'ยาม' วิกาล


     การกลับมาครั้งนี้ของคุณลอยชายเจ้าชายนักเล่าแห่งพันทิป ยังคงสนุกและน่าติดตามมากในครั้งนี้เราเสนอเรื่องจริงจากคุณลอยชาย ที่เขาพบเจอมาด้วยตนเองเรื่อง 'ยาม' วิกาล ในครั้งที่เขายังเด็กและเกิดขึ้นใกล้ตัวของเขาเอง น่าสนใจและน่าติดตามมาก ขอขอบคุณเรื่องดีๆอีกครั้งและตลอดไป

     สวัสดีครับ เรื่องที่จะมาเล่าให้ฟังในวันนี้เป็นเรื่องที่ต้องย้อนไปตั้งแต่ตอนช่วงผมเด็กๆ เริ่มรู้เรื่องรู้ราว และเริ่มที่จะพบเจอกับสิ่งที่มองไม่เห็น หรือที่เรามักเรียกกันติดปากว่า ผี

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเพราะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล


          ตั้งแต่เด็กๆผมเริ่มที่จะเห็นอะไรแปลกๆอยู่บ้าง น้อยบ้าง มากบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้ชัดเจนอะไร เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่มาคิดๆดูแล้ว มันก็แปลกเหมือนกันในวัยนั้น
          เมื่อก่อนผมอาศัยอยู่ในหมู่บ้านหนึ่งในตัวเมืองซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ดีมาก มีเพื่อนๆพี่ๆต่างวัย เพื่อนบ้านก็ใจดีฝากฝังไหว้วานกันได้เสมอ มีร้านค้า ร้านขนม ร้านอาหารตามสั่ง ทุกอย่างเรียกได้ว่า ครบครัน
          ตัวหมู่บ้านมีทั้งหมด 7 ซอย โดยมีถนนใหญ่ตัดกลางตัวหมู่บ้าน และมีสนามหญ้าไว้ให้เด็กๆกับคนในหมู่บ้านมาพักผ่อนกันทั้งด้านหน้าและท้ายหมู่บ้าน
          บ้านของผมอยู่ซอยต้นๆของหมู่บ้านทำให้เข้าออกง่ายแต่ก็ไปมาหาสู่กับเพื่อนบ้านครบทุกซอยตั้งแต่เด็กๆ จริงๆแล้วเรื่องนี้มานึกย้อนดูมันก็คงเริ่มตั้งแต่ตัวผมเองในช่วงประถม
          บ้านผมจะเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว บางวันก็นอนในบ้านบ้าง บางวันก็นอนนอกบ้านแล้วแต่อารมณ์ของมัน
          วันนั้นผมยังไม่หลับเพราะแม่ยังไม่กลับบ้าน แม่ของผมทำงานในห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลทำให้ต้องมีเวรและไปทำเคสเวลากลางคืนอยู่บ่อยๆ ผมก็มักจะรอให้แม่กลับมาก่อนจึงจะเข้านอน อีกเหตุผลคือผมไม่สามารถลากหมาทั้งหมดเข้ามาในบ้านได้ด้วยตัวเอง เพราะมันตัวใหญ่มาก
          คืนนั้นน่าจะเป็นเวลาราวๆ 5 ทุ่ม ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็เริ่มจะเข้านอนกันแล้วตามประสาคนทำงาน ยามคืนในหมู่บ้านจะเงียบมากทำให้ได้ยินอะไรๆในหมู่บ้านได้ง่ายกว่าช่วงกลางวัน
          เป็นเรื่องปกติที่หมาในบ้านจะวิ่งเล่นกันตรงโรงจอดรถภายในรั้วบ้านและไปนอนรออยู่ตรงหน้ารั้วเวลาแม่กลับมา วันนั้นก็เหมือนทุกวัน มันเล่นกันส่งเสียงดัง เสียงเห่าอย่างสนุกสนาน
          แต่แล้วเสียงหมาเล่นกันมันก็เงียบไปกลายเป็นเสียงขู่แทน ผมที่ยังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ตรงห้องนั่งเล่นก็เดินออกมามองผ่านประตูมุ้งลวด สายตาผมเห็นหมาทั้ง 3 ตัวจดจ้องไปยังนอกรั้วส่งเสียงขู่ในลำคอราวกับจะห้ามไม่ให้ใครเข้ามาใกล้ หรือไล่ไปให้ไกล
          ผมมองตามไปเพราะแม่มักจะบอกให้ผมระแวดระวังโจรหรือคนแปลกหน้า มันมีคนมาเบือหมาบ่อยๆในหมู่บ้าน แต่ตรงนั้นก็ว่างเปล่ามีเพียงความมืด และไฟสลัวจากเสาไฟในซอยเท่านั้น
          ผมละสายตาออกจากตรงนั้นเพราะมองไม่เห็นอะไรคิดว่ามันคงเห่าหมานอกบ้านตามประสาของมัน แต่ยังไม่ทันจะได้ใส่ใจอะไรมากมายนัก รถของแม่ก็เลี้ยวมาจอดที่หน้าบ้านพอดี
          หมาทุกตัวไปรุมล้อมมาเหมือนปกติโดยเลิกส่งเสียงขู่แล้วเหมือนลืมไปว่าเคยมีใครอยู่ตรงนั้น แม่พาหมาทั้งหมดเข้ามาในบ้านเตรียมนอน ส่วนผมก็นอนอีกห้องหนึ่งแยกออกมา คืนนั้นก่อนจะหลับไปถ้าผมจำไม่ผิดผมได้ยินเสียงกระดิ่ง ดังแว่วมาตามลม
กริ๊ง... กริ๊ง...
          หลายวันผ่านไปก็มีเหตุการณ์เดิมๆเกิดข้นบ้านในช่วงดึกๆ เหมือนมีใครมาหยอกล้อหรือมายืนให้หมาที่บ้านเห็นจนส่งเสียงขู่ หลายครั้งที่เสียงกระดิ่งดังแว่วมาไกลๆ
          นั่นคือครั้งแรกที่จำความได้ว่า มันมีเรื่องนี้เกิดขึ้น
          ผ่านไปหลายปี ผมเริ่มโตขึ้น เริ่มมีเพื่อน เริ่มไปมาบ้านเพื่อนได้มากกว่าที่เคย ผมเกือบลืมไปแล้วว่าเคยเจอเรื่องนี้จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้ยินมันอีกครั้ง
          ผมนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นที่บ้านเหมือนเคย คราวนี้เสียงกระดิ่งดังชัดมากกว่าครั้งในความทรงจำ เสียงนั้นกังวานเหมือนกับดังอยู่ใกล้ๆ เสียงกระดิ่งจักรยานเก่าๆ เสียงคร่อกแคร่กของคราบสนิมปนมากับเสียงเหล็กบางๆกระทบกัน
          ผมสะดุ้งเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ตอนนั้นยังไม่ทันได้กลัวแต่สงสัยเสียมากกว่า เวลานี้ใครมาปั่นจักรยานเล่น
          เสียงนั้นดังอยู่นาน ระยะห่างของเสียงเปลี่ยนไปเรื่อยๆจากหน้าบ้านลึกเข้าไปท้ายซอย และแว่วดังไปไกลเหมือนวิ่งไปตามถนนใหญ่ของหมู่บ้าน
          ไม่ใช่ทุกคืนที่ผมจะได้ยินเสียงนั้นแต่ก็เรียกได้ว่า บ่อย บ่อยจนผมเองหลุดปากไปถามกับเจ้าของร้านค้าในหมู่บ้านด้วยความสนิทสนม
‘ใครชอบมาขี่จักรยานดึกๆครับ เป็นผมแม่คงว่าตาย’ ในตอนนั้นเราก็พูดไปตามประสาเด็ก
          คุยกันไปคุยกันมาน้าเจ้าของร้านขายของบอกว่าได้ยินเหมือนกัน แต่ก็ไม่บ่อยนักไม่รู้เหมือนกันว่าใครทำอะไร ลองไปถามคุณยายดู แกชอบนั่งเล่นดึกๆดื่นๆเผื่อจะเห็น
          ผมเดินไปถามคุณยายที่เป็นแม่ของเจ้าของร้าน คำถามของผมทำให้ยายแกทำหน้าแปลกๆเหมือนตกใจ แกถามผมว่าได้ยินดึกๆ เสียงประมาณนั้นประมาณนี้ใช่ไหม ผมตอบว่าใช่ แล้วแกก็หันซ้ายหันขวาเหมือนกลัวว่าเจ้าของเสียงจะอยู่แถวนี้
‘นั่นมันเสียงผี’
          ผมไม่เข้าใจว่าทำไมยายตอบอย่างนั้น และแกก็ไม่ยอมอธิบายอะไรต่อได้แต่ไล่ให้ผมกลับบ้านไปไวๆ
          เวลาผ่านไปผมก็ยังได้ยินเสียงนั้นอยู่บ้างในบางคืน แต่มีคืนหนึ่งที่ผมได้ เห็น เจ้าของเสียงคืนนั้นผมนั่งเล่นเกมส์อยู่ที่ห้องนั่งเล่นในบ้านเพราะแม่ออกไปทำเคส
กริ๊ง... กริ๊ง...
          เสียงเดิมดังแว่วมาตามลม เสียงค่อยๆชัดข้นเหมือนกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ อาจเพราะความเคยชินเลยไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่สิ่งที่ดึงความสนใจของผมไปก็คือ เสียงหมาที่เลี้ยงไว้ในบ้าน
          พวกมันไปยืนรวมกันที่หน้ารั้วเหมือนปกติ มันส่งเสียงขู่ เหมือนมีใครอยู่ตรงนั้น มันไม่ได้แค่ขู่ในลำคอแต่มีการเห่าสลับกันเหมือนเป็นการเตือนครั้งสุดท้ายก่อนที่จะ กัด
          เสียงเห่าของพวกมันดังมาก ดังจนเราคิดว่า แปลก ผมเดินไปชะเง้อคอมองตรงประตูบ้านแต่ไม่ได้เปิดออกไป
          ผมแอบมองอยู่ไม่นานนักก็เกิดความเปลี่ยนแปลก พวกมันไม่เห่าแล้ว แต่เป็นเสียงครางหงิงในคอแทน
          มันอ้อนใครบางคนที่เป็นเงาตะคุ่มๆอยู่ตรงนอกรั้วนั้น มันลงไปนอนกลิ้งบนพื้นเหมือนกับจะชวนเล่น อีกตั้งเขย่งเท้าโดดไปมาเหมือนถูกใจ แต่เงาใครบางคนตรงนั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อน
          ผมรู้สึกแปลกใจแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าแม่เตือนเอาไว้ ช่วงนี้มีคนมาเบือหมาบ่อย ให้ระวัง
          ด้วยความเป็นห่วงก็เลยรีบเปิดประตูออกไปกะว่าจะไล่ใครตรงนั้นออกไป เผื่อเขาจะเอาอะไรมาให้หมาเรากิน
          เมื่อไม่มีมุ้งลวดกันผมก็เห็นร่างนั้นได้ชัดขึ้น ชายสูงอายุตัวผอมบางในชุดเสื้อผ้ามอมๆ ถ้าจำไม่ผิดก็คงจะเป็นเสื้อเชิ้ต แต่กางเกงนั้นสีเข้มจนมองไม่ชัด
          ผมเดินเข้าไปใกล้ ร่างนั้นก็ลุกแล้วเดินหายไปจากหน้ารั้ว และเมื่อผมเดินไปถึงผมก็มองหาวี่แววของเจ้าของร่างนั้นไม่เจอแล้ว
          พร้อมกันกับที่แม่ผมกลับมาจากทำงาน แม่ลงจากรถมาเปิดประตูรั้วถามว่าทำไมผมยังไม่นอน แต่ผมก็ไม่ได้ตอบได้แต่ถามกลับไปว่า
‘เห็นคนแก่ๆเดินผ่านไปไหม เขามาทำอะไรหมาเราไม่รู้’
          แม่มีท่าทีไม่เข้าใจคำถาม เพราะแม่บอกว่าแม่ขับรถเข้ามาก็ไม่ได้เจอใคร ถ้ามีใครเดินอยู่ก็คงต้องเห็นผ่านแสงไฟรถบ้างแล้ว แต่ก็ไม่มี
          ผมยืนยันว่ามีจริงๆ แต่แม่อาจไม่ทันได้มอง แต่สิ่งที่แม่สนใจมากกว่าคือ ถ้ามีคนมาจริงๆ หมาอาจจะโดนเอาอะไรให้กินก็เป็นได้
          แม่ไปสำรวจดูตามพื้นก็ไม่เจอเศษอาหารอะไร ไม่มีวี่แววของสิ่งที่กินได้เลย
          เวลาผ่านไปหลายวันหมาก็ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ป่วย ไม่มีอาการ แม่บอกว่าผมคงตาฝาดไป แต่ผมก็ยังมั่นใจว่า มันไม่ใช่อย่างที่แม่คิดแน่ๆ
          อีกหนึ่งความแปลกของเรื่องนี้คือ เสียงกระดิ่งจักรยานนั้น อาจไม่ได้ดังบ่อย หรือสม่ำเสมอ คาดเดาไม่ได้ว่าจะดังขึ้นเมื่อไหร่ แต่มันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เสียงกระดิ่งจะดังก้องเกือบทุกคืน และกินเวลานาน
          ช่วงที่จะมีคนตาย ในหมู่บ้านของผมนั้นมีผู้คนหลากหลายทั้งอายุและอาชีพ ครั้งหนึ่งลุงข้างบ้านของผมเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุโดยไม่มีใครทันได้ตั้งตัว
          ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับลุงคนนี้เพราะว่าแกชอบมานอนเล่นอยู่ข้างรั้วบ้านผม โดยแกจะมีเก้าอี้ผ้าใบแบบพับได้ตัวหนึ่งมาตั้งวางนอนเอกเขนกชมนกชมไม้ เพราะบ้านผมต้นไม้เยอะกว่าบ้านอื่นมาก ส่วนมากเป็นไม้ยืนต้น เลยชอบมีพวกนกมาทำรังมาพักอาศัยเป็นปกติ
          ถึงผมจะคุ้นเคยกับแก แต่ผมก็กลัวแกเหมือนกันเพราะแกดุ แกเคยเป็นตำรวจ แต่เกษียณมานานแล้ว แกจะมีไม้เท้าเล็กของแกเวลาเดินไปไหนก็จะมีเสียงเหล็กเคาะไปตามถนนคอนกรีตของหมู่บ้าน
          เรื่องราวการเสียชีวิตของแกเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า นกแสก
          บ้านผมกับลุงมีแค่ถนนกั้นเท่านั้น ช่วงนั้นเท่าที่จำได้เวลากลางคืนจะมีเสียงนกแปลกๆมาร้องอยู่แถวบ้านผม เสียงมันแหบพร่าไม่น่าฟัง ไม่เหมือนนกกระจอกที่ผมให้เข้าอยู่ทุกวัน
          ผมสังเกตว่าแม่ตั้งใจฟังมันอยู่หลายวัน น่าจะช่วงเข้าวันที่สามที่เสียงนกมันยังร้องอยู่ มันร้องติดกันสามคืน ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
‘คิดว่ามันร้องมาจากไหน มันเกาะอยู่บนต้นไม้บ้านเรารึเปล่า’
          อาจเป็นเพราะความเชื่อของคนในสมัยนั้นหรือเปล่าว่าถ้าหากได้ยินเสียงนกชนิดนี้มักจะมีเรื่องร้ายๆตามมา และมันจะเกิดกับบ้านของคนที่มันไปเกาะ
           แต่เมื่อลองฟังดูดีๆแล้วเดินไปสำรวจรอบๆบ้านก็ไม่เจอว่ามันเกาะอยู่ที่บ้านของผม นั่นทำให้โล่งใจไปได้หน่อยก็จริง แต่เสียงแหบๆของมันก็ดังอยู่ทุกค่ำคืนจนใจคอไม่ค่อยดี
           และในทุกๆคืนที่นกแสกส่งเสียงร้องก้องไปทั่วหมู่บ้านเสียงกระดิ่งเก่าๆนั้นก็จะดังแว่วตามมาในทุกๆคืน เสียงกระดิ่งนั้นดังมากกว่าปกติ และถี่มากกว่าปกติ เหมือนจะไล่ให้นกน่ารำคาญตัวนี้บินจากไป
         ผ่านเข้าไปกี่คืนไม่แน่ใจ แต่เสียงนกแสกนั้นยังคงดังอยู่ และดังขึ้น เสียงของมันเริ่มน่ารำคาญมากกว่าที่เคยเป็น เสียงแหบพร่าเหมือนคอจะแตก มันตะเบงเสียงอย่าไร้ความไพเราะต่างจากนกอื่นๆ

หมู่บ้านเหมือนอย่างเคย
         เสียงกระดิ่งค่อยดังแว่วมาจากที่ห่างไกล ท้ายหมู่บ้านไล่มาจนถึงบ้านของผม เสียงนั้นดังระงมจนผมนอนไม่หลับ มันดังมาก และถี่มากกว่าทุกครั้ง
         ผมพยายามฟังเสียงนั้นดูให้แน่ใจ เสียงนั้นดังมาจากถนนใหญ่ของหมู่บ้านที่กั้นขวางระหว่างบ้านของผมกับลุงตำรวจ เสียงกระดิ่งนั้นดังแว่วเบาสลับกันไปมาเหมือนคนขี่จักรยานวนเวียนอยู่บริเวณแถวนั้น
         เสียงนั้นดังอยู่นานสองนาน นานเท่าไหร่ไม่รู้จนเด็กอย่างผมไม่สามารถทนต่อความง่วงได้อีกต่อไป หูที่เริ่มชินกับเสียงกระดิ่งนั้น ก็เริ่มจะไม่ใส่ใจและปล่อยให้ตัวเองหลับลงในคืนนั้น
         ในเช้าตรู่วันต่อมาผมตื่นเพราะเสียงโวยวายของคนหลายคนที่ดังอยู่ในบ้านของผม เมื่อเดินออกมาดูก็เห็นเพื่อนบ้านหลายคนมายืนรออยู่ตรงม้าหินหน้าบ้าน เพราะมาเรียกพ่อของผมออกไปดูเหตุการณ์อะไรบางอย่าง
         ผมถามแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ตอบสั้นๆว่า ‘ลุงตำรวจแกตายแล้ว โดนรถชน’ ผมยังไม่เข้าใจในทันที แต่ก็รู้สึกตกใจเพราะเห็นกันมาตั้งแต่ผมจำความได้
         ผมเดินออกไปหน้าบ้านเดินไปตามถนนตามหลังผู้ใหญ่หลายคนที่ตอนนี้เดินตรงออกไปหน้าหมู่บ้าน
         ผมเดินตัดผ่านเกาะกลางถนน สนามบอล และป้อมยามเก่าของหมู่บ้านที่ไม่เคยมียามถูกจ้างมาเฝ้าเลยตั้งแต่ผมจำความได้ ผมได้แต่ยืนมองข้ามไปยังอีกฝั่งของถนนใหญ่สี่เลนที่ตัวเองไม่เคยข้าม
         ที่อีกฝั่งมีคนที่คุ้นหน้ากันหลายคนจากในหมู่บ้านยืนมุงอยู่ล้อมรอบอะไรบางอย่าง เมื่อพยายามมองตรงเข้าไปก็เห็นร่างอ้วนๆของลุงตำรวจนอนอยู่กับพื้น ไม้เท้าประจำตัวของแกกระเด็นออกมากลางถนนถูกรถเหยียบจนงอไม่มีชิ้นดี
         ผมยืนมองอยู่นานแต่ก็ไม่ได้เห็นอะไรไปมากกว่านั้น เห็นแต่กู้ภัยกำลังช่วยกันกู้ร่างของลุงใส่ในรถ พี่ลูกร้านขายของที่โตกว่าผมหน่อยเพิ่งออกมายืนเป็นเพื่อนบอกกับผมว่า ‘เหมือนที่ยายบอกเลย’
         พ่อเห็นผมยืนมองจากอีกฝั่งถนนก็เหมือนตกใจรีบโบกไม้โบกมือไล่ผมกลับเข้าไปในบ้าน คงกลัวว่าผมจะโดนรถชนแต่ในตอนที่กำลังจะหันหลังกลับนั้น ผมยังจำได้ติดตาว่า ลุงตำรวจยืนอยู่ตรงนั้น
         เหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นอยู่หลายวันเพราะลูกๆของลุงแกไม่ได้อยู่ที่นี่ แกอาศัยอยู่คนเดียว กว่าจะติดต่อให้มารับศพได้ก็กินเวลาหลายวัน แต่ที่แปลกคือ หลังจากเกตุการณ์ในเช้ามืดวันนั้น ผมก็ไม่ได้ยินเสียงนกแสกอีกเลย
         ผมไปถามกับพี่ที่เป็นลูกร้านขายของว่าที่ยายพี่พูดคืออะไร พี่เขาบอกว่ายายได้ยินเสียงนกแสกมาหลายคืน เสียงนี้ได้ยินกันทั้งหมู่บ้าน
‘เดี๋ยวต้องมีคนตาย’ ยายของพี่เขาว่าไว้อย่างนั้น
         ผมยังพยายามเงี่ยหูฟังเสียงกระดิ่งที่ได้ยินอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงนั้นไปพักใหญ่ๆ แต่กลับเป็นอีกเสียงหนึ่ง มันเป็นเสียงของท่อนเหล็กที่กระทบไปตามพื้นคอนกรีต ในทุกๆเช้ามืด และกลางดึกสงัด
         เสียงไม้เท้าเหล็กจะดังและมาหยุดลงตรงรั้วข้างบ้านของผมเป็นประจำ นอกจากนี้ก็ยังมีเสียงลือจากเพื่อนบ้านที่ไปตลาดในช่วงเช้ามืดเป็นประจำว่า เห็นลุงตำรวจกำลังเดินข้ามถนนจากตรงที่แกโดนรถชน
         และครั้งหนึ่งที่ผมจำได้ดี ครั้งแรกที่ผมได้เห็นนกแสกตัวเป็นๆกับสายตา ผมกลับมาจากทำงานกับแม่ช่วงกลางดึก แล้วด้วยความง่วงผมจงเผลอปล่อยให้หมาที่เลี้ยงไว้หลุดออกไปจากบ้าน
         ผมเดินตามหมาที่ออกมาวิ่งเล่นไม่รู้เวลาในคืนนั้นจนมาถึงข้างบ้าน ตรงที่เป็นที่ประจำของลุงตำรวจ ด้วยความเคยชินจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
         ที่ตรงนั้นว่างเปล่าไม่มีเก้าอี้พับเก่าๆของลุงแกแล้ว แต่ในคืนนั้นกลับมีนกประหลาดที่ผมไม่เคยเห็น มันเกาะอยู่บนรั้วบ้านของผม ตรงกับที่ลุงชอบมากางเก้าอี้นอน
         นกตัวใหญ่หน้าตาคล้ายนกฮูกที่ผมเคยเห็นในทีวี สีขาวสะอาดแซมด้วยสีน้ำตาลอ่อน ดวงตากลมโตที่น่าขนลุก ตัวมันใหญ่มาก ใหญ่จนผมกลัว มันไม่ได้มองมาที่ผมแต่มันจ้องข้ามหัวผมไป
         ตรงนั้นตรงที่มันมองอยู่คือประตูบ้านของลุงตำรวจ ที่ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครมาเช่ามาซื้อหรือมาอยู่ใหม่แม้แต่ลูกๆของแก แล้วเพียงแวบเดียวที่ผมเหลือบไปเห็นแสงไฟสว่างจากถนนฉายผ่านประตูกระจกของบ้านทาวเฮ้าส์ให้เห็นเงาลางๆในบ้านหลังเก่า ตรงนั้นมีเงาของคนอ้วนๆเดินหลังค่อมวนเวียนอยู่ในตัวบ้าน
         เหตุการณ์นั้นผ่านไปเป็นปี มีบ้างที่ได้ยินเสียงกระดิ่งนั้นแต่ก็ไม่บ่อยเหมือนมันจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว จนมีอีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นอีกครั้ง
         ในวันนั้นอยู่ดีๆก็มีเสียงนกแสกดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมจำเสียงมันได้ดีและแน่นอนว่าคราวนี้มันก็เหมือนจะดังมาจากที่ใกล้ๆบ้านผมอีกแล้ว คืนนั้นในคืนแรกมันร้องอยู่ไม่กี่ทีก็เงียบไป
         จำได้คร่าวๆว่าน่าจะเป็นช่วงค่ำๆอยู่เลย เพราะเพื่อนบ้านในซอยยังเดินมาพูดกับพ่อผมที่นั่งเล่นอยู่หน้าบ้านว่า ‘เอาอีกแล้วมั้งเนี่ย รอบนี้จะเป็นใครกัน’
         และก็เป็นไปตามคาดเมื่อนกประหลาดนี้มันมาร้องสร้างความรำคาญให้ได้ยิน เสียงกระดิ่งเก่าๆนั้นก็ตามมาด้วยเช่นกัน เสียงนั้นจะดังขึ้นในทุกๆคืนและถี่ขึ้นเรื่อยๆ
         ในคืนที่สองหรือสามไม่แน่ใจวันนั้นยังไม่ดึกมาก ร้านอาหารตามสั่งตรงหน้าซอยยังตั้งวงนั่งสังสรรค์กันอยู่ เสียงแหบพร่าของมันก็ดังขึ้น แต่คราวนี้ใกล้มาก มันใกล้จนหมาในบ้านตกใจเดินงุ่นง่านไปทั่วบ้าน
         ผมที่นั่งเล่นเกมส์อยู่เดินออกมาดูที่ห้องนั่งเล่นก็เห็นว่าแม่ไม่อยู่ เลยเดินออกมาตามข้างนอกบ้านทั้งๆที่ยังได้ยินเสียงแหบๆของมันอยู่
         แล้วก็ต้องตกใจเพราะว่านกแสกมันเกาะอยู่ที่รั้วบ้านของผม มันส่งเสียงร้องอย่างไม่เกรงใจใครแม้ว่าตอนนั้นหน้าบ้านของผมจะเต็มไปด้วยลุงๆป้าๆที่พยายามส่งเสียงไล่ ให้มันไปไกลๆ
         มันร้องอยู่นานแต่ไม่ดังมากนัก จนลุงที่เป็นสามีของร้านอาหารตามสั่งขว้างรองเท้าใส่มันโดนเข้าอย่างจัง มันเซและกางปีกออกบินในทันที
         แต่มันไม่ได้บินไปไหน มันย้ายไปเกาะตรงจั่วหลังคาชั้นสองของบ้านผม และคราวนี้มันก็ส่งเสียงร้องอย่างน่าขนลุกอีกที เสียงของมันดังและแหบยาวกว่าเมื่อสักครู่
         ในตอนนั้นผมเริ่มหวั่นใจว่ามันจะเกิดขึ้นกับบ้านของผมจริงๆหรือ ทั้งแม่และผมที่ออกมายืนดูต่างกลัวในสิ่งที่ไม่อาจรู้ว่ามันจะเป็นไปอย่างไร
         ในคืนเดียวกันนั้นผมนอนไม่หลับ ยังรอฟังเสียงนกประหลาดนั่นอยู่ รวมไปถึงเสียงกระดิ่งที่มักจะมาคู่กันเสมอๆ และแน่นอนว่ามันก็มาจริงๆ
         เสียงนกแสกค่อยๆดังมาจากที่ไกลๆ เหมือนมันบินและร้องไปด้วยเสียงมันดังมาใกล้จนในที่สุดก็พอจะรับรู้ว่ามันมาถึงบ้านผมแล้ว แต่มันกลับไม่ได้หยุดที่บ้านผม มันบินเลยไปเข้าลึกเข้าไปในซอยที่ผมอยู่
          ผมเงี่ยหูฟังก็จับได้ระยะว่ามันหยุดอยู่กับที่แล้วมันไม่ได้เบาลงอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นบ้านหลังไหนที่มันมาเกาะ ไม่นานเสียงกระดิ่งเดิมก็ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงกระดิ่งเก่าๆดังเป็นระยะๆอยู่ในซอยบ้านผม ผมพยายามฟังเสียงนั้นต่อไป
          เมื่อฟังได้สักพักก็แน่ใจว่าเจ้าของเสียงนั้นยังวนเวียนอยู่ในซอยหรือนั่นก็คือ เขายังผ่านไปมาตรงหน้าบ้านของผม ด้วยความอยากรู้ผมจึงตัดสินใจ ชะเง้อหน้าผ่านหน้าต่างห้องนอนที่ตรงกับประตูรั้วหน้าบ้านเพื่อมองหาต้นตอของเสียงนั้น
          เมื่อมองออกไปก็มีเพียงความว่างเปล่าของยามค่ำคืนไม่มีใครอยู่ตรงนั้น แต่เสียงนั้นยังแว่วเข้ามาในหูอยู่ตลอด ผมมองอยู่ได้สักพักหนึ่งก็เหมือนจะเห็นในสิ่งที่ตัวเองสงสัย
          เงาดำของใครบางคนผ่านหน้าบ้านไปอย่างเชื่องช้า และเมื่อตั้งใจมองดีๆจึงได้เห็นจักรยานคันเก่าๆที่มีคนถีบอยู่ ความเร็วในการถีบนั้นช้ามาก ช้าเหมือนคนไม่มีแรงจะถีบ
          เมื่อมองผ่านความมืดออกไปไฟสลัวๆของถนนเหมือนไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ช่วยให้เงาร่างนั้นสว่างขึ้นมาแต่อย่างใด แต่ด้วยการจ้องอย่างตั้งใจจึงเริ่มเห็น ใครคนนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น

แขนขาบางๆผอมแห้งจับเกาะติดอยู่บนจักรยานทรงโบราณที่เด็กอย่างผมไม่เคยได้เห็น เสียงกระดิ่งเก่าๆมาจากรถคันเก่าที่มีร่องรอยสนิมเขรอะอยู่ นอกจากนี้ร่างนั้นยังโยกเยกไปตามแรงถีบของตัวเอง ผมเกือบจะเชื่อว่านั่นคือ คน ถ้าสุดท้ายแล้วสายตาผมไม่ได้เหลือบไปเห็นความผิดปกติที่ยากจะอธิบาย
          ร่างผอมบางที่พอจะเห็นได้ว่าเป็นหนังเหี่ยวๆของคนมีอายุถีบจักรยานผ่านไปมา แม้จะกระทบแสงไฟถนนอีกกี่ครั้งก็ไม่ปรากฏแสงสะท้อนเหมือนปกติ ไม่มีเงาตกกระทบลงตรงพื้น และร่างนั้นยังไม่มีศีรษะให้ได้เห็นอีกด้วย
          พอตาเริ่มปรับเข้ากับความมืดได้จึงรู้ว่าร่างนั้นไม่มีหัว มีแต่เพียงช่วงคอลงมาเท่านั้น เมื่อเห็นเพียงเท่านั้นผมก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกกลับลงมานอนในเตียงกอดผ้าห่มน้ำตาคลอด้วยความกลัว
          ผมได้แต่นอนฟังเสียงกระดิ่งนั้นไปอีกนาน จนตัวเองหลับไปในตอนไหนก็ไม่รู้
          เหตุการณ์เดิมๆเกิดขึ้นอยู่หลายวัน ผมไม่แน่ใจว่ากี่วันแต่ทุกๆคืนจะมีเสียงนกและเสียงกระดิ่งดังอยู่ตลอด และแน่นอนว่าในคืนก่อนที่จะเกิดเหตุเหมือนมีหนังม้วนเดิมฉายซ้ำ
          ในคืนก่อนที่จะได้รับข่าวร้ายอีกครั้ง เสียงนกแสกดังก้องไปทั่วทั้งซอย เสียงของมันแหบพร่าจนน่าขนลุก ปนกับเสียงกระดิ่งเก่าๆดังถี่ๆแข่งกับเสียงของมัน สองเสียงสอดประสานกันยิ่งทำให้ขนลกยิ่งเก่าเก่า และในตอนสุดท้ายมันก็แผดเสียงยาวนานเป็นนาทีเหมือนครั้งในความทรงจำก่อนจะเงียบ แล้วเหลือไว้เพียงเสียงกังวานของกระดิ่งเก่าๆอันนั้น
          ในเช้าวันรุ่งข้นผมได้รับข่าวร้ายจากคนในบ้านว่า ลุงคนที่อยู่ในซอยเดียวกันถัดจากบ้านผมไปสามหลัง ถูกรถชนเสียตอนกำลังจะข้ามถนนฝั่งตรงข้ามหมู่บ้าน ที่เดียวกับลุงตำรวจ
          ลุงที่เสียในคราวนี้ค่อนข้างสนิทกับผมเพราะลุงแกเป็นคนใจดีเมื่อได้ข่าวก็รู้สึกใจหายเป็นอย่างมาก แต่คงไม่เท่ากับป้าคนที่เป็นภรรยา เพื่อนบ้านได้แต่กอดปลอบใจการจากไปอย่างกะทันหันของลุงคนนี้
          จากคำบอกเล่าของคนเห็นเหตุการณ์บอกว่ามันแทบจะเหมือนกับเรื่องของลุงตำรวจ นั่นคือในช่วงเช้ามืดแกจะนั่งรถประจำทางไปตลาดแล้วมาลงตรงศาลาไม้ตรงข้ามกับหมู่บ้านเพื่อข้ามฝั่งมาทางนี้ ไม่รู้ว่าด้วยเพราะฟ้ายังไม่สว่างหรือรถนั้นมาเร็ว ลุงถูกรถชนแล้วเสียชีวิตอยู่ตรงนั้น โดยไม่มีวี่แววของผู้รับผิดชอบ
          หลังจากการเสียชีวิตของลุง ทุกคืนจะได้ยินเสียงกระดิ่งจักรยานดังอยู่ในซอยมากกว่าปกติ แต่มีครั้งหนึ่งที่คนรับรู้กันได้ทั้งหมู่บ้าน เพราะหมาจรจัดในหมู่บ้านหอนรับกันเป็นทางยาวมาตั้งแต่ป้อมยามหน้าหมู่บ้านและมาหยุดที่หน้าซอยของผม
          เหมือนเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมๆ คนในซอยมักเห็นคุณลุงเดินเข้ามาจากถนนใหญ่ ตรงเข้ามาในซอยและหยุดอยู่หน้าบ้าน ป้าผู้เป็นภรรยาก็บอกว่าเคยได้ยินเสียงสามีเรียกในตอนดึก เสียงมาจากหน้าบ้านแต่เมื่อออกมาดูก็ไม่เจอใคร เป็นอยู่หลายครั้ง จนลูกคิดว่าคงมาจากอาการเสียใจของผู้สูงอายุ จึงมารับไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพปล่อยให้บ้านนั้นเป็นบ้านว่างๆอยู่หลายปี
          ความแปลกอีกอย่างหนึ่งก็คือหลังจากเกิดเรื่องของลุงคนนี้ ก็ไม่มีใครเคยพบเจอสิ่งที่อาจจะเป็นวิญญาณของลุงตำรวจอีกเลย อีกทั้งบ้านของลุงตำรวจก็ขายได้และมีผู้มาอยู่ใหม่ในเวลาไม่นาน
          เรื่องแปลกๆนี้เป็นเรื่องเล่ามาตลอดเวลาตั้งแต่มันเกิดขึ้นจนเวลาผ่านไป แม้ว่าหลายปีจะยังไม่มีใครในหมู่บ้านเกิดเหตุเช่นนี้อีก แต่ที่ตรงนั้น ตรงข้ามหมู่บ้านกลับมีเหตุรถชนกันบ่อยจนเหมือนเป็นเรื่องปกติ
          เสียงกระดิ่งนั้นยังดังอยู่เรื่อยๆในความทรงจำของผม มีครั้งหนึ่งผมไปซื้อของที่ร้านขายของชำของหมู่บ้านได้คุยกับน้าเจ้าของร้านเขาเล่าให้ฟังว่า
          เมื่อเช้ามืดมีตำรวจมาขี่รถตรวจตราตามปกติ ตำรวจสองคนแวะซื้อกาแฟดื่มกันแล้วถามว่าได้ข่าวเรื่องโจรขโมยบ้างไหม เขาเพิ่งจับได้ไปไม่นาน
          โจรถูกตำรวจจับตอนกลางดึกห่างไปจากหมู่บ้านเล็กน้อย ด้วยทาทางที่ดูผิดปกติคือ วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อจับมาตรวจสอบก็ยอมสารภาพเสียเองว่ามาขโมยมางัดบ้านในหมู่บ้าน แต่ดันเจอยามเลยรีบวิ่งหนีมา แต่ที่ตกใจกว่าคือ ยามคนนั้นไม่มีหัว
          ตำรวจบอกว่ามันดูไม่น่าเชื่อเลยสรุปไปว่าคงหลอนยา ไม่ก็เมา แต่เขาก็ว่าจะมาขอบคุณลุงยามที่มาช่วยไล่เสียหน่อย นานๆทีจะมีคนช่วยงานตำรวจ
          น้าร้านขายของตอบไปอย่างไม่เข้าใจว่า ‘ยามไหนคะ หมู่บ้านนี้ไม่มียาม’
          ผมโตขึ้นไปตามเวลากับเรื่องราวที่ยังไม่มีอะไรเพิ่มเติม แต่ผมก็เก็บความสงสัยที่มีไว้ในใจจนโตพอที่จะไปพูดคุยหรือถามไถ่กับคนอื่นในหมู่บ้าน
          แล้วเรื่องราวก็เหมือนๆกัน มีหลายคนได้ยินเสียงกระดิ่งนั้น และหลายคนก็เคยเห็นยามไร้หัวคนนั้นเช่นกัน แต่ทั้งหมดไม่มีใครรู้ว่า เขาเป็นใคร
          ผมพูดคุยกับคนไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ได้เบาะแสที่อาจจะใช่มา นั่นคือคุณยายที่เป็นแม่ของร้านขายของ ยายแกอายุเยอะมากมาอยู่ตั้งแต่สมัยมีบ้านไม่ถึงห้าหลังในหมู่บ้าน
          ยายบอกว่าก่อนหน้านี้ที่ดินตรงนี้เปลี่ยนมาหลายมือเป็นมาหลายอย่าง ทั้งป่าช้าทั้งอะไร(ห่างจากหมู่บ้านไปไม่ไกลมีวัด)
          ช่วงแรกที่จะสร้างหมู่บ้านที่นี่เคยมียาม เป็นยามแก่ๆคอยขี่จักยานวนเวียนตรวจตราอยู่ทุกๆคืน แกเป็นคนขยัน ดึกๆดื่นๆแกก็ยังตรวจตราแม้ว่าจะมีบ้านไม่กี่หลังก็ตาม แล้ววันหนึ่งแกก็โดนฆ่าตาย
          ยามแก่คนนั้นหายไปจากหน้าที่หลายวันจนผิดสังเกต แล้วก็มีคนไปเจอศพของยามคนนี้ห่างไปจากหมู่บ้านพอสมควรอยู่ในคลองเล็กๆ เหมือนจะเอามาซ่อน สภาพศพนั้นถูกปาดคอลึกจนชิดกระดูกต้นคอด้านหลังแต่น้ำในคลองทำให้เปื่อยจนเกือบหลุดออกจากตัว

ตั้งแต่นั้นมาที่นี่ก็ไม่เคยมียามอีก เพราะจ้างมากี่คนๆก็จะหนีออกกันเสียหมดบ้างก็หายไปเฉยๆไม่มาลาออก ไม่เกินสองอาทิตย์สักคน
          ผมเอาเรื่องยามไปถามกับพ่อที่ทำหน้าที่เป็นกรรมการหมู่บ้านในเวลานั้น พ่อบอกว่ามันก็จริงที่จ้างยามมาไม่นานเขาก็จะลาออกกันเสียหมดโดยไม่ยอมฟังอะไร แต่เรื่องเล่าที่ยายแกเล่านั้นก็ไม่เคยได้ยินมาเลย
          อีกคนที่เจอเรื่องนี้คือพี่เจ้าของร้านอาหารตามสั่งหลังหมู่บ้าน ผมชอบไปนั่งกินข้าวที่นั่นเพราะเพื่อนๆจะมารวมกันมีนมปั่นมีขนมปังปิ้งตามความชอบของเด็กๆ
          พี่เขาต้องปิดร้านดึกๆทุกคืนในบางคืนก็จะได้เห็นอะไรแปลกๆอย่างนี้บ้าง ไม่ใช่แค่ยามคนนี้แต่ก็มีหลายอย่าง แต่มีครั้งหนึ่งที่คิดว่าน่าจะใช่คนเดียวกัน คือพี่เขาได้ยินเสียงกระดิ่งจักรยานกับเสียงโซ่จักรยานเหมือนกำลังมีคนปั่นอยู่ เมื่อมองออกไปก็เห็นว่าเป็นชายแก่ไม่มีหัวปั่นจักรยานวนไปมาจากหน้าหมู่บ้านไปหลังหมู่บ้าน
          หลังจากนั้นก็เหมือนเป็นเรื่องปกติที่จะได้ยินเสียงกระดิ่งนี้ เพราะเหตุร้ายก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก จนผมคิดไปเองว่าดีแล้วที่เสียงกระดิ่งกับเสียงนกนั่นมันไม่ดังมาอีก
           ครั้งสุดท้ายที่ได้ยินเสียงนี้จริงๆคือช่วงที่ผมขึ้นมาเรียนม.ปลายแล้ว ตอนนั้นก็เริ่มชัดเจนมากขึ้นกับสิ่งที่ตัวเองเป็น เห็นอะไรเยอะขึ้น หลายๆเรื่องก็เข้ามากลบจนตัวเองก็ลืมๆเรื่องนี้ไปบ้าง
          จนในที่สุดการสูญเสียที่เรียกว่าเป็น ครั้งสำคัญของผมครั้งหนึ่ง มาถึงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ช่วงม.ปลายผมมักจะเข้าบ้านดึกเพราะมัวไปนั่งเล่นคุยกับพี่ๆเพื่อนๆที่ร้านนมในหมู่บ้าน คืนนั้นก็เช่นกัน
          วันนั้นมีพี่คนหนึ่งที่ไปทำงานต่างจังหวัดกลับมาบ้านเลยมีนัดสังสรรค์กันเล็กน้อย ผมที่อยู่บ้านใกล้ก็เลยกลับช้ากว่าคนอื่นๆบางคน ผมเดินกลับเองในช่วงประมาณตีหนึ่งตีสองถ้าจำไม่ผิด
          ผมได้ยินเสียงกระดิ่งเสียงเดิมดังแว่วมาไกลๆ แต่ยังไม่เห็นวี่แววของเจ้าของเสียง เสียงนั้นค่อยๆดังใกล้เข้ามาสมองมันก็นึกไปถึงภาพที่เคยเห็นทำให้เริ่มกลัวขึ้นมา
           ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าอยู่ดีๆมันก็เสียวสันหลังวาบแล้วก็หนาวขึ้นมาจับใจ จากเดินสบายๆก็เร่งความเร็วขึ้นแต่เสียงนั้นก็ไม่ได้เบาลงเลย ชัดขึ้นเสียด้วยซ้ำเหมือนกับว่ามันใกล้เข้ามาทุกที จนสุดท้ายเสียงนั้นดังไม่ห่างไปจากตัวผมเกินเมตรหรือสองเมตรแน่ๆ
          ผมเลือกที่จะวิ่งเพราะอีกนิดเดียวก็ถึงบ้านแล้ว ผมเปิดประตูเล็กข้างบ้านเข้าไปอย่างรวดเร็วแล้วตอนที่หันกลับไปมองเพราะต้องปิดประตูก็ได้เห็นอีกครั้ง
          ชายแก่ผิวแห้งเหี่ยวในเสื้อกางเกงเก่าๆมอมแมม จักรยานคันเก่านั้นโทรมจนไม่น่าจะขี่ได้อีก เหนือบริเวณคอข้นไปมีแต่ความว่างเปล่า แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเขา มองมาที่ผม แม้ว่าจะไม่ได้เห็นดวงตาของเขาก็ตาม
          ผมเข้ามาในตัวบ้านพร้อมเสียงกระดิ่งที่ยังดังต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง เสียงนั้นดังเลยบ้านผมไปยังซอยก่อนหน้า และวนเวียนอยู่แถวนั้นนานสองนาน จนเงียบหายไปในเวลาใกล้รุ่ง
          ผมไม่แน่ใจว่ามันห่างกันนานเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่ได้นานมาก ไม่เกินหนึ่งเดือนที่เสียงกระดิ่งนั้นดังวนเวียนอยู่บ้านหลังใกล้ๆกับบ้านผม เมื่อฟังดีๆในตอนนั้นผมกับรู้สึกว่า เหมือนเขาพยายามเรียก หรือจะบอกอะไรสักอย่าง
          แต่ด้วยความเป็นเด็กบวกกับความไม่รู้จึงไม่ได้สนใจจะหาคำตอบอะไรมากมายนักจนในที่สุดเรื่องร้ายมันก็มาเกิดขึ้นอีก คนที่เรียกได้ว่าเป็น พี่ชาย คนหนึ่งของผมแม้ว่าจะไม่ใช่พ่อแม่เดียวกันเกิดเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ แม้ว่าจะไม่ใช่ตำแหน่งเดียวกันกับลุงทั้งสองคน แต่ก็ไม่ได้ห่างกันไกลมากนัก เรียกว่าเป็นถนนเส้นเดียวกัน
          และแน่นอนว่าหลังจากการสูญเสียครั้งนั้นเสียงกระดิ่งจะวนเวียนอยู่บริเวณใกล้กับบ้านหลังนั้นไปอีกหลายคืน
          เสียงกระดิ่งยามวิกาลในตอนนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร ไม่มีใครรู้ แล้วทำไมเขายังคงวนเวียนไม่หายไปไหน ก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน แต่เคยมีเรื่องเล่าจากคนขับรถบรรทุกอยู่ว่า
          หน้าหมู่บ้านของผมจะมีศาลาไม้อยู่ และเป็นมุมกว้างของถนนพอดีเพราะเป็นที่หน้าหมู่บ้าน ทำให้มีคนขับรถทางไกลอย่างรถขนของรถบรรทุกชอบมาแวะนอนพักกันอยู่เสมอๆ
          คนขับก็ชอบเข้ามาซื้อเครื่องดื่มที่ร้านของชำเพราะอยู่ต้นหมู่บ้านเดินนิดเดียวก็ถึงบางครั้งก็จะมาพร้อมเรื่องเล่าว่าบางคืนที่มาแวะนอนถ้าจอดรถไม่ดี คือจอดกินเลนถนนไปบ้าง หรือใกล้กับทางเข้าออกของหมู่บ้านเกินไป คืนนั้นจะนอนไม่ได้ จะได้ยินเสียงกระดิ่งจักรยานดังแว่วมาอยู่ทั้งคืน บ้างก็เป็นเสียงเหมือนคนพ่นลมหายใจอยู่ใกล้ๆแต่ฟังไม่ได้ศัพท์
          ถ้ายังไม่มาขยับรถ ก็จะนอนไม่ได้ บางทีขับผ่านแต่ไม่ได้แวะนอนกะว่าจะฝืนเอาหน่อย ก็จะเห็นเหมือนคนไม่มีหัวคร่อมจักรยานยืนอยู่หน้าหมู่บ้าน ทำให้ตกใจจนหายง่วงบ้างก็มี
          เรื่องเล่าลือของลุงยามคนนี้ยังคงมีอยู่ตลอดมา แม้ว่าตัวผมเองจะไม่ได้ทันหาคำตอบอะไรเพราะด้วยเหตุการณ์ในชีวิตทำให้ต้องย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาเกือบ 6 ปี ตั้งแต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย และไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกเลย
          เพื่อนๆคนรู้จักในหมู่บ้านที่ยังติดต่อกันก็ยังบอกว่ามีเสียงกระดิ่งอยู่บ้างบางคืน บางครั้งก็มีคนเห็นแต่มันจะเกิดก่อนอุบัติเหตุทุกครั้งไป
          พอมาคิดดูตอนนี้ลุงยามคงไม่ใช่คนน่ากลัวอะไร แต่ที่น่ากลัวและน่าพูดถึงมากกว่าคงเป็นสถานที่ตรงนั้น ตรงหน้าหมู่บ้านของผมเองที่เกิดอุบัติเหตุซ้ำแล้วซ้ำแล้ว ถึงขนาดว่าผมย้ายออกมาแล้วก็ยังเห็นข่าวในทีวีในอินเตอร์เน็ตอยู่บ่อยๆ และที่ตรงนั้นยังมีคนเห็น เปรต และ วิญญาณ มายืนรออยู่ข้างทางเป็นประจำ เอาไว้ครั้งถัดๆไปจะเขียนถึงพวกเขาบ้างแล้วกันนะครับ
          กระทู้นี้อาจจะไม่น่ากลัวและไม่ยาวเท่าไหร่ เพราะจริงๆแล้วผมกะว่าจะเขียนหลังจากเสร็จพระราชพิธีไปแล้วเสียก่อน แต่ก็ตัดสินใจเลือกเรื่องที่คิดว่า เบาหน่อย ไม่เกินความเหมาะสมในช่วงนี้มาลงให้อ่านกันแก้เบื่อไปก่อน
          ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ เจอกันเดือนพฤศจิกายนครับ สัญญาว่าจะไม่เบาแบบนี้แน่นอน เพราะฉะนั้นผมก็ขอโทษทุกคนไว้ล่วงหน้าเลยถ้ากระทู้หน้าจะหนักกว่าปกติ

ติดตามไปพูดคุยกันในเพจได้นะครับ : ลอยชาย.

ขอบคุณครับ
ลอยชาย

จากพันทิป  'ยาม' วิกาล
เรื่องโดย  LoyChinE FB ลอยชาย

ไม่มีความคิดเห็น