ตายแล้ว...ไม่จบหรอก


     เรื่องราวที่เกี่ยวกับผลของกรรมที่ใครทำสิ่งใดย่อมได้รับสิ่งนั้น เรื่องของ "ตายแล้ว...ไม่จบหรอก" มีทั้งความสยองและข้อคิดในการดำรงชีวิตจาก คุณลอยชาย หรือ LoyChinE นักเล่านักเขียนเรื่องสยองจากพันทิป และขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับเรื่องดีๆอีกครั้ง

หลายครั้งที่เรามักต้องเจอกับเรื่องที่ไม่คาดคิด หลายครั้งที่เราไม่ได้เตรียมตัวหรือเตรียมรับมือกับอะไรก็ตามที่มันอาจจะเกิดขึ้น นั่นก็เพราะว่าเรา ไม่รู้ ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ถ้ามันเกิดขึ้นแล้วไม่ว่าดีหรือร้าย สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราจะรับมือกับมันอย่างไร เท่านั้นเอง
              ผมมีโอกาสได้ช่วยเหลือผู้คนอยู่หลายครั้งซึ่งในบางครั้งก็จำเป็นที่จะต้องรับ ค่าครู มาเพื่อความถูกต้องและข้อจำกัดหลายๆอย่าง บางครั้งก็จำต้องรับมาเพราะว่าโดน บังคับให้ แม้จะปฏิเสธก็แล้ว อย่างไรเสีย ผมก็ไม่สามารถจะเอาเงินจำนวนนี้มาใช้เพื่อตัวเองได้เลย แม้แต่นำขวดเดียวก็เอามาซื้อไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมต้องไปวัดบ่อยๆ เพื่อเอาเงินพวกนี้ไปทำบุญ ให้เขาเหล่านั้น เก็บไว้มากๆเราก็หนักเนื้อหนักตัว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจำเป็นจะต้องวัดเท่านั้น บางครั้งผมก็เอาไปช่วยซื้อของเด็กน้อยที่มาขายตามร้านอาหาร บริจาคช่วยเหลือหมาแมว เด็กด้อยโอกาส แล้วก็พวกค่ายต่างๆ แต่ง่ายสุดก็คือไปวัด
              วันนึงผมไปทำบุญเหมือนทุกที แต่วันนั้นอากาศดีมาก ผมจึงไปนั่งเล่นที่ริมแม่น้ำหน้าวัด นานๆทีจะได้ว่างๆกับเขาบ้าง นั่งเหม่อไปเรื่อยเปื่อย ก็ได้ยินเสียงกระดิ่งใสๆ ดังกังวาลอยู่ไกล แต่เมื่อมองไปรอบด้านก็ไม่พบอะไร เสียงกระดิ่งค่อยๆชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อมองหา ก็ไม่พบที่มาของเสียงนั้นเลย ผมจึงเลิกสนใจ แต่เหมือนกับเจ้าของเสียงนั้นต้องการความสนใจหรืออะไรก็ไม่แน่ใจ เสียงดังชัดขึ้นเรื่อยๆ จนผมเริ่ม งง กับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็ได้ยินเสียงใสๆลอยมาตามลม
‘ ฮิ ฮิ’
เสียงหัวเราะเล็กๆของใครบางคนลอยมาตามลม แม้ไม่รู้ที่มาแต่กลับรู้สึก คุ้นเคย ทำให้เผลออมยิ้มไปโดยไม่รู้ตัว ผมลุกขึ้นจะกลับไปที่รถเพื่อจะกลับบ้านก็ได้ยินเสียงเดิมลอยมาตามลมอีกครั้ง ‘พรุ่งนี้มาอีกนะ’
               ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่สุดท้ายวันรุ่งขึ้นผมก็มาอีก แต่วันนี้มาตอนเช้า เพราะว่ามาส่งแม่ทำงาน ก็เลยมาเลย ผมเดินไปนั่งที่ริมน้ำที่เดิม หวังว่า ใครบางคน จะออกมาคุยกับผมบ้าง เพื่อให้หายสงสัย แต่ก็ไม่มีวี่แววใดๆเลย พอสายแก่ๆ แดดเริ่มที่จะแรงขึ้น ผมก็ตัดสินใจว่าจะกลับ ผมเดินเข้าไปในวัดเพื่อจะเดินไปที่จอดรถ แล้วผมก็ได้กลิ่นกอมของดอกไม้อ่อนๆ ไม่รู้ว่าเป็นดอกอะไร แต่มันคุ้นเคย มั่นใจว่าไม่ใช่ครั้งแรก
               ผมเดินตามกลิ่นหอมนั้นไปเรื่อยๆ ก็มาถึงที่มุมหนึ่ง มีต้นไม้เยอะแยะ พุทธรูปอยู่ใต้ต้นไม้พร้อมกับตรงหน้านั้นมีคุณยายคนนึงนั่งอยู่ ในท่าประนมมือ สีหน้ามทุกข์ ไม่ว่าใครผ่านไปผ่านมาก็คงจะสังเกตได้ไม่ต่างกัน ผมยืนมองอยู่ห่างๆ ก่อนที่จะค่อยๆเดินผ่านไปเงียบๆ
               เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ๆ คุณยายก็หันมามองแล้วมีท่าทางตกใจนิดนึง ตัวผมเองก็ตกใจ ยายมองหน้าผม แล้วเหมือนจะถามอะไร หรือต้องการอะไร ผมก็เกร็ง เพราะก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน
‘ช่วยยายหน่อยได้ไหม.. ยายไม่รู้จะไปขอให้ใครช่วย’
‘ช่วยอะไรครับ’ ผมก็กล้าๆกลัวๆ
‘ช่วยลูกยายหน่อย นะ ช่วยยายด้วย’
                 ยายเริ่มท่าทางลนลาย น้ำตาเริ่มไหล ผมก็เริ่มจะทำตัวไม่ถูก ยายเริ่มมาจับตัวผม ทำให้ผมปฏิเสธยาก แต่ใจนึงก็กลัว ยอมรับว่าแอบระแวง เพราะสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ
‘ช่วยเขาเถอะ’ เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวผม ซึ่งก็เป็นคำตอบอย่างชัดเจนว่า ต้องช่วย
               ผมตกลงจะช่วยยาย แต่ด้วยความกลัวที่ยังมีอยู่จึงขอพาเพื่อนไปด้วยคนนึง ผมไปรับเพื่อนที่บ้าน แล้วลากมาด้วยกัน โดยไม่บอกอะไรมันมากเท่าไหร่ แต่เพื่อนก็สนิทกันมานาน ก็เลยยอมมาด้วย ผมรับยายขึ้นรถมาด้วยเพราะยายบอกว่ายายเดินมาจากบ้าน ยายบอกทางผมไปเรื่อยๆ บ้านยายนั้นก็ไม่ได้ไกลจากวัดเท่าไหร่ แต่ถ้าเดินก็คงต้องใช้เวลา
               ยายยังคงนั่นสะอื้นอยู่ในรถ เพื่อนผมมันก็ทำหน้าแหยงๆอยู่หลังรถ มันบอกว่ามันกลัว เพราะมากับผมทีไรไม่ใช่เรื่องดีสักที ในระหว่างขับรถเองถึงได้เพิ่งสังเกตว่า เสื้อผ้าที่ยายใส่ ผมไม่ได้เห็นมานานมาก มันเป็นผ้าถุงแบบโบราณๆ ผมเคยเห็นก็ตอนเด็กๆ สมัยไปบ้านยาย ยายบอกว่าเก็บไว้นานแล้ว เป็นของทวด ไม่ได้เอามาใส่ แล้วตามตัวยายก็มีพวกเครื่องเงิน แบบสวยๆที่เหมือนเป็นของทำมือ ซึ่งมันก็น่าจะแพง
               ผมขับรถไปเรื่อยๆก็เจอทางเข้าเล็กๆ ทำให้ต้องจอดรถไว้ข้างนอก ผมกับเพื่อนเดิมตามหลังยายไป ทางเดินเหมือนเป็นบ้านสวน แต่ไม่ได้รับการดูแลจนหญ้าขึ้นรก กิ่งไม้ใบไม้ร่วงเต็มไปหมด มันก็คงไม่แปลกเท่าไหร่ ถ้ายายอยู่ที่นี่คนเดียว แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามัน แปลกๆ ผมเดินลึกเข้าไปอีกหน่อย ก็เจอเรือนไม้หลังหนึ่ง ใหญ่พอสมควร แต่มันก็ดูโทรม ไม่สวยงามเท่าไหร่ บ่งบอกว่าไม่ได้รับการดูแล ผมคิดว่ายายจะนำเดินขึ้นไปบนบ้าน แต่เปล่าเลย ยายเดินอ้อมบ้านไปด้านหลัง
             พอเลยมาทางด้านหลังก็เป้นพื้นที่ว่างๆ มีต้นไม้เต็มไปหมด น่าจะใช่บ้านสวนจริงๆ ผมเดินไปเรื่อยๆ ก็แปลกใจอยู่หน่อยๆว่า ผมเดินตามยายไม่ทันเสียที เพื่อนผมก็เดินตามผมมาติดๆ ด้วยท่าทางตื่นตูมตลอดเวลา ผมก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า มันไม่ปกติจริงๆ 
             เดินลึกเข้ามาพอสมควรก็เจอต้นไม้ใหญ่เรียงรายเป็นแถวๆ ผมไม่รู้ว่ามันคือต้นอะไรแต่มีต้นเหมือนๆกันเรียงกันเต็มไปหมด ที่นี่คงจะเป้นบ้านสวนจริงๆ ยายคนนั้นเดินเข้าไปใกล้ๆกับต้นไม้ใหญ่ แล้วก็ทรุดตัวลงไปทันทีพร้อมกับร้องไห้ยกใหญ่
‘ ยายเป็นไรวะ ’
              เพื่อนที่มาด้วยกันงุนงงกับท่าทีของคุณยายแต่ผมนั้นไม่มีความสงสัยใดๆกับสิ่งที่คุรยายทำ เพราะคำตอบทั้งหมดอยู่ตรงหน้าผมแล้ว ที่กิ่งไม้กิ่งใหญ่นั้นเอง มีร่างหนึ่งห้อยลงมาหมุนเอนไปตามแรงลม เชือกเก่าๆที่ถูกมัดไว้บริเวณลำคอนั้นถูกผูกเป็นเกลียวอย่างแน่นหนา ไม่ต้องหวังว่าจะมีใครมาแก้มันออกได้ ใบหน้าอันทุกข์ทรมานของคนคนนั้นช่างน่ากลัว และน่าอเนจอนาถเป้นอย่างมาก ลิ้นที่แลบออกมาบวมเป่งเต็มช่องปาก ใบหน้าม่วงๆคล้ำๆ ปลายนิ้วปลายเล็บที่มีรอยฉีกและเลือดซิบๆ คงมาจากความกลัวหลังจากที่ลงมือทำไปแล้ว แต่มันก็แก้ไขอะไรไม่ได้
‘ มองไรวะ อย่าบอกนะว่า อุโดนอีกแล้ว! ’ เพื่อนผมกลัวแล้วขยับเข้ามาใกล้ผมทันที
               แล้วตอนนั้นเองเงาร่างที่ห้อยอยู่นั้นก็หายไป ผมมองไปรอบๆ ก็ไม่เจอว่าเขาหายไปไหน ในใจมันก็หวั่นๆ แล้วเงาร่างนั้นก็เดินมาจากที่ไหนไม่รู้มาโผล่ตรงใต้ต้นไม้นั้นอีกครั้ง แล้วทำท่าค่อยๆผูกเชือกด้วยตัวเอง จากนั้นเอาหัวของตัวเองลอดเข้าไปในบ่วงเชือก ทิ้งน้ำหนักปล่อยให้ตัวเองร่วงลงมา พร้อมกับอาการทุรนทุราย ด้วยความกลัวตายจึงพยายามใช้มือแก้เชือกที่คอ แต่มันก็แน่นเกินไป ร่างนั้นทุรนทุรายอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็นิ่งสงบ ล่อยให้ตัวเองเอนไปตามแรงลม ผมได้แต่ยืนอึ้งกับสิ่งที่เห็น แล้วเสียงของคุณยายก็ทำให้ผมได้สติขึ้นมา
‘ ช่วยด้วย ช่วยลูกยายด้วย ช่วยด้วย ’ เสียงอ้อนวอนนั้นดังฟังชัด แต่ผมจะทำอะไรได้ล่ะ
               ในตอนนั้นสิ่งที่ผมคิดคือ ทำอะไรไมได้ คราวนี้มันเกินมือผมไปจริงๆ เพราะสิ่งที่เห็นอยู่นั้นคือ ผลของกรรม ที่เขาก่อเอง เขาสร้างมันด้วยตัวเอง ผมจะไปยุ่งอะไรได้ แต่ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นมันก็น่าเวทนาจนใจมันอ่อนไหวไปด้วย สิ่งเดียวที่ผมจะพอทำได้ก็คงมีเท่านี้ ผมเดินเข้าไปที่ต้นไม้นั้น เอื้อมมือไปแตะที่ต้นไม้ แล้วตั้งใจ อุทิศส่วนกุศลให้กับเขา หวังเพียงว่าผลบุญอันน้อยนิดที่ข้าพเจ้ามีอยู่ จะพอเป็นแสงนำทางให้เขาได้พบทางออกบ้างในวันหนึ่ง เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเขายังไม่หายไปไหน เขายังคงทำอยู่แบบเดิมซ้ำๆ เหมือนไม่ได้รับในสิ่งที่ผมตั้งใจจะให้
               เรามันก็แค่คนคนนึง จะไปยุ่งกฎแห่งกรรมได้ยังไง นั่นคือสิ่งที่ผมคิด แต่ในเมื่อมันอยู่ตรงหน้าก็อยากจะ พยายามทำอะไรสักอย่างกับสิ่งที่เห็น
‘ ฟังเราหน่อยเถอะ เห็นไหม ใครร้องไห้อยู่ เห็นไหมเธอทำให้ใครต้องเป็นทุกข์ ’
เงาร่างนั้นไม่รู้ว่าไม่ได้ยิน หรือไม่สนใจ
‘ หันมาดูนี่ เห็นไหมว่าแม่เป็นยังไง ’ เงาร่างนั้นเหมือนสะดุดใจกับคำพูดของผม หันมามองที่คุรยายข้างๆ จากนั้นเงาร่างนั้นก็เหมือนตกใจและรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ลงไปนั่งกุมหัวร้องไห้อย่างโหยหวนแล้วก็หายไปทันที
                    เงาร่างนั้นไม่กลับมาอีก ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่คุณยายยังคงนั่งร้องไห้อยู่ ผมหันไปทางคุณยาย ทำได้แค่อุทิศบุญให้ยาย ขอให้ยายได้พ้นทุกข์ในเร็ววัน เพราะจิตยายผูกไว้แรงเหลือเกิน เกินกว่าผมจะแก้ได้ ในที่สุดเงาร่างทั้งสองนั้นก็หายไป เหลือเพียงป่ารกๆ เท่านั้น
                     ผมกับเพื่อนเดินออกมา ก็พบว่าเรือไม้เก่าๆนั้น มันเหลือแค่ซากเท่านั้น ไม่ได้มีบ้านอย่างที่เห้นในทีแรก ทางเข้ามันก็รกกว่าเดิม เพื่อนผมเดินตามผมน้ำตาคลอด้วยความกลัว พลางบ่นผมไม่หยุด ว่าเป็นต้องซวยเพราะผมทุกทีไป
                     ในคืนนั้นผมกลับมาที่บ้านด้วยใจหดหู่ เมื่อไหว้พระเสร็จก็คิดว่า ต่างคนต่างมีกรรมเป็นของตัวเอง เราก็ไม่มีสิทธิ์อะไรมากไปกว่าคนอื่น ก็ทำได้แค่ ปล่อยวางเท่านั้น แล้วก็เข้านอน เพราะคิดว่าเรื่องราวนี้มันคงจบลงแค่ตรงนี้.... แต่เปล่าเลย
                       กลางดึกคืนนั้นผมตื่นขึ้นมาเพราะมีคนปลุก ก็คงจะเป็นเด็กๆในบ้านผมนั่นแหละที่มาปลุก ผมลืมตาขึ้นมาพร้อมกับได้ยืนเสียงคนครวญครางร้องไห้ อย่างโหยหวนมาจากไกลๆ เมื่อตั้งใจฟังก็รู้ว่า เป็นเขานั่นเอง เขาพยายามที่จะพูดอะไรกับผม แต่ว่าเข้ามาใกล้บ้านไม่ได้มากนัก เลยได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่อย่างนั้น

‘ แม่... แม่อยู่ไหน ’
                        เงาร่างนั้นคร่ำครวญประโยคเดิมๆซ้ำๆด้วยเสียงโหยหวนชวนขนลุก น้ำเสียงนั้นทรมานเป็นอย่างมาก แม้ว่าผมจะเจออะไรมาบ่อย แต่มันก็อดขนลุกไปด้วยไม่ได้ ผมตั้งจิตนิ่งๆได้แต่บอกเขาไปว่า พรุ่งนี้จะลองหาทางช่วยนะ ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้จริงๆ
                      เสียงครวญครางนั้นค่อยๆเบาลง จนหายไป ผมหลับตาลงอีกครั้งด้วยใจที่ไม่สงบ
                      เช้าวันต่อมา ผมโทรไปหาเพื่อนเหมือนเดิม คราวนี้มันไม่ยอมออกมา แต่ผมก็ตื๊อจนมันยอม ผมขับรถไปที่เดิมเมื่อวาน เพื่อนผมกลัวอยู่นานกว่าจะยอมลงมา ผมยังคงยืนช่างใจอยู่ว่าจะเข้าไปดีไหม เพราะเข้าไปก็ใช่ว่าเราจะทำอะไรได้ ผมคิดหาทางออกที่พอจะทำได้
‘ ทำไมเคร่งเครียดอย่างนั้นเล่าโยม ’
                       ผมมัวคิดจนไม่ได้สังเกตว่ามีพระท่านเดินผ่านมาทางนี้ ผมรีบหลบทางให้ท่านเดิน พร้อมกับนั่งลงข้างๆเพื่อให้เกียรติ แต่ท่านกลับไม่ยอมเดินไปไหน ผมก็ งงๆ ท่านเอาแต่ยิ้มแล้วมองผมอยู่อย่างนั้น
‘ ไหนลองเล่าให้อาตมาฟังซิ ว่าโยมเครียดเรื่องอะไร ’
ผมก็อึ้งๆ แล้วก็ไม่กล้าเล่า เพราะต้องพูดตามตรงว่าใช่ว่าพระทุกรูปจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ จะหาว่าเราบ้ารึเปล่าก็ไม่รู้
‘ อาตมาไม่ว่าโยมบ้าหรอก ’ ผมอึ้งแล้วก็หันมามองหน้าท่าน ท่านแต่งตัวเหมือนพระธุดงค์ มีร่มมีกรด ใส่จีวรสีกลัก ใบหน้าใจดี จากการถามไถ่ภายหลังทราบว่าอายุ 40 ต้นๆ บวชตั้งแต่เด็กๆ แต่ใบบหน้าท่านผ่องเหมือนคนอายุยังไม่ 40 ผมกราบท่านก่อนที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
‘ กรรมนั้นใครก็ขวางไม่ได้ โยมคงเข้าใจดี แต่อาตมาเป็นพระจะดูดายเสียก็คงใช่ที่ ’
                       จากนั้นหลวงพ่อก็ให้ผมเดินนำทางไปที่เดิม ที่ผมพบเจอเรื่องเมื่อวาน เมื่อไปถึงผมก็พบกับชายคนนั้นยังคงผูกคอตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างน่าเวทนา หลวงพ่อมองแล้วก็ถอนหายใจพลางส่ายหัวด้วยความสงสาร หลวงพ่อเดินเข้าไปใต้ต้นไม้อีกต้น นั่งลงบนก้อนก้อนที่พอนั่งได้ แล้วก็แผ่เมตตาให้ชายคนนั้น ชายคนนั้นหยุด และหายไป
                          น่าสงสาร แต่ก็เกินจะช่วยเหลือ กรรมใดใครก่อ ย่อมไม่มีใครมารับแทน สิ่งเดียวที่ทำได้คือการชดใช้ บาปจากการฆ่าชีวิตนั้นหนักหนา ไม่ว่าจะเป้นชีวิตที่เล็กน้อยเพียงใด แต่นี่การฆ่าตัวตายก็เหมือนกับการที่เราฆ่าคนคนนึง คนเรามีทั้งกรรมดีและชั่ว หากเราเคยทำดี ฆ่าตัวตายไปก็เหมือนการฆ่าคนมีบุญ บาปของการฆ่าตัวตายคือต้องทำอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทรมานแล้วทรมานอีก ไม่รู้จบ เพราะจิตสุดท้ายมันผูกไว้อย่างนั้น เธอเข้าใจใช่ไหม(คำพูดนี้ผมจำได้ลางๆ อาจไม่ละเอียดมาก)
                             หลวงพ่อถามย้ำไปยังผู้ฟังที่นั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ตรงนั้น ที่ต้นไม้ต้นนั้น หลวงพ่อยังคงพูดต่อด้วยเหตุผลที่ว่า ทุกคนนั้นมีปัญญา วันนึงเขาจะคิดได้ อาตมาจะชี้ทางให้ หวังว่ามันคงสัมฤทธิ์ผลในวันข้างหน้า
                             ทุกคนนั้นล้วนมีทุกข์เป็นของตัวเอง หนักหนากว่ากันไหมนั้นเทียบกันไม่ได้ จำพูดได้อย่างไรว่า เราทุกข์กว่า เขาทุกข์น้อยกว่า มันเทียบกันไม่ได้ สิ่งเดียวที่พอจะเทียบกันได้คือ ใครหาทางออกอย่างไร โยมสู้ไหม โยมไม่สู้ โยมเลือกที่จะหนีเอาตัวรอดจากปัญหา แล้วเป็นอย่างไร ทรมานไหม มันพ้นทุกข์ไหม หรือมันทุกข์กกว่าเดิม แล้วสิ่งที่สำคัญ ใครที่เป็นทุกข์มากกว่าโยม
‘ แม่... แม่....’ เงาร่างนั้นทำได้เพียงร้องโหยหวน
                              แม่ของโยม ทุกข์ใจที่โยมจากไป กินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายทรุดโทรมกำลังใจก็ไม่มี สุดท้ายก็เสียชีวิตตามโยมไปติดๆ โดยมีจิตผูกพันธ์อยู่แต่เรื่องของโยม เฝ้าร้องไห้คร่ำครวญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ได้ต่างจากโยมเลย เพียงแต่โยมไม่เคยได้รู้ กรรมหนักมันบังไว้ โยมทำให้บุพการีทุกข์ เป็นบาป ถึงแก่ชีวิต ยิ่งบาปกว่า
                               หลวงพ่อหันมาทางผมแล้วบอกว่าให้ไปดูตรงใต้ต้นไม้ต้นนั้น แล้วขุดดูสักหน่อย จะพบของบางอย่างให้หยิบมา เมื่อขุดไปแล้วก็เจออย่างที่ท่านว่า เครื่องประดับเงินทำมือ สวยงาม แต่เก่าไปตามการเวลา ผมรู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของนั้นคือใคร
‘ สิ่งที่อาตมาทำได้ก็มีเพียงเท่านี้  ไปกราบแม่ซะ ขอขมาซะ อาตมาจะเป็นพยานให้ ’
                                หลวงพ่อรับเครื่องเงินนั้นไปถือ หลับตานิ่งๆ แล้วเงาร่างของคุณยายคนเดิมก็ปรากฏให้เห็น คุณยายกราบหลวงพ่อด้วยท่าทางอันสวยงาม ใบหน้านั้นยังคงมีแต่ทุกข์
‘แม่... แม่... ’
แต่ที่น่าเวทนากว่าก็คงเป็นเขาคนนี้ ทำได้เพียงร้องครวญครางค่อยคลานเข้าไปที่เท้าแม่แล้วกราบด้วยน้ำตา ผู้เป็นแม่นั้นกอดเขาไว้ด้วยความรักพร้อมกับคำพูดที่ทำให้ผู้ฟังต้องร้องไห้ ‘ แม่ไม่โกรธ แม่อโหสิกรรมให้ ขอให้ลูกแม่ไปดีนะ ’
‘ ฉันขอความกรุณาพระคุณเจ้าเมตตาลูกฉันด้วยเถิด ’ คุณยายกราบลงบนดินด้วยความนอบน้อม หลวงพ่อพยักหน้าเป็นการตอบรับ

คุณยายค่อยๆหายไปจากตรงนั้น ผมรู้ดีว่าคุณยายยังไปไหนไม่ได้ด้วยความห่วงใยที่ยังค้างคา จิตอาวรณ์ที่มัดคุณยายไว้ แต่ก็คงไม่ปรากฏตัวให้ใครได้เห็นอีกแล้ว
                             หลวงพ่อ นั่งนิ่งๆ ก็ยื่นมือไปแตะที่หัวของชายคนนั้น พร้อมกับอุทิศส่วนกุศลให้ด้วยความสงสาร และเมตตา ชายคนนั้นได้แต่ร้องไห้ ยกมือไหว้ท่วมหัว แล้วก็หายไปตรงหน้า หลวงพ่อบอกให้พวกเรากลับในทันที เพราะหมดธุระของพวกเราแล้ว
                              ผมอาสาขับรถไปส่งหลวงพ่อ หลวงพ่อไม่ได้ปฏิเสธิอะไร บนรถผมถามหลวงพ่อว่า เขาจะเป็นอย่างไรต่อไป หลวงพ่อส่ายหัว เขาจะยังต้องเป็นอย่างนั้น ทำอย่างนั้น ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ เราช่วยเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ขอขมาแม่ มันคงผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง สงสารแม่เขานะ ทำไมคนเราคิดแต่จะจบชีวิตตัวเอง ไม่ได้ห่วงคนอื่นเลย ตายแล้วยังไง มันสบายตรงไหน มันทุกข์เหมือนเดิม เฮ้อ...
                              มาถึงที่ชานเมือง หลวงพ่อก็ขอลงตรงนี้บอกว่า นั่งรถนานแล้ว ได้เวลาเดินต่อเสียที ผมกราบลาท่าน ก่อนที่ท่านจะไปท่านก็ยังพูดคุยกับผมด้วยความใจดี
‘ ที่เราเจอกันวันนี้มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกนะโยม หนทางยังอีกยาวไกล ’ หลวงพ่อท่านหันหลังเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ทันให้ผมได้ถามอะไร
                              ผมขึ้นมาบนรถพร้อมกับทบทวนเรื่องราว แล้วหันไปมองเพื่อนที่หลังรถ มันยังคงมีทีท่า งงๆ ปนกลัว
‘ จบแล้ว ดีแล้วที่อึงไม่เห็นอะไร จะจิตตกเอาปล่าวๆ ’
‘ ไม่นะอึง รอบนี้อุเห็นว่ะ หลวงพ่อไม่ได้แกล้งอุใช่ไหม ’.... !
……………………………………………………………………………………………………………….
‘ ความตายนั้นไม่ใช่ทางออก
เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบางอย่าง
ทุกข์..ไม่ได้จากไปพร้อมความตาย
ทุกข์...เกิดที่เรา ดับที่เรา ’
(คำพูดที่ผมพอจำได้จากหลวงพ่อ)
สู้ๆครับทุกคน


ไม่มีความคิดเห็น