บ้าน...คนตาย


     จากนักเล่าเรื่องสุดสยองขวัญและหลากหลายอารมณ์ และยังมีข้อคิดแฝงอยู่ด้วยเสมอ เจ้าชายแห่งการเล่าคุณลอยชายยังคงตามมาติดๆ สำหรับเรื่องดีๆจากคุณลอยชาย เรื่องต่อไปนำเสนอเรื่องบ้าน...คนตาย ลองไปติดตากันเลยครับ

     เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องที่เราก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องอธิบายหรือพูดถึงมันอย่างไรดี บางเรื่องถ้าไม่เห็นด้วยตาก็คงไม่มีวันเข้าใจ และบางเรื่องแม้จะได้เห็นแล้วด้วยตา ได้สัมผัส ได้ลิ้มรสความรู้สึกในช่วงเวลานั้น ลึกลงไปในหัวใจ เราก็อาจยังไม่อยากยอมรับมันอยู่ดี
           ถ้าถามว่าเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังในวันนี้ใช่ เรื่องผีไหม? ก็คิดว่าน่าจะใช่นะครับเพราะมันก็มีผีอยู่ในนั้น แต่มันคงจะเป็นเรื่องของ ไสยศาสตร์ เสียมากกว่า
          ชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย อาจไม่ได้มีฉากผีน่ากลัวๆให้ตกใจอย่างใน Ju-on หรือ บรรยากาศบีบคั้นเหมือน incidious จุดจบไม่ได้สวยหรู และบางเรื่องมันก็ยังไม่ได้จบลง เพราะเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังคือ ประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผมในช่วงเวลา 10 กว่าปีที่ผม เป็นอย่างนี้
          เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ผมไม่ได้มีเจตนาจะหลอกลวงหรือมอมเมา แค่อยากเล่าให้ฟังก็เท่านั้น หากเรื่องนี้ไม่ถูกใจท่านก็ขอให้อ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น และสุดท้ายหากท่านจะคิดว่ามันคือนิยายหรือเรื่องแต่ ก็สุดแล้วแต่ท่านก็แล้วกัน
          เหมือนกับทุกๆครั้งผมไม่ได้เอาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวหรือข้องแวะเรื่องราวใดๆด้วยตัวเองเลยสักครั้ง เกือบทุกครั้งที่เรื่องราวเหล่านี้วิ่งเข้ามาหาผมอย่างจงใจคล้ายความบังเอิญแต่ผมคิดอยู่เสมอว่ามันไม่เคยเป็นอย่างนั้น
          ในช่วงเวลาเย็นๆหากผมมีเวลาว่างผมมักจะไปนั่งเล่นอยู่ที่พระราชวังจันทน์ซึ่งตอนนี้เป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและโบราณสถาน ที่นั่นเป็นที่ที่ร่มรื่นพอสมควรสำหรับตัวเมืองพิษณุโลกในเวลานี้ มีผู้คนมากมายมาวิ่ง มาเดินเล่น มีแม้กระทั่งครูสอนฟันดาบอยู่ใกล้ๆกับวัดโบราณ
          ผมมักจะไปนั่งเล่นตากลมอยู่ตรงขอบเมืองเก่าตรงข้ามกับต้นโพธิ์ใหญ่หลังศาลสมเด็จพระนเรศวร หลายครั้งที่คนมักจะมองผมแปลกๆประมาณว่า ไปนั่งทำอะไร ก็ช่างเขาเถอะ บางคนถึงขั้นเดินเข้ามาขอดูดวงคิดว่าผมเป็นหมอดูมาเปิดโต๊ะแถวๆนั้น ผมก็ปฏิเสธไปเหมือนทุกๆที
          แต่ครั้งนั้นแปลกกว่าทุกครั้ง ในขณะที่ผมกำลังนั่งเล่นเหม่อไปเรื่อยๆเหมือนทุกที มีผู้ชายคนหนึ่งอายุน่าจะเข้าใกล้ 40 ถือของพะรุงพะรังมาแต่ไกล ตอนแรกคิดว่าเขาคงจะหอบของมาถวายสมเด็จท่านที่ศาลแต่เปล่าเลยเขาเดินตรงมายังต้นโพธิ์ใหญ่ใกล้ๆกับที่ผมนั่งอยู่
          เท่าที่เห็นของที่นำมาก็เหมือนกับการแก้บนทั่วๆไปมีบายศรีมีตุ๊กตาอาหารน้ำหวานน้ำเปล่า ผมไม่ได้ตั้งใจจะจ้องเขาขนาดนั้นแต่ก็ลืมตัวมองเขาอยู่นานสองนานตั้งแต่ต้นจนจบ
          ผู้ชายคนนั้นเดินมาด้วยท่าทางเร่งรีบตั้งแต่ที่เห็นตลอดจนจัดข้าวของถวายด้วยตัวคนเดียวท่าทางเหนื่อยพอสมควร เขายืนปาดเหงื่อหันหลังกลับมาก็สบตาเข้ากับผมพอดี ผมที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าเสียมารยาทนั่งจ้องเขาอยู่นานก็รีบหลบสายตาทันที
          พี่เขาเดินตรงเข้ามาหาผมที่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางยิ้มแย้มแต่เนื้อตัวเปียกเหงื่อจนชุ่ม
‘ขอนั่งด้วยคนนะครับ วันนี้ลมดี’
          ผมได้แต่พยักหน้าตอบรับไปไม่กล้าชวนคุยเพราะรู้สึกอายๆกับความลืมตัวของตัวเองแล้วจะลุกกลับทั้งอย่างนี้เลยก็คงจะดูน่าเกลียดไปใหญ่
‘มานั่งเล่นอย่างนี้บ่อยไหมครับ เมื่อก่อนพี่ก็ชอบมา แต่เดี๋ยวนี้ไม่ว่างเลย’
‘ก็ไม่บ่อยนะครับ ถ้าว่างก็มาบ้าง รถมันเยอะ’
‘พี่มาบ่อยมาก แต่มาแก้บนนะไม่ได้มานั่งเล่น’
          ทันทีที่ ‘พี่พัด’ เริ่มชวนคุยบรรยากาศก็คลี่คลายลงในทันที พี่เขาเคยมาเรียนที่พิษณุโลกแต่ผมก็ไม่ได้ถามเอาไว้ว่าที่ไหน บ้านจริงๆเขาอยู่ที่พิจิตรซึ่งก็ใกล้นิดเดียว หลายครั้งที่พี่เขามาแก้บนที่นี่เพราะมีเรื่องให้ต้องมาขออยู่เรื่อยๆ
          ถึงจะไม่นานมากแต่เราก็คุยกันค่อนข้างถูกคอ จากเรื่องราวทั่วๆไปก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเรื่องผีๆสางๆอาจเพราะบรรยากาศมันเอื้อให้ล่ะมั้ง พี่เขาพบเจอเรื่องราวพวกนี้มาไม่น้อยเช่นกัน ส่วนผมยังคงเป็นผู้ฟังที่ดีไม่ได้เล่าเรื่องของตัวเองออกไปมากนัก
‘น้องใส่แหวนอะไรครับ ถามได้ไหม มีของขลังแนะนำพี่บ้างไหม’
          มันอาจจะเป็นคำพูดติดตลกแต่พี่เขาก็เว้นช่วงให้ผมตอบเหมือนอยากได้คำตอบจริงๆ แหวนที่ผมใส่เป็นแหวนรูป โอม ที่หาซื้อได้ตามตลาดทั่วไป ผมตอบไปอย่างนั้น พี่เขารู้อยู่แล้วถึงความหมายของสัญลักษณ์นี้ และผมจะมีแหวนสมเด็จพระนเรศวรอีกอันหนึ่งที่ได้มาตอนจบมัธยม
‘น้องนับถือสมเด็จด้วยหรือครับ พี่นับถือท่านมากๆเลย’
          เหมือนจะเป็นการเปิดประเด็นใหม่ๆให้เราได้คุยกัน เราคุยกันตั้งแต่เรื่องประวัติศาสตร์เล็กๆน้อยๆ หนังในโรงภาพยนตร์ที่ดูซ้ำกันไปหลายรอบสุดท้าย ความบังเอิญ ที่ผมแสนจะไม่ชอบกันก็มาถึง
‘ถ้าน้องชอบเรื่องท่านลองไปอ่านกระทู้พันทิปสิ มีคนเขียนถึงอยู่นะ’
‘หรอครับ ชื่ออะไรครับ ผมจะได้ไปลองอ่านบ้าง’
          สาบานเลยว่าตอนนั้นไม่ได้คิดเลยว่าจะเป็น ตัวเอง เพราะมีคนเขียนถึงท่านเยอะมาก กระทู้เกี่ยวกับท่านมีมหาศาลถ้าคิดจะลองเสิร์ชดูในกูเกิ้ล แต่คำตอบจากปากพี่พัดคือ ‘ลูกพระนเรศ’ ใช่ครับกระทู้ของผมเอง กระทู้แรกเลยที่เขียนแม้จะไม่ใช่ชื่อเต็มๆของกระทู้นั้นแต่หลายคนก็จำได้แค่พยางค์หลังเหมือนกับพี่คนนี้
          ผมไม่ได้ตอบกลับไปว่า ผมเขียนเองพี่! อะไรทำนองนั้นได้แต่นั่งฟังเงียบๆตามเดิม แต่มันก็มีความรู้สึกกรุ่นอยู่ในใจลึกๆที่อธิบายออกมาค่อนข้างยาก จากอากาศที่เย็นสบายมีลมอ่อนๆพัดมากลายเป็นความเย็นที่ทำให้ขนลุกชูชันไปทั่วทั้งร่างกาย อาการปวดหัวเริ่มปรากฏ เรียกว่าเจ็บคงจะเข้าใจง่ายกว่า ลองนึกว่ามีใครเอาเข็มแหลมๆมาทิ่มที่กลางกระหม่อม ถอนออกแล้วจิ้มใหม่อย่างนั้น
          อาการนี้มักจะเกิดขึ้นเวลาที่มีใครอยากจะสื่อสารหรือบอกอะไรกับตัวผมสักอย่าง พี่พัดยังคงเล่าต่อไปอย่างสนุกสนาน ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวผมแม้แต่น้อย
‘พี่เคยส่งข้อความไปถามนะครับ แต่เขาไม่ได้ตอบกลับ’
          ประโยคเดียวทำเอาผมต้องกันกลับไปมองหน้าพี่เขาที่ตอนนี้ฉายแววเศร้าปนเครียด ถ้าฟังดูแล้วมันก็คงเหมือนกับละครนะครับ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมได้เห็นในชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง ภาพของชายตรงหน้าผมมีเงาซ้อนทับของ ทหารโบราณ เพียงแค่กระพริบตาเดียวก็หายไป
‘คนของเรา’
          กระแสเสียงที่ไม่ได้ยินมาเสียงนานดังมาจากที่ไกลๆรอบด้าน แม้จะเบาแต่ก็ชัดเจนความรู้สึกที่เข้ามากระทบนั้นผมจำได้ดี ท่านไม่เคยทิ้งคนของท่านจริงๆ
          ผมไม่ค่อยได้บอกใครมากนักถึงเรื่องราวที่ผมเขียนไม่เคยบอกว่าผมเป็นใครหน้าตาอย่างไร แต่ครั้งนั้นก็ตัดสินใจบอกเขาไปตรงๆ สีหน้าของพี่พัดยังติดตาผมจนถึงทุกวันนี้พี่เขาตกใจมาก แต่มากไปกว่านั้นคือผมเองที่อยากขอโทษพี่เขาเรื่องข้อความ ไม่ใช่ผมไม่ตอบ แต่ผมยังไม่ได้เห็นเลยด้วยซ้ำ จำนวนข้อความที่เข้ามาไม่ใช่น้อยๆยิ่งโต้ตอบกันได้ยิ่งทำให้การค้นหาข้อความเป็นไปได้ยากมาก
          ผมขอข้ามช่วงแนะนำตัวกันไปเลยแล้วกันนะครับ เรื่องที่เป็นสาเหตุให้พี่พัดต้องคอยมาขอมาแก้บนอยู่เสมอๆคือเรื่อง ที่บ้าน บ้านของพี่พัดเป็นครอบครัวใหญ่มีพี่ป้าน้าอาอาศัยอยู่ด้วยกันในที่ดินขนาดใหญ่ ทั้งบ้านมีอาชีพทำนาทำสวนเหมือนหลายๆครัวในละแวกนั้น แต่พักหลังมานี้คนรุ่นใหม่ๆอย่างพี่พัดก็เริ่มที่จะหันมาจับอย่างอื่นบ้าง เช่น เปิดอู่ เปิดร้านอาหาร ค้าขาย
          เศรษฐกิจที่แย่ลงทุกวันสภาพอากาศที่วิปริตจนเดาใจไม่ถูกทำให้พืชผลเสียหายไม่ออกดอกออกผลเหมือนแต่ก่อน แม้จะมีทางออกมากมายด้วยวิทยาการสมัยใหม่ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้ คนรุ่นก่อน อย่างพ่อกับปู่ของพี่พัดหันมาทำตามและเห็นด้วยกับวิธีการที่พวกเขาไม่เข้าใจ
          เมื่อที่นาเริ่มประสบปัญหานานหลายปีเงินทองที่เคยมีสะสมมาก็ร่อยหรอลงทุกวัน ปู่ที่เป็นแกนนำหลักทั้งด้านจิตใจและอาชีพของคนในบ้านก็เหมือนจะอยู่ได้อีกไม่นานด้วยอายุและโรคประจำตัวที่มี คนรุ่นหลานเริ่มที่จะไม่สนใจการทำนาทำสวนอีก ทุกคนอยากมีอาชีพอื่นจึงเลือกที่จะไปหางานทำในตัวเมืองบ้าง ไม่ทำอะไรเลยบ้าง
          สุดท้ายคนทั้งบ้านก็ได้ข้อสรุปร่วมกันว่า วันหนึ่งถ้าหากไม่มีปู่แล้ว ที่ดินทั้งหมดจะถูกแบ่งกันอย่างเท่าเทียมใครจะเอาไปทำอะไรก็เอาไป จะขายจะปลูกบ้านจะเปิดร้าน แล้วแต่ใจจะคิด แต่นั่นคือเรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่ทุกคนก็หวังว่ามันจะมาถึงในเร็ววัน ยกเว้น คนไม่กี่คนที่ยังรักในวิถีเดิมและที่แน่ๆคือ พวกเขายังไม่อยากเสียพ่อไปในตอนนี้
          พ่อของพี่พัดเป็นหนึ่งในพี่น้อง 7 คนที่ยังประกอบอาชีพนี้อยู่และเป็นลูกคนโตที่ใกล้ชิดกับพ่อที่สุด พี่น้องอีกสองสามคนก็เช่นกัน ยังดูแลยังอยากให้พ่ออยู่ไปอีกนานๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไมใช่ทุกคนที่คิดอย่างนั้น พี่น้องที่เหลือนั้นแค่อยากได้ที่ดิน และไม่อยากมีภาระต้องมาดูแลคนป่วยอายุมากให้เหนื่อยกายเหนื่อยใจ
          ต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดคือ ที่ดิน มีทั้งคนอยากได้และไม่อยากได้ ไอ้ที่อยากได้ก็อยากไม่เท่ากัน ทำไมต้องแบ่งเท่ากัน ฉันเป็นพี่นะต้องได้เยอะกว่าสิ คำวาครอบครัวเริ่มมีปัญหา คนในบ้านทะเลาะกัน แย่งกัน เหมือนไม่ได้เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่เดียวกัน
‘น้องคิดว่าเขาทำร้ายกันอย่างไรล่ะครับ’
‘ด่ากัน ทำร้ายกัน?’
‘มันก็ใช่ครับ แต่เขาไม่ได้มาต่อยมาเตะอะไรอย่างนั้น แต่เขาเลือกที่จะใช้คุณไสยทำร้ายกันแทน’
          บ้านของพี่พัดจะแยกออกเป็นหลายหลังในที่ดินเดียวกัน บ้านแต่ละหลังไม่ได้ใหญ่เพียงแค่พออยู่อาศัย จะมีบ้านหลังแรกคือบ้านของปู่ที่ใหญ่ที่สุด บางคนเก็บเงินได้ แต่งงานก็ออกไปอยู่ต่างอำเภอบ้าง ต่างจังหวัดบ้าง ก็พอจะเรียกได้ว่าพวกเขาอยู่กันอย่างเป็นเอกเทศน์ บ้านใครบ้านมัน
          หลายครั้งที่เกิดเหตุประหลาดน่ากลัวขึ้นกับคนในบ้าน คนที่เจอบ่อยที่สุดคงจะเป็นพ่อของพี่พัดเพราะเป็นคนที่มาดูแลปู่มากที่สุดใกล้ชิดกับปู่มากที่สุด ในตอนแรกทุกคนคิดว่าคงมีคนคิดไม่ดีจะทำให้ปู่ไปเร็วขึ้น แต่พอมาคิดอีกนัยน์หนึ่งอาจเป็นความระแวงว่า พ่อ จะได้ที่ดินมากกว่าคนอื่นๆ หรือไม่ก็ได้ไปอยู่คนเดียว ก็ได้
          เราคุยกันมาถึงตรงนี้เวลาก็จวนจะค่ำแล้วพี่พัดเลยชวนผมไปนั่งหาอะไรกินนั่งคุยกันเพราะอยากจะหาทางออกเหมือนกัน เราย้ายมานั่งคุยกันที่ร้านนมริมฝั่งแม่น้ำน่านที่เพียงแค่ข้ามถนนมาก็ถึง
          ความน่ากลัวของเรื่องนี้ไม่ใช่น้อยๆเลยทีเดียวเพราะเขาไม่ได้อยากทำให้กลัว แต่เขาจะเอาให้ถึงตาย แม้แต่พี่พัดเองที่เป็นรุ่นหลานไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในมรดกชิ้นนี้ก็ยังพลอยโดนไปด้วย
          เรื่องแรกที่ผมได้ฟังก็คือ ช่วงที่พี่พัดยังเรียนอยู่พี่เขาใช้มอเตอร์ไซด์ในการสัญจรเอาสะดวกเหมือนคนอื่นทั่วๆไป แต่สิ่งที่แปลกคือมักจะมีคนเห็นเงาของใครบางคนนั่งคร่อมอยู่บนรถของพี่พัดในช่วงเวลาต่างๆไม่ใช่แค่กลางคืน บางครั้งกลางวันแสกๆแดดเปรี้ยงๆก็มีคนเห็น ครั้งแรกที่มีคนเข้ามาบอกเรื่องนี้กับพี่พัดคือ ยามประจำตึก

วันนั้นพี่พัดเลือกเรียนช่วงบ่ายๆหลังจากขึ้นคร่อมรถกำลังจะออกไปจากตรงนั้นยามก็เข้ามาขวางไว้โดยโบกให้จอด พี่พัดก็ตกใจคิดว่าตัวเองได้ทำผิดกฎอะไรของทางสถานศึกษารึเปล่าแต่ก็ไม่ใช่อย่างที่คิด ยามบอกว่าเขานั่งเฝ้าลานจอดรถอยู่ในป้อมช่วงสายๆเขากำลังจะไปซื้อข้าวมากินก่อนที่นักเรียนจะพักเที่ยงกัน
          แวบหนึ่งเขาเห็นเงาดำๆนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซด์สักคันหนึ่งแต่ยังไม่ได้สนใจคิดว่าคงเป็นใครที่เพิ่งจะเอารถมาจอด จนขากลับจากโรงอาหาเขามองไปอีกก็ยังเห็นคนนั่งอยู่บนนั้น ยามบอกว่าตอนแรกเห็นเป็นเงาๆแดดมันแรงด้วยก็คิดว่าย้อนแสงไม่ก็แสงแยงตาจนมองไม่ชัด แต่เขาก็เริ่มแปลกใจว่าทำไมถึงมานั่งอยู่อย่างนั้นทั้งที่แดดก็ร้อนเอามากๆ
          ระหว่างที่ยามกำลังนั่งกินข้าวเที่ยงอยู่ในป้อมเขาก็ยังมองเงาดำตรงนั้นอยู่ตอน เขาบอกว่าเห็นชัดมากไม่เหมือนเงาแต่เป็นคนผิวคล้ำ กรำแดดใส่เสื้อลายสก๊อตเหมือนพวกคนงานทั่วๆไป แต่เมื่อจ้องมองดูดีๆแล้วถึงได้เห็นว่าคนคนนั้นผิดปกติ เขาดูเลื่อนลอยไม่เหมือนอย่างที่คนควรจะเป็น
          อาจเพราะจ้องเขามากไปจนเขารู้ตัว เงาร่างนั้นหันมาจ้องตายามที่ยังจ้องอยู่ ดวงตานั้นซีดขาวไร้แววตัดกับผิวสีคล้ำบนท้ายรถ ยามคว้าเอาพระที่ตัวเองคล้องอยู่ขึ้นมาอารธนาแล้วผลลพธ์มันก็ตอกย้ำเขาอีกครั้งเพราะคนบนรถนั้นหายไปแล้ว ยามจำรถคันนั้นไว้แม่นเพื่อดักรอจะถามไถ่ข้าวของรถให้แน่ใจ
          คำถามของยามคือ น้องไปชนใครมารึเปล่า ซึ่งแน่นอนว่าไม่ พี่พัดไม่เคยขับรถชนใครแต่พอถูกทักอย่างนั้นก็รู้สกไม่สบายใจยามที่คงจะเป็นคนใจดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงแนะนำให้ไปทำบุญกรวดน้ำซะเผื่อใครที่ตามมาเขาจะได้ไป พี่พัดมารู้ทีหลังจากเรื่องนั้นนานพอสมควรในตอนที่ได้มาสนิทกับยามคนนี้ทีหลังว่า ยามคนนี้มีวิชาเป็นพวกเล่นของขลังค์จึงพอจะเห็นอะไรพวกนี้ได้อยู่บ้าง
          นั่นคือครั้งแรกและมันก็มีครั้งต่อๆมาอีกหลายครั้งที่มีคนเห็นเงาคนนั่งคร่อมอยู่บนรถมอเตอร์ไซด์ในลักษณะนี้ไม่ว่าจะเป็นตอนที่จอดไว้ที่หอตอนกลางคืน เวลาขี่รถไปที่อื่นคนเดียวก็จะมีคนเห็นว่ามีคนซ้อนมาด้วย และที่มันรุนแรงที่สุดคือพี่พัดบอกว่าครั้งนั้นเกิดอุบัติเหตุ
          รถเกิดเสียหลักไม่สามารถควบคุมแฮนด์รถได้ดั่งใจมันแข็งแปลกๆเหมือนกับมีน๊อตบางตัวหลุดหรือชำรุดไป รถแถเข้าข้างทางจนไปชนเข้ากับมอเตอร์ไซด์อีกคันที่ขับอยู่ในเลนซ้าย อีกฝ่ายไม่ได้บาดเจ็บอะไรมีแค่แผลถลอกกับรถที่เสียหายบางส่วน พี่พัดหัวแตกและมีแผลถลอกหลายจุด
          ทันทีที่หน่วยกู้ภัยมาถึงเขาก็ถูกนำส่งโรงพยาบาลทันที ก่อนจะลงจากรถมีคนหนึ่งในหน่วยกู้ภัยถามขึ้นมาว่า คนเจ็บมีคนเดียวหรอพี่ เห็นตอนชนอยู่กันสามคน พี่พัดที่ได้ยินอย่างนั้นก็คิดทบทวนดูว่าในที่เกิดเหตุนั้นมีใครบ้าง และคำตอบมันก็มีแค่ พี่พัด และ คู่กรีเท่านั้น ไม่ได้มีบุคคลที่สามอย่างที่ถูกถามถึง
          หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุครั้งนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเป็นระยะเวลานาน จนพี่พัดเรียนจบมาทำงานได้หลายปีก็มีเงินพอซื้อรถยนต์มาขับ รถกระบะคันนี้พี่พัดใช้วิ่งส่งของและติดต่องานเป็นประจำ ครั้งนี้เกมือนกับในช่วงเรียน เริ่มมีคนเห็นคนนั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับในเวลาที่พี่พัดจอดรถทิ้งไว้
          บางครั้งก็จะมีคนเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งมากับพี่พัดเช่นกัน น่าจะประมาณเดือนหนึ่งเห็นจะได้ที่มีคนพูดกันถึงเรื่องนี้พี่พัดก็ต้องประสบอุบัติเหตุอีกครั้ง คราวนี้รถกระบะไม่ได้ชนกับใครแต่เสียหลักพุ่งลงข้างทางแทน ดีที่ตรงนั้นไม่ได้มีต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่เป็นเพียงแค่ต้นไม้ต้นเล็กๆไม่ได้แข็งแรงพอจะรับแรงปะทะของรถยนต์ได้
          รถยุบเขามาไม่มาก แต่แรงกระแทกก็ทำให้คนขับได้รับบาดเจ็บและมีรอยช้ำตามตัวที่สำคัญคือต้องเสียเงินก้อนใหญ่ในการซ่อมรถครั้งนั้น สาเหตุการณ์ชนครั้งนั้นก่อนที่พี่เขาจะพูดออกมาก็ชะงักไปนิดหนึ่งเหมือนจะรวบรวมความกล้าพูดออกมา
‘ตอนนั้นพี่หันไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ตรงเบาะข้างคนขับ แต่พอหันไปมันมีผู้หญิงนั่งอยู่’
          ผู้หญิงในความหมายของพี่พัดคือ หญิงสาวอายุราวสามสิบกว่าๆ รูปร่างอวบ ตอนที่พูดคำว่าอวบเหมือนลังเลว่านั่นคือ ความอ้วน หรือว่า บวมอืด กันแน่ เธอนั่งเหม่อลอยมองออกไปยังกระจกหน้ารถไม่ได้มีความสนใจในตัวขนขับแม้แต่น้อย เนื้อตัวเธอเปียกโชกเหมือนเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ เสื้อผ้าสกปรกดูไม่ออกว่าเป็นสีอะไร พี่พัดตกใจมากจนเผลอรั้งพวงมาลัยอย่างแรงจนทำให้รถตกข้างทางลงไป
          พี่พัดหันมายิ้มให้ผมเหมือนไม่อยากให้เครียด แต่กลายเป็นว่าพี่เขาชวนผมไปที่บ้านแทนเพาะคนที่น่าจะเจอมาหนักที่สุดคงจะเป็นพ่อของพี่พัด อีกเหตุผลคือเขาอยากให้ผมไปดูที่บ้านให้ด้วยเผื่อมันยังมีอะไรตกค้าง หรือมีใครทำอะไรใส่บ้านของพวกเขาอีก
          เราตกลงกันว่าจะไปที่บ้านในวันถัดไปเพราะหลังจากนั้นผมจะไม่ว่างแล้ว พี่พัดขับรถมารับผมในตอนเช้าเพราะเป็นจังหวัดติดกันใช้เวลาไม่นาน บ้านที่พูดถึงอยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองพอสมควรตามคาด
          บ้านนั้นเป็นบ้านสวนเหมือนกับทั่วๆไปปลูกบ้านไว้ในดงต้นไม้เพื่อความสะดวกในการทำงาน ที่นาจะห่างออกไปหน่อยแต่มองเห็นได้ ห่างกันสักหน่อยจะมีบ้านหลังอื่นๆที่คาดว่าคงจะเป็นบ้านของญาติตามที่เคยเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ ผมถูกเชิญให้ขึ้นไปบนบ้านหลังใหญ่ที่สุดก็คือหลังที่ปู่อาศัยอยู่
          พ่อมักจะมาอยู่ที่บ้านหลังนี้มากกว่าบ้านของตัวเองเพื่อมาดูแลปู่ วันนั้นอาการของปู่ก็ไม่สู้ดีนักจึงเลือกที่จะมานั่งคุยกันในบ้านหลังนี้มากกว่า
          พี่พัดคงได้แนะนำผมกับคนเป็นพ่อไว้ก่อนแล้วจึงไมได้ต้องแนะนำตัวกันอีกเพียงแค่บอกชื่อด้วยตัวเองเท่านั้น
‘เข้ามาเห็นอะไรไหมลูก’

คำถามแรกก็ตรงเข้าประเด็นไปเลย แม้จะเห็นแต่คงยังไม่ใช่เวลาที่จะพูดอะไรในตอนนี้ผมอยากฟังเรื่องราวอื่นๆทีเกิดขึ้นเสียก่อน เมือผมชี้แจงดังนั้นพ่อก็เริ่มที่จะเล่าความผิดปกติของบ้านและที่ดินผืนนี้ให้พวกเราฟัง
          ปู่ป่วยมานานแล้ว ป่วยด้วยสภาพร่างกายก่อนที่จะมีเรื่องแบ่งที่แบ่งทางกันเสียอีกแต่จริงๆแล้วเรื่องการแบ่งที่มันมีมาตั้งแต่สมัยที่พ่อยังไม่ได้มีพี่พัด ญาติเขาคิดอย่างนี้กันมานาน ทะเลาะกันมานาน แต่ไม่มีข้อตกลงชัดเจนอะไรเอาแต่พูดส่งๆไปว่าจะแบ่งที่แบ่งทาง ทำกินแยกกัน แต่ไม่ถึงขัดจะตัดจะแบ่งโฉนด
          พ่อไม่เคยคิดหรอกว่าอาการป่วยของปู่จะมาจากน้ำมือของลูกๆ ทุกคนอาจจะไม่ได้รักกันมากแต่ทุกคนรักพ่ออย่างแน่นอนความเป็นไปได้ก็คือครอบครัวอีกฝั่ง ทุกคนที่แต่งงานไปแล้วก็มักจะโดนญาติของฝั่งนั้นเป่าหูมาบางครั้งก็บังคับหนักสุดก็เข้ามาวุ่นวายเองด้วยความ อยากได้ที่ดิน
          ถ้ามันจะใช่มันก็คงจะเป็นคนจากฝั่งนั้นมากกว่าคนในครอบครัวโดยตรง ครั้งแรกที่พ่อพบเจอกับเรื่องราวแปลกๆคือตอนที่พ่อเข้าไร่ไปทำงานกลับมาในช่วงเย็นๆด้วยความเหนื่อยล้าทำให้หลับไปตรงเปลที่ใต้ถุนของบ้าน อากาศบ้านสวนมักจะเย็นสบายอยู่ตลอดการจะหลับยาวจึงไมใช่เรื่องแปลก
          พ่อถูกปลุกด้วยเสียงเห่าหอนสลับกันของหมาที่เลี้ยงไว้สามตัวพวกมันพยายามส่งเสียงกระชากอยู่หลายครั้งเหมือนเวลาที่มีอันตรายเข้ามาใกล้
          ตรงลานดินหน้าบ้านพวกมันสามตัวพยายามขุดคุ้ยอะไรบางอย่างอยู่ พ่อรีบเดินเข้าไปดูด้วยความอยากรู้ สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือกองดินสภาพเละเทะจากฝีมือของหมาที่เลี้ยงไว้ที่ตรงกลางหลุมยังไมเห็นอะไรเลยนอกจากหลุมดินธรรมดาๆ
           ผ่านไปสักครู่หนึ่งหมาทั้งสามก็ยังไม่ยอมหยุดขุดกันจนพ่อทนไม่ไหวเดินไปเอาจอบใกล้ๆมือมาออกแรงขุดด้วยตัวเอง พ่อบอกว่าฟาดจอบลงไปได้สี่ห้าทีก็ได้ยินเสียงปลายจอบกระทบกับของบางอย่างจะใช้จอบขุดต่อเบาๆผสมกับหมาตัววุ่นที่มาช่วยด้วยอีกแรง
         เสียงมันเหมือนกับโลหะกับโลหะปะทะกัน และสุดท้ายก็ได้พบสิ่งที่ถูกฝังอยู่ข้างใน มันเป็นพุทธรูปทองเหลือขนาดปกติที่เห็นได้ทั่วไปแต่เศียรขาด ตามองค์มีรอยแตกร้าวหลายส่วน สภาพนั้นดูเก่าไม่น่าจะใช่ของใหม่ พ่อเห็นอย่างนั้นจึงรีบขุดเอาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
         พ่อเดินตรงไปที่วัดละแวกบ้านทันทีไม่ล้างไม่ปัดฝุ่นใดๆเพราะถ้าตามความเชื่อโบราณแล้วพระเศียรขาดไม่ใช่สิ่งที่ดีนักและไม่ควรจะนำมาไว้ในบ้านเป็นที่สุด
         คืนนั้นหลวงพ่อได้รับฝากพุทธรูปชำรุดนั่นไหว้และได้ให้น้ำมนต์มาประมาณหนึ่งเพื่อประพรมตรงที่ที่ขุดพบวัตถุดังกล่าว เป็นไปได้ว่าอาจมีคนคิดไม่ดีกับบ้านหลังนี้จึงใช้ของเหล่านี้มาทำร้าย
         อีกครั้งที่ได้พบเจอกับวัตถุประหลาดที่ใต้ถุนบ้านเช่นกัน ครั้งนี้ไม่ได้มีพวกหมาๆมาช่วยขุดเหมือนครั้งก่อนแต่มันเริ่มมีเหตุการณ์รุนแรงภายในบ้าน คนในบ้านทะเลาะกันมีปากเสียงกันไม่เว้นวันซ้ำยังค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆ
           วันนั้นคนที่ออกปากอยากให้จัดการเรื่องนี้ก็คือปู่ พ่อได้รับคำสั่งให้ไปเชิญเจ้าอาวาสวัดใกล้ๆนี้มา อายุท่านน่าจะใกล้ๆ70 แม้จะอายุน้อยกว่าปู่พอสมควรแต่ปู่ก็เลื่อมใสท่านมากคงเพราะได้เห็นตั้งแต่ท่านยังเป็นเณรอยู่กิจวัตรเอี่ยมสะอาดไม่น่าละอายเหมือนคนอื่นๆในสมัยนี้
          หลวงพ่อท่านเข้ามานั่งข้างๆเตียงของปู่เพื่อพูดคุยให้กำลังใจถามไถ่สุขภาพกันตามปกติ จากนั้นเดินตรงเข้าไปยังห้องพระขอนั่งเจริญภาวนาสักพักหนึ่ง พ่อและคนอื่นๆได้แต่นั่งรออยู่ที่ห้องโถงข้างนอกในบ้านของปู่ เวลาผ่านไปสักชั่วโมงหนึ่งท่านก็เดินออกมานั่งลงตรงเก้าอี้ไม้ใกล้ๆ
          ท่านนั่งเงียบๆไม่ได้พูดอะไร แม้ใครจะถามอะไรท่านก็ไม่ตอบ แต่ท่านเริ่มเทศน์ให้ทุกคนในที่นั้นได้ฟัง เนื้อหาในวันนั้นมีสองเรื่องซึ่งพ่อจำได้ดีคือเรื่อง ความกตัญญู และ การหวังในทรัพย์ของผู้อื่น
          หลวงพ่อท่านไม่ได้อธิบายหรือให้คำตอบอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่ขอตัวกลับด้วยท่าทางไม่สู้ดีนัก ญาติสลดไปเหมือนกันแต่ก็ได้แค่ไม่นานกลับมาทะเลาะกันใหม่ หลวงพ่อท่านเดินพรมน้ำมนต์ไปทั่วๆอีกครั้ง ก่อนกลับแอบกะซิบกับพ่อไว้ว่า ถ้ามีอะไรผิดปกติตรงไหนก็ให้ลองขุดดู คงจะเจออะไรบ้าง
          ด้วยคำของหลวงพ่อคืนนั้นพ่อจึงเอามุ้งมากางนอนอยู่ตรงแค่ใต้ถุนบ้าน ก่อนหน้านี้เคยเจอมาครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้ก็อาจจะเกิดอะไรขึ้นได้เช่นกัน แล้วก็จริงดังนั้นในช่วงกลางดึกก่อนเปลี่ยนผ่านสู่วันใหม่ หมาในละแวกไม่ใช่แค่ที่เลี้ยงไว้ในบ้านพร้อมใจกันเห่าหอนอย่างน่าขนลุก
           พ่อยังไม่ได้ลืมตาขึ้นมาด้วยความกลัว ปั้ก! เสียงเหมือนของบางอย่างหลุดกระทบพื้นอย่างรุนแรงจนพ่อสะดุ้งสุดตัว ด้วยความตกใจจึงรีบกวาดสายตาไปทั่วบริเวณที่ตอนนี้มืดสนิท มีไฟจากถนนรำไรเข้ามาบ้างพอให้เห็นทางแต่ที่ใต้ถุนต้องเปิดไฟเสียก่อนจึงจะมองเห็นอะไรได้บ้าง
          พ่อเอื้อมมือไปเปิดสวิทซ์ไฟนีออนที่ติดไว้อย่างง่ายๆตรงเสาบ้าน แสงสว่างกระพริบอ่อนเหมือนหลอดจะขาด แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริง แสงไฟสว่างวาบกระตุกหนึ่งทีแล้วก็ทิ้งไว้เพียงความมืดเหมือนอย่างเดิม
          พ่อต้องคลำทางไปหาไฟฉายที่น่าจะวางไว้ใกล้ๆกับตู้เครื่องมือช่างของพ่อ บรรยากาศในคืนนั้นเงียบสนิทไม่มีเสียงแมลงเสียงกบเสียงเขียดที่ควรจะได้ยินในทุกๆวัน หมาที่เลี้ยงไว้ก็หายเงียบไป มีแต่เสียงหมาหอนดังมาจากที่ไกลๆ
          พ่อสาดไฟฉายไปตามพื้นที่รอบๆตัวเพื่อหาที่มาของเสียงกระทบครั้งใหญ่นั่น นิสัยของคนทำงานในไร่ในสวนจะเดินย่างอย่างรวดเร็วและไม่ระแวดระวังสักเท่าไหร่ เสียงฝีเท้าหนักๆของตัวเองยามกระทบกับพื้นดินก็ทำให้รู้สึกวังเวงไม่ใช่น้อย
          ไม่ทันได้ตั้งตัวพ่อรู้สึกว่าตัวเองเหยียบโดนอะไรบางอย่างที่มีลักษณะนิ่ม ไม่ใช่ก้อนหิน งู! ความคิดแรกที่วิ่งเข้ามาในหัวด้วยสัญชาติญาณจึงรีบถอนเท้าหนีและหันไปมองที่ตรงหน้าพร้อมสาดไฟฉายให้สว่าง
          ที่ตรงนั้นไม่ได้มีงูสักตัวเดียวที่แต่สิ่งที่วางอยู่มันน่าขนลุกกว่านั้น ที่ตรงนั้นมีหนูนาตัวใหญ่ๆตัวหนึ่งนอนตายอยู่กับพื้นตามตัวมันมีรอยกัดแทะจนเป็นแผลเหวอะตรงช่วงท้องไปถึงคอ พ่อคิดว่าคงเป็นฝีมือหมาไม่ก็แมวสักที่หนึ่งแถวๆนี้

แต่พ่อนึกขึ้นได้ถึงคำพูดของหลวงพ่อจึงเชื่อเอาเองว่ามันอาจจะมีอะไรอยู่ที่ตรงนั้นก็ได้ พ่อเลยใช้จอบเขี่ยซากหนูทิ้งไปก่อนแล้วขุดลงตรงบริเวณนั้นทันที เพียงครั้งแรกที่เหวี่ยงจอบลงไปกระทบดินก็รู้สึกได้เลยว่าดินตรงนั้นร่วนกว่าที่อื่นๆเหมือนเพิ่งถูกกลบมาใหม่ๆ
          ไม่นานก็ได้เห็นสิ่งที่ถูกฝังเอาไว้ มันคือบาตรพระที่มีรอยแตกตรงก้นบาตรเป็นทางยาว สภาพบาตรไม่ได้เก่ามากเป็นแบบสีดำเหมือนสมัยก่อนที่ไม่ใช่แสตนเลสสีเทาทั่วลูกเหมือนสมัยนี้ พ่อตกใจมากแต่โกรธมากกว่าหยิบเอาบาตรขึ้นมาดูให้ทั่วก็พบว่ามันมีตัวหนังสือสีแดงๆเขียนเอาไว้รอบๆเป็นเหมือนยันต์เหมือนอักขระบางอย่าง
          พ่อขว้างมันใส่ถังขยะด้วยความโมโหแต่ก็ต้องรอจนกว่าจะรุ่งเช้าจึงจะไปปรึกษาหลวงพ่อได้ หลวงพ่อไม่ได้อธิบายอะไรมากนักเพราะคนรุ่นนั้นจะรู้กันดีว่าบาตรแตกถ้าไม่นำไปทำของขลังก็เอามาทำคุณไสยได้ดีนักแล หลวงพ่อรับมันไว้แล้วนำไปลอยน้ำในภายหลังส่วนบ้านก็ต้องเชิญทานมาพรมน้ำมนต์ซ้ำอีก
          คราวนี้ไม่ต้องถึงมือหลวงพ่อ พ่อเป็นคนเรียกพี่น้องมาคุยกันเรียกว่าด่าคงจะเหมาะกว่าไม่มีใครยอมรับว่าตัวเองเป็นคนทำและบางคนก็ร้องไห้เสียใจที่ถูกกล่าวหาเช่นนั้นด้วยคำตอบว่า ใครมันจะเลวถึงขั้นทำร้ายพ่อได้
          หลังจากนั้นอีกหลายครั้งที่บ้านนี้ได้พบเจอกับวัตถุแปลกๆ เช่น ห่อผ้าที่มีตะปูอยู่ข้างใน เศษฟันเก่าๆ กระทงใบตองทีใส่อาหารคาวหวานมา ตุ๊กตาเสียกบาล เศษกระเบื้องเก่าๆ มันมีหลายอย่างมากที่โผล่เข้ามาให้หงุดหงิดและต้องคอยแก้อยู่เรื่อยๆ นั่นเป็นเหตุผลที่พี่พัดมักจะมาบนบ่อยๆด้วยเช่นกันเพื่อไม่ให้คนเจ็บหายเจ็บ หรือหาของไม่ดีพวกนี้เจอ
‘ทำไมถึงถามว่าผมเห็นอะไรหรือเปล่าล่ะครับ’
          ผมถามกลับมาที่ประโยคเดิมถ้ามันมีแค่ข้าวของพวกนี้ก็คงจะไม่ถามแบบนั้นหรือว่าถามเป็นอย่างอื่นไปแทน และมันก็ใช่จริงๆ พ่อบอกว่าหลังจากนั้นเกิดเรื่องขึ้นมากมายแต่ที่น่าจะเป็นประเด็นสำคัญก็คือ บ้านนี้ต้องมีใครที่ไม่ใช่คนในบ้านเข้ามาอยู่อาศัยเป็นเวลานาน
          ครั้งแรกสุดคือคืนวันที่พ่อมานอนเฝ้าปู่ผลัดกับพี่น้องคนอื่นๆ คืนนั้นพ่อนอนกางมุ้งถัดไปไม่ไกลจากเตียงของพ่อ พ่อครึ่งหลับครึ่งตื่นเหมือนอยู่ในภวังค์เสียงฝนตกฟ้าร้องคำรามค่อยๆเรียกสติให้กลับมา ด้วยความเคยชินพ่อจะหันไปมองปู่ก่อนทุกครั้งที่ลืมตาขึ้นมา
          ปู่ยังนอนอยู่ในท่าเดิมแต่ท่าทางเหมือนไม่สบายตัวขยับไปมา เสียงหายใจหอบแรงติดขัดหายใจไม่สะดวก พ่อจึงคิดจะลุกไปขยับตัวปู่ให้นอนสบายขึ้นแต่ก็ขยับไม่ได้อย่างที่คิด ตัวไม่ได้หนักไม่ได้เกร็งแต่มันอ่อนแรงเหมือนร่างกายไม่ยอมทำตามคำสั่ง
          ฟ้าแลบให้แสงสว่างวาลสลัวเข้ามาในตัวบ้าน ที่มุมบ้านตรงใกล้ๆเตียงมีใครบางคนนั่งอยู่ คนตรงนั้นนั่งกอดเข่าท่าทางอมทุกข์ เขาไม่ได้ขยับไปไหนแต่แสงไฟสลัวนั้นยังทำให้มองเห็นเขาได้ลางๆ พ่อสาบานว่าไม่ได้ตาฝาด และนั่นก็ต้องไม่ใช่ญาติของเขาเองแน่ๆ
          เขาส่งเสียงเรียกดูหลายครั้งแม้ว่าตัวเองยังขยับไม่ได้ดั่งใจ ชื่อผู้ชายทุกคนที่รู้จักและมีสิทธิ์ขึ้นมาในบ้านหลังนี้ทุกชื่อถูกเรียกออกไปแต่ไม่มีใครตอบกลับแม้แต่น้อย พ่อตัดสินใจเอาแรงที่มีอยู่น้อยนิดหยิบหมอนขิดข้างตัวโยนไปตรงที่มีคนนั่งอยู่ตรงนั้น
ตุบ
          เสียงหมอนกระทบเข้ากับผนังบ้านที่ทำจากไม้ มันไม่ได้กระทบเข้ากับตัวคนแม้แต่น้อย พ่อหลับตาปี๋พยายามเค้นเอาแรงทั้งหมดที่มีออกมาจนหลุดจากสภาพนั้นได้ พ่อตรงไปยังมุมบ้านที่ตอนนี้มีแต่ความว่างเปล่าและความมืดของยามค่ำคืน
          หลายคืนถัดมาพ่อได้พบเจอกับเรื่องราวประมาณนี้อีกครั้ง ในขณะที่พ่อนอนอยู่ที่เดิม พ่อฝันเห็นใครบางคนมานั่งใกล้ๆปู่ นั่งอยู่บนเตียงของปู่จากภาพที่เห็นน่าจะเป็นผู้หญิงเพราะมีผมยาวรูปร่างอวบอ้วน ที่ใกล้ๆกันนั้นมีเงาของเด็กตัวเล็กๆอีกคนหนึ่งอยู่ ถัดไปมีเงาของผู้ชายคนหนึ่งนั่งชันเข่ามองพ่อจากมุมบ้าน
          แม้ไม่เคยเห็นและยังไม่ได้เห็นแต่ก็แน่ใจว่าผู้ชายที่ชันเข่าคนนั้นต้องเป็นคนเดียวกับคนที่เคยเจอมาก่อนหน้านี้ ในฝันพ่อได้แต่มอง และมองอยู่อย่างนั้น พวกเขานั่งรายล้อมพ่อเอาไว้ ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น
          พ่อเล่าเรื่องนี้ให้คนในบ้านและญาติๆฟัง มีคนหนึ่งที่เหมือนจะไม่เห็นด้วยและคิดว่าพ่อแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกให้ทุกคนไม่อยากได้บ้านได้ที่ดินที่มีผี น้าคนนั้นทั้งดาทั้งท้าทาย ซ้ำยังขึ้นเสียงใส่ญาติคนอื่นๆอีกด้วย
          หลังจากนั้นไม่นานน้าคนนั้นก็ล้มป่วยลงอย่างไร้สาเหตุ หลายครั้งที่เข้าไปที่โรงพยาบาลก็เจอว่าคงเป็นแค่การพักผ่อนน้อยและไข้หวัดธรรมดา กินยานอนพักก็จะหายดีเอง แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น น้าเริ่มอ่อนแอลงทุกวัน ร่างกายซูบซีดจนจำไม่ได้ ช่วงหลังๆถึงกับเพ้อพูดไม่รู้เรื่อง อารมณ์แปรปรวนเดาใจไม่ถูก
          ก่อนที่น้าจะเสียทุกคนผลัดกันไปนอนเฝ้าด้วยความเป็นห่วง มีคำพูดหนึ่งที่น้ามักจะพูดอยู่บ่อยๆและวนไปวนมาซ้ำๆ นั่นคือ ‘อยากกินเขียด’ น้าพูดอยู่หลายทีจนคนรอบๆตัวเห็นใจไปจับมาย่างทำอาหารให้แกกินแต่แกก็ไม่กินเอาแต่พูดคำเดิมๆซ้ำๆ
          วันที่น้าจากไปคนที่มานอนเฝ้าบอกว่าคืนนั้นเสียงเขียดร้องระงมไปรอบๆตัวบ้านจนตัวเองยังรำคาญจึงเปิดเสียงโทรทัศน์กลบความรำคาญให้ตัวเองอยู่นานสองนาน สักพักคนที่มานอนเฝ้าก็ได้ยินเสียงแปลกๆที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นภายในบ้าน
          เสียงของไก่แจ้ตัวผู้ดังแว่วๆมาจากในตัวบ้าน คำบอกเล่าของคนเฝ้าคือมันเป็นเสียงไก่ที่ใช้เวลาเดินไปเดินมาไม่ใช่ตอนขันเสียงดังๆ ใครเคยได้ยินก็คงพอจะนึกออกบ้านนะครับ แต่เสียงนั้นมันทุ้ม และต่ำกว่าเสียงไก่ที่เคยได้ยิน
          เสียงมันดังมาจากในตัวบ้านและก็ดูไมได้ไกลจากตัวเธอเองสักเท่าไหร่ในตอนนี้ ตอนนั้นไม่ได้คิดว่ามันเป็นสิ่งนากลัว ไก่ก็คือไก่ จะเดินไปไล่เสียให้จบๆ เมื่อคิดได้อย่างนั้นจึงพยายามเงี่ยหูฟังที่มาของเสียง
          แต่ไม่ทันจะได้คิดออก ไก่ตัวอ้วนๆตัวหนึ่งก็มาเดินตัดผ่านตรงหน้าไปจนเจ้าตัวสงเสียงร้องด้วยความตกใจอย่างไม่ทันระวัง ตัวเองเผลอปัดขวดน้ำใกล้ๆตกลงมาแตกเศษแก้วกระเด็นบาดปลายเท้าจนเลือดไหลลงบนพื้น

ด้วยความเจ็บเจ้าตัวก้มลงไปกดแผลแทนที่จะสนใจไก่ตรงหน้าแล้ว แผลไม่ได้รุนแรงมากก็จริงแต่เลือดก็ไหลไม่หยุดจนตัวเองกลัวว่าจะตาย คนเล่าเขาพูดไว้อย่างนั้นจริงๆ แม้จะเจ็บแค่ไหนแต่มันก็หายไปโดยสิ้นเชิงพอเห็นไก่แจ้ตรงหน้าเดินผงกหัวเข้ามาใกล้ๆ
           สิ่งที่เกิดขึ้นคือมันก้มหน้าลงตรงกองเลือดที่ไหลไปตามพื้น จิกกินเอาเหมือนกับคิดว่ามันคืออาหารของตัวเอง นัยน์ตาของมันสะท้อนแสงจากโทรทัศน์เห็นเป็นสีแดงเรื่อยๆ ทำเอาคนเห็นใจหายวาบขนลุกตัวเย็นจนทำอะไรไม่ถูก แต่พอตั้งสติได้ก็รีบไล่มันไปทันที
          มันกระโดดถอยไปข้างหลังแต่คนไล่คิดว่ามันจะกระโดดใส่เลยโวยวายเสียงดัง เธอไล่มันต่อไปแต่มันไม่ได้วิ่งไปตามทางที่เธอไล่มันวิ่งสวนกลับไปในห้องนอนของน้าที่นอนป่วยอยู่
          มันกระโดดขึ้นไปยืนบนหน้าอกของคนป่วยในห้องมืดๆโดยที่ตาของมันยังส่องแสงแดงระเรื่อยชัดเจนอยู่ คนเฝ้าเชื่อแล้วว่านี่มันไม่ใช่เรื่องปกติ เธอถอดเอาสร้อยคอขว้างไปยังไก่ตรงนี้แต่มันกระโดดหลบได้ทำให้สร้อยกระทบกับผนังบ้านร่วงลงบนเตียงแทน
          มันเกาะอยู่ตรงขอบหน้าต่างไม้ของบ้านที่ตอนนี้มุ้งลวดเปิดออกจากแรงลมฝนหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ มันกระโดดออกไปทางนั้นเธอรีบวิ่งตามไปดูเห็นเงาของมันวิ่งเข้าพงหญ้าหลังบ้านไป แต่สิ่งที่แปลกคือ เสียงเขียดที่เคยดังระงมเงียบสนิท เหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น
          เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอกหยิบเอาสร้อยพระที่ตกอยู่ข้างเตียงมาถือเตรียมจะใส่ แต่พอคิดอีกทีก็ไม่ดีกว่าเธอหยิบมันสวมให้กับน้าที่ตอนนี้นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง หากไก่ตัวนั้นเป็นผีร้ายตามความเชื่อของตน สร้อยพระนี้ก็คงจะพอช่วยอะไรเธอได้บ้าง อย่างน้อยก็ความสบายใจ
          ทันทีที่สร้อยถูกสวมลงบนคอแห้งๆของน้า เธอก็ลืมตาโพลงกรีดร้องลั่น โวยวายจนคนเฝ้าล้มลงไปนั่งกับพื้นด้วยความตกใจและทำอะไรไม่ถูก เสียงร้องของน้าปลุกให้ญาติคนอื่นๆตื่นและวิ่งเข้ามาดูอาการในเวลาไม่นาน
          ญาติๆใช้เวลาประมาณ 15 นาทีในการห้ามกาอาละวาดของน้า จริงๆแล้วแค่ถอดสร้อยพระนั้นออกเธอก็สงบลงและหลับลงได้อีกครั้ง และคืนนั้นคือคืนสุดท้ายที่เธอยังหายใจ เมื่อรุ่งเช้ามาถึงทุกคนเข้ามาปลุกเพื่อดูอาการก็ได้พบว่าเธอ ไม่หายใจแล้ว
‘แล้วคนเฝ้าตอนนี้อยู่ไหนครับ ผมมีเรื่องอยากถาม’ ผมพอจะปะติดปะต่อเรื่องได้บ้างแล้ว
‘ก็นั่นแหละปัญหา เธอไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว’
‘เธอไปไหนครับ’
‘เธอตายไปแล้ว’
ประโยคเดียวทำเอาผมเสียวสันหลังวาบ การถามถึงใครสักคนแล้วรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้วมันเป็นคำตอบที่ยากจะรับมือจริงๆ ผมจึงขอโทษไปนิ่งๆในความไม่รู้เรื่องรู้ราวของผม
          หลังจากที่น้าจากไปคนเฝ้าน้าซึ่งก็คือน้าอีกคนที่เป็นญาติกันก็เริ่มมีอาการผิดปกติ เธอเริ่มผอมซูบลงไม่ค่อยกินไม่ค่อยพูดจากับใครมักจะนั่งเหม่อๆอยู่เงียบๆคนเดียวแต่ก็มีช่วงที่เป็นปกติคุยรู้เรื่องอยู่บ้างเหมือนกับมีคนสองคนที่อยู่ในร่างนี้ ทุกคนกลัวว่ามันจะซ้ำรอยกับน้าที่เพิ่งเสียไปจึงเลือกที่จะพาเธอไปหาพระและหมอธรรมในละแวกบ้าน
           เธอยืนยันอย่างดีว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรแค่ช่วงนี้เครียดๆเศร้าๆจากการสูญเสียพี่น้องไปก็เท่านั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไมมีใครยอมฟังเธอเลย ทุกคนบังคับกึ่งลากพาเธอมายังตำหนักมีชื่อในละแวกนี้จนได้ เธอไม่ได้แสดงอาการกลัวหรือผิดปกติใดๆเลยจริงๆตลอดเวลาที่อยู่ในบ้านหลังนั้น ออกจะยิ้มเยาะเหมือนสนุกเสียมากกว่า
‘เอ็งเป็นใคร มาอยู่กับร่างนี้ได้ยังไง’ เจ้าตำหนักถามเสียงแข็ง
‘ฉันก็เป็นฉันสิจะเป็นใครได้’
‘อย่ามาปากแข็ง เอ็งมันเป็นผีไม่ใช่คน’
‘หรือคะ ถ้าฉันเป็นผีก็คงจะตลกดี’
          ไม่ได้ความคืบหน้าอะไรจากการไปตำหนักในครั้งนั้น เจ้าตำหนักไม่สามารถบอกหรือไล่ใครก็ตามที่เชื่อว่ามาแฝงร่างนี้อยู่ ก่อนออกจากตำหนักมาเจ้าตำหนักได้ทักไว้ว่า เธอชะตาขาดไปแล้ว ที่อยู่ตอนนี้ไม่ใช่เธออีกต่อไป แม้คนในบ้านจะไม่ได้เชื่อเจ้าตำหนักในส่วนนี้ แต่คนในบ้านรู้ดีแล้วว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่พวกเขารู้จักอีกแล้ว
          น้าคนนี้เป็นคนเล็กสุด ถูกคนอื่นดูแลมาอย่างดีจนมีนิสัยใจกว้างพูดเพราะเรียบร้อย และไม่เคยใช้คำว่า ฉัน เลยสักครั้ง บ้านนอกอย่างนี้บางทีก็จะเป็นเอ็ง ข้า กรุ ยิ้ม เสียมากกว่า แต่น้องคนนี้มักแทนตัวเองด้วยชื่อหรือไม่ก็คำว่าหนู ด้วยความเคยชิน
          เวลาผ่านไปไม่กี่วันเธอเริ่มเหม่อลอยอีกครั้งและพึมพำกับตัวเองทั้งวันว่า อยากกินเขียด ทุกคนพยายามช่วยอย่างเต็มที่แต่มันคงจะไม่ได้ผลอีกแล้ว เธอไม่ได้ดีขึ้น สองคืนสุดท้ายก่อนที่เธอจะจากไปเธอหายตัวไปจากบ้านช่วงกลางดึก คืนนั้นฝนตกพอประมาณไม่หนักมากแต่ก็ทำให้เปียกได้แม้จะแค่เดินผ่านเฉยๆ
          ทุกคนในบ้านออกตามหาเธอด้วยความเร่งรีบและร้อนใจ แสงไฟฉายสาดไปทั่วแนวต้นไม้และท้องนาใกล้ๆ จนในที่สุดคนที่พบเธอคือลุงแถวๆบ้านที่มาช่วยกันตามหา
          สภาพตอนที่พบเธอคือเธอยู่ในชุดผ้าถุงเสื้อยืดอย่างง่ายๆเหมือนที่เห็นช่วงเย็น เธอนั่งหลบอยู่หลังโป่งดินขนาดใหญ่ในท่านั่งนั่งยองๆ เขาสองข้างชันสูง ก้มหน้าก้มตาสนใจอะไรบางอย่างในมือ

ลุงคนที่เจอตะโกนเรียกคนอื่นๆให้ตามมา ไฟฉายสาดให้แสงสว่างจนเห็นสิ่งที่อยู่ในมือและปากของเธอ มันคือเขียดตัวเล็กๆที่ถูกเธอกัดกินสดๆจนมีเลือดแดงๆเปรอะเปื้อนตามเนื้อตัวและที่แปลกไปกว่านั้นคือเธอไม่ได้กระพริบตาแม้แต่น้อย สองตาเธอจ้องเขม็งมายังคนที่มองเธอสู้แสงไฟจากไฟฉายหลอดสีขาวที่มีกำลังสูงกว่าไฟฉายใส่ถ่าน
          คนที่ได้เห็นภาพในวันนั้นจำภาพติดตานั้นได้ดี พ่อพยายามเอาเศษซากเขียดออกจากปากเธอดึงตัวเธอออกมาจากตรงนั้น คนสามสี่คนช่วยกันสุดแรงจนพาเธอออกมาได้ และหลังจากกลับมาจากที่ตรงนั้นได้เธอก็เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องนอน ไข้ขึ้นสูงอยู่สองวันแม้จะได้ยาจากอนามัยชุมชนมากินบ้างแล้ว แต่มันก็เกิดจะเยียวยา เธอจากไปในคืนที่สองหลังจากเกิดเหตุ
          เรื่องราวค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้น และตัวหารจำนวนที่ดินก็เริ่มน้อยลงทีละนิด ทุกๆอย่างค่อยๆบอกเราอย่างชัดเจนว่าคนทำนั้นมีจุดประสงค์อะไร และมันก็เป็นเรื่องที่ยากจะให้อภัยเหลือเกิน และที่มากไปกว่านั้นพี่น้องเริ่มมองหน้ากันไม่ติด ทุกคนที่ยังเหลืออยู่ระแวงกันในทุกๆฝีเก้า
          บ้านที่เคยเกื้อหนุนเริ่มแตกระแหง แม้จะยังคงผลัดกันมาเฝ้าพ่อเหมือนอย่างเคยแต่ไม่มีใครทำอาหารมาแลกกัน มาร่วมวงกินข้าวกันเหมือนแต่ก่อน การจะไปมาหาสู่กันดูเป็นเรื่องยากและลำบากใจ
          พี่พัดที่รับรู้ทุกอย่างจึงไปตระเวนดูหมอมาหลายที่พร้อมๆกับที่ส่งข้อความมาหาผมเช่นกันแต่ผมไม่ได้ตอบกลับ หมอดูหลายๆเจ้าตอบไม่ตรงคำถามไม่สามารถให้ความกระจ่างชัดใดๆกับพี่พัดได้ จนสุดท้ายก็ได้ไปเจอกับเจ้าหนึ่ง
          เขาอายุเยอะมากแล้วน่าจะเป็นพวกปฏิบัติธรรม การดูนั้นใช้เพียงแค่วันเดือนปีเกิดและคำถามอีกนิดหน่อย พี่พัดบอกคุณตาไปก่อนว่าไม่ได้อยากรู้เรื่องอะไรเลยนอกจากบ้านและครอบครัว หมอดูนิ่งเงียบไปสักพักชีดเขียนอะไรบางอยางลงในสมุด
‘ไอ้หนุ่ม ขาเงินสัก 7 บาทสิ’
          พี่พัดยื่นให้ไปอย่าง งงๆ หมอดูเดินหายไปสักครู่หนึ่งก็เดินกลับมาพร้อมน้ำหนึ่งขวดบอกให้พี่พัดไปกรวดน้ำลงดินครึ่งขวดแล้วมานั่งดูต่อโดยให้นึกถึงบ้านถึงคนในบ้านที่ห่วงใย เจ้ากรรมนายเวรเจ้าที่เจ้าทาง
          พอทำอย่างนั้นก็กลับมานั่งคุยกันใหม่ หมอดูถอนหายใจมองหน้าอย่างสงสาร พร้อมกับคำตอบสั้นๆที่ได้ใจความ แต่มันคงเป็นคำตอบที่คนในบ้านไม่อยากได้ยินเป็นที่สุด
‘บ้านนั้นเป็นบ้านคนตายดินทั้งผืน คนเป็นอยู่ไม่ได้จะค่อยๆตายจาก ทะเลาะกันแตกแยก ย้ายออกเถอะ’
‘มันใหญ่มากนะครับแล้วจะทำอะไรกิน’
‘ของนอกกายนะไอ้หนุ่ม รักชีวิตจะดีกว่า’
           พี่พัดพยายามถามทางออกทางแก้แต่ก็ไม่มีเลยหมอดูบอกว่ามันเกินมือทีจะช่วยจริงๆ ต้องรอให้เวลาผ่านไปนานๆ นานมากๆ จนกว่าจะถึงรุ่นหลายของพี่พัดน่าจะพอเข้าไปอยู่ได้ ไม่อย่างนั้นจะมีคนตายเพิ่มอีกเรื่อยๆ
          คำตอบที่ไม่คาดคิดสร้างความกังวลให้คนในบ้าน แม้จะไม่สมเหตุสมผลนักที่จะเชื่อจริงจังมากมายขนาดนี้แต่การที่เสียงคนในบ้านติดกันสองคนด้วยเรื่องแปลกๆแล้วมันก็อดคิดไม่ได้จริงๆว่ามันจะเป็นไปตามที่หมอดูพูด
          เรื่องราวในอดีตจบลงตรงนี้ ที่เหลือคือเหตุการณ์ในปัจจุบันที่ยังค้างคาอยู่ ที่พ่อถามผมอย่างนั้นเพราะพ่อบอกว่าหลังจากการตายของน้องสาวทั้งสองคนพ่อก็เริ่มจะทนไม่ไหว ทั้งโกรธทั้งเสียใจเลยประกาศกร้าวท้าทาย ผีห่าซาตานใดก็ตามที่มาข้องเกี่ยวมาทำลายบ้านหลังนี้ ขอให้ออกมา มาเจอกัน เอาอะไรก็บอกไม่อย่างนั้นจะสาปแช่งไม่ให้มันได้ผุดได้เกิด
          และในคืนเดียวกันที่ลั่นวาจาไปดังนั้นพ่อก็ได้เจอกับความน่ากลัวของสิ่งที่ไม่คาดคิดอีกครั้ง พ่อบอกว่าวันนั้นไม่ใช่เวรที่จะไปนอนเฝ้าปู่จึงได้นอนอยู่ในบ้านของตัวเอง ช่วงค่อนแจ้งพ่อได้ยินเสียงเหมือนไก่มาร้องใกล้ๆหน้าต่างสลับกับเสียงเขียดที่ดังน่ารำคาญเหมือนกับอยู่ข้างๆหู
          พ่อพยายามเคาะผนังบ้านไล่ให้มันไปไกลๆแต่เสียงนั่นมันไม่ได้เบาลงเลยจนสุดท้ายก็ทนไม่ไหวเปิดหน้าต่างจะออกไปไล่สัตว์น่ารำคาญให้พ้นๆ แต่กลายเป็นว่าที่ตรงนั้นว่างเปล่าไม่ได้มีตัวอะไรเอยู่เลยสักตัว แต่เสียงนั้นก็ยังดังอยู่แต่คราวนี้มันดังไกลออกไป
          พ่อมองตามที่มาของเสียงนั้นคงพงหญ้าที่เป็นที่ดินรกร้างหลังบ้านของอีกครอบครัวหนึ่งที่ตอนนี้ไม่ได้อาศัยอยู่แล้ว ตรงนั้นจะมีต้นมะขามใหญ่ต้นหนึ่งตั้งอยู่ เสียงไก่ดังมาจากตรงนั้น เมื่อมองไปก็ทำเอาหัวใจเกือบจะหยุดเต้น เพราะที่กิ่งของมะขามมีเงาร่างของผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่
          จากคำบอกเล่าของพ่อมันนั่งชันเข่าอยู่บนกิ่งที่ใหญ่ที่สุด ถ้าให้ประมาณเป็นอายุหน้าตาอย่างนั้นคงจะราวๆ 50 ร่างกายผอมแห้งแต่ท้องป่อง หัวล้านไม่มีเส้นผม ตัวของมันเรื่อแสงสีเขียวจางๆมันมองหน้าพ่ออย่างพอใจ รอยยิ้มของมันน่าขนลุก มันอ้าปากแลบลิ้นยาวลงมาเกือบถึงหน้าอกหลอกให้พ่อตกใจกลัว
          พ่อเห็นอย่างนั้นรีบปิดหน้าต่างหันเข้าหาพระและสวดมนต์ทันที ภาพในวันนั้นยังติดตาอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือสุขภาพของพ่อค่อยๆทรุดลงเรื่อยๆแม้จะไม่ได้รวดเร็วแต่ก็เริ่มมีอาการหายใจติดขัดกินอะไรไม่ค่อยได้ขับถ่ายเหม็นมีกลิ่นมากกว่าปกติ
          แทบจะทุกคืนวันโกนวันพระที่พ่อจะได้เห็นไอ้ตัวเขียว พ่อเรียกมันอย่างนั้น มันจะมานั่งมองพ่ออยู่ข้างๆเตียงแลบลิ้นไปมาทำให้กลัวบางครั้งมันจะมานั่งอยู่บนตัวให้รู้สึกหนักรู้สึกเจ็บ ครั้งหนึ่งพ่อกำลังนอนหลับอยู่ก็ได้ยินเสียงไก่ร้องใกล้ๆหูพ่อไม่ลืมตามามองเพราะคิดว่าเป็นมันแน่ๆ
          แม้ไม่เห็นแต่พ่อสัมผัสได้ถึงสัมผัสลื่นๆน่าขยะแขยงของลิ้นที่มาแตะตรงแก้ม มันแตะไปมาอยู่นานแต่พ่อก็ใจแข็งไม่ยอมลืมตาขึ้นมา และนั่นเป็นครั้งแรกที่มันส่งเสียงพูด
‘ขออยู่ด้วยคนสิ’

คืนนั้นสุขภาพของพ่อก็ค่อยๆแย่ลงและมันยังคงมาวนเวียนทำให้ตัวเองกลัวอยู่ไม่เว้นวัน คนที่ร้อนใจที่สุดคงจะเป็นพีพัดในเวลานี้ เพราะฟังไปก็เห็นพี่เขาน้ำตาคลอไป ปู่ที่นอนฟังอยู่ก็หันมามองเหมือนกันแต่ไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ
          หมดเรื่องเล่าเข้าสู่คำถาม ในครั้งแรกที่ถูกถามว่าเห็นอะไรไหมต้องบอกไปตามตรงว่า ไม่ ทุกอย่างดูปกติดีแต่ที่มันน่าแปลกก็คือ 1 บ้านนี้ไม่มีเจ้าที่ไม่มีพระภูมิแม้จะมีศาลก็ตาม ซึ่งโดยปกติแล้วบ้านที่ไม่มีศาลยังมีเจ้าที่เลย แต่บ้านนี้ไม่มี 2 บ้านนี้ไม่ให้ความรู้สึกของคำว่าบ้านเลย มันมีแต่ความเงียบ วังเวง เหมือนเวลาเราไปไหว้หลุมศพใครสักคน
          ไอ้ตัวเขียวอยู่ที่ไหน ผมไม่รู้ผมยังไม่เห็นแต่แน่ใจค่อนข้างมากว่าที่นี่ไม่ปกติและมันต้องเกิดจาก น้ำมือของคน พ่อเสนอให้เอาทุกคนที่อยู่บ้าน ณ ตอนนี้มานั่งรวมกันให้ผมดูและถามเลยว่าใครเป็นอะไรยังไง แต่นั่นมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เด็กอายุ20กว่าๆใครจะมาเชื่อ
          ด้วยคำว่าพี่คนโตทุกคนจึงฟังและมานั่งรวมกันที่ลานในบ้านผมนั่งเกร็งอยู่กับพื้นเพราะทุกสายตาดูไม่อยากสนทนากับผมเลยสักนิด ทุกคนที่มานั่งรวมกันในวันนั้นไม่ได้มีใครที่ดูน่าสงสัยหรือมีความผิดปกติอะไร อาจเป็นเพราะบรรยากาศโดยรวมมันแปลกอยู่แล้วเลยทำให้ทุกอย่างดูกลมกลืน
          ผมไล่ถามบางอย่างไปจนหลายๆคนเริมเปิดใจให้ผมบ้าง แต่มีอยู่คนหนึ่งที่เอาแต่เถียงพยายามขัดผมก็เข้าใจว่าเขาคงหงุดหงิดแต่ก็อดหงุดหงิดไปด้วยไม่ได้ วูบหนึ่งผมรู้สึกปวดจี๊ดที่ปลายเท้าเหมือนไปเหยียบเข้ากับอะไรแหลมๆ ผมเคยเจออย่างนี้มาก่อน
‘คิดดีๆนะครับ ถ้าทำแล้วมันจบไม่สวยหรอก’
          ผมพูดลอยๆไม่ได้ขยายความอะไร ผมบอกกับพี่พัดไปว่าวันนี้กลับเถอะพรุ่งนี้มาใหม่แล้วเราจะได้รู้ทุกอย่าง วันนี้ยังไม่ใช่เวลาของมัน พี่พัดไม่ตกลง เขาอยากรีบจบทุกอย่างแต่ผมก็ยืนยันไปอย่างนั้น จนสุดท้ายผมก็ได้กลับบ้านอย่างที่ต้องการ
          ผมฝากแหวนที่ใส่ประจำไว้ที่พี่พัด บอกว่าให้พ่อเอาติดตัวไว้ไม่ก็วางไว้ที่หิ้งพระเพราะคืนนี้คงเป็นคืนที่ไม่สงบพอสมควร
          ผมกลับมาถึงบ้านด้วยความรู้สึกที่ชัดเจน ผมโดนแล้ว ใครบางคนในกลุ่มนั้นที่เลือกใช้คุณไสยมาโดยตลอดเขาเลือกที่จะทำมันใส่ผมเช่นกัน อาจเพราะความไม่พอใจ หรือกลัวว่าผมจะรู้อะไรบางอย่าง
          คืนนั้นผมนอนอยู่ในห้องด้วยใจที่กังวลนิดๆ ผมหลับไปในที่สุดแต่ก็รู้สึกตัวขึ้นมาเพราะเสียงไก่ร้องในลำคอ เสียงมันดังมาจากนอกห้องนอน ห้องของผมเป็นหน้าต่างกระจก มันเป็นเสียงเหมือนคนเคาะแรงๆหลายที
          ผมมองขึ้นไปตรงหน้าต่างวูบแรกใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม นั่นคงเป็นไอ้ตัวเขียวที่พ่อพูดถึง มันนั่งอยู่บนหลังคาบ้านข้างๆของผมที่ตรงกับห้องนอนพอดี มันแลบลิ้นปริ้นตาหลอกให้กลัว แต่ที่มากไปกว่านั้นคือผมเริ่มเจ็บตามเนื้อตัวเหมือนเวลาเราเป็นตะคริวแต่มันจะเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ
          ผมหลับตาสวดมนต์ตามวิธีเดิมๆที่เคยใช้ และมันก็ได้ผลความรู้สึกค่อยๆเบาบางลงความเจ็บปวดเริ่มหายดี และสองหูผมก็ได้ยินเสียงดังแว่วๆมาแต่ไกลเป็นเสียงของเด็กสองคนทีคอยช่วยผมในหลายๆครั้ง
‘ไปนะ ไป!’
          คืนนั้นของผมไม่ได้ยากลำบากเท่าใดนักแต่วันรุ่งขึ้นคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆอีกแล้ว
          วันต่อมาพี่พัดมารับผมเวลาเดิมแค่เจอหน้ากันพี่พัดก็บอกว่าที่บ้านเกิดเรื่องใหญ่ตอนนี้รู้แล้วว่าเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดใครเป็นคนทำ นั่นคงเป็นสิ่งที่ผมหมายถึงก่อนจะกลับจากบ้านนั้นเมื่อวาน
          เมื่อไปถึงทุกคนมานั่งรออยู่แล้วพร้อมกับชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่กลางกลุ่มของทุกคน คนนั้นคือลูกขายที่แต่งกับคนในบ้านนี้ เขานั่งอยู่ในท่าทางเหม่อลอยกอดเข่า จากคำบอกเล่าทุกคนตื่นมาเจอเขานั่งอยู่ตงนี้ตั้งแต่ช่วงค่อนแจ้งซึ่งไม่รู้ว่ามาเมื่อไหร่
          ผมเดินตรงเข้าไปใกล้ๆกลุ่มคนเหล่านั้น เขาไม่ได้สนใจผมจนผมเอื้อมมือไปแตะตัวเขาก็มีท่าทีลนลานเหมือนไม่อยากให้เข้าใกล้
‘ผมเตือนแล้วนะว่าอย่าทำ’
          เขาพูดไม่รู้เรื่องคล้ายคนเสียสติ แต่นั่นมันจะเป็นอย่างนั้นอยู่แค่ไม่นานเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ถามว่าผมทำใส่เขาหรือ คำตอบคือไม่ใช่ การที่คนเราจะหันหน้าเข้าไปยุ่งกับสิ่งเหล่านี้อย่างแรกเลยคือ เราต้องรู้จักมันและคุมมันได้ คนที่สักแต่ใช้เงินไปซื้อหาบูชามาจ้างคนอื่นทำ
          วันหนึ่งถ้าเจอคนที่เขา รู้มากกว่า ป้องกันตัวเองได้ หรือคนที่คุณทำร้ายเขาไม่ได้ ของพวกนั้นจะไปไหนเสียนอกจากย้อนกลับเขาหาผู้เป็นเจ้าของ
          ผมไม่ได้บอกให้เขารื้อบ้าน แต่ทุกคนทำกันเองโดยพละกานบ้านของลูกเขนคนนั้นถูกค้นและพบขวดน้ำมันขวดหนึ่งอยู่ในตู้เก็บของในนั้นมีกระดูกอยู่ชิ้นหนึ่ง ใช่ครับ นั่นแหละไอ้ตัวเขียว ผีกะวิชาที่เลี้ยงเอาไว้ใช้งาน มันมีไว้ทำร้ายคน คงจะไปเสียเงินบูชามาจากที่ไหนสักที่
          เรื่องคุณไสยจบไปครอบครัวเขาจะจัดการกันยังไงผมไม่รับรู้ด้วย ถ้าเขาหยุดทำทุกอย่างมันก็จะจบ เพราะตอนนี้ของมันย้อนเข้าตัวเขาไปแล้ว จริงๆเขาก็แบกมันมานานเพราะใช้งานบ่อย ยิ่งล่าสุดไปทำพ่อของพี่พัด ก็เริ่มจะแบกไม่ไหวแล้ว
          แต่เหตุผลที่บ้านนี้แตกกันผมคิดว่ามันไม่ใช่จากข้าวของพวกนี้เลย มันมีอะไรมากกว่านั้น ถ้าคุณจำได้พ่อเคยเล่าเรื่องวิญญาณที่มานั่งรายล้อมปู่ นั่นมันไม่ใช่ของวิชาอะไรเลย แต่พวกเขามาจากไหน
          ผมอยากคุยกับปู่ ปู่จะต้องรู้ทุกอย่าง ไม่มากก็น้อย ผมขอเดินขึ้นไปข้างบนโดยมีพ่อกับพี่พัดตามขึ้นมา คนอื่นๆยังวุ่นวายเรื่องลูกเขยคนนั้นอยู่
          ปู่เป็นโรคชราตอนนี้อายุ 90 กว่าๆแล้วแม้ร่างกายจะอ่อนแออ่อนแรงแต่ก็ยังคงอยู่ได้ดีหายใจเองได้ แค่ขยับตัวไปไหนแทบจะไม่ได้แล้วเท่านั้น
          เมื่อขึ้นมาข้างบนผมก็ได้เห็นสิ่งที่พ่อเคยบอกไว้ วิญญาณของ ชาย หญิง และเด็ก ทั้งสามคนยังอยู่ตรงนั้น เขานั่งรายล้อมปู่เอาไว้ด้วยความรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก
          ผมเดินเข้าไปแตะตัวปู่เป็นการทักทายเพราะอยากจะคุยด้วย ปู่มองหน้าผมน้ำตาคลอ ผมนึกในใจ ‘เราอยากคุยกับเขาเราขอได้ไหม’
‘บ้านกรุ’
          มีคำเดียวที่ตอบกลับมาจากเงาดำทั้งสามพวกเขายังไม่หายไป พวกเขายังอยู่ ปู่ที่ตอนนี้เริ่มจะพูดได้บ้างแล้วทำเอาพ่อกับพี่พัดตกใจยกใหญ่
‘ได้บ้านนี้มายังไงครับปู่’
          คำถามเดียวทำให้คนที่นอนอยู่น้ำตาไหล มันคงอัดอั้นเต็มทีและไม่รู้จะหาหนทางออกอย่างไร ปู่เล่าให้เราฟังว่าเรื่องมันเกิดตั้งแต่ช่วงปู่อายุ10กว่า พ่อของปู่กับเพื่อนอีกคนตอนนั้นพอมีเงินบ้างก็เลยปล่อยกู้ มีครอบครัวหนึ่งมากู้แต่ทวดไม่ตรงไปตรงมารวมหัวกันหลอก
          การศึกษาอันน้อยนิดของคนบ้านนอกทำให้เสียรู้และไม่มีเงินจะมาใช้หนี้ได้ เหลือแค่ที่ดินที่ตนมีอยู่ผืนใหญ่เป็นมรดก สุดท้ายเขาก็ถูกกดดันจนต้องยอมยกบ้านและที่ดินให้ทั้งหมดแทนการใช้หนี้แม้ว่าจะขอที่ดินเล็กๆไว้อยู่อาศัยแต่มันก็ไม่สามารถทำกินได้
          ความเครียดครอบงำจนสุดท้ายคนบ้านนั้นก็จบชีวิตตัวเองลงทั้งหมด ทิ้งจดหมายไว้เพียงว่า
‘บ้านของกรุ กรุของสาปแช่งพวกมลึงไม่ให้อยู่ได้ดี ต้องยิ้มไปตามๆกัน’
          ที่ดินนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองหนึ่งคือบ้านหลังนี้ และสองคือที่ดินรกร้างด้านหลังแบ่งกันทวดและเพื่อน ปู่รับรู้ทุกเรื่องราวแต่ยังเป็นเด็กได้แต่เฝ้าดูและรู้สึกผิดมาโดยตลอด ปู่เห็นเขาทั้งสามคนมาโดยตลอดตั้งแต่เขาตายไป พวกเขาทำให้ทวดตายด้วยโรคร้ายอย่างทรมาน เพื่อนของทวดก็อยู่ที่นี่ไม่ได้ย้ายไปที่อื่น แต่ก็ได้ข่าวว่าตายไม่ดีไม่แพ้กัน
          ผมทำอะไรไม่ได้ มันคือกรรม เขาสร้าง เขาต้องใช้ บุพกรรมของบรรพบุรุษบางครั้งก็ตกทอดมาสู่ลูกหลาน บาปที่เราไม่ได้ก่อแต่ร่วมเป็นพยานมันก็ส่งผลไม่แพ้กัน
          พ่อขอให้พาไปที่ดินรกร้างข้างหลังหน่อย โดยใส่รถเข็นไป ที่ตรงนั้นมีศาลเก่าๆอยู่ศาลหนึ่ง ปู่บอกว่ามันเป็นศาลที่ชาวบ้านสร้างให้ทั้งสามคนที่ฆ่าตัวตาย เพราะพวกเขาเฮี้ยนและอาละวาดมาก ปู่มักจะมาไหว้เขาทุกปีเพื่อขอขมา แต่เพราะร่างกายที่ทรุดโทรม จึงไม่ได้มานานมากแล้ว

ปู่ยกมือไหว้บนเก้าอี้น้ำตาไหล พร่ำคำว่าขอโทษซ้ำไปมาหลายครั้ง แต่ประโยคสุดท้ายนั้นสะเทือนใจยิ่งกว่า
‘ให้ฉันตายเถอะ ทรมานเหลือเกิน’ ปู่พูดด้วยน้ำเสียงเครือ
‘กรุไม่ยอม’
          ประโยคสุดท้ายนั้นไม่รู้ว่าใครจะได้ยินมันบ้างนอกจากผม แต่เรื่องราวทั้งหมดมันก็จบลงแค่ตรงนั้นเราทำได้แค่ รู้ต้นเหตุ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ใดๆได้อีก กรรมใดใครก่อ ก็ต้องรับมันไว้ มีแต่พีพัดที่ตอนนี้ยังเหลือเวลาและกำลังให้สร้างกุศลชดเชยกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันคงเป็นโอกาสที่สองที่ ใครบางคนมองให้ก็เป็นได้
          ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันจนจบนะครับ เรื่องนี้อาจไม่ได้น่ากลัวมากแต่ก็คงมีอะไรให้เราได้คิดทบทวนหลายอย่าง ครั้งหน้าจะเป็นเรื่องที่ น่ากลัว ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะผมเขียนเองผมยังเสียวๆสันหลัง แล้วเจอกันนะครับ
ลอยชาย.


ติดตามข่าวสารพูดคุยกันได้นะครับที่เพจ : ลอยชาย.
ปล.เรื่องราวทั้งหมดเป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน