พี่ครับ...ผมเลี้ยงผี
พี่ครับ...ผมเลี้ยงผี เรื่องราวสุดหลอนของคุณลอยชาย เจ้าชายนักเล่าแห่งพันทิป ด้วยเรื่องราวที่ว่าด้วยการเล่นของนั้น เชื่อส่วนบุคคลและไสยศาสตร์ มีหลากหลายแขนงบางคนเล่นของบางคนเลี้ยงผี ไปติดตามเรื่องของเขาเลยครับ
เรื่องราวบางอย่าง เราก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวให้มันเกิดความวุ่นวายกับชีวิตของเรา แต่หลายๆ เรื่อง ก็ทำให้ต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ จะรู้หรือไม่ก็ตาม ถ้ามันเริ่มไปแล้ว ก็ยากที่จะจบลง โดยไม่มีอะไรเกิดข้น
ครั้งนี้ต่างจากหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ผมไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง ไม่เคยคิดว่าตัวเอง จะต้องมาทำอะไรแบบนี้ และแน่นอนว่า มันสร้างความเดือดร้อนให้กับคนรอบข้างพอสมควร
เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงแรกๆ ของการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ตอนนั้นผมยังไม่ได้มาเขียนเรื่องเล่าจริงๆ จังๆ เหมือนอย่างทุกวันนี้ และเป็นช่วงที่เพิ่งเริ่มรู้ตัวว่า เราชอบเขียน ซึ่งเรื่องราวนี้ก็เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ในกระทู้ ‘อีกเรื่องเล่า...จากลูกพระนเรศ’ ระยะหนึ่ง
ถ้าใครที่เคยอ่านกระทู้นั้นก็น่าจะเคยผ่านตาว่า เรื่องราวในวันนั้นทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปพอสมควร อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ เริ่มมีคนรู้จักผมในแง่มุมนี้มากขึ้น พี่ๆ เพื่อนๆ ก็เริ่มที่จะบอกเล่ากันปากต่อปากไปสู่คนมากหน้าหลายตา ทั้งที่ผมรู้จักและไม่รู้จัก และเรื่องนี้ก็เป็นผลมาจากเหตุการณ์นั้นเช่นกัน
อยู่ดีๆ วันหนึ่งเพื่อนของผมที่ไม่ใช่กลุ่มที่สนิทกันมากนัก ก็เข้ามาทักทายตามปกติเวลาเจอหน้ากัน พร้อมกับบอกว่า มีคนอยากคุยกับด้วย ผมก็เลยถามกลับไปว่าเป็นใครและจะคุยเรื่องอะไร
เพื่อนบอกว่าไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน แต่น่าจะเป็นเรื่องผีๆ สางๆ นี่แหละ ผมลังเลสักครู่หนึ่ง ก็ขอปฏิเสธไปก่อน เพราะตอนนั้นยังรู้สึกว่าไม่อยากให้ชีวิตเกิดความวุ่นวาย แค่เรื่องเรียนก็ยากเกินพอแล้ว
ผ่านไปสองสามวัน ผมก็ได้เจอเพื่อนคนเดิมอีก คราวนี้มันเดินมาหาผมหน้าตาแหยๆ เหมือนมีอะไรจะพูด พอถามจึงได้รู้
เพื่อนผมกล่าวขอโทษ ก่อนที่จะบอกว่า ได้ให้ Facebook ของผมกับน้องคนนั้นไป เพราะด้วยความสนิทกันระหว่างเพื่อนผมกับคนๆ นั้น บวกกับโดนคะยั้นคะยอจึงจำเป็นจะต้องให้ไป
บอกตามตรงว่า ตอนนั้นค่อนข้างโกรธ และไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรออกไป เพราะผมเองกับเพื่อนคนนี้ก็รู้จักกันเพียงผิวเผิน ทางนั้นกับเขาคงจะสนิทกันมากกว่าเป็นทุนเดิม การจะเลือกทำตามคำขอของฝั่งนั้น ก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดา
ผมตัดสินใจว่าแค่ให้ไป ถ้าไม่ทักไม่มาวุ่นวายอะไรผม ก็คงไม่เป็นไร แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะก่อนจะแยกกันเพื่อนบอกว่า ‘น้องมันทักไปแล้วนะ แต่เห็นไม่ตอบ เลยฝากมาถาม’
ผมก็งงๆ ว่าจะทักมาได้อย่างไร เพราะไม่ได้มีข้อความอะไรแจ้งเตือนขึ้นมา มันเหมือนกับว่า ถ้าไม่ได้เป็นเพื่อนกันหรืออะไรสักอย่าง ทำให้เวลาทักมาจะไม่เห็นข้อความ ไม่เหมือนไลน์ที่มันจะแจ้งเตือนขึ้นมาก่อน แล้วค่อยกดรับก็ได้ (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะใช่ จำได้ลางๆ แค่ว่าไม่ได้เห็น)
จากคำพูดของเพื่อน จึงได้รู้ว่าบุคคลดังกล่าวน่าจะเป็นรุ่นน้องของผมอีกทีหนึ่ง และเรียนอยู่ที่นี่เช่นกัน แต่คงจะเป็นคณะอื่น ด้วยความเกรงใจเพื่อน จึงเปิดข้อความเข้าไปดู และรู้สึกไม่ค่อยพอใจที่มีคนเข้ามายุ่มย่ามวุ่นวาย
ผมตอบไปตามมารยาทแล้วก็เงียบหายไป ทั้งที่เห็นว่าน้องส่งข้อความตามมาอีกหลายครั้ง ผมก็ไม่กดเข้าไปอ่าน เพราะคิดว่าคงแค่อยากคุยไม่ได้มีเหตุอะไร
อยู่ดีๆ ในคืนหนึ่งที่ผมนั่งเล่นอะไรไปเรื่อยอยู่ในห้อง ข้อความใน Facebook แจ้งเตือนขึ้นมาติดๆ กัน พอเหลือบไปดูก็เห็นว่าเป็นข้อความของน้องคนเดิม ตอนนั้นหงุดหงิดมาก จนตัดสินใจกดเข้าไปเพื่อจะ ด่า และให้หยุดรบกวนผมสักที
ด้วยนิสัยที่ชอบอ่านนั่นอ่านนี่ ทำให้ตอนเปิดเข้าไปดูข้อความ สายตาก็กวาดไปเจอกับข้อความหนึ่งที่สะกิดใจของผมมาก
‘พี่ครับ ผมเลี้ยงผี’
ประโยคนั้น ทำให้ผมต้องกลับไปย้อนอ่านข้อความที่ค้างไว้อีกหลายข้อความ และใช้เวลาร่วมสิบนาทีในการไล่อ่านเนื้อหาใจความทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ
ข้อความทั้งหมดนั้นวกไปวนมา มีใจความอยู่แค่ไม่กี่บรรทัด เหมือนกับผู้เขียนไม่รู้ว่าตัวเองต้องการจะสื่ออะไร และกลัวว่าผู้อ่านจะรู้อะไรไปมากกว่าที่ตนอยากให้รู้
เอาเป็นว่าใจความสำคัญเท่าที่มีคือ น้องคนนี้ชื่อเจมส์ (ชื่อสมมติ) และน้องมีความสนใจในเรื่องของไสยศาสตร์มากกว่าเด็กทั่วไปประมาณหนึ่ง เป็นเรื่องปกติที่วัยรุ่นจะเป็นวัยที่อยากรู้อยากลอง และช่วงวัยนี้สิ่งที่ขาดไปมาก คือ สติ และ ความยับยั้งช่างใจ
ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ทำให้เจมส์พาตัวเองเข้าไปพัวพันกับสิ่งที่ไม่ควรยุ่ง น้องไม่ได้ไปลองของ น้องไม่ได้ไปเที่ยวบ้านผีสิงเหมือนอย่างเด็กทั่วๆ ไป แต่น้องไปร่ำเรียนเอาไสยศาสตร์พวกนี้มาไว้กับตัว
ผมอ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็ถอนหายใจ บอกตัวเองว่า ไม่น่าเข้ามาอ่านเลย พอรู้แล้วก็ยากที่จะวางไว้หรือไม่สนใจ
ครั้งนั้นผมรู้สึกไม่แน่ใจกับคนที่กำลังสนทนากับผม ไม่รู้ถึงสิ่งที่เขาต้องการ เพราะอ่านแล้วก็จับใจความได้แค่นั้น คำว่าเลี้ยงผีของน้อง ก็มาจากการร่ำเรียนวิชาเหล่านี้เช่นกัน มันเป็นหนึ่งในวิชาที่น้องรับมาจากผู้ที่เรียกว่าเป็น อาจารย์
‘แล้วน้องต้องการให้พี่ทำยังไงครับ’ ผมตอบไปอย่างนั้น เจมส์ก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน
‘ผมอยากเลิกครับ’
ประโยคนั้นทำให้ความหงุดหงิดของผม ลดลงมาหลายระดับ จนเกือบจะกลับมาเป็นปกติ คนเราทำผิดพลาดกันได้และก็ควรให้โอกาสกับคนที่ต้องการจะกลับตัวบ้างสักครั้ง
เราคุยกันต่ออีกสักพักก็ไม่ได้ใจความอะไรมากมาย นอกจากน้องบอกว่า เหมือนจะคุมของที่รับมาไว้ไม่ได้แล้ว ผีที่รับมา น่าจะแข็งเกินกว่าคนที่เริ่มหัดอย่างเขาจะเอามาใช้งาน และมันก็เริ่มที่จะสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง เขารู้ว่าทำผิด แต่คราวนี้เขาก็กลัวจะเอาตัวไม่รอดจริงๆ จึงขอความช่วยเหลือมาทางผม
ผมถามต่อไปอีกหน่อยว่า ถ้าคิดจะเลิกแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม ต้องการให้ผมทำอะไรให้กันแน่ เจมส์ตอบกลับมาว่า สิ่งที่ตัวเองไม่รู้ เริ่มทำให้เขาอยู่ไม่ได้ มันเริ่มหลอกหลอน และทำร้ายเขา ซึ่งเขาอยากจะหยุดมันให้เร็วที่สุด
เจมส์ขอออกมาเจอผม และคุยกันตรงๆ มากกว่า เผื่ออะไรๆ มันจะชัดเจนกว่านี้ ผมจึงทักไปหาเพื่อนที่อยู่หอเดียวกัน แต่ก็ไม่มีใครอยู่เลย ทุกคนกลับบ้านไปเมื่อเย็น บางคนก็ยังไปเที่ยวอยู่ข้างนอก ผมเลยตัดสินใจออกมาคนเดียว ทั้งที่ไม่ค่อยจะทำนัก
เรานัดเจอกันที่ร้านบะหมี่ร้านหนึ่งใกล้ๆ หอพักของผม ผมนั่งรอได้ไม่นานเขาก็มาถึง หน้าตาของเขาค่อนข้างดี สีผิวออกจะคล้ำสักหน่อย แต่ก็ดูน่าจะเป็นที่สนใจของสาวๆ เหมือนกัน ด้วยรูปร่างที่สมส่วนกับกล้ามที่เบียดชายเสื้อจนคับพอดีตัว
เขายกมือไหว้ตามประสาคนรุ่นน้อง ซึ่งก็ทำให้เราเปิดใจกับเขามากขึ้น มารยาทเป็นสิ่งที่ดีเมื่อต้องไปพบเจอกับใครก็ตาม ผมเองก็ถือคติเช่นนี้มาตลอด แต่สำหรับใครที่ไม่ควรเคารพ ก็คงจะไม่เลือกใช้กับเขาเป็นแน่
ผมได้ฟังเรื่องราวโดยละเอียดอีกครั้ง คราวนี้รู้เรื่องกว่าตอนพิมพ์มาก แต่เขาก็ยังมีท่าทีที่ดูตื่นเต้น กล้าๆ กลัวๆ อยู่ไม่น้อย
เจมส์เล่าว่า หลังจากที่ไปศึกษากับอาจารย์ท่านหนึ่งมา เขาก็เริ่มได้ของขลังมาหลายชิ้น ซึ่งมันก็ได้ผล เห็นผลในแบบของเขา ทั้งแคล้วคลาดและด้านอื่นๆ พื้นเพเขามาจากบ้านนอก ที่มักจะมีเรื่องต่อยตี ยิงกันบ่อยๆ ก็แคล้วคลาดมาได้ทุกครั้ง และตัวเขาเองก็อยู่ในแก๊งมอเตอร์ไซด์มาก่อน เคยทั้งคว่ำทั้งชน แต่ก็รอดมาได้ ท่าทางตอนเล่านั้น ดูภูมิใจพอสมควร
ทุกอย่างเหมือนจะดี จนวันหนึ่งเขาได้ ‘ผีเลี้ยง’ มาจากอาจารย์ โดยมันมีประโยชน์มาก ใช้ทำอะไรได้หลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็เป็นเรื่องของเสน่ห์ แต่มันก็แลกมาด้วยข้อห้ามและข้อแม้อะไรหลายๆ อย่าง โดยอาจารย์รับประกันว่า ถ้าทำตามเงื่อนไขได้ทุกข้อ มันจะมีแต่เรื่องดีไม่มีเสียแน่นอน
พอได้ยินอย่างนั้น ผมก็เริ่มกลับมาหงุดหงิดอีกครั้ง เพราะผมไม่ชอบการใช้งานวิญญาณอะไรอย่างนี้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องทำตัวนิ่งๆ ไว้
‘แล้วไงครับ’
ผมถามกลับด้วยความไม่พอใจ และสงสัยว่าถ้าเขาจะเลี้ยงแล้วมันจะมีปัญหาอะไร หลังจากได้ยินคำถามจากผม เขาก็อึกอัก คงเพราะน้ำเสียงของผมที่เริ่มหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
เขาขออนุญาตเล่าต่ออีกหน่อย เพื่อความกระจ่างในสิ่งที่เกิดขึ้น
หลังจากได้รับผีเลี้ยงนั้นมาแล้ว อาจารย์ก็กล่าวถึงรายละเอียดของผีเลี้ยงตนนี้โดยมีความว่า ผีตนนี้เป็นพรายที่ถูกจับมาด้วยวิชาของตัวอาจารย์เอง ส่วนราคาค่างวดนั้น ก็ว่ากันไปตามระเบียบของหมอผีหากินอย่างเขา แต่สิ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจคือ วิธีการใช้งานและเงื่อนไขของวิญญาณดวงนี้
พอฟังแล้วผมหลุดขำกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะมันไม่ต่างจากการโฆษณาขายสินค้าของร้านค้าเลยสักนิด ราวกับว่าวิญญาณดวงนั้นเป็นสินค้าที่ใครๆ ก็สามารถหยิบจับซื้อขายได้ตามชั้นวางต่างๆ
การจะใช้งานพรายนั้นต้องทำใจให้เข้มแข็ง ห้ามกลัว จิตของผู้ใช้ต้องมั่นคง และแน่วแน่กว่าบริวารที่ตนมี ไม่อย่างนั้น มันจะไม่เชื่อฟัง และถ้าไม่ทำตามหรือเข้ามาทำร้าย ก็ให้ใช้คาถาที่กำกับไว้ลงโทษให้เจ็บปวด เพื่อบังคับให้กลับมาอยู่ในโอวาท
หลังจากการใช้งานทุกครั้งไม่ว่าเรื่องอะไร ต้องทำเครื่องเซ่นและทำบุญตอบแทนให้กับพรายตนนั้น โดยเครื่องเซ่นที่ว่านั้น ต้องเป็น แกง 1 อย่าง เนื้อแดดเดียว ข้าวเปล่า น้ำพริก และผักต้ม
‘ทำไมต้องเจาะจงว่าเป็นอาหารพวกนี้’ ผมถามด้วยความไม่เข้าใจ
‘อาจารย์เขาว่า ผีตนนี้มันชอบกินครับ’ เจมส์ตอบอย่างตรงไปตรงมา
ในช่วงแรก หลังจากได้มาอาจารย์บอกว่า อย่าเพิ่งใช้งานพรายตนนี้ เพราะอาจเกิดความเสี่ยง เนื่องจากยังคุมไม่อยู่ แต่ให้อาศัยอยู่ด้วยกันไปก่อนสักพักหนึ่ง จนรู้สึกว่าเราคุมได้
การอาศัยอยู่ร่วมกันคือ ให้รับมาเลี้ยง แล้วให้เรียกหาทุกวัน พยายามติดต่อ และบังคับให้พรายออกมาแสดงตัวให้รับรู้
เขาเล่าให้ผมฟังว่า 7 วันแรก คือการวัดผลว่าจะคุมพรายอยู่หรือไม่ ระหว่างนั้นต้องรักษาศีล ทำสมาธิ และบริกรรมคาถาทุกวัน เพื่อทำให้กำลังของจิตมีมากพอ เพื่อแสดงให้พรายเห็นว่า นี่คือ ผู้เป็นนาย
เจมส์ได้บังคับให้พรายแสดงตนด้วยการส่งเสียง ไม่ว่าจะเป็นเสียงอะไรก็ตาม จะพูด จะขว้างปาข้าวของหรืออะไรก็ได้
3 วันแรก ไม่มีวี่แววของสัญญาณดังกล่าว เขาจึงพยายามต่อไป จนในวันที่ 4 ก่อนที่จะนอน หลังจากทำสมาธิเสร็จก็บริกรรมคาถากำกับตามคำสั่งของอาจารย์
‘ถ้าเธอมีอยู่จริง จงรับรู้ว่า เรา....(ตามด้วยชื่อ) เป็นนาย หากรับรู้ ขอให้ตอบรับด้วยการส่งเสียงอะไรก็ได้’
กึก.. กึก..
หลังจากจบประโยคนั้น ตู้เสื้อผ้าที่ทำจากไม้ในห้อง ก็ส่งเสียงดังเหมือนมีของแข็งไปกระทบเข้ากับบานประตูของตู้ เขาตกใจจนเผลอร้องออกมา แต่ก็ต้องข่มใจไว้ เพราะถ้าเผลอกลัว ก็อาจจะเป็นเขาเองที่จะตกเป็นฝ่ายถูกควบคุม
เหตุการณ์ในคืนนั้น ทำให้เขามั่นใจว่า สิ่งที่อาจารย์ให้มานั้นเป็นของจริง และเขาก็พร้อมที่จะใช้งานมันแล้ว เหลือเพียงเวลาและโอกาสเท่านั้น
ร่วมเดือนที่เขาอาศัยอยู่กับพรายตนนี้โดยไม่มีเครื่องเซ่นหรือบุญใดๆ ตกถึงท้องเลยสักนิด ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ควรจะปล่อยให้มันหิวถึงขีดสุดก่อน จึงสั่งให้มันทำงาน มันจะรีบทำตาม เพื่อดับความหิว’ ตามคำแนะนำของอาจารย์
ผมถามกลับไปว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันหิว เจมส์ตอบมาง่ายๆ ว่า ใช้วิธีถามเหมือนเดิม ถามตอบผ่านเสียงกุกกักเหมือนอย่างทุกที ถ้ามันเริ่มทนไม่ไหว มันจะส่งเสียงอยู่ตลอดโดยไม่ต้องรอให้เรียก หรือถ้าเรียกก็จะตอบกลับมาอย่างรวดเร็วและเสียงดังกว่าปกติ
การกระทำเช่นนี้ ไม่ต่างจากการเลี้ยงสัตว์ไว้ล่าเนื้อ ทรมานเพื่อใช้งาน เพื่อประโยชน์ส่วนตนเพียงฝ่ายเดียว
และแล้วโอกาสก็มาถึง คืนหนึ่งเจมส์ไปดื่มกับเพื่อนๆ ตามประสาวัยรุ่น ในวันนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นที่ถูกใจเขาอย่างมาก และอยากจะสานต่อความสัมพันธ์
ในตอนแรกเขาคิดหาวิธี จะเข้าไปตีสนิทตามแบบของผู้ชายทั่วๆ ไป แต่ก็รู้สึกประหม่าไม่กล้าเข้าไป นั่นอาจเพราะเธอคนนั้น เป็นคนที่ดูดีมากในระดับหนึ่งเลย อีกทั้งคนในร้านก็เยอะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เขามีคนคุยหรือมากับใครหรือเปล่า
‘ลองดูก็ไม่เสียหาย’ เจมส์บอกตัวเองอย่างนั้น
เขาเดินออกจากร้านเหล้า เข้ามาตามถนนใหญ่ที่ตัดผ่านหน้าร้านไปยังบริเวณรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นระยะทางพอสมควร เมื่อเดินมาได้ครึ่งค่อนซอย ด้วยระยะห่างทำให้ที่ตรงนั้นเงียบพอที่เขาจะตั้งสมาธิได้
ครั้งแรกอะไรๆ มันก็ยากไปหมด เขาพยายามรวบรวมสติอยู่นาน ก็ยังไม่เป็นผล เขาไม่สามารถสื่อสารกับพรายตนนั้นได้อย่างที่อาจารย์บอกไว้ จนเขาต้องพักผ่อนคลายอารมณ์สักครู่หนึ่ง
คาถาที่อาจารย์ให้มา พอนึกออกก็รีบท่องวนไปวนมา ทั้งที่ถ้าใช้ตั้งแต่แรกอาจจะได้ผลไปนานแล้ว
เมื่อจิตนิ่งได้ระดับหนึ่ง ก็ทำให้เจมส์สามารถสื่อสารกับพรายที่ตนเองลี้ยงไว้ได้ การแสดงตัวของพรายนั้นเรียบง่ายแต่ก็สร้างความน่ากลัวให้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ที่ตรงนั้น แม้จะเป็นโซนที่มีตึกอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีส่วนที่จอดรถที่เป็นลานดินอยู่ รอบๆ มีต้นไม้ใหญ่ ทำให้เวลาที่ใบไม้ร่วงลงมาจะกองสุมอยู่ตรงนั้น เสียงฝีเท้าที่ย่ำไปมาบนใบไม้แห้งนั้นคือคำตอบของการมีอยู่ ‘สำหรับเธอ’
‘เอาผู้หญิงคนนั้นมาให้กลู’ คำสั่งสั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความ
เจมส์เดินกลับมาที่ร้าน ด้วยความปกติของหญิงสาวที่ตนหมายตาไว้ เธอยังไม่ได้ชายตามามองเขาเลยแม้แต่น้อย จนเวลาล่วงไปใกล้ร้านปิด
ทั้งสองคนเดินสวนกันตรงทางเดินใกล้ๆ ห้องน้ำ เจมส์บอกกับผมว่า เขารู้สึกถึงแรงผลักจากอีกด้านที่เป็นกำแพง ไม่มีทางที่ใครจะมาเดินเบียดเขาได้อย่างแน่นอน
เจมส์เซไปชนกับเธอคนนั้นจนต้องเอ่ยปากขอโทษ และในตอนที่กลับมานั่งโต๊ะแล้ว เธอก็เข้ามาขอชนแก้วและทำความรู้จักกัน
ท่ามกลางเสียงเฮฮาของเพื่อนๆ มีแค่เจมส์ที่รู้สึกกลัวกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น แต่เธอคนนั้นก็ถูกใจเขามากเสียจนทำให้ลืมความน่ากลัวไปชั่วขณะ
ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่า หลังจากนั้นทั้งสองคนก็สานสัมพันธ์กันได้อย่างก้าวกระโดดจนกลายมาเป็นแฟน ทุกอย่างดูราบรื่นดี หากไม่ใช่เป็นเพราะว่า เจมส์ลืมไปแล้วว่า ผลลัพธ์ครั้งนี้ต้องมีค่าตอบแทน
น่าจะประมาณเดือนหนึ่งได้เท่าที่เขานึกออก แฟนสาวของเขาเริ่มมีความผิดปกติ นั่นคือ เธอมักจะละเมอส่งเสียงพูดไม่เป็นภาษาในช่วงกลางดึก บางครั้งก็ลุกขึ้นมาเดินเหมือนคนละเมอ
‘แต่มันมีครั้งนึงครับ หนักที่สุดจนผมรู้เลยว่ามันเกิดจากอะไร’
เจมส์ถอนหายใจ แล้วเล่าให้ผมฟังต่อว่า คืนหนึ่งเขารู้สึกหนาวมากจนทำให้ตัวเองตื่นขึ้นมา เขาไม่ได้ลืมตา แต่ใช้มือควานหารีโมตแอร์ที่มักจะวางไว้ใกล้ๆ หัวนอนเป็นประจำ ในตอนนั้นเองที่แขนของเขาก็ควานหาตัวแฟนสาวไม่เจอเช่นกัน
เขาพยายามใช้มือควานหา เพราะต้องการจะโอบกอดตามความเคยชินแต่ก็ไม่เจอ ‘คงจะไปห้องน้ำ’ เขาคิดอย่างนั้น จึงนอนหลับตารออีกสักหน่อยโดยยังไม่ได้หลับไป
นานสองนาน จนเริ่มจะตื่นเต็มที่ขึ้นมา ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีคนเดินออกมาจากห้องน้ำ เขาจึงพลิกตัวไปยังประตูห้องน้ำเพื่อจะมองหาแฟนสาว
‘ประตูมันเปิดอยู่ครับ แต่ไม่เปิดไฟ’
เขาเริ่มลนลานแล้วว่า แฟนของเขาหายไปไหน ถ้าเข้าห้องน้ำจริงก็ควรจะเปิดไฟสักหน่อยไหมตามปกติ เพราะไฟในห้องนอนก็ปิดสนิทหมดแล้ว
แจ๊บ... แจ๊บ...
เจมส์บอกกับผมว่า เขาได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังดูดหรือเคี้ยวอะไรบางอย่างดังมาแว่วๆ พร้อมกับที่รูขุมขนของเขาเปิดกว้าง เส้นขนตั้งตรงชูชันอย่างกะทันหัน
เสียงนั้น ยังดังอยู่ และมันดังมาจากในห้องน้ำ ด้วยความเป็นห่วงแฟนว่า อาจจะหกล้มหรือว่าเกิดอะไรขึ้นสักอย่าง เขาจึงตัดสินใจลุกจากเตียงเพื่อไปดูด้วยตาของตัวเอง
ตาที่เคยชินกับความมืดมาพักหนึ่งแล้ว ทำให้ไม่ได้เปิดไฟห้องนอน เขาเลือกที่จะเดินตรงไปยังห้องน้ำ แล้วชะโงกหน้าเข้าไป พร้อมกับเอื้อมมือไปกดสวิทซ์ไฟที่อยู่ใกล้ๆ กัน
เฮ้ย!
เจมส์ร้องเสียงหลง เพราะทันทีที่เปิดไฟห้องน้ำ เขาก็ได้พบกับแฟนสาวของเขาที่นั่งยองๆ อยู่บนพื้นห้องน้ำ แต่สิ่งที่เขาจำได้ติดตาคือ ดวงตาที่เหม่อลอย จนเกือบจะเห็นแต่ตาขาว ใบหน้าก้มต่ำลงมาแทะกินของที่อยู่ในมือ
สิ่งที่อยู่ในมือนั้น ทำเอาเขาแทบจะอ้วกออกมาเสียให้ได้ เพราะมันคือจานข้าวที่กินเสร็จแล้วยังไม่ได้ล้าง มันถูกวางกองรวมกันไว้ในอ่างพลาสติกในห้องน้ำ กะเอาไว้ว่า ว่างๆ จะมาล้างตามประสาของเด็กมหาลัย
จานข้าวนั้น เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบอาหารที่บูดแล้ว เกาะติดจนแห้งกรัง ซึ่งเธอพยายามใช้ฟันและลิ้นเลียเอารสชาติของเศษอาหารนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมกับเสียงบนพึมพำในลำคอที่ก้องอยู่ในห้องน้ำ
หิว.. หิว.. หิว.. หิว.. หิว...
ระหว่างที่เล่า สายตาของเขากรอกไปมาด้วยความหวาดผวา ผมคิดว่าเรื่องในคืนนั้น คงยังฝังอยู่ในใจเด็กคนนี้เป็นแน่
เมื่อได้สติ เจมส์ก็รีบวิ่งเข้าไปกอด แล้วแย่งจานมาจากมือของแฟนสาว แต่ก็เกือบจะสู้แรงไม่ไหวเหมือนกัน เขาจำเป็นต้องใช้แรงเหวี่ยง ปัดจานจนกระแทกเข้ากับพื้นห้องน้ำ แตกเป็นชิ้นบาดมือของเขาเอง
ความเจ็บแล่นแปล่บจนน้ำตาคลอ แต่ความกลัวกลับมีมากกว่า เมื่อแฟนสาวที่เพิ่งทิ้งจานใบนั้น หันมากัดเข้าที่แผลของเขาอย่างจัง
โอ้ย!
ความเจ็บจากการถูกของมีคมบาดที่มีมากอยู่แล้ว เมื่อถูกกัดซ้ำเข้าไปอีก ก็ยิ่งทำให้เจ็บจนทนไม่ไหว และที่มากไปกว่านั้น เขารับรู้ได้ถึงสัมผัสของลิ้นที่ลากผ่านไปมาบนแผลของเขา
เจมส์พยายามผลักแฟนสาวออกจากตัว ดึงมือกลับแต่ก็ไม่เป็นผล ปากที่คาบมือของเขาอยู่ ยังคงส่งเสียงพอฟังเป็นคำพูดซ้ำๆ วนไปวนมาได้ว่า
หิว.. หิว.. หิว.. หิว.. หิว...
‘กลูรู้แล้วๆ กลูนึกออกแล้ว กลูขอโทษ เดี๋ยวพรุ่งนี้ กลูจะทำให้หมดเลย ปล่อยพวกกลูไปเถอะ’
เขาต้องตะโกนบอก พราย ที่อยู่ในร่างของแฟนสาวตามความเข้าใจของตัวเองอยู่ซ้ำๆ ทั้งที่ยังหลับตา เพราะไม่กล้ามองภาพตรงหน้า
มันได้ผล เพราะหลังจากที่เขาให้คำสัตย์ไปอย่างนั้น แฟนสาวของเขาก็สงบลงและหลับไป เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
เขาพลิกเอาตัวแฟนสาวขึ้นมาหนุนไว้บนตัก ใบหน้าของเธอยังคงซีดเซียว ไร้เลือดฝาด และดูน่ากังวล ปากของหญิงสาวมีรอยเลือดจากมือเขาอยู่เต็มไปหมด เจมส์ใช้น้ำลูบไล้ใบหน้าของเธอ เพื่อทำความสะอาดและหวังว่าคนรักจะได้สติ แต่ก็ไม่
เจมส์อุ้มแฟนสาววางลงบนเตียง สภาพของเธอไม่ต่างจากคนนอนหลับ ลมหายใจยังเข้าออกเป็นจังหวะ เขากดโทรศัพท์หาเพื่อนทั้งที่รู้ว่า มันดึกแล้ว
‘กลูทำจานตกแตกบาดมือว่ะ พาไปโรงบาลหน่อย’
เขาบอกไปอย่างนั้น และเพื่อนก็มาถึงห้องพักของเขาในเวลาไม่กี่นาที เพราะอยู่ใกล้ๆ กัน เพื่อนพาเจมส์ไปหาหมอ ส่วนแฟนสาวของเพื่อนนั้น อยู่เป็นเพื่อนแฟนสาวของเจมส์เ พราะเขาอ้างว่าเธอไม่สบาย
เช้าวันต่อมา เจมส์ตัดสินใจโดดเรียนทั้งวัน ด้วยข้ออ้างจากบาดแผลที่เย็บไปไม่กี่เข็ม แม้ว่ามันจะปวดจริง แต่ก็ไม่ได้มากมายนักแล้วในเวลานี้
แต่แฟนสาวของเขากลับตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น ไม่มีความผิดปกติอะไร นอกจากอาการปวดท้องและท้องเสียเล็กน้อยในตอนเช้า
เธอไปเรียนตลอดทั้งวัน ปล่อยให้เขาอยู่ที่ห้อง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เจมส์ตั้งใจว่า จะรีบจัดการเอาอาหารมาเลี้ยงผีพรายตนนี้เสียให้จบๆ ไป ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากที่จะเลิกยุ่งกับเรื่องพวกนี้เสีย
‘ถ้าไม่มีผีพราย เธอจะยังอยู่กับเราไหม’
ทันทีที่มีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว เขาก็เกิดอาการลังเลอย่างยากที่จะตัดสินใจเป็นที่สุด และสุดท้าย ด้วยความเห็นแก่ตัวของเขา ทำให้ตัดสินใจที่จะทำต่อไป
ในช่วงบ่าย เขาออกไปหาซื้อเครื่องเซ่นตามที่อาจารย์ได้บอกมา แต่ก็ได้มาไม่ครบ เพราะร้านอาหารนอกมหาลัย ส่วนมากจะเปิดช่วงเย็น โดยเฉพาะพวกร้านน้ำพริก ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่
จนใกล้ถึงเวลาที่แฟนสาวจะเลิกเรียน เขาก็ยังไม่สามารถหาของได้ครบ และมันก็ทำให้เขากังวลกลัวว่า แฟนจะกลับมาเจอสิ่งที่เกิดขึ้น
‘ถ้าอยากกิน ก็ทำให้เขากลับมาไม่ทันเห็น’
เขาจำเป็นจะต้องรอเวลาให้ร้านเปิด พร้อมกับใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความกลัวปนกังวล
ในช่วงบ่ายแก่ๆ เขาได้รับข้อความจากแฟนสาวผ่านไลน์ ‘เธอไม่ต้องรอกินข้าวนะ น่าจะดึกเลย เพื่อนนัดทำงานกลุ่ม’
เขายิ้มออกมา แต่ก็อดขนลุกไม่ได้ว่า สิ่งที่เขาได้มานั้นมั นยิ่งกว่าสิ่งที่เรียกว่า ของจริง ในความคิดเขาไปไกล จะมีสักกี่คนที่ได้สัมผัสกับประสบการณ์ลึกลับ กับวิญญาณที่เราสามารถออกคำสั่งได้
เจมส์ยอมรับกับผมตรงๆ ว่าลึกๆ ในใจเขารู้สึก ‘สนุก’
ช่วงเย็นวันนั้น เขาก็ได้เครื่องเซ่นมาครบทุกอย่างตามที่ต้องการ เขาจัดวางบนโต๊ะเตี้ยๆ ไว้ที่ระเบียงห้องพัก จุดธูปหนึ่งดอกปัก พร้อมกับบริกรรมคาถากำกับเพื่อยกเครื่องเซ่นเหล่านี้ ให้กับผีตายโหงของตนที่เลี้ยงไว้
เด็กหนุ่มไม่กล้าที่จะอยู่ในห้องขณะถวายเครื่องเซ่น เขาจึงเลือกที่จะเดินเข้าร้านเกมส์ ที่อยู่ไม่ห่างจากหอพักเท่าไหร่นัก หนึ่งชั่วโมงกับเงิน 15 บาทที่เสียไป ถือว่าคุ้มที่ไม่ต้องอยู่ในห้องนั้นคนเดียว
เจมส์กลับมาที่ห้อง เปิดประตูอย่างกล้าๆ กลัวๆ ดีที่ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น ทุกอย่างเรียบร้อยดี นอกเสียจากบริเวณที่เขาถวายเครื่องเซ่นเอาไว้นอกห้อง
ข้าวปลาอาหารยังคงวางอยู่ที่เดิม ไม่มีร่องรอยของการแตะต้องจากสัตว์ แต่สิ่งที่วางอยู่ข้างๆ นั้น สร้างความกลัวให้เขาจนขาอ่อนลงไป
ซากนกพิราบตัวหนึ่ง นอนคอหักอยู่ข้างถ้วยเครื่องเซ่นนั้น มันอาจเป็นความบังเอิญ แต่มันก็ไม่ควรจะเป็นเวลานี้ เขาบอกกับตัวเองอย่างนั้น แล้ววิ่งลงไปข้างล่าง
เขาตัดสินใจโทรเรียกแม่บ้านรับจ้าง ที่มักจะมีใบปลิวติดไว้ตามหอพักต่างๆ และเพิ่มเงินให้เป็น 2 เท่า แลกกับการที่ห้ามถามอะไรเขาแม้แต่น้อย เมื่อเสร็จงานแล้วให้รีบกลับไปทันที
เจมส์ไม่กล้าอยู่ในห้องคนเดียวแล้ว เขาเลือกที่จะไปนั่งรอแฟนสาวที่โถงคณะ โดยทำเป็นนั่งเล่นเกมส์โทรศัพท์เหมือนทุกที
สักสามสี่ทุ่มเธอก็เสร็จงานกับเพื่อนๆ และกลับออกมาพร้อมกับเจมส์ แฟนสาวยังดูสดใสเหมือนทุกวัน เขาแอบโล่งใจว่า ‘เธอยังอยู่กับเขา’
หลังจากนั้น เหมือนทุกอย่างจะเรียบร้อยดี แต่กลายเป็นแฟนสาวที่เริ่มฝันประหลาด เธอมักจะฝันเห็นใครบางคนมานอนข้างๆ เจมส์ บางครั้งก็ฝันว่า เขาไปเที่ยวกับผู้หญิงคนอื่น และที่มากที่สุดคือ เธอเคยฝันเห็นตัวเอง มีใบหน้าที่ไม่ใช่หน้าของตัวเองตอนส่องกระจก
เขาไม่ได้บอกอะไรออกไป และไม่คิดที่จะทำอย่างนั้น จนความผิดปกติมันเริ่มมากขึ้น มากพอที่แฟนสาวของเขาจะรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวของเธอเอง
หญิงสาวเริ่มเป็นลมง่ายขึ้น มือเท้าเย็น และไม่สบายบ่อย ที่บ่อยที่สุดคือ อาการวิงเวียน ไม่มีแรง หลายครั้งที่ไปวัดแล้วรู้สึกร้อน จนหายใจไม่สะดวก มันไม่ใช่ร้อนเหมือนถูกไฟเผา แต่เป็นอาการเหมือนยืนอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน บวกกับความกระสับกระส่าย ไม่สบายใจ จนไม่อยากอยู่ตรงนั้น
เวลาผ่านไปจนถึงช่วงปิดเทอม เธอกลับไปที่บ้าน และเขาเองก็ไม่รู้มากนักว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นั่นบ้าง เธอส่งข้อความมาถามหลายครั้ง เกี่ยวกับเรื่องผีสางหรือไสยศาสตร์ แต่เขาก็ยืนกรานปฏิเสธ
ข้อความหนึ่งที่ส่งมาหาและทำให้เขากลัวว่า มันจะกลายเป็นจุดจบของความสัมพันธ์คือ แค่ช่วงเวลาที่เธอกลับบ้านเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ เธออยากเจอเขาเหลือเกิน มันไม่ใช่แค่ความอยากหรือความคิดถึง แต่มันคือความร้อนรุ่มร้อนใจ และทรมาน
คนในบ้านทุกคน ดูขวางหูขวางตา อะไรๆ รอบๆ ตัวก็ดูน่าหงุดหงิดไปเสียหมด ในหัวมีแต่เขาตลอดเวลา จนมันมากเกินไป มากจนเธอรู้สึกทรมานและกลัวตัวเอง
น่าจะพอดีกับคนที่บ้านเธอได้สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ และน่าจะจัดการกันเองภายในบ้าน โดยที่เจมส์เดาเอาจากข้อความที่ส่งมา
‘ที่บ้านจะพาไปวัด เขาว่าเค้าโดนของ’
แม้ว่าเจมส์จะพยายามส่งข้อความตามไปอีกหลายข้อความ แต่ก็ไม่มีการตอบรับ ไม่มีการรับสาย เป็นเวลา 3 วัน นั่นเป็น 3 วันที่แสนยาวนาน และทรมานเหลือเกินสำหรับเขา
‘เรารู้ทุกอย่างแล้ว อย่ามายุ่งกับเราอีก’
และในวันสุดท้ายนั่นคือ ข้อความสั้นๆ ที่ไม่มีอะไรตอบกลับมาอีก เสื้อผ้าข้าวของที่เคยอยู่ในห้องของเขา ก็ถูกทิ้งไว้ไม่ใยดี เมื่อไปตามหาที่คณะก็รู้ว่า เธอซิ่วไปแล้ว
เหตุการณ์นั้น ทำให้เขาจิตตกจากความผิดหวังอย่างรุนแรง และนั่นก็คือ สาเหตุที่ทำให้เขาถูก ‘ของเข้าตัว’
ผู้ถือครองวิชา จำต้องมีสติและจิตที่เข้มแข็งอยู่เสมอ มิฉะนั้น ตัวเองจะเป็นฝ่ายถูกกลืนกินเอาเสียเอง นั่นคือ ข้อปฏิบัติที่ทุกคนในเส้นทางนี้ รู้กันดี
ตั้งแต่วันนั้น ก็ไม่สามารถสั่งหรือเรียกพรายออกมาได้อีก แต่กลายเป็นเขา ที่เป็นเสมือนที่พักพิงของวิญญาณผีตายโหงดวงนั้นเสียเอง
บ่อยครั้งที่เขาไม่อยากพบเจอผู้คน ไม่อยากออกไปไหน ไม่เอาแสงไฟ ไม่เอาเสียงเพลง แค่อยากขดตัวอยู่เงียบๆ ในห้องมืดๆ ของตัวเอง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกหิว เขาจะหิวอย่างทุกข์ทรมาน หิวเหมือนไส้จะขาด ต้องกินเข้าไปให้เยอะๆ แต่เขาก็ไม่ได้อ้วนขึ้นเลย
ของเสียที่ขับถ่ายออกมาจากร่างกาย มีกลิ่นเน่าเหม็นจนตัวเองก็แทบทนไม่ได้ แม้แต่ลมหายใจ ก็ยังมีกลิ่นนั้น ปนมาจนเพื่อนๆ เริ่มสังเกตได้
ทุกคืนเขาจะฝันว่า ได้ร่วมรักกับหญิงสาวแสนสวยคนหนึ่ง เขาทำได้แค่นอนนิ่งๆ และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างนั้น
นั่นคือ เรื่องราวที่เจมส์เล่าให้ผมฟังถึงเหตุผลที่เขาอยากจะพบ และพูดคุยเพื่อหาทางออก ในใจของผมตอนนั้น คิดได้แค่เพียงว่า มันหนักเหลือเกิน ผมจะทำอะไรได้ หรือไม่ ปู่ คงจะเป็นทางออกเดียวสำหรับผม
แต่คืนนี้ผมจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้คนตรงหน้ากลับไปนอนได้อย่างสบายใจขึ้นสักนิด
‘ขอดูสื่อของพรายหน่อยได้ไหมครับ’
ผมถามเขาเพราะเชื่อว่า มันต้องมีของบางอย่างที่เป็นชิ้นเป็นอันไว้สำหรับอะไรอย่างนี้ เขารีบลนลานล้วงเข้าไปในกระเป๋า คว้าเอาขวดแก้วเล็กๆ สูงขนาดประมาณ 5 เซนติเมตร ฝาขวดเป็นเกลียวปิดสนิท และหุ้มพลาสติกไว้อีกชั้น
ข้างในขวดใสนั้น มีท่อนไม้เล็กๆ แกะเป็นรูปคนอยู่ในน้ำมันสีเหลืองอ่อน เมื่อสังเกตดู จะเห็นร่องรอยอักขระอยู่ตามชิ้นงาน แต่สะดุดตาของผมคือ ไม้ชิ้นเล็กๆ อีกอันหนึ่ง ซึ่งถ้ามองผ่านๆ อาจคิดว่าเป็นเศษส่วนหนึ่งที่แตกออกมา
เศษไม้ชิ้นนั้น ไม่มีรอยประกบกับชิ้นใหญ่ อีกทั้งตัวมันเอง ยังมีอักขระเป็นของตัวเอง
‘ในนี้ไม่ได้มีพรายแค่ตัวเดียวเหรอครับ’ ผมถาม
เจมส์ทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็ตอบออกมาเสียงดัง
‘อ๋อ ใช่ๆ อาจารย์ว่า มีลูกเขาด้วย เขาตายทั้งกลม แต่ผมไม่เคยเจอผีเด็ก เลยลืมๆ ไป’
อย่างหนึ่งที่มันแปลกคือ ตอนที่ผมรับมานั้น มือของผมกับเขาสัมผัสกันเล็กน้อย และผมก็รู้สึกไม่ดี แต่ในตอนนั้นยังคิดไปว่า อาจมาจากของพวกนี้ก็เป็นได้
ผมรับมันมาไว้ในมือ แล้วชวนเจมส์ออกมาข้างนอกให้ห่างจากผู้คนพอสมควร ผมถามเด็กหนุ่มว่า ต้องการอะไรจากผม เขาตอบว่า ต้องการให้ผมนำของสิ่งนี้ วิญญาณสองดวงนี้ไปจัดการ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแล้วแต่ผม เพราะเขาไม่อยากยุ่งกับเรื่องนี้อีกแล้ว
การที่ผมจะมีสิทธิ์ในการทำอย่างนั้นได้ เจมส์จะต้องทำการปลดและยกเขาทั้งสองให้กับผม เหมือนในวันที่เขาได้รับมันมาจากอาจารย์อีกทีหนึ่ง
เขายกมือขึ้นพนมและบริกรรมคาถาได้อย่างคล่องปาก ไม่มีสะดุด และไม่ต้องหยุดคิด หรือนึกแม้แต่น้อย ออกชื่อตัวเองเสียงดัง โดยที่กำกับไว้ว่า เขาไม่มีสิทธิ์ในของสิ่งนี้อีก และขอปลดปล่อยดวงวิญญาณนี้ให้เป็นอิสระ
ผมถามเขาอีกครั้งว่า เขาเข้าใจใช่ไหมว่า เรื่องมันจะไม่ได้จบลงเท่านี้ อย่างไรเสีย ผลกรรมที่เขาก่อจะตามเขาไปและทวงถามเขาอย่างถึงที่สุด เขายอมรับและดูไม่ได้ใส่ใจนัก
เราแยกย้ายกันตรงนั้น พร้อมกับขวดแก้วในมือที่ผมต้องเก็บกลับเอามาด้วย
ผมขี่รถลึกเข้าไปในซอย ก็รู้สึกหวาดสันหลังอย่างบอกไม่ถูก เสียงแมลงกลางคืนเงียบสนิท ไม่มีหมาหอนเหมือนในหลายๆ ครั้ง แต่พวกมันยืนจ้องผมจากข้างทางด้วยสายตาหวาดๆ พร้อมเสียงขู่ในลำคอเบาๆ
ผมรู้ดีว่า ต้องมีใครตามมา เพราะของที่อยู่ในมือของผมตอนนี้
เมื่อเข้ามาในห้องพักได้ ผมก็ตรงไปยังหิ้งพระในห้องนอนที่จัดเอาไว้อย่างง่ายๆ ยัดเอาขวดในมือไว้ใต้พาน ที่ใช้สำหรับวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายอย่าง
‘อยู่ตรงนี้ไปก่อน อย่าอาละวาด พรุ่งนี้จะหาทางออกให้’
ผมพูดคนเดียวเหมือนคนบ้า และเชื่อเอาเองว่า ใครบางคนจะต้องได้ยินมัน คืนนั้นผมหลับๆ ตื่นๆ เพราะความกังวลและกลัวว่าจะมีอะไรบางอย่างโผล่ออกมา ทำให้ตกใจในช่วงข้ามคืน
คืนนั้น ผมฝันเหมือนอยู่ในสภาวะสะลึมสะลือ นอนอยู่บนเตียงในห้องมืดๆ เหมือนทุกที เสียงแอร์ดังเบาๆ ตามปกติ เสียงเพลงที่เปิดไว้ประจำยังอยู่ แต่ในหูผมกลับได้ยินเสียงแปลกประหลาด ดังมาจากนอกห้อง
เสียงฝีเท้า สลับกับของแข็งที่กระทบพื้น คาดว่าคงเป็นไม้เท้า เพราะสำเนียงก้องและกังวานมาก ทำให้รู้ว่าเสียงนั้น ดังมาจากชั้นหนึ่ง แล้วค่อยๆ ไล่ขึ้นมาจนถึงชั้น 3 ที่ผมอยู่
ห้องผมเป็นห้องติดบันได พอเสียงนั้นดังอยู่ที่หัวบันไดชั้น 3 อีกเพียงไม่กี่ก้าว ก็จะถึงประตูห้องของผม และฝีเท้านั้นก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของผมจริงๆ
ก๊อก... ก๊อก....
ในฝันนั้น เสียงเคาะประตูดังใกล้เหมือนกับผมเอาหูไปแนบ และดังเป็นจังหวะต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หากผมไม่ลุกไปเปิด
ประตูห้องผมตอนนั้น ไม่มีตาแมว ซึ่งถ้ามีก็คงไม่กล้ามองออกไป ในฝันผมเปิดประตู แง้มดูว่าเป็นใครกันที่มาเคาะเรียกในยามดึกอย่างนี้
ตรงหน้าของผม ปรากฏเป็นร่างของหญิงชราหลังงุ้ม คาดการณ์จากสายตาน่าจะมีอายุกว่า 80 หรือ 90 ปี มือข้างหนึ่งของเธอมีไม้เท้าอยู่จริงๆ เธอจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก
‘เธอพาใครมา’
เสียงแหบแห้งนั้น ถามผมจนขนลุกไปทั่วทั้งตัว คราวนี้ผมรู้ได้ทันทีว่า คนตรงหน้าคือสิ่งที่เราคุ้นเคยและรู้จักกันเป็นอย่างดี ‘เจ้าที่’ วิญญาณจำพวกนี้ มีหน้าที่ในการดูแล และไม่อนุญาตให้มีสิ่งแปลกปลอมหลุดลอดเข้ามาในอาณาเขตโดยเด็ดขาด
‘....’
คนตรงหน้าเงียบ จ้องหน้าผม เพราะผมไม่ตอบอะไรกลับไป
‘รีบๆ พามันออกไป อันตราย’
หญิงชราตรงหน้าพูดกับผมเสียงห้วนๆ ก่อนจะหันหลัง เดินกลับลงไปที่ชั้นล่างอย่างช้าๆ และผมเชื่อว่าผมไม่ได้คิดไปเอง หูของผมได้ยินเสียงแว่วมาจากด้านหลัง น้ำเสียงนั้นแสดงความรำคาญออกมาอย่างชัดเจน ‘อีแก่นี่’
ผมตื่นมาในตอนเช้า พร้อมกับภาระที่ต้องไปเรียนจนตกเย็น ก็ลืมที่จะโทรหาปู่ตามความตั้งใจ ในตอนกลางคืนผมเหนื่อยมากจากการเรียนมาทั้งวัน จึงตั้งใจจะหลับให้เร็วหน่อย
และคืนนั้นผมก็ฝันอีก หรือมันอาจจะไม่ใช่ความฝันผมเอง ก็ไม่แน่ใจ ในช่วงเวลานั้นหูของผมได้ยินเสียงแกรกๆ ของพลาสติกที่คุ้นเคย เมื่อคิดตาม ก็นึกออกว่ามันคือเสียงของลูกล้อจากรถของเล่น
เสียงแกรกกรากนั้น ดังอยู่ใกล้ๆ กับเตียงนอนของผม ห่างออกไปสักเมตรหนึ่ง เหมือนกับมีเด็กที่ไหนมานั่งไถรถเล่นอยู่ตรงนั้น
เด็ก?
คำนี้สะดุดความคิดของผม ทำให้ต้องหันกลับไปมองอย่างตั้งใจ พื้นที่ตรงนั้นเป็นกระเบื้องโล่งๆ สำหรับนั่งเล่นนอนเล่นยามที่มีเพื่อนมาหา มันอยู่หน้าหิ้งพระพอดี
ที่ตรงนั้น มีเงาร่างผอมแห้งของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง นั่งกอดเข่าอยู่กับพื้น ร่างนั้นผอมบางจนเห็นกระดูกที่ปูดโปนออกมาตามเนื้อหนังเป็นรูปชัดจน
ในมือของเด็กน้อย มีรถของเล่นคันหนึ่งอย่างที่คิด เมื่อตั้งใจมองเข้าไปอีกก็ต้องตกใจ เพราะผมจำรถคันนี้ได้ มันคือรถของเล่นที่ผมกับแม่เพิ่งจะซื้อไว้ให้กุมารที่บ้านไม่กี่สัปดาห์ก่อน
พอใจคิดถึงเด็กสองคนที่บ้าน พวกเขาก็มาปรากฏนั่งอยู่ใกล้ๆ กับเด็กคนนั้น เด็กสามคนในวัยที่ต่างกันช่างไม่มีความใกล้เคียงกันเลยแม้แต่น้อย
เด็กๆ จากที่บ้านของผมนั้นดูสว่างและใจดี ผิวพรรณอิ่มเอิบจากการทำบุญอย่างต่อเนื่อง ผิดกับวิญญาณน่าเวทนาที่อยู่ใกล้ๆ กัน
‘สงสารน้องหรอ’ ผมถาม และเด็กทั้งสองก็พยักหน้าเล็กๆ
‘เดี๋ยวจะช่วยเอง ตอนนี้คิดไม่ออก รอก่อนนะ’ ผมบอกเด็กๆ ทั้งสาม
‘ของเล่นนี้ ให้น้องได้ไหม’ เด็กชายตัวเล็กของบ้าน ถามผมด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ แม้มันจะเป็นของเล่นของพวกเขา แต่ผมก็เป็นคนซื้อให้ อย่างไรก็ต้องมาขอกันก่อน
ผมพยักหน้าให้ ก่อนที่พวกเขาจะเลือนหายไปกลายเป็นอากาศธาตุ ผมหลับลงอีกครั้งอย่างช้าๆ เท่าที่จำความได้
ในตอนเช้าผมถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์ของแม่ ซึ่งปกติจะไม่โทรหาผมในเวลาอย่างนี้ เพราะผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะตื่นสายพอสมควร
ผมงัวเงียรับสายถามว่าแม่มีอะไร แล้วสิ่งที่ได้ยินก็ทำให้ผมหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
‘รถของเล่นของแก้วกับทับทิมมันแตกนี่ แม่ทิ้งได้เลยไหม เดี๋ยวจะเอามาเปลี่ยนให้ใหม่’
เด็กๆ ทั้งสองคนคงให้ของเล่นน้องไปแล้วจริงๆ วันนั้นผมก็มีเรียนอีกเช่นกัน แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะโทรหาปู่ในช่วงเย็น
แย่หน่อยที่ปู่ไม่อยู่บ้านเกือบอาทิตย์ เพราะต้องไปทำพิธีบวงสรวงที่ต่างจังหวัด ผมจึงทำได้แค่รอเท่านั้น
คืนนั้นผมไม่ได้ฝัน ผมแน่ใจ เพราะผมยังไม่หลับไป แม้ว่าจะปิดไฟเตียงนอนมาสักพักหนึ่งแล้วก็ตาม
ที่ข้างๆ เตียงของผมนั้นมีเสียงหายใจหอบยืดยาวเป็นจังหวะช้าๆ ดังมาให้ได้ยิน ครั้งนี้ผมยังไม่กล้าหันไปมอง เพราะความรู้สึกและภาพที่เห็นจากหางตา บอกผมว่า นั่นไม่ใช่เงาร่างของเด็ก
ผมอยู่อย่างนั้นต่อไปอีกสักครู่ เสียงหายใจนั้นยิ่งหอบหนักขึ้นเหมือนต้องการจะเรียก ในช่วงแทบจะติดกันเสียงหอบหายใจนั้น กลายเป็นเสียงหายใจที่ติดขัดจนทำให้ผมตกใจหันไปมอง
ที่หน้าต่างบานเลื่อนของหอพัก ตอนนี้มีเงาร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง ลอยอยู่ในอากาศปลายเท้าสูงจากพื้นน่าจะประมาณสองไม้บรรทัด เธอลอยอยู่อย่างนั้น สองมือพยายามข่วนเอาที่ลำคอ ซึ่งเหมือนมีอะไรมารัดไว้ ร่างทั้งร่างของเธอกระตุกเกร็งแล้วแน่นิ่งไป สองแขนตกลงข้างลำตัวอย่างแรง พร้อมกับที่คอของเธอเอียงผิดรูปไปข้างหนึ่ง
ภาพตรงหน้าทำเอาผมแทบสิ้นสติ ลิ้นที่แลบออกมาจุกปากนั้นยังติดตาจนวันนี้ ดวงตาเหลือกเบิกโพลงนั้นก็เช่นกัน
ไม่ทันได้รู้สึกตัวภาพนั้นก็จางหายไป กลายเป็นร่างของหญิงสาวมานั่งอยู่กับพื้นข้างเตียง หน้าหิ้งพระ ท่าทางของเธอไม่เป็นมิตรนัก จากความรู้สึกทำให้พอบอกได้ว่า เธอมีฤทธิ์มากจากอวิชชาที่หล่อเลี้ยงเธอ
‘นั่น ลูกเธอหรือเปล่า’ ผมถามถึงเด็กคนนั้นก่อน
‘ไม่ใช่’ เธอตอบสั้นๆ
‘แล้วเป็นอะไรกัน’
‘มันจับเรามามัดไว้ด้วยกัน มันขังเรา มันขังเรา! มันขังเรา!!!!’
เธอตะคอกใส่หน้าผม พร้อมกับเสียงกรีดร้อง จนผมกลัวจับใจ รู้ตัวอีกทีเธอก็หายไปแล้ว
ไม่นานนัก เงาร่างของเธอก็ปรากฏขึ้นอีก คราวนี้เดินวนไปมาตรงพื้นที่ว่าง ท่าทางของเธอทำให้รู้ถึงสิ่งที่เธอทำอยู่
ร่างของเธอลอยอยู่ในอากาศ สองมือทำท่าเหมือนจับอะไรเอาไว้ แล้วสวมลงที่คอ จากนั้นก็ทิ้งตัวลง สองมือไขว่คว้าอย่างเจ็บปวด นิ้วและเล็บจิกลงที่ลำคอเหมือนกับดูวีดีม้วนเดิม เธอกระตุกไปมาอีกครั้งก่อนจะแน่นิ่งไป
คืนนั้นเธอทำอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งคืน พร้อมกับผม ที่ไม่กล้าไปไหนและต้องนั่งมองเธออย่างหวาดระแวงจนฟ้าสาง
วันนั้นผมไม่ไปเรียนและขอไปนอนหอเพื่อน ไม่นอนแล้วห้องตัวเอง เพราะผมอยากพักผ่อนอย่างเต็มที่จริงๆ บ้าง
เพื่อนๆ คงจะเห็นผมซึมๆ หมดแรง และคงคิดไปว่าอาจทะเลาะกับแฟนหรือที่บ้านมา เลยชวนกันมาทำอะไรกินที่ห้องผมในเย็นวันนั้น
ผมมีเตาไฟฟ้าและอุปกรณ์ทำอาหารครบทุกอย่าง ทำให้เป็นเรื่องปกติที่เพื่อนๆ จะมาถล่มห้อง ผมคิดว่ามันก็ดีเหมือนกันจะได้ลืมๆ ความเครียดไปบ้าง
ระหว่างที่กินกันอยู่เตาไฟฟ้าของผมก็ดับไปอยู่หลายครั้ง ต้มหมูไม่สุกเสียที ผมพอจะรู้ว่ามันคืออะไร
ผมตักเอาหมูที่ยังไม่สุกดีใส่ถ้วยเล็กๆ เดินออกมาที่ระเบียง บอกเพื่อนให้ทิ้งไปก่อนเดี๋ยวน้ำซุปมันจะคาว แต่จริงๆ แล้วผมวางถ้วยนั้นไว้ให้ทั้งสองคน ที่น่าจะกำลังหิวเต็มที่แทนต่างหาก
เพื่อนๆ ผมแต่ละคนก็พอจะมีความแปลกอยู่บ้าง บางคนก็พอจะเห็นได้ บางคนก็อยู่กับผมมากจนเริ่มเห็น แต่ที่แน่ๆ พวกนี้มักถูกผมชวนไปทำบุญอยู่บ่อยๆ และคืนนั้นพวกเพื่อนเกือบทุกคน ก็ถูกคนทั้งสองตามไปขอเศษบุญจนนอนไม่เป็นสุข
ระหว่างคืน ผมยังไม่นอนเพราะรอ รอที่ทั้งสองคนจะออกมาพบกับผม เมื่อเย็นปู่บอกผมแล้วว่า กลับมาก่อนกำหนด ผมจะเอาทั้งสองคนไปฝากไว้ที่นั่น
อีกครั้งที่ผมต้องนั่งมองหญิงสาวคนเดิมทำท่าทางผูกคอตัวเอง และลิ้มรสความทรมานของวินาทีสุดท้ายในชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เด็กน้อยร่างผอมแห้งไม่เป็นอันทำอะไร นอกจากคลานไปตามพื้นเอาหน้าและลิ้นเลียไปตามเศษอาหารที่ตกหล่นอยู่บนนั้น หลังจากพวกเพื่อนๆ ผมกลับไป
ทั้งสองตกอยู่ในความทุกข์ทรมานอย่างน่าเวทนา จนผมน้ำตาคลออยู่เนืองๆ ดวงตากลมโต ถลนปูดโปนออกมาจากแรงรัดของเชือก ลิ้นที่จุกปากจนน่าเกลียด ไม่เหลือไว้ซึ่งความงามบนใบหน้า
เด็กน้อยที่ไม่รู้จักโลกใบนี้ ซึ่งได้แต่จมอยู่กับความหิวของเด็กกำพร้า ก่อนจะจบชีวิตลงและกลายมาเป็นเครื่องมือของคนพวกนี้
‘มา มาสวดมนต์กัน’
ผมเรียกเธอทั้งสองให้มาร่วมสวดมนต์กับผมในคืนนั้น บุญอันน้อยนิดที่ผมมี พอจะทำให้ทั้งสองคนพ้นจากความทุกข์ไปได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ตลอดไป
ช่วงค่อนแจ้ง ผมหลับไปแล้วด้วยความเหนื่อยล้า แต่ตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงตามสายจากวัดที่ดังผิดปกติ
ผมตื่นมาเห็นเธอนั่งอยู่ที่ข้างเตียงพร้อมกับเด็กน้อย เธอไม่พูดอะไร จนผมต้องเป็นฝ่ายถามหาต้นตอของเรื่องราว
‘ใครเป็นเจ้าของพวกเธอ’
ทั้งสองคนไม่ตอบ แต่กลับค่อยๆ อ้าปากแล้วแลบลิ้นยาวออกมาเกินความที่มนุษย์จะทำได้ บนลิ้นของดวงวิญญาณทั้งสองมีอักขระซีดๆ ช้ำเลือดช้ำหนอง สลักเอาไว้อยู่ ผมเคยเห็นมันมาก่อน
‘มัดปากผี’
วิชาจำพวกนี้ มีไว้สะกดและบังคับให้วิญญาณทำตามคำสั่งโดยห้ามขัดขืน ซึ่งมันเป็นเดรัจฉานวิชาแขนงหนึ่งในเส้นทางนี้
วิญญาณที่ถูกผูกมัดด้วยวิชชา จะต้องเจ็บปวดทรมานทุกครั้งที่ถูกสั่งหรือลงโทษ ถ้าไม่ทำตามเหมือนกับวัวควายที่ถูกเฆี่ยนตียามดื้อรั้น
ผมไม่มีอะไรจะพูดกับพวกเธออีก รอเพียงแต่ให้ถึงวันรุ่งขึ้น ผมจะพาทั้งสองคนไปหาทางออก แต่สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะแน่ใจก่อน
‘อย่าไปยุ่งกับเขาอีกได้ไหม’ ผมหมายถึงเจมส์ผู้เคยเป็นเจ้าของชั่วคราว
‘มันโกหก!’
วิญญาณหญิงสาวตวาดกร้าวใส่ผม จนสะดุ้งไปทั้งตัว ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร ผมส่งต่อเธอทั้งสองให้กับปู่ เก็บไว้ในห้องพระ เพราะที่บ้านนั้นเต็มไปด้วยคนถือศีลและปฏิบัติกันอย่างจริงจัง
บ้านหลังนั้น เปี่ยมไปด้วยเมตตาต่อทั้งมนุษย์และวิญญาณ ที่นั่นดีที่สุดที่พวกเขาจะหลุดจากบ่วงพวกนี้
ในเวลาต่อมาปู่ส่งข่าวมาบอกว่า ทั้งสองได้จากไปแล้ว เขาหลุดจากอวิชชาและเดินไปตามทางที่ควรจะเป็น
ผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก จนได้กลับไปเจอกับเพื่อนคนนั้น คนที่แนะนำเจมส์ให้กับผม สิ่งที่ได้รู้มานั้น ช่างน่าขนลุก
เรื่องราวที่แท้จริงคือ เจมส์ไม่ได้อยากเลิกยุ่งกับสิ่งของเหล่านี้ หลังจากที่เสียแฟนสาวไป เขาไม่ได้กลัว เขาต่อสู้กับเรื่องราวพวกนี้จริง ประสบกับความน่ากลัวจริง และเขาก็กลัวจริงๆ
แต่ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในนั้น มันมีมากกว่า เขาโกรธแค้น และต้องการจะเอาคืน แม้ไม่ใช่กับแฟนสาวคนเดิมก็ตาม ในเมื่อพรายที่เขามีนั้น เริ่มหันมาทำร้ายเขาและเขาก็คุมมันไม่ได้ การเอาไปให้พ้นตัว คือ สิ่งที่ดีที่สุด
ผม คือ ถังขยะสำหรับเขาในวันนั้น เพียงเพื่อตัดสัมพันธ์กับเรื่องนี้ เพื่อที่จะไปเริ่มใหม่กับศาสตร์ใหม่ อาจารย์คนใหม่ที่แก่กล้ากว่า ดำมืดยิ่งกว่า
ทุกวันนี้ เจมส์น่าจะไม่ได้เรียนแล้ว และหันมารับงานทางด้านคุณไสยอย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์หรือการทำร้ายคน เขาสนุกไปกับมันอย่างมาก เพื่อนผมคนนี้บอกว่า คนแถวบ้านเขาพูดกันเต็ม ก็เลยได้ยินมา จริงๆ อยากจะมาขอโทษผมเสียมากกว่า ที่เอาคนแบบนี้มาให้ได้พบเจอ
นั่นน่าจะเป็นคำตอบของความรู้สึกแปลกๆ ที่ผมรับรู้จากการสัมผัสตัวเขาเล็กน้อย ผมในตอนนั้น ก็ต่างจากตอนนี้ นั่นคือช่วงเริ่มและหัดก้าว ถ้าผมกับเขาได้เจอกันอีกในวันนี้ เรื่องราวมันคงจะจบลงอีกแบบหนึ่งเป็นแน่
ไสยศาสตร์มนต์ดำยังมีอยู่ในสังคมเสมอมา ไม่เคยเลยหายไป แต่จะให้ศาสตร์เหล่านี้ดำมืดสักเท่าไหร่ ก็เทียบไม่ได้กับก้นบึ้งจิตใจของผู้ถือครองวิชชาและเลือกที่จะใช้มันด้วยความตั้งใจของตัวเอง
เรื่องราวในครั้งนี้ จบลงตรงนี้อย่างไม่กระจ่างใจสำหรับตัวผมนัก เราเข้ามาแผ้วพานกันช่วงหนึ่ง เพื่อส่งต่อไปยังอนาคตหรือเปล่า? ไม่มีใครรู้ เจมส์ไม่ใช่คนที่ผมอยากช่วย เพราะเขาเลือกเองตั้งแต่แรก คนที่ผมอยากช่วยจริงๆ คือวิญญาณทั้งสองดวงนั้นมากกว่า
บทสรุปบางครั้งก็ไม่ได้ทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้นนัก มันไม่ได้อย่างใจ และไม่เป็นไปตามอย่างที่คิด มันเพียงแค่บอกเราเท่านั้นว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’
………………………………………………………………………………………
ลอยชาย.
ปล.เรื่องนี้เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่างน้อยที่สุดขอให้อ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
ขอบคุณครับ
Post a Comment