เรื่องสยองของยายเฟื้อง


      "เรื่องสยองของยายเฟื้อง" จากโดยคุณ Rhythm in the Air หรือ กฤตานนท์ และเป็นที่รู้จักในนาม ธี่หยด ในตำนาน "เรื่องสยองของยายเฟื้อง" อีกหนึ่งเรื่องสยองที่อยากให้ทุกคนได้สัมผัสศิลปะการเล่าของ  ธี่หยด ในตำนานขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องมาเล่าให้ฟังอีกเช่นเคย ขออนุญาตใช้พื้นที่พันทิป...

เรื่องนี้เป็นหนึ่งในวีรกรรมสุดห่ามของลุงยักษ์ จะว่าไปคงเป็นประสบการณ์ระทึกขวัญเรื่องท้ายๆ ของครอบครัวตัว ‘ย’
(จริงๆ ก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ครับ) ที่คนเล่ามาอีกต่อ บอกว่าจริงไม่จริงไม่รู้ ได้ยินมาอย่างไรก็เล่าต่อมาอย่างนั้น
เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นๆ ต้องขอนุญาตนำแก่นของเขามาแต่งเติมเพิ่มอรรถรส

เรื่องนี้มีอยู่ว่า...

ย้อนไปสักหลายสิบปี สมัยที่เรื่องลี้ลับยังเป็นของคู่กับคนไทย (อันที่จริงตอนนี้ก็ยังฝังรากลึกจนวิทยาศาสตร์ยังหักล้างไม่ได้ง่ายๆ)
ในหมู่บ้านที่สงบเงียบห่างไกลความเจริญแห่งหนึ่ง มีเรื่องเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ามีสิ่งลี้ลับออกอาละวาด
โพล้เพล้เข้าหน่อยชาวบ้านชาวช่องก็ตาลีตาเหลือกเข้าบ้านนอนกันหมด สมัยก่อนเป็นแบบนี้จริงๆ ครับ หมู่บ้านไหน ตำบลใดมีแว่วข่าวเรื่องผีสางนางไม้ หลัง 5 โมงเย็น ถนนหนทางก็แทบร้าง…

แต่เมื่อนานเข้าไม่มีสิ่งผิดปกติ วิถีชีวิตจึงจะค่อยๆ กลับมาเป็นปกติอย่างช้าๆ เรื่องเริ่มต้นที่ตรงนี้

ช่วงอากาศร้อนประมาณปลายพฤษภาคม บนถนนที่แสนเงียบเชียบมีรถมอเตอร์ไซค์ควบปุเลงๆ ทิ้งฝุ่นไว้เบื้องหลัง ใช่แล้ว
ไบเกอร์คนนั้นคือลุงยักษ์นั่นเอง ลุงยักษ์แวะไปเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่งชื่ออาสิงห์ (นามสมมุติ) ทั้งสองคนคุ้นเคยกันดีมาก
สนิทขนาดไปไหนไปกัน แค่มองตาก็รู้ใจกันเลย แต่น้อยครั้งนักที่ทั้งสองคนจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
นับครั้งได้เลยเชียว เพียงแต่ครั้งนี้เป็นหนึ่งในนั้น...

หลายวันก่อนน้องคนหนึ่งของลุงยักษ์เข้าเมือง และแวะไปเยี่ยมที่ค่าย หลังจากสอบถามสารทุกข์สุกดิบกันพอควรก็ยื่นกระดาษให้
มันเป็นจดหมายหนึ่งฉบับ น้องบอกสั้นๆ ว่า “เพื่อนเฮียฝากมาให้หลายวันแล้ว” สภาพจดหมายยับยู่ยี่ก็ว่าเลวร้ายเกินพอแล้ว
แต่ลายมือที่เขียนกลับทุเรศยิ่งกว่า หลังจากทนอ่านไปบ่นไปจนถึงสองบรรทัดสุดท้าย ลุงยักษ์แปลกใจเล็กน้อยกับเนื้อความในจดหมาย

“อีกนิดเว้ยเพื่อน... เมื่อไหร่จะว่าง แวะมาหาหน่อยสิ มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นกับญาติว่ะ
แต่ไม่อยากเล่าตอนนี้ เอาเป็นว่าสะดวกแล้วรีบมานะเว้ย ไม่สบายใจเลยว่ะ”

                                                                                                      ลงชื่อ... สิงห์

ลุงอ่านจบก็แปลกใจ อย่างที่เอ่ยไว้ด้านบน น้อยครั้งนักที่ทั้ง 2 คนจะเอ่ยปากความขอช่วยเหลือ แต่ลุงยักษ์ไม่ได้สนใจอะไรมาก
เกือบลืมอีกต่างหาก ต้องรออีกหลายวันนั่นล่ะ กว่าจะมีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมเพื่อน ลุงแว๊นซ์มอเตอร์ไซค์คู่ชีพบ่ายหน้าไปยังบ้านเพื่อน
ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านตนเองไกลลิบลิ่ว กว่าจะไปถึงก็โพล้เพล้เต็มทน

ทันทีที่ไปถึงอาสิงห์ก็เปิดประตูพรวดออกมา ยิ้มแป้นแล้น เรียกลุงยักษ์เข้าไปในบ้านของเขา
ในบ้านมีพ่อกับแม่และก็แฟนอาสิงห์อีกคนสมมุติชื่อส้ม ทุกคนทักทายเซเลปประจำตำบลอย่างเป็นกันเอง
แต่ในความเป็นกันเองมีร่องรอยของความกังวลเจืออยู่ แม้แต่คนที่มีความรู้สึกช้ายิ่งกว่าตัวสล็อตแบบลุงยักษ์ยังจับสัมผัสนั้นได้

หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ ลุงกับเพื่อนเดินออกมาด้านนอกคุยกันเรื่อยเปื่อย สอบถามเรื่องอนาคตของเพื่อนซี้
อาสิงห์บอกว่ากำลังหาช่องทางไปขายของในเมือง ทั้งสองคนยืนคุยกันอยู่พัก น้าส้มก็เดินมาตาม บอกว่าเย็นมากแล้วจะกลับบ้านให้อาสิงห์ไปส่ง อาสิงห์จึงขอตัวไปส่งแฟนสักครู่ และถามว่าเพื่อนซี้ว่าจะกลับบ้านหรือนอนค้างที่นี่ แน่นอนว่าลุงยักษ์ไม่คิดจะกลับบ้านวันนี้
เขาเบื่อที่จะต้องกลับไปฟังคำบ่นของผู้เป็นพ่อ ที่สำคัญยังมีเรื่องบางอย่างที่เพื่อนซี้ยังไม่ได้เล่าให้ฟัง
แหม... อุตส่าห์ถ่อมาตั้งไกล จะให้กลับไปทั้งที่ไม่รู้อะไรก็ใช่ที่...

แม่ของอาสิงห์จัดที่หลับที่นอนให้ลุงยักษ์นอนบนแคร่ข้างประตู ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามานอนที่นี่ คิดๆ ไปก็ชั่งใจไม่น้อย
อุตส่าห์ได้มีโอกาสกลับบ้าน ดันแวะมาค้างคืนบ้านเพื่อนแทนที่จะกลับไปหาพ่อแม่และน้องๆ ก่อน ลุงยักษ์นั่งๆ นอนๆ อยู่ครู่
อาสิงห์ก็กลับมา ส่งเสียงเรียก ลุงยักษ์ก็ลุกออกมาจากที่นอน พูดจาภาษาดอกไม้กันอยู่สักพัก ก็เริ่มหงุดหงิด
และถามว่าที่เรียกมาเนี่ยมีเรื่องอะไร อาสิงห์ได้ยินก็มองซ้ายมองขวา พูดพึมพำกับตัวเองว่า มืดแล้วจะพูดดีเปล่าวะ
ลุงยักษ์ถามเพื่อนทันทีว่ามีเรื่องอะไรกันแน่ให้รีบพูดมาภายใน 3 วิฯ อาสิงห์ถอนหายใจยาวชวนให้เดินไปข้างนอก
เมื่อออกมานอกชายคาบ้าน อาสิงห์จึงพูดว่า

“เชื่อเรื่องผีมั้ยวะ?”

ลุงยักษ์ได้ฟัง ก็ขำแล้วบ่นเพื่อนไปชุดใหญ่ว่าพูดเรื่องอะไร ไร้สาระ อาสิงห์ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเล่าว่าเรื่องแปลกๆ ที่บอกในจดหมาย
ก็คือเรื่องนี้ล่ะ ไม่ได้เกิดที่นี่ แต่เกิดที่บ้านแฟน มีอะไรบางอย่างชอบไปป้วนเปี้ยนแถวบ้านน้าส้มตอนดึกๆ
ลุงยักษ์ถามกลับว่าเรื่องแปลกๆ ที่พูดถึงคืออะไร อาสิงห์อ้ำอึ้งตอบกลับมาแค่

“กรูก็ไม่รู้ แต่ชาวบ้านลือว่าเป็นกระสือ”

ลุงยักษ์ได้ยินก็หัวเราะตามประสาคนไม่เชื่อ แล้วเดินกลับเข้าบ้าน อาสิงห์เห็นก็ร้องทักถามว่าง่วงแล้วเหรอ ลุงยักษ์หันไปส่ายหน้า
“เปล่า จะไปเอากุญแจรถ กลับไปนอนบ้านดีกว่า ไร้สาระชิบ”

เดือดร้อนอาสิงห์ต้องขุดหาสารพัดเหตุผลมาโน้มน้าวให้เพื่อนซี้ยอมนั่งฟัง สัญญาว่าจะจัดให้ 2 ซองลุงยักษ์จึงยอมนั่งเจี๋ยมเจี่ยมฟังต่อ
อาสิงห์เล่าว่า อาทิตย์ที่ผ่านมา แม่น้าส้มเพิ่งคลอดลูกหลงมาคน ห่างจากน้าส้มเกือบยี่สิบปี ซึ่งอาสิงห์รวมถึงแม่น้าส้มคิดว่าทารกแรกเกิดคนนี้ล่ะ
เป็นจุดเริ่มต้นความผิดปกติที่เกิดขึ้น เพราะหลังจากที่เด็กเกิดไม่นาน ตอนกลางดึกน้าส้มกับแม่มักจะได้ยินเสียงก๊อกแก๊กๆ
พร้อมกับเสียงเหมือนคนเคี้ยวหมากดัง แจ๊บๆ รอบบ้านเกือบทุกคืน น้าส้มอยู่ลำพังกับแม่แค่สองคน พ่อก็ไปทำงานต่างจังหวัด
บอกว่าตอนนี้นอนไม่ค่อยหลับ ขวัญผวาทุกคืน

ลุงยักษ์ที่นิ่งฟังมานาน ก็ถามกลับว่าแล้วทำไมไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนแฟน กลัวเหรอ อาสิงห์ตอบอ้อมแอ้มกลับว่ากลัวเป็นขี้ปากชาวบ้าน
ลุงยักษ์หัวเราะหึๆ ในลำคอแบบพระเอกหนังไทย เดินเข้าไปใกล้เพื่อนสนิท และเบิร์ดกระโหลกอาสิงห์หนึ่งที
อาสิงห์บ่นอุบ ถามว่าตบทำไม

“ตบกบาลพวกใจปลาซิวไง มีอะไรมั้ย แกนี่ก็แปลกนะ ห่วงความรู้สึกชาวบ้านชาวช่องมากกว่าเมียตัวเองได้ไงวะ
เขากำลังกลัวอยู่ทำไมไม่ไปอยู่เป็นเพื่อน หอกหักเอ้ย” ลุงซัดชุดใหญ่ อาสิงห์ได้ฟังคงรู้สึกละอายอยู่บ้าง
ลุงยักษ์อบรมเพื่อนจบ ก็เดินเข้าไปหยิบกุญแจมอเตอร์ไซค์ที่ซุกไว้ใต้หมอน อาสิงห์เห็นเลยถามอีกครั้งว่าจะกลับบ้านเหรอ
ลุงยักษ์ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์และตอบ “เปล่า ไปบ้านส้ม แกด้วย ให้ไวเลย”

อาสิงห์ได้ยินก็อึ้งอยู่พัก บอกให้ลุงยักษ์รอเดี๋ยวแล้ววิ่งกลับเข้าไปในบ้าน หยิบของใช้ส่วนตัวจากนั้นกระโดดขึ้นซ้อนท้าย
แล้วทั้งสองก็แว๊นซ์ออกไปอย่างรวดเร็ว

บ้านน้าส้มอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ประมาณ 4-5 กิโลเมตร แต่เป็น 4-5 กิโลที่กันดารมาก ถนนหนทางหรือก็ขรุขระ
กว่าจะไปถึงก็มืดค่ำ น้าส้มกับแม่แปลกใจที่จู่ๆ คู่หูดูโอ้ไปปรากฏตัวอยู่หน้าบ้าน ทั้งสองแก้ตัวน้ำขุ่นๆ จากนั้นก็ขอผ้าใบ เสื่อ มุ้ง
ไปกางนอนบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นไม้ แม่น้าส้มบอกให้เข้าไปนอนในบ้าน แต่ดูโอ้เลือกที่จะปฏิเสธ

ในคืนพักแรมนอกสถานที่ครั้งแรก สอง รปภ. จำเป็น ตกลงกันว่าจะนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะง่วง แต่พอลุงยักษ์หัวถึงหมอนก็กรนสนั่น
มารู้สึกตัวอีกทีตอนเช้ามืด เพราะอาสิงห์มาเขย่า ลุงยักษ์ตื่นมาเห็นน้าส้มและแม่น้าส้มที่อุ้มทารกน้อยอยู่ยืนมุงอยู่รอบตัว
ลุงจึงถามว่ามีอะไร แทนคำตอบ อาสิงห์เรียกให้ตามไปดูอะไรบางอย่าง

ระหว่างเดินอาสิงห์เล่าต่อว่า ความจริงเรื่องนี้มันเกิดขึ้นมานานมากแล้ว คนก็เอาไปพูดกันที่ร้านกาแฟ
ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้มอลล์หลักใจกลางหมู่บ้านนานเป็นเดือนๆ แต่ลุงยักษ์ก็ยังฝังหัวตอบไปว่า
"เห็นก็ยังไม่เคยเห็นกัน กลัวหัวหดกันทั้งตำบลซะละ"

อาสิงห์ส่ายหน้าพาเดินอ้อมไปอีกฟาก ยืนหยุดอยู่บริเวณราวตากผ้าทำจากไม้ไผ่ น้าส้มหน้าแดงเล็กน้อย หลีกทางให้คู่หูทั้งสอง
อาสิงห์จึงชี้ให้ลุงยักษ์ดูผ้าถุงที่ผึ่งอยู่บนราวตากผ้า สภาพยับเยินเหมือนไม่ได้ซักมาแรมปี ส่งกลิ่นเหม็นฉุนชวนแหวะ

“โห้ส้ม... เธอนี่สกปรกไม่เบานะ” ลุงยักษ์มองด้วยความระอา

เดือดร้อนอาสิงห์ต้องรีบแก้ตัวให้แฟน และเล่าว่าผ้าถุงผืนนี้เป็นของแม่น้าส้ม แต่ไม่ได้ใช้แล้ว แค่เอามาตากล่อไว้เท่านั้น
ลุงยักษ์ได้ฟังยิ่งเง็งหนักขึ้น
“ล่อ?... ล่ออะไรวะ” ลุงยักษ์หันไปมองน้าส้มกับอาสิงห์สลับไปมา
“ล่อกระสือว่ะ” อาสิงห์ตอบปุ๊บ ลุงยักษ์ขำพรืดออกมา หัวเราะกร๊าก ตอกกลับตามโพย
"แกจะบอกว่าที่สภาพผ้าถุงมันโสโครกขนาดนี้เพราะผีกระสือไปกินของเน่าของเสียเสร็จสมอารมณ์หมายเลยเอาปากมาเช็ดผ้าถุงใช่มั้ย?
ไอ้สันเขื่อน ฟังนิยายมากไปเปล่าวะ” ลุงยักษ์เหน็บเพื่อนซี้ชุดใหญ่ไฟกระพริบ

อาสิงห์พยักหน้าหน้าจ๋อย “เออ ก็ชาวบ้านเค้าเล่ากันมาแบบนี้”
ลุงยักษ์ถอนหายใจ “แล้วรู้ได้ไงว่าเป็นกระสือ มีคนแอบเห็นเหรอ”

น้าส้มจึงเล่าว่า ทุกครั้งหลังจากเกิดเรื่องในตอนกลางคืน ตอนเช้าๆ เสื้อผ้าชิ้นอื่นจะไม่เป็นไร แต่ผ้าถุงของแม่น้าส้มจะเปรอะเปื้อนสิ่งปฏิกูลบ้าง คราบเลือดบ้างทุกครั้ง น้าส้มบอกต่อว่า ตอนนี้แม่กลัวจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว มีความคิดจะหอบผ้าหอบผ่อนหนีไปพักที่บ้านญาติในเมืองชั่วคราว ติดก็แต่ลูกยังเล็กมาก พอดีอาสิงห์บอกว่าลุงยักษ์พอจะรู้จักคนเยอะจึงอยากปรึกษาก่อน

ลุงยักษ์ได้ฟังก็ถามกลับทันทีว่า ถ้าเป็นเรื่องจริง จะตากผ้าถุงยั่วมันเพื่อ? ทำไมไม่เก็บให้เกลี้ยง น้าส้มจึงพูดต่อว่า
ถ้าคืนไหนไม่มีผ้าถุงตากไว้ด้านนอก จะหนักกว่าเดิม มีเสียงครางในลำคอเหมือนคนไม่พอใจพร้อมลากเท้าไปมารอบบ้านตลอดทั้งคืนจนเกือบรุ่ง
ลุงยักษ์ฟัง ก็ได้แต่งงๆ กับตรรกะของผองเพื่อน คิดในใจ อ้าวกระสือมันลอยได้ไม่ใช่เหรอ มีเสียงลากเท้าได้ไง..
แล้วตอบกลับแบบขวานผ่าซากเหมือนเดิม

“อ่อ... ที่บอกว่าล่อ คือแบบนี้นี่เองใช่มั้ย เออ... ใจดีกันจังเว้ยต้องเตรียมผ้าเช็ดปากไว้ให้แขกหลังจาก ไปแ_กมื้อค่ำมาด้วยว่ะ”
อาสิงห์หน้าจ๋อยเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้ ถามลุงยักษ์ว่าหรือจะไปตามจ่านอกราชการที่ชื่อ หันๆ มาช่วยดีมั้ย
เห็นว่ารู้จักกับลุงยักษ์ ที่สำคัญชาวบ้านบอกว่ามีวิชงวิชา ลุงยักษ์ไม่พูดอะไร กวักมือขอบุหรี่หนึ่งมวน
อัดนิโคตินเข้าปอดหนึ่งรอบก่อนตอบ “ไม่ต้อง งานนี้กรูจัดการเอง”

ช่วงสายๆ ของวัน ดูโอ้ก็ขอตัวกลับ ลุงยักษ์แวะส่งอาสิงห์ที่บ้าน บอกให้เตรียมตัว ขอไปทำธุระสักพักเดี๋ยวบ่ายๆ กลับมารับ
จากนั้นก็บึ่งมอเตอร์ไซค์ด้วยความเร็วตรงไปบ้านของเพื่อนคนหนึ่ง ที่อยู่ห่างออกไปเกือบ 10 กิโลเมตร

เมื่อมาถึงผู้ชายวัยกลางคนที่เป็นเจ้าบ้านดูดีอกดีใจที่เซเลปประจำตำบลอย่างลุงยักษ์แวะเวียนมาหา
ทั้งสองทักทายอย่างคนคุ้นเคยตามประสาชายชาติทหารลุงยักษ์เกริ่นๆ ว่าเคยได้ยินเรื่องผีกระสือแถวนี้มั้ย
เจ้าบ้านบอกเคยได้ยินคนลือกันอยู่ แต่ไม่เคยมีใครเจอจริงๆ สักคน อย่างเก่งก็มีเป็ดไก่ตายอย่างประหลาดๆ อยู่บ้าง
แต่ก็ฟันธงไม่ได้ว่าใช่หรือไม่ คุยกันอยู่สักพัก ลุงยักษ์ก็ขอตัว แต่ก่อนไปสายโหดพวกเราก็พูดว่า

“ลุง... ขอยืมปืนกระบอกสิ”

หลังจากได้ไอเทมแล้ว ลุงยักษ์ก็แว๊นซ์มอเตอร์ไซค์ตรงไปยังจุดหมายต่อไป ซึ่งต้องขับย้อนข้ามหมู่บ้านไปไกลพอสมควร
บ้านนั้นเป็นบ้านหลังเล็กรอบๆ มีพืชผักสวนครัวปลูกไว้เต็มพื้นที่จนแน่นเอียด เสียงมอเตอร์ไซค์คันเก่าดึงให้ผู้ชายอายุมากกว่า
ลุงยักษ์สัก 5-6 ปีออกมาต้อนรับ

ลุงยักษ์ทักทายผู้ชายคนนั้นอย่างเป็นกันเอง (สมมุติชื่อลุงมิ่ง) สอบถามสารทุกข์สุกดิบ แต่ยังไม่ทันที่คู่สนทนาจะตอบอะไรสักคำ
ลุงยักษ์พูดต่อ ฟังดูเหมือนประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงมันประโยคคำสั่งชัดๆ
“วันนี้ว่างมั้ย ไปธุระด้วยกันหน่อย เดี๋ยวนี้เลย”

ลุงมิ่งงงๆ เง็งๆ แต่ก็ไม่ถามอะไรเพราะสนิทคุ้นเคยกันอยู่ หลังจากเข้าไปหยิบของก็กลับออกมากระโดดขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์
ตอนนั้นเป็นเวลาคล้อยบ่ายแล้ว ทั้งสองคนก็มุ่งกลับไปบ้านอาสิงห์อีกครั้ง เรียกว่าวนรอบหมู่บ้านเลยทีเดียวเชียวล่ะ
ราว 4 โมงทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านอาสิงห์

นอกจากลุงยักษ์ ทุกคนที่เหลือดูงงไปหมด นี่จะทำอะไรกัน จึงถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ขนาดพ่อกับแม่ของอาสิงห์ยังเดินเข้ามาถามว่า
ไปมีเรื่องต่อยตีกับใครหรือเปล่า ถึงรวมกลุ่มก๊วนกันแบบนี้ ก็ไม่แปลก เพราะคดีเก่าๆ ก็ชวนให้ผู้หลักผู้ใหญ่สงสัยอยู่

ลุงยักษ์บอกว่าไม่ได้ไปตีกับใคร จากนั้นชวนลุงมิ่งกับอาสิงห์ออกมาด้านนอก แล้วจึงบอกแผนการที่ด้นคนเดียว
เสร็จสรรพแบบไม่ปรึกษาใครเลย

“ฟังให้ดี พี่มิ่งแค่ชวนมาเป็นเพื่อนให้คนเยอะๆ จะได้อุ่นใจเท่านั้น ส่วนที่ถามว่าจะทำอะไร... คืนนี้พวกเราจะล่าท้าผี”
ลุงมิ่งอึ้งกิมกี่ ทวนประโยคนั้นในใจ 3 รอบ “คืนนี้พวกเราจะล่าท้าผี”... เราในที่นี้คือรวมกรูด้วย!!?

สนิทแค่ไหนก็ต้องซักแล้วล่ะ ลุงมิ่งถามว่าพูดเล่นใช่มั้ย ลุงยักษ์หัวเราะชอบอกชอบใจให้อาสิงห์เป็นคนตอบ
เดือดร้อนอาสิงห์ซึ่งเพิ่งจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ต้องกางสตอรี่บอร์ด บอกเรื่องราวความเป็นมาแบบย่นย่อ
ลุงมิ่งฟังเสร็จก็หน้าซีดเป็นไก่ต้ม ตัวเขาเองเคยได้ยินเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง ตอนที่ไปนั่งกินคาปูชิโน่หวานน้อยที่คอมมูนิตี้มอลล์หมู่บ้านข้างๆ
และไม่เคยคิดจะเข้าไปยุ่มย่ามแม้แต่น้อย ยิ่งห่างเท่าไหร่ยิ่งดี ไหงวันนี้ต้องมาเข้าร่วมตี้แบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถ้าพูดเป็นภาษาชาวบ้าน
ก็คงไม่มีใครอุตริท้าทายอะไรแบบนี้ ยกเว้นอยู่คนเดียว

“ยักษ์ พูดจริงเหรอวะ เล่นอะไรพิเรนๆ แบบนั้น”
“พิรงพิเรนอะไร” ลุงยักษ์ตอบฮาๆ แต่เมื่อเห็นเพื่อนไม่ขำด้วย จึงบอกเหตุผลว่า สงสารน้าส้มกับแม่ อยู่กันแค่ 2 คนกับน้องที่เพิ่งคลอด
ไม่มีคนดูแล แถมแฟนปอดแหกของน้าส้มก็ตายไปแล้ว ลุงมิ่งไม่สงสารเหรอ ต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ
ชาวบ้านชาวช่องตะวันยังไม่ตกก็มุดกลับเข้าบ้านกันหมด ลุงยักษ์บอกว่าไม่ชอบอะไรอึมครึมแบบนี้ก็ลองให้รู้กันไปเลย

ประชดประชันจบก็หันไปทางอาสิงห์ที่กำลังขบฟันกรามจนแทบละเอียดหลังถูกพาดพิง
“เรียกกรูมาเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอวะ?”

มติก็เป็นเอกฉันท์ด้วยประการฉะนี้

หลังจากตกลงกันเรียบร้อย (กึ่งโดนบังคับ) อาสิงห์จูงมอเตอร์ไซค์เก่าๆ ออกมาอีกคัน และบอกพ่อกับแม่ว่าจะไปทำธุระ
พรุ่งนี้เช้าจะกลับ (เพราะถ้าบอกความจริงคงโดนด่าแน่ อยู่ดีไม่ว่าดีไปเล่นกับอะไรพิเรนแบบนั้น) หลังจากนั้นทั้งหมด
ก็ขี่มอเตอร์ไซค์ตามกันออกไปติดๆ

บนท้องถนนเปล่าเปลี่ยวไร้ชาวไร่ชาวนาแม้แต่คนเดียว อาสิงห์หันซ้ายหันขวาหวั่นๆ ลุงมิ่งที่นั่งซ้อนท้ายลุงยักษ์อยู่ก็พูดอย่างหวาดๆ
“เชี่ย... ยังไม่ห้าโมงแท้ๆ คนหายไปไหนหมดวะ ประตูบ้านก็ปิดเงียบเชียบกันหมด”
พ่อยอดขมองอิ่มได้ยินจึงตอบกลับ “ถ้าพี่ไม่อยากให้เรื่องนี้ลามข้ามตำบลไปถึงหมู่บ้านเรา ก็ลองกับมันสักตั้ง ไม่มันก็เรานี่ล่ะที่ต้องเผ่น”

ลุงยักษ์พูดออกไป โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าในอนาคตข้างหน้า จะเกิดเรื่องที่แสนเลวร้ายมากกว่าครั้งนี้หลายเท่านัก

เมื่อทั้งสามมาถึงที่หมาย น้าส้มกับแม่ก็ยิ่งแปลกใจหนักกว่าเดิม เพราะวันนี้มีชายฉกรรจ์ 3 คนมาขอค้างอ้างแรม
อาสิงห์รับหน้าที่ประสานงาน บอกทุกอย่างให้น้าส้มกับแม่รับรู้ (แต่บอกไม่หมด) ส่วนลุงยักษ์กับลุงมิ่งยืนคุยกันอยู่นอกบ้าน

แต่ยิ่งเย็นย่ำมากเท่าไหร่ความฮึกเหิมดันยิ่งลดน้อยลง ลุงมิ่งดูจิตตกไม่ต่างกับทุกคนที่เหลือ ใช่สิยังมีเมียและลูกต้องดูแล
แถมลูกก็เพิ่งจะ 10 ขวบต้นๆ รุ่นเดียวกับน้องสาวลุงยักษ์ อีกอย่างจะมีสักกี่คนที่จะทำใจได้ว่าคืนนี้จะต้องเจอกับอะไรบางอย่าง
ที่วิ่งหนีมาตลอด มีลุงยักษ์คนเดียวที่เก็บอาการได้เป็นอย่างดีตามประสาคนใจกล้า เขาเดินออกมาด้านนอกจูงมอเตอร์ไซค์มาไว้ข้างประตู
เสร็จแล้วจึงบอกให้อาสิงห์กับลุงมิ่งเตรียมหาอาวุธคู่มือไว้ด้วยเผื่อเกิดมีอะไรโผล่มาจริง

อาสิงห์เองก็ลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท ดันไม่ได้หยิบอะไรติดตัวมาสักชิ้น เข้าไปในบ้านว่าที่แม่ยาย
ก็ไม่มีอะไรพอเป็นอาวุธได้นอกจากมีดปอกผลไม้เล็กๆ กับอีโต้ทื่อๆ จึงจำต้องใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านที่เคยได้ยินได้ฟังมา
กระสือเป็นผี มีหัวมีไส้ลอยไปลอยมาใช่มั้ย? เอาที่ได้ยินมาก็ต้องกลัวอะไรที่เป็นของมีคม หรือหากเป็นหนามไผ่หรือใบหนาดก็โอเคอยู่
แต่ดันไม่มีทั้งสองอย่าง สรุปคืออาสิงห์กับลุงมิ่งเอากิ่งมะนาวมาพันกับไม้หน้าสาม นั่นคืออาวุธดีสุดเท่าที่มี ณ ตอนนี้

แสงอาทิตย์สุดท้ายกำลังลาลับ ความมืดมิดกำลังเข้ามาแทนที่ วันนี้ทุกคนจำต้องเข้าไปอัดกันใบบ้านหลังเล็ก เพราะเกรงว่าบางสิ่งที่รออยู่
ข้างนอกเห็นคนเยอะอาจจะเปลี่ยนใจ (><) ทั้ง 6 ชีวิตจึงปิดประตูอยู่กันอย่างเงียบฉี่ ตะเกียงค่อยๆ ถูกดับไปทีละดวง
เหลือเพียงตะเกียงน้ำมันเล็กๆ ดวงเดียว สามหนุ่มสามมุมนั่งเบียดกันอยู่บนโต๊ะเล็กๆ อาสิงห์จึงเริ่มเล่าว่า...

ชาวบ้านแถบนี้เชื่อกันว่ากระสือตนนี้ชื่อยายเฟื้อง (นามสมมุติ) มีคนบอกว่าอยู่มานานจนหงอนขึ้นแล้ว (หงอนอะไรก็ไม่ทราบนะครับ แต่คงไม่ใช่หงอนไก่) อาศัยในหมู่บ้านลึกเข้าไป แต่แม้จะระบุตัวได้ขนาดนั้นก็ไม่มีใครกล้าไปตอแย เพราะลูกเขยของยายเฟื้องเป็นถึงผู้ใหญ่บ้าน
มีบริวารนับสิบ (นับทีนก็คูณสองเข้าไป) ใครหน้าไหนพูดใส่ร้ายแม่ยายที่รักเป็นต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่อนามัยทุกราย
ลุงยักษ์นั่งฟังพลางหมุนลูกโม่ ตรวจเช็คสภาพอาวุธปืน บ่นพึมพำคนเดียวว่า ไม่เห็นจะกลัวเลย

เพื่อน 2 คนเห็นแปลกใจ
“นี่พกปืนมาด้วยเหรอ” ลุงมิ่งถาม ลุงยักษ์พยักหน้าใส่กระสุนกลับเข้าคืนรังเพลิง
“ใช่สิพี่ ถ้าเจอจริงจะสอยให้ร่วงเลย”

ลุงมิ่งกับอาสิงห์ไม่ค่อยเห็นด้วยที่ต้องใช้อาวุธบรรลัยกัลป์แบบนั้น มันเสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง แค่เอาปืนมาพลิกไปมา
ขาก็ก้าวเข้าซังเตไปข้างแล้ว ที่สำคัญสุดๆ ถ้าปืนทำอะไรพวกผีสางนางไม้ได้จริง คนก็ไม่กลัวผีกันหรอก คงไล่ยิงอุตลุด
ลุงยักษ์ก็บอกเพียงว่าพกไว้ให้อุ่นใจก็เท่านั้น สุดท้ายอาสิงห์ซึ่งมีความรู้เรื่องอาวุธปืนอยู่บ้างพูดว่าปืนโบราณขนาดนี้
แน่ใจนะว่ายังใช้ได้ จับไปจะเป็นบาดทะยักมั้ย เก่าเหลือเกิน

ราวกับเจมส์ วานสั่งแอคชั่น  อาสิงห์บ่นจบปุ๊บ มีเสียงซวบซาบมาพร้อมกับเสียงดังแจ๊บๆ มาจากข้างบ้านปั๊บ
ลุงยักษ์กับอาสิงห์ลุกพรวดขึ้นพร้อมกัน ส่วนลุงมิ่งออกอาการเปลี้ยในทันที ลุงยักษ์ถามเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ข้างนอกใช่มั้ย
“อะ เออ... ส้มกับแม่อยู่ในห้อง” อาสิงห์ตอบเสียงสั่น

ลุงยักษ์กระชับปืนในมือแน่นและกระซิบกับเพื่อนเบาๆ

“มันมาละ”

นอกตัวบ้านมีเสียงบางอย่าง ไม่ต้องตั้งใจฟังก็ได้ยิน ทั้งเสียงเดิน ทั้งเสียงเคี้ยว (หมากมั้ง) ลุงยักษ์เดินนำตรงไปที่ประตูช้าๆ
เปิดกลอนเสียงเงียบกริบ แต่เงียบยังไง กลอนเสียดสีกับเนื้อไม้ก็ดังพอให้อะไรก็ตามที่อยู่ด้านนอกนิ่งไป
ลุงแง้มประตูมองออกไปด้านนอก ในความมืดสลัวๆ เห็นหญิงชราหลังค่อมกำลังเดินลากเท้าเหมือนผู้เฒ่าทั่วไป
ปากกำลังเคี้ยวอะไรบางอย่างเสียงดัง แจ๊บๆ

“เชี่ย... ใครวะนั่น” ลุงยักษ์สถบออกมาเป็นคนแรก ใจหินแค่ไหน เจอภาพแบบนั้นก็อึ้งไปเหมือนกัน กว่าจะตั้งสติและผลักประตูออกไป
หญิงชราที่ไม่รู้เป็นคนหรือไม่ ก็หันมามอง จ้องลุงยักษ์กันอยู่แป๊บเดียว แกก็เดินลากเท้า... เดินปกติ... แล้วก็ออกวิ่งซะงั้น
ไม่มีใครภาพนั้น นอกจากลุงยักษ์…

เมื่อไม่เห็นอะไร ได้ยินแค่ที่ลุงยักษ์อุทานบวกกับกลิ่นสาบที่โชยมา คนในบ้านก็คิดกันไปไกลลิบ จินตนาการเรียบร้อยว่าต้องเป็นผี
ต้องเป็นนู้นนี่นั่น ต้องสยดสยองพองขนเป็นแน่ พร่ำกันซ้ำๆ แต่ประโยคเดิมที่ลุงยักษ์พูดเมื่อสักครู่ว่า “มันมาแล้วๆๆ”
พยายามถามว่าลุงยักษ์เห็นอะไร แล้วกลิ่นสาบนี่กลิ่นอะไร ลุงมิ่งครางเสียงสั่น อาวงอาวุธที่อุตส่าห์ตีบวกไว้ร่วงผล็อยจากมือ

อาสิงห์เองก็ไม่ต่างกัน ถ้าให้ไปตะลุมบอนกลับใครล่ะขอให้บอก ไม่เคยกลัวอยู่แล้ว แต่ครั้นจะให้ไปเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ปักใจเชื่อว่าเป็นผี
(ไปแล้ว) คงไม่ไหว ขอยืนหลบหลังลุงยักษ์ก่อนก็แล้วกัน อาศัยจังหวะที่อาเฮียของเรากำลังยืนเอ๋อกับสิ่งที่เห็น
อาสิงห์ยื่นมือมาจะปิดประตูท่าเดียว

“เห้ย ยักษ์ ปล่อยไปเหอะ อย่าไปยุ่งเลย กรูกลัวว่ะ” อาสิงห์พูดเสียงดังจนน้าส้มกับแม่ที่อุ้มทารกตัวจิ๋วไม่ห่างตัวออกมายืนกอดกันตัวกลม
ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวว่า อย่าไปยุ่ง กลับเข้าบ้านล็อคประตูพรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากัน

ลุงยักษ์เห็นทุกคนกลัวกันหมด แม้แต่เพื่อนสนิทที่จี๊ดจนขึ้นชื่อยังกลัวจนหน้าซีด คงหงุดหงิดตามประสาคนใจร้อน
“เสล่อเอ้ย กรูก็กลัวโว้ย” ลุงยักษ์สวน “แต่คนหรือผีไม่รู้หรอก เรามีกันตั้งสามคน เลิกปอดแหกแล้วตามมา”
อาสิงห์สะกิดเบาๆ “เหลือแค่ 2 แล้วว่ะ พี่มิ่งถอยกรูดไปนู้นแล้ว”

“เวรเอ้ย!” ลุงยักษ์พูดจาภาษาดอกไม้ทันที “อะไรกันนักกันหนาวะ คิดกันเอาเองนะเว้ย จะมุดกลับไปอยู่ในบ้านรอให้มันมารังควานแบบนี้เหรอไง สักวันเจ้าตัวเล็กนั่นคงโดนจกตับกินจนได้ กรูไปก่อนล่ะ มันวิ่งหนีไปโน่นแล้ว ไม่ดีเหรอวะ อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ลอยอยู่บนฟ้าเหมือนที่พวกเราคิด”

จิกเพื่อนจบ ลุงยักษ์ก็ตั้งท่าวิ่งตาม แต่ชะงักหันไปมองข้างๆ ประตู จะด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจก็ไม่รู้
มอเตอร์ไซค์คู่ชีพจอดอยู่ใกล้ๆ พอดี... สวยสิ ไบเกอร์กระโดดขึ้นคร่อม สตาร์ททันที เร่งเครื่องเสียงดัง แว๊นซ์ๆๆ ลั่นทุ่ง

หนึ่งเพื่อไล่ความเงียบ สองเพื่อปลุกความกล้า (ทั้งของตัวเองและของเพื่อน)

มอเตอร์ไซค์คู่ชีพพุ่งทะยานฝ่าไปในความมืดทันที อาสิงห์กับลุงมิ่งมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สุดท้ายจำต้องตัดใจทำแบบเดียวกัน
จะปล่อยให้เพื่อนไปคนเดียวก็ใช่ที่ อาสิงห์สั่งให้แฟนสาวกับแม่อยู่ในบ้านล็อคประตูให้เรียบร้อย
จากนั้นทั้งสองคนก็ควบมอเตอร์ไซค์ตามลุงยักษ์ไปทันที

ฉากการไล่ตามก็เริ่มขึ้น...

เงาตะคุ่มๆ วิ่งไปตามคันดินห่างไปหลายสิบเมตรทิ้งไว้เพียงกลิ่นเหม็นสาบโชยมาตามลม ลุงยักษ์ต้องเพ่งจนปวดตาว่าเงานั้นวิ่งไปทางไหน
แต่ด้วยความเร็วของเครื่องยนต์ ไม่นานก็ไล่จี้ใกล้จนไฟหน้าส่องให้เห็นแผ่นหลังของหญิงชราหลังค่อม
น่าแปลกคือเป็นคนแก่ที่วิ่งเร็วมาก พอๆ กับวัยรุ่น (ใครนึกว่าภาพไม่ออก คิดถึงยายเอิบจากภาพยนตร์เรื่องเปนชู้กับผีนะครับ อารมณ์นั้น)
แต่ร่างนั้นก็เจ้าเล่ห์ไม่หยอก  เมื่อโดนกวดใกล้เข้า ก็ดริฟท์ผลุบหายเข้าไปในดงข้าวโพดอ่อนๆ ข้างทางทันทีทันใด
ลุงยักษ์เห็นแบบนั้นต้องเบรกจนเกือบคะมำ และหลุดพูดจาภาษาดอกไม้อีกครั้ง

“เชี่ยเอ้ย... เจ้าเล่ห์ชิบอ๋าย”

สักครู่เดียว อาสิงห์ก็ขับมาจอดรถข้างๆ ถามว่าเจอใครมั้ย ลุงยักษ์ชี้เข้าไปในดงข้าวโพดสูงระดับอก อาสิงห์กับลุงมิ่งสบตากัน
ก่อนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า กรูไม่เข้าไปด้วยนะ
เกิดอยู่ๆ พุ่งออกมาจากข้างทางกระโดดหักคอจะทำยังไง พยายามชวนลุงยักษ์กลับ อาเฮียก็ถอย แต่ไม่ได้ถอยกลับไปตั้งหลักนะ
เขาเข็นมอเตอร์ไซค์ถอยหลังไปร่วมสองเมตร อาสิงห์เห็นก็พูดเบาๆ “อย่าบอกนะว่า...”
ยังพูดไม่ทันจบประโยค ลุงยักษ์บิดคันเร่งเต็มที่ แว๊นนนนนนนนซ์ แล้วรถก็พุ่งพรวดผ่าเข้าไปในดงข้าวโพด!?

ความรู้สึกในการขี่แปรเปลี่ยนไป รถวิ่งลุยแปลงข้าวโพดขนาดย่อม แม้ร่องดินจะไม่ลึกมาก แต่ก็ยังทำให้กระเด้งกระดอนเหมือนควบม้า
อวัยวะบางอย่างสั่นสะเทือนไปหมด แถมใบข้าวโพดฟาดกับหน้าจนเกิดเป็นรอยแผลเล็กๆ หลายรอย ทั้งเจ็บทั้งคัน
แต่ลุงยักษ์ก็ไม่หยุด เร่งเครื่องตามร่างนั้นไปติดๆ ทิ้งห่างเพื่อนไปทีละน้อย ไม่รู้ตัวเลยว่าขับหลงทิศหลงทางเช่นเคย

หญิงชราที่สามหนุ่มคิดว่าไม่ใช่คน  วิ่งลัดเลาะไปอย่างคล่องแคล่ว ผิดปกติผู้เฒ่าทั้งหลาย ไล่ยังไงก็ไม่ทันสักที ไปซ้ายทีขวาที
ลุงยักษ์และปาร์ตี้พยายามขับจี้ไปเรื่อยๆ จนดงข้าวโพดยับเยินหักโค่นไปกว่า 1 ใน 3 (เจ้าของตื่นมาเจอคงด่าถึงบรรพบุรุษ)
กลายเป็นอาสิงห์ที่คุ้นเคยกับพื้นที่มากกว่าขับจี้ไปใกล้เรื่อยๆ จนแสงจากไฟหน้าส่องเห็นร่างหญิงหลังค่อมคนนั้น
แต่ยังไม่ทันใกล้ไปกว่านั้น หญิงชราก็หันกลับมามอง ดวงตากระทบแสงไฟ แทบจะไม่เห็นตาขาว มีแต่ตาดำ
ใบหน้านั้นละหม้ายคล้ายยายเฟื้องจริงๆ

เมื่ออาสิงห์เห็นแววตาอาฆาตจ้องมองกลับมา ความคึกคะนองบวกแรงยุของเพื่อนที่สะสมขึ้นมาทีละนิด หายไปในทันที
เขาเบรกมอเตอร์ไซค์เอี๊ยดจนเกือบล้ม แล้วหันหัวกลับ 180 องศา เตรียมโกยทันที

อาสิงห์ตะโกนลั่น “ยักษ์! เผ่นโว้ย อีเฟื้องจริงๆ”

แต่ไบเกอร์อีกคนไม่คิดแบบนั้น ลุงยักษ์ปุเลงๆ ผ่านอาสิงห์ที่โบกมือว่าอย่าตามไป แต่เฮียก็ดื้อจะไปด้วยหลายเหตุผล
ทั้งความกล้าเกินคน ความคึกคะนองประสาวัยรุ่น ความทะนงที่ไม่รู้สึกว่าตนเองถูกคุกคามจากสิ่งลี้ลับที่ว่ากันว่าเป็นกระสือ
และที่สำคัญคือ อย่างน้อยก็อยากจะรู้กันในวันนี้ไปเลยว่ายายแก่คนนั้นใช่ยายเฟื้องจริงหรือไม่

แต่ที่แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งคือสมควรแก่เวลาที่จะล้วงปืนขึ้นมาใช้สักที อย่างน้อยสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ก็คงไม่ใช่คนแก่ปกติแล้ว (มั้ง)
วิ่งเร็วและคล่องเกินอายุขนาดนั้น และไม่ว่าจะเป็นคนหรือผี ยิงขู่สักดอกสองดอก จะได้ไม่มาระรานชาวบ้านเค้าอีก

ลุงยักษ์ขับจี้ไปเรื่อยๆ พอเห็นแว่บๆ ก็เล็งปืน แล้วซัดโป้งออกไปมั่วๆ 2 นัด แต่เพราะมัวแต่มองเป้าไม่มองทาง
มอเตอร์ไซค์วิ่งไปเจอคันดินสูงและลึก ลุงยักษ์เบรคเอี๊ยดด ล้อหลังไถลไปกับดิน ฝุ่นตลบ ล้อหน้าชนเข้ากับเนินดิน เสียงดัง โครม!
ด้วยความเร็ว ล้อหน้าปักเข้าไปในคันดิน ล้อหลังกระดกขึ้น ส่วนตัวผู้ขี่กลายเป็นนักยิมนาสจิกลีลาจำเป็น
เริ่มด้วยตีลังกาหน้าขาคู่ (ข้ามแฮนด์รถ) คะแนนความยาก 0.5 เกลียวอีก 1 รอบ คะแนนความยาก 0.2 แต่ท่าลงสู่พื้นติดลบ 9.99 คะแนน

ลุงยักษ์ลอยข้ามแฮนด์มอเตอร์ไซค์มาด้านหน้า ก้นกระแทกพื้นดินอย่างแรง ส่วนมอเตอร์ไซค์คว่ำอยู่ด้านหลัง เบาะหลุดออกจากตัวรถ
แต่ไม่สน คนเหล็กซะอย่าง กระดูกกระเดี้ยวไว้สำรวจที่หลัง ขอดูเป้าหมายก่อน เพราะยิงไปมั่วมาก เห็นหลังแว่บๆ
ก็ไม่ถงไม่ถามสุขภาพซ้ากคำ ซัดตูมเลย (><)

หลังจากหันซ้ายหันขวาอยู่แป๊บเดียว ห่างออกไปไม่ไกล เงาดำๆ เซถลาหายไปในพงไม้ถัดจากดงข้าวโพด

ในความมืดสลัวลุงยักษ์พยายามหาปืนเป็นสิ่งแรก แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ไม่รู้กระเด็นไปไหน จำใจต้องคว้าเอาเศษไม้มาเป็นอาวุธแทน
หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ย่องไปสุดแปลงข้าวโพด แม้จะร้อนอบอ้าว แต่เมื่อเหลือตัวคนเดียวกับไม้คมแฝก DIY พ่อยอดขมองอิ่มก็เริ่มสั่นเหมือนกัน
ลุงยักษ์แหวกต้นไม้เข้าไปช้าๆ  เมื่อเดินไปถึงลุงยักษ์พบ...

ไม่นานนักมอเตอร์ไซค์อีกคันก็ตามมาจอด เสียงโหวกเหวก (อย่างน้อยตะโกนดังๆ มันก็คงอุ่นใจกว่าเงียบๆ)
อาสิงห์ถามรัวเป็นชุด ทั้งเรื่องรถที่ล้มอยู่ ทั้งเรื่องถามว่าหญิงชราคนนั้นใช่ยายเฟื้องมั้ย พูดไปก็สั่นไป ยืนเบียดกับลุงมิ่งยังกับปลาท่องโก๋
“ไม่เจอ” ลุงยักษ์ตอบ เพื่อนทั้งสองคนกึ่งดีใจ กึ่งเสียใจ ลุงยักษ์จึงพูดต่อ “แต่คิดว่ายิงโดนว่ะ”
พูดจบก็ชี้ไปให้เพื่อนทั้งสองดูกองเลือดที่อยู่บนพื้น

“อย่าบอกนะเลือดมัน ผีเลือดออกได้ด้วยเหรอวะ หรือว่าเป็นคน ประมาณว่าแข็งแรงไง วิ่งปร๋อ” อาสิงห์พูดมั่วซั่วไปเรื่อย
บอกต่อว่าซวยแล้วเอายังไงดี ลุงยักษ์ก็บอกว่าอย่าเพิ่งบิ้วดิ เริ่มลังเลแล้วเหมือนกันเนี่ย อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น
ซักประวัติยายเฟื้องเป็นชุดว่าสติไม่สมประกอบรึเปล่า ฯลฯ อาสิงห์ก็ใบ้กิน แบ๊ะๆๆ ท่าเดียว

ลุงมิ่งยืนดูกองเลือดสักพักก็บอกให้กลับไปคุยกันที่บ้านน้าส้มดีกว่า สามหนุ่มสามมุม กลับมาก็ไม่เป็นอันหลับ ร้อนใจคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
แต่สุดท้ายเป็นลุงมิ่งที่พูดว่าเพิ่งกังวลว่าอาจจะต้องเข้าไปนอนกินโอเลี้ยงกับข้าวผัดในซังเต รอดูพรุ่งนี้ก่อน รู้สึกทะ

ตลอดทั้งคืน ลุงยักษ์ไม่ได้หลับได้นอน เพราะกังวล จนถึงเช้าบอยแบรนด์ทั้งสามคนจึงปรึกษากันว่าจะทำยังไงต่อดี
อาสิงห์กับน้าส้มบอกว่าก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน คงต้องรอดูกันไปก่อน ลุงมิ่งก็ถามลุงยักษ์ว่าคิดยังไง
เฮียซึ่งนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาก็ยอมเปิดปากในที่สุด เขาชวนอาสิงห์กับลุงมิ่งไปข้างนอก ทั้งสองถามกลับว่าจะไปไหน ลุงยักษ์ตอบว่า

“ไปบ้านผู้ใหญ่สงค์ (ลูกเขยยายเฟื้อง)”

สองเพื่อนร้องเจี๊ยกพร้อมกัน ห๊า! ไอเดียบรรเจิดอีกแล้วเรอะ จะไปทำไมครับพี่? แกว่งเท้าหาเสี้ยนชัดๆ เพิ่งเล่าไปหยกๆ
ว่าผู้ใหญ่สงค์มีลูกน้องอยู่เป็นสิบ ขนาดแค่คนนินทายายเฟื้อง ผู้ใหญ่ยังจัดชุดเล็กให้ไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่อนามัย
แล้วถ้ารู้ว่าลุงยักษ์หนักข้อกว่าถึงขนาดยิงแม่ยายที่เคารพ คงไม่แคล้วจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบให้ไปนอนคุยกับรากมะม่วงแหงๆ
ที่สำคัญต้นมะม่วงอาจจะได้ปุ๋ยพร้อมกันถึงสามต้นซะด้วย

ลุงยักษ์จึงบอกว่าก็ไปดูไง ไปดูให้เห็นกันเลยยายเฟื้องยังปกติดีรึเปล่า ถ้าแกยังอยู่เย็นเป็นสุข ก็แสดงว่ายายแก่เมื่อคืนไม่น่าจะใช่แก
หรือถ้าใช่จริง ก็คงมีพิรุธอะไรให้จับสังเกตบ้าง ถ้าได้เห็นหน้าชัดๆ อีกรอบลุงยักษ์คิดว่าตัวเองจำได้ และถ้าเป็นคนเดียวกันจริง
แต่ยังเดินปร๋อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คราวนี้คนที่ต้องเผ่นก็คงต้องเป็นพวกเราแล้วล่ะ

ถึงเหตุผลพอฟังขึ้น แต่อาสิงห์ก็ยังไม่อยากไปอยู่ดีคัดค้านหัวชนฝา เมื่อคิดถึงกิริยาขวานผ่าซากของเพื่อนซี้ กลัวจะโดนยำใหญ่ใส่สารพัด
คาบ้านบ้านผู้ใหญ่สงค์จริงๆ อีกอย่าง คิดยังไงจะไปหาคนที่ถูกลือว่าเป็นกระสือถึงที่
แต่ลุงมิ่งซึ่งควรจะเข้าข้างอาสิงห์ กลับเห็นด้วยเรื่องนี้ และยังบอกอีกว่า ก่อนจะไปให้ตามมาดูอะไรหน่อย

ทั้งสามคนย้อนกลับไปที่จุดเกิดเหตุ สภาพดงข้าวโพดยับเยินราวกลับเพิ่งเกิดสงคราม จากนั้นเดินกลับเข้าไปข้างในจนถึงจุดที่ลุงยักษ์บอกว่ายิงโดนอะไรบางอย่าง รอยเลือดยังคงกองอยู่เหมือนเดิม อาสิงห์ถามว่าจะย้อนมาดูทำไม ลุงมิ่งจึงพูดว่า

“พี่ก็เอะใจตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะแต่ไม่แน่ใจเพราะมันมืด ดูกองเลือดสิ”

ทั้งสามคนยืนมองดูกองเลือด ลุงยักษ์ก็ยังไม่เข้าใจว่าคืออะไร ลุงมิ่งจึงบอกว่าเมื่อคืนตอนที่เห็นรอยเลือดก็ยังไม่แน่ใจเพราะมันมืดมาก
แต่แปลกใจว่าทำไมเลือดมันคล้ำจัง (แสงไฟจากมอเตอร์ไซค์ส่อง) อีกทั้งยังไม่มีกลิ่นคาวเลยสักนิด กลับมีกลิ่นเหม็นสาบมากกว่า
(คือง่ายๆ มันคนละกลิ่น) เป็นกลิ่นสาบๆ แบบเดียวกับที่โชยเข้าไปในบ้าน จึงตั้งใจพอมาดูอีกครั้งตอนเช้า ถึงเลือดจะซึมลงดินไปบ้าง
แต่ให้ใครมาดูก็ไม่รู้ว่าเป็นเลือด นึกว่ารอยน้ำมันเครื่อง เพราะมันดำมาก

พอได้ฟัง ทั้งสองคนจึงหันไปดูอีกครั้ง ก็เป็นอย่างที่ลุงมิ่งพูด คือเลือดมันเข้มจนเกือบดำจริงๆ อาสิงห์ผงะถอยหลังออกมาขนลุกตั้งอีกรอบ
ส่วนลุงยักษ์นั่งจ้องดูอยู่สักพัก อาสิงห์จึงถามหัวหน้าชุดว่าจะเอายังไง ลุงยักษ์ก็ยังคงบอกเหมือนเดิมว่าจะไปบ้านผู้ใหญ่สงค์

เมื่อตกลงกันได้ (แกมบังคับเช่นเคย) ทั้งหมดก็เดินทางไปบ้านผู้ใหญ่สงค์ซึ่งอยู่คนละหมู่บ้าน ต้องขี่รถไปเกือบสิบกิโลเมตร
เมื่อทั้งสามเดินทางไปถึงก็เป็นช่วงสายๆ ภายในบ้านมีเสียงจอแจเช่นทุกวันเหมือนเคยตามประสาคนมีอำนาจบารมี
ลุงยักษ์เดินนำโทงๆ เข้าไปถึงในบ้านแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว  อาสิงห์กับลุงมิ่งกลืนน้ำลายลงคอ แต่ยังไงก็ตามไป
เพาะถ้าให้เลือกระหว่างเดินเข้าไปในดงข้าวโพดตอนกลางคืนอีกครั้ง กับเดินเข้าบ้านลูกเขยยายเฟื้อง

ทั้งสองคนก็ยอมเลือกอย่างหลังดีกว่า...

แต่เมื่อมาถึงในบ้านทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ไอ้เสียงที่ดังอยู่ ไม่ใช่เสียงพูดคุยปกติ แต่เป็นเสียงของความตกใจ
เพราะบนนั่งร้านเงาวับกลางบ้าน มีร่างของหญิงชราผมขาวโพลนคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่ ข้างๆ กันมีหมอจากอนามัยกำลังตรวจอะไรบางอย่าง
ก่อนจะคุยกับผู้ใหญ่สงค์ ลุงยักษ์ได้ยินคนทั้งสองคุยกันแว่วๆ ดังมาว่า

"ยายเฟื้องแกไปดีแล้ว"

ไม่มีใครสนใจแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสามคนเลย ลุงมิ่งจึงเนียนถามคนแถวนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น หนึ่งในคนงานเล่าว่า ปกติช่วงใกล้รุ่ง
ยายเฟื้องมักจะออกมานั่งอยู่ใต้ต้นกระดังงา พอสายๆ จึงกลับเข้าไปนอน ทุกวันมีกิจวัตรแบบนี้ แต่วันนี้ลูกสาวยายเฟื้องออกมาไม่เห็นแม่
นึกว่าแม่ไม่สบาย จึงเข้าไปหา และพบว่ายายเฟื้องไม่หายใจแล้ว

สามหนุ่มดูตกใจไม่น้อย โดยเฉพาะมือปืนหนุ่มหน้ามน... ลุงยักษ์ยืนอึ้งอยู่สักพัก ด้วยความคึกคะนอง ขาจึงเข้าตารางไปข้างซะแล้ว
แต่ลูกผู้ชายซะอย่าง กล้าทำก็กล้ารับ ลุงยักษ์เดินดุ๋ยๆ ไปข้างๆ นั่งร้าน มีผู้หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นภรรยาผู้ใหญ่สงค์นั่งบังศพยายเฟื้องอยู่ ภายในสมองของลุงยักษ์เบลอไปหมด การตายของยายเฟื้องเป็นเพราะคมกระสุนของเขา? ถ้าใช่ก็ต้องรับสภาพ
ระหว่างที่กำลังยืนอึ้งอยู่ สักพักหญิงสาวคนนั้นหันขวับมาจ้องลุงยักษ์นิ่ง จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ลุกไป

เสี้ยววินาทีนั้นเอง เป็นเสี้ยววินาทีจริงๆ ที่ดูเหมือนนาน ทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นลุกออกไป ลุงยักษ์ต้องตกใจแทบหงายหลัง
เพราะเจอยายเฟื้องนั่งยองๆ จ้องหน้าลุงยักษ์ด้วยสายตาไม่พอใจ ปากก็เคี้ยวอะไรบางอย่างดัง แจ๊บๆๆ
ที่สำคัญใบหน้านั้นคือหญิงแก่ที่เขาจำได้ว่าเจอเมื่อคืน ลุงยักษ์ตกใจร้องเสียงหลง

“เห้ย! อะไรวะ!!!”

ดังจนอาสิงห์แค่นเสียงถามว่าเป็นอะไร พริบตาเดียวที่ลุงยักษ์ละสายตาหันไปมองเพื่อน แต่พอหันกลับมาดูอีกครั้ง
ปรากฏว่ายายเฟื้องกลับไปนอนปกติอยู่ท่าเดิมเหมือนก่อนหน้า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแป๊บเดียวจริงๆ ประมาณไม่เกิน 4 วินาที
สร้างความประหลาดให้ลุงยักษ์เป็นอย่างยิ่ง อาสิงห์เข้ามาถามซ้ำว่าเป็นอะไร แต่ลุงยักษ์ไม่บอก สายตายังจับจ้องไปที่ร่างไร้วิญญาณ
คู่ดูโอ้สำรวจใบหน้าอีกครั้ง ใช่เลย ไม่ผิดตัวจริงๆ คนเดียวกับที่เจอเมื่อคืนแน่ๆ ขนแขนขนหัวลุกพรึบทันทีทั้งสองคน
แต่ที่น่าฉงนยิ่งกว่าคือจากที่สำรวจคร่าวๆ ด้วยสายตา ร่างกายยายเฟื้องไม่มีบาดแผลอะไรเลย
ลุงยักษ์จึงเดินเข้าไปถามหมอจากอนามัยว่ายายเฟื้องเสียชีวิตเพราะอะไร คุณหมอตอบกลับมาสั้นๆ

“เสียเพราะโชคชรา”

หลังจากนั้น ที่บ้านน้าส้มก็ไม่มีเหตุการณ์ประหลาดๆ เกิดขึ้นอีกเลย สองแม่ลูกก็โล่งอกโล่งใจ ขอบคุณลุงยักษ์เป็นการใหญ่
อาสิงห์กับลุงมิ่งก็พลอยได้หน้าไปด้วย เพราะเรื่องนี้ลือไปทั่วหมู่บ้านในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ทั้งสองตกกระไดพลอยโจน
กลายเป็นฮีไร่ไปซะอย่างนั้น นั่นทำให้ทางฝั่งผู้ใหญ่สงค์ไม่พอใจนัก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะไม่มีหลักฐาน
อีกทั้งเรื่องมันก็ดูโอเวอร์จนยากที่จะทำใจให้เชื่อได้ เพราะตื้นลึกหนาบางจริงๆ มีแค่ลุงยักษ์ อาสิงห์ ลุงมิ่งเท่านั้นที่รู้

ลุงยักษ์ยังคงแปลกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  และต้องสงสัยต่อมาอีกนานจนถึงวันที่ได้มีโอกาสนำปืนไปคืนเพื่อนรุ่นพี่
ลุงยักษ์เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้คนๆ นั้นฟังอย่างตั้งใจ เมื่อฟังลุงยักษ์เล่าจบ ชายคนนั้นก็บอกว่า

“ก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันมั้ยนะ แต่ปืนโบราณกระบอกนั้นน่ะ เคยได้ยินว่าเป็นของ...........”


จบแล้วครับ ทันเวลาพอดีเลย ขอบพระคุณที่ติดตามครับ



จากพันทิป เรื่องสยองของยายเฟื้อง
เรื่องโดย  Rhythm in the Air   FB กฤตานนท์

ไม่มีความคิดเห็น