สมิงเขาขวาง


     สมิงเขาขวาง เรื่องคุณภาพอีกครั้งหนึ่งจากคุณ กฤตานนท์ หรือ  Rhythm in the Air ผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นตำนานแห่งนักเขียนนักเล่าเรื่องสยอง ตามที่แนะนำไป "สมิงเขาขวาง" การันตีเลยว่าเรื่องนี้สนุกสุดๆไม่สามารถหยุดอ่านได้เลย มันทำให้คุณดำดิ่งไปกับเรื่องที่น่าติดตามจน คุณลืมชีวิตจริงไปชั่วขณะ เราขอยกย่องและขอขอบคุณถึงสิ่งที่คุณ กฤตานนท์ หรือ  Rhythm in the Air สร้างสรรค์ด้วยความเคารพ

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ชื่อ 'จ่ามหันต์'

ย้อนกลับไปในช่วงที่จ่ามหันต์เพิ่งออกจากราชการใหม่ๆ ชายวัยกลางคนอย่างเขาย่อมรู้สึกเคว้งคว้าง จากที่มีภารกิจเป๊ะเป็นไม้บรรทัดในทุกๆ วัน
กลับต้องมาใช้ชีวิตปกติหาเช้ากินค่ำแบบชาวไร่ชาวสวน ยังดีหน่อยที่เขาเป็นที่นับหน้าถือตาในละแวกหมู่บ้าน
ทำให้มีคนมาปรึกษาสารทุกข์สุกดิบไม่เว้นแต่ละวัน

“หมอมหันต์ ช่วยไปดูอาการน้องสาวฉันหน่อย ปวดท้องมาหลายวันแล้ว ไม่รู้มีใครเสกหนังควายเข้าท้องรึเปล่า”
จ่าก็ไปช่วยดูอาการ สรุปว่าไม่ได้ถูกหนังควายเข้าท้อง แต่เป็นอย่างอื่นที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นต้องอายม้วน

“หมอมหันต์ ฉันเผลอไปฟันถูกต้นกล้วยแถวบ้าน ยางไหลเยิ้มออกมาเป็นสีแดงเลย ต้องเป็นนางตานีแน่ ช่วยไปทำพิธีขอขมาหน่อยนะ”
จ่าก็พยายามอธิบายว่า ตนเองไม่ใช่หมอผี เป็นหมอยาแผนโบราณ เชี่ยวชาญสมุนไพร แต่สุดท้ายเขาก็ไปอยู่ดี

ทุกวันจะมีชาวบ้านเดือดร้อนแวะเวียนไปมาหาสู่ตลอด ช่วยได้บ้างไม่ได้บ้างตามกำลัง อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านก็นับถือว่าจ่าเป็นคนมีน้ำใจ
จนหัวค่ำวันหนึ่งมีเพื่อนสนิท ชื่อ 'ฤทธิ์' เป็นทหารยศร้อยโทแวะมาหาพร้อมชายหญิงคู่หนึ่ง ในขณะที่ผู้หมวดฤทธิ์ ดูตื่นเต้น
แต่ชายหญิงคู่นั้นกลับดูหวาดกลัว เพียงคำแรกที่ชายคนนั้นพูดว่า เขาขวาง
จ่ามหันต์เหมือนจะเดาเหตุการณ์ได้เลยว่ามีเหตุการณ์ไม่สู้ดีบางอย่างเกิดขึ้น

บริเวณเขาขวางมีข่าวลือกันมานมนานว่ามักมีชาวบ้านถูกสัตว์ขนาดใหญ่ทำร้าย เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายเมื่อมีคนพบศพชาวบ้านเสียชีวิตในพื้นที่จำนวนหลายราย สภาพศพถูกทำร้ายและกัดกินโดยสัตว์ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะช่วงเย็นย่ำในวันฝนพร่ำ มักมีคนเห็นชายแก่ยืนผลุบๆ โผล่ๆ บริเวณใกล้ๆ ที่เกิดเหตุเป็นประจำ ชาวบ้านจึงเริ่มลือหนักว่าสัตว์ร้ายที่ว่า คือเสือสมิงที่จำแลงแปลงกายเป็นชายแก่หลอกชาวบ้านไปกินเป็นอาหาร

หลังเกิดเหตุไม่ถึงวันมีการจัดตั้งทีมเฉพาะกิจล่าเสือร้ายที่นิยมบริโภคเนื้อมนุษย์ กลุ่มทหารสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้จำนวนนับสิบ ปูพรมตรวจเกือบทุกตารางเมตรของเขาขวาง แต่ไม่มีวี่แววของสัตว์กินเนื้อจำพวก เสือ สิงห์ จึงทิ้งไว้เป็นปริศนาเสือสมิงเขาขวางมานานแรมปี

“พ่อตาฉันถูกเสือคาบไปกิน” ชายหนุ่มคนนั้นเล่าต่อ “เหตุเพิ่งเกิดเมื่อสองวันที่ผ่านมา ระหว่างที่พวกเราเข้าไปหาของป่า เกิดฝนตกหนักมาก
จนต้องหลับไปอยู่ในเพิงเก่าๆ หลังหนึ่ง เราสามคนนั่งกันอยู่จนเริ่มเย็นฝนก็ยังไม่มีทีท่าจะซา ตอนที่กำลังตัดสินใจลุยฝนออกไป ก็มีผู้ชายสูงอายุคนหนึ่งผมเทาแซมขาวเดินเข้ามาหลบฝนด้วย พ่อก็ทักทายไปเรื่อยตามประสา แต่ชายคนนั้นก็ไม่ตอบ ก้มหน้าก้มตาเงียบ พวกเราจึงไม่สนใจเตรียมทยอยเดินกันออกมา แต่กลับได้ยินเสียงครางอยู่ด้านหลัง พอหันไปมอง ปรากฏว่าชายคนนั้นหายไปปรากฏเป็นเสือโคร่งตัวมหึมาจ้องมองอยู่ในพงหญ้า พริบตาเดียวมันก็กระโจนเข้าใส่คนที่ยืนอยู่ใกล้ตัวมันที่สุด ซึ่งก็คือพ่อฉันนั่นเอง มันงับบริเวณช่วงคอเลยไปถึงไหปลาร้าอย่างรวดเร็วจนพวกเราไม่ทันตั้งตัว และด้วยขนาดใหญ่โตของมัน พ่อฉันโดนกัดครั้งเดียวก็แทบสิ้นใจ ฉันล้วงพร้าออกมาได้ก็จะเข้าไปฟันมัน แต่พ่อที่กำลังสิ้นลมก็บอกว่าให้หนี น้าจะด่าจะว่าฉันว่าขี้ขลาดก็ได้นะ พอมันหันมาจ้องตาพร้อมแยกเขี้ยวใส่ ฉันกับเมียก็โกยแน่บเลย”

พูดจบน้ำตาลูกผู้ชายก็ไหลเป็นทาง เดือดร้อนจ่ามหันต์ต้องพยายามปลอบใจ

ร้อยโทฤทธิ์ บอกต่อว่าเขาเป็นหนึ่งในทีมที่ถูกส่งลงพื้นที่ก่อน พอเข้าไปถึงที่เกิดเหตุก็พบศพจริง สภาพศพถูกกัดกินจนจำเค้าเดิมไม่ได้
ก็เลยเข้ามาขอปรึกษาจ่ามหันต์ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนสนิทและอดีตทหารที่อยู่ในพื้นที่แถบนี้ด้วย

“ฉันได้ยินข่าวลือเรื่องนี้มาสักพักแล้วพี่ฤทธิ์ แต่ก็ไม่เคยพบเจอจะๆ สักครั้ง... นี่เป็นครั้งแรก”
จ่ามหันต์ตอบเพื่อนเก่า “แล้วพี่จะให้ฉันช่วยยังไงล่ะ”

“ชาวบ้านพูดกันหนาหูว่าไอ้ลายตัวนี้ไม่ธรรมดา เป็นเสือผีกินคนไปไม่ใช่น้อย มีรายงานว่าป้วนเปี้ยนอยู่ละแวกเทือกเขาสองสามลูกนี้
ก็ไม่ใช่ว่าพี่จะเชื่อทั้งหมดนะ แต่ไม่ว่าจะเป็นเสือผีหรือเสือโหยธรรมดา ลองมันล่าชาวบ้านเป็นอาหาร คงจะติดใจรสชาติเนื้อคนไปแล้ว
แบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ พี่กับชุดจะเข้าไปล่ามันพรุ่งนี้ แต่ถ้ายังไม่เจอ ก็ว่าจะชวนแกไปขัดห้างล่อกับมันช่วงกลางคืน เห็นชาวบ้านเค้าว่าแกมีของดี
ไปกับพี่ให้อุ่นใจหน่อยเถอะวะ”

เดือนร้อนจ่ามหันต์ต้องแก้ตัวพัลวันว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถืออยู่บ้าง แต่ไม่มีวิชาอะไรหรอก ชาวบ้านก็ลือกันไปเรื่อย แต่อย่างไรก็ตาม
ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีวิชา จ่ามหันต์บอกว่าตัวเองพร้อมที่จะช่วยเต็มที่ เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกาย ก็ยังเขียวคลั่ก

หลังจากนั้น หมวดฤทธิ์ก็พาสองสามีภรรยากลับไป ส่วนจ่ามหันต์เดินกลับเข้าบ้านคุยกับคนในครอบครัว อธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทุกคนพากันห้ามไม่ให้เขาไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้น เพราะถึงเสือตัวนั้นไม่ใช่เสือสมิง ก็ยังอันตรายมากอยู่ดีแถมไอ้ลายตัวนี้ยังกล้าล่ามนุษย์เป็นอาหาร แต่จ่ามหันต์ยังดึงดันที่จะไป เพราะคนที่ชำนาญพื้นที่นั้นมีอยู่ไม่น้อยก็จริง แต่จะมีสักกี่คนที่ยอมเสี่ยงบุกป่าท้าอันตรายแบบนั้น
เพียงแค่ได้ยินว่า เสือสมิงเขาขวาง เป็นเข่าอ่อนทุกราย

เช้าวันถัดมามีชาวบ้านแวะมาปรึกษาเรื่องหยูกยากับจ่าเป็นปกติ แต่ไม่มีนายทหารหรือตำรวจคนใดมาแจ้งข่าวดีแม้แต่คนเดียว
ตัวจ่ามหันต์เองร้อนใจไม่น้อย ใจหนึ่งก็อยากไปช่วย แต่อีกใจก็แสนห่วงคนที่รออยู่ข้างหลัง จนช่วงพระอาทิตย์ตรงหัว จ่ามหันต์เดินกลับเข้าไปในห้องพระนั่งกราบไหว้ ทำสมาธิอยู่ร่วมชั่วโมง ใจก็ไม่สงบ เงี่ยหูฟังตลอดว่าจะมีใครแวะมาแจ้งความคืบหน้าอะไรหรือไม่
แต่ทุกอย่างก็ยังเงียบจนคล้อยบ่าย

ในที่สุดจึงลุกขึ้นไปหยิบเสื้อยืดสีเขียวสวมกางเกงลายพรางทับด้วยแจ็คเก็ตตัวเก่ง จากนั้นหยิบพวงพระเครื่องมาพนมเหนือศีรษะ สวมคอ
ห้อยตะกรุดประจำกาย ถัดจากนั้นไขตู้เหล็กหยิบปืนสั้นเก่าๆ ขึ้นมาพลิกดู พึมพำในใจเบาๆ แล้วเปลี่ยนใจไปคว้าปืนลูกซองยาว
ซึ่งเหมาะกับการล่าสัตว์มากกว่าติดมือไปแทน

อดีตสิบโทเดินลงบันไดมาชั้นล่าง ภรรยาและลูกเห็นก็ขอว่าอย่าไป ให้เจ้าหน้าที่จัดการกันเองดีกว่า ลาออกจากราชการมาเป็นหมอยาแผนโบราณช่วยเหลือผู้คนมันก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องไปทำอะไรที่อันตรายแบบนั้น ระหว่างที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ รถจี๊ปก็ขับมาจอดเอี๊ยดหน้าบ้าน ฝุ่นโขมง
สมาชิกทุกคนหันขวับโดยพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย

พลทหารหนุ่มหมุนกระจกรถลงมา ตะโกนเสียงดัง
“ข่าวดีครับ” ภรรยาจ่ายิ้มกว้าง แต่กว้างได้แค่สองวินาที เพราะทหารหนุ่มพูดต่อ
“ยังตามจับมันไม่ได้ นายเลยให้มาตามจ่าไปช่วยหน่อยครับ”

จ่ามหันต์หันมามองภรรยาอย่างอึดอัดแล้วบอกอย่างจำใจ “เดี๋ยวพี่กลับมา”
เขากระชับปืนคู่ใจ เดินจากไปโดยไม่หันกลับไปมอง

รถลัดเลาะไปตามทางเกวียนแคบๆ มุ่งหน้าสู่จุดหมาย ทิวเขาขนาดกลางที่อยู่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก เมื่อเข้าสู่อาณาเขตขุนเขาในช่วงเย็นแบบนี้
ดูน่าสะพรึงยิ่งขึ้น ต้นไม้ใหญ่ขึ้นเบียดเสียดแน่นเต็มพื้นที่ แต่นั่นยังไม่เท่ากับเงาดำทะมึนที่แผ่ออกมาจากด้านหลังเหนือขึ้นไปเบื้องบน
พายุฝนลูกใหญ่กำลังตั้งเค้าเหมือนกำลังอ้าปากกลืนกินขุนเขาที่ตระหง่านขวางอยู่เบื้องหน้า

ท่าไม่ค่อยสีแล้วสิ... อดีตสิบโทตรองในใจ

กลุ่มทหารและพรานชาวบ้านประมาณสิบกว่าคนจับกลุ่มยืนคุยกันอยู่ข้างเชิงเขาใต้ต้นจามจุรีดูสีหน้าเคร่งเครียดกันไม่น้อย
มีร้อยโทฤทธิ์เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการณ์ เมื่อจ่ามหันต์มาถึง ได้เข้าไปทักทายพูดคุยกับชาวบ้านรวมถึงเจ้าหน้าที่
จากนั้นจึงชวนฤทธิ์เดินเลี่ยงมาคุยและบอกด้วยว่าควรหยุดภารกิจไว้ก่อน ฟ้าฝนไม่เป็นใจ เมฆตั้งเค้าส่อแววว่าจะตกหนัก
ตามรอยยากจากผู้ล่าจะกลายเป็นผู้ถูกล่าเสียฉิบ

พรานป่าชื่อชัช อายุอานามไม่น้อย ซึ่งเป็นหนึ่งในคนนำทาง ได้ยินจ่าพูดก็หลับตา หันซ้ายหันขวาทำจมูกฟุดฟิดและยืนยันคำพูดว่าเป็นตามนั้น
อีกไม่เกินชั่วโมง ฝนเทกระจาดลงมาแน่นอน ฟากชาวบ้านที่เหลืออีกสองคน ที่คาดว่าเป็นญาติกับผู้เสียชีวิตได้ยินคำว่า 'ฝน'
ก็เกิดอาการครั่นคร้ามและบอกหน้าตาตื่นว่าเห็นด้วยที่ควรเลื่อนภารกิจออกไปก่อน มันเป็นลางร้าย เนื่องจากหลายครั้งที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน
มักเกิดในวันฝนตก แต่ฤทธิ์ยืนยันว่าจะทำภารกิจต่อ พอจ่ามหันต์ถามถึงสาเหตุว่าทำไมถึงดึงดันสำรวจติดตามในวันนี้ นายทหารตอบกลับมาว่า

“มีลูกน้องพี่สองคน เห็นเสือลายพาดกลอนตัวเบอเร่ออยู่หลังเขา พี่ว่าใช่มันแน่ หากปล่อยไปไม่รู้จะมีโอกาสเจอมันอีกหรือเปล่า
พี่ตัดสินใจแล้ว จะเก็บมันวันนี้ล่ะ ถ้าแกเปลี่ยนใจก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้ลูกน้องกลับไปส่งแล้วรอฟังข่าวดีที่บ้าน”

จากนั้นเดินเข้ามาตบไหล่จ่ามหันต์แล้วตะโกนสั่งลูกทีม “พร้อมในสิบนาที!”
อดีตนายทหารยศสิบโทคิดเงียบๆ ในใจ... ให้กลับไปรอฟังข่าวดีที่บ้านอย่างนั้นหรือ เกรงว่ามันจะเป็นข่าวร้ายเสียมากกว่า

เต็นท์สนามสองหลังถูกกางบนเนินหินไม่ห่างจากต้นจามจุรี กองไฟกองใหญ่ถูกจุดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชาวบ้านและพรานรวมสี่คนที่ตอนแรกมุ่งมั่นจะตามไปกับชุดล่าเสือร้ายเปลี่ยนใจขอรออยู่บริเวณที่พัก ขอเป็นกองหนุนแทนกองหน้า
นั่นเป็นความคิดที่ดีไม่น้อยในสถานการณ์คาบลูกคาบดอกเช่นนี้

จ่ามหันต์เองก็ขบคิดอยู่นานสองนาน สุดท้ายไม่อาจตัดใจทิ้งพี่น้องร่วมอาชีพ อย่างไรเสียก็เคยร่วมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันมาแต่เก่าก่อน
กระนั้นทุกอย่างดูไม่ค่อยราบรื่นจนอดีตสิบโทต้องฉงนสนเท่ห์ว่า นี่พวกเขากำลังเข้าป่าไปปราบเจ้าเสือร้ายชื่อดังหรือไปล่าเก้งกวางกันแน่
สมาชิกทั้งแปดชีวิตที่จะตามล่าไอ้ลายที่ว่ากันว่าเป็นสมิง กว่าครึ่งใช้ปืนแก๊ป ที่เหลือเป็นเอ็มสิบหกกับลูกซองอย่างละกระบอก อาวุธที่ดูทรงประสิทธิภาพสุดคือไรเฟิลที่อยู่ในมือหัวหน้าชุด ชายที่ไม่ได้ออกภาคสนามมาเป็นเวลาหลายปี จ่ามหันต์พยายามเลียบเคียงถาม
ฤทธิ์ตอบกลับว่าเพียงว่า

"สถานการณ์ตอนนี้ได้คนกับปืนมาเท่านี้ก็ดีถมเถแล้ว"

ทีมล่าทุกคนตรวจตราสัมภาระส่วนตัวเรียบร้อยก็ออกมายืนเรียงแถวหน้ากระดาน ทั้งสีหน้าและแววตาส่อความกังวลจนเห็นได้ชัด
ภารกิจเสี่ยงชีวิตเบื้องหน้าดูอันตรายเกินกว่าพลทหารใหม่บางคนจะทำใจยอมรับได้ จ่ามหันต์ทำได้แค่เพียงปลอบทหารรุ่นน้อง

“เอาน่า อย่างน้อยก็ดีกว่าถูกส่งไปเวียดนามล่ะนะ”

ไม่กี่นาทีต่อมา จ่าแซมซึ่งถือเป็นลูกน้องคนสนิทของร้อยโทฤทธิ์ บอกหมายกำหนดการคร่าวๆ ว่าจะออกเดินเท้าให้เร็วที่สุด หากทำตามแผนจะสามารถสำรวจพื้นที่แถวเนินเขาฝั่งตรงข้ามได้จนเกือบหมดก่อนห้าโมงเย็น หากไม่เจอค่อยไปขึ้นห้างซึ่งทำเตรียมไว้แล้วสองจุด
ถ้าเจ้าเสือมากเล่ห์ไม่โผล่ออกมาในคืนนี้ ค่อยตกลงกันอีกครั้งว่าจะทำอย่างไร แต่จ่ามหันต์ไม่เห็นด้วย จากสภาพอากาศเช่นนี้
หากไม่ยกเลิกภารกิจ ควรรีบตรงไปให้ถึงห้างโดยเร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยของทุกคน
อย่างน้อยการทำภารกิจในช่วงกลางวันก็เสี่ยงน้อยกว่าเป็นเท่าตัว

“เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่ายพี่ฤทธิ์ ฝนก็ตก ทัศนวิสัยไม่ดี มันเสี่ยงเกินไปที่จะมาลาดตระเวนกันช่วงเย็นแบบนี้ อันที่จริงควรจะรออยู่ที่นี่
พรุ่งนี้เข้าค่อยว่ากันใหม่ไม่ดีกว่าเรอะ”

ร้อยโทนิ่งเงียบ คิดเพียงชั่วครู่ก็ประกาศออกมา “เอาแบบนี้ละกัน” ฤทธิ์เอ่ยเสียงดัง “เราจะแยกเป็นสองทีม ผม จ่าแซมแล้วก็ลูกน้องอีกสองจะแยกไปทางซ้าย ส่วนจ่ามหันต์ พรานชัชและลูกน้องผมอีกสองคนแยกไปทางขวา ไปเจอกันที่ห้างหลังเขา ก่อนตะวันตกดิน เอาตามนี้ อย่าพิรี้พิไรกันมาก เดี๋ยวจะเย็นย่ำเกินไป”

จ่ามหันต์ถอนหายใจเล็กน้อยกับความรั้นของหัวหน้าชุด ร้อยโทฤทธิ์เป็นแบบนี้มาตั้งแต่รับราชการใหม่ๆ แต่คงเพราะบุคลิกแบบนี้กระมัง
ที่ทำให้นายทหารคนนี้ก้าวหน้าในอาชีพการงานอย่างต่อเนื่อง ต่างกับตัวเองที่เป็นได้แค่จ่าจนถึงวันที่ออกจากราชการ
เขายืนตรวจเช็คสภาพอาวุธปืนคู่ใจพลางมองขุนเขาเบื้องหน้าที่ถูกฉาบด้วยสายฝนจนเป็นฝ้าขาว ที่แห่งนี้อุดมไปด้วยพรรณไม้โบราณอายุเหยียบร้อยปี สภาพภูมิศาสตร์แตกต่างจากทิวเขาใกล้เคียง ที่สำคัญยังเป็นหนึ่งในสองขุนเขาที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าขานนานมาว่า

เจ้าที่แรงนัก

“เหมือนที่ชาวบ้านเขาบอกกันเมื่อตะกี้นั่นล่ะ” พรานชัช เดินเข้ามาใกล้ๆ จ่าที่กำลังครุ่นคิด ในมือพรานถือตะขาบที่ผ่านการย่างจนส่งกลิ่นฉุน
เมื่อเห็นจ่ามองอาหารว่างพิสดาร จึงพูดยิ้มๆ ว่า “เจอมันเดินอยู่ข้างพงเมื่อตะกี้ ก็เหมือนเนื้อกุ้งนั่นล่ะ อร่อยดีนักแล”

จ่ามหันต์ไม่รู้จักกับนายชัชคนนี้เป็นการส่วนตัว เคยได้ยินชาวบ้านลือกันว่าเป็นหนึ่งในพรานรับจ้างที่เก่งฉกาจ
บุกทั้งป่าแถบตะนาวศรีไปไกลจนถึงลุ่มน้ำสาละวิน ชื่นชอบการล่าสัตว์เป็นชีวิตจิตใจเช่นเดียวกับหมวดฤทธิ์ ต่างกันที่คนหนึ่งล่าเพื่อเงินตรา
แต่อีกคนล่าเพื่อความหรรษา

“ชาวบ้านเขาพูดอะไรกันเหรอพี่ชัช” จ่ามหันต์ถามกลับ พรานยิ้มกริ่ม
“อ้าว นี่จ่าไม่ได้ยินที่ชาวบ้านพูดกันเมื่อตะกี้รึ เขาบอกว่าเป็นลางร้าย” พูดจบก็กัดเจ้าตะขาบขนาดยาวร่วมฟุตกินอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนพูดต่อ “ผมท่องป่ามานานค่อนชีวิต เจออะไรแปลกๆ มานักต่อนัก ผมจะบอกอะไรให้แล้วจ่าเหยียบไว้ให้มิดเลยนะ มองไปตรงนั่นสิ สูงเหนือถ้ำกลางผาหินนั่นไปสักสองสามเส้น ใต้ทุมประดู่ จ่าเห็นอะไรไหม”

จ่ามหันต์มองตามนิ้วที่ชี้นิ้วสูงขึ้นไปเบื้องบน สายฝนที่โปรยปรายทำให้มองได้ไม่ชัดเท่าที่ควร จ้องเพ่งอยู่นานสอง
จึงเห็นเงาสิ่งมีชีวิตบางอย่างรูปร่างคล้ายคน ยืนแฝงอยู่ในเงาไม้จ้องมองมาที่กลุ่มคนเบื้องล่าง จ่ามหันต์ขนลุกวาบ
แต่พอกระพริบตาอีกครั้งเงานั้นก็หายไปเสียแล้ว

“หึๆ จ่าเอ้ย มันเอาเราแน่... แต่ก็ดี อยากเจอมานานแล้ว” พรานชัชพูดจบก็เดินแยกตัวออกไป ปล่อยให้อดีตสิบโทกลืนน้ำลายลงคอ
พ่นลมหายใจออกทางปากเฮือกใหญ่ ก่อนสืบเท้าตามหลังพรานชัชไปติดๆ

เคราะห์ดีที่ฝนไม่ได้กระหน่ำอย่างที่ก่ะเก็งกันไว้ เพียงแค่โปรยปรายเป็นละอองสีขาวขุ่นตลอดเวลา ชวนให้จิตใจมัวหมอง หมวดฤทธิ์ซึ่งนำทีมของตนแยกไปอีกฝั่งโบกมือให้จ่ามหันต์กับพรานชัช ก่อนที่ทั้งทีมของหัวหน้าชุดจะหายไปในผืนป่า จ่ามหันต์ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำทีมร่วมกับพรานชัช จึงสั่งให้สมาชิกตรวจสอบความพร้อมอีกครั้ง จากนั้นจึงเดินทยอยเดินผลุบหายเข้าไปบริเวณเนินเขาด้านซ้าย

หน่วยย่อยนี้ประกอบไปด้วยจ่ามหันต์ พรานชัช และพลทหารอีกสองนาย ทั้งหมดเดินเลียบไปตามเนินดิน ค่อยๆ ตัดสูงขึ้นไปทีล่ะนิด
สอดส่ายสายตาสำรวจภูมิทัศน์รอบด้าน บริเวณเชิงเขาเป็นเนินดินสูงต่ำสลับกัน ปกคลุมด้วยพรรณไม้นานาชนิด ใบไม้ที่ทับถมกันมาเป็นเวลานานทำให้พื้นไม่มั่นคงเป็นอุปสรรคในการเดินเท้าไม่น้อย เมื่อเดินมาถึงเนินหินลูกหนึ่ง จ่ามหันต์สอบถามกับสองพลทหาร
ว่าใครเป็นคนเห็นเสือโคร่ง เห็นเมื่อไหร่ บริเวณไหน หนึ่งในพลทหารตอบว่า

“ฉันเห็นเองล่ะลุง เมื่อช่วงเช้า แถวๆ หลังเนินอย่างที่นายบอก”
“ตัวมันใหญ่แค่ไหนวะ” จ่ามหันต์ถามต่อ
“ฉันไม่แน่ใจนะ เห็นไกลๆ แปลกมาก มันยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่นาน เอาที่ประมาณด้วยสายตา ตัวมันใหญ่ไม่หยอกเชียวล่ะ น้องๆ วัวเลยลุง”

จ่ามหันต์ครุ่นคิด วันฝนพร่ำ เสือโคร่งตัวใหญ่และเงาคนใต้ต้นประดู่ อะไรมันจะประจวบเหมาะจนน่าหวั่นใจถึงเพียงนี้
พรานชัชซึ่งหันซ้ายขวาตลอดทางตั้งแต่เข้ามาในบริเวณเขาขวาง เดินมากระซิบเบาๆ

“มันบังเอิญจนน่าแปลกใจเลยใช่ไหม” พรานหัวเราะครางในลำคอ แล้วพูดต่อ “จ่าสังเกตเหมือนผมไหม รู้สึกผู้หมวดคนนี้กระเหี้ยนกระหือรืออยากล่าไอ้ลายตัวนี้เสียจริงๆ ระวังเถอะจะกลายเป็นฝ่ายถูกล่าเสียเอง ฉันได้ยินเรื่องไอ้เสือผีตัวนี้มานาน พรานเก่าแก่มือฉมังเสร็จมันไปหลายต่อหลายรายแล้ว”

จ่ามหันต์นิ่งเงียบ เขารู้ว่าเพื่อนสนิทที่ชื่อฤทธิ์เป็นคนอย่างไร ชายคนนี้เป็นผู้ชื่นชอบความตื่นเต้น ท้าทาย รักการล่าสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ
สัตว์ยิ่งดุร้ายจำพวก เสือ สิงห์ กระทิง แรด ยิ่งชอบ จ่ามหันต์จำได้ว่าเคยติดตามไปครั้งสองครั้ง แต่ก็เลิกลาไม่ตามไปอีก
เขาไม่นิยมชมชอบกิจกรรมแบบนี้ สงสารบรรดาสัตว์ที่เป็นเหยื่อคมกระสุนเพื่อสนองความสนุกผู้นิยมชมชอบการล่าสัตว์

แต่กระนั้น ระยะหลังๆ ฤทธิ์ไม่ค่อยมีโอกาสหาความท้าทายใส่ตัวเหมือนสมัยหนุ่มๆ ต้องหันเหไปทำงานนั่งโต๊ะเป็นส่วนมาก
ยังสงสัยอยู่ว่าเหตุใดทีมกู้ภัยจึงมีนายทหารเช่นเขามาเป็นหัวหน้าชุดเสียอย่างนั้น

จ่ามหันต์ไม่ตอบคำถาม แต่หันไปซักพลทหารหนุ่มต่อ
“แล้วเอ็งก็บอกลูกพี่ว่าเจอไอ้ลายอย่างนั้นเหรอ แทนที่จะบอกว่าไม่เจอ จะได้กลับกรมกลับกองไม่ต้องมาเสี่ยงแบบนี้ ไม่กลัวรึไงวะ”
เพื่อนทหารอีกคนสนับสนุนความคิดนั้นทันที
“กูเห็นด้วยกับความคิดลุงคนนี้นะ ทำไมไม่บอกหมวดไปแบบนั้น รู้ไหมชาวบ้านเขาลือให้แซ่ดว่าไอ้ลายที่เรากำลังล่าอยู่เนี่ยไม่ใช่เสือธรรมดา เป็นเสือสมิงนะโว้ย”

พลทหารหนุ่มได้ยินเพื่อนพูดเช่นนั้น จึงตอบกลับซื่อๆ
“สมงสมิงอะไรไม่รู้ล่ะ แต่เห็นขนาดตัวมัน ใครไม่กลัวก็บ้าแล้ว แต่ทำยังไงได้วะ ได้รับคำสั่งมา ต้องทำตามก็แค่นั้น”
เขาเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนพูดต่อ
“แต่จะบอกให้ ถ้าเมื่อตอนสายฉันอยู่ใกล้กว่านั้นสักเส้นพร้อมไรเฟิลของนายล่ะก็ ทุกคนกลับบ้านได้ ภารกิจจบแล้ว”

พูดจบทหารหนุ่มก็เดินลิ่วนำทางต่อไป จ่ามหันต์ได้ฟังก็หมั่นไส้ระคนขบขัน เขาถามพลทหารอีกคนที่เดินอยู่ข้างๆ
“ไอ้หนุ่มนี่ห้าวดี มันชื่ออะไรวะ” ทหารหนุ่มอีกคนหัวเราะร่า

“ชื่อยักษ์ ตัวแสบประจำกองร้อยเลย”

สายฝนปลิวไสวคล้ายผ้าม่านยามถูกลมภูเขากรรโชกใส่ การเดินป่าท่ามกลางละอองฝนดูสาหัสกว่าปกติ จ่ามหันต์หอบตัวโยนในทุกย่างก้าว
อายุอานามที่มากขึ้น กัดกร่อนกำลังวังชาในวัยหนุ่มไปมากเหลือเกิน เขาทิ้งตัวนั่งลงบนซากขอนไม้เก่า ยกน้ำขึ้นมาจิบแก้กระหาย
แหงนมองเหนือขึ้นไปเบื้องบน หยาดฝนทิ้งตัวมาตามแรงโน้มถ่วงโลกกระทบกับใบหน้า

“อีกไกลไหมวะ” เขาถามในระหว่างที่ซึมซับความชุ่มชื่นจากหยดน้ำบริสุทธิ์
“เพิ่งได้ครึ่งทางเองลุง หมดแรงซะแล้วเรอะ” ทหารนำทางหยุดเดิน เอาปืนลูกซองประจำตัวพาดบนบ่า
“ถึงจะยังเตะปี๊บดังอยู่ แต่ฉันก็ไม่ได้เอ๊าะๆ เหมือนพวกเอ็งนะโว้ย อายุจะห้าสิบแล้ว ที่ถามดูก็เพราะเห็นว่ามันเริ่มมืดแล้วก็เท่านั้น”
“มืดแล้วทำไมรึ? กังวลเกินไปรึเปล่าลุง เดินกันมาร่วมครึ่งชั่วโมงอย่าว่าแต่เสือเลย นกสักตัวก็ยังไม่มี จะต้องกลัวอะไร”

จ่ามหันต์ละสายตาจากฟากฟ้า หันกลับไปมองทหารหนุ่ม
'อย่าว่าแต่เสือเลย นกสักตัวก็ยังไม่มี... นั่นล่ะที่ฉันกังวลเจ้าทึ่มเอ้ย' จ่ามหันต์นิ่งคิดเงียบๆ

ทั้งที่เป็นป่าที่อุดมไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด สมบูรณ์ด้วยระบบนิเวศ แต่ตลอดร่วมครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา พวกเขาไม่เจอะเจอสิ่งมีชีวิตใดที่มีขนาดใหญ่กว่าแมลงปอเลยสักตัว หมูป่า หมีควาย ลิง ค่าง บ่าง ชะนี ที่ควรจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาแสดงตัว กลับหายเข้ากลีบเมฆกันไปหมด ไม่มีแม้กระทั่งเสียงร้อง

“ฉันว่าลุงกัดฟันทนอีกนิด แล้วค่อยไปพักที่ห้างดีกว่า เกิดมืดค่ำขึ้นมาจะลำบากไปกันใหญ่” ทหารหนุ่มแนะนำ
“รู้แล่วน่า ขอแค่สามนาทีให้แข้งขามันหายล้าสักหน่อยแล้วกัน” จ่ามหันต์พูดจบก็กวักมือเรียกพรานชัชให้เข้าไปหา

“พี่ชัชนี่อึดไม่หยอกนะ อายุมากกว่าฉันเป็นสิบปีแท้ๆ ดูไม่ล้าเลยสักนิด” จ่ามหันต์พูดทันทีที่พรานเดินเข้ามายืนใกล้ๆ
แต่ดูเขาไม่สนใจจ่ามหันต์เท่าไหร่ ใช้ขาเหยียบขอนไม้ สายตาจับจ้องมองสูงขึ้นไปบนยอดเขาสูงชัน
"ป่าแบบนี้สำหรับผมก็เหมือนเดินเล่นในสวนนั่นล่ะ” พรานตอบ

ถึงเรี่ยวแรงจะหายไปตามกาลเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่เฉียบแหลมขึ้นตามวัย คือการพินิจคน จ่ามหันต์รู้สึกได้ว่าหลังจากเข้ามาอยู่ใต้ผืนป่าแห่งนี้
พรานชัชดูขรึมจนน่าแปลกใจจากที่ชอบเข้ามาชวนคุยอยู่บ่อยๆ กลับระแวงสิ่งรอบตัวไปเสียหมด
“พี่ชัชรู้สึกว่าป่ามันแปลกๆ ไปไหม” จ่ามหันต์เกริ่นเข้าเรื่องทันที หากจะมีใครตอบคำถามนี่ได้ดีที่สุด ก็คือพรานมือฉมังคนนี้

“แปลก?... ยังไงรึ” พรานป่าถามกลับ
“ก็พวกสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ มันพากันหายหัวไปไหนกันหมดนะสิพี่พวกเราเดินกันมาครึ่งค่อนชั่วโมง ไม่เจอหมูหมากาไก่อะไรเลย
มันไม่พิกลไปหน่อยเหรอ?”
พรานยิ้มแค่นๆ “ไม่มีอะไรหรอก พวกมันได้กลิ่นคนก็คงเผ่นไปกันหมดแค่นั่นล่ะ”

“แต่พี่ชัช...”

จ่ามหันต์ยังไม่ทันได้คำตอบของสิ่งที่กังวลกลับไปยินเสียงปืนเสียงปืนดังสนั่นจนขุนเขาสะเทือน ปัง! ปัง! ปัง!
เขาก้มลงโดยสัญชาตญาณ ใช้ซากไม้เก่าเป็นที่กำบัง เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่กระโจนหาที่หลบภัยอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาเดาให้มากความ
ทีมร้อยโทฤทธิ์คงเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่าง ถึงได้ยิงปืนกันหูดับตับไหม้สะท้านป่าแบบนี้

หรือจะเป็นอ้ายเสือผีตัวนั้น!?

จ่ามหันต์ไม่รอช้า ส่งสัญญาณให้สมาชิกในทีมเคลื่อนที่ตัดขึ้นยอดเขา เพราะช่วยย่นระยะได้สั้นกว่าแม้ต้องใช้พละกำลังมากกว่า
มุ่งหน้าไปตามเสียงปืนที่ยังดังอยู่เป็นระยะ ทุกคนไต่ขึ้นพื้นที่เอียงลาด ผ่านพุ่มไม้น้อยใหญ่ หมู่หินระเกะระกะ
จนพรานชัชสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงบอกให้ทุกคนชะลอฝีเท้า เขาหยุดคิดเพียงครู่เดียว ก่อนตัดสินใจนำลูกทีมอ้อมไปอีกทาง
อดีตสิบโทวิ่งขึ้นมาขนาบข้าง ถามว่าทำไมไม่มุ่งไปทิศเดิม มันน่าจะไปถึงพื้นที่เขาฝั่งตรงข้ามได้เร็วกว่า

พรานมือฉกาจหันมาตอบเบาๆ
“จ่าไม่สังเกตรึ ตามพื้นเริ่มมีดอกไม้สีเหลืองตกกระจายอยู่เป็นหย่อมๆ
การบุกผ่าเข้าไปกลางดงประดู่ป่าตอนโพล้เพล้แบบนี้ไม่ดีหรอกเชื่อผมเถอะ”

จ่ามหันต์ต้องเสียเวลาคิดอยู่อีกครู่จึงเข้าใจ ภาพเงามนุษย์ที่ยืนแฝงอยู่ใต้ต้นประดู่โผล่ขึ้นมาให้ความคิด

หลังจากเดินอ้อมตัดลงทางลาดมาอีกไม่นาน พรานชัชคิดว่าเสียงปืนซึ่งเงียบลงไปแล้วน่าจะดังไม่ไกลจากบริเวณนี้ ทุกคนเคลื่อนที่ช้าลง ต่างหันซ้ายหันขวาจับจ้องสิ่งสรรพสิ่งรอบด้าน จ่ามหันต์ประทับปืนตลอดเวลา รู้สึกเงอะงะไม่น้อย ความรู้สึกเดิมๆ สมัยเป็นทหารมันหายไปไหนหมด เขาพึมพำเบาๆ อย่างร้อนใจ

‘พี่ฤทธิ์... พี่ฤทธิ์อยู่ไหน’

ทุกคนสำรวจพื้นที่อย่างรีบเร่งแข่งกับเวลา แต่แทบไม่พบสิ่งใด สายฝนทำลายร่องรอยหายไปเกือบหมด แต่กระนั้นพระพิรุณ
ก็เปิดเผยหลักฐานบางอย่าง บริเวณแอ่งเล็กๆ ปรากฏรอยเท้าขนาดมหึมาของสัตว์ชนิดหนึ่ง พรานชัชก้มนั่งนิ่งจ้องมองรอยนั้นอย่างใช้ความคิด
จนสมาชิกในทีมที่เหลือเดินสมทบหนึ่งในพลทหารที่ชื่อรงค์อุทานออกมาอย่างหวาดกลัว

“เฮ้ย อย่าบอกนะเป็นรอยเท้าของไอ้เสือตัวนั้นน่ะ”
“เออ” พรานตอบสั้นๆ

รอยนี่คืออุ้งเท้าของเสือโคร่งอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ที่ทำให้หวั่นใจคือขนาดของมันมากกว่า พรานชัชประมาณจากรอยเท้าว่าไอ้ลายตัวนี้
น่าจะสูงไม่ต่ำกว่าเมตรครึ่ง ความยาวอาจจะทำลายสถิติเสือโคร่งทุกตัวที่เขาเคยพบเจอ พูดจบก็หัวเราะในลำคอเบาๆ
เสมือนได้พบคู่มือที่สมน้ำสมเนื้อ

“เอายังไงกันต่อล่ะพี่ชัช” จ่ามหันต์ถามทันทีที่เห็นพรานป่านิ่งเงียบ
“ร่องรอยพอมีอยู่บ้าง สองคนวิ่งตัดลงเนินไปทางนั้น อีกสองมุ่งไปห้างหลังเขา” พรานชี้ทาง “ถ้าถามผม ขอแนะนำว่าเราควรมุ่งไปขึ้นห้างให้เร็วที่สุด อาจจะเจอพรรคพวกที่นั่น ที่สำคัญเริ่มค่ำแล้ว พวกเรานี่ล่ะจะเสี่ยงมากกว่า”

ทุกคนเห็นตรงกันจึงรีบมุ่งไปจุดหมายเดิมทันที

ทั้งสี่รีบเคลื่อนที่ไปยังจุดหมายโดยมีพรานสูงวัยแต่คล่องเกินอายุวิ่งนำทาง ไม่นานนักก็มาถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งเป็นจุดแรกที่ขัดห้างรอไว้
แต่ต้องผิดหวัง เพราะไม่พบใครแม้แต่คนเดียว สองพลทหารจัดแจงเตรียมจุดกองไฟทันทีที่มาถึง แต่พรานชัชเดินเข้ามาบอกว่า
หากคิดจะเก็บไอ้เสือตัวนี้จริงก็อย่าจุดไฟไว้ใต้ห้าง

“มันเห็นกองไฟ คงจะเดิมดุ่มๆ เข้ามาให้พวกเอ็งยิงกันหรอกนะ” พรานชัชขบขัน “ตะวันลับฟ้าไปนานแล้ว ทุกคนรีบขึ้นไปบนห้าง
อย่าคิดว่ากลางค่ำกลางคืนใต้ผืนป่าจะมีแค่ไอ้ลายที่เป็นภัยนะ เขาลูกนี้เจ้าที่เจ้าทางแรงนัก”
จากนั้นจึงพูดต่อ “ผมขอตัวไปดูอีกห้างที่ขัดเอาไว้ว่ามีใครอยู่รึเปล่า ประเดี๋ยวกลับมา”

“พี่ชัชพูดยังกับจะไปคนเดียว” จ่ามหันต์โพล่งขึ้นมาทันที
“ผมไปคนเดียวสะดวกกว่า ขืนกระเตงทุกคนไปด้วยสิยิ่งพะวง มีแต่จะอันตรายมากขึ้น จ่าไม่ต้องเป็นกังวล ถึงป่านี้จะดูมีบางสิ่งบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ในเงามืด แต่มันก็ไม่เท่าแถบลุ่มสาละวินที่ผมเคยเจอหรอก”

“เอาแบบนั้นแน่นะพี่” จ่ามหันต์ถามย้ำอีกครั้ง พรานพยักหน้าตอบทันที ทุกคนยกเว้นพรานชัช จึงทยอยปีนขึ้นไปบนห้างอย่างรวดเร็ว
เมื่อขึ้นไปประจำห้างเรียบร้อย พรานยิ้มให้จ่ามหันต์และเดินเลี่ยงหายไปในความมืด มีเสียงพูดเบาๆ ดังลอยมา

“ไม่ต้องกังวลนะจ่า... ป่าคือบ้านผม”

ขณะนั้นเป็นเวลาย่ำค่ำ สายฝนยังคงโปรยปรายไม่มีทีท่าเหนื่อยล้า ดูจากความหนาแน่นของชั้นเมฆ คงตกไม่หยุดถึงเที่ยงคืนเป็นอย่างน้อย
จ่ามหันต์ยืนจ้องความมืดรอบทิศด้วยความรู้สึกกริ่งเกรง นานกี่ปีแล้วที่ไม่ได้ค้างอ้างแรมใต้ผืนป่ายามราตรี ช่างมืดมิดจนแทบไม่เห็นสิ่งใด
ความกระวนกระวายเพิ่มพูนขึ้นทีละน้อยในสัดส่วนที่เท่าๆ กับความรู้สึกผิด เมื่อไม่สามารถทัดทานเพื่อนรักให้ยกเลิกภารกิจเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ในตอนที่มีโอกาส มาย้อนคิดเอาตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว

“ว่าแต่ลุงชื่อมหันต์เหรอ” พลทหารยักษ์ถามแทรกขึ้นเบาๆ
“เออ” จ่าตอบห้วนๆ ไม่มีกระจิตกระใจสนทนากับใครในเวลานี้
“รู้จักกับหมวดฤทธิ์นานรึยัง” ทหารหนุ่มถามต่อ
“ก็นานพอดู” จ่าตอบสั้นๆ เช่นเคย
“แล้วทำไมลุงถึงออกจากราชการล่ะ” ทหารหนุ่มขี้สงสัยป้อนคำถามต่อทันที
“แล้วเอ็งจะรู้ไปทำซากอะไรวะ” จ่ามหันต์เริ่มหงุดหงิด เขาต้องการเวลาเล็กน้อยคิดหาหนทางรับมือภยันตรายตรงหน้ามากกว่ามาทำความรู้จักกับทหารเกณฑ์ช่างจ้อคนหนึ่ง

แต่แทนที่ทหารหนุ่มจะโกรธ เขากลับหัวเราะ “ฉันรู้ตั้งแต่ก่อนเหยียบเข้ามาในป่าแล้วว่าจ่าไม่เห็นด้วยกับภารกิจนี้ เห็นบอกผู้หมวดอยู่หลายครั้ง แต่เขาเลือกที่จะไม่ฟัง เพราะฉะนั้นอย่าโทษตัวเองเลย ที่สำคัญอย่ามัวแต่ห่วงคนที่หายไป ห่วงคนอยู่บ้างละกัน เพราะถ้าเกิดเป็นอะไรกันไปหมด จะเหลือใครไปช่วยคนที่หายไปล่ะ”

จ่ามหันต์แปลกใจเล็กน้อยกับความคิดของทหารใหม่ คำพูดคำจาที่เปล่งออกมาแม้จะดูบ้านๆ แต่กลับช่วยให้จิตใจสงบลง

'อย่ามัวแต่ห่วงคนที่หายไป ห่วงคนอยู่บ้างละกัน เพราะถ้าเกิดเป็นอะไรกันไปหมด จะเหลือใครไปช่วยคนที่หายไปล่ะ'

“เอ็งชื่อยักษ์เหรอ” จ่ามหันต์เป็นฝ่ายถามบ้าง ทหารหนุ่มพยักหน้า
“ที่บ้านมีใครรับราชการ เป็นทหารหรือตำรวจบ้างหรือเปล่า” ทหารหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่ก่อนตอบ
“เท่าที่รู้ไม่มีนะ บ้านฉันมีอาชีพทำไร่ทำสวน ทำกันมานานนมตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย แต่ฉันรู้ตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าไม่อยากเป็นชาวไร่
แต่อยากเป็นรั้วของชาติ เป็นทหารปกป้องประชาชน ปกปักรักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ฉันเคยอ่านในหนังสือ แต่ก็จำไม่ค่อยได้
พระเจ้าแผ่นดินท่านพูดว่า อาชีพทหารเป็นอาชีพที่ต้องเสียสละ ใครที่เป็นทหารต้องยอมสละทุกสิ่งเพื่อส่วนรวม ต้องซื่อสัตย์สุจริต
ต้องเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาและต้องกรุณาต่อผู้น้อยอะไรประมาณนั้นฉันก็จำไม่ค่อยได้ แต่ที่แน่ๆ
คำพูดท่านเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันมายืนตรงจุดนี้” ทหารหนุ่มร่ายยาวเหยียด

อดีตสิบโทได้ฟังคำพูดของเด็กหนุ่มรุ่นลูก บังเกิดความปิติไม่น้อย
“ดูท่าเอ็งจะภูมิใจและชื่นชมอาชีพนี้มากนะ... มีอะไรที่เอ็งรักมากกว่าการเป็นทหารไหมวะ”
ทหารหนุ่มหันมายิ้มให้อดีตสิบโท ก่อนตอบ
“แล้วลุงจะรู้ไปทำซากอะไรล่ะ” แต่ก่อนที่จะโดนพานท้ายฟาดที่หัวกบาล ทหารหนุ่มซึ่งหันไปสำรวจความมืดของผืนป่าพูดต่อทันที

“มีสิ... ครอบครัวไง”

ไม่นานนักมีเสียงฝีเท้ามุ่งมาบริเวณห้าง ชายทั้งสามลุกพรวด จรดปืนไปในทิศทางเดียวกัน
“เฮ้ย! อย่ายิงๆ พี่เอง” ฤทธิ์ตะโกนโหวกเหวกอยู่เบื้องล่าง จ่ามหันต์รีบจุดคบไฟ โบกไปมา แสงสว่างส่องให้เห็นกลุ่มบุคคลเบื้องล่าง
คือร้อยโทฤทธิ์กับทหารติดตามอีกหนึ่งคน และสุดท้ายที่ยืนอยู่ห่างๆ คือพรานชัช

จ่ามหันต์ดีใจที่เห็นเพื่อนสนิทรอดปลอดภัยกลับมา กำลังจะถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็น แต่พรานชัชชิงตัดบทเสียก่อน
“อย่าเพิ่งพูดกันตอนนี้ นายทหารรีบขึ้นไปข้างบนดีกว่า ข้างล่างมันไม่ค่อยปลอดภัย ส่วนผมกับพ่อหนุ่มคนนี้จะเดินดูรอบๆ อีกสักพักเผื่อเจอคนอื่นๆ แล้วค่อยกลับไปขึ้นห้างอีกตัว ห้างตัวนี้ถึงจะขัดไว้ใหญ่ แต่มันรับน้ำหนักคนมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

ฤทธิ์รีบตะเกียกตะกายปีนอย่างทุลักทุเล บริเวณท้องที่เคยเต็มไปด้วยมัดกล้าม ปัจจุบันพลุ้ยราวกับลูกขนุน เขาหอบแฮ่กเมื่อขึ้นมาถึงบนห้าง
“ไม่อยากแก่เลยวุ้ย” ร้อยโทบ่นอุบ
“หวังว่าค่ำคืนนี้จะผ่านไปด้วยดีนะ ช่วงเช้าผมจะกลับมารับ” พรานชัชพูดจบก็เดินหายลับไปในความมืดกับทหารอีกคน
ฤทธิ์บอกไล่หลังให้ทั้งสองระมัดระวังตัวให้ดี ในขณะที่จ่ามหันต์ยืนคิดอะไรเงียบๆ...

ห้างนี้มีขนาดใหญ่ที่สุด ขัดขึ้นสำหรับหัวหน้าชุดโดยเฉพาะ สามารถนั่งกันสี่คนได้สบาย เมื่อฤทธิ์ปีนขึ้นมา เขาทิ้งตัวนั่งลงอย่างเหนื่อยหอบ
เนื้อตัวมีรอยแผลเล็กๆ เต็มไปหมด เมื่อพักจนหายเหนื่อยจึงเริ่มเล่าโดยไม่ต้องให้ใครมาซัก เขาเล่าว่าขณะที่ทีมกำลังเดินสำรวจพื้นที่อีกฟาก
ก็ได้หยุดพักที่หนองน้ำเก่าแห่งหนึ่ง จัดแจงกรอกน้ำเพิ่มเติมเตรียมไว้สำหรับคืนนี้ ในระหว่างที่กำลังนั่งล้างหน้าล้างตากันอยู่
จ่าแซมสังเกตเห็นว่ามีอะไรบางอย่างซุ่มอยู่เหนือลานหิน พวกเรานิ่งเงียบอยู่นาน จนบางอย่างโผล่ออกมาจากชะง่อน
เจ้าสิ่งนั้นเสือโคร่งตัวใหญ่

ตาร้อยโทเบิกกว้าง เหงื่อและน้ำฝนปนกันไหลย้อยเต็มใบหน้า เขาพูดเสียงสั่น
“พ่อแก้วแม่แก้ว... ฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่ะ ขนาดของมันใหญ่ยักษ์มหึมามาก”
“แล้วยังล่ะพี่ฤทธิ์” จ่ามหันต์พยายามถามต่อหัวหน้าชุด
“จ่าแซมเป็นคนแรกที่ยิง จากนั้นพวกเราก็รัวไม่นับเหมือนกับว่ากำลังอยู่ในสงครามก็ไม่ปาน หลังจากระดมยิงชุดแรกก็กำลังจะปีนขึ้นไปตรวจสอบ ปรากฏว่า...” ฤทธิ์นิ่งเงียบ

“ปรากฏว่าอะไรพี่ฤทธิ์” จ่ามหันต์เค้นถาม

“เหลือเชื่อจริงๆ แต่ก็เป็นไปแล้ว ปรากฏว่าไอ้เสือผีตัวนั้นกลับมายืนอยู่ในดงไม้ห่างจากพวกเราไม่ถึงสิบเมตร เห็นไกลๆ ก็ว่าหัวหดแล้ว
พอมาเจอะใกล้ๆ ไอ้อิ๋บหายเอ้ย บรรดาตัวร้ายที่พี่เคยล่ามากลายเป็นแค่มดปลวกเมื่อเทียบกับไอ้ลายตัวนี้ หัวมันใหญ่กว่าหม้อแกง
เขี้ยวยาวยิ่งกว่ามีดพก ความกล้าที่พกมาเต็มเปี่ยมละลายหายไปพร้อมกับละอองฝน พวกเรายิงสะเปะสะปะ จากนั้นก็วิ่งกระเจิงไปคนละทาง
จ่าแซมกับทหารอีกคน วิ่งย้อนกลับไปทางเดิม ส่วนพี่กับไอ้น้อยเตลิดมุ่งมาทางห้าง แต่หลงทิศหลงทางหาห้างไม่เจอ มองไปทางไหนก็เจอแต่ต้นไม้เหมือนๆ กันหมด จนแต้มจริงๆ จึงต้องเสี่ยงปีนขึ้นไปหลบอยู่บนต้นไม้อยู่ร่วมชั่วโมงจนพรานชัชตามไปเจอนั่นล่ะ”

แววตาของหัวหน้าชุดเหม่อลอย ตัวสั่นด้วยความกลัว...

หลังจากทุกคนได้ฟัง แม้แต่น้ำลายยังกลืนลงคอได้อย่างยากลำบาก ขนาดชายผู้มีประสบการณ์ในการล่าสัตว์มาเป็นสิบปี แต่พอเจอไอ้ลายเพียงครั้งเดียวก็แทบเอาชีวิตไม่รอด ดูแล้วหากจะพอมีใครที่รับมือเจ้าเสือร้ายตัวนี้ได้ คงมีแค่พรานชัชเท่านั้น...

ภายใต้ความมืดมิดของผืนป่าในยามค่ำคืน ฉาบด้วยละอองฝนดูน่าวังเวงสุดประมาณ ทั้งสี่คนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไรอีก
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จ่ามหันต์ยกนาฬิกาขึ้นมาดูเป็นระยะ ครั้งสุดท้ายเพิ่งจะทุ่มเศษๆ เท่านั้น
คงต้องนั่งหลังขดหลังแข็งอีกนานกว่าจะรุ่งสาง

ผ่านไปอีกราวเกือบชั่วโมง ทุกคนได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินย่ำยอดหญ้าดังมาจากใต้ห้าง ปืนทุกกระบอกเล็งไปที่ทิศทางเดียวกันทันที
เสียงใครคนหนึ่งร้องเอะอะขึ้น
“นาย อย่ายิง! ผมเอง”

ฤทธิ์ใช้ไฟฉายส่องไปเบื้องล่าง เห็นทหารคนสนิทยืนตัวสั่นอยู่ด้านล่าง เนื้อตัวมอมแมม
ฤทธิ์ดีใจมากที่เห็นจ่าแซมทหารคนสนิทรอดปลอดภัยกลับมาครบสามสิบสอง
“ไอ้แซม แกปลอดภัยดีนะ”
“ยังอยู่ดีครับนาย แต่ไอ้น้อยสิท่าจะแย่ โดนกิ่งไม้เกี่ยว ขาเป็นแผลเหวอะเลือดไหลไม่หยุด ตอนนี้รออยู่ที่ห้างอีกตัว ขอใครสักคนไปช่วยกันหน่อย ว่าแต่นายพอจะมีหยูกยาผ้าพันแผลติดมาบ้างไหม”

ฤทธิ์บอกให้สิบตรีแซมรออยู่ด้านล่าง ส่วนตัวเองรีบรื้อเป้ส่วนตัว เขาจำได้ว่าหยิบอุปกรณ์ปฐมพยาบาลติดมาด้วยแน่ๆ ระหว่างที่กำลังค้นหาอย่างเร่งรีบแข่งกับเวลา พร้อมสั่งการให้ยักษ์เตรียมพร้อม ทหารหนุ่มคว้าเป้ขึ้นมาสะพาย หยิบปืนคู่กายขึ้นมากระชับมั่น เขาก้าวไปเกาะกิ่งไม้ใหญ่เตรียมโรยตัวลงด้านล่าง

“เดี๋ยวพอลงไปข้างล่าง หย่อนปืนลงไปให้หน่อยนะ” ยักษ์กำชับเพื่อน
“ไอ้หนุ่ม อย่าเพิ่งลงไป” เสียงจ่ามหันต์ดังแทรกขึ้นกลางปล้อง เขาค่อยๆ สืบเท้าไปจนถึงขอบห้าง มองลงไปเบื้องล่างเผชิญหน้ากับจ่าแซม
“มีอะไรรึลุง” ยักษ์ฉงน
“นิ่งๆ ไว้” จ่ามหันต์ก้มไปหยิบท่อนไม้ จากนั้นยื่นปลายซึ่งชุ่มไปด้วยน้ำมันไปตรงหน้าทหารหนุ่ม
“จุดไฟสิ” จ่ามหันต์พูดเบาๆ

หัวหน้าชุดซึ่งสังเกตอากัปกิริยามาสักพักถามด้วยความสงสัย
“มหันต์ นั่นแกจะทำอะไร”
อดีตสิบโทไม่ตอบ ยืนนิ่งเงียบดุจตอไม้ แต่ในใจนั้นกลับเต้นระรัว ก่อนที่จะเข้ามาเหยียบป่าอาถรรพ์แห่งนี้
จ่ามหันต์สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลอยู่ไม่น้อย แต่เลือกที่จะนิ่งเสียด้วยเหตุผลหลายประการ
พฤติกรรมเช่นนั้นเองที่ทำให้ทุกคนต้องมาเสี่ยงในตอนนี้

“จุดสิว่ะไอ้ทึ่ม” จ่ามหันต์ตะคอก ยักษ์รีบล้วงไฟแช็คขึ้นมาจ่อที่ปลายคบ ช่วงครู่เปลวไฟอบอุ่นสว่างขึ้นในความมืด

ฤทธิ์วางมือจากการค้นหาอุปกรณ์ปฐมพยาบาล ก้าวเข้ามาประชิดจ่ามหันต์
“พี่ถามไม่ได้ยินรึไง” น้ำเสียงนั่นกร้าวขึ้น ร้อยโทหัวหน้าชุดปฏิบัติการล่าเสือร้ายเลือกจะห่วงความปลอดภัยของคนที่อยู่บนพื้น
มากกว่าที่อยู่บนห้าง ซึ่งจะว่าไปก็เป็นความคิดที่ถูกต้อง แต่เขายิ่งแปลกใจเมื่อน้ำเสียงของจ่ามหันต์กลับแข็งยิ่งกว่า
“พี่ฤทธิ์อย่าเพิ่ง” เขาชูคบไฟขึ้นเหนือศีรษะ เปลวเพลิงเปิดเผยให้เห็นหลายสิ่งรวมถึงจ่าแซมที่ยืนอยู่ด้านล่าง

“จ่า เพื่อนผมนอนเจ็บเจียนตาย แล้วมัวดึงดันทำอะไรอยู่ ส่งยามาเดี๋ยวนี้” จ่าแซมพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว พลางสืบเท้าเข้ามาติดลำต้น
มือเอื้อมขึ้นไปคว้ากิ่งไม้ เป็นจังหวะเดียวกับที่ทุกคนได้ยินเสียง กริ๊ก

“แซม เอ็งหยุดอยู่ตรงนั่นล่ะ” จ่ามหันต์ประทับปืนลูกซองยาวด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกข้างโยนคบไฟลงไปด้านล่าง ผลันที่ตกกระทบกับพื้น
สะเก็ดไฟเล็กๆ กระเด็นไปทั่ว จ่าแซมจำต้องถอยหลังหลบ เขาอุทานด้วยความหงุดหงิด
“เล่นอะไรวะ ประเดี๋ยวไฟก็ไหม้วอดทั้งป่าหรอก”
“เอ็งอย่ามาพูดให้ขำ ฟ้ารั่วขนาดนี้ถ้าไฟกระจิ๋วหลิวมันทำให้ป่าวอดวายได้ก็ให้มันรู้ไปสิวะ “อดีตสิบโทเว้นช่วงและพูดต่อ “แต่ถ้าเอ็งกลัวนัก
ก็ช่วยดับหน่อยสิ หยิบคบไฟไปจุ่มแอ่งน้ำตรงนั้น” จ่ามหันต์สั่งเสียงเฉียบขาด

สองจ่าจ้องหน้ากันนิ่ง เดือดร้อนหัวหน้าชุดต้องห้ามทัพพัลวัน “มหันต์ พอได้แล้ว บ้าไปแล้วหรือไงเอาปืนผาหน้าไม้ไปจ่อเพื่อนแบบนั้นได้ยังไง
ลดปืนลงเดี๋ยวนี้ นี่เป็นคำสั่ง!”

จ่ามหันต์ยืนนิ่งอยู่นานจึงค่อยๆ ลดปืนลง ก่อนตอบเพื่อนรักเบาๆ “ฉันไม่ใช่ทหารแล้วพี่”

แล้วเสี้ยววินาทีแห่งความโกลาหลก็เกิดขึ้น เมื่ออดีตสิบโทวาดปืนเป็นวง ทำมุมเฉียงราวสี่สิบห้าองศาจากนั้นลั่นไก เสียงปืนลูกซองคำรามก้องทั่วไพรพนา ปัง!

กระสุนจากปลายกระบอกปืนพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ผ่านหมู่ไม้หนาทึบ แต่ไม่มีใครบนห้างสนใจว่ามันจะพุ่งไปถึงไหนต่อไหน ทุกคนจ้องมองไปด้านล่างเป็นตาเดียวกันด้วยความตระหนกตกใจ ภาพที่ปรากฏต่อสายตาทุกคู่ คือจ่าแซมซึ่งก่อนหน้าเคยยืนประชิดอยู่ใต้ห้างกลับถอยหลังไปหลายเมตร
จากการกระโดดเพียงครั้งเดียว เรื่องน่าประหลาดยังไม่จบเพียงเท่านั้น จ่าแซมที่อยู่ไกลออกไป ยืนคู้สี่ขา ตาเป็นประกายแวววับดุจกระจกยามต้องแสง เปลวเพลิงที่กองอยู่บนพื้นส่องสว่างให้เห็นลายจางๆ บริเวณข้อมือทั้งสองข้าง

จ่ามหันต์จ้องลวยลายบนข้อมือจ่าแซมด้วยความหวาดกลัว แต่กระนั้นก็ยังฝืนหักลำกล้องด้วยสัญชาตญาณ
ปลอกกระสุนปืนกระเด้งออกมาพร้อมควันจางๆ เขายัดกระสุนกลับไปอย่างรวดเร็ว

ร่างจ่าแซมคุกเข่าคลานอยู่กับพื้นมองกลุ่มคนด้วยสายตาวาวโรจน์อยู่ครู่ ก็กระโดดผลุบหายเข้าไปในความมืด
เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงปืนดังสนั่นอีกครั้ง

ปัง!

ไม่ใช่เสียงปืนของจ่ามหันต์ เป็นลูกซองของทหารอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

หลังอาวุธบรรลัยกัลป์พุ่งไปในความมืด ทุกคนได้ยินเสียงสัตว์ร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดและกราดเกี้ยวดังสะท้านไปทั่ว
มีเสียงตะกุยตะกายอยู่ในความมืด จ่ามหันต์ตั้งสติได้เป็นแรกรีบคว้าไฟฉายส่องไปทางต้นเสียง และหัวใจชายฉกรรจ์ทุกดวงก็แทบหยุดเต้นเสียให้ได้ เมื่อแสงไฟส่องไปกระทบกับสัตว์ขนาดยักษ์กำลังดิ้นคลุกดินคลุกโคลนอยู่

มันเป็นเสือลายพาดกลอนตัวเขื่อง!

เสือร้ายซึ่งล้มกลิ้งด้วยแรงกระสุนค่อยๆ ยืนขึ้นอีกครั้ง บริเวณช่วงท้องมีเลือดไหลซึมอยู่เป็นวงกว้าง แต่กระนั้นบาดแผลกลับฉกรรจ์น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ประกายตาอาฆาตจับจ้องกลุ่มคนที่อยู่สูงขึ้นไป เขี้ยวยาวงุ้มเผยออกเมื่อเจ้าเสือร้ายคำราม กรร...

ดังต้องมนต์สะกด กลุ่มมนุษย์ยืนตะลึงกับสิ่งที่เห็น สัตว์ร้ายที่ไล่ล่ามาค่อนวัน บัดนี้ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ตัวมันใหญ่ผิดกับเสือทั่วไป
แม้ไม่เท่าที่พรานชัชเคยคาดคะเนเอาไว้ แต่ก็ห่างกันไม่มาก ขนาดของมันระดับวัวรุ่นๆ เลยทีเดียว!

“ยืนบื้อทำไมยิงสิวะ” จ่ามหันต์ตะโกนสั่งทันที กระสุนจากปืนทุกกระบอกสาดไปในความมืดทันทีโดยไม่สนเป้าหมาย
เสียงดังสนั่นนานอยู่ร่วมนาทีจึงสงบ เขม่าดินปืนลอยคละคลุ้งเหนือห้าง
“มันเสร็จเรารึเปล่าวะ” ฤทธิ์โพล่งขึ้นด้วยความตื่นเต้นเป็นคนแรก ไฟฉายทุกดวงส่องไปยังตำแหน่งที่เสือร้ายเคยเกลือกกลิ้งอยู่
แต่บัดนี้ว่างเปล่าไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต ไอ้ลายตัวร้ายล่องหนหายไป
“ไอ้เวรเอ้ย มันหายไปไหนวะ” ฤทธิ์ถามด้วยความตระหนก เขาพยายามกราดไฟฉายไปรอบๆ ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
นอกจากแอ่งดินที่มีร่องรอยไอ้ลายดิ้นพรวดพราดเมื่อสักครู่

จ่ามหันต์ยืนตัวสั่น จะเพราะความหนาวหรือกริ่งเกรง คงมีแต่เจ้าตัวที่รู้

ในแวดวงเรื่องลี้ลับที่ลือเลื่องในหมู่คนเฒ่าคนแก่และผู้พิสมัยไสยศาสตร์ในแถบพื้นที่ภาคกลางมีมากมายก็จริง แต่มีเพียงสองเรื่องที่ไม่ว่าใครต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าไม่อยากประสบพบกับหายนะอย่าเข้าไปยุ่ง หนึ่งคือตำนานภูติสาวในชุดดำ และสองคือสมิงยักษ์แห่งพงไพร หรือที่ใครต่อใครเรียกขานในยามนี้ว่า 'สมิงเขาขวาง'

เสียงพูดคุยดังโหวกเหวกอยู่รอบตัว แต่จ่ามหันต์จับใจความไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียว ในใจอดีตจ่าสิบโทคิดไปไกลยิ่งกว่า
เจ้าเสือตัวนั้นมันบาดเจ็บ เลือดออก มีความเป็นไปได้ไม่น้อยว่าสามารถสังหารมันได้ด้วยคมกระสุน
แต่ที่เขาไม่หุนหันนำสมัครพรรคพวกตามล่าต่อ เพราะเสือตัวนี้หาใช่เสือธรรมดา มันคือสมิงที่สามารถจำแลงแปลงเป็นคนได้
ดังที่เห็นกันจะๆ เมื่อสักครู่ ทำให้เกิดความลังเลขึ้นในใจ ว่าจะยอมเสี่ยงชีวิตตามล่าไอ้ลายที่กำลังบาดเจ็บ
หรือเอาตัวรอดนั่งรออยู่บนห้างจนถึงเช้าค่อยว่ากันใหม่

และอดีตสิบโทก็มีคำตอบในใจแล้ว..

เสียงหัวหน้าชุดดึงสติของจ่ามหันต์ให้กลับมาอีกครั้ง
“มหันต์ แกรู้ได้ยังไงว่ามันไม่ใช่ไอ้แซม” ฤทธิ์ถามเสียงสั่น
“ไม่มีข้อพิสูจน์อะไรทั้งนั้น แค่เคยได้ยินพรานเล่าให้ได้ฟังว่าอำนาจลี้ลับในป่ามีมากมาย แต่ทั้งหมดทั้งมวลส่วนใหญ่พวกมันไม่ถูกกับเปลวไฟ
ฉันเลยลองดูก็เท่านั้น”
“แล้วจะเอายังไงกันต่อ ถ้าเป็นสัตว์ทั่วไป รอให้มันเหนื่อยสักหน่อย เสียเลือดมากๆ ค่อยตามรอยไป เผลอๆ อาจจะสิ้นใจไปเองก็ได้
แต่เท่าที่เห็น กระสุนไม่โดนจุดสำคัญ” ร้อยโทหัวหน้าชุดพูดอย่างผู้เชียวชาญ “เพื่อความปลอดภัย พี่ว่าเรารอกันถึงเช้าดีไหม”

จ่ามหันต์นิ่งเงียบ ใช้ความคิดอย่างหนักโดยพยายามเลือกทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับทุกคน แต่กระนั้นแล้วไม่ว่าจะคิดหนทางใด
ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าจะไม่มีการสูญเสียในค่ำคืนนี้ อย่างน้อยถึงทุกคนบนห้างแห่งนี้จะรอด แต่สมาชิกคนอื่นๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ล่ะ
พรานชัชคงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่จ่าแซมและทหารอีกสองนายจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ที่สำคัญหากทุกคนยังมีชีวิตอยู่แล้วไอ้ลายตัวร้ายจำแลงแปลงกายไปหลอกล่อคงไม่พ้นต้องเกิดความสูญเสียขึ้นเป็นแน่

“ฉันจะตามมันไปเอง” จ่ามหันต์เอ่ยในที่สุด “สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ค่อยดีนะพี่ฤทธิ์ เรายิงปืนกันโป้งป้างแบบนี้ แต่พรรคพวกที่เหลือกลับเงียบกริบ ทั้งที่อีกห้างก็อยู่ไม่น่าจะไกลจากตรงนี้เท่าไหร่ ฉันเป็นห่วงคนอื่นๆ เกรงว่าจะเจออาถรรพ์ไอ้ลายเหมือนที่พวกเราเจอ และที่สำคัญไอ้เสือผีตัวนี้มันไม่ได้เป็นอมตะ เรายิงถูกมัน และเลือดออก ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะฝังมันไว้ที่นี่... คืนนี้เลย”

แต่ตัวเขาไปคนเดียวคงไม่ได้ อย่างน้อยต้องมีอีกหนึ่งไว้คอยระวังหลัง
“ขออาสาสมัครสักคนระวังหลังให้หน่อย แต่งานนี้ไม่บังคับ”

สมาชิกที่เหลือหันไปสบตากัน มีความกระอักกระอ่วนเกิดขึ้นทันที ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด เพราะเมื่อลงจากห้าง
ขาก็ก้าวเข้าไปสู่ขอบเขตความเป็นความตายทันที

“ฉันไปเอง” พลทหารยักษ์อาสาเป็นคนแรก เขาบรรจงบรรจุกระสุนทดแทนนัดที่พุ่งไปฝากบาดแผลไอ้ลาย มือของเขาสั่นเทาเล็กน้อย
คงยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น จ่ามหันต์ยืนมองทหารหนุ่ม ชื่นชมความกล้าหาญของเด็กคราวลูกคนนี้
ส่วนหัวหน้าชุดต้องทำใจอยู่นานกว่าที่จะตัดสินใจติดตามไปด้วย แม้จ่ามหันต์จะทัดทาน แต่ฤทธิ์ไม่ยอมปล่อยคนทั้งสองไปเสี่ยงภัยเด็ดขาด

“คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนรอดปลอดภัย” ร้อยโทกระตุ้นจิตใจตัวเอง

ระหว่างที่รอหัวหน้าชุดเตรียมความพร้อม จ่ามหันต์เข้าไปพูดคุยกับรงค์ บอกว่าอยู่รอบนนี้ปลอดภัยดี อย่ากังวล
แต่เตือนให้ระมัดระวังตัวตลอดเวลา จุดคบให้รอบด้าน เติมไฟอย่าให้มอด เลิกสนภารกิจ สนแค่เอาตัวรอดให้ได้เป็นพอ
ไม่ว่าจะเห็นอะไรอย่าลงมาจากห้างเด็ดขาดจนกว่าจะรุ่งเช้า และที่สำคัญอย่าไว้ใจป่า...

“พูดซะผมไม่อยากเฝ้าห้างเลย” รงค์ครางเสียงอ่อย

บรรยากาศค่ำคืนกลางป่าดูน่าสะพรึงยิ่งนัก สายฝนที่พร่ำไม่ขาดสายทำให้เกิดสรรพเสียงกวนจิตใจ หลังจากนัดแนะกันเรียบร้อย
จ่ามหันต์โยนคบไฟลงไปเบื้องล่าง เตือนรงค์อีกครั้ง จากนั้นจึงค่อยๆ ปีนลงพื้นอย่างทุลักทุเล

ด้วยฝีมือการยิงอันเอกอุ ยักษ์ได้รับสิทธิ์ให้เป็นผู้ครอบครองไรเฟิลเป็นการชั่วคราว แต่เจ้าตัวก็ไม่ยินดียินร้ายเท่าไหร่ เพราะไม่คุ้นมือเอาเสียเลย
ที่สำคัญแม้จะทรงอานุภาพ แต่ในระยะประชิดกลับหวังผลได้ไม่เท่าปืนลูกซอง

จ่ามหันต์สืบเท้าไปบริเวณที่แอ่งดิน มีรอยเลือดจางๆ หยดอยู่บนพื้นและบนใบไม้
“ดูจากรอยเลือด น่าจะโดนเฉี่ยวๆ” ฤทธิ์พูดขณะที่ใช้ไฟฉายส่องไปตามยอดหญ้า
“หรือไม่ก็โดนเต็มๆ แต่หนังเหนียว” จ่ามหันต์กราดไฟไปตามรอยเลือดจางๆ ที่หยดเป็นทาง “มันไปทางนั้น”
“ไม่ดีแล้วครับ” พลทหารหนุ่มพูดเบาๆ “ห้างอยู่ทางนั้น”

ชายทั้งสามสบตากันครู่เดียว ก็เร่งรุดหน้าไปทันที

ห้างที่สองอยู่ห่างออกไปในระยะเดินเท้าครึ่งชั่วโมง แต่ด้วยสายฝนที่ยังคงตกโดยไม่มีทีท่าจะหยุด ทำให้การเดินเท้าล่าช้ายิ่งขึ้น
อีกทั้งฝนยังไม่ใช่สิ่งเดียวที่ต้องกังวล ยังมีเจ้าเสือร้ายที่ซุ่มอยู่ในเงามืดนั่นอีกเล่า เมื่อใกล้ห้าง รอยเลือดซึ่งเป็นเบาะแสเดียว
ค่อยๆ จางหายไปเนื่องจากถูกอำพรางโดยหยาดฝน แต่อย่างน้อยก็มุ่งในทิศทางที่ทุกคนคาดการณ์ไว้ ตำแหน่งห้างที่สองอยู่ตรงหน้า
ซ่อนอยู่ในหมู่ไม้ มีขนาดเล็กกว่า มีกิ่งขนาดใหญ่สูงเหนือไม่ถึงสองเมตรครึ่ง แลดูไม่ปลอดภัยเท่าไหร่

ลำแสงจากไฟฉายของหัวหน้าชุดส่องไปเหนือห้าง เขาใช้มือเปิดปิดเป็นจังหวะอยู่นาน แต่ไม่มีสัญญาณใดตอบกลับ
“พอเถอะพี่ฤทธิ์” จ่ามหันต์ปราม “ทำงานตั้งโต๊ะได้ไม่เท่าไหร่ ดูท่าสัญชาตญาณนักล่าของพี่มันจะทื่อไปหมดแล้วนะ... ดูนั่น”
จ่ามหันต์ชี้ปลายกระบอกปืนไปบริเวณลำต้น ถึงจะอยู่ไกล แต่แสงน้อยนิดจากไฟฉายสองกระบอก ก็เพียงพอให้เห็นบางสิ่ง

โลหิตสีแดงสดไหลเป็นทางจากห้างเบื้องบน ลงสู่พื้นเบื้องล่าง...

แสงจากไฟฉายตัดผ่านความมืดส่องกระทบกับรอยเลือดที่อาบอยู่บนเปลือกไม้ บริเวณโคนต้น ดอกไม้แห้งๆ
สีเหลืองถูกย้อมด้วยโลหิตจนเป็นสีส้ม จ่ามหันต์จ้อง และเขาพูดกับตัวเองเบาๆ

“คิดยังไงไปขัดห้างบนต้นประดู่วะ”
“แกว่ายังไงนะ” ฤทธิ์ถามทันที
“สำหรับที่อื่นฉันไม่รู้ แต่สำหรับที่นี่ ที่เขาขวาง ต้นประดู่เป็นไม้ต้องห้าม ใครเป็นคนเลือกที่จะขัดห้างตรงนี้วะ”
“พี่ไม่รู้ว่ะ แต่คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าแซม ไม่ก็พรานที่ไม่ยอมตามมากับเรา แล้วที่แกบอกว่าเป็นไม้ต้องห้ามของที่นี่มันหมายความว่ายังไง”
ฤทธิ์ถามด้วยความสงสัย

“เอาน่า นี่ไม่ใช่เวลามาตั้งมาตอบคำถามนะพี่ฤทธิ์ เรามีเรื่องสำคัญกว่ารออยู่” จ่าพยักพเยิดไปข้างหน้า ทั้งสามคนค่อยๆ ย่องเข้าไปเงียบกริบ
ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งต้องยอมรับโดยดุษฎีว่า สิ่งที่ไหลอาบอยู่บนลำต้น ไม่ใช่ยางไม้แน่นอน มันเป็นเลือดจริงๆ แต่คำถามคือ เลือดใคร?
“สารเลวเอ้ย แล้วเลือดใครวะ เลือดไอ้เสือผีตัวนั้นที่หลบขึ้นไปซุ่มรอขบสมองพวกเรา หรือเลือดของใครกันแน่ เอายังไงดีมหันต์”

อดีตสิบโทยกมือให้สัญญาณให้ทุกคนชะลอฝีเท้า
“ไม่อยากมองโลกในแง่ร้ายนะพี่ฤทธิ์ แต่ฉันว่าไม่ใช่ไอ้ลายนั่นหรอก เลือดไหลเยอะผิดกับบาดแผลของมันที่เราเห็น”
“เอาแบบนี้ครับหมวด” ยักษ์เอ่ยขึ้นหลังจากเป็นผู้ฟังมาตลอดทาง “เดี๋ยวผมปีนขึ้นไปดูเองว่าเลือดใครกันแน่
หมวดกับจ่าช่วยส่องไฟแล้วก็คุ้มกันให้หน่อย”

พลทหารใจกล้าปราดเข้าไปประชิดและวางปืนพิงต้นไม้แผ่วเบา เขาใช้มือแตะน้ำสีแดง นำมาถูกับปลายนิ้วแล้วสูดเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้า
จากนั้นค่อยๆ ปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว โหนตัวขึ้นไปบนกิ่งไม้ที่ทอดตัวยาวจากลำต้น แล้วสืบเท้าอย่างมั่นคงบนกิ่งประดู่
เมื่อใกล้ถึงห้าง เขาล้วงมีดปลายแหลมยาวฟุตเศษมากำไว้แน่น ทหารหนุ่มสูดลมหายใจลึกและยาวหลายครั้ง และก้าวเข้าใกล้ไปเรื่อยๆ

เมื่อเดินมาจนประชิดขอบห้าง ยักษ์คว้ากิ่งขนาดเท่าแขน และดึงตัวขึ้นไปด้านบนห้างช้าๆ สายตาจ้องไปความมืดบนลานราบเหนือห้าง
ทหารหนุ่มเงียบหายไปชั่วอึดใจ ก่อนโผล่ออกมา สีหน้าดูเศร้าหมอง

“พี่แซมครับหมวด... น่าจะไม่รอด นอนจมกองเลือดเลย”
เป็นอันกระจ่างแจ้งแก่ใจ ว่าเลือดใครที่ไหลชะโลมบนเปลือกต้นประดู่ป่า หัวหน้าชุดหน้าถอดสี ภารกิจล่าเจ้าเสือร้ายส่งผลร้ายแรงเสียแล้ว
“มันตายรึยัง ลองดูดีๆ สิ” ฤทธิ์ถามด้วยความร้อนรุ่ม

ยักษ์เองก็ยังไม่แน่แก่ใจนัก เห็นร่างนายทหารรุ่นพี่นอนจมกองเลือด ก็คาดเดาเอาเองว่าจ่าแซมคงสิ้นใจไปแล้ว
เขาหยิบคบไฟอันสุดท้ายขึ้นมาจุดและแขวนไว้กับกิ่งประดู่เล็กๆ เตรียมที่จะตรวจสภาพศพอีกครั้ง
“เดี๋ยวฉันตามขึ้นไปดูเอง เผื่อมันอาจจะแค่สลบไป พี่ฤทธิ์คอยอยู่ตรงนี้”

จริงอยู่ จ่ามหันต์มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านการแพทย์แผนโบราณ เรื่องง่ายๆ แค่แยกแยะคนเป็นกับคนตาย สามารถทำได้ไม่ยากเย็นอยู่แล้ว แต่จ่ามหันต์อยากจะตรวจสอบอะไรบางอย่างกับร่างจ่าแซม เขาตลบปืนไปสะพายไว้ด้านหลัง พนมมือขอขมา แล้วคว้ากิ่งไม้ใหญ่ที่แผ่ออกรอบทิศทาง ค่อยๆ ตะเกียกตะกายจนขึ้นไปยืนอยู่บนกิ่งขนาดใหญ่กิ่งนั้นสำเร็จ หอบตัวโยน ค่ำคืนนี้ช่างยาวนานและเหนื่อยยากทั้งกายและใจจริงๆ
อดีตสิบโทใช้มือจับกิ่งเล็กๆ เหนือศีรษะ แล้วเดินกระย่องกระแย่งช้าๆ มุ่งไปยังห้าง

แม้ยังไม่ถึงที่หมาย แต่แสงจากคบไฟส่องให้เห็นร่างจ่าแซมนอนคว่ำอยู่บนห้าง บาดแผลฉกรรจ์มีอยู่สองจุด หนึ่งคือที่ลำคอมีรอยถูกขย้ำจนเหวอะหวะ สองมีรอยเล็บลึกและยาวตั้งแต่ไหปลาร้ายาวไปจนถึงกลางหลัง เลือดทะลักออกเป็นลิ่มๆ ไหลรินลงสู่พื้น

จากสภาพบาดแผลที่ปรากฏ ฟันธงลงความเห็นได้ไม่ยากว่าจ่าแซมจากพวกเขาไปแล้ว...

จ่ามหันต์หยุดยืนบนกิ่งไม้ที่ส่ายไปมา มองร่างเพื่อนร่วมทีมที่นอนจมกองเลือด แล้วแวบหนึ่งเหมือนจะมีความหวัง
เมื่อเขาไปยินเสียงดังเบาๆ “ช่วยด้วย…”

จ่ามหันต์จ้องเขม็งไปที่ร่างจ่าแซม แต่เสียงไม่ได้ดังมาจากร่างที่นอนแน่นิ่ง มันดังมาจากด้านหลัง?

อดีตสิบโทหันกลับไปมอง มีเสียงใครบางคนครวญครางอยู่จริง เขาจำได้ว่าเป็นหนึ่งในพลทหารที่ร่วมเดินทางแน่นอน
จึงกวาดสายตามองสูงขึ้นไปตามเสียง มันมาจากข้างบน ในดงประดู่ป่าและจ่ามหันต์ไม่ได้หูฝาด เมื่อฤทธิ์อุทานเบาๆ หันรีหันขวาง

“ไอ้น้อย... ไอ้น้อย” แล้วจึงตะโกนก้องด้วยความกังวล
“ไอ้น้อย นั่นแกใช่ไหม อยู่ไหนตอบด้วย”
น่าแปลกที่มีเสียงแว่วตอบกลับมาราวกับนั่งสนทนากันอยู่ตรงหน้า “นายช่วยด้วย ผมอยู่นี่...”

ฤทธิ์เหลียวกลับไปมองจ่ามหันต์ซึ่งยืนส่ายหน้าอยู่บนกิ่งไม้ “ไม่นะพี่ฤทธิ์ รออยู่ตรงนั้น”

ร้อยโทหัวหน้าชุดขบกรามขึ้นนูนเป็นสัน เขาหันสลับไปมาระหว่างเพื่อนสนิทซึ่งเปรียบดังพี่น้อง กับเสียงขอความช่วยเหลือของทหารใต้บังคับบัญชาที่ดังแว่วอยู่ในความมืด เมื่อตัดสินใจได้ ฤทธิ์เลือกจะวิ่งฝ่าเข้าไปในความมืด เขาตะโกนกลับมา
“เสียงมันดังอยู่ไม่ไกล พี่จะล่วงไปดูก่อน กลัวไม่ทันการณ์ พี่ไม่อยากเสียใครในทีมอีกแล้ว แกกับยักษ์รีบตามมาละกัน”
พูดจบแผ่นหลังของหัวหน้าชุดก็กลืนหายไปในความมืด จ่ามหันต์เห็นเช่นนั้นก็บันดาลโทสะ
ใช้ฝ่ามือทุบไปที่กิ่งไม้เหนือศีรษะอย่างแรงพร้อมสบถลั่น

“ปัดโธ่โว้ย!”

อดีตร้อยโทซึ่งอายุเฉียดเลขห้ากลืนน้ำลายลงคอก่อนกระโดดจากกิ่งไม้ลงสู่พื้นเสียงดัง ตุบ! เขาเสียหลักเซถลาคลานสี่ขา
แต่เมื่อลุกขึ้นได้ก็ตวัดปืนที่สะพายมากุมไว้แน่น แล้วหันไปสั่งพลทหารที่ยืนตะลึงอยู่บนห้าง
“รีบตามมาให้ไวเลยไอ้หนุ่ม” แล้วอดีตร้อยโทก็วิ่งตามหัวหน้าชุดไปทันที

ฤทธิ์วิ่งสะเปะสะปะตามเสียงที่ยังคงแว่วอยู่ แต่ด้วยความไม่ชำนาญพื้นที่หรืออาจเพราะร้างราจากการเดินป่ามานานจึงต้องชะลอฝีเท้า
แล้วเงี่ยหูฟัง เสียงเรียกนั้นเบาลงๆ จนเงียบไป

ความมืด สายลม สายฝน โอบล้อมร่างหัวหน้าชุดที่ยืนเดียวดายฤทธิ์จึงเริ่มรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล ความหุนหันพลันแล่น
แบบไม่ดูตาม้าตาเรือ กำลังถูกตอบแทนอย่างสาสม เขายกปืนขึ้น ภาวนาเบาๆ

'พ่อแก้วแม่แก้ว ช่วยลูกช้างด้วยเถิด'

เป็นจังหวะเดียวกับที่ใครคนหนึ่งโผล่พรวดมาจากพงไม้รกชัฏ ทั้งสองต่างตวัดปืนเข้าหากัน
ละอองฝนที่โปรยปรายไม่ขาดสายทำให้ชายทั้งสองมองเห็นกันได้ไม่ถนัดนัก มือของทั่งคู่สั่นเทาด้วยความกลัวและสับสน
เมื่อต่างคนต่างคิดเช่นเดียวกันว่า 'คนที่อยู่ตรงหน้าคือหนึ่งในเพื่อนร่วมทีม หรือเป็นไอ้ลายจอมเจ้าเล่ห์จำแลงมากันแน่'

จะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ สติร้อยโทหัวหน้าชุดคงอยู่ครบถ้วนไม่ตื่นกลัว ซ้ำยังคิดถึงบางสิ่งที่สามารถตรวจสอบได้ดีและง่ายที่สุด
ว่าคนตรงหน้าเป็นมิตรหรือศัตรู สิ่งนั้นคือ ‘ไฟ’

ฤทธิ์ล้วงไฟแช็คขึ้นมาจุดเสียงดัง แช๊ะ แช๊ะ แล้วเปลวไฟสีส้มก็สว่างวาบขึ้นในความมืด...
แม้จะช้าไปบ้าง แต่ร้อยโทคิดว่าที่ตนเองกล้าเผชิญอย่างอาจหาญมาจากสัญชาตญาณนักล่าของตนเริ่มกลับคืนมาทีละน้อย
เขาโยนไฟแช็คลอยคว้างกลางอากาศ และตกลงสู่พื้นแทบเท้าชายฉกรรจ์ที่ยืนประจันหน้ากันอยู่

“ตาแกล่ะ... มหันต์ ถ้าไม่จุดเจอยิงไส้แตกแน่”

ฤทธิ์เล็งปืนไปที่ศีรษะของจ่ามหันต์ ระยะใกล้เพียงเท่านี้ ถึงพลาดเป้าก็คงไม่เกินคืบ ทั้งคู่ยืนสบตากันนิ่ง อดีตสิบโทถอนหายใจก้มลงไปหยิบไฟแช็คขึ้นมาพลิกซ้ายพลิกขวา

“ฉลาดดี แต่ทีหน้าทีหลังเพิ่มความเฉลียวเข้าไปด้วยนะพี่ฤทธิ์ คิดยังไงวิ่งพรวดพราดมาคนเดียวแบบนั้น”

แล้วจ่ามหันต์ก็จุดไฟแช็ค ไกวไปมาตรงหน้า แล้วโยนเจ้าสิ่งนั้นคืนให้หมวดผู้พิสมัยการล่าสัตว์

“พี่รู้ได้ยังไงว่านั่นเป็นเสียงของลูกน้องพี่ ไม่ใช่เสียงไอ้ลาย” จ่ามหันต์พูดพร้อมสำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัว เยื้องเหนือศีรษะไปเกือบเมตรเป็นลานหินโล่ง ซึ่งรายล้อมไปด้วยต้นประดู่ และหากจำไม่ผิด ถ้าเดินเท้าผ่านลานหินสูงขึ้นไปอีกราวร้อยเมตร จะถึงผา ที่เขาเคยเห็นเงาของใครบางคน

“ไม่รู้โว้ย ไม่รู้อะไรทั้งนั้นล่ะ พอมาถึงตรงนี้ เสียงมันก็ดันเสือกหายไป สับสนไปหมด ไม่รู้ว่าโดนเสือคาบไปแล้วหรือเป็นฤทธิ์เดชไอ้ลายกันแน่” ฤทธิ์สบถเสียงดังด้วยความเครียด “พี่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ยังคิดอยู่ว่าตัวเองฝันไปรึเปล่า เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยเห็นคนกลายเป็นเสือ เสือกลายเป็นคน พี่ยอมรับว่าตอนได้ยินข่าว ยังขำไม่หาย คิดอยู่ว่าใครมันกุข่าวเรื่องเสือผีตัวนี้ ก็ไม่สนคำคน เลือดลมมันสูบฉีดพลุ่งพล่านอยากล่าขึ้นมาซะงั้น แล้วเป็นไง ตอนนี้ต้องเป็นฝ่ายถูกล่าแทนซะงั้น”

จ่ามหันต์ตรวจดูปืนคู่ใจให้พร้อมใช้งานอีกครั้ง ณ เวลานี้เขาต้องทะนุถนอมและรักมันยิ่งกว่าเมีย

“เอาเถอะ ยังบอกไม่ได้หรอกว่าใครเป็นฝ่ายถูกล่า พวกเราก็ซัดมันไปโป้งหนึ่ง คงเจ็บไม่น้อย”

จ่ามหันต์พยายามพูดโน้มน้าวให้เพื่อนสนิทฮึกเหิม ให้จดจำความรู้สึกพลุ่งพล่านตอนเผชิญหน้ากันเมื่อสักครู่ ทั้งที่ในใจของอดีตสิบโทคิดอย่างหวาดๆ ว่า

เสือเจ็บนี่ล่ะอันตราย และมันจะทวีความอันตรายมากขึ้นแค่ไหนเมื่อไอ้ลายตัวนี้หาใช่เสือธรรมดา

“ว่าแต่ยักษ์ไปไหนวะ” หัวหน้าชุดถาม จ่ามหันต์เองก็ลืมไปสนิท มัวแต่ร้อนใจวิ่งตามหาเพื่อนรักที่ ณ ช่วงเวลานั้นดูสุ่มเสี่ยงมากกว่า กลายเป็นว่าตามเจอหนึ่ง แต่หายไปอีกหนึ่ง และมันเป็นความสะเพร่าของเขาเอง

“เวรเอ้ย มัวแต่เป็นห่วงพี่เลยรีบวิ่งตามมา ลืมนึกไปว่าไอ้หนุ่มนั่นมันอยู่บนห้าง กว่าจะปีนลงมาคงต้องใช้เวลาสักพัก”

ทั้งสองปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด ก่อนลงความเห็นกันว่าจะเดินย้อนกลับไปหายักษ์เป็นเบื้องต้น แล้วค่อยตามหาสมาชิกอื่นๆ กันต่อไปตามลำดับ

หยาดฝนยังคงโปรยปรายทั่วอาณาเขตเขาขวาง โชคดีที่ลานหินด้านบนกันไว้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนถูกซับโดยใบไม้หนาทึบ หากขึ้นไปยืนบนลานหินโล่งที่ว่า จะมองเห็นทิวเขายาวไปจนบรรจบกับภูเขาอีกลูก ที่คนเฒ่าคนแก่บอกว่าอาถรรพ์แรงไม่แพ้เขาขวางแห่งนี้

ฤทธิ์รู้สึกผิดไม่น้อย ที่ดันทุรังนำทีมตามล่าไอ้ลายทั้งที่หลายคนพยายามคัดค้าน ผลคือเสียทหารในบังคับบัญชาไปแล้วหนึ่ง ที่เหลือยังไม่รู้ชะตากรรม

“ขอโทษจริงๆ ว่ะ ที่ไม่เชื่อแกตั้งแต่แรก จ่าแซมจึงต้องมาทิ้งชีวิตในป่าเวรเนี่ย”

จ่ามหันต์ได้ยินเช่นนั้นก็ชักสีหน้าและพูดสั้นๆ เพียงว่า อยู่ในป่าในเขา ให้ระมัดระวังคำพูด ในเมืองศิวิไลซ์ผู้เจริญแล้วทั้งหลายเลือกที่จะเชื่อหลักวิทยาศาสตร์ เชื่อหลักฐานและการพิสูจน์ แต่ในป่าห่างไกลความเจริญ ยังมีบางสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในเงามืดไม่สามารถพิสูจน์ได้ ดังเช่นเจ้าเสือผีจากเทือกเขาแห่งนี้

ฤทธิ์พนมมือขอโทษขอโพยแทบไม่ทัน

“พรานชัชก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลย ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง”

“อย่ากังวลไปเลย" จ่ามหันต์เปรย "พรานคนนี้ฝีมือไม่เบาทีเดียว คงไม่พลาดท่าเสียทีไอ้ลายง่ายๆ หรอก แต่ฉันสงสัยอยู่อย่างเดียว”

“อะไรวะ” ฤทธิ์ถามต่อ

สายตาของอดีตสิบโทมองกวาดไปในความมืดรอบตัว ก่อนมาหยุดที่หัวหน้าชุด

“สงสัยว่าพรานคนนี้สนใจจะปราบไอ้ลายมากกว่าห่วงความปลอดภัยของพวกเรารึเปล่าเนี่ยสิ ฉันสังเกตมาสักพักแล้วนะ ถ้าไม่นับพี่ พรานชัชดูอยากจะประจันหน้ากับไอ้ลายตัวนี้เหลือเกิน ฉันไม่อยากคิดเลยว่าพรานชัชสนใจอยากจะได้บางสิ่งจากเจ้าเสือตัวนี้ อาจจะเป็นเขี้ยวมันก็ได้ คงมีคนไม่น้อยยอมจ่ายเงินเรือนหมื่นเพื่อมัน”

ฤทธิ์ได้ยินเช่นนั้น จึงถามซอกแซกเรื่องราคาค่างวดของเขี้ยวเสือสมิงอยู่เนื่องๆ ความโลภโมโทสันเริ่มเกาะกุมจิตใจตามวิสัยของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ทั้งสองเดินย้อนกลับไปทางเก่า เลียบลานหิน ผ่านพุ่มไม้น้อยใหญ่ และตัดเข้าสู่ดงประดู่ ดอกสีเหลืองละลานเต็มพื้น จ่ามหันต์รู้สึกไม่ค่อยดีนักที่ต้องเดินเข้าในทุมประดู่ พยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น

“ช้าๆ หน่อยสิว่ะ พี่ตามไม่ทัน” ฤทธิ์บ่นอุบ
“ฉันเป็นห่วงไอ้หนุ่มนั่น ไม่น่าบอกให้มันวิ่งตามมาเล้ย” จ่ามหันต์รู้สึกผิดไม่น้อย หากพลทหารหน้าใหม่คนนั้นเป็นอะไร คงเป็นตราบาปในใจไปชั่วชีวิต

จนเมื่อผ่านหมู่หินระเกะระกะ ปกคลุมด้วยต้นประดู่ป่าใหญ่ขนาดสองคนโอบ จ่ามหันต์ได้ยินเสียงดังอยู่ใกล้ๆ

“เงียบๆ กันหน่อยถ้าไม่อยากตาย”

สองนายทหารวาดปืนไปทางต้นเสียงทันที บนแผ่นหินก้อนใหญ่ ที่คาดว่าทรุดตัวจากลานหิน คราแรกไม่เห็นสิ่งใดนอกจากเงาทะมึนของภูเขาที่ตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง แต่เมื่อเพ่งชัดๆ ก็เห็นลำกล้องปืนลูกซองโผล่มาเหนือก้อนหิน ชั่วอึดใจเงาใครคนหนึ่งเขยื้อนกายออกมาจากหมู่ไม้

“พรานชัช!” ฤทธิ์แค่นเสียงบอกด้วยความดีใจ เมื่อได้พบกับพรานนำทางอีกครั้งหลังจากที่หายไปนานตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ “ปลอดภัยดีใช่ไหม แล้วทหารที่ไปกับพี่อยู่ไหน แล้วเจอคนอื่นมั้ย?”

“เจอแล้ว” พรานตอบกลับ “เหลือจ่าคนสนิทของนายทหารคนเดียวที่ยังไม่เจอ ไม่รู้ไปอยู่ไหน สงสัยคงเตลิดกลับไปเชิงเขาแล้วกระมัง” พรานตอบสายตาจับจ้องไปในความมืด จ่ามหันต์ชำเลืองมองหัวหน้าชุดก่อนตอบเบาๆ

“จ่าแซมตายแล้วพราน ตายอยู่บนห้าง โดนไอ้ลายเล่นไปแล้ว”
พรานเหลือบตามามองพินิจบุรษที่ยืนอยู่เบื้องล่าง ก็หันกลับไปมองดงประดู่ ใบหน้าเหี้ยมเกรียม

"ลูกน้องนายไม่ตายเปล่าแน่ ผมจะจัดการไอ้เสือผีตัวนี้ให้จงได้”

“ว่าแต่พรานไปไงมาไงถึงมาซุ่มอยู่ตรงนี้” จ่ามหันต์ถาม

พรานมือฉมังค่อยๆ ลำดับเหตุการณ์ “หลังแยกออกมาไม่นาน ผมเจอทหารอีกคนแถวลานหินนี่ล่ะ จากนั้นได้ยินเสียงปืนดังสนั่นลั่นป่าจึงรีบพากันกลับที่ห้างจึงรู้ว่าพวกนายทหารออกตามล่าไอ้ลายกันแล้ว ขอโทษที่ต้องบอกว่ามันเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเลยนะ”

ฤทธิ์กับจ่ามหันต์ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ สำหรับข้อกล่าวหานี้

“ผมทิ้งทหารทั้งสองคนไว้ที่ห้าง แล้วตามรอยไอ้เสือผีตัวนั้นมาเรื่อยๆ มันเจ้าเล่ห์ไม่เบาทีเดียว พลางตัว ซ่อนเร้น หลอกล่อ ทำเอาเกือบหลงทาง ได้ยินมันเลียนเสียงคนเมื่อตะกี้มั้ยล่ะ เหมือนจนน่ากลัว” พรานหัวเราะหึๆ ในลำคอ “ถ้าไม่เจอทหารที่ชื่อน้อยก่อนหน้านี้ ผมอาจจะหลงกลเหมือนกัน รอยเท้ามันมุ่งย้อนกลับมาแถวนี้ล่ะ ท่าทางเจ็บไม่หยอกทีเดียว คงโดนพวกนายทหารเล่นมาสิท่า”

พรานพยักพเยิดไปทางทุมประดู่ เขาคำรามกับตัวเองเบาๆ

“มันอยู่ทางนั้น”

บริเวณที่ว่าเป็นจุดที่จ่ามหันต์ไม่คิดจะเฉียดเข้าไปใกล้แม้สักนิด มันเป็นป่ารกชัฏ ปกคลุมด้วยแนวต้นประดู่ป่าและรกครึ้มไปด้วยวัชพืช เพียงแค่มองชั่วครู่ ก็เหมือนถูกดูดกลืนเข้าไปในความมืด

“แล้วเราจะเอายังไงกับมันดี” ฤทธิ์ถามต่อ

“ไม่ว่าจะจำแลงอยู่ในร่างไหน มันก็ร้ายนัก ถ้าอยากฆ่ามัน ก็คงต้องตัดสินใจตอนนี้เลยก่อนที่จะสายเกินไป” พรานเอ่ยแผ่วเบาไม่ละสายตาจากตำแหน่งเดิมแม้แต่น้อย แล้วพูดต่อ “มันซุ่มอยู่ตรงดงประดู่ใต้ซอกหินตรงนั้น ผมให้นายทหารเป็นคนตัดสินใจ ว่าจะลุยกับมัน หรือปล่อยให้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านอีก”

ภาระในการตัดสินใจทิ้งลงบนบ่าร้อยโทฤทธิ์ หากเดินหน้าต่อ นั่นหมายถึงความเสี่ยงในระดับเอาชีวิตเข้าแลก แต่กลับกันหากยกเลิกภารกิจเสียแต่ตอนนี้ โอกาสมีชีวิตรอดก็เพิ่มสูงเป็นทวีคูณ นับเป็นการตัดสินใจที่ยากยิ่งครั้งหนึ่งในชีวิต

จ่ามหันต์จับจ้องอากัปกิริยาเพื่อนสนิท ก็พอเดาออกว่าอยู่ในภาวะสองจิตสองใจ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

อดีตสิบโทเดินเข้าไปใกล้ จับบ่าและออกแรงบีบ

“พี่กับฉันเคยพูดกันแล้วไม่ใช่เหรอ ในสมัยที่ปฏิบัติภารกิจด้วยกันว่า หลับเถิดชาวประชา อันตัวข้าจะคุ้มภัย”

จ่ามหันต์ยิ้มน้อยๆ และเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“งานนี้ถ้ามันไม่มอดก็เรานี่ล่ะที่ม้วย”

ปริมาณฝนเริ่มเบาบางลง เร็วกว่าที่คาดไว้ แต่มันถูกแทนที่ด้วยสายลมโหม แทรกผ่านขุนเขาและแมกไม้ ส่งเสียงครวญครางชวนให้หวั่นใจไม่น้อย กิ่งไม้ขนาดย่อมที่มิอาจต้านทานแรงลม หลุดร่วงเป็นระยะ

ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่บ้าง พรานชัชให้ความมั่นอกมั่นใจว่า ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดย่างกรายเข้าหรือออกไปจากทุมประดู่ นั่นหมายความว่าสมาชิกคนอื่นๆ ไม่ต้องกังวลกับภัยมืดที่ซ่อนเร้นอยู่ในป่าแห่งนี้

ทั้งสามคนตระเตรียมความพร้อมเพื่อการเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายกับเจ้าเสือร้ายแห่งเขาขวาง สิ่งมีชีวิตลึกลับที่พื้นเพเป็นคนหรือสัตว์ก็ไม่อาจสืบทราบ คนเฒ่าคนแก่มักเล่าว่า เสือสมิง คือเสือที่กินคนเข้าไปมากจนมีความคิด เจ้าเล่ห์เจ้ากล สามารถจำแลงรูปร่างเป็นคนได้โดยที่สามารถซุกซ่อนสัญชาตญาณสัตว์ป่าไว้ภายใต้รูปลักษณ์ของมนุษย์

“ไม่ต้องกังวลนะนายทหาร ถึงไอ้ลายตัวนี้มันจะร้ายไม่หยอก แต่ผมแน่ใจว่ากำราบมันได้ ขอเพียงยิงมันด้วยกระสุนนี้ ไอ้ลายสิ้นฤทธิ์แน่ ” พรานชัชคำรามด้วยความแน่วแน่ สร้างความอุ่นใจให้หัวหน้าชุดไม่น้อย

“กระสุนของพรานชัชเป็นกระสุนเวทย์มนต์ อาคมแบบที่ได้ยินในนิยายรึ ถึงแน่ใจว่ามันจะล้มไอ้ลายได้ ก่อนหน้านี้ พวกฉันซัดโดนเต็มๆ มันยังลุกขึ้นมาวิ่งปร๋อ”

“ก็ประมาณนั้นครับ เวลาผมแวะเวียนไปตามตะเข็บชายแดนไทยพม่า มักจะไปพบพระธุดงค์ที่เคารพนับถือกันอยู่ ท่านก็เมตตาปลุกเสกให้กระสุนเป็นบางครั้ง แต่จำนวนมันก็ไม่ได้มากมายนัก หากไม่จำเป็นจริงๆ ผมก็ไม่อยากใช้”

“มันเด็ดขนาดนั้นเลยเหรอ” ฤทธิ์ถามด้วยความสนใจในขณะที่ก้มมองอาวุธคู่กาย “แต่น่าเสียมันคงใส่ปืนกระบอกนี้ไม่ได้”

พรานยิ้มน้อยๆ “แต่ปืนผมกับของจ่าเป็นแบบเดียวกัน จ่าพกติดตัวไว้สักเม็ดสองเม็ดละกัน เชื่อผมเถอะว่าจ่าจะไม่เสียใจ”
พรานชัชยื่นกระสุนปลุกเสกให้สองนัด อดีตสิบโทพยักหน้ารับไว้ด้วยความยินดี

“เอาล่ะ ชักช้าจะเสียการ” พรานชัชยืนหลับตานิ่งและพูดเบาๆ

“เราไปจบเรื่องนี้กันเถอะ”

หนึ่งพรานกับสองชายชาติทหารกระชับปืนมั่น สืบเท้าเข้าไปทางดงประดู่ป่าที่แสนมืดมิด...

ภูมิประเทศของทิวเขาแถบนี้ส่วนใหญ่เป็นป่าโปร่ง จุดเดียวที่ดูทึบทะมึน คือบริเวณที่บุรุษทั้งสามกำลังเยื้องย่างเข้าไป มันเป็นลานหินรายล้อมไปด้วยประดู่ป่าและพันธุ์ไม้นานาชนิด ด้านหนึ่งเป็นเนินหินไต่ระดับขึ้นยอดเขา อีกด้านเป็นโตรกสูงราวสามเมตร

เมื่อมียอดพรานอยู่ใกล้ๆ ร้อยโทฤทธิ์รู้สึกอุ่นใจขึ้น ในขณะที่พรานชาวบ้านคนอื่นเลือกที่จะเลี่ยงไม่ยอมเผชิญหน้ากับเสือผีตัวนี้ มีเพียงพรานชัชคนเดียวที่ยังบุกบ่าตามมากับทีมล่าไอ้ลาย

ยิ่งใกล้ดงประดู่มากเท่าไหร่ ทั้งสามยิ่งระแวดระวังตัวมากขึ้น สายตาที่ชินกับความมืดจับจ้องทุกสิ่งที่สามารถขยับเขยื้อนได้

เมื่อเข้ามาอยู่ใต้ร่มเงาของทุมประดู่ ชายฉกรรจ์ทั้งสามสัมผัสได้ถึงมวลอากาศเย็นเยียบ หมอกจางๆ ลอยเรี่ยสูงระดับเข่า เสียงพรานกำชับเบาๆ ตลอดเวลาให้เดินช้าอย่างระวัง อย่าแตกกลุ่มเด็ดขาด จากนั้นยอดพรานยกปืนขึ้นมาพนมไว้แนบอก พึมพำบริกรรมคาถา จ่ามหันต์เองก็ใช่คนไร้ฝีมือ ถึงไม่เชี่ยวชาญถึงแก่นแท้ของไสยศาสตร์ เวทมนต์คาถา แต่ก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ เขาล้วงไปหยิบตะกรุดประจำตัวขึ้นมาแล้วส่งให้ฤทธิ์ พร้อมบอกให้เกลอสนิทเก็บไว้ให้ดี ส่วนตนเองยกสร้อยพระขึ้นมาจรดเหนือศีรษะ บนบานอธิษฐานให้แคล้วคลาดผ่านค่ำคืนอันน่าระทึกขวัญ

'ลูกช้างไม่มีเจตนาไม่ดีแม้แต่น้อย ที่ลุกล้ำเข้ามาในที่แห่งนี้ ก็ด้วยต้องการกำราบเสือร้ายที่คุกคามชาวบ้านชาวช่องเท่านั้น หาได้คิดลบหลู่แม้เพียงสักนิด ขอให้เจ้าป่าเขา เจ้าที่เจ้าทางคุ้มครองปกปักษ์รักษาตนและเพื่อนทุกคนด้วยเถิด'

ในขณะที่จ่ามหันต์กำลังอาราธนาทุกบทสวดเท่าที่สมองชายวัยสี่สิบกว่าย่างห้าสิบจะจำได้ พรานชัชซึ่งเดินระวังหลังถามขึ้นมาเบาๆ

“ว่าแต่พวกนายทหารแน่ใจนะว่าจ่าแซมตายแล้ว ตรวจศพกันแล้วใช่มั้ย?”

คำถามนั้นทำให้จ่ามหันต์จำต้องชะงักทันที
“พรานชัชหมายความว่ายังไง” เขาถามกลับ

พรานจ้องตาอดีตสิบโทก่อนตอบ “จ่าน่าจะรู้นะว่าไอ้ลายมันร้ายแค่ไหน มันอาจจะตบตาพวกเราก็ได้ ผมถึงถามไงว่าตรวจศพจนแน่แก่ใจว่าจ่าแซมตายแล้วใช่มั้ย”

จ่ามหันต์เหลือบตาไปมองหัวหน้าชุดทันที ความเป็นจริงคือเขาเพียงเห็นศพและบาดแผลจากระยะสามเมตรในความมืดสลัวเท่านั้น ยังไม่มีโอกาสเข้าไปสำรวจตรวจสอบให้แน่ใจเพื่อนตัวดีก็วิ่งตามเสียงลึกลับไปก่อน เดือดร้อนให้เขาต้องวิ่งห้อตามมาติดๆ ครั้นพรานนำทางทักขึ้น อดีตสิบโทก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองทำพลาดมหันต์ที่ไม่ยอมตรวจสภาพศพให้แน่แก่ใจ นั่นยังไม่รวมกับที่ทิ้งนายทหารคนหนึ่งไว้คนเดียวในสถานการณ์คาบลูกคาบดอกเช่นนี้

“เงียบแบบนี้แสดงว่าคงไม่ได้ตรวจกันล่ะสิ จ่าก็อยู่ในวงการนี้มานาน ไม่น่าพลาดเรื่องง่ายๆ แบบนี้นะ” พรานชัชแสยะยิ้ม ก่อนเปรย “อย่าหาว่าผมคิดมากเลย บอกตรงๆ ว่าอยู่ใต้ผืนป่าแล้วไม่เคยไว้ใจอะไรนอกจากตัวเองกับปืนกระบอกนี้”

จ่ามหันต์นิ่งงันพูดอะไรไม่ออก

“น่าเสียดาย” พรานชัชพูดต่อ “น่าจะชวนไอ้หนุ่มที่ชื่อยักษ์มาด้วย ได้ข่าวว่าฝีมือการยิงปืนของมันก็เต้ยไม่เบา หากอยู่ที่นี่คงเป็นประโยชน์มากกว่าทิ้งให้อยู่เฝ้าห้างนะ”

ณ ขณะนี้ ทุกคำพูดของพรานชัช ล้วนแล้วแต่เข้าหูซ้ายบ่ายออกหูขวา จ่ามหันต์จับใจความไม่ได้แม้แต่น้อย จิตใจหมกมุ่นจมจ่ออยู่กับความกังวลผสมกับความรู้สึกผิด แต่กระนั้นจะพูดว่าเป็นความนิยมชมชอบโดยส่วนตัวที่มีต่อนายทหารรุ่นน้องก็คงได้ ที่ทำให้อดีตสิบโทฉุกคิดอะไรบางอย่าง เขาถามพรานนำทาง

“พี่ชัชเจอยักษ์ตอนที่พาทหารไปส่งที่ห้างใช่ไหม ดีเหลือเกินที่ทุกคนปลอดภัย”

“ใช่... ทุกคนปลอดภัยดี เหลือแค่เราสามคนนี่ล่ะยังลูกผีลูกคนอยู่” พรานชัชตอบ

ความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นในใจอดีตสิบโท แรกเริ่มเดิมทีเป็นเพียงความกังขา แต่เมื่อประกอบเข้ากับหลายๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมา ขณะนี้กลายเป็นความไม่ไว้ใจ

“พี่ฤทธิ์ถอยออกมาจากตรงนั้น”

จ่ามหันต์เอ่ยเสียงแหบพร่า ปลายลูกซองยาวชี้ไปที่พรานชัช
บุรุษทั้งสองคนตกตะลึง

“มหันต์ ทำอะไรของแกวะ” ฤทธิ์ร้องเสียงหลง

“ถอยออกมาก่อน” เสียงอดีตสิบโทกร้าวยิ่งขึ้นจนทำให้หัวหน้าชุดเริ่มสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ฤทธิ์ถอยฉากมายืนประชิดเพื่อนสนิท

“พี่ชัช อย่าถือสากันเลยนะ แต่ช่วยจุดไฟให้พวกฉันดูหน่อยเถอะ” จ่ามหันต์พูดจบก็ให้ฤทธิ์โยนไฟแช็คไปให้พรานนำทาง

นิ้วมือแข็งกระด้างของอดีตสิบโทแตะนิ่งที่ไกปืน

'จุดสิพี่ชัช... จุดสิ...' จ่ามหันต์คร่ำครวญในใจ มือไม้สั่นเทาราวกับเจ้าเข้า

พรานชัชยืนนิ่งจ้องตาจ่ามหันต์อยู่ครู่ ก่อนก้มลงไปหยิบไฟแช็ค เขายิ้มพราย แล้วเงื้อมือขว้างไฟแช็คลอยหายไปในความมืดของโตรกผา จากนั้นย่างเท้าเข้าข้างทางหายลับไปหลังแนวต้นประดู่

แม้จะเตรียมใจยอมรับสถานการณ์เลวร้ายไว้แล้ว แต่สติสตังของทั้งคู่ก็แทบกระเจิง เมื่อเห็นเสือโคร่งตัวมหึมาโผล่ออกมาจากด้านหลังต้นประดู่ป่า แววตาวาวโรจน์แฝงความอาฆาตจ้องมาที่พวกเขา

ฤทธิ์ตระหนักในทันทีว่า เมื่อครั้งที่ตนเองเผชิญหน้ากับจ่ามหันต์กลางป่าสองต่อสองและหาญกล้าท้าทาย เพราะทึกทักคิดเข้าข้างเอาเองว่าสัญชาตญาณนักล่าของตนกลับคืนมา แท้ที่จริงหาได้เป็นเช่นนั้น เพราะลึกๆ แล้วยังมีความรู้สึกว่านั่นคือมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งวิปริตผิดปกติจากมนต์มารศาสตร์มืดใดๆ ทั้งสิ้น

แต่กับเจ้าสัตว์ร้ายที่กำลังย่างสามขุมเข้ามาหานั่นต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง...

เมื่อประจันหน้ากับมัน... มหันตภัยร้ายที่สร้างความหวาดกลัวให้ผู้คนมานานแรมปี ปากแข็งเกร็งจนไม่อาจเปล่งเสียง แขนและขาชาจนไร้เรี่ยวแรง ปืนในมือหนักดุจแท่งศิลา สมองไม่สามารถคิดวิเคราะห์หาทางหนีทีไล่ใดๆ สิ่งเดียวที่ผุดขึ้นภายในสมองขาวโพลนคือ

วันนี้คงเป็นวันตายของตน...

เมื่ออยู่ต่อหน้าพญามัจจุราช อวัยวะส่วนเดียวที่เคลื่อนไหว คือก้อนเนื้อบริเวณอกข้างซ้าย... หัวใจของฤทธิ์เต้นระรัว

แม้อดีตสิบโทจะเตรียมตัวรับสถานการณ์เลวร้ายขีดสุดไว้แล้ว แต่เมื่อเห็นรูปลักษณ์ใหญ่โตของไอ้ลายในระยะประชิด ลมก็แทบจับ แข้งขาสั่น อยากกลับหลังหันวิ่งหนีเสียเต็มประดา

ในห้วงวิกฤตเลวร้ายถึงขีดสุด ไร้ซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์องค์ใดยื่นมือมาโอบอุ้ม สิ่งเดียวที่ค้ำจุนไม่ให้อดีตสิบโทยอมถอดใจพลีกายเป็นอาหารอันโอชะเสริมตบะให้ไอ้ลาย คือปืนลูกซองยาวที่อยู่ในมือ

เสือร้ายแห่งเขาขวางย่างเท้าเข้าไปหาบุรุษทั้งสอง มีเลือดซึมเปรอะบริเวณลำตัว แต่บาดแผลเล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกันขนาดตัวของมัน ถึงอย่างนั้นก็เป็นความหวังเดียวในขณะนี้ เพราะบาดแผลนั้นแสดงเป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่ใจแล้วว่า อ้ายเสือผีหาได้เป็นอมตะ...

“ผยองดีนัก กูจะยิงเข้าแสกหน้ามึงเลยไอ้ลาย” จ่ามหันต์คำรามทำใจดีสู้เสือ

เมื่ออยู่ในระยะประจันหน้าห่างกันเพียงไม่ถึงสิบเมตร อดีตสิบโทบรรจงเล็งศูนย์อย่างตั้งใจยิ่งกว่าทุกครั้ง เพราะกระสุนนัดนี้กุมชะตาชีวิตของตนกับเพื่อนสนิทไว้ หากพลาดเป้า แน่นอนว่าไม่มีโอกาสซ้ำสอง จ่ามหันต์แตะไกปืนและเหนี่ยวไก

แช๊ะ!

อดีตสิบโทตาเบิกกว้าง เหงื่อแตกพลั่ก เสียงที่ได้ผิดแผกไปจากเดิมนั้นกระชากหัวใจบุรุษผู้นี้ให้หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

เพราะกฤติยามนต์ไอ้ลายอย่างนั้นหรือ... ไม่ใช่ มันเป็นความเลินเล่อของอดีตสิบโทแห่งกองพลทหารอาสาสมัคร

จ่ามหันต์เลือกเชื่อคำพูดของคนอื่นมากกว่าเชื่อจิตใต้สำนึกของตัวเอง ด้วยเหตุที่ต้องต่อกรกับอ้ายเสือร้ายแห่งเขาขวาง เมื่อได้ยินเรื่องกระสุนลงอาคม และได้รับติดตัวมาเป็นสิ่งกำนัล จึงสลับสับเปลี่ยนกับของเดิม ผลคือกระสุนด้าน!

‘ฉิบหาย! มึงเล่นกูแล้ว ไอ้เสือร้อยเล่ห์’ อดีตสิบโทหน้าถอดสี

“พี่ฤทธิ์ยิงมันสิ!” จ่ามหันต์ตะโกน แต่ร้อยโทฤทธิ์ดูสิ้นสภาพการเป็นนักล่ามือฉมังไปเสียแล้ว แม้จะยกปืนลูกซองในมือขึ้น แต่เป็นเพียงสัญชาตญาณการเอาตัวรอดเท่านั้น

กรงเล็บคมกริบวาดเป็นเส้นโค้งตะบบเข้าที่แขนซ้ายพาดผ่านถึงทรวงอกของหัวหน้าชุดปฏิบัติการ ส่งผลให้ฤทธิ์ทรุดฮวบลงไปทันที

ไม่มีโอกาสให้เสียงใดเล็ดลอดออกมา นายทหารยศร้อยโทนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น

“พี่ฤทธิ์!” จ่ามหันต์สะดุ้งเฮือก ถอยหลังไปพลางเปลี่ยนกระสุนไปพลาง มือไม้สั่นเป็นเจ้าเข้า ยิ่งรีบเหมือนยิ่งลน เสี้ยววินาทีที่เหลือบไปมองโตรกดำมืดหนึ่งในทางหนีในสถานการณ์คับขัน เงามัจจุราชก็ทาบทับบนเรือนร่าง

ไอ้ลายตัวร้ายผงาดยืนขึ้น เงื้อขาหน้าขึ้นสูง กรงเล็บยาวดุจมีดพับกางออกจนสุด ใกล้เสียจนอดีตสิบโทได้กลิ่นลมหายใจสาบสาง

วาระสุดท้ายของชีวิตคงเป็นเช่นนี้ ภาพต่างๆ แล่นเข้ามาในสมองอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่แรกครั้งยังเป็นทารก อบอุ่นภายในอ้อมกอดมารดา เติบโตมาเป็นชายฉกรรจ์มีอุดมการณ์แรงกล้ารับใช้ชาติ มีครอบครัวแสนอบอุ่น ภรรยาและลูกที่เป็นดั่งแก้วตาและดวงใจ

ถึงกระนั้น ก็ไร้ซึ่งแรงต่อต้าน...

จ่ามหันต์หลับตา ‘ขอโทษนะ... พี่คงไม่ได้กลับไปแล้ว’
กรงเล็บเจ้าเสือร้ายฟาดลงมา เป้าหมายคือบริเวณลำคอของอดีตสิบโท

ปัง!

เสียงปืนดังสนั่นสะเทือนภู กระชากสติจ่ามหันต์ให้กลับคืนมา พร้อมส่งร่างมหึมาของไอ้ลายเซถลาก่อนล้มพังพาบลงกับพื้น ห่างจากอดีตสิบโทเพียงไม่กี่คืบ

ปลายกระบอกปืนใครคนหนึ่งคายควันโขมง

“พี่ฤทธิ์!” จ่ามหันต์ตะโกนสุดเสียง เมื่อเห็นเพื่อนรักค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เขารีบวิ่งเข้าไปประคอง

“เป็นไปได้ยังไง ฉันเห็นพี่โดนตะปบเข้าไปเต็มๆ” จ่ามหันต์รีบสำรวจร่างกายหัวหน้าชุด แขนเสื้อของฤทธิ์ฉีกขาดตั้งแต่หัวไหล่ไปจนถึงหน้าท้อง มีรอยช้ำแดงเลือดซึมเป็นทางยาว จากสภาพบาดแผลทำเอาจ่ามหันต์งงเป็นไก่ตาแตก เพราะด้วยขนาดตัว และอุ้งเล็บของไอ้ลาย บาดแผลควรลึกถึงกระดูกเป็นอย่างน้อย

“โอ้ย...” ฤทธิ์ครวญ “สงสัยไหล่จะหลุดว่ะ แถมรู้สึกเจ็บแปลบตรงไหปลาร้า สงสัยจะหัก”

“เป็นไปได้ยังไงพี่ฤทธิ์ พี่มีของดีอะไรรึเปล่าเนี่ย?”

เมื่อประโยคนั้นหลุดออกมา จ่ามหันต์นึกขึ้นได้ทันทีว่า เพื่อนสนิทเขาไม่ใช่คนประเภทนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นก็เท่านั้น สิ่งที่ทำให้รอดอาเพศเหตุร้ายมาได้อย่างหวุดหวิด น่าจะเป็นอานุภาพของตะกรุดที่เขามอบให้ติดตัวไว้นั่นเอง

ชั่วขณะที่ทั้งสองคนเผลอ เสียงคำรามลอดไรฟันก็ดังมาจากด้านหลัง

กรร...

ไอ้ลายค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แม้เลือดจะโทรมกาย แต่ดูเหมือนบาดแผลไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้มันสักเท่าใดนัก หางขนาดเท่าต้นแขนชายวัยรุ่น ยังคงสะบัดพริ้วไหวอย่างไม่ยี่หระ

“ไอ้ฉิบหาย มึงจะหนังเหนียวเคี้ยวยากไปถึงไหนวะ” ฤทธิ์ครางเสียงอ่อย สภาพของเขาในตอนนี้อย่าว่าแต่ให้ต้องให้ยิงอีกนัด แค่ประคองตัวให้ยืนขึ้นได้ก็หืดขึ้นคอแล้ว

“หนีไปก่อน” จ่ามหันต์แค่นเสียงบอกเพื่อนสนิท
“อะไรนะ?” ฤทธิ์สงสัย
“พี่ฤทธิ์หนีไปก่อนเดี๋ยวฉันตามไป!” จ่ามหันต์สั่งเสียงเฉียบขาด
“ไม่โว้ย ถ้าจะตายแม่งก็ตายด้วยกันนี่ล่ะ!” หัวหน้าชุดสวนกลับพร้อมยัดกระสุนอย่างทุลักทุเล ปืนสองกระบอกเล็งไปที่สัตว์ร้ายที่กำลังควบใกล้เข้ามา

บนคันชั่งแห่งความเป็นความตาย จ่ามหันต์ได้ยินเสียงบางอย่างแว่วเข้ามาในโสตประสาท

‘ทางนี้’

อดีตสิบโทหันขวับไปมอง ใต้ต้นประดู่ป่าขนาดใหญ่ที่ขึ้นอยู่ตรงชะง่อนผา มีชายชราร่างเล็กนุ่งโจงกระเบนไม่สวมเสื้อยืนสงบนิ่งมือข้างหนึ่งไพล่อยู่ด้านหลัง ส่วนอีกข้างชี้ไปที่ความมืดเวิ้งว้างข้างๆ

จ่ามหันต์กระพริบตาถี่ๆ อีกหลายครั้ง เงาดังกล่าวก็ยังคงยืนอยู่ในท่าเดิม

‘วิ่งสิ’ เสียงทุ้มกังวานเข้ามาในภวังค์อีกครั้ง...

จะด้วยเหตุผลกลใดไม่อาจทราบ จ่ามหันต์ตะโกนสุดเสียง

“พี่ฤทธิ์... เผ่นโว้ย!”
“ห๊า! แกว่าอะไรนะ” ฤทธิ์ร้องเสียงหลงก่อนถูกเพื่อนเกลอดันให้ออกวิ่งด้วยความทุลักทุเล ทั้งสองดิ่งตรงไปยังหน้าผาโดยมีไอ้ลายวิ่งควบตามมาติดๆ

ถึงไม่เป็นดังสุภาษิต 'หนีเสือปะจระเข้" แต่ก็ต่างกันไม่มาก เมื่อหัวหน้าชุดเห็นชะง่อนผาจึงพยายามชะลอฝีเท้า แต่ไม่สามารถขืนแรงผลักได้ เขาตะโกนลั่น

“ไอ้มหันต์ข้างหน้านี่มันหน้าผานะโว้ย!”

“ช่างมันเถอะน่า โดดเลยพี่!” แล้วจ่ามหันต์ก็ผลักสุดแรง ร่างหัวหน้าชุดลอยคว้างกลางอากาศ เขาร้องเสียงหลงฟังไม่ได้ศัพท์ ก่อนผลุบหายไปในความมืด

จ่ามหันต์กลั้นใจกระโดดตามไปติดๆ เป็นวินาทีเดียวกับที่ไอ้ลายโผทะยานเข้าใส่ มันฟาดกรงเล็บเข้าที่แผ่นหลังอดีตสิบโท แต่เฉียดไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด!

สองเกลอร่วงลงเนิน ม้วนตลบชวนหวาดเสียว อวัยวะกระแทกกับพื้นหลายครั้ง เคราะห์ดีที่บริเวณโตรกนั้นอุดมไปด้วยวัชพืชหนานุ่ม
เมื่อกลิ้งจนถึงเนินด้านล่างทั้งสองนอนแผ่หลา อกกระเพื่อมด้วยความตื่นเต้นและเหน็ดเหนื่อย
“ทะ... ทำบ้าอะไรของแกวะ อยู่ๆ มาผลักลงผา ดีนะมันไม่สูงมากไม่งั้นได้เป็นผีเฝ้าภูนี้ไปแล้ว” ฤทธิ์ชันกายนั่ง ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวด บาดแผลจากกรงเล็บไอ้ลายเริ่มสร้างความระบมขึ้นเรื่อยๆ
จ่ามหันต์เองไม่สามารถตอบข้อสงสัยของหัวหน้าชุดได้พอๆ กับที่ตอบตัวเองไม่ได้ว่าเหตุใดจึงเสี่ยงกระโดดลงผาดำมืดที่มองไม่เห็นก้นเช่นนี้ หากเปลี่ยนจากวัชพืชหนานุ่มเป็นหมู่หิน พวกเขาสองคนคงไม่รอดปลอดภัยครบสามสิบสองเป็นแน่
“เอายังไงต่อดี” หัวหน้าชุดยืนสะโหลสะเหล สายตาสำรวจเบื้องบนอย่างหวั่นใจว่าจะมีสิ่งใดตามลงมาหรือไม่
“ที่คิดไว้ว่าจะฝังมันที่นี่ ไปๆ มาๆ พวกเรานี่ล่ะจะโดนฝังเสียเอง ไอ้เสือผีตัวนี้มันหนังเหนียวจริงๆ แถมยังเจ้าเล่ห์เหลือเกิน”
“อย่าเพิ่งชื่นชมมันตอนนี้ได้มั้ย จะเอายังไงก็รีบว่ามา” ฤทธิ์ลุกขึ้นยืน บัดนี้ปืนประจำกายถูกใช้เป็นไม้เท้าไปเสียแล้ว
“กลับไปตั้งหลักที่ห้างก่อน รวมกันเราอยู่ แยกหมู่ล่ะฉิบหายตลอด” จ่ามหันต์บ่นอุบ ทั้งสองคนเดินโซซัดโซเซไปตามทางเล็กๆ อุดมไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้ เสียงลมพัดหวีดหวิวสร้างความกังวลให้ทั้งคู่ตลอดเวลา อดีตสิบโทนิ่งเงียบไม่พูดสิ่งใดอีก ครุ่นคิดถึงใครคนหนึ่งที่โผล่ออกมาให้เห็นในยามวิกาล
ชายชรานุ่งโจงกระเบนไม่สวมเสื้อ ดูคลับคล้ายคลับคลากับคนที่เขาเห็นก่อนออกเดินทาง
“มหันต์” ฤทธิ์กระซิบแผ่วเบา “พรานชัชที่เราเจอเมื่อตะกี้คือสมิงแปลงมารึเปล่าวะ”
จ่ามหันต์ไม่ตอบคำถาม แต่ในใจครุ่นคิดเรื่องนี้มาสักพักตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง มีหลายสิ่งที่อดีตสิบโทคลางแคลงในตัวยอดพรานไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม ไม่เคยคาดคิดว่าพรานนำทางจะเป็นสมิงเสียเอง
“เราอย่าเพิ่งคุยกันตอนนี้ดีกว่า ประเดี๋ยวมันได้ยินก็ตามมาขบสมองเอาเท่านั้น” จ่ามหันต์ตัดบท แล้วเดินนำตัดลงเนินขนาดย่อมไปเรื่อยๆ บางช่วงต้องปีนลงทางลาดชันซึ่งสร้างความลำบากให้หัวหน้าชุดเป็นอย่างมาก แม้จะเป็นชายชาติทหาร แต่สภาพบาดแผล คงต้องยอมรับโดยดุษฎีว่า ไม่สามารถนับร้อยโทฤทธิ์เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญได้อีกต่อไป
เมื่อลงมาถึงพื้นราบทั้งสองมะงุมมะงาหราหลงทิศทางเดินวนอยู่นานก็ไม่พบห้าง มองไปทางไหนมีเพียงแต่ต้นไม้หน้าตาคล้ายๆ กันไปหมด ด้วยพิษบาดแผลทำให้หัวหน้าชุดรู้สึกวิงเวียนศีรษะและเริ่มอาเจียน
“ไหวมั้ยวะพี่” จ่ามหันต์ส่งกระบอกน้ำส่วนตัวให้ฤทธิ์ เขายกดื่มด้วยความกระหายจนเกือบหมด
“เริ่มหายใจไม่ออก ขาก็ล้าแทบจะเดินไม่ไหว แขนก็ปวดตุบๆ ขอนั่งพักสักแป๊บเถอะวะ ไปต่อไม่ไหวจริงๆ”
“แค่สามนาทีนะ นานกว่านี้ไม่ได้” จ่ามหันต์ยกนาฬิกาประจำตัวขึ้นมาดู ขณะนี้ล่วงเข้าตีหนึ่งแล้ว อันที่จริงตัวเขาเองก็ล้าเต็มทน ที่กล้ำกลืนฝืนทนอยู่ตอนนี้ก็ใกล้ถึงขีดจำกัดอยู่รอมร่อ
“มหันต์... ถ้าคืนนี้พี่ไม่รอด ฝากแกบอกเมียพี่ด้วยนะว่าพี่รักเขามาก และขอโทษด้วยที่ทำตัวไม่สมเป็นสามีที่ดี มัวแต่ทุ่มเทให้ประเทศชาติ ลุ่มหลงลาภยศชื่อเสียงจนลืมนึกถึงคนที่อยู่ข้างๆ คนที่คอยเป็นกำลังใจให้ตั้งแต่ยังเป็นแค่พลทหารตัวเล็กๆ”
อดีตสิบโทแห่งกองพลทหารอาสาสมัครปากระสุนกำมะลอทิ้งด้วยความฉุนเฉียว พร้อมสับเปลี่ยนเอาของเดิมมาใส่อย่างชำนาญ เขาตอบกลับเบาๆ
“ฉันไม่ใช่ธนาคาร ไม่รับฝากอะไรทั้งนั้น หากพี่เป็นลูกผู้ชายจริง มีอะไรก็กลับไปบอกเมียด้วยตัวเองซะ เพราะฉันเองก็จะทำแบบเดียวกัน”
สิ้นเสียง ทั้งสองรู้สึกว่าบางสิ่งกำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา จ่ามหันต์รีบเข้าไปประคองหัวหน้าชุด กึ่งเดินกึ่งวิ่งอย่างทุลักทุเล สอดส่องหาที่หลบภัย ครั้นจะขึ้นไปหลบบนต้นไม้ ฤทธิ์คงปีนไม่ไหว อับจนหนทาง คงต้องปักหลักสู้กันให้ตายไปข้าง
ทั้งสองคนยืนขนาบชิดยึดต้นชิงชันสูงลิบลิ่วเป็นที่มั่น ปืนสองกระบอกจ่อไปบริเวณพงรกชัฏเบื้องหน้า
ไม่นานนักมันถูกบางสิ่งแหวกออกมา สองเกลอเตรียมลั่นไกทันที
“อย่ายิง นี่ผมเอง!” ใครคนหนึ่งร้องลั่น
แสงจันทร์สลัวเผยว่าคนๆ นั้นคือหนึ่งในสมาชิกล่าไอ้ลาย บุคคลที่หายไปนานสองนาน
“ไอ้ยักษ์!” ฤทธิ์ตะโกนเรียกชื่อทหารใต้บังคับบัญชา
“นาย! ปลอดภัยดีมั้ย” ทหารหนุ่มยิ้มร่า ปรี่เข้ามา แต่ก็ต้องชะงักกึก เพราะแม้ปืนลดไปหนึ่ง แต่ยังเหลืออีกหนึ่งยังจ่ออยู่ที่กบาล
“ยืนอยู่ตรงนั่นล่ะ อย่าเพิ่งเข้ามา” จ่ามหันต์จ้องพลทหารรุ่นน้องตาเป็นประกายคมกล้า
“อะไรวะลุง นี่คิดว่าฉันเป็นเสือสมิงอะไรนั่นหรือไง” ยักษ์บ่นอุบ
“กันไว้ดีกว่าแก้โว้ย ไอ้เสือเจ้าเล่ห์มันเล่นลูกไม้ตลบหลังพวกเรามาหลายรอบแล้ว”
“อ้าว แล้วลุงจะให้ฉันพิสูจน์ยังไงล่ะ เออ ไฟไง เอาไฟมาสิ เดี๋ยวฉันจะก่อกองไฟใหญ่ๆ มันตรงนี้ซะเลย”
จ่ามหันต์เหลือบไปมองเพื่อนสนิท ไฟแช็คอันเดียวที่มี ถูกร่างจำแลงพรานชัชขว้างทิ้งไปแล้ว
“เอายังไงดีวะ ดูท่าทางมันไม่น่าจะเป็นไอ้ลายนะ บุคลิกแบบนี้มันไอ้ยักษ์ชัดๆ” หัวหน้าชุดพยายามพิจารณาอย่างละเอียด
“อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคนจะจนใจเองนะพี่ จำเมื่อกี้ไม่ได้เหรอ เกือบม่องเท่งกันทั้งคู่” ทั้งสองคนกระซิบกระซาบเบาๆ จน ทหารหนุ่มบ่นด้วยความหงุดหงิด
“อยากพิสูจน์ก็เอาไฟแช็คมาสิลุง ชักช้าอยู่ได้ หมวดดูท่าไม่ค่อยดี รีบพากลับห้างจะดีกว่า”
จ่ามหันต์เริ่มสับสน จิตใจที่เคยแน่วแน่เริ่มโอนเอียนอีกครั้ง
“ไหนล่ะไฟแช็ค ถ้าไม่มีฉันเดินเข้าไปล่ะนะ” ทหารหนุ่มพูดจบก็สืบเท้าเข้าไปหาบุรุษทั้งสองคนอย่างไม่กลัวเกรงลูกตะกั่ว
“อยากยิงก็ยิงมาเลยละกัน แต่เฉี่ยวๆ พอนะอย่าให้ถึงกับพิกงพิการล่ะ ฉันยังไม่มีเมียเลย”
จ่ามหันต์เอานิ้วแตะไก แต่กระนั้นก็ไม่สามารถตัดใจลั่นไก ทำได้แค่ตะโกนห้ามไม่ให้ทหารหนุ่มเดินเข้ามา
และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความพิศวง เมื่ออดีตสิบโทได้ยินเสียงโหวกเหวกดังมาจากด้านหลัง
“ลุง! หลบไป!!”
จ่ามหันต์กับฤทธิ์เหลียวหลังกลับไปมอง และต้องพบกับความพิลึกพิลั่นสุดที่จะจินตนาการได้ ทั้งสองคนอุทานออกมาพร้อมกัน
“เฮ้ย อะไรกันวะ!?”
ห่างออกไปราวยี่สิบเมตร เงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งยืนเด่นอยู่บนโขดหิน
บุรุษรูปร่างองอาจผึ่งผายที่ตะโกนก้องคือพลทหารยักษ์...
ฤทธิ์กับจ่ามหันต์อ้าปากค้าง ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ แลซ้ายทีขวาที ไม่อยากเชื่อสายตา ด้านซ้ายหรือก็คือทหารหนุ่มที่ชื่อยักษ์ ส่วนทางขวาที่ยืนจังก้าอยู่บนโขดหินก็คือพลทหารใจกล้านามว่ายักษ์เช่นกัน รูปร่าง ท่าทาง การแต่งองค์ทรงเครื่องช่างเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว แม้กระทั่งอาวุธบรรลัยกัลป์คู่กายยังเป็นปืนไรเฟิลแบบเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน
อ้ายสมิงตัวร้ายแห่งเขาขวางกำลังหลอกหลอนอีกครั้ง…

“ไอ้ฉิบหาย นี่กูตาฝาดไปรึเปล่าวะ” ฤทธิ์หน้าซีดเผือด

จ่ามหันต์กลืนน้ำลายลงคอ ร่างกายสั่นเทิ้มหวาดผวา ในชีวิตขึ้นเหนือล่องใต้เจอสิ่งลี้ลับอธิบายไม่ได้อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดสร้างความพิศวงงงงวยได้เท่าครั้งนี้ ด้วยกฤติยามนต์ของไอ้ลาย บัดนี้มันจำแลงกายเป็นทหารหนุ่มที่ชื่อยักษ์เหมือนไม่ผิดเพี้ยนยิ่งกว่าฝาแฝด

‘คิดสิวะ... คิด’ อดีตสิบโทพยายามหาหนทางที่จะนำพาทุกคนให้พ้นเภทภัยในครั้งนี้ และที่สำคัญต้องคิดให้เร็วเสียด้วย ก่อนทุกอย่างจะสายเกินแก้

‘ไฟไง...’ จ่ามหันต์นึกย้อนไปในตอนที่ไอ้ลายหลอกล่อด้วยการแปลงร่างเป็นจ่าแซม และเขาโยนคบไฟลงไปทำให้รู้แจ้งเป็นครั้งแรกว่าสมิงร้ายสามารถกลายร่างได้จริงตามเสียงลือเสียงเล่าอ้าง และคนที่จุดคบไฟคือทหารหนุ่มนามว่ายักษ์

“เอ็งสองคนใครก้าวเข้ามากูยิงไม่ยั้งแน่” จ่ามหันต์ขู่ฟ่อ สายตาจ้องเขม็งไปยังพลทหารที่ยืนอยู่บนโขดหิน “ฉันรู้ว่าเอ็งมีไฟแช็คแน่ๆ เอามันออกมา”

ชายหนุ่มที่กำลังยืนจ้องมองตัวเองประดุจเงาในกระจก โดยมีจ่ามหันต์ ฤทธิ์ บดบังทางอยู่ ผละละสายตาจากยักษ์อีกคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม

“จะไปมีได้ยังไงล่ะ ไม่รู้หล่นไปอีตอนไหน... ลุงหลบไปเถอะน่า ฉันจะซัดมันให้ร่วงเลย”

“อย่านะ เอ็งห้ามขยับไปไหน!” จ่ามหันต์สวนทันควัน ยกมือโบกอุตลุด ที่ทำเช่นนั้นเพราะเกรงว่าหากเป็นร่างจำแลงแปลงมา ยักษ์ตัวจริงจะเป็นเหยื่อของคมกระสุนโดยไม่มีทางป้องกันตัว

“อะไรวะลุง ฉันนี่ล่ะตัวจริงเสียงจริง”

“หุบปาก!” จ่ามหันต์ตะคอกอีกครั้ง ในตอนนี้เขาไม่สามารถคิดหาหนทางใดมาพิสูจน์ได้อีกต่อไป ความเจ้าเล่ห์ของไอ้ลายปั่นหัวเสียแทบคลั่ง

“อยู่นิ่งๆ นะโว้ย” เขาสั่งเฉียบขาด พยักพเยิดให้ฤทธิ์เฝ้าดูชายที่ยืนอยู่บนโขดหินไว้ ส่วนตัวเองหันไปตะโกนถามยักษ์ ‘อีกคน’

“เอ็งเป็นคนจุดคบไฟให้ฉันกับมือไม่ใช่รึไงวะ แล้วไฟแช็คมันหายไปได้ยังไง”

“โธ่... ลุง ฉันจะไปรู้ได้ยังไง มันคงหล่นหายตอนที่มัวแต่วิ่งตามพวกลุงมานั่นล่ะ คิดยังไงทิ้งฉันไว้คนเดียว”

หน้าจ่ามหันต์หดเหลือสองนิ้ว คิ้วย่นชนกัน หลักฐานที่พิสูจน์ว่าใครคือคน ใครคือสมิงไม่สามารถใช้ได้อีกแล้ว เมื่อทั้งสองคนกลับไม่มีในสิ่งที่ใช้ยืนยันความเป็นมุนษย์ และด้วยสภาพชื้นแฉะหลังฝนตกจะใช้กรรมวิธีแบบพรานโบราณจุดไฟด้วยกิ่งไม้ใบหญ้าก็คงไม่ได้

อดีตสิบโทถึงคราวมืดแปดด้าน...

“เอายังไงดีวะ” ฤทธิ์ถามอย่างอ่อนล้า จะด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ของตะกรุดหรือไม่ ที่ทำให้รอดจากกรงเล็บไอ้ลายมาได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผลกระทบใดๆ กับร่างกาย อาการบอบช้ำทวีความรุนแรงขึ้น สวนทางกับสติสัมปชัญญะที่เริ่มเลือนลางลงเป็นลำดับ

ยุทธวิธีสิ้นคิดเดียวที่ผุดขึ้นในสมองของอดีตนายทหารคือ ‘ยิงทั้งคู่’ แต่นั่นหมายถึงความเสี่ยงถึงชีวิตของทหารหนุ่มตัวจริงด้วยเช่นกัน

‘เจ้าป่าเจ้าเขา ท่านชี้ทางถูกแล้วหรืออย่างไร’

จ่ามหันต์ครวญคร่ำในใจ ก่อนเล็งศูนย์ไปที่ยักษ์ที่ปรากฏตัวเป็นคนแรก ทหารหนุ่มตะลึงงันชั่วอึดใจก่อน ยิ้มที่มุมปาก ตะโกนตอบกลับ

“เอาให้ตายนะลุง ไม่เอาพิการ”

คำพูดนั้นทำให้สิบโทเกิดความลังเลอีกครั้ง เขาบีบพานท้ายลูกซองยาวแน่นจนฝ่ามือแดงช้ำ บังเกิดความรู้สึกหลากหลาย ทั้งหวาดกลัว สับสน และเจ็บใจ... เจ็บใจที่โดนไอ้ลายดัดหลังครั้งแล้วครั้งเล่า จนมีมือข้างหนึ่งตบลงบนบ่าเบาๆ...

“เฮ้ย ตัดสินใจยังไงก็ทำไปเลย พี่กับยักษ์ไม่โทษแกแน่ ที่สำคัญไอ้ลายมันร้ายนัก ยังไงวันนี้ก็ห้ามปล่อยมันไปเด็ดขาด เรามันทหารอาชีพ ก็ต้องเสี่ยงเป็นธรรมดา” ฤทธิ์สูดลมหายใจลึกและยาวกว่าทุกครั้ง ก่อนยกปืนเล็งไปยังร่างที่ยืนอยู่บนโขดหิน

“ก็อย่างที่แกบอกนั่นล่ะ เพื่อนรัก...” หมวดฤทธิ์พูดต่อ “หลับเถิดชาวประชา อันตัวข้าจะคุ้มภัย”

จ่ามหันต์ตาเบิกโพลง...

เสมือนม่านหมอกที่ถูกสายลมบริสุทธิ์พัดผ่าน ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกระจ่างชัดขึ้น แม้คราวใดต้องพบอุปสรรคขวางกั้นจนท้อถอย แต่จำไว้เถิด จะมีทางเล็กๆ ให้เดินต่อไปเสมอ เช่นเดียวกับครั้งนี้

อดีตสิบโทแห่งกองพลทหารอาสาทำเช่นเดียวกับเกลอสนิท เขาสูดลมและพูดเสียงดังฟังชัด

“เอาล่ะ ฉันจะถามอะไรบางอย่าง คิดดีๆ ก่อนตอบ”

จ่ามหันต์จ้องตายักษ์ทั้งสองคนนานร่วมนาทีอย่างมีนัยยะ จากนั้นจึงยกปืนเล็งไปยังร่างคนที่อยู่บริเวณพงไม้ ส่วนฤทธิ์เล็งไปยังชายที่ยืนบนโขดหิน

“หวังว่าเอ็งคงไม่พลาดนะ” น้ำเสียงอดีตสิบโทก้องกังวานจนฤทธิ์หันกลับมามองด้วยความสงสัย...

ยักษ์ที่อยู่คนละฟากยืนสงบนิ่ง โดยมีจ่ามหันต์ หมวดฤทธิ์และต้นชิงชันขวางกั้นกลางอยู่ จ่ามหันต์บรรจงจรดศูนย์ปืนเข้าที่หน้าอกของชายหนุ่มและถาม

“เอ็งรักอะไรมากที่สุดในชีวิตวะ”

ยักษ์คนแรกยิ้มและตอบกลับ “ฉันก็รักพ่อรักแม่นะสิลุง ถามได้”

“แล้วเอ็งล่ะ” อดีตสิบโทตะโกนถามยักษ์คนที่ยืนอยู่ด้านหลัง เงียบไปชั่วอึดใจทหารหนุ่มตอบกลับเสียงดัง

“ครอบครัวไงลุง”

จ่ามหันต์กัดฟันกรอด แค่นเสียงลอดไรฟัน “หางโผล่จนได้นะมึง” จากนั้นลั่นไกอย่างรวดเร็ว

ปัง!

กระสุนพุ่งเข้าหน้าอกของชายหนุ่มที่ยืนชิดป่ารกชัฏแม่นราวจับวาง จนร่างนั้นทรุดผลุบหายไปในพงหญ้า ถัดจากนั้นเกิดเสียงคำรามดังลั่นป่า โฮก! แล้วร่างมหึมาของเสือลายพาดกลอนก็ยืนจังก้าขึ้นอีกครั้ง

ไอ้ลายยังไม่สิ้นฤทธิ์! ความอาฆาตมาดร้ายฉาบแวววับบนดวงตา มันหายใจหอบและถี่ บริเวณปากมีเลือดไหลรินออกมา

หัวหน้าชุดเองก็ถึงขีดกำลัง หลังจากเห็นไอ้ลายได้เพียงชั่วครู่ สายตาเริ่มพร่ามัว สติเลือนลาง เขาล้มลงไปกองกับพื้น...

อ้ายเสือเจ้าเล่ห์กลับหลังเตรียมบ่ายหน้าหนีเข้าป่าทึบ เป็นจังหวะเดียวกับที่ยักษ์กระโดดลงจากโขดหิน วิ่งเลี่ยงจุดอับมายืนอยู่ข้างๆ จ่ามหันต์ เขาประทับปืนไรเฟิลอย่างรวดเร็วและพูดโดยที่สายตายังจับจ้องร่างเสือร้ายที่กำลังจะหายลับไปในความมืด

“ไม่มีพลาดหรอกลุง”

เปรี้ยง!!

เกิดเป็นเสียงปานฟ้าร้องแผดก้องในความมืด

เปรี้ยง!

กระสุนทะยานเป็นเส้นทางพุ่งไปถูกร่างของไอ้ลาย อานุภาพของไรเฟิลที่ล้มได้แม้กระทั่งช้าง ทำให้จอมอหังการแทบสิ้นฤทธิ์ มันโซเซไปได้เพียงสองสามก้าวก็ล้มลงในพงไม้ ก่อนตะเกียกตะกายทำเช่นเดิมอีกสองสามครั้ง และครั้งสุดท้ายนั่นเอง จากที่เคยเป็นพญามัจจุราชสี่ขา มันกลับปรากฏกายในรูปร่างของชายที่ดูคุ้นตาคนหนึ่ง

จ่ามหันต์ขบกรามแน่น ส่วนพลทหารมือแม่นดูตกอกตกใจกับสิ่งที่พบเจอ เขาอุทาน

“เห้ยลุง... ดูคุ้นๆ นะ นั่นใช่...”

“รออยู่นี่... เฝ้าผู้หมวดไว้ แล้วห้ามตามมาเด็ดขาด” จ่ามหันต์ขัดขึ้น เขาหักลำกล้องลูกซองคู่ใจ ปลอกกระสุนดีดออกมาพร้อมควันสีขาวขุ่น เขาล้วงกระสุนใส่กลับเข้าไปใหม่ อดีตสิบโทกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว บริเวณแพวัชพืนปรากฏรอยเลือดกองใหญ่ และมีปืนลูกซองตกอยู่ใกล้ๆ อดีตสิงสิบโทกระพริบถี่ๆ เพ่งมองปืนกระบอกนั้น ก่อนเร่งฝีเท้าเรียบชิดเชิงหิน แล้วตัดลงเนินราบ สลับไปมา ใช้ไฟฉายสำรวจรอยเลือดเป็นระยะ ประเมินจากความถี่ของหยดเลือด กับความเร็วในการเคลื่อนที่ อาการของเจ้าวายร้ายหนักหนาไม่เบา มันมุ่งตรงไปยังหน้าผา อดีตสิบโทกระชับปืนมั่น ตามกระชั้นเข้าใกล้

หลังจากผ่านดงประดู่ป่าได้ไม่นาน จ่ามหันต์ก็ตามมาจนพบร่างหนึ่งเดินโงนเงนอยู่ในความมืด ร่างนั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือด มีร่องรอยจากคมกระสุนนับไม่ถ้วน แต่บาดแผลที่สร้างความเสียหายมากที่สุดคงมาจากกระสุนไรเฟิลที่เจาะทะลุบริเวณด้านหลังต้นคอ เลือดเป็นลิ่มๆ ไหลริน

“พี่ชัช!” อดีตสิบโทกู่เรียก

ร่างนั้นยืนนิ่งอยู่ครู่ก่อนหันกลับมา บุรุษคนนั้นคือพรานนำทางผู้เชี่ยวชาญ แก้วตาของเขาดูแปลกประหลาด บางครั้งเป็นอย่างมนุษย์ แต่บางคราเป็นประกายอย่างสัตว์ สลับไปมา ร่างกายแม้จะโชกไปด้วยเลือด แต่ไม่อาจพรางริ้วประหลาดคล้ายลวดลายของเสือลายพาดกลอน

“ทำไมพี่ทำแบบนี้” จ่ามหันต์ยกปืนเล็งไปที่ร่างของพรานนำทาง แต่ท่าทางของอดีตสิบโทไม่ได้สร้างความตระหนกให้ยอดพรานแม้แต่น้อย

“หึๆ” เขาหัวเราะเบาๆ “สามหรือสี่” น้ำเสียงอ่อนแรงถามกลับ
จ่ามหันต์ดูฉงน พรานชัชจึงพูดต่อ “ไม่ได้อยากหรอก แต่มันอดไม่ได้ ทั้งโหย ทั้งกระหาย ทั้งรุ่มร้อนแทบขาดใจ เจออาการแบบนี้จ่าจะทนได้สักกี่วันกันล่ะ สามหรือสี่วัน?”

พรานเซไปพิงกับต้นประดู่ พูดต่อเบาๆ “สงสัยตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาถามเบาๆ อย่างอ่อนแรง

“ตั้งแต่แรก” จ่ามหันต์ตอบ “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพี่เป็นอะไร แค่ไม่ค่อยไว้ใจเท่านั้น แต่หลายครั้งความเชี่ยวชาญของพี่ ช่วยพวกเราจนขจัดความระแวงไปหมด เริ่มนับถือแม้จะรู้ว่าพี่มีจุดประสงค์บางอย่าง จนถึงตอนที่พวกเราไปถึงจุดขัดห้างนั่นล่ะ ความรู้สึกแปลกๆ วกกลับมาอีกครั้ง ทำไมพรานมือฉมังเรื่องลี้ลับในป่าในดงแบบพี่ถึงไม่แนะนำอะไรพวกเราสักอย่าง ไม่บอกกระทั่งวิธีรับมือไอ้วายร้ายที่เรากำลังตามล่ากันอยู่”

พรานไอโขลก “ว่าต่อไปสิ”

“อีกครั้งตอนที่เราเจอกันเมื่อกี้ พี่บอกว่ากลับไปเจอสมาชิกทุกคนที่ห้างรวมถึงไอ้หนุ่มที่ชื่อยักษ์ใช่ไหม”

พรานนิ่งเงียบไม่ตอบคำถาม

“พี่อาจจะเจอทหารหนุ่มคนนั้นที่ห้างจริงหรือไม่จริงไม่มีใครรู้นอกเสียจากพวกเราจะวกกลับไปที่ห้าง แต่จะบอกว่าเป็นความนิยมชมชอบนิสัยส่วนตัวของไอ้หมอนั่นก็คงไม่ผิด ที่ทำให้ฉันเลือกที่จะไม่เชื่อคำพูดของพี่ “จ่ามหันต์เว้นช่วงเล็กน้อย “ในห้วงเป็นตายเท่ากัน ตอนที่พี่ฤทธิ์โดนลวงให้วิ่งแยกออกมา ฉันวิ่งตามมาติดๆ และด้วยความร้อนใจ ฉันจำได้ว่าตะโกนบอกให้เด็กหนุ่มคนนั้นวิ่งตามมา... ดูไม่ค่อยมีเหตุผลนะ แต่ฉันเชื่อว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อยักษ์จะมุ่งมั่นบากบั่นตามมามากกว่าจะทอดทิ้งพวกฉันแล้วหนีกลับไปตั้งหลักที่ห้าง... และฉันก็คิดถูก มันตามมาจริงๆ จะบอกให้นะ กระสุนที่หลังคอพี่ก็ฝีมือของไอ้หนุ่นนั่นล่ะ” จ่ามหันต์ขึ้นนกเสียงดังแกร๊ก

พรานชัชหัวเราะในลำคอ เขาทรุดไถลลงไปนั่งพิงต้นประดู่

“ทำไมพี่กลายเป็นแบบนี้” อดีตสิบโทคาดคั้นหาคำตอบที่สงสัยต่อ

“เรื่องมันยาว เอาเป็นว่าผมไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน แค่เผอิญแตกฉานในเดรัจฉานวิชามาตั้งแต่สมัยรุ่นๆ เริ่มถลำลึกศาสตร์ลี้ลับจนถอนตัวไม่ขึ้น ความอยากรู้อยากเห็นกลายเป็นความคลั่งไคล้ และสุดท้ายกลายเป็นคำสาบ”

พรานชัชชันกายลุกขึ้นยืนอีกครั้ง โซซัดโซเซตรงไปบริเวณเนินหินสูง จ่ามหันต์สืบเท้าตามไปอย่างระแวดระวัง

สายลมครวญครางรายล้อมอยู่รอบทิศ ชวนให้อึดอัด ใบไม้จำนวนมาก ปลิดปลิวหลุดจากต้น ลอยฟุ้งโปรยปรายไปทั่วด้วยฤทธิ์แรงลมที่ดูเหมือนสั่นสะเทือนได้ถึงแกนเขา

พรานมือฉมังหยุดยืนเหนือลานหินโล่ง ยืดตัวตรงรับแสงจันทร์สาดส่องกระทบร่าง เบื้องหน้าเป็นหน้าผาสูงชัน

“รู้ใช่มั้ยว่าฉันปล่อยพี่ไปไม่ได้” จ่ามหันต์ถามแต่พรานไม่ตอบ

“ฉันไม่อยากให้บาปกรรมติดตัวไอ้หนุ่มนั่นไป เพราะฉะนั้นฉันจึงตามมาจัดการพี่คนเดียว อีกอย่างไม่อยากให้มีผู้เคราะห์ร้ายเป็นเหยื่อสนองอวิชชาของพี่อีก”

พรานหัวเราะเบาๆ เขาหันกลับมาประจันหน้าจ่ามหันต์ แววตาดุร้ายดั่งสัตว์ป่าเพ่งมองอดีตสิบโท

“อย่ามาตีฝีปากกับผมดีกว่า สำเหนียกไว้ซะด้วยที่จ่ายังรอดมาถึงตอนนี้ก็เพราะไอ้แก่นั่นยื่นมือมาช่วย หาไม่แล้วจ่ากับนายทหารคงตายไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว"

พรานชัชละสายตาจากอดีตสิบโท สอดส่ายสายตาไปทั่วทิศ เขาตะโกนก้อง

"เป็นผีไม่อยู่ส่วนผี ยุ่มย่ามเรื่องทางโลก กูรู้นะว่ามึงอยู่แถวนี้!"

"พอเถอะพี่ชัช" จ่ามหันต์ตะโกนเสียงดังยิ่งกว่า "ท่านอยู่สูงกว่าเรา อย่าดึงลงมาต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพราะความคึกคะนองอยากลองวิชาของพี่เลย"

พรานชัชหอบตัวโยน เขาเหลือบตามามองจ่ามหันต์อยู่อึดใจก่อนหลับตาบริกรรมคาถา

ระหว่างที่พรานร่ายบทสวดแปลกๆ ลวดลายคล้ายรอยสักบนร่างพริ้วไหวไปมาราวกับมีชีวิตอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง
แก้วตาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นดั่งสัตว์ร้าย จ่ามหันต์ประทับปืนขึ้นเล็งทันที

"พอเถอะพี่ชัช มันจบแล้ว บอกฉันเถอะว่าพี่ไม่ได้ฆ่าสมาชิกคนอื่นๆ ใช่ไหม"

ร่างพรานชัชกระตุกอย่างแรก เสียงแหบพร่าตอบกลับ

"อยากรู้ใช่ไหม ก็ลองไปถามพวกมันดูเองแล้วกัน"

แม้ร่างกายจะบอบช้ำอย่างนัก แต่พรานชัชก็สืบเท้าเข้ามาอย่างประสงค์ร้าย จ่ามหันต์แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง แม้สภาพไอ้ลายในร่างพรานชัชจะชุ่มโชกไปด้วยหยาดฝนปนโลหิต แต่บาดแผลบางจุดเริ่มสมานกันอย่างน่าเหลือเชื่อ!

อดีตสิบโทไม่รั้งรอ ลั่นไกทันที ปัง!

กระสุนพุ่งเข้าทรวงอกพรานอย่างจัง เขาเซถลาถอยไปสองก้าว ชิดริมผา อดีตสิบโทหักลำกล้องบรรจุกระสุนอีกครั้งอย่างตั้งใจ หากเป็นก่อนหน้านี้ ตัวเขาคงวิ่งป่าราบไปแล้ว แต่เพราะคมกระสุนไรเฟิลจากฝีมือพลทหารยักษ์ ทำให้จอมวายร้ายดูแทบจะสิ้นฤทธิ์ หรือไม่อาถรรพ์แห่งพงไพรคงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะฟื้นตัว

จ่าขึ้นนกเล็งไปที่ร่างพรานชัชอีกครั้ง แต่ก่อนที่จะลั่นไกส่งร่างสมิงร้ายให้ร่วงสู่ก้นเหว จ่ามหันต์ได้ยินเสียงลึกลับก้องกังวานอีกครั้ง

"ถึงร่วงลงหุบเบื้องล่าง พรานก็หาเป็นอะไรไม่ ถ้าไม่อยากให้เขาไปก่อบาปไปมากกว่านี้... ใช้ปืนอีกกระบอกสิ”

คราแรกมีเพียงความสับสนกับสิ่งที่ดังก้องอยู่ในหู แต่ถัดมาแค่เสี้ยววินาที อดีตสิบโทนึกขึ้นได้ว่าด้วยเสียงร่ำลือที่เคยได้ยินมาช้านาน สุดท้ายเขาตัดสินใจพกปืนมาอีกกระบอก มันเป็นปืนสั้นโบราณที่มีประวัติคลุมเครือ

อดีตสิบโทล้วงปืนพกออกมาจากซองหนังที่ซุกอยู่ในเสื้ออย่างรวดเร็ว เล็งไปที่ร่างพรานชัชที่กำลังปรี่เข้ามา จากนั้นลั่นไก

ปัง!

ลูกตะกั่วพุ่งเข้าหว่างอกพรานชัช ห่างจากเดิมไม่ถึงคืบ รอยแผลเล็กนั้นกว่าหัวนิ้วก้อย แต่กลับทำให้พรานหยุดชะงักไปในทันที ตาของเขาเบิกกว้าง จ้องมองสูงขึ้นไปบนนภา ปากอ้าเกร็งค้าง ลายพาดกลอนสีดำที่ขึ้นทั่วร่างค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย แต่กลับกันบาดแผลที่เคยสมานแทบเป็นเนื้อเดียวกลับปริแตกเลือดจำนวนมากไหลรินออกมาจากร่าง

“อ๊ากก” พรานชัชร้องโหยหวนยาวไม่เป็นภาษา เขาเซถอยร่นไปจนถึงขอบผา กุมบาดแผลอย่างทุรนทุราย ถัดมาเพียงไม่กี่วินาทีทุกอากัปกิริยาก็หยุดนิ่ง พรานชัชยืนตัวงองุ้มมีเพียงเสียงครางยาวเบาๆ ในลำคอ ร่างนั้นเอนหงายช้าๆ ร่วงตกหน้าผาสูงชันเบื้องล่าง ท่ามกลางความตื่นตะลึงของอดีตสิบโทแห่งกองพลทหารอาสา...



จากพันทิป  เรียงร้อยเรื่องเล่า ตอน สมิงเขาขวาง
เรื่องโดย   Rhythm in the Air    กฤตานนท์

ไม่มีความคิดเห็น