ฉันสบายดี... ขอบคุณ
"I’m fine, thank you" คำที่คุ้นจนโตตั้งแต่ตอนเราเรียนวิชาภาษาอังกฤษ และเรื่องราวต่อไปนี้ "ฉันสบายดี... ขอบคุณ" จากพันทิปโดยนักเขียนผู้มีพรสวรรค์ในการเขียนและเล่าเรื่องที่ดีเช่นเคย คุณ Rhythm in the Air หรือ กฤตานนท์ ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เรื่องเกิดที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง โรงเรียนนี้เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงป.๖ โดยนักเรียนตั้งแต่ ป. ๔-๖ จะมีสอนวิชาภาษาอังกฤษ
เพิ่มขึ้นมาในหลักสูตร โดยคุณครูที่รับหน้าที่สอนมีสองท่านซึ่งเป็นสามีภรรยากัน สมมุติฝ่ายชายชื่อบุญ ฝ่ายหญิงชื่อเอม
แต่ส่วนใหญ่จะเป็นครูเอมรับหน้าที่เหมาสอนโดยส่วนมาก เพราะสามีควบตำแหน่งโค้ชทีมวอลเล่ย์บอลอีกตำแหน่ง
ทำให้ติดภารกิจอยู่บ่อยครั้ง
“Good morning teacher”
“Good morning, how are you today?”
“I’m fine, thank you and you?”
“I’m fine, thank you sit down”
“Thank you teacher”
เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นๆ กับประโยคเหล่านี้ เช้า สาย บ่าย มักมีเสียงท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองดังลอดออกมาจากห้องเรียนเป็นประจำ
ครูเอมชื่นชอบให้นักเรียนเปล่งเสียงดังฟังชัด ในขณะที่ครูเองก็ชอบสปีคอิงลิช จนบางครั้งเด็กๆ แม้แต่ครูบางท่านก็ใบ้รับประทาน
ไม่รู้ว่าครูเอมพูดอะไร
บุคลิกครูเอมเป็นที่สะดุดตาของทั้งนักเรียนและครูท่านอื่น ครูเป็นคนรูปร่างผอม แก้มตอบ ผมดัด หน้ายาวนิดๆ ปากเป็นกระจับ
ชอบทาลิบสติกสีแดงคล้ำ บางครั้งแต้มลิปบนริมฝีปากเพียงแค่แถบน้อยๆ ดูไปมาคล้ายปากของเกอิชาอะไรทำนองนั้น
แต่สิ่งที่เด็กๆ กลัวสุดหากไม่นับไม้เรียวที่ทำจากกิ่งไม้ไผ่ คือดวงตาเรียวเล็ก ตาครูเอมดุมาก บางครั้งแค่จ้องเด็กนักเรียนหญิงร้องห่มร้องไห้ก็มี
ครูเอมเป็นคนแต่งตัวเรียบร้อย ส่วนใหญ่เน้นชุดโทนอ่อน เช่น ขาว ครีม เบจ เขียวอ่อน ชอบใส่กระโปรงจับจีบละเอียด พลิ้วๆ
ใส่รองเท้าส้นสูงสีดำ ไม่ก็แดง เวลาเดินจะมีเสียงดัง ‘ต๊อกแต๊ก’ พร้อมพรมน้ำหอมกลิ่นอ่อนๆ แค่เดินผ่านจะมีกลิ่นโชยมาเตะจมูก
จนกลายเป็นที่รู้กันในหมู่เด็กเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมพร้อมกับเสียงลงส้นว่า ‘ครูเอมมาแล้ว’
ครั้งหากเด็กทำผิด เป็นเหตุให้ต้องถูกทำโทษ ครูจะมีวิธีลงโทษสองแบบ หนึ่งคือที่กล่าวไว้ด้านบน คือใช้ไม้เรียวหวดตรงก้น ไม่ก็บริเวณขา
กับสองคือใช้มือฝ่ามือลุ่นๆ ตีไปที่ไหล่ของเด็ก (ไม่มีเจตนาลบหลู่ใครนะครับ) แรงบ้าง เบาบ้างตามแต่ระดับความผิดที่ก่อ
ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนชายที่โดน เพราะซนเป็นลิงเป็นค่าง บางครั้งไม่มีเวล่ำเวลาหาไม้คู่ใจ ครูก็ใช้มือนั่นล่ะ ง่ายดี
ป๊าบเข้าให้พอเป็นกระษัยให้หยุดทะโมน
เวลาผ่านไปไม่นาน ครูทั้งสองท่านมีข่าวดีให้ชีวิตที่ครองคู่กันมาหลายปี คือครูเอมตั้งครรภ์ ครูบุญดีใจมาก ประคบประหงมภรรยาอย่างดี
วิงวอนให้พักผ่อนอยู่ที่บ้าน อย่างว่า คนเป็นพ่อย่อมเห่อลูกคนแรกเป็นธรรมดามนุษย์ แต่ครูเอมขอว่าช่วงที่ท้องยังเล็กๆ
อยากมาสอนมากกว่านอนอยู่บ้าน สอนจนท้องสาวเริ่มโตจนมาทีละน้อย (แต่ก็ไม่ป่องจนสะดุดตา) จึงสลับมาสอนบ้าง หยุดบ้าง
เป็นที่รู้จักในหมู่ครูและนักเรียน
ช่วงคาบเกี่ยวปลายฝนต้นหนาว ครูเอมเริ่มแพ้ท้องหนักขึ้น จึงต้องหยุดสอนนานขึ้นเช่นกัน กลายเป็นครูบุญต้องรับภาระสอนทุกชั้น
ครูบุญเป็นผู้ชายใจดี พูดน้อย (แต่ต่อยหนัก) ฝีมือในการตวัดไม้เรียว อยู่ในระดับเดียวกับภรรยาอย่างไม่ต้องสงสัย
จนอยู่มาวันหนึ่ง หลังจากที่ครูเอมหายไปสองสามวัน เกิดข่าวลือปูดไปทั่วโรงเรียน เริ่มจากในหมู่ครูและลามมาถึงเด็กๆ ว่า 'ครูเอมเสียชีวิต'
สมัยนั้นหรือสมัยนี้ไม่ต่างกัน ข่าวลือมักมาก่อนข้อเท็จจริง แต่การติดต่อสื่อสารไม่กระชับฉับไวเช่นสมัยนี้
บ่ายวันนั้นจึงมีเสียงซุบซิบนินทาดังกระหึ่ม บ้างแค่บอกว่าแท้ง บ้างบอกว่าตกลูก บ้างบอกว่าข่าวลือทั้งเพ
ทุกอย่างมากระจ่างชัดในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น เมื่อคุณครูใหญ่ประกาศว่าครูเอมประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตจริงๆ เสียชีวิตทั้งแม่และลูกในบ้านพักครู หากจะพูดแบบชาวบ้านคือ ‘ตายทั้งกลม’ นั่นเอง
ทุกคนที่ทราบข่าวต่างเสียใจกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของคุณครูเอม
เอาล่ะ เกริ่นกันมาหลายบรรทัด ต่อไปจะเริ่มเข้าสู่โหมดโรแมนติก คอมเมดี้สักที…
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน กลุ่มครูโดยเฉพาะสุภาพสตรีเริ่มจับกลุ่มวิพากษ์กันอย่างออกรส หัวข้อหลักเป็นเรื่องอื่นไปไม่ได้ นอกจากเรื่องครูเอม
คุณครูท่านหนึ่งพูดนัยว่ารู้อะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ซึ่งชวนให้ผวากันทั้งโรงเรียนว่า “เชื่อพี่งานนี้เฮี้ยนแน่นอน”
เรื่องแบบนี้ปิดไม่มิดครับ สุดท้ายมันก็รั่วออกมาจนถึงหูเด็กๆ จนได้ น้องๆ อนุบาลถึง ป. 3 อาจจะไม่เท่าไหร่ เพราะยังไม่ประสีประสา
แต่เด็กโต ป. 4-5-6 จิ้งจกยัดไส้ ที่พอเข้าใจความหมายของคำว่า ‘เฮี้ยน’ นี่สิ กระพือข่าวไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่งลาเวนเดอร์
ภายในเย็นวันเดียวกันจากเรื่องที่ซุบซิบในหมู่ครู เฉพาะภายในรั้วโรงเรียน กระจายไปสู่ผู้ปกครองอย่างรวดเร็ว
ตัดฉับไปวันรุ่งขึ้น ซึ่งนับเป็นวันที่สองของการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของครูเอม ยังคงมีคนซุบซิบกันต่างๆ นาๆ หนักเข้าจนถึงภารโรงสูงวัยชื่อ
ตาเปีย ซึ่งกินนอนอยู่ในโรงเรียนมานาน บารมีเยอะพอตัว พอเห็นเด็กซุกซนไม่พอใจเข้าหน่อยแกชอบขู่เด็กๆ ว่า
“ซนกันเข้าไปเถอะ ประเดี๋ยวครูเอมจะมาหลอกเอา”
คำขู่เริ่มกระฉ่อนไปในวงกว้าง จนเด็กต่างพากันหวาดกลัวกันไปหมด ช่วงพักกลางวัน จะไม่มีเด็กคนใดนั่งเล่นกันในห้องอย่างเคย
พากันออกมาอยู่กลางแจ้งตามสนามเด็กเล่น สนามฟุตบอลกันหมด เนื่องจากกลัวคำขู่ของภารโรงเฒ่า ห้องที่เคยมีนักเรียนหญิง
จับกลุ่มคุยบ้าง เล่นบ้าง กลายเป็นว่างเปล่า
ส่วนช่วงชั่วโมงภาษาอังกฤษ จะกลายเป็น 'Happy hour' ของเด็กๆ เพราะไม่มีการสอน ครูบุญก็ยุ่งกับการจัดเตรียมงานศพของภรรยา
ดังนั้นกลายเป็นว่าชั่วโมงภาษาอังกฤษจะมีครูท่านอื่น ให้การบ้านเป็นการฝึกคัดลายมือภาษาไทยไปแทน
วันถัดมาซึ่งเป็นวันที่สามที่ครูเอมเสียชีวิต จิตปรุงแต่งจนรู้สึกว่าบรรยากาศภายในโรงเรียนดูวังเวงพิกล แสงแดดช่วงสิบโมงดูเหมือนฉาบไปความความขมุกขมัวจนดูเหมือนโทนซีเปียไปซะอย่างนั้น และวันนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นภายในรั้วโรงเรียนต่อเนื่องไปอีกหลายวัน
เริ่มจากช่วงสาย มีเด็กนักเรียนหญิงคุยในหมู่เพื่อนว่า เห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดกระโปรงสีขาวพลิ้วๆ แถวห้องน้ำหญิง
ข่าวลือช่วงสายวันนั้นแรงมาก มีเด็กนักเรียนหญิงมากกว่าหนึ่งพูดตรงกันว่าเจอผู้หญิงเดินเข้าๆ ออกๆ ห้องน้ำ แต่ไม่เห็นหน้า
เห็นแค่ชายกระโปรงลับไปตามซอกมุมหรือผลุบเข้าไปในห้องน้ำ ลือหนักจนถึงขั้นที่ว่าครูใหญ่ต้องสั่งให้ตาเปียไปปิดห้องน้ำหญิง
ในส่วนนั้นชั่วคราว ใส่กุญแจ ห้ามเด็กเข้าใช้ กลายเป็นว่าโซนห้องน้ำหญิงกลายเป็นพื้นที่เปลี่ยวที่ไม่มีเด็กคนใดเฉียดเข้าไปใกล้
บ่ายวันเดียวกันเมื่อชั่วโมงภาษาอังกฤษขาดคนสอน เด็กผู้ชาย ป. 6 แสนคะนองที่ไม่มีเรียนจึงออกมาเล่นและเมื่อได้ยินข่าว
ก็จับกลุ่มกันได้สักสิบคน ดอดไปซุ่มดูห้องน้ำหญิงที่ถูกปิดชั่วคราว นั่งดูกันนานสองนาน ไม่มีเหตุผิดปกติ จนใกล้เลิกเรียนนั่นล่ะ
จะเลี้ยงแกะกันรึเปล่ามีแต่เจ้าตัวที่รู้ แต่เด็กผู้ชายกลุ่มดังกล่าว อยู่ๆ ก็วิ่งกรูฝุ่นตลบ ผ่านห้องเรียนของนักเรียนชั้นอื่นๆ ที่เปิดโล่ง
ร้องเอ็ดตะโรเสียงดังว่า 'ผีครูเอมอยู่ในห้องน้ำ'
เสียงโหวกเหวกดังลั่นไปหมด เท่านั้นล่ะ เหล่าครูที่กำลังมีสอนอยู่วิ่งออกมาเอ็ดเด็กกลุ่มนั้นยกใหญ่ โดนหวดกันไปคนละทีสองที
แจ้นกลับห้องแทบไม่ทัน หลังจากวันนั้น หลายคนรู้สึกว่าบรรยากาศภายในโรงเรียนดูเปลี่ยนไปจริงๆ เหมือนอบอวลไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง
รู้สึกขนลุกขนพองโดยไม่มีสาเหตุ ภายในห้องเรียนวังเวงไปหมด หลายคนคงเคยสัมผัสความรู้สึกเช่นนี้ คือไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ชัดเจน
แค่รู้สึกว่าแม้กระทั่งแสงแดดเปรี้ยงยังดูแสนอึมครึม
หลังจากวันที่เกิดเรื่อง ปรากฏว่าสองโมงครึ่งฟ้าแจ้งจางปาง ผู้ปกครองนักเรียนก็มายืนออรอเต็มสนามเด็กเล่น เพื่อรอรับบุตรหลานกลับบ้าน
รถรับส่งประจำทางก็เข้าคิวกันอย่างรีบร้อน เพราะหวาดกลัวข่าวลือวิญญาณผีตายทั้งกลม พอเลิกเรียนสามโมงปุ๊บ ไม่ถึงสามโมงครึ่ง
โรงเรียนกลายเป็นดินแดนเปลี่ยนร้างของสม็อคไปเลย คือเงียบมาก ไม่มีเด็กคนใดอยู่เล่นบอล เล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นแม้แต่คนเดียว
อย่าว่าแต่เด็ก คุณครูก็เผ่นกลับบ้านเรียบวุธ งดกิจกรรมหลังเลิกเรียนทุกชนิด เด็กคนใดไม่มีผู้ปกครองมารับ ไม่มีรถรับส่ง
จะรีบเดินเรียงแถวยาวเหยียดหลายสิบคนโดยมีครูนำขบวน
ด้านล่างเป็นภาพประกอบ โซนห้องเรียนของนักเรียน ป.5-6 / ห้องน้ำหญิงที่ร่ำลือกันสนั่นรั้วโรงเรียน อยู่บนซ้าย
วันถัดมา เป็นวันที่ต้องจดจำว่าสร้างความฉงนผสมหวาดกลัวให้เด็กนักเรียนเป็นอย่างยิ่ง เริ่มจากช่วงพักกลางวัน เด็กป. 6
ที่บอกว่าเจอบางสิ่งในห้องน้ำ มาจับกลุ่มกันที่โต๊ะอาหาร เล่ากันเป็นฉากๆ ถึงเรื่องที่เกิดบ่ายวานนี้ ว่าในขณะที่กำลังจับตาดูห้องน้ำหญิง
ที่งดใช้บริการ พวกเขาได้ยินเสียง ‘ต๊อกแต๊ก’ ดังอยู่ด้านใน ถัดมาได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำ จึงพากันถอยมาตั้งหลัก
ระหว่างที่กำลังสองจิตสองใจว่าจะเผ่นดีหรือไม่ ก็เห็นมือขาวซีดจับที่ระแนงไม้แนวตั้งเป็นซี่ๆ ซึ่งกั้นระหว่างผนังกับหลังคา มีเสียงครูดยาว
เหมือนอะไรบางอย่างเสียดสีกับไม้ ถัดจากนั้นกลุ่มเด็กน้อยซึ่งไม่มีใครรู้ว่าพูดเรื่องจริงหรือไม่บอกว่าเห็นตาเรียวเล็กของใครคนหนึ่ง
โผล่อยู่ในความมืดระหว่างซี่ระแนงไม้ เท่านั้นก็เพียงพอให้ทุกคนกลับหลังหัน เผ่นแน่บไม่คิดชีวิต ปากก็ร้องตะโกนว่า
'ผีครูเอมอยู่ในห้องน้ำ' ดังที่ได้เกริ่นไปเมื่อข้างต้น
เรื่องเล่าชวนเขย่าขวัญทำให้เด็กๆ กลัวกันมากไม่กล้ามองห้องน้ำหญิง กลัวกันแค่ไหนล่ะ? ก็ถึงขนาดที่คุณครูต้องลงทุนปิดประตูห้องเรียน
ฝั่งซ้ายตามภาพด้านบน
ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน อากาศมืดครึ้มทั้งที่ไม่มีเมฆฝน ลมเย็นพัดผ่านจนรู้สึกสั่นสะท้าน เสียงใบไม้จากข้างห้องเรียนตีสะบัดชวนให้ยิ่งวังเวง
ด้วยสภาพกลอนที่เก่าแก่ขึ้นสนิมเกรอะกรัง ล็อคไม่สู้จะอยู่ ทำให้ประตูไม้อายุหลายสิบปีถูกลมพัดกระแทกกับวงกบส่งเสียงดังเป็นระยะ
จนครูผู้สอนรู้สึกระอาจึงให้เปิดประตูทุกห้อง แล้วกลับไปยืนสอนตามเดิม ทำให้ไม่มีผู้ใหญ่เห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่คนเดียว
มีแต่สายตาเกือบ 30 คู่ของเด็กน้อย ป.4-5-6 จิ้งจกยัดไส้ที่นั่งฝั่งซ้ายมือในภาพเห็นเหตุการณ์ชวนฉงนสนเท่ห์ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเรื่องลี้ลับ
หรือเพราะใครอุตริเล่นพิเรนก็ไม่อาจทราบได้
หลังจากที่เปิดประตูทุกห้องเพียงไม่นาน ก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น มีเสียงเหมือนคนเดินดัง ‘ต๊อกแต๊ก’ ลอยตามลม ครูผู้สอนอาจจะไม่ทราบ แต่เด็กที่นั่งด้านข้างพากันจับตามองไปที่ห้องน้ำหญิงกันเกือบทุกคน บางคนอยู่ใกล้ได้ยินชัดเต็มสองหู ก็ชะเง้อชะแง้โผล่หัว
ออกมานอกห้องเรียนทีละคนสองคน คนใดอยู่ไกลเข้าหน่อยอาจไม่ได้ยินเสียงรองเท้าลงส้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่เห็นเหมือนกันหมดคือ
บริเวณระแนงไม้ห้องน้ำหญิงที่ด้านในมีแต่ความมืดมิด อยู่ๆ มีกระดาษทิชชู่หนึ่งม้วนถูกหย่อนออกมาจากด้านในห้องน้ำที่ถูกล็อค!?
ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้างตามแต่ตำแหน่งการนั่ง แต่บ่ายนั้นเด็กนักเรียนหลายคนขนลุกซู่กับภาพที่เห็นไปเรียบร้อย
กระดาษทิชชู่สีขาวสะอาดสะอ้านเตะตา ถูกหย่อนออกมาจากด้านในห้องน้ำ ผ่านระแนงไม้ ทิ้งตัวผ่านผนังและตกลงบนพื้น
มันกลิ้งไปเป็นเส้นตรงจนกระดาษหมด แกนกระดาษสีเทาหลุดออกจากม้วน ส่วนกระดาษทิชชู่ถูกลมพัดพลิ้วไหวท่ามกลางความตกตะลึงของเด็กๆ กระดาษสีขาวพลิ้วเอื่อยๆ ไปมาอยู่สักพัก จึงค่อยๆ ถูกดึงกลับเข้าไปในห้องน้ำ!?
จะเป็นอุบัติเหตุหรือใครคึกคะนองเล่นพิเรน ณ ตอนนั้นไม่ใครทราบ แต่ที่แน่ๆ เด็กๆ หลายคนฟันธงดังฉับตามประสาเด็กน้อยเรียบร้อยว่า
‘ครูเอมมาแล้ว’
เสียงฮือฮาดังระงมพร้อมกัน เสียงโต๊ะเก้าอี้ครูดไปกับพื้น เด็กหลายคนผงะกับภาพที่เห็น พากันออกมานอกห้องเรียน
จนครูประจำชั้นต้องออกมาถามว่าเกิดอะไรกันขึ้น เด็กขึ้นหนึ่งพูดทันทีเลยว่า
“ผีครูเอมปาทิชชู่ออกมาจากในห้องน้ำ”
แน่นอนว่าครูย่อมต้องพูดว่าเด็กโกหก ตาฝาด แต่หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวว่าเห็นเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
เดือดร้อนต้องไปตามตาเปียซึ่งกำลังนอนพักในช่วงบ่ายมาเปิดห้องน้ำพิสูจน์ให้จะแจ้งกันไปเลย แกดูหงุดหงิดเล็กน้อยที่ถูกกวนใจ
ปลดล็อคไปบ่นไปไม่หยุด และภาพที่ปรากฏสร้างความแปลกใจให้แก่สายตาครูและภารโรงขี้ยัวะเป็นอย่างมาก เพราะภายในห้องน้ำห้องหนึ่ง
มีกระดาษทิชชู่กองใหญ่ทิ้งอยู่บนพื้น
ตาเปียดูไม่เชื่อ คิดว่ามีเด็กซุกซนที่ไหนมาเล่นอุตริแบบนี้ ส่วนครูก็เอาแต่อึกอักพูดอะไรไม่ออก ใจน่ะคงเชื่อบ้าง
แต่ด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิจำต้องสงวนท่าทีไว้ และบอกว่าไม่มีอะไร สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปิดประตูล็อคห้องน้ำตามเดิม
ตาเปียโชว์ให้ครูดูว่าแกใส่แม่กุญแจเรียบร้อยแล้วนะ หลังจากเด็กทยอยกลับห้องเรียน แกก็บ่นกระปิดกระปอยกับครูไปตามประสาว่า
ผีเพ่อมีจริงที่ไหน ถ้ามีจริงก็ออกมาให้ดูหน่อย พ่อจะขอแม่นๆ สักสามตัวตรงๆ
คล้ายบ่าย ผู้ปกครองแห่กันมารับบุตรหลานกันแต่หัววัน ข่าวลือเรื่องผีตายทั้งกลมสร้างความหวาดกลัวให้แม้กระทั่งผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ
ส่วนทางคณะครูเริ่มปรึกษาว่าจะทำอย่างไรกันดี เพราะเด็กๆ เริ่มงอแงว่ากลัว ไม่อยากมาเรียน สุดท้ายลงความเห็นกันว่า
จะนิมนต์พระมาทำบุญโรงเรียนเป็นวิธีที่ดีที่สุด
(ส่วนต่อไปนี้ ขอเล่าต่อเนื่องไปเลยเพื่ออรรถรส แต่ความจริงเรื่องมาแดงเอาตอนรุ่งเช้าอีกวัน)
เย็นวันพฤหัสบดี หลังจากผู้ปกครองพาบุตรหลานกลับบ้าน คณะครูประชุมกันเรียบร้อย ทุกคนต่างทยอยกันกลับบ้านตามปกติ
เหลือเพียงหนึ่งเดียวคือชายสูงวัย คือตาเปีย ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากจนไม่เชื่อเรื่องผีนางนางไม้ใดๆ ทั้งสิ้น
แกมีบ้านพักเล็กๆ อยู่ในอาณาบริเวณโรงเรียน ช่วงกลางวันเป็นภารโรงตกกลางคืนพ่วงตำแหน่ง รปภ. ไปด้วย
หลังจากทุกคนกลับหมดแล้ว ตาเปียทำหน้าที่อย่างทุกวัน คือไปปิดรั้วโรงเรียน ดูก๊อกน้ำและไฟฟ้าว่ามีเปิดทิ้งให้เปลืองทรัพยากรหรือไม่
พร้อมตรวจเช็คประตูหน้าต่างห้องเรียนต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ครูจะสั่งให้นักเรียนปิดก่อนกลับอยู่แล้ว ฉะนั้นตาเปียแค่เพียงตรวจตราเท่านั้น
หลังจากดูในส่วนเด็กเล็กเรียบร้อย จึงตรงไปอาคารของนักเรียน ป. 2-4 ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้น อยู่ห่างจากอาคารป. 5-6 เล็กน้อย
(เยื้องไปด้านบนในภาพ แต่ไม่เห็น) อาคารดังกล่าวเป็นอาคารไม้ทั้งหลัง เวลาเดินจะมีเสียง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ดังบ้างประปรายตามสภาพ
เช่นบันไดบางขั้น ระเบียงบางจุด
หลังจากดูชั้นล่างเรียบร้อย จึงเดินขึ้นไปชั้นบน ผ่านบันไดขั้นหนึ่ง เสียงลั่นดัง ‘เอี๊ยด’
ตาเปียคิดไว้ว่าจะมาซ่อมแซมเมื่อมีเวลาว่าง ภารโรงสูงวัย เดินขึ้นมาถึงระเบียงชั้น 2 ชั้นบนจะมีห้องเรียนประมาณ 5 ห้อง
ด้านหน้าเป็นระเบียงยาวมีระแนงไม้กั้น เลยไปเป็นเสาธงและสนามฟุตบอล
เมื่อเดินไปถึงกึ่งกลาง แกได้ยินเสียง ‘เอี๊ยดด’ ดังมาจากด้านหลัง จึงหันกลับไปมอง แน่นอนว่ามันว่างเปล่า
มีเพียงสายลมปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาวพัดมากระทบให้สั่นสะท้านก็เท่านั้น แกสู้อุตส่าห์เดินย้อนกลับไปดูด้วยความสงสัย
นึกว่าอาจจะมีครูท่านใดยังไม่ได้กลับ แต่ก็ไม่พบใคร...
หลังจากตรวจตราชั้นบนเสร็จเรียบร้อย ตาเปียยืนพักเหนื่อยตรงระเบียง สายตามองกวาดเรื่อยๆ มองหาเพื่อนสี่ขา ซึ่งปกติช่วงเย็นย่ำ
จะมีหมาน้อยวิ่งเล่น ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกัดกันจอแจเป็นประจำ บางครั้งมันจะเดินขนาบตาเปียในระหว่างที่กำลังตรวจเช็คความเรียบร้อย
แต่วันนี้หลบลี้หนีหน้ากันไปหมด ตาเปียบ่นเบาๆ ในใจ
“หมา แมวมันหายไปไหนหมดล่ะเนี่ย?”
ชั้นบนอาคารไม้เป็นจุดที่มองเห็นอาณาบริเวณได้กว้างขวาง แกเพ่งหาเพื่อนซี้สี่ขาต่อไป ทางซ้ายซึ่งเป็นสนามฟุตบอลไร้วี่แววสิ่งมีชีวิต
จึงมองไปด้านขวาเป็นสนามเด็กเล่น ถัดไปเป็นอาคารเรียนชั้นเดียวของนักเรียน ป.5-6 (ตามผังด้านบน)
ตาเปียไม่เห็นหมา แต่แกดันเห็นเงาคนสวมชุดพลิ้วๆ เดินหายเข้าไปในห้องเรียนห้องหนึ่ง ณ ตอนนั้นไม่มีสักเศษส่วนเสี้ยว
ที่จะคิดอะไรในแง่ลบ แกยังคิดว่าเป็นครูคนใดคนหนึ่งที่ยังไม่กลับบ้าน ตาเปียรีบเดินลงมาชั้นล่าง ผ่านห้องอาหาร ห้องพักครู
และผ่านห้องน้ำหญิง...
ขนตาเปียลุกวาบขึ้นมาทันที แกเหลือบไปมองทางเข้าห้องน้ำหญิง ด้านในเริ่มมืดจนมองอะไรไม่เห็น มีเพียงแสงอาทิตย์เฮือกสุดท้าย
ทาบอยู่บนผนังปูนด้านในสุดเท่านั้น ตาเปียไม่สนใจ เดินปรี่มุ่งไปยังห้องเรียนสุดท้ายที่เขาเห็นใครบางคนเดินเข้าไป
ประตู หน้าต่างห้องเรียนอื่นๆ ปิดสนิทเช่นทุกวัน มีเพียงห้องหนึ่ง ที่ประตูเปิดอ้าอยู่หนึ่งบาน ตาเปียเดินอยู่บนทางเท้า
ปากก็เรียกไปเรื่อย
“นั่นใคร ครูแหวน (นามสมมุติ) รึเปล่า? เย็นขนาดนี้ยังไม่กลับบ้านเหรอ”
เงียบ... ไม่มีเสียงใดตอบกลับ
“ครูแหวนรึเปล่าครับ” แกเรียกซ้ำอีกครั้ง ยังมีมีใครตอบกลับ
เมื่อเดินไปถึงห้องนั้น ด้านในก็มืดทึบ ตาเปียซึ่งหวังว่ามีใครอยู่ในนั้นกลับไม่พบเงาใครสักคน มีแต่โต๊ะ เก้าอี้ วางเป็นระเบียบเท่านั้น
ความรู้สึกช้าแค่ไหนก็ต้องมีหนาวบ้างล่ะคราวนี้ พยายามคิดในแง่ดีว่า ใครสักคนที่แกเห็นคงเดินสวนออกไปแล้วในระหว่างที่แกกำลังเดินมา
ตาเปียเอื้อมมือไปปิดประตูช้าๆ จากนั้นรีบซอยเท้ากลับบ้านพักอย่างรวดเร็ว แต่เสียงบางอย่างทำให้ภารโรงสูงวัยจำต้องชะงัก
อันที่จริงบอกว่าก้าวไม่ออกคงเหมาะกว่า แกได้ยินเสียงเสียดสีอะไรบางอย่างดังมาจากห้องเรียนที่เพิ่งปิดประตูไปเมื่อสักครู่
มันเป็นเสียงคล้ายชอล์คฝนลงบนกระดานดำ…
ขณะนั้นแสงสุดท้ายกำลังลับขอบฟ้า ไร้เสียงนก หรือสัตว์เลี้ยงคู่ใจ มีเพียงเสียงลมกับเสียง ‘ครืดคราด’ เสมือนชอล์คฝนกระดานดังแว่วอยู่
ตาเปียขนลุกซู่ ใจน่ะอยากจะเผ่น แต่ความอยากรู้อยากเห็นทำให้หันกลับไปมอง เขาเห็นประตูที่เพิ่งปิดไปเมื่อตะกี้ ค่อยๆ เปิดออกอีกครั้ง
‘แอ๊ดดดดด’ ตาเปียผงะถอยหลัง ใจเต้นรัวยิ่งกว่ากลองเพล พยายามคิดในแง่ดีว่าเพราะกลอนประตูไม่ดี โดนลมเข้าหน่อยก็เปิดออก
แต่ครั้นจะเดินเข้าไปปิดอีกรอบก็ไม่กล้าพอ แกหันหลังเตรียมวิ่งกลับบ้านพัก แต่ยังไม่ทันก้าวเท้ากลับมีอีกเสียงดังขึ้น
และครั้งนี้มันทำให้ตาเปียแทบล้มทั้งยืน เสียงที่ดังแว่วมานั้นเป็นเสียงผู้หญิง โหยหวนชวนผวาว่า
“I’m fine, thank you."
ฟังเหมือนขำ... แต่คนที่ได้ยินขำไม่ออก ช็อคตาตั้ง ขนลุกพรึ่บตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่รีรอฟังประโยคต่อไป ว่าจะมีใคร Thank you teacher รึเปล่า
หันหลังได้ก็จ้ำอ้าว พอวิ่งไปถึงหน้าสหกรณ์ กำลังจะเลี้ยวเข้าทางเดินมืดๆ ระหว่างห้องน้ำหญิงกับสหกรณ์ แกได้ยินเสียง
‘ต๊อกแต๊กๆ’ ดังมาจากห้องน้ำหญิงอีกรอบ คราวนี้มีแรงเท่าไหร่ใส่ลงไปที่เท้าทั้งหมด
โกยแน่บไม่คิดชีวิตเผ่นออกจากโรงเรียนทางประตูเล็กในหัวค่ำวันเดียวกัน...
เช้าวันถัดมา ผู้ปกครองมาส่งบุตรหลานเช่นเคย ปรากฏว่ายืนออรอกันอยู่หน้าโรงเรียน เพราะประตูใหญ่ล็อค ไม่มีคนเปิด
ต่างพากันงง จนมีครูท่านหนึ่งมาถึง สอบถามกันไปมา ผู้ปกครองบอกว่าเข้าไม่ได้ รั้วล็อคกุญแจ
ต้องรอจนกันอยู่นานกว่าครูอีกท่านที่มีกุญแจสำรองมาเปิดให้ พอเข้าไปในโรงเรียนต้องพบกับความว่างเปล่า
ตาเปียซึ่งควรกวาดสนามอย่างเคยกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เกิดความโกลาหลขึ้น เพราะที่บ้านพักก็ไร้เงาของภารโรง จนครูใหญ่บอกว่าถ้าภายในวันนี้ไม่เจอตาเปีย จะไปแจ้งความ
เรื่องมาแดงเอาตอนเที่ยงๆ เมื่อตาเปียขับมอเตอร์ไซค์เก่าๆ มาที่โรงเรียน ผมสั้นของแกชี้โด่เด่ ปรี่เข้าไปคุยกับครูใหญ่และครูท่านอื่นๆ
สาธยายละเอียดยิบว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเจออะไร จะมีตีไข่ใส่สีบ้างรึเปล่าก็ไม่ทราบ และวันนั้นเรื่องสยองขวัญจากปากภารโรง
กลายเป็นหัวข้อสนทนาของทุกคนไปโดยปริยาย ตาเปียขอลากลับบ้านทันที ส่วนกลุ่มนักเรียนทะโมนก็กลายร่างเป็นโคนันคุง
พยายามสืบเสาะว่าห้องเรียนที่ว่าคือห้องใดกันแน่ บ้างก็ว่าห้องสุดท้าย เพราะมีรอยขีดเขียนบนกระดานดำตั้งแต่เช้า
บ้างก็ว่าห้องรองสุดท้ายเพราะประตูเปิดอ้าอยู่ แต่คนที่รู้พิกัดดีที่สุดคือมีแต่ตาเปียซึ่งลากลับบ้านไปแล้ว
หลังจากเกิดเรื่องติดกันตลอดสัปดาห์ ในที่สุดวันรุ่งขึ้นทางโรงเรียนนิมนต์พระมาทำบุญเป็นการด่วน เมื่อพระเข้ามาในอาณาเขตโรงเรียน
หลวงตารูปหนึ่งได้เข้าไปพูดกับครูใหญ่ ซึ่งมีเพียงครูใหญ่เท่านั้นที่ทราบว่าหลวงตาพูดอะไร แต่มิวายมีครูท่านอื่นๆ บอกว่าแอบได้ยินมา
ร่ำลือกันไปต่างๆ นาๆ หลวงตาท่านพูดว่า ‘แรงนะ’
เหตุการณ์ช่วงทำพิธี ยังกับละครหลังข่าว ฟ้ามืดครึ้ม ลมกรรโชกแรงตลอดช่วงที่พระภิกษุสวดพระคาถาต่างๆ
ท่ามกลางความอกสั่นขวัญหายของครู นักเรียนและผู้ปกครองที่เป็นห่วงลูกหลาน เสียงลมที่ครางตลอด ทำให้บางคนบอกว่า
ได้ยินเสียงผู้หญิงสะอื้นแว่วมา บ้างก็ว่าได้ยินเสียงคนบ่นพึมพำเป็นภาษาอังกฤษ แต่ไม่มีใครแน่ใจว่าหูฝาดเพราะได้ยินเสียงลม
เป็นเสียงอย่างอื่นหรือไม่ สุดท้ายหลังจากบทกรวดน้ำ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ยังกับละครก่อนข่าวอีกครั้ง ลมที่กรรโชกอยู่ก็อ่อนแรงลง
ฟ้าที่เคยครึ้มก็ค่อยๆ เปิดรับแสงตะวันอย่างน่าแปลกใจแก่ทุกคน
หลังจากวันนั้นทุกอย่างดูคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ไม่มีใครพบเห็นหรือได้ยินอะไรแปลกๆ อีกเลย
กลุ่มนักเรียนพยายามสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับตาเปีย แต่ตาเปียนิ่งเงียบไม่เล่าอะไรให้เด็กฟัง ไม่มีท่าทีอวดเบ่งอย่างเคย
แกพยายามเลี่ยงทุกครั้งที่มีคนพูดถึงเรื่องนี้
เรื่องก็จบลงที่ตรงนี้ ขอบคุณที่ติดตาม ฝันดีราตรีสวัสดิ์ครับ
Post a Comment