัว
          ในตอนนั้นน้องต้อมยังอยู่ในท้องอายุครรภ์น่าจะประมาณ 4-5 เดือน พี่บอยบอกอย่างนั้น
          ถ้ากลับมานั่งทบทวนเอาจริงๆแล้ว เรื่องราวแปลกๆนั้นน่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรกของการย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้
          ในช่วงเย็นพี่บอยจะพาพี่นกออกมาเดินเล่นที่หน้าบ้านเพราะในหมู่บ้านมีสวนเล็กๆอยู่ไม่ไกลด้วยความเป็นห่วงภรรยาอยากจะให้แข็งแรงทั้งแม่ทั้งลูก
          กว่าจะกลับเข้ามาที่บ้านก็ช่วงเย็นๆ พี่บอยเป็นคนทำกับข้าวอยู่เป็นประจำจึงปล่อยๆให้พี่นกนั่งเล่นที่หน้าบ้านกับหมาที่เลี้ยงไว้หนึ่งตัว
          ชีวิตวนเวียนอยู่อย่างนี้ในทุกๆวันหยุดเพราะวันธรรมดาต่างคนต่างก็ไปทำงานกัน แล้วเสาร์อาทิตย์หนึ่งก็เกิดเรื่องขึ้น
          ในช่วงที่พี่นกนั่งเล่นกับหมาอยู่ที่หน้าบ้านเหมือนปกติ พี่นกก็ได้ยินเสียงเรียกดังมาจากหน้าประตูบ้าน เป็นเสียงของหญิงแก่คนหนึ่งที่น้ำเสียงไม่ได้แก่ตามวัยแม้แต่น้อย
          คุณยายคนหนึ่งยืนเกาะรั้วอยู่ตรงที่จอดรถ พี่นกรีบเดินไปถามว่ามีอะไรหรือเปล่า ในมือนั้นมีผลไม้สองสามอย่างใส่ถุงพลาสติกมาให้ แทนการทักทาย
‘มาอยู่ใหม่หรือไอ้หนู ยายอยู่ถัดไปสองสามหลังเห็นเอ็งชอบออกมาเดินเล่น’
          แม้ว่าท่าทางแกจะไม่ค่อยน่าคบค้าด้วยสักเท่าไหร่แต่ก็ดูจะเป็นคนดีกว่าที่เห็น พี่นกยืนคุยได้ไม่นานพี่บอยก็รีบตามออกมาเพื่อไม่ให้เสียมารยาท
          ทั้งสามคนยืนคุยกันจนรู้จักชื่อกับภูมิหลังอย่างคร่าวๆ ก่อนจะกลับไปคุณยายทำหน้าตาจริงจังแล้วบอกกับทั้งสองคนว่า
‘ที่บ้านมีพระไหม ที่นี่มันดุนะ จะอยู่กันไม่ไหว’
          ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลกหรือการหยอกเล่น แต่สีหน้านของคุณยายไม่ฉายแววตลกออกมาแม้แต่น้อย
           แม้ว่ายายคนนั้นจะเดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก คนในบ้านก็เริ่มกังวลขึ้นมาในระดับหนึ่งแม้ว่าจะยังไม่มีเรื่องแย่ๆอะไรเกิดขึ้นก็ตาม
          เวลาผ่านไปจนพี่นกถึงกำหนดคลอดตามวันนัดของหมอ ทุกอย่างเป็นไปด้วยความสงบสุขบวกกับความสัมพันธ์ของคนรอบๆบ้านก็สนิทสนมเป็นกันเอง
          หลังคลอดพี่นกยังต้องพักฟื้นอยู่ที่บ้านดีที่ได้คุณยายคนเดิมมาช่วยดูแลเป็นธุระให้ ยายแกเต็มใจมากเพราะลูกหลายแกโตหมดแล้ว แกเป็นคนชอบเด็กๆ
          ด้วยอายุที่มากแต่ยังแข็งแรงดีแกคงได้เลี้ยงลูกหลานมาหลายรุ่น บางครั้งที่พี่บอยต้องไปออกงานต่างจังหวัดคุณยายก็มักจะมานอนเป็นเพื่อนสองแม่ลูกเสมอๆ
          เรื่องมันเริ่มขึ้นจากตรงนั้น คืนหนึ่งที่คุณยายตื่นมาเตรียมข้าวปลาอาหารให้สองแม่ลูกตามประสาคนแก่ที่จะตื่นเช้า คุณยายบอกว่าได้ยินเสียงเด็กดังอยู่ในบ้าน
          เสียงอ้อแอ้ยังฟังไม่เป็นศัพท์จึงคิดไปว่าเป็นเสียงของน้องต้อม แกเลยส่งเสียงตอบรับกลับไปตามความเคยชิน
‘ตื่นกันแล้วเหรอ’
          เสียงอ้อแอ้ยังดังอยู่ คุณยายเดินไปตามเสียงนั้นซึ่งดังมาจากห้องนั่งเล่นที่เป็นที่ประจำของคนในบ้าน
          ไฟในห้องมืดหมด เครื่องใช้ไฟฟ้าสักชิ้นก็ไม่ได้เปิดเอาไว้คุณยายชะงักด้วยความตกใจ แต่เสียงอ้อแอ้นั้นยังอยู่ จากคำบอกเล่าของคุณยาย แกยืนยันว่าเสียงนั้นดังอยู่ตรงหน้า ห่างจากแกไม่เกิดสิบเก้า
          คุณยายรีบเปิดไฟทันทีพร้อมกับที่เสียงนั้นหายไป วันนั้นคุณยายทำกับข้าวทิ้งไว้แล้วไม่มาหาที่บ้านเหมือนย่างปกติอยู่สองสามวัน
          หลังจากหายหน้าไปพักหนึ่งคุณยายกลับมาพร้อมกับพระพุทธรูปองค์หนึ่งในมือ แกหายกลับไปที่ต่างจังหวัดไปบูชามาจากวัดที่เป็นบ้านเกิดแก
‘บ้านเอ็งมีผี ต้องมีพระไว้ไม่อย่างนั้นเด็กมันนอนไม่ได้’
          คุณยายมีแต่ความเป็นห่วงทั้งที่ไม่ได้เป็นญาติกันโดยสายเลือด เด็กน้อยค่อยๆโตขึ้นเรื่อยๆมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นอยู่บอยครั้งส่วนมากจะเป็นเสียงที่ไม่รู้ที่มา เด็กน้อยเหมือนถูกปลุกในทุกค่ำคืน
          จนถึงวันที่คนในบ้านต้องหันมาคุยกันอย่างจริงจัง คืนหนึ่งที่น้องต้อมอายุได้ขวบกว่าๆ คงเป็นปกติที่เด็กวัยนี้จะค่อนข้างซนและส่งเสียงอยู่ตลอดเวลา แต่บางครั้งน้องมีความผิดปกติ
          คืนหนึ่งที่น้องต้อมร้องหนัก จนพ่อกับแม่ตัดสินใจเอามานอนข้างๆจากเดิมที่เอานอนไว้ในเปลภายในห้องเดียวกัน
          พี่บอยบอกว่าคืนนั้นไม่รู้เกิดอะไรขึ้นอยู่ดีๆก็ตื่นขึ้นมา ตื่นแบบหายง่วงสนิทลืมตาขึ้นมาเหมือนถูกปลุก แต่ขยับตัวไม่ถนัด มันเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ไม่ถึงกับขยับไม่ได้ แค่เหมือนมันไม่มีแรง
          สิ่งแรกที่คนเป็นพ่อแม่จะมองหาหลังตื่นนอนก็คงเป็น ลูก เช่นเดียวกับพี่บอย แต่คืนนั้นน้องต้อมหายไปจากเตียง ด้วยความกระวนกระวายจึงพยายามจะลุกขึ้น แต่ร่างกายก็ไม่เอื้ออำนวย
          สายตาควานหาไปทั่วพื้นของห้องเพราะกลัวว่าแกจะคลานตกเตียงลงไป แต่ก็ไม่พบเงาของใครเลยแม้แต่น้อย
ปึก!
          เสียงเหมือนอะไรบางอย่างกระทบเข้ากับหัวเตียงที่เป็นไม้ พี่บอยหันไปตามเสียงทันทีถึงกับใจหล่นวูบ น้องต้อม!
          เด็กน้อยนั่งอยู่บนส่วนที่เป็นไม้ของหัวเตียงแบบที่ทำมาให้มีพื้นที่วางของ ร่างกายของเด็กตัวเล็กจึงนั่งได้พอดี น้องต้อมนั่งอยู่ในท่าตัวตรงสองมือเท้าอยู่ข้างตัว ขาสองข้างห้อยลงมาจากขอบไม้
          เป็นเรื่องแปลกที่เด็กในวัยนี้จะนั่งได้นิ่งสนิทไม่ขยับไปมา แค่เรื่องของการทรงตัวก็ดูจะยากแล้วสำหรับเด็กน้อย สายตาคู่นั้นสบกับสายตาของคนเป็นพ่ออย่างเย็นชา
          พี่บอยบอกว่า ‘พี่ขนลุกมากแค่สบแต่แวบเดียว ใจพี่เต้นจนแทบจะหลุดออกมา เหมือนไม่ใช่ลูกพี่’
          น้องแกว่งเท้าไปมาในอากาศมีบ้างที่ส้นเท้ากระทบกับหัวเตียงจนเกิดเสียงดังเป็นจังหวะ แม้ใจจะกลัวและไม่เข้าใจ แต่สัญชาตญาณของคนเป็นพ่อต้องปกป้องลูกก่อน
          พี่บอยพยายามฝืนตัวเองให้ขยับแต่ร่างกายมันหนักเหลือเกิน การขยับตัวดูเป็นเรื่องยากและทำให้เจ็บจี๊ดขึ้นไปบริเวณขมับและกลางกระหม่อม
          เพียงครู่เดียวก็เหมือนสลัดตัวเองหลุดจากสภาวะนั้นได้ พี่บอยลุกขึ้นมาอุ้มลูกเอาไว้ในอ้อมกอดอย่างกล้าๆกลัวๆ สายตานั้นยังจ้องมองมาที่พี่บอย
          ไม่ถึงสิบวิเด็กน้อยก็หลับตา หลับไปเหมือนที่ตื่นขึ้นมานั้นเป็นเพียงการละเมอเท่านั้น

พี่บอยไม่มีความง่วงหลงเหลืออีก จึงขุดตัวเองออกจากเตียงไปอาบน้ำให้สบายตัว แม้ว่าตอนนี้จะขยับร่างกายได้สะดวกแล้วแต่อาการปวดหัวไม่ได้หายไป
          เช้าวันนั้นพี่เขาลางานเพื่อนไปหาหมอในครึ่งเช้า ผลการตรวจร่างกายมีแค่ พักผ่อนไม่เพียงพอเลยได้วิตามินกับยานอนหลับมากินเท่านั้น
          คนเป็นพ่อยังเก็บเรื่องในคืนนั้นเอาไว้ไมได้เล่าให้คนเป็นแม่ฟัง เพียงแค่วางแผนจะพากันไปทำบุญในสุดสัปดาห์นั้นแทน
           หลังจากที่พี่บอยพาคนทั้งบ้านไปทำบุญกันแล้วจึงได้มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณยายที่คอยมาช่วยดูแลจนเหมือนเป็นญาติสนิทกัน
          คุณยายได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วแต่ยังไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าของคุณยายคงเป็นคำตอบแล้วสำหรับความรู้สึกทั้งหมด
          คนรุ่นใหม่อาจจะพอรู้เรื่องบ้างแต่คงไม่อยากจะเชื่อและตีความไปว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นมีสาเหตุมาจากวิญญาณหรือภูตผี
‘ลองตั้งศาลดูไหม เจ้าที่เจ้าทางเขาจะได้ดูแล’
          เมื่อคุยกันได้อย่างนั้นก็เป็นปัญหาถัดมาว่า จะไปหาใครมาตั้งศาลที่บ้านเพราะถ้าจะทำให้ดีก็ต้องใช้คนที่มีความรู้จริงๆตามความเชื่อที่ส่งต่อกันมา
          ประเด็นในวันนั้นยังไม่ได้ข้อสรุปเพียงแต่รับปากกันว่าจะลองหาข้อมูลดูหลายๆทาง ฝั่งพี่บอยที่เป็นคนรุ่นใหม่ใช้วิธีหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตแล้วก็พบว่ามีคนรับตั้งศาล เยอะมาก จนไม่รู้ว่าจะเลือกเจ้าไหน เจ้าที่พอจะมีชื่อเสียงก็ราคาสูงจนสู้ไม่ไหว
          พี่บอยพักเรื่องนั้นไว้ก่อนเพราะจริงๆแล้วไม่ใช่ว่าจ่ายไม่ได้ แต่เขายังอยากเก็บเงินไว้ยามฉุกเฉินสำหรับเจ้าตัวเล็กมากกว่า
          ฝั่งคุณยายใช้วิธีดั้งเดิมคือ ข่าวจากข้างบ้าน คุณยายที่มีเวลาว่างเหลือเฟือในแต่ละวันจึงใช้เวลาที่มีนั้นเดินไปเกาะรั้วชวนคุยถามตามบ้านต่างๆที่พอมีไมตรีต่อกัน จนสุดท้ายคุณยายก็ได้ลายแทงที่น่าสนใจมาบอกพี่บอย
‘คนตั้งศาลให้หมู่บ้านไง’
          เหมือนทุกคนจะมองข้ามไปไกล ในเมื่อหมู่บ้านมีศาลใหญ่โตทั้งพระพรหมและศาลเจ้าที่ข้างๆกันทำไมถึงไม่ไปติดต่อทางหมู่บ้านให้เขาหาให้เสียเลย น่าจะง่ายที่สุด
          ผ่านไปได้สองสามวันคุณยายก็ไปได้เบอร์ติดต่อของ อาจารย์ ที่เป็นคนสร้างศาลให้หมู่บ้านนี้มาจากยามหน้าหมู่บ้านที่มักจะติดต่อกับเจ้าของหมู่บ้านบ่อยๆ
           หมู่บ้านที่ทุกคนอาศัยอยู่นั้นตรงกับทางเข้าหมู่บ้านเมื่อผ่านป้อมยามมาจะมีถนนเป็นวงเวียนเล็กๆอยู่ตรงกลาง ตรงนั้นมีศาลพระภูมิและศาลพระพรหมที่ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
          หลังจากติดต่อผู้ที่ทำหน้าที่ตั้งศาลคนนั้นได้แล้วเขาก็รับงานทันทีในราคาที่รับได้ เนื่องจากติดต่อมาจากหมู่บ้านที่ตนเคยมาสร้างศาลไว้แล้ว
          กว่าจะถึงวันตั้งศาลก็ทิ้งช่วงเป็นอาทิตย์เพราะต้องเตรียมหลายอย่าง ตอนแรกพี่บอยสอบถามว่าจะให้เตรียมอะไรบ้าง แต่ทางอาจารย์บอกว่าเขามีบริการจัดหาให้ด้วยจะสะดวกกว่าที่สำคัญคือจะได้ถูกต้องตามความเห็นของเจ้าพิธี
          แปลก   ช่วงที่รอตั้งศาลนั้นน้องต้อมมีอาการเกิดขึ้นถี่กว่าปกติ ในช่วงกลางคืนมักจะลุกขึ้นมานั่งจ้องหน้าผู้เป็นพ่อแม่อย่างไร้ความหมาย สายตานั้นนิ่งและเย็นชาผิดวิสัยของเด็กวัยนี้ที่ไม่สามารถอยู่นิ่งๆได้เป็นเวลานาน
          คืนหนึ่งพี่บอยถูกปลุกด้วยเสียงเพลงที่น่ารำคาญจนเกินกว่าจะหลับต่อได้ ในความมืดนั้นพี่บอยใช้เวลาไม่นานในการปรับสายตาให้เข้าที่เพราะว่าที่มาของเสียงนั้นส่องแสงวิบวับหลายสีให้ความสว่างในห้อง
          เปียโนพลาสติกแบบที่มีปุ่มกดมันดังขึ้นมาเองทั้งที่วางอยู่บนพื้น ของเล่นเด็กสมัยใหม่แบบที่จะอัดเสียงเพลงต่างๆไว้ในเครื่องให้เด็กกดเล่นเพื่อความสนุก ตอนนี้ไฟสีสันสดใสสว่างสลับกันตามจังหวะของเสียงเพลง
          พี่บอยยืนยันกับผมว่าเขาจ้องมันอยู่นาน นานพอที่เพลงมันจะเล่นจบและเริ่มใหม่อีกหลายครั้ง น้องต้อมนอนอยู่ในเปลไม้ข้างเตียง ภรรยาของเขาก็ยังหลับอยู่ แต่สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่ความฝัน
‘มันคงจะพัง’
          มันเป็นความคิดพื้นฐานที่ใครหลายๆคนเอาไว้ใช้ปลอบใจตัวเองแต่ก็คงหลอกความจริงที่ของเล่นชิ้นนั้นเขาเพิ่งจะซื้อให้ลูกน้อยได้ไม่นาน
          หลังจากนั่นฟังเพลงน่ารำคาญนั้นอยู่หลายรอบ พี่บอยลุกออกจากเตียงหยิบเอาของเล่นที่ว่าขึ้นมาดู เสียงมันยังดังอยู่ เหมือนเดิมจนคนถือตัดสินใจเอาถ่านออก
          เมื่อจัดการของเล่นเจ้าปัญหาลงได้ เขาใช้วิธีปล่อยมันลงพื้นแรงๆแทนที่จะค่อยๆหยิบมันวางลงตามเดิม และแม้ว่าจะกลับมานอนอยู่บนเตียงแล้วพี่บอยก็ยังอดระแวงไม่ได้ ถ้ามันดังขึ้นมาอีกแบบในหนังที่เคยดู เขาจะทำอย่างไร
          เกือบสิบนาทีที่ทุกอย่างเงียบสงบและปกติดี พี่บอยค่อยๆปล่อยให้ตัวเองจมลงในความง่วงอีกครั้ง
ปึก!
          พี่บอยสะดุ้งเพราะได้ยินเสียงเหมือนของบางอย่างกระทบกับไม้ ที่แรกที่หันไปดูคือ หัวเตียง ที่เดิม ซึ่งคราวนี้ปกติดี น้องต้อมก็ยังนอนอยู่ในเปลจะเหลือก็แต่ตู้เสื้อผ้าที่ทำจากไม้ซึ่งอยู่ตรงมุมห้อง
          เขาติดสินใจไม่ลุกไปดูรีบหลับตาเพื่อข่มให้ตัวเองหลับลงด้วยเหตุผลที่ว่า ‘เดี๋ยวก็ตั้งศาลแล้ว ทุกอย่างจะจบ’
          อีกเรื่องที่ทำให้คนในบ้านแทบจะไม่อยากอยู่ในบ้านหลังเดิมอีกคือ บ่ายวันหนึ่งที่พี่นกรู้สึกไม่สบายจงลางานมาอยู่ที่บ้านเพื่อพักผ่อน ในวันนั้นมีคุณยายอยู่ด้วย
          พี่นกนั่งกล่อมน้องต้มอยู่บนโซฟาตัวประจำแต่ด้วยฤทธิ์ยาที่กินเข้าไปทำให้เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว ในภวังค์นั้นพี่นกถูกปลุกด้วยเสียงอ้อแอ้ของลูกน้อยที่ตัวเองอุ้มอยู่
‘จ๋าลูก ว่าไง’ เธอไกวตัวลูกไปมาด้วยความเคยชิน
          พร้อมๆกันกับที่เธอได้ยินเสียงอ้อแอ้ของเด็กดังมาจากอีกห้องหนึ่งของบ้านน่าจะเป็นห้องครัวที่อยู่ถัดไปไม่ไกล ไม่มีแม่คนไหนจำเสียงลูกไม่ได้ เธอเผลอหันไปตามเสียงที่ได้ยิน
          แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธออุ้มลูกอยู่เธอก็รีบหันกลับมาตามสัญชาตญาณ แล้วแทบจะต้องสิ้นสติในแทบจะทันที เพราะในอ้อมแขนของเธอนั้นมีเด็กน้อยคนหนึ่งนอนอยู่ในห่อผ้าสกปรกใบหน้าสกปรกไม่ต่างกัน
กรี๊ด!
          เธอกรีดร้องสุดเสียงลูกขึ้นมายืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น คุณยายรีบเดินมาจากครัวพร้อมน้องต้อมในวงแขนอีกข้าง
          คุณยายรีบเดินตรงเข้ามาหาพี่นกที่ตอนนี้หน้าซีดเหมือนจะเป็นลม หลังจากนั่งพักรมยาดมอยู่นานจึงค่อยได้คุยกันจนรู้เรื่อง
          เวลาผ่านไปจนถึงวันที่ตั้งศาล ข้าวของหลายอย่างถูกขนมาด้วยรถกระบะนำหน้าด้วยรถยนต์อีกคัน เมื่อจอดเทียบที่หน้าบ้านแล้วคนในชุดขาวก็เดินลงมาในทันที
          ชายสูงวัยน่าจะเกือบ 70 จากคำบอกเล่าของพี่บอย อาจารย์อยู่ในชุดคล้ายพราหมณ์แต่ดูร่วมสมัยกว่าในมือมีไม้เท้าถูกตกแต่งด้วยเพชรพลอยดูน่าเกรงขาม
          ทีมงานหลายคนรีบยกข้าวของลงมาจัดวางตามที่ต่างๆที่ได้มาดูเอาไว้ก่อนล่วงหน้า อาจารย์เป็นคนพูดน้อยยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เจ้าของบ้านขึ้นอีกมาก
          พิธีเป็นไปอย่างเรียบง่ายแต่ครบถ้วนมีทั้งนิมนต์พระมาสวดก่อนจะเป็นพิธีทางพราหมณ์(เขาว่าอย่างนั้น) ศาลพระภูมิสีขาวถูกตั้งอยู่ตรงบริเวณสวนเล็กๆหน้าบ้าน ก่อนกลับอาจารย์เรียกให้พอกับแม่เอาเด็กน้อยเข้ามาหาพร้อมผูกข้อมือให้
‘หมดเคราะห์หมดโศกนะลูกนะ ผีเด็กนั่นมันจะทำอะไรลูกอีกไม่ได้’
          ไม่ต้องให้ใครบอกก็ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ถึงปัญหาและความเป็นไปภายในบ้านหลังนี้เป็นอย่างดี พี่บอยและพี่นกรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมากที่คราวนี้ลูกน้อยของเขาจะพ้นจากภัยคุกคามนั่นเสียที

อาจารย์กลับไปแล้วเหลือไว้แต่คนในบ้านที่ยังคงมีความสุขกันอยู่ เย็นวันนั้นพี่บอยเลยตัดสินใจทำอาหารจัดเป็นงานเลี้ยงเล็กๆระหว่างสองบ้านของตัวเองและคุณยาย
          ครอบครัวทั้งสองสนิทสนมกันดีฝากผีฝากไข้ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะเข้ามาขโมยหรือทำร้ายคนในบ้าน
          ทิ้งช่วงไปสักพักหนึ่ง ไม่แน่ใจว่ากี่วันแต่น่าจะประมาณอาทิตย์กว่าๆ คนในบ้านไม่ได้พบเจอหรือรับรู้เกี่ยวกับความน่ากลัวเรื่องราวแปลกๆจาก ผีเด็ก ที่ว่าอีก แต่กลายเป็นว่ามีเรื่องที่น่ากลัวกว่าเกิดขึ้นมาแทน
          ปกติแล้วหมาที่เลี้ยงไว้จะค่อนช้างเรียบร้อยมันซนบ้างเวลาออกไปเล่นกับมันแต่นอกจากนั้นมันจะนอนเล่นอยู่ตามมุมของบ้าน แต่วันนั้นมันแปลกช่วงเย็นๆที่ทุกคนกลับมาที่บ้านมันรีบวิ่งเข้ามาหาเจ้าของอย่างรีบร้อนไม่รอแม้จะให้เจ้าของบ้านเอารถเข้ามาจอดให้ดี
          คุณยายที่มาดูแลน้องต้อมให้บอกว่าวันนี้มันขอเข้ามานอนในบ้านทั้งวัน ปกติเห็นชอบกลิ้งอยู่บนสนามหญ้า
          ท่าทางของมันแปลกๆ มันไม่ยอมรอให้เจ้าของบ้านทำอะไรให้เรียบร้อยก่อนมันวิ่งวนไปมาส่งเสียงเห่ารุนแรงจนเด็กน้อยตกใจร้องไห้ออกมา
          พี่นกเข้าไปในบ้านเพื่อดูน้องต้อม พี่บอยเดินตามมันมาให้มันจบๆเรื่องจะได้เงียบเสียที มันเดินนำเจ้าของมาที่ศาลพระภูมิตั้งใหม่ มันพาเขาเดินอ้อมไปด้านหลังศาล
          พี่บอยมุดผ่านพุ่มไม้ที่อยู่ข้างหลังศาลเข้าไปดูข้างในว่ามีอะไร เมื่อเข้าไปตรงมุมมืดๆของซอกหลังศาลพระภูมินั้นก็เจอกับซากหนูตายตัวหนึ่ง สภาพมันนอนตายอยู่นิ่งๆ ยังไม่เน่าเหมือนเพิ่งจะตายได้ไม่นาน
          สภาพหนูตัวนั้นไม่มีบาดแผลหรือร่องรอยของเขี้ยวหมาอย่างที่คาด มันแค่นอนตายอยู่เฉยๆ พี่บอยหยิบมันออกมาทิ้ง ตัวมันยังนิ่มๆอยู่ยืนยันว่ามันเพิ่งตายได้ไม่นาน
          คืนนั้นมันไม่ยอมนอนอยู่ข้างนอกเหมือนอย่างทุกทีมันตะกายประตูกระจกจะเข้ามานอนในบ้านให้ได้
          ช่วงกลางดึกพี่บอยตื่นเพราะได้ยินเสียงโครมครามมาจากข้างล่าง เขารีบเดินลงมาดูเพราะคิดว่าเจ้าหมาตัวแสบคงจะกำลังทำลายข้าวของด้วยความซนของมัน
          เป็นจริงดังคาด ตอนนี้หมาที่เลี้ยงไว้กำลังสิ่งกระโดดไปมาอยู่ตรงโซฟาในห้องนั่งเล่นมันดูเหมือนกำลังไล่ใครมากกว่าวิ่งเล่น พี่บอยที่เดินลงมาทันเห็นเงาของใครบางคนผ่านตาไปตรงที่หมาของเขากระโดดไปมา
          ด้วยความตกใจจึงรีบเดินตรงตามไปทางทิศทางนั้นเมื่อเปิดไฟจึงได้เห็นเพียงหลังไวๆของคนที่เพิ่งลงไปทางหน้าต่างห้องนั้น
          เมื่อสติกลับมาจึงเริ่มคิดได้ว่า เงาร่างที่เขาเห็นไม่ได้เปิดหน้าต่างออกไป แต่มันผ่านไปเฉยๆ หรือเขาจะตาฝาดไปเอง พี่บอยยังบอกตัวเองอย่างนั้น แต่ท่าทางของเจ้าหมานั้นก็แปลกเกินกว่าจะคิดในทางที่ดีได้อีก
          คืนนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น หลังจากนั้นอีกหลายคืนมีคนพบเห็นเงาร่างของใครบางคนเดินไปเดินมาภายในบ้านอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่คนที่ขับรถผ่านไปผ่านมาแถวนั้นยังเห็นว่าในเวลาดึกดื่นค่อนคืนมีคนเดินเล่นอยู่ตรงหน้าบ้านบ้าน ชั้นสองบ้าง ที่น่ากลัวที่สุดคือมีคนเห็นว่า มีคนนั่งอยู่ตรงจั่วบ้าน
          แม้จะมีเรื่องราวความแปลกประหลาดเกิดขึ้นในบ้านแต่ก็ยังไม่มีใครได้เห็นเงานั้นอย่างจริงจัง จะมีก็แต่เรื่องเดียวที่เกินจะรับได้ น้องต้อม
          พร้อมๆกับที่มีคนเริ่มเห็นเงาร่างนั้น น้องต้อมเริ่มมีความผิดปกติ ในบางคืนเขาจะตื่นข้นมากลางดึกแล้วมองไปรอบๆห้องด้วยสายตานิ่งๆไม่กระพริบตา ตามเนื้อตัวเริ่มมีรอยแดงเป็นจ้ำๆ ขึ้นตามตัว บางรอยคล้ายนิ้ว บางรอยเหมือนฟัน
          คุณยายที่เป็นคนรุ่นเก่าที่สุดเสนอทางออกว่าให้พาไปทำบุญบ่อยๆ น้องอาจจะมีกรรมเก่าเยอะ เจ้ากรรมนายเวรเขาตามมาเอา ในเมื่อไม่มีอะไรเสียหายทั้งสองคนก็ยินดีจะคอยพาลูกแวะเวียนไปทำบุญที่วัดตามโอกาสต่างๆ
          ทุกครั้งที่น้องต้อมได้ออกไปทำบุญตามวัดต่างๆเขาจะมีความสุขมากร่าเริง ไม่มีความผิดปกติอะไร แทบยังสอนให้ไหว้พระได้ง่ายเสียด้วย
          แต่มันต่างกันราวฟ้ากับเหวเพราะเมื่อพี่นกพาน้องต้อมสวดมนต์ในห้องพระที่บ้าน น้องต้อมจะร้องอย่างสุดชีวิต เหมือนขาดใจ ร้องจนเสียงแหบเสียงแห้งทำให้คนเป็นแม่ต้องสงสารแล้วล้มเลิกความคิดในการสวดมนต์ไปเสียทุกครั้ง
          เรื่องราวค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้น คืนหนึ่งที่พ่อกับแม่เอาน้องต้อมมานอนด้วยบนเตียงไม่ได้นอนในเปล ในตอนเช้าเมื่อทุกคนตื่นมาไม่พบน้องต้อมก็ร้อนใจเป็นอย่างมากรีบออกไปตามหาในทันที
          ปกติจะนอนกันชั้นสองจึงมีความกลัวว่าลูกจะตกบันไดลงไปชั้นล่าง
กึก กึก
          เสียงเหมือนของแข็งกระทบกับพื้นดังมาจากอีกห้อง ทั้งสองคนรีบวิ่งไปตามทิศทางของเสียง ห้องนั้นคือห้องพระ พี่บอยที่ไปถึงก่อนเอื้อมมือไปเปิดไฟในห้องให้สว่าง แล้วภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ผู้ชายทั้งแท่งอย่างเขาต้องขาอ่อนร่วงลงไปนั่งกับพื้น
          ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่โต๊ะหมู่บูชาที่ถูกจัดวางไว้ภายในห้องล้อมระเนระนาดเกลื่อนกราด แต่ภาพที่ขนลุกที่สุดคือเด็กน้อยที่นั่งอยู่กลางห้อง ข้างๆตัวมีพระพุทธรูปที่เป็นแบบเซรามิกไม่ใช่ททองเหลืองวางอยู่ เศียรกับตัวองค์พระแยกออกจากกัน
          ในมือของเด็กน้อยกำที่ยอดของเศียรพระทุบลงบนพื้นซ้ำไปซ้ำมาจนเกิดเป็นเสียงที่พี่บอยได้ยิน ท่าทางของน้องต้อมดูมีความสุขและสนุกมาก จะคิดว่ามันเป็นความซนของเด็กๆวัยนี้ก็คงจะพอได้ แต่มันก็เชื่อไม่ลงเสียทีเดียว
          เมื่อตั้งหลักได้พี่นกวิ่งไปอุ้มลูกมากอดไว้ คนเป็นพ่อแกะเอาเศษพระออกกลัวว่าจะบาดมือลูกในวันนั้นพี่บอยบอกว่ามือมันอ่อนแรงเหลือเกิน เหมือนรับความจริงไม่ได้
          พี่บอยเล่าเรื่องราวในวันนั้นให้คุณยายฟัง ทั้งสามคนคิดไม่ออกว่าต้องทำอย่างไร จะให้ไปอยู่ที่อื่นก็ไม่มีที่ให้ไป ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นกับลูกได้อย่างไร
          ระหว่างที่ฟังอยู่ผมคิด และเชื่อว่าพวกคุณที่กำลังอ่านอยู่ก็ต้องคิด มันชัดเจนเหลือเกินว่าเหตุความไม่ปกตินั้นมันเริ่มตั้งแต่วันที่ ตั้งศาล
          ผมฟังเรื่องราวต่อไปให้จบ โดยเก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ
          คืนที่เลวร้ายที่สุดคือคืนก่อนหน้าที่จะได้มาเจอกับผมร่วมเดือน คืนนั้นน้องต้อมอาละวาดไม่หยุดขว้างปาข้าวของอย่างเกรี้ยวกราดผิดวิสัยปกติที่น้องจะอยู่เงียบๆไม่ได้อารมณ์ร้าย วันนั้นความวุ่นวายหลายอย่างเกิดขึ้นจนพี่ๆทั้งสองไม่ทันได้เก็บข้าวเก็บของในบ้านให้เข้าที่
          เศษอาหาหรที่กินเหลือไว้ในช่วงเย็นยังวางอยู่บนโต๊ะอย่างนั้น รวมไปถึงชามข้าวหมาที่วางอยู่ข้างโต๊ะทานอาหารในบ้าน กว่าจะทำให้น้องต้อมหลับได้ก็กินเวลาไปครึ่งคืน
          ระหว่างที่หลับอยู่พี่บอยได้ยินเสียงแปลกๆ เสียงดังมาจากที่ใกล้ๆหู เสียงดัง ครืดๆ เหมือนคนหายใจติดขัด เสียงนั้นใหญ่ ไม่ใช่เสียงของเด็ก พี่บอยได้ยิน แต่ลืมตาไม่ขึ้นอาการคล้าย ผีอำ
          เสียงนั้นดังอยู่นานแล้วค่อยๆไกลออกไป จนไม่ได้ยินอีก เหมือนภวังค์ที่ขาดช่วงพี่บอยสะดุ้งตื่นพร้อมอาการปวดหัวแปลบอย่างรุนแรง
          บ้านหมุนอยู่ครู่หนึ่งก็หยุดพี่บอยสั่นหัวไล่ความมึนงงจึงพบว่า น้องต้อมหายไปอีกแล้ว พี่บอยวิ่งไปยังห้องพระตามความทรงจำจากเรื่องราวที่แล้ว แต่ครั้งนี้ไม่มี
          เมื่อหาทั่วชั้นบนแล้วไม่เจอก็ใจหล่นวูบ ข้างล่าง? แต่ลูกตัวแค่นั้นจะลงบันไดไปได้อย่างไร แต่ก็คงไม่มีที่อื่นอีกแล้ว เขาวิ่งตรงลงไปยังชั้นล่างในทันที
          ไฟสลัวจากถนนหน้าบ้านลอดผ่านบ้านกระจกของตัวบ้านเข้ามาทำให้มองเห็นพื้นที่ข้างล่างได้บางส่วนอย่างสลัวๆ ที่บนโต๊ะอาหารนั้นมีคนนั่งอยู่ มันนั่งยองๆอยู่บนโต๊ะ ก้มหน้าก้มตาใช้สองมือหยิบควักเศษอาหารที่วางไว้อย่างตะกละตะกลาม
          ภาพนั้นชัดเจน ชัดจนคนมองต้องเข่าอ่อน แต่เขาต้องรีบตั้งสติเพื่อมองหาลูกให้เจอ เขาเปิดไฟเพดานที่สวิทซ์อยู่ใกล้ๆมือ แสงสว่างจากหลอดไฟกระพริบสองสามทีก็ติดตามปกติ
          ความสว่างทำให้พี่บอยต้องหยีตาแต่ในสายตาปรากฏภาพอันชัดเจนของผู้ชายคนหนึ่ง ร่างผอมๆเหมือนคนอาดอยากผิวหนังดำคล้ำมีรอยจ้ำสีม่วงๆเขียวๆชัดเจนตามตัวนั่งอยู่บนโต๊ะตัวนั้น

มันจ้องมายังพี่บอยที่ตอนนี้ตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก แต่เหมือนสติจะวูบหายไปครู่หนึ่ง ร่างตรงหน้าก็หายไปเหลือไว้แต่ความว่างเปล่าของโต๊ะอาหาร เมื่อละสายตาจากโต๊ะอาหารได้ก็ได้เห็นคนที่เขาตามหา
          น้องต้อมนั่งอยู่บนพื้นข้างๆโต๊ะนั้นเอง แต่สองมือและทั่วใบหน้าเปรอะไปด้วยเศษอาหารสกปรกผสมกับอาหารเม็ดที่เหลือค้างอยู่ในชาม น้องเพียงนั่งนิ่งๆมองถ้วยอาหารตรงหน้าเท่านั้น
          หัวใจของพ่อแทบสลายเพราะนอกจากเศษอาหารแล้วตรงขากับแขนและลำตัวของน้องมีรอยช้ำเป็นจ้ำเขียว คาดว่าคงได้มาจากการตกบันไดตอนน้องลงมา แต่กลับไม่ร้องสักแอะ
          คืนนั้นพี่บอยไม่นอนต่ออีกพร้อมปลุกภรรยาให้ตื่นขึ้นมา เขาพาลูกตรงไปยังโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูอาการจากรอบฟกช้ำ คุณยายที่ถูกเรียกมาด้วยน้ำตาคลอด้วยความสงสารเด็กตัวเล็กๆ เป็นไปได้ไหมว่าเจ้ากรรมนายเวรของน้องจะไม่ยอมให้น้องได้อยู่จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่
‘ผมว่าไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวรอะไรนั่นหรอก เพราะผมเห็นมัน’
          นั่นคือคำพูดจากปากของพี่บอยซึ่งกรุ่นไปด้วยอารมณ์ที่พร้อมระเบิด ถ้าผีบ้านั่นเป็นคนเขาคงวิ่งไปกระชากมันลงมากระทืบอย่างไม่ใยดี
           เมื่อเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ พี่บอยจึงตัดสินใจติดต่อกลับไปที่อาจารย์คนตั้งศาลเพื่อขอให้แกมาช่วยปรับเปลี่ยนและแก้ไขความผิดปกติที่เกิดขึ้น
          จากคำบอกเล่าของอาจารย์พี่บอกว่าสาเหตุมาจาก ผีนอกบ้าน เนื่องจากละแวกบ้านของพี่บอยนั้นมีสัมภเวสีวนเวียนอยู่ เมื่อให้บ้านที่มีเด็กจึงเข้ามาขอส่วนบุญมาอาศัลร่างเด็กหาอะไรกิน เพราะว่าหิว
          อาจารย์ทำการสวดและวางอนาเขตรอบบ้านอีกครั้งเพื่อกันไม่ให้ผีร้ายนั้นเข้ามาได้จากภายนอก และในวันรุ่งขึ้นบอกให้พี่บอกทำเครื่องเซ่นเลี้ยงที่บ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้ามันอิ่มแล้วมันจะไปไม่วุ่นวาย
          จริงตามนั้นหลังจากพี่บอยตัดสินใจเลี้ยงสัมภเวสีภายในบ้านโดยการตั้งเครื่องอาหารคาวหวานวางบนพื้นพร้อมจุดธูปเรียกให้เขามารับตามคำแนะนำของอาจารย์ ตั้งแต่คืนนั้นพี่บอยไม่ได้พบเจอกับวิญญาณของผู้ชายคนนั้นอีกเลย เว้นแต่น้องต้อมที่ยังมีความผิดปกติเหลงเหลืออยู่
          ทุกๆคืนน้องต้อมจะตื่นขึ้นมากลางดึกเวลาไม่แน่นอน แต่ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาจะลุกมานั่งนิ่งๆสายตาหยุดนิ่งเหม่อมองไปในอากาศ บางครั้งก็จ้องมายังพ่อกับแม่อยู่อย่างนั้น แม้ไม่ได้อาละวาดอะไร เนื้อตัวของน้องยังมีรอยจ้ำแดงๆที่ปรากฏอยู่อีกหลายครั้ง
          เหมือนทุกอย่างจะดีแล้ว แต่ทำไมลูกของเขาจึงยังไม่หายเป็นปกติ ด้วยวามร้อนใจพี่บอยจึงโทรหาอาจารย์และเชิญให้กลับมาแก้ไขเรื่องราวภายในบ้านอีกครั้ง
          ครั้งที่สองอาจารย์ไม่ได้ทำอะไรกับตัวบ้าน แต่เป็นการรับขวัญน้องต้อมแทนซึ่งวิธีดังกล่าวอาจารย์ได้แจ้งไว้ก่อนหน้าจะมาแล้ว เพราะต้องเตรียมบายศรี และแน่นอนว่าเป็นเงินเป็นทอง
          ทางบ้านไม่ต้องจัดเตรียมหาอะไรเช่นเคย เพียงแค่นั่งรอให้อาจารย์มาถึงเท่านั้น เมื่อมาถึงอาจารย์กำหนดฤกษ์เอาไว้ในช่วงเช้า พิธีเริ่มจากการถวายเครื่องเซ่นเทพยาดาและการสวดมนต์ให้พรต่างๆ
          สายสิญจน์เส้นใหม่ถูกมัดไว้ตรงข้อมือของน้องต้อมเพื่อเป็นการรับขวัญ ปกป้องไม่ให้เกิดเรื่องร้ายๆกับเด็กน้อย แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นจะส่งผลดีหรือร้ายถ้ามันจะช่วยให้ลูกดีขึ้นได้มีหรือพ่อแม่ที่ไหนจะไม่ทำ
          ในคืนนั้นเองพี่นกก็ฝัน ในตอนที่เล่าให้ผมฟังพี่นกบอกว่ามันไม่เหมือนฝันแต่ก็ไม่ชัดเจนนักจึงคิดว่าคงจะเป็นฝัน ในขณะที่พี่นกนอนอยู่ก็ได้ยินเสียงคล้ายคนกรนหรือหายใจแห้งๆอยู่ใกล้ตัว
          ปกติพี่บอยไม่ใช่คนนอนกรนเสียงดังขนาดนั้น แต่คราวนี้ดังจนคนที่นอนอยู่ข้างๆต้องตื่นมาดู เมื่อลืมตามาก็ต้องพบกับภาพที่ตนไม่อาจรับได้ ที่ตรงกลางระหว่างเธอกับสามีนั้นควรจะเป็นลูกน้อยที่นอนหลับอย่างสงบ แต่มันไม่ใช่ ตรงนั้นมีสายตาคู่หนึ่งนอนตะแคงประจันหน้ากับเธอ ใบหน้าซูบซีดสีผิวคล้ำบางจุดถลอกหลุดลุ่ยจ้องมองมาที่เธอ
          ด้วยระยะห่างไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัดเธอบอกว่าไดกลิ่นเห็นสาปฉุนแรงเข้ามากระแทกจมูก แล้วภาพก็ตัดไปเพียงเท่านั้นไม่รู้ว่าเป็นฝันหรือเธอเป็นลมหมดสติไปกันแน่
          ในตอนเช้าเธอเล่าให้สามีฟังถึงความฝันอันแปลกประหลาดของเธอ ซึ่งสามารถก็ฝันเช่นเดียวกันในลักษณะเดียวกัน ความกลัวของคนทั้งสองค่อยๆมากขึ้นจนเหมือนจะกระทบกับสุขภาพเสียแล้ว
          ทั้งสองคนกินไม่ค่อยลง ไม่อยากกินอะไร อ่อนแรง นอนเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่เพียงพอ ทุกวันที่ไปทำงานนั้นไม่สดชื่นอีกเลย และในบางวันยังต้องมาตาเมเก็บซากสัตว์เล็กๆที่นอนตายอย่างไร้สาเหตุอยู่ในตัวบ้านและรอบๆบ้าน ส่วนมากเป็นหนูและนก
          ระหว่างอาบน้ำบางครั้งพี่นกจะรู้สึกเหมือนมีใครอยู่ใกล้ๆ เสียงลมหายใจ ความรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมา มันชัดเจนจนรู้สึกได้จริงๆ ครั้งหนึ่งระหว่างอาบน้ำอยู่ดีๆเธอก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบจนขนลุกไปทั่วตัว เธอสระผมอยู่จึงมองอะไรไม่เห็นแต่เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงสัมผัสของมือแห้งๆสากๆ ลูบไล้ตรงบริเวณข้อเท้าของตัวเอง
          แล้วก็วนกลับมาที่จุดเดิม ทั้งสองคนติดต่อไปยังอาจารย์คนเดิมเพื่อให้เข้ามาแก้ไขที่บ้านอีกครั้ง แต่พอดีกับที่คนทั้งสองเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนร่วมงานฟัง แล้ววนมาถึงผมจนได้ ด้วยความที่เพื่อนเป็นคนแนะนำก็คงอยากจะลองมาปรึกษาดู เผื่อจะมีทางออกบ้าง
          ในวันที่ได้คุยกันนั้นเป็นช่วงระหว่างรอให้ถึงวันนัดของอาจารย์ ซึ่งผมว่างก่อนพอดีจึงเลือกที่จะมาเจอกันก่อน ในวันนั้นเอาเข้าจริงๆแล้วพี่ๆทั้งสองไม่ได้ตั้งใจฟังอะไรจากผมมากนัก อาจเพราะอายุหรือปัจจัยอื่นๆก็ตาม
‘พี่คิดว่าเป็นเรื่องอะไรครับ  มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร’ ผมเป็นคนถามกลับหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด
‘พี่คิดว่าเป็นผีครับ ไม่ตามมาก็มีคนทำของใส่’ พี่บอยตอบ
‘ไม่คิดว่าเกิดาจากการตั้งศาลหรือครับ’
แง้!!!
          ทันทีที่ผมพูดจบน้องต้อมก็ร้องขึ้นมาเสียอย่างนั้น ร้องเหมือนเรียกร้องความสนใจไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย ทั้งสองคนละความสนใจจากผมไปหาลูกในทันที
‘น้องว่าอะไรนะครับ’ พี่บอยหันมาถามซ้ำ
‘พี่ไม่คิดว่ามาจากการตั้งศาลหรือครับ’
‘ศาลหรอ... เออน้องครับแล้วอย่างนี้สรุปว่าลูกพี่เป็นอะไร’
          ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะได้คิดอะไรให้ออกเขาก็เปลี่ยนเรื่องไปเฉยๆ คราวนี้ผมได้คำตอบแล้วว่า ทำไมคนทั้งสองถึงไม่เคยคิดถึงประเด็นนี้กันมาก่อนเลย ผมบอกพี่บอยว่าอยากดื่มเบียร์ขอให้สั่งมาสักขวดหนึ่งแต่ช่วยผมกินหน่อยเพราะผมแค่อยากจิบให้หายอยาก
          พี่บอยยินดีและตะโกนสั่งพนักงานให้เอามาเสิร์ฟ ผมใช้จังหวะตรงนั้นเดินไปเข้าห้องน้ำแต่จริงๆแล้วไม่ใช่ ผมรอให้พนักงานเดินไปหยิบเบียร์ที่เคาท์เตอร์มาก่อนแล้วดักทางไว้ว่า ผมจะถือไปเอง
          ผมรับเบียร์มาจากมือของพนักงานแล้วนำมาที่โต๊ะพร้อมรินด้วยตนเอง ระหว่างรินเบียร์ผมใช้วิธีเดียวกับการทำน้ำมนต์ซึ่งต่างจากน้ำมนต์มงคลตามวัดต่างๆแต่มันเป็นแบบที่เอาไว้ใช้ลบล้างของไม่ดีบางคนอาจจะเคยพบบ้างที่เขาจะใช้เหล้าขาวเสกแล้วพ่นหรือเอาให้ดื่ม
          พี่บอยชนแก้วแล้วดื่มเป็นเพื่อนผมจากที่สังเกตพี่เขาดูมีอาการมึนหัวเล็กน้อยเพราะนิ่งไปและเริ่มส่ายหัวเบาๆ เพียงไม่นานเขาก็ขอตัวแยกไปห้องน้ำบอกว่าปวดท้องหนัก สงสัยจะกินเยอะไปหน่อย
          หลังจากกลับมาแล้วจึงได้คุยกันอีกครั้ง คราวนี้แววตาเขาดูคุยง่ายและสดใสกว่าเมื่อครู่ ผมจึงถามกลับออกไปตรงๆอีกครั้ง
‘คิดว่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการตั้งศาลไหมครับ’ เป็นคำถามหยั่งเชิงที่บอกอะไรได้หลายอย่าง
‘เออใช่ จริงด้วยทำไมพี่ไม่เคยคิดเลยนะ ก่อนตั้งศาลมันก็ดีๆอยู่หรอก’

คราวนี้เขายอมรับฟังและคิดตามเราคุยกันต่ออีกหน่อยพี่บอยก็สรุปว่าจะพาผมไปดูที่บ้านเพื่อแก้ไขแต่คนที่ไม่เห็นด้วยคือพี่นก เธอมีข้อโต้แย้งว่าเพิ่งรู้จักกันเอง ทำไมต้องพาไป แล้วอาจารย์ก็นัดไปแล้ว เรียกว่ามีหลายเหตุผลมากแต่ที่เห็นได้ชัดคือ เธอหงุดหงิด
          พี่บอยพยายามอธิบายให้ฟังแต่ก็ดูจะไม่เป็นผลมากนัก โชคดีมาก ที่พี่บอยยื่นแก้วเบียร์ให้พี่นกจิบเพื่อให้ใจเย็นลง เป็นเรื่องปกติของสองคนนี้เพราะก่อนจะมาแต่งงานกันเขาเป็นเพื่อนกันมาก่อน ดื่มมาด้วยกันบ่อยๆ
          เหตุการณ์คล้ายกัน พี่นกลุกไปเข้าห้องน้ำเพราะคลื่นไส้ พี่บอยตามไปดูเพราะเป็นห่วงและจะคุยเรื่องพาผมไปที่บ้านด้วย น้องต้อมเลยถูกทิ้งเอาไว้กับผม
           ทันทีที่พ่อแม่เดินจากไปสายตาของน้องต้อมที่มองมาทางผมก็ดูก้าวร้าวมากกว่าปกติ พี่บอกอุ้มลูกมาวางไว้บนตักผมเพราะน้องยังเด็กไม่กล้าปล่อยให้นั่งเองคนเดียว ผมอุ้มประคองน้องไว้หลวมๆโดยตลอดเวลานั้นน้องจ้องหน้าผมไม่วางตาเลย
          ผมพยายามจะเอานั่นเอานี่ให้กินแกก็ไม่ยอมกินนึกว่าจะญาติดีกันได้แต่คงยาก จนผมทนไม่ไหวเลยพูดออกไปอย่างอารมณ์เสีย
‘จะเอายังไง มาอยู่กับเขาเนี่ย ยังไง’
          ไม่มีคำตอบจากปากของเด็กน้อยแต่กลายเป็นรอยเขี้ยวฝากไว้แทน น้องต้อมกัดมือข้างที่ผมประคองเอาไว้อย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ พอดีกับที่พ่อแม่ของน้องเดินกลับมาเมื่อเห็นอย่างนั้นจึงรีบแยกน้องออกไปแล้วขอโทษผมยกใหญ่
          ที่มือมีแค่รอยแดงๆกับรอยฟันไม่ได้เข้าจนเป็นแผลอะไรแต่ความเปลี่ยนแปลงคือพี่นกใจเย็นลงแล้วยอมให้ผมไปที่บ้านในวันนั้นทันที พวกเราจึงออกมาในเวลาไม่นาน
          ตลอดทางที่ผมนั่งรถมาด้วยนั้นน้องต้อมจ้องหน้าผมไม่วางตาแสดงถึงความไม่เป็นมิตรได้อย่างชัดเจน แต่บางครั้งน้องก็หันมาเล่นกับผมเหมือนกับเด็กปกติ ราวกับว่าในร่างเล็กๆนั้นมีคนอยู่สองคน
          เมื่อมาถึงบ้านคุณยายที่พี่บอยเล่าให้ฟังก็มารออยู่ที่หน้าบ้านคงเพราะโทรนัดแนะกันไว้ก่อน ทันทีที่มาถึงคนที่ยินดีต้อนรับผมมากที่สุดคงจะเป็นน้องหมาเพราะมันเดินเข้ามาพันแข้งพันขาจนเดินลำบากไปหมด
          พี่บอยเรียกให้เข้าไปดูหิ้งพระก่อนแต่ผมคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหาอะไรสักเท่าไหร่ ผมปักใจเชื่อไปแล้วว่ามันคงเป็นเรื่องที่มาจากศาลนั่นมากกว่า ผมเดินไปดูรอบๆศาลและเมื่อเริ่มหยิบจับอะไรในนั้นน้องต้อมก็ส่งเสียงโวยวายจนทุกคนต้องหันไปดู ยิ่งอย่างนี้ก็ยิ่งแน่ใจว่าผมคิดไม่ผิด
          แม้จะแน่ใจแล้วก็จริงแต่ปัญหาใหญ่คือ จะทำอย่างไรให้คนที่นี่เชื่อเพราะเขาเพิ่งจะตั้งศาลกันได้ไม่นานแถมดูท่าจะเชื่อกันมากเสียด้วย คิดวนไปวนมาอยู่หลายครั้งก็คิดไม่ออกนอกจากการ พูดตรงๆ
‘ผมว่าศาลนี้ไม่ใช่เจ้าที่ครับ เป็นอย่างอื่น’ เป็นไงเป็นกัน ตอนนั้นคิดอย่างนั้น
‘พี่ไม่เข้าใจครับ พี่เชิญพราหมณ์มาทำเลยนะ มันจะไม่ใช่ได้ยังไง’ พี่บียืนยัน
          ก็จริงอย่างเขาว่าคนมีเครื่องแบบกับเด็กวัยรุ่นอย่างผมใครจะน่าเชื่อถือมากกว่ากัน แต่ในเมื่อเชิญกันมาขนาดนี้แล้วก็คงต้องทำให้ถึงที่สุด ผมจึงขออนุญาตขึ้นไปห้องพระตามความประสงค์ของเจ้าของบ้านในครั้งแรก
          ผมจุดธูป 16 ดอกปักลงในกระถางเพื่อสักการะและเป็นเชิงขออนุญาตที่จะกระทำการสิ่งใด การอธิษฐานจิตเป็นเรื่องพื้นฐานของการทำสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว
‘หากครอบครัวนี้ถูกกระทำและมีวาสนาพอจะได้พบทางสว่าง หากพวกเขามีกำลังบุญเพียงพอในวันนี้ ขอให้ทุกอย่างกระจ่างชัดในเร็ววัน’
          นั่นคือคำอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของผมไม่ได้มีภาษาบาลีหรือคาถายากๆแต่อย่างใด สุดท้ายแล้วจิตเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
          เมื่อกลับลงมาด้านล่างก็เห็นคนอีกสองสามคนที่เพิ่มเข้ามา ทราบภายหลังว่าเป็นลูกของคุณยายที่อยู่อีกบ้านหนึ่ง ตอนนี้คุณยายนั่งตัวสั่นเหมือนคนเป็นไข้
          คุณยายพูดไม่รู้เรื่องเหมือนสับสนและหวาดกลัวทุกคนเป็นห่วงและไม่รู้จะทำอย่างไร ลูกๆผลัดกันถอดสร้อยพระมาสวมที่คอจนตอนนี้เต็มคอไปหมด ผมยังได้แต่รู้สึกถึงกลิ่นไอบางๆของใครบางคนที่เพิ่งเข้ามาร่วมการสนทนาครั้งนี้
          คุณยายเริ่มร้องไห้ มีท่าทางเหมือนเด็ก ส่งเสียงอ้อแอ้ๆ เหมือนพยายามจะพูดอะไร พี่บอยถามผมอย่างร้อนใจว่าเกิดอะไรขึ้น ผมที่ยังไม่แน่ใจนักได้แต่ แผ่เมตตาให้ใครก็ตามที่มาอาศัยร่างคุณยาย เพราะสำหรับคนแก่แล้วมันไม่ใช่เรื่องดีเอาเสียเลย
          หลังจากกรวดน้ำได้ครู่เดียวคุณยายก็สงบลงแต่ยังไม่กลับมาเป็นคนเดิม น้องต้อมเริ่มร้องไห้โวยวายเหมือนไม่พอใจ พอพี่นกอุ้มเข้าไปใกล้คุณยายก็เริ่มทุบตีอย่างอารมณ์เสีย
          ใครบางคนในร่างคุณยายชี้ไปยังศาลพระภูมิเจ้าปัญหา แล้วส่งเสียงไม่ได้ความลูกๆช่วงกันประคองคุณยายเดินไปตรงนั้น เมื่อไปถึงระยะของแขน คุณยายทำท่าผลักแล้วก็ตีศาลเหมือนจะสื่อความอะไรบางอย่าง
‘ให้พังหรอแม่’ ลูกชายคุณยายที่ประคองอยู่ถาม
‘แม่พูดสิไม่มีใครเข้าใจ’ ลูกอีกคนเสริม
          ผมบอกไปแล้วว่าให้เอาศาลออกซึ่งไม่มีใครฟังแต่ตอนนี้ดูจะมีน้ำหนักขึ้นมาบ้าง แต่มันก็ไม่ชัดเจนเอาเสียเลยผมที่ลังเลใจอยู่นานก็ตัดสินใจช้ากว่าตัวช่วยอีกคนหนึ่ง
          หมาที่เลี้ยงไว้ตอนนี้มันวิ่งกระโดดโถมใส่คุณยายและลูกๆพร้อมเห่าเสียงดัง คนประคองตกใจเผลอถอยหลังเสียหลักไปชนเข้ากับศาลโดยตรงจนทำให้ส่วนที่เป็นวิมารด้านบนร่วงลงมาที่พื้น
          ศาลนั้นแตกกระจายพร้อมกับน้องต้อมที่กรีดร้องสุดชีวิต เสียงน้องดังมากจนคนอุ้มทนไม่ไหวต้องเอาไปเก็บไว้ในบ้านก่อนจะเป็นการรบกวนบ้านใกล้เคียง
          พี่นกมองออกมาจากนอกบ้านคงไม่เห็น แต่คนข้างนอกเห็นเหมือนกันทุกคนแม้ว่าปากของน้องจะร้องเสียงดังสุดลำคอ แต่สายตานั้นแข็งกระด้างจนคนอื่นรู้สึกไม่ดี
‘ไปซะไป ขอบคุณมาก’
          ผมแตะแขนของคุณยายเบาๆบอกใครบางคนที่อยู่ในนั้น พี่บอยรับไปประคองต่อพร้อมยาดมประจำตัวของคุณยายเพราะแกดูเหนื่อยเหลือเกิน
          ตอนนี้ตัวศาลร่วงแตกไปแล้วเหลือแต่เสาที่วางตั้งอยู่ ผมกับลูกคุณยายอีกสองคนมองหน้ากันเหมือนจะถามกันเองว่า เอาย่างไรดี
‘กล้าทุบไหมครับ’
          นั่นคือคำถามจากผมสองคนลังเลอยู่นานเพราะไม่ใช่บ้านตัวเอง พี่บอยก็ลังเล แต่ไหนๆส่วนบนมันก็แตกไปแล้วถ้าจะทำใหม่ก็ต้องซื้อใหม่ ทุบๆมันไปเลยก็แล้วกัน
          ลูกชายคนโตของคุณยายหายกลับไปที่บ้านหาเพื่อหาอุปกรณ์มาทุบ ไม่นานก็กลับมาพร้อมค้อนปอนอันเล็กๆที่ซื้อติดบ้านไว้ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเอาไว้ทำไมแต่เอาเป็นว่าเขามีก็แล้วกัน
          ต้องใช้แรงค่อนข้างเยอะในการทุบกว่าส่วนที่เป็นเสานั้นจะแตกออก ในส่วนนอกนั้นไม่มีอะไรเหมือนปูนทั่วไปแต่เมื่อทุบลึกเข้าไปหน่อยจะพบว่าตรงกลางถูกเว้นว่างเอาไว้เป็น ช่อง
          เมื่อทุบไปจนเจอช่องดังกล่าวผมถูกเลือกให้เป็นคนล้วงเข้าไปข้างในนั้นเพราะไม่มีใครกล้าล้วง ผมเอื้อมมือลงไปในช่องว่างนั้นลุกสึกหนึ่งช่วงแขนก็ถึงตรงฐานของศาลพระภูมิ
          มือผมคลำเจอกล่องไม้เรียวๆอันหนึ่งผมหยิบมันออกมาวางไว้ตรงฐานปูนที่ถูกยกสูงจากพื้น ตัวไม้ปิดสนิท ไม่มีฝาเปิด ใช้ตะปูตอกไม้เข้าด้วยกันแบบปิดตาย
          พี่คนเดิมใช้ค้อนในมือทุบลงไปที่กล่องนั้นอย่างแรง คราวนี้เสียงน้องต้อมดังขึ้นอีกรุนแรงกว่าเดิมจนเสียงที่แผดออกมาเริ่มแหบแห้งมือเล็กๆกวัดแกว่งไปมาในอากาศทุบกระจกบ้างตีหน้าคนเป็นแม่บ้างจนทุกคนขนลุกไปหมด
          ในกล่องไม้นั้นมีห่อผ้าขนาดพอดีกับกล่องซ่อนเอาไว้อยู่ ผมเป็นคนเดียวที่พอจะกล้าจับมันมาเปิดดู เมื่อเปิดมาผมแทบจะขว้างมันลงพื้น ในนั้นมีเศษกระดูกเก่าๆถูกห่อรวมกับตะปูตัวยาวประมาณคืบขึ้นสนิมเขรอะ ตัวผ้านั้นไม่ใช่ผ้าใหม่ มันดูสกปรกเปรอะคราบอะไรไปหมด

เมื่อเห็นดังนั้นคนที่ตกใจที่สุดต้องเป็นเจ้าของบ้านอย่างแน่แท้ พี่บอยใจหล่นวูบหน้าซีดเพราะไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ ไม่คิดว่าต้นเหตุจะใกล้ตัวขนาดนี้
          ผมบอกให้พี่ผู้ชายทุบมันให้ละเอียดกว่านี้ เพื่อเตรียมจะนำมันไปทำลายทิ้ง พี่อีกคนก่อไฟรอที่หน้าบ้านเมื่อทุกอย่างพร้อมผมก็เทมันลงในกองไฟทันทีพร้อมกับพี่คนโตที่ราดน้ำมันเพิ่มลงไป ตลอดเวลาที่ไฟลุกผมมองน้องต้อมอยู่ตลอด น้องค่อยๆอ่อนแรงแล้วหลับไป
          ผมได้แต่ถาม เขา ในความคิดว่า อยากไปเกิดไหมจะไปที่ไหนจะส่งให้ไปที่ดีๆหลุดพ้นจากวิบากกรรมเสียที กลับไปเป็นวิญญาณเดินไปตาทางที่ควรจะเดิน ด้วยความสงสารเพราะคิดเอาเองว่าเขาคง ไม่เต็มใจ
‘กรุไม่เอา!’
          น้ำเสียงกระแทกเข้ามาในหัวจนปวดหัวแปลบพร้อมความรู้สึกถึงตัวตนของเขาค่อยๆจางหายไป เขาไปแล้วกลับไปในที่ที่เขามา กลับไปหา เจ้าของ ของเขา ในเมื่อเขาเลือกทางนี้ ก็สุดแล้วแต่เขาก็แล้วกัน
          เวลาล่วงเลยมาจนค่ำจนผมต้องขอตัวกลับก่อน น้องต้อมตื่นแล้ว สดใส เรียบร้อย เหมือนที่เคยได้ยินมา พี่บอยยังไม่สบายใจเลยอยากให้ผมทำอะไรสักอย่างกับน้องก่อนเพื่อเป็นการป้องกัน
          ผมให้พี่บอยไปหาสายสิญจน์มาเพื่อจะผูกข้อไม้ข้อมือกันอีกที ส่วนคนจะผูกนั้นไม่ใช่ผมอย่างแน่นอน ผมยื่นสายสิญจน์คืนให้คนเป็นพ่อกับแม่มัดข้อมือลูกเองเพราะ ไม่มีพรใดประเสริฐเท่าพรจากบุพการีอีกแล้ว
          เมื่อพี่ทั้งสองคนผูกเสร็จแล้วจึงให้คุณยายซึ่งตอนนี้คงรักกันเหมือนญาติสนิทคนหนึ่งผูกให้อีกครั้ง ทุกอย่างจบลงด้วยดีเว้นก็เสียแต่ ใครที่มาใช้ร่างคุณยาย
           คนที่สงสัยที่สุดก็ต้องเป็นคุณยายอย่างแน่นอน เมื่อผมได้รับคำถามนี้มาผมก็ต้องถามกลับเพราะว่าผมคาใจตั้งแต่แรกแล้วว่า เหมือนมีเด็กอีกคน ที่อยู่กับน้องต้อม ไม่ใช่แค่ผีตนนั้น
          ผมถามย้อนกลับไปที่คุณยายว่าน้องต้อมมีเรื่องแปลกๆอีกหรือไม่ที่ไม่ใช่ความก้าวร้าวรุนแรง คุณยายนึกอยู่นานจึงนึกออกว่า เวลาที่ปล่อยให้เล่นเองน้องต้อมจะส่งเสียงตลอดเหมือนพูดคุยกับใคร บางครั้งก็เหมือนมีคนอยู่ด้วย
          ที่ชัดเจนที่สุดคือครั้งนึงที่คุณยายเอาขนมให้กิน น้องยื่นขนมไปตรงอากาศที่ว่างๆแล้วส่งเสียงเหมือนเวลาที่แบ่งขนมให้พ่อกับแม่กิน
          อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องที่พี่นกเจอ พี่นกเคยฝันว่าได้อุ้มเด็กคนหนึ่งที่สภาพไม่ดีเอาเสียเลย เหมือนจะเป็นความจริงที่บ้านหลังนี้ยังมีเด็กอยู่อีกคนหนึ่ง
          เมื่อแน่ใจดังนั้นผมจึงขออนุญาตสื่อสารกับเขา ผมใช้เวลานานมากเพราะเขาอ่อนแรงเหลือเกิน มันเบาบางเสียจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงเขาเลย แต่กลายเป็นว่าเสียงของพี่นกช่วยให้ผมได้ยินชัดขึ้น
‘เขาจะมาคุยไหมคะ พี่อยากคุยด้วย’
          ภาพของเด็กน้อยวัยไม่กี่เดือนในห่อผ้าฉายชัดในความคิด เขาถูกทิ้งให้ตายอย่างทรมานด้วยความหิว แถวนี้แหละ น่าจะใช่ผมคิดอย่างนั้น แต่ทำไมเขาถึงมาอยู่กับน้องได้ทำไมเขาวนเวียนไม่ไปไหน นั่นยังเป็นคำถาม
‘ให้เขามาเกิดกับพี่ได้ไหมคะ’
          หลังจากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟังพี่นกก็ออกปากอย่างนั้น ทุกคนตกใจมากแม้แต่ผม พี่นกบอกว่าไม่รู้ทำไมรู้สึกสงสารรู้สึกว่าเขาไม่เลวร้าย เหมือนเขาคอยดูแลน้องต้อม เด็กที่ถูกทิ้งอย่างนี้น่าสงสารเกินไป เธออยากช่วยให้เขามีความสุข
          เมื่อสิ้นสุดประโยคนั้นผมก็ได้เห็นแสงสว่างดวงน้อยๆวนเวียนอยู่รอบตัวของพี่นกราวกับจะขอบคุณ ขอบคุณที่รับเขา ขอบคุณที่ทำให้เขาหลุดพ้นจากความเดียวดาย
          ก่อนกลับพี่บอยหันมาถามผมต่อว่าจะปฏิเสธอาจารย์คนนั้นอย่างไรดีนัดไปแล้วด้วย ผมเลยตอบกลับไปว่าไม่ต้องปฏิเสธหรอกครับ เขาไม่มาแล้ว เขารู้แล้วว่าความแตก
          ระหว่างทางกลับที่พักผมได้แต่เฝ้าสงสัยว่าทำไม วิญญาณเด็กน้อยจึงผูกพันกับคนบ้านนี้ ทำไมสองครอบครัวที่เกิดต่างที่จึงรักใคร่กลมเกลียวเหมือนโตมาด้วยกัน และแล้วผมก็ได้คำตอบอีกครั้ง
‘ผู้ที่เคยสัมพันธ์กันมาก่อนไม่ว่าเมื่อไหร่และที่ใด เขาจะหากันจนเจอ’
.......................................................................................................................

เรื่องนี้จบลงตรงนี้ ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาโดยตลอดครับ
ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
และท้ายที่สุดนี้อยากจะบอกว่า ‘ขอให้เธอจงพบความสุขสงบในชีวิต ขอให้เธอได้กลับมาเกิดใหม่กับพ่อแม่ที่รักเธอจริง’
‘ขอดวงวิญญาณทุกดวงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จงพบแต่ความสงบสุขในจิตวิญญาณเถิด’

ลอยชาย


หลายๆคนสงสัยกันใช่ไหมครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมจะอธิบายให้ฟังเป็นอย่างๆไปนะครับ

     ผู้ชายคนนั้นที่อ้างตัวว่าเป็นพราหมณ์นั้นใช่พราหมณ์จริงหรือเปล่า ตรงนี้ผมก็ตอบไม่ได้เพราะว่าไม่ได้เจอกับเขาโดยตรง แต่ที่แน่ๆอย่างหนึ่งคือเขาต้องเป็นคนที่มีวิชาความรู้จริงๆและสามารถใช้งานได้จริง เพียงแต่ว่าเขานำมาใช้ผิดวิธีเท่านั้นเอง เขาใช้วิธีเอาผีฝากไว้ในศาลเพื่อให้ก่อความวุ่นวายและความเดือดร้อนภายในบ้าน เป็นการวางแผนให้เจ้าของบ้านต้องกลับมาหาเขาอีกหลายๆครั้ง เพื่อเก็บค่าครูหรือเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ตนเอง ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เขาจะปล่อยและหยุดการกระทำแบบนี้ บางบ้านเสียไปหลายแสน บางคนก็หมดตัว เราได้ยินกันมาเยอะ จนคนเหมารวมไปหมดว่าเรื่องพวกนี้มีไว้หากิน

     การจะตั้งศาลก็ควรจะหาคนที่เชื่อถือได้จริงๆนะครับ เอาที่ตนรู้จักหรือคนสนิทรู้จักอย่าไปสุ่มสี่สุ่มห้าทำไปอาจจะได้ของที่ไม่อยากได้มาแทน