ของรัก...นักสะสม
"ของรัก...นักสะสม" เป็นเรื่องเกี่ยวกับของสะสมที่เชื่อว่าน่าจะมีเรื่องราวหลอนๆแอบแฝงอยู่ เรื่องจากคุณลอยชาย หรือ LoyChinE จากพันทิปว่าด้วยเรื่องดังกล่าวตั้งแต่ต้น ขอขอบคุณ เรื่องราวดีๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย
สวัสดีอีกครั้งครับ วันนี้ผมก็จะมาเล่าเรื่องที่เคยเจอมาให้ได้ฟังกันอีกครั้ง แล้วก็เหมือนในทุกๆครั้งที่ผมต้องขอบอกว่าเรื่องทั้งหมดที่ทุกท่านกำลังจะได้อ่านนั้นเป็นเรื่องของ ‘ความเชื่อส่วนบุคคล’ ซึ่งทุกท่านมีสิทธิ์ที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ และผมก็ไม่ได้มีเจตนาจะมอมเมาหรือหลอกลวงอะไร หากเรื่องราวต่อไปนี้ขัดกับความรู้สึกหรือความเชื่อของผู้อ่าน ผมต้องขอโทษด้วย และขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่ผมได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนเก่าของผมในช่วงปิดเทอมของมหาวิทยาลัย เพื่อนกลุ่มนี้ไม่ได้เรียนที่เดียวกันแต่ก็ยังคงติดต่อกันเสมอ เราสนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆจนถึงตอนนี้เรามักจะนัดเจอกันเป็นปกติในช่วงวันหยุดยาวหรือช่วงเทศกาลต่างๆ
ปกติพวกเราจะนัดเจอกันที่บ้านของเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม แต่ครั้งนั้นเราว่างมากกว่าทุกครั้งเลยนัดกันว่าอยากจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหลังจากที่ไม่ได้ไปมานาน โดยขับกันไปเองเหมือนที่เราเคยไปกัน
เรามารวมตัวกันที่บ้านของเพื่อนคนนั้นก่อน เราทำอาหารกินกันอย่างสนุกสนานเพราะพวกเราชอบทำอาหารกันอยู่แล้วจนเวลาดึกๆหน่อยเราก็เริ่มออกเดินทางกันโดยที่ในคืนนั้นเราไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์กันเลยเพราะรู้ดีว่าต้องขับรถ แถมตำรวจยังเข้มขึ้นกว่าแต่ก่อน
เรานัดกันจะไปเที่ยวทะเลจึงขับรถลงใต้ไปยังที่ที่แพลนกันไว้ ตลอดการเดินทางเราผลัดกันขับผลัดกันปลุกชวนคุยกันไปตลอดทางอย่างสนุกสนานในวันนั้นเราเดินทางไปทั้งหมด 4 คน มี ผม เอ บี และแฟนของบี
เราค่อยๆขับไปตามทางเรื่อยๆแวะตามที่ที่เราอยากแวะตลอดทางเพราะเวลาที่มีเหลือเฟือเราไม่ได้อยากจะไปเที่ยวทะเลอะไรกันขนาดนั้นเอาตรงๆคือแค่อยากไปนั่งเอาบรรยากาศเปลี่ยนที่กินกันเท่านั้น
เรามาถึงที่พักที่บีเป็นคนจองไว้ล่วงหน้า ที่พักของเราเป็นโรงแรมที่ตกแต่งแบบสมัยใหม่ผสมกับวัฒนธรรมพื้นบ้านเก่าๆ ตัวโรงแรมนั้นถูกตกแต่งด้วยกระเบื้องสวยงามดูแล้ใหม่มากโซฟาประตูด้านหน้าดูหรูหรากว่าที่คิดไว้เพราะราคานั้นก็ไม่ได้แพงมากหรืออาจเพราะเราไม่ได้ไปในช่วงที่ผู้คนนิยมเที่ยวหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ
เรามัวชื่นชมกับด้านหน้าของโรงแรมจนไม่ได้สังเกตเห็นว่ารอบนอกนั้นตกแต่งไปด้วยต้นไม้หลายชนิดคล้ายกับบ้านสวนผมไม่รู้ว่ามันจะเรียกว่ารีสอร์ทได้ไหมแต่ในสายตาผมดูเหมือนโรงแรมมากกว่า เราเช็คอินเข้าที่พักด้วยความรวดเร็ว เมื่อเดินผ่านตามทางมาจากหน้าเคาน์เตอร์ก็เห็นว่าโรงแรมนี้แบ่งออกเป็นส่วนๆเป็นตึกต่างๆอีก
ห้องที่เราจองไว้นั้นอยู่ที่ปีกด้านหนึกของที่พักซึ่งแยกออกจากอีกฝั่งการตกแต่งนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิงเหมือนเตรียมไว้สำหรับรสนิยมของผู้เข้าพักแต่ละคน บีจองฝั่งที่ตกแต่งแบบโบราณเพราะความชอบของพวกเราซึ่งมันก็ถูกใจพวกเราอย่างมากจริงๆ
ตลอดทางเดินนั้นเปลี่ยนจากพื้นกระเบื้องสีขาวสะอาดสวยงามเป็นพื้นไม้ขัดเงาวาวไปตลอดทางเดิน สองฝั่งกำแพงตกแต่งด้วยเครื่องปั้นดินเผาของสะสมหลายอย่าง เราเดินไปตามทางจนมาถึงห้องพักโดยมต้องนอนกับเอ ส่วนบีพักกับแฟนตัวเองตามปกติ
เราเก็บของเสร็จแล้วก็ไม่ได้พักก่อนเพราะเตรียมจะไปเดินเที่ยวที่ริมทะเลกัน เพราะในตอนกลางคืนนั้นเรากะว่าจะมาทำอะไรปิ้งย่างกินกันเพราะที่นี่มีเซอร์วิสในส่วนนี้ให้ด้วยแต่ต้องจ่ายเพิ่ม
ผมกับเอเดินออกมารอก่อนที่หน้าทางเดินเพราะแฟนของบีขออาบน้ำก่อน ด้วยความสงสัยผมจึงเดินไปทั่วๆบริเวณ ที่นี่นับว่าสวยมากในสายตาผมแต่รสนิยมของเจ้าของออกจะน่ากลัวไปสักหน่อยเพราะของที่นำมาตกแต่งนั้นเป็น ของเก่า ทั้งหมดทุกชิ้นดูมีอายุและประวัติของตัวเอง
ผมเดินผ่านเข้าไปในส่วนที่จัดไว้เพื่อโชว์ของสะสมโดยเฉพาะ ของสะสมนั้นไม่ได้มีความจำเพาะเจาะจงอะไร เรียกว่าอะไรที่ดูเป็นของเก่าก็ดูจะถูกใจเจ้าของไปหมด ผมเดินดูของไปทีละชิ้น ทุกชิ้นสวยงามและน่าชม
‘น้องชอบหรอครับ’ พี่พนักงานที่กำลังทำความสะอาดอยู่ตรงนั้นทักผม
‘ครับ ก็สวยดีนะพี่ ของเก่าหมดเลยรึเปล่า’ ผมตอบไปตามมารยาท พี่ดูใจดีด้วยก็เลยไม่ปฏิเสธที่จะคุย
ผมคุยกับพี่เขาได้สักครู่หนึ่งก็เริ่มได้ข้อมูลหลายอย่างอาจเพราะเป็นคนชอบของแนวๆนี้เหมือนกันจึงคุยกันได้ง่าย จากคำบอกเล่าของพี่พนักงานได้ความว่าเจ้าของที่นี่ชอบสะสมของเก่าแต่ก็ไม่อยากเอาไว้ที่บ้านเฉยๆเลยเอามาจัดตกแต่งที่นี่เสียเลย ตัวพี่เองก็ชอบเลยได้รับผิดชอบมาดูแลของพวกนี้นอกจากงานประจำ พี่เขาก็โอเคเพราะว่าชอบอยู่แล้วแถมได้เงินเพิ่มอีก
ผมคุยกับพี่เขาต่ออีกหน่อยถามนู่นถามนี่ไปเรื่อยว่าอันนี้อะไรอันนั้นอะไร พี่เขากำชับว่าห้ามจับเพราะเจ้าของค่อนข้างหวงในบางชิ้นที่ดูแล้วน่าจะแพง ผมก็ไม่ถือวิสาสะจับต้องอะไรเพียงแค่ดูเท่านั้น แล้วเอ บี แล้วก็แฟนของบีก็เดินมาทางที่ผมอยู่พอดี
ทั้งสามคนเดินเข้ามาตามผมแต่พอเห็นของสะสมที่วางเรียงรายไว้ตรงนั้นก็เกิดความสนใจจึงหยุดดูสักครู่หนึ่ง ผมกับพี่พนักงานมัวคุยกันจนไม่ได้สังเกตเห็นว่าแฟนของบีที่กำลังตื่นเต้นกับของสะสมนั้นได้ไปหยิบเอาสร้อยคอเก่าๆเส้นหนึ่งขึ้นมาทาบคอเล่นอวดให้บีดูอย่างสนุกสนาน
‘เห้ยน้อง! ห้ามจับครับ ถ้าเสียหายพี่ลำบากเลยนะ’ พี่พนักงานตะโกนอย่างตกใจทันทีที่มองไปเห็น
‘ขอโทษค่ะๆ’ แฟนของบีรีบวางของในมือไว้ที่เดิม
ด้วยความตกใจและรีบร้อนจนไม่ระมัดระวังของในมือจึงร่วงลงไปกับพื้นอย่างจัง พวกเราหน้าซีดกันไปตามๆกันเพราะคิดว่าน่าจะเกิดความเสียหายขึ้น แต่คนที่ตกใจกว่าและรีบวิ่งเข้าไปคือพี่พนักงานคนเดิม
พี่พนักงานหยิบสร้อยคอทองเหลือเก่าๆเส้นนั้นข้นมาในทันทีหันซ้ายหันขวาเพราะกลัวว่าถ้าใครมาเห็นเข้าแกคงต้องรับผิดชอบเรื่องในครั้งนี้แน่ๆ เมื่อสำรวจดูความเสียหายของสร้อยเส้นนั้นแล้วก็พบว่าตรงที่เป็นพลอยนั้นมีส่วนหนึ่งหลุดหายไป ผมรีบเดินเข้าไปดูแต่ก็ไม่สามารถสังเกตเห็นจุดที่เสียหายไปนั้นของสร้อยเส้นนี้ได้เลย
พี่พนักงานบอกว่ามันเป็นแค่จุดเล็กๆถ้าไม่สังเกตจริงๆไม่คุ้นเคยจะไม่รู้หรอก แต่เจ้านายของแกเนี่ยเป็นคนละเอียดแล้วก็หวงของมากไม่น่าจะหลุดรอดสายตาไปได้ ตอนนี้แฟนของบีเริ่มมีน้ำตาคลอให้เห็นเพราะกลัวว่าตัวเองจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
พี่พนักงานหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ไม่นานก็เสนอความคิดว่า ถ้าให้พวกเรารับผิดชอบเนี่ยอย่างไรเสียพี่เขาก็ต้องโดนไปด้วยเพราะดูแลข้าวของไม่ดี ข้อเสนอของพี่เขาคือให้พวกเราช่วยกันตามหาพลอยที่มันหลุดหายไปให้เจอโดยที่พี่เขาจะไปดูลาดเลาว่าวันนี้เจ้านายเข้ามาที่โรงแรมหรือเปล่า
เรารีบหากันอย่างเต็มที่เพียงไม่นานเราก็เจอพลอยชิ้นนั้นที่กระเด็นไปอยู่ใต้ตู้หลังหนึ่ง เมื่อพี่พนักงานกลับมาก็ดูดีใจมากแล้วบอกว่าวันนี้เจ้านายไม่ได้เข้ามา พี่เขาจะเอาสร้อยเส้นนี้ไปซ่อมกับนายช่างด้านของเก่าเจ้าหนึ่งที่เป็นเจ้าประจำของนายแก น่าจะไม่มีปัญหาอะไร เราได้ร่วมทุนค่าซ่อมให้กับพี่เขาไปด้วยเพราะมันเป็นความผิดของพวกผม
เราออกมาเที่ยวข้างนอกกันเพื่อรอให้ถึงตอนค่ำ แฟนของบีตอนนี้เริ่มกลับมาปกติแล้วหลังจากที่พี่พนักงานโทรมาบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไรตามมาแน่นอน
เราไปเที่ยวฆ่าเวลากันจนเย็นก็กลับเข้ามาที่พักพร้อมกับอาหารทะเลและเครื่องดื่มพอที่จะสังสรรค์กันได้ทั้ง 4 คน เราเอาของทั้งหมดไปวางไว้ตรงที่ที่โรงแรมจัดไว้ให้เพื่อจัดปาร์ตี้ จากนั้นเราก็เดินกลับมาที่ห้องพักเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุดกันให้สบายตัวพร้อมกับมองหาพี่พนักงานคนเดิม
ในตอนนั้นเราไม่เจอพี่เขาได้แต่เดินไปตรงชั้นวางสร้อยเส้นนั้นที่เราทำตก เมื่อเดินไปถึงก็เห็นว่าสร้อยได้ถูกนำกลับมาวางไว้ที่เดิมแล้วในสภาพี่ดูไม่ออกเลยว่ามันแตกต่างจากเดิมตรงไหน เราเดินกลับห้องด้วยความสบายใจ
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จเราก็ออกมาพร้อมๆกันแล้วก็มองหาพี่พนักงานคนเดิมอีกครั้งแต่ก็ยังไม่เจอ เราจึงตัดใจแล้วเดินกลับไปตรงสนามหญ้าด้านหลังโรงแรมที่ใกล้ๆกับชายหาด
เราสังสรรค์กันอย่างสนุกสนานเพราะบรรยากาศที่เป็นใจลมเย็นๆจากทะเลโชยมาตลอดเวลา ไม่มีเสียงรถเสียงมอเตอร์ไซด์ขับผ่านไปมาให้รำคาญ ในคืนนั้นมีแค่สองสามกลุ่มเท่านั้นที่มาปาร์ตี้ตรงบริเวณนี้ ระหว่างที่เรากำลังสนุกนั้นเอก็เหลือบไปเห็นพี่พนักงานที่กำลังเดินตรงมาทางนี้พอดี
เอตะโกนเรียกให้พี่เขามานั่งสนุกด้วยกันเป็นการตอบแทนที่ช่วยเหลือพวกเรา ตอนแรกๆพี่เขาก็ปฏิเสธเพราะเกรงใจแล้วยิ่งเราเป็นลูกค้าด้วยแต่ด้วยความทู่ซี้ของไอ้เอพี่เขาก็ต้องยอมแพ้แล้วมานั่งกินด้วยกันโดยบอกว่าจะขอดื่มแค่แก้วเดียวพอวันนี้เหนื่อยแล้วอยากกลับไปนอน
เราคุยกันไปเรื่อยๆก็ได้ความว่าพี่เขาเพิ่งลงกะมากำลังจะกลับไปนอนแต่มาเจอเราพอดี ด้วยนิสัยคล้ายๆกันทำให้เราคุยกันได้ง่ายและเข้ากันได้ค่อนข้างดี จากหนึ่งแก้วก็เริ่มมีแก้วที่สองที่สามตามมาสุดท้ายก็เลิกพูดเรื่องที่จะกลับไปนอนทันทีเราเต็มใจพี่เขามานั่งคุยด้วยเนื่องจากสิ่งที่พี่เขาช่วยเหลือพวกเราไว้เมื่อเย็น
พอไอ้เอมันเริ่มจะกรึ่มๆหน่อยมันก็เริ่มเล่านั่นเล่านี่ไปเรื่อยจนมันไปหลุดปากถามพี่เขาว่า ‘พี่ถามจริงๆ เก็บของเก่าไว้เยอะอย่างนี้ไม่เจอผีกันบ้างหรอ’ พี่พนักงานที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเมาแม้แต่น้อยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วหันซ้ายหันขวาเหมือนกลัวใครจะมาได้ยิน
‘ถ้าพี่เล่าให้ฟัง อย่าไปบอกใครนะ ไม่อย่างนั้นพี่ซวยแน่ๆ’ พี่พนักงานกำชับด้วยท่าทางจริงจัง
จากคำบอกเล่าของพี่เขาบอกว่าของเก่าแต่ละชิ้นที่มาที่นี่เนี่ยส่วนมากจะเป็นของมีประวัติ ก็คือถ้าไม่ใช่ของเก่าจริงๆไม่ได้ผ่านการใช้งานอะไรมาเจ้านายเขาก็จะไม่ค่อยสนใจ ของแต่ละชิ้นเรียกได้ว่ามีเรื่องเล่าแทบทุกชิ้นเลย พี่ก็ไม่รู้หรอกว่าแกไปหามาจากไหนแต่แกก็หามาจนได้
หลายครั้งที่ลูกค้ามักเจอกับเรื่องราวแปลกๆบางคนก็เจอเป็นเสียงบ้างบางคนถึงกับเห็นเป็นตัวๆ เขาก็คิดกันไปต่างๆนาๆว่าอาจจะเป็นเพราะมีคนตายหรืออะไรแนวๆนั้นตามพลอตหนังที่เราชอบดูแต่บางคนก็สงสัยว่าจะเป็นของเก่าที่ตั้งโชว์เอาไว้ ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกที่จะคิด เพราะบางคนก็คิดว่าเป็นของตกแต่งเฉยๆเป็นของใหม่ที่ทำให้ดูเก่าเท่านั้น
แต่มันมีเรื่องที่ทำให้เจ้านายพี่ต้องกลับมานั่งคิดใหม่เมื่อหลายปีก่อนมีคนมาพักที่นี่ตอนนั้นพี่ก็เพิ่งมาทำงานได้ไม่นานถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นช่วงหน้าร้อนเพราะช่วงนั้นนักท่องเที่ยวเยอะมาก ตอนนั้นทุกคนก็วุ่นวายกันไปหมดพนักงานก็ไม่พอ เจ้านายยังต้องลงมาต้อนรับลูกค้าเองเลย
เรื่องมันเกิดตอนไหนไม่มีใครรู้เลยจนในกลางดึกหลังจากหมดช่วงหน้าร้อนไปแล้วที่ลูกค้าเริ่มซาๆลงไป อยู่ดีๆคืนนั้นคนที่อยู่เวรตรงประชาสัมพันธ์ก็เห็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเดินไปเดินมาอยู่ด้านหน้าโรงแรมตอนแรกพนักงานก็ยังไม่ได้ใส่ใจมากนักอาจจะเป็นคนแถวๆนั้นหรือมารอใคร
ด้วยความระแวงเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ก็เรียกให้พี่ยามที่นั่งอยู่ใกล้ๆประตูมานั่งเป็นเพื่อนช่วยกันจับตามองเด็กหนุ่มคนนั้นเอาไว้เกิดเข้ามาปล้นคงจะแย่ เด็กหนุ่มคนนั้นมีท่าทางแปลกๆดูลุกลี้ลุกลนกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด พี่ยามที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันก็ว่าอาจจะเมายาไม่ก็เมาเหล้าแต่ดูแล้วไม่น่าไว้ใจ
พี่ยามรีบเดินไปตามพนักงานผู้ชายเท่าที่จะมีอยู่ในเวลานั้นมารวมกันซึ่งก็มีพี่ด้วยเป็นหนึ่งในนั้นถ้าจำไม่ผิดน่าจะรวมกันได้สักสีห้าคนให้พออุ่นใจ พี่ยามนำขบวนเดินตรงออกไปที่ทางออกพร้อมกระชับกระบองตรงเอวไว้อย่างระมัดระวัง
‘น้องครับ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ’ พี่ยามพูดเสียงดังเพราะยังไม่กล้าเข้าไปใกล้มากนัก
ไม่มีคำตอบจากเด็กวัยรุ่นตรงหน้า แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆก็จะเห็นได้ว่าเสื้อผ้าที่ใส่นั้นมียี่ห้อแล้วก็ดูแพงไม่น่าใช่พวกวัยรุ่นเมายาแถวนี้ เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงขั้นบันไดทางขึ้นหันกลับมามองที่พี่ยามอย่างกะทันหันจนคนเดินมาถามต้องสะดุ้ง
สภาพผมเผ้ารุงรังของเด็กหนุ่มใยหน้าที่อิดโรยตาโหลๆทำให้เขาดูน่ากลัวมากกว่าปกติ เขาหันมามองที่พี่ยามแล้วเริ่มมีอาการสั่นเหมือนคนเป็นไข้ เขาอ้าป้าเหมือนพยายามจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออกมีแต่เสียงออกมาจากลำคอเท่านั้น พี่พนักงานที่เล่าให้ฟังเดินเข้าไปใกล้พี่ยามเพราะอยากเห็นให้ชัดขึ้น พี่ยามพยายามเรียกและสอบถามเด็กหนุ่มคนนั้น
เด็กหนุ่มค่อยๆยันตัวยืนขึ้นอย่างทุลักทุเลเหมือนคนไม่มีแรง เขาค่อยๆก้าวเท้าเข้ามาหากลุ่มพนักงานที่ค่อยๆถอยหนีพร้อมๆกัน เด็กหนุ่มซ่อนมือตัวเองเอาไว้ในเสื้อทำให้พี่ยามระแวงมากยิ่งขึ้น แต่พี่พนักงานบอกว่าพอมานั่งคิดดีๆแล้วน่าจะเป็นการเอาเสื้อมาคลุมอะไรไว้มากกว่าจะซ่อนมือตัวเอง
เด็กหนุ่มอ้าปากกว้างเหมือนจะยิ้มแต่ท่าทางนั้นไม่ต่างอะไรจากคนจิตไม่ปกติ พี่ยามตัดสินใจหยิบเอากระบองตรงเอวออกมาถือไว้ในมือเพื่อเตรียมพร้อมแต่ยังไม่ได้ชี้กระบองไปทางเขา เด็กหนุ่มคนนั้นยังคงค่อยๆเดินเข้ามาหากลุ่มพนักงานเมื่อเข้ามาใกล้ได้ระยะหนึ่งเด็กหนุ่มก็เอามืออกมาจากเสื้อคลุมอย่างรวดเร็ว
พี่ยามตกใจมากกลัวว่าจะเป็นอาวุธจึงง้างกระบองในมือเตรียมฟาดลงไปเต็มที่แต่พนักงานคนอื่นรั้งเอาไว้ทันเพาะในมือของเด็กหนุ่มนั้นไม่ใช่อาวุธอย่างที่คิด แต่มันเป็นปิ่นปักผมเก่าๆอันหนึ่ง
พี่ยามกับพนักงานคนอื่นๆดูงงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น เด็กหนุ่มตรงหน้ายังคงยิ้มกว้างอย่างน่ากลัวน้ำลายที่ไม่ได้กลืนก็เริ่มหยดลงมาให้เห็น พี่ยามกล้าๆกลัวๆและไม่กล้าตัดสินใจว่าจะยื่นมือไปรับหรือว่าจะปัดทิ้งดี พนักงานคนอื่นๆก็ยุให้ไปรับเอามามันจะได้จบๆ เพราะเขาดูจงใจจะคุยกับพวกเรา
พี่ยามยื่นมือไปหยิบด้วยมือที่สั่นเทาด้วยความกลัวปนระแวงจึงทำให้ตอนที่หยิบปิ่นมาจากมือเด็กหนุ่มคนนั้นตกลงไปที่พื้น ทันทีที่ปิ่นตกกระทบพื้นอาการของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไป จารอยยิ้มเปลี่ยนเป็นสายตาแข็งกร้าวราวกับจะเอาเรื่อง เด็กหนุ่มหยุดมองไปที่พี่ยามอย่างไม่เป็นมิตร
เขาค่อยๆเบนสายตาจากพี่ยามลงต่ำมาที่ปิ่นปักผมบนพื้น เขาเอื้อมมือหยิบปิ่นขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วยื่นมันไปที่ตรงหน้าพี่ยามอีกครั้ง แต่คราวนี้สายตานั้นไม่ใช่รอยยิ้มอีกแล้วมันส่อแววความโกรธออกมาอย่างชัดเจน ทำให้กลุ่มพนักงานของโรงแรมรู้สึกเสียวสันหลังวาบไปตามๆกัน
คราวนี้พี่ยามยื่นมือออกไปรับปิ่นมาอีกครั้งอย่างระมัดระวังแม้ว่าจะยังมีอาการสั่นของมืออยู่บ้าง ตอนนี้ปิ่นปักผมอยู่ในมือของพี่ยามแล้ว ปิ่นปักผมถูกกำเอาไว้ในมืออย่างมั่นคงเพราะกลัวว่ามันจะตกลงไปอีก แล้วเหตุการณ์ชุนละมุนก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
ทันทีที่ปิ่นปักผมถูกส่งต่อจากมือหนึ่งสู่อีกมือหนึ่ง เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนนั้นก็มีอาการเกร็งนิ้วมือหงิกงอลำคอแข็งตึงจนเห็นได้ชัดก่อนที่เขาจะลงไปนอนกองกับพื้นแล้วเริ่มชักกระตุกไปทั้งตัว สองมือหงิกงอพร้อมอาการสั่นไปทั่วทั้งตัว น้ำลายเริ่มแตกฟองออกมาจากปากตาเหลือกจนแทบจะไม่เห็นตาดำแล้ว
พนักงานทุกคนรีบวิ่งเข้าไปประคองร่างของเด็กหนุ่มแล้วพยายามกดร่างของเขาไว้เพราะพื้นตรงนั้นตกแต่งด้วยหินกรวดปนกับกระเบื้องกลัวว่ามันจะบาดเอา พนักงานคนหนึ่งวิ่งกลับเข้าไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจะโทรเรียกรถพยาบาลแต่พอดีกับที่มีชายคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์วิ่งเข้ามาถามแล้วแสดงตัวว่าเป็น หมอ
เด็กหนุ่มถูกหามเข้ามาข้างในพร้อมกับเริ่มปฐมพยาบาลทันทีรอให้รถพยาบาลมาถึง เป็นระเบียบที่ทุกคนต้องปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นจะต้องโทรไปแจ้งเจ้าของโรงแรมให้รับทราบในทันที ทุกคนกำลังชุนละมุนอยู่กับเรื่องตรงหน้าจนไม่ได้สนใจเวลา
เพียงไม่นานเจ้าของโรงแรมที่พักอยู่ไม่ไกลนักก็มาถึงพอดีเขาเข้ามาถามไถ่สถานการณ์อย่างตกอกตกใจ พอดีกับที่รถพยาบาลมาถึงพอดี เด็กหนุ่มถูกนำส่งโรงพยาบาลพร้อมกับเจ้าของโรงแรมที่ตามเพื่อจัดการเรื่องราวทั้งหมด เหลือไว้เพียงพนักงานพี่ยามแล้วก็หมอคนนั้นที่อยู่ที่โรงแรม
พนักงานกล่าวขอบคุณหมอคนนั้นที่เข้ามาช่วยโดยที่ไม่ได้ร้องขอ ฝ่ายเจ้าของโรงแรมก็ยื่นขอเสนอให้ว่าจะไม่คิดค่าที่พักสำหรับการจองครั้งนี้ถือว่ามีบุญคุณช่วยเหลือไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้นในคืนนั้น พนักงานเกือบทั้งหมดมานั่งรวมกันอยู่บริเวณด้านหน้าของโรงแรม
เวลาดึกอย่างนี้ไม่ค่อยมีแขกออกมาเดินไปมาทำให้พนักงานไม่ต้องเคร่งกับระเบียบมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นความอยากรู้อยากเห็นของทุกคนก็มีมากพอที่จะลืมระเบียบไปได้ชั่วขณะ
เวลาผ่านไปสักชั่วโมงสองชั่วโมงเห็นจะได้เจ้าของโรงแรมก็กลับมาที่โรงแรมเพื่อมาถามไถ่เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด เมื่อพนักงานถามถึงอาการของเด็กหนุ่มเพราะอยากรู้ว่าเขาเป็น บ้า รึเปล่า แต่คำตอบที่ได้คือ เมื่อไปถึงโรงพยาบาลไม่นานเด็กหนุ่มก็ตื่นจากอาการสลบ อาการเกร็งหายไปหมด เหลือเพียงอาการอิดโรยจากการพักผ่อนไม่เพียงพอเท่านั้น หมอจึงแค่ให้น้ำเกลือกับวิตามินนิดหน่อย พรุ่งนี้ก็คงจะกลับบ้านได้
พอเจ้านายเล่าจบยังไม่ทันจะได้ถามอะไรต่อเขาก็เป็นฝ่ายหันกลับมาซักลูกน้องของตัวเองทันทีถึงเหตุการณ์ทั้งหมด พี่ยามเป็นคนเล่าพร้อมกับกองหนุนจากพนักงานที่ร่วมเห็นเหตุการณ์ พี่ยามยื่นปิ่นปักผมในมือให้เจ้านาย เมื่อเจ้านายเห็นก็มีท่าทางตกใจ
‘แน่ใจนะว่าเป็นอันนี้ ที่คนนั้นเขายื่นให้’ เจ้านายถามอย่างตกใจ
‘แน่ใจครับ ผมรับมาเองกับมือ’ พี่ยามยืนยันพร้อมกับคนอื่นๆ
ปิ่นปักผมอันนี้เป็นหนึ่งใน ของเก่า ที่เจ้านายซื้อมาไว้ตั้งโชว์ในโรงแรม ปิ่นอันนี้เก่ามากเหมือนจะมาจากทางเหนือ แสดงว่าเด็กหนุ่มคนนี้คงจะ ขโมย มันไปจากที่ตั้งโชว์ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าของที่ถูกขโมยก็คือ อาการของเขาคนนั้นมันเกินกว่าจะอธิบายได้ ตอนนั้นพนักงานก็เริ่มซุบซิบกันแล้วว่าต้องเป็นผีเจ้าของเขาให้เอามาคืนแน่ๆ
ตอนนั้นพวกพี่ก็ไม่รู้หรอกว่ามันจริงไหมเพราะพี่ก็ยังไม่รู้ว่าของมันมีประวัติหลังจากเรื่องนั้นพี่ก็ได้คุยกับเจ้านายจนรู้ว่าชอบของเก่าเหมือนกันเลยได้มาดูแลนี่แหละ ในเช้าคืนนั้นหัวหน้าพี่รีบไปนิมนต์พระมาเลยแต่ว่าขอให้มาช่วงกลางคืนกลัวแขกจะแตกตื่น เรียกได้ว่าคืนนั้นพนักงานต้องอยู่ทำงานล่วงเวลากันหมด
เจ้านายของพี่ให้พระท่านทั้งสวดทั้งพรมน้ำมนต์ไปทั่วโรงแรมเลยโดยเฉพาะตรงห้องโชว์นั่นน่ะ โยงสายสิญจน์เต็มไปหมด พี่กลัวมากตอนนั้น หลังจากทำบุญเสร็จเจ้านายพี่ก็ยังไม่วางใจไปหาซินแซที่ไหนไม่รู้มา แล้วก็เอายันต์มาติดไว้ตามข้าวของบางชิ้น ไม่เชื่อลองไปดูสิ ตอนนี้ยันต์ยังอยู่เลย
เล่ามาถึงตรงนี้พี่พนักงานหยุดชะงักไปครู่หนึ่งเพราะพวกเราเงียบฟังอย่างตั้งใจ พี่ยามเข้าใจไปว่าเราคงกลัวเลยกล่าวขอโทษว่าทำเสียบรรยากาศแต่มันกลับกัน เรื่องเล่าแบบนี้มักเป็นเรื่องประจำในวงสังสรรค์ของพวกเราทั้งเอและบีต่างก็รู้ว่า ผมเป็นอย่างไร แล้วทั้งสองคนก็มักจะเจออะไรๆกับผมอยู่บ่อยๆ เรียกได้ว่าเรื่องผีแบบนี้เป็นกับแกล้มอย่างดีทีเดียว
เราอธิบายให้พี่เขาเข้าใจพี่เขาก็ดูตกใจนิดหน่อย แต่ก็รู้สึกสนุกไปกับพวกเราสงสัยจะไม่ค่อยมีเวลาได้มานั่งกินอะไรคุยกับใครมากเท่าไหร่ พี่เขาก็ถามว่าอยากฟังต่อไหมมันยังมีอีก แน่นอนว่าพวกเราไม่ยอมพลาดอยู่แล้วตอนนั้นเอและบีนึกสนุกอย่างฟังด้วยความชอบ ส่วนผมก็อยากฟังเรื่องราวพวกนี้จาก คนอื่น บ้างเผื่อเอาไว้มาเขียนเหมือนกับที่ทำอยู่ตอนนี้
หลังจากการทำบุญและการแก้ไขของซินแซแล้วเรื่องราวแปลกๆก็ใช่ว่าจะหมดไปแต่ก็ไม่มีอะไรที่รุนแรงเหมือนกับกรณีของเด็กหนุ่มคนนั้น เพราะเหตุการณ์ขโมยของที่เกิดขึ้นเจ้านายจึงแต่งตั้งพนักงานให้มีหน้าที่ดูแลห้องตรงนั้นเป็นพิเศษนั่นก็คือพี่เอง
เรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้นนั้นมีหลายรูปแบบ นานๆจะเกิดขึ้นกับลูกค้าที่เข้ามาพักอย่างมีอยู่ครั้งหนึ่งเป็นครอบครัวชาวต่างชาติเข้ามาพักในช่วงปลายปีที่แล้ว อยู่ดีๆช่วงดึกๆก็วิ่งมาจากทางห้องพักมาที่เคาน์เตอร์ท่าทางตกใจ น้องคนที่เข้าเวรในวันนั้นกว่าจะคุยรู้เรื่องก็พักใหญ่
ฝรั่งเขาว่าเขาโดนผีหลอก แต่เขาเจออยู่คนเดียวลูกเมียเขาไม่เห็นไม่รู้สึก แต่ตัวเขาเห็นชัดเจนมากว่ามีคนเดินผ่านไปผ่านมาตรงทางเดินปลายเตียงของเขา ตอนแรกก็ไม่สนใจแต่มันชัดมากจนทำให้เขาต้องตื่นขึ้นมาดูแล้วปรากฏว่าขนาดตอนเขาตื่นเขาก็ยังเห็นอยู่ เขามาคาดคั้นเอาความจากพนักงานต้อนรับเพราะเขาคิดว่า ที่นี่ต้องมีคนตายแน่ๆ
หลังจากคุยกันไม่รู้เรื่องอยู่พักหนึ่งทางพนักงานก็เสนอว่าจะให้ย้ายห้องนอนให้จะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่ายโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ฝ่ายฝรั่งเขาก็โอเคกับข้อเสนอนั้น แล้วก็ยอมกลับไปที่ห้องแต่โดยดี คืนนั้นยังไม่มีการย้ายห้องเพราะว่ามันดึกแล้วจึงขอให้เขารอตอนเช้า
แต่หลังจากที่ฝรั่งกลับห้องไปได้ไม่นานเขาก็วิ่งออกมาอีกบอกว่าเจออีกแล้วช่วยย้ายห้องให้เขาทีตอนนี้เลยเขาไม่สามารถนอนหลับได้จริงๆ ทางพนักงานจึงโทรไปแจ้งเจ้าของโรงแรมแล้วดำเนินการย้ายของทันที ขากลับไปที่ห้องพักฝรั่งเขาหันไปเห็นห้องโชว์ของสะสมตรงทางเดินเขาก็สะกิดแขนพนักงานที่มาช่วยขนของยกใหญ่
‘นั่นไง ชุดนั้นเลย ที่ผมเจอ’ ลูกค้าชาวต่างชาติคนเดิมชี้นิ้วไปที่ชุดรำเก่าๆชุดหนึ่งในตู้กระจกด้านในของห้อง
เอาจริงๆในตอนนั้นก็ยังไม่มีใครเชื่อมากเท่าไหร่กลัวว่าจะเป็นเชิงของลูกค้ามาขอเปลี่ยนห้อง แต่มันก็ดูไร้สาระเกินไปเพราะห้องที่ย้ายไปก็ไม่ได้ต่างจากเดิมเลยทุกอย่างมีเหมือนกันซ้ำยังต้องลำบากมาย้ายของอีก
นั่นก็เป็นครั้งหนึ่งที่มีเรื่องราวเกิดขึ้น หลังจากนั้นก็มีบ้างประปรายว่าลูกค้าเจอผีอำบ้างเห็นผีบ้าง มาเข้าฝันบ้าง เจ้านายพี่ก็พยายามทำบุญบ่อยๆนะแต่แกก็ชอบของเก่ามากกว่าจะทิ้งไปให้หมดอีกอย่างมันก็ทำให้โรงแรมดูน่าสนใจขึ้นด้วย แต่กับลูกค้าก็ไม่ค่อยมีปัญหามากมายหรอก เพราะเขามาแล้วก็ไปเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆหนักสุดก็ตรงพวกพนักงานแบบพี่นี่แหละที่เจอกัน
บางครั้งพวกที่อยู่กะกลางคืนก็จะได้ยินเสียงแปลกๆบ้าง บางทีก็เป็นเสียงร้องไห้ บางทีก็เป็นเสียงเหมือนดาบกระทบกัน เสียงดนตรีไทย มีทุกรูปแบบจนคนไม่ค่อยกล้าอยู่กะกลางคืนกัน ไปบอกเจ้านายเขาก็ไม่ฟัง ไม่ใช่ไม่เชื่อนะ แต่ไม่ฟัง พวกพี่ก็ทำอะไรไม่ได้ก็ตามนั้น ดูแลตัวเองกันไป
มีครั้งหนึ่งน่าจะหนักสุดแล้วที่พนักงานเคยเจอกันมา พวกกะกลางคืนนั่งดูละครระหว่างพักเพื่อรอให้ถึงเช้า เขาก็เมาท์กันตามประสาสาวๆพี่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยหรอก ฟังเขามาอีกที ระหว่างที่ดูทีวีกันอยู่ดีๆคนหนึ่งในกลุ่มก็นิ่งไป แล้วเริ่มไอแปลกๆเสียงไอแหบๆแห้งๆ เพื่อนๆก็เริ่มกลัวกัน แล้วคนที่มีอาการแปลกๆก็ลุกขึ้นยืนท่าทางหลังค่อมๆเหมือนคนแก่
‘หิว... หิว...’ หญิงสาวที่มีท่าทางคล้ายคนแก่พูดออกมาให้คนรอบๆตัวได้ยิน
หญิงสาวคนนั้นค่อยๆเดินออกไปจากเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เดินช้าๆท่าทางไม่มั่นคงเพื่อนก็งง และก็กลัวมาก จะว่าแกล้งก็คงไม่ใช่เพราะคนนี้ก็เป็นคนที่กลัวผีมากไม่น่าจะกล้าทำอะไรแบบนี้ เพื่อนๆรีบเดินไปหาพยายามพูดพยายามคุยแต่ก็ไม่ได้ความอะไรนอกจากคำว่า หิว...
สาวๆไปเรียกพี่ยามให้มาช่วยดู ทุกคนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงตัดสินใจเข้าไปที่ห้องครัวของโรงแรมแล้วหุงข้าวมาให้หญิงคนนี้กิน ดีที่มีคนครัวมาเปิดครัวเตรียมทำมื้อเช้าแล้ว อาหารจึงเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว ข้าวสวยกับปลากระป๋องถูกวางไว้ตรงหน้าหญิงสาวคนนั้น
เธอค่อยๆใช้มือหยิบข้าวเป็นคำใส่ปากอย่างชำนาญโดยไม่ได้สนใจช้อนที่วางอยู่เลย ข้าวสวยร้อนๆที่มีไอน้ำลอยฟุ้งจากฝาหม้อดูจะไม่ร้อนสำหรับเธอในตอนนี้ ข้าวเปล่าคำแล้วคำเล่าถูกหยิบเข้าปากโดยไม่ได้แตะต้องปลากระป๋องที่วางไว้คู่กันเลย เวลาเพียงไม่นานข้าวก็หมดไปจากหม้อหุงข้าวเบอร์เล็กที่มีไว้สำหรับพนักงาน แต่ก็เหมือนจะยังไม่เพียงพอเมื่อเธอยังคงพูดซ้ำอีกว่า หิว...
ข้าวหม้อใหม่ถูกหุงมาให้ในทันทีแม้ว่าจะใช้เวลาบ้างระหว่างนั้นทุกคนก็พยายามสวดมนต์เอาพระคล้องต่างๆนาๆ แต่ก็ไม่สามารถจะไล่ให้ใครบางคนที่อยู่ในร่างนั้นออกไปได้ เมื่อข้าวสวยร้อนๆมาถึงเธอก็ใช้มือเปล่าจกเข้าไปในหม้อที่เพิ่งถูกยกมาท่ามกลางไอน้ำร้อนๆจนคนที่เห็นรู้สึกร้อนแทน
เดิมหญิงสาวคนนี้เป็นคนสวยหุ่นดีเพราะทำหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับ ปราณข้าวที่เธอกินเข้าไปมากขนาดนั้นทำให้หน้าท้องที่เคยแบนราบของเธอป่องขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะมีอาการคล้ายจะขย้อนออกมาบ้างแต่เธอก็ยังคงไม่หยุดกินข้าวในหม้อนั้นต่อไป
ทุกคนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพราะทั้งสวกมนต์แล้วทั้งคล้องพระแล้วก็ไม่ได้เป็นผลอะไรจนในที่สุดก็มีพนักงานคนหนึ่งนึกกลัว เธอเดินไปหาน้ำเปล่ามาขวดหนึ่งกรวดใส่ถ้วยตรงหน้าอย่างเกร็งๆ แล้วมันก็ได้ผลพอกรวดน้ำเสร็จอาการของเธอก็ค่อยๆดีขึ้นมือที่จกกินข้าวอยู่ก็หยุดลง เธอยิ้มออกมาอย่างพอใจ ‘อิ่มแล้ว...’
เมื่อสิ้นสุดคำพูดนั้นเธอก็ค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นมาแต่ยังดูอ่อนเพลียมากเพื่อนๆเข้าไปประคองเธอที่กำลังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเธอรู้สึกตัวเต็มที่สิ่งแรกที่เธอทำก็คือ วิ่งไปอาเจียนเอาข้าวสวยร้อนๆที่เพิ่งกินไปนั้นออกมาจนหมด สภาพเธอแย่มากหลังจากนั้นจนต้องลางานไปสองสามวัน
เรื่องเล่าของพี่พนักงานคนนั้นจบลงตรงนี้เพราะว่าพี่เขาไม่อยากเล่าต่อแล้ว กลัวว่าพวกผมจะคิดมากแล้วไม่อยากจะพักพวกเราก็ไม่ขัดปล่อยให้พี่เขาดื่มกินกับเราพูดคุยกันเรื่องอื่นๆแทน
เราคุยกันต่อไปอีกพักใหญ่ๆพี่เขาก็ขอตัวกลับก่อนเพราะว่าง่วงมากแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องมาเข้าเวรอีก พวกเรากล่าวลากันท่ามกลางเสียงหัวเราะ เรายังคงกินกันต่ออีกพักหนึ่งเพราะบรรยากาศดีๆอย่างนี้ไม่ได้จะเจอบ่อยๆ
หลังจากที่สังสรรค์กันจนเสร็จหมดแล้วพวกเราก็ช่วยกันเก็บของเพื่อกลับเข้าไปนอน ในระหว่างเก็บของอยู่นั้นบีมันก็ดันปากพล่อยขึ้นมาว่า ‘มาทั้งทีเราจะเจออะไรไหมวะ’
แฟนของบีหันไปตีแขนบีอย่างแรงเพราะตัวเองก็แอบกลัวอยู่ลึกๆ ผมก็หัวเราะแห้งเพราะไม่แน่ใจเหมือนกันเอมันก็ด่าไปชุดหนึ่งอย่างขำๆพวกเรากลับเข้ามานอนโดยที่ต้องเดินผ่านห้องโชว์ของเก่านั้น ทุกคนนึกถึงเรื่องที่ได้ฟังจากพี่พนักงานก็ทำเอาขนลุกจนต้องเดินจ้ำอ้าวกลับห้องด้วยความเร็ว
ผมนอนหลับไปได้อย่างง่ายๆเพราะอาการมึนๆจากเครื่องดื่มที่ดื่มเข้าไปพอสมควร ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ผมหลับไปแต่ผมรู้สึกตัวตื่นด้วยเสียงแปลกๆที่ดังอยู่ใกล้ๆ ‘แค่ก... แค่ก...’
เสียงไอแห้งๆที่ค่อนข้างชัดเจนแต่มันไม่ได้ดังเข้ามาในหู เหมือนมันดังก้องอยู่ในหัวเสียงมากกว่า ตอนนั้นที่ยังไม่ทันจะตั้งสติได้ดีนักก็คิดไปว่าเป็นเพื่อนของผมเป็นคนไอ เราก็ห่วงมันเลยพยายามยันตัวลุกขึ้นมาดูมันแต่ก็กลายเป็นว่ามันนอนหลับสนิทไม่มีท่าทีจะไม่สบายแต่อย่างใด
แค่ก... แค่ก....
เสียงไอดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้มันดังมาจากทางหน้าประตูห้อง ผมพอจะรู้แล้วว่ามันคงไม่ใช่ เรื่องปกติ เหมือนอย่างทุกครั้ง ผมเอียงตัวมองไปยังทางแคบตรงทางเดินออกสู่ประตูหน้าห้อง ก็เห็นเงาร่างของหญิงชราคนหนึ่งนั่งยองๆอยู่กับพื้นหลังค่อมๆของยายดูน่ากลัว ยายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไอเหมือนคนเป็นโรค
ผมตั้งใจมองยายให้ดีๆเพราะสภาพแกนั้นไม่ได้เละเทะหรือน่ากลัวมากนัก เหมือนยายจะรู้แล้วว่าผมตื่นแล้ว ยายค่อยๆลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลผมยังนั่งมองยายอยู่บนเตียง ยายเดินไปทางประตูแล้วหันมาเหลือบมองผมเหมือนจะให้ผมตามไป ผมตัดสินใจเดินตามยายไป ผมพยายามปลุกเอให้ตื่น แต่มันก็ไม่ตื่น
ผมเดินออกมาที่ระเบียงทางเดินเพียงลำพังแสงไฟนีออนตามทางเดินยังคงสว่างอยู่ตลอดเวลาทำให้ทางเดินไม่น่ากลัวอย่างที่คิดแม้ว่ามันจะเงียบสงัดปราศจากสิ่งมีชีวิตใดๆ ผมมองหาคุณยายคนเมื่อสักครู่ที่ผมเห็นแต่ก็ไม่มีวี่แววว่ายายจะเดินอยู่แถวนี้เลย
ผมเดินไปตามทางเรื่อยๆเพราะได้ยินเสียงไอนั้นแว่วๆมาจากอีกฝั่งของทางเดิน แน่นอนว่าฝั่งนั้นคือห้องโชว์ของเก่าที่เราเดินผ่านมา เมื่อผมเดินมาถึงผมก็ได้เจอกับยายคนเดิมที่ยืนอยู่
หญิงชราในท่ายืนหลังค่อมจนเกือบจะเป็นแนวฉาก มือข้างหนึ่งไพ่หลังอีกข้างกระแอมไออยู่ตลอดเวลา ยายหันมามองผมแล้วยิ้มๆไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมเดินเข้าไปใกล้ยายมากขึ้นเพราะไม่รู้สึกถึงอันตรายใดๆ ผมมองไปตามสายตาของยายที่หยุดอยู่ในตู้ไม้ตู้หนึ่ง
ผมมองเข้าไปในตู้กระจกนั้นก็เห็นเป็นเข็มขัดเก่าๆที่ทำจากเงินเส้นหนึ่งวางอยู่อย่างสวยงาม แม้ว่ามันจะถูกขัดจนเงาแต่ก็ยังมีบางส่วนที่ดูเก่าอย่างเห็นได้ชัด ผมนึกคนเดียวในใจ ‘ของยายหรอ’ หญิงชราใกล้ๆผมพยักหน้าตอบอย่างใจดี ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ผมกลับคิดไปเองว่า ‘ยายคงอยากไปแล้ว’
ผมตั้งใจแผ่เมตตาอุทิศบุญกุศลที่ตัวเองพอจะมีอยู่บ้างให้ยายเพื่อหลุดพ้นไปจากสถานะอย่างนี้ ไม่ต้องมาเฝ้ามาคอยหวงข้าวของอยู่แบบนี้ ให้บุญกรรมนั้นนำทางยายไปเสียที ด้วยความตั้งใจของผมบอกกับยายเองที่ไม่ได้มีห่วงอะไรแล้วหลังจากเฝ้าของชิ้นนี้มานาน ยายก็ค่อยๆเลือนหายไปในความว่างเปล่าตรงนั้น
ผมเดินกลับมาที่ห้องอย่างอิ่มใจ คิดไปเองว่าครั้งหนึ่งเราคงเคยรู้จักกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผมเดินมาจนถึงห้องพักของตัวเองก็ตกใจเพราะประตูห้องมันเปิดอยู่ ผมแน่ใจว่าผมปิดประตูแล้วอย่างดีตอนออกไป ผมรีบเดินเข้าไปดูในห้องก็ไม่เห็นเอที่ควรจะนอนอยู่บนเตียง
ผมรีบวิ่งไปยังห้องข้างๆที่เป็นห้องของบีกับแฟน ประตูห้องนั้นก็เปิดอยู่เช่นกัน ผมผลักประตูเดินเข้าไปแล้วก็ต้องผงะกับภาพที่เห็น เอพยายามกดขาของหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มเพื่อนอย่างเต็มแรง บีกดแขนทั้งสองเอาไว้เช่นกัน แฟนของบีพยายามดิ้นเหมือนกลัวอะไรบางอย่างพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองไปทั่วหน้า แต่กลับไม่ร้องไห้เสียงดังออกมามีเพียงเสียงอู้อี้ในลำคอเท่านั้น
แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจก็คือ ที่หัวของแฟนบีนั้นมีเงาของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดเครื่องทรงเต็มยศ ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่นางรำเพราะมันดูเยอะแล้วก็วิจิตรกว่านางรำ ในใจผมคิดได้อย่างเดียวในตอนนั้นว่าน่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ไม่ก็คนในวังเป็นแน่
หญิงสาวร่างบางหน้าตาสวยแต่ตอนนี้ดวงตานั้นมีแต่ความอาฆาตใบหน้าที่ขาวจากการทาแป้งจนไม่เห็นเค้าหน้าเดิม รอยเลือดที่มีให้เห็นตามตัวบ้าง ชุดทรงเครื่องชุดใหญ่สลวยยาวลงมาตามพื้น สองเท้าของเธอนั้นเหยียบอยู่ตรงหัวนอนของเพื่อนสาวของพวกเรา สองมือนั้นจับอยู่ที่ใบหน้าของเธอ วิญญาณหญิงสาวนั้นพยายามจับหน้าของเพื่อนผมจ้องมาที่เธอย่างฝืนใจ
ผมรู้สึกช๊อคไปครู่หนึ่ง เมื่อตั้งสติได้จึงรีบถามเพื่อนว่าเกิดอะไรขึ้นโดยที่ยังไม่เดินเข้าไปใกล้มากกว่านั้นเพราะเธอคนนั้นเปลี่ยนจุดหมายของสายตามาที่ผมแทน เธอไม่มีท่าทีเกรงกลัวแต่อย่างใด มีเพียงความดุร้ายเท่านั้นที่ส่งออกมา
เอเป็นคนเล่าให้ฟังว่า บีมาเคาะห้องเสียงดังจนเอต้องตื่น ทั้งเคาะทั้งโทรแต่พอตื่นมาก็ไม่เห็นผมนอนอยู่ พอตามบีออกมาก็ถูกลากมาช่วยกันจับอย่างที่เห็น เพื่อนพยายามบอกให้ผมทำอะไรสักอย่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่วิญญาณตนนั้นก็ยังคงจ้องผมอย่างกินเลือดกินเนื้อ
ผมตั้งสติแล้วเดินเข้าไปอย่างตั้งใจ ในใจก็พยายามเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์และครูบาอาจารย์ที่ปกปักษ์รักษาตัวเราอยู่ให้ช่วยเหลือ แต่วูบหนึ่งที่ใจคิดไปถึง กุมาร ทั้งสองของผมที่อยู่ที่บ้าน โดยปกติสองคนนี้จะติดแม่มาก แต่คราวนี้ผมกับนึกถึงเขาทั้งสองคน
ผมได้ยินเสียงแว่วๆของเด็กผ่านหูไปแล้วก็เป็นภาพของเด็กน้อยชายหญิงทั้งสองคนกระโจนเข้าใส่เธอคนนั้นทำให้เธอหายไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องอันน่าขนลุกของเธอ ผมรีบเดินเข้าไปหาเพื่อนทั้งสามคนโดยที่มีเด็กๆยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง
ตอนนี้เพื่อนสาวของพวกเราไม่มีอาการดังกล่าวแล้วเพียงแต่ยังหอบเหนื่อยและร้องไห้ไม่หยุดเราปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบีปลอบแฟนตัวเอง เอกำลังพยายามรวบรวมสติอยู่ในตอนนี้ ผมมองไปที่หัวเตียงตรงที่ผมเห็นเธอคนนั้น แล้วผมก็ตกใจอย่างมากจนเกือบขาอ่อนทรุดลงไป
สร้อยคอเส้นเดิมเส้นเดียวกับที่เราทำตกนั้นวางอยู่บนหัวนอนของบีและแฟน ผมหยิบมันขึ้นมาจากเตียงชูให้เพื่อนทั้งสามดูทุกคนหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นสร้อยในมือของผม แฟนสาวของบียิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิมด้วยความกลัว เราจึงต้องช่วยกันปลอบต่ออีกพักใหญ่กว่าจะดีขึ้น
เมื่ออาการดีขึ้นแล้วเราก็ตกลงกันว่าจะเอาสร้อยเส้นนี้ไปคืนโดยมีผมเป็นคนถือมันเอาไว้ ผมพยายามเรียกให้เพื่อนได้สติกลับมาเพราะอยากให้เธอไปขอขมาเจ้าของสร้อยเส้นนี้ เขาคงจะโกรธที่เราไปทำให้ข้าวของเขาเสียหาย เราค่อยๆเดินไปตามทางอย่างกล้าๆกลัวๆ ความระแวงนั้นมีมากกว่าเดิมมาก เด็กๆทั้งสองคนตอนนี้กลับไปแล้วเพราะคงหมดงานให้เขาทำแล้วในตอนนี้
เราเดินมาถึงตรงห้องโชว์ ตอนนี้เพื่อนผมเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง คงจะกลัวมาก ผมเดินนำทุกคนเข้าไปตรงที่ที่ผมจำได้ว่าเป็นชั้นวางของสร้อยเส้นนี้ แต่เมื่อเดินมาถึงใจผมก็หล่นวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะบนชั้นวางนั้นมันยังมีสร้อยวางอยู่ แล้วสร้อยในมือผมมันคืออะไร
ผมมองสร้อยในมือกับบนชั้นสลับกันอย่างไม่เข้าใจ สร้อยทั้งสองเส้นนั้นเหมือนกันชนิดที่แยกไม่ออก ผมหันไปมองเพื่อนพร้อมชี้ให้ดูสร้อยบนชั้นวาง ทุกคนอุทานออกมาพร้อมกันอย่างตกใจตอนนี้แฟนสาวของบีเป็นลมไปแล้ว ผมกำลังยืนอ้ำๆอึ้งๆอยู่ก็มีพนังงานเดินผ่านมาพอดี
พนักงานเดินเข้ามาหาเราในทันทีเพราะเห็นเราถือของอยู่ในมือคิดว่าเราจะมาขโมยของ เราไม่ได้อธิบายอะไรให้พนักงานฟังเพียงแค่ชูของในมือให้พี่เขาดู พี่เขาดูไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วสภาพของเพื่อนผมอีกสามคนก็ดูไม่เหมือนขโมยแต่อย่างใด พี่พนักงานไม่รู้จะทำอย่างไรจึงโทรไปหาพี่พนักงานคนที่สนิทกับเราให้เข้ามาโดยด่วน
ไม่นานนักพี่พนักงานคนเดิมก็เข้ามาถึง พี่เข้ามาถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากผม ผมเล่าทุกอย่างให้ฟังโดยละเอียด พี่เขาดูตกใจจนหน้าซีดเป็นอย่างมาก สร้อยทั้งสองเส้นในมือนั้นดูเหมือนกันมากจริงๆ พี่เขาตัดสินใจโทรหาเจ้านายแม้ว่ามันจะเป็นช่วงกลางดึกก็ตาม
บอกตามตรงว่าตอนนั้นกลัวก็กลัวแต่ก็กลัวจะเป็นเรื่องใหญ่มากกว่า เมื่อเจ้าของโรงแรมมาถึงผมก็กล่าวทักทายตามมารยาท พี่เขารับไหว้อย่างใจดีทำให้ผมสบายใจไปเปราะหนึ่ง ผมเล่าทุกอย่างให้พี่เขาฟังทันทีที่พี่เขาถาม
เมื่อเล่าจบพี่เจ้าของโรงแรมมองสร้อยสองเส้นในมืออย่างพินิจพิเคราะห์โดยไม่ได้มีท่าทีตกใจแต่อย่างใด พี่เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วเล่าเรื่องราวของสร้อยทั้งสองเส้นนี้ให้ฟัง
มันเป็นไปอย่างที่ผมคิด สร้อยเส้นนี้เป็นของเก่าที่ซื้อมาจากทางชายแดนภาคเหนือ พี่เขาได้ข่าวมาจากแหล่งข่าวของเขา พี่เขารู้สึกถูกใจสร้อยเส้นนี้เป็นอย่างมากจึงตัดสินใจบินไปดูด้วยตัวเอง เมื่อได้เห็นก็ยิ่งชอบยิ่งถูกใจ สร้อยนี้เป้นของเก่ามากเป็นของเจ้านางในอดีต เป็นเครื่องประดับของหญิงสูงศักดิ์คนหนึ่ง
ตอนที่พบสร้อยเส้นนี้มันถูกบรรจุอยู่ในกล่องเหล็กใบหนึ่งตรงบริเวณที่ขุดพบ ในกล่องนั้นมีพลอยลักษณะคล้ายกับที่ประดับอยู่บนสร้อยตัวจริง มันมีความสวยไม่แพ้กันพี่เขาจึงตัดสินใจซื้อมาทั้งหมดนั้น แล้วเอาพลอยที่เหลือนั้นสั่งทำเป็นสร้อยอีกเส้นเพื่อเอามาไว้ตั้งโชว์ ส่วนตัวจริงนั้นพี่เขาเก็บไว้ในห้องทำงานของตัวเอง
พี่เขาบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแปลกๆจากสร้อยเส้นนี้ ตอนได้มาใหม่ๆคนในบ้านก็เจอกันไม่เว้นวันแล้วลักษณะนั้นก็ตรงกับสิ่งที่ผมเห็นและได้เล่าไปแล้ว พี่เขาหาทางออกโดยการเอายันต์มาติดไว้ที่สร้อยตัวจริง เก็บไว้ใกล้ตัวในห้องทำงาน แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่ามันออกมาได้อย่างไร แล้วยันต์ที่มีนั้นมันหายไปไหน
พี่เขาถามมาตามตรงว่าผม เห็น ใช่ไหมผมจำเป็นต้องตอบไปตามความจริง แต่แทนที่พวกเราจะโดนต่อว่าจากเรื่องวุ่นวายนี้กลายเป็นว่าพี่เขาหันมาปรึกษาหาทางออกแทน ผมให้คำแนะนำว่าถ้าให้ดีที่สุด ก็ควรจะเอาของทั้งหมดนี้ไปทิ้งไม่ก็ไปที่อื่นที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย
แน่นอนว่าเขาปฏิเสธทันควันด้วยเลือดนักสะสมของตัวเอง ผมจึงเสนอทางออกอื่นให้เขาก็คือ การส่งพวกเขาทั้งหมดนี้ไปเกิด อย่าให้ได้มาติดอยู่ที่นี่ พี่เขาก็เถียงว่าเอาพระมาทำบุญก็ออกบ่อย แต่นั่นมันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไป ห่วงต่างๆอารมณ์ต่างๆมันยังคงชัดเจนอยู่
เรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดเวลาที่ผ่านมารวมถึงเรื่องนี้ทำให้พี่เขาตัดสินใจทำตามคำแนะนำของผม ในคืนพรุ่งนี้พี่เขาจะนิมนต์พระมาทำพิธีโดยขอให้พวกผมอยู่ต่ออีกคืนโดยที่พี่เขาจะไม่คิดค่าที่พัก จริงๆพวกเราไม่อยากอยู่แต่ด้วยความกังวลว่าถ้าไม่จัดการให้เรียบร้อยจะเกิดอันตรายกับเพื่อนสาวของเราได้
ในช่วงกลางวันพวกเราออกไปข้างนอกเพื่อหาอะไรทำให้สบายใจ เราแวะไปทำบุญที่วัดสองสามที่ ใช้เวลาที่มีทั้งวันเที่ยวไปทั่วๆละแวกนั้น จนมาถึงเวลาที่พวกเรารอคอย
ในตอนกลางดึกหลังจากที่แขกเริ่มซาๆลงไปแล้ว พี่เจ้าของก็นิมนต์หลวงพ่อมารูปหนึ่ง หลวงพ่อเดินตรงเข้ามาที่ห้องโชว์พร้อมกับถอนหายใจแล้วตำหนิพี่เจ้าของ
‘โธ่เอ้ย ทำบาปไม่รู้ตัวแล้วไอ้หนุ่ม กักขังเขาแบบนี้’ หลวงพ่อถอนหายใจพร้อมสั่งให้ทุกคนไปถอนยันต์ทุกชิ้นที่มีอยู่ในห้องนี้
ระหว่างรอพนักงานและพี่เจ้าของจัดการกับข้าวของในห้องนั้นหลวงพ่อก็เดินมาชวนผมคุยอย่างเหนื่อยหน่าย หลวงพ่อไม่ชอบเรื่องโลกๆแบบนี้มันวุ่นวายมีแต่เรื่อง มีเงินก็เอาไปทำอะไรไม่รู้เดือดร้อนคนอื่นหลวงพ่อบอกให้ผม ติดต่อ กับพวกเขาเรียกพวกเขาออกมาให้หมด เพราะผมน่าจะสื่อสารได้ดีกว่าเขาคงจะเกรงใจบารมีของหลวงพ่อ
สายสิญจน์ถูกโยงไปทั่วห้องและข้าวของทุกชิ้น หลวงพ่อหันมาหาผมอีกครั้งแล้วบอกว่าหลวงพ่อจะ อุทิศบุญและสวดส่งพวกเขาเท่านั้น ขอให้ผมช่วย คลายสะกด ที่กดพวกเขาเอาไว้ออกไป
ผมทำตามอย่างว่าง่ายแล้วคราวนี้ผมก็ได้เห็นวิญญาณของผู้คนมากมายอยู่อัดแน่นเต็มห้องนี้ไปหมด มีแม้กระทักวิญญาณของสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ติดมาตามเครื่องมือล่าสัตว์ในห้องโชว์ ปริมาณนั้นไม่ใช่น้อยๆเลย บางคนที่พอจะสัมผัสได้บ้างก็อึดอัดหายใจไม่สะดวก บางคนถึงกับต้องออกไปอาเจียน
หลวงพ่อเริ่มสวดมนต์เพื่อส่งดวงวิญญาณเหล่านั้น วิญญาณทั้งหมดนั้นค่อยๆทยอยหายไปทีละน้อยจนเริ่มรู้สึกโล่ง และในที่สุดก็มาถึงวิญญาณดวงสุดท้าย หญิงสาวในชุดทรงเครื่องนั้น
‘อีหนู เอาพวกมาลัยไปไหว้เขาซะ’ หลวงพ่อหันมาเรียกเพื่อนสาวของพวกผม
เพื่อนผมเข้าไปวางพวงมาลัยลงบนสร้อยเส้นนั้นพร้อมกับพูดขอโทษไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เธอคนนั้นยืนอยู่กลางห้องด้วยท่าทางไม่เป็นมิตรและดูจะไม่สนใจบุญที่พระท่านอุทิศให้สักเท่าไหร่ หลวงพ่อพยายามคุยแต่ก็ไร้ผล เมื่อเธอไม่ยอมไป สภาพเธอนั้นแย่เกินกว่าจะหลุดพ้นในเร็ววัน จิตที่มีแต่ความแค้น และความโลภ ทำให้เธอไม่สามารถไปได้เหมือนคนอื่นๆ
เธอบอกว่าเธอจะอยู่เฝ้าของเธอแบบนี้และไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่า เธอจะไม่ออกมาอาละวาดอีก ทางเดียวที่จะจบเรื่องนี้คือ นำเธอกลับคืนสู่ถิ่นที่เธอจากมา ให้เธอได้อยู่กับสมบัติของเธอให้สมใจ พี่เจ้าของรับปากว่าจะทำตามซึ่งหลวงพ่อก็ยังกำชับอีกครั้งว่า ทุกอย่างจะไม่ปลอดภัยจนกว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ
ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ไม่เหลือร่องรอยของวิญญาณใดๆนอกจากเธอคนเดิม เธอยังคงมองมาที่พวกเราอย่างเอาเรื่องผมอยากจะเดินออกไปจากตรงนี้ให้เร็ว เพราะเธอค่อนข้างน่ากลัว หลวงพ่อลาทุกคนพร้อมให้พรและพรมน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง
ระหว่างที่เจ้าของโรงแรมไปส่งพระท่านนั้นพี่พนักงานคนเดิมก็เดินเข้ามาคุยกับพวกผมอย่างตื่นเต้น ว่าทำไมไม่บอกว่าเห็นจะได้มีเรื่องคุยกันมากกว่านี้ ผมก็ตอบกลับไปขำๆตามประสาและนิสัยของผม
ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นพวกผมกำลังจะเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมพนักงานโทรไปตามเจ้านายที่บอกไว้ล่วงหน้า พี่เขาเดินเข้ามาคุยกับพวกผมอย่างเป็นมิตรทั้งกล่าวขอบคุณและขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น พี่เขาเป็นคนดีมาก แต่ความชอบมันก็อีกเรื่องหนึ่งผมก็ได้แต่แนะนำเท่านั้นไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้มาก
ระหว่างที่คุยกันอยู่หูผมก็แว่วได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่ง เสียงปะทะกันของเหล็ก เสียงของมีคมที่ปะทะกันอย่างรุนแรง ผมบอกพี่เจ้าของถึงเสียงที่ผมได้ยินเพื่อขออนุญาตตามหาที่มาของเสียงนั้น
ผมเดินไปตามทางที่ได้ยินเสียงนั้น ยิ่งพยายามเงี่ยฟังก็ได้ยินมันชัดเจนขึ้น ผมเดินผ่านห้องกระจกผ่านบันไดและประตูหลายบานจนออกมาที่ตึกแยกด้านหลัง ผมเดินตรงไปยังต้นตอของเสียง จนเจอกับห้องห้องหนึ่ง
ผมพยายามฟังอย่างตั้งใจอีกครั้ง เสียงนั้นก็ยังดังและชัดเจนมาจากด้านในห้องนี้ ผมหันไปบอกพี่เจ้าของที่ตอนนี้มีท่าทีอึ้งๆ พี่เขาบอกผมว่าห้องนี้คือ ‘ห้องทำงานของเขา’
พี่เขาเปิดประตูให้พวกผมได้เข้าไปข้างใน สิ่งแรกที่ผมได้เห็นก็คือ เจ้านางคนเดิมคนนั้น เธอยังคงเฝ้าของรักของเธออย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ผมได้แต่ทำเป็นไม่สนใจเธอแล้วหันไปกำชับกับพี่เจ้าของอีกทีเรื่องนำไปคืน ผมเดินไปตามต้นตอของเสียงนั้นจนมาถึงตู้กระจกตู้หนึ่ง
ผมมองเข้าไปในตู้ก็ไม่เห็นของที่ตามหา แต่เสียงมันดังมาจากในนี้ ผมหันไปบอกกับพี่เขาอีกครั้ง ‘เสียงมันมาจากตู้นี้ เป็นเสียงดาบ’
พี่เขาไขกุญแจหยิบกล่องไม้ยาวๆกล่องหนึ่งออกมาจากภายในตู้ กล่องไม้ใบนั้นถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะทำงาน เมื่อเปิดกล่องออกดูก็ได้เจอกับสิ่งที่ผมตามหา มันเป็นดาบโบราณเล่มหนึ่ง ลวดลายของมันสวยงามบ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของ ผมไม่สามารถจะมองเห็นเจ้าของดาบนั้นได้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
ผมขออนุญาตจับดาบเล่มนั้นพี่เขาทำท่ายึกยักเหมือนจะไม่ให้แต่ก็ให้อย่างจำใจ ผมเอื้อมมือไปหยิบดาบมาถือไว้ในมือ ตัวดาบนั้นบิ่นไปเยอะ ครางสนิมเขรอะไปทั่วใบดาบพี่เขาอธิบายต่ออย่างภูมิใจพร้อมชี้ให้ดูรอยหนึ่งบนใบดาบ ‘มันคือรอยเลือด’
ผมยังคงไม่เห็นเจ้าของดาบนี้ แต่รับรู้ได้เพียงความรู้สึกและเรื่องราวของเจ้าของดาบที่ สู้จนตัวตาย และจิตสุดท้ายนั้นยังคงวนเวียนอยู่กับการรบในเวลานั้นจนไม่สามารถจะหลุดไปไหนไม่รับรู้ถึงกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ผมรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูกจนน้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว
‘เรามารับเขากลับบ้าน พอได้แล้ว มันจบแล้ว กลับบ้านเรา’
เสียงหนึ่งที่ผมไม่ได้ยินมานานเพราะไม่ใช่ ท่าน ที่อยู่กับผมตลอดเวลา เสียงของอีกท่านหนึ่งซึ่งผมเคารพไม่ต่างจากท่านอื่นๆสัญลักษณ์ของยอดนักรบในชุดรบสีดำสนิทประดับด้วยลวดลายสีทองอย่างสวยงาม ทันทีที่ผมได้ยินเสียงนั้น ผมก็ได้เห็นเงาร่างของทหารคนหนึ่ง ก้มกราบอยู่กับพื้นและร้องไห้คร่ำครวญอย่างไม่อายใคร และที่สุดสายตานั้นมีเพียงแสงสว่างแสงหนึ่งส่องลงมาเท่านั้น
‘พี่ไปเอาดาบนี้มาจากไหนครับ’ ผมหันไปถามพี่เจ้าของโรงแรม
‘ดาบนี้พี่ได้มาจาก พิษณุโลก’ พี่เขาตอบอย่างไม่คิดอะไร
..................................................................................................................................
เรื่องนี้จบลงแคตรงนี้เราก็แยกย้ายกันทันที ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้กลับไปที่โรงแรมนั้นอีกเลย ไม่รู้ด้วยว่าพี่เขาเอาไปคืนหรือยัง
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันครับ
...................................................................................................................................
‘ยังมีผู้ตกค้างอยู่อีกมาก.... ในภพนี้
แล้วก็มีผู้คนอีกมาก.... ที่ตามหาพวกเขา
เพื่อส่งพวกเขา... กลับบ้าน’
Post a Comment