ถึงขั้นบวช


      เมื่อเพื่อนโทรมากลางดึกวอนให้เพื่อนช่วย คงต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ เรื่องหลอนๆกำลังจะเกิดขึ้นจากสามาชิกพันทิปชื่อ คนอ่านผี เล่าโดยคุณบอย ขอขอบคุณเรื่องสยองๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย

     ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกสงัดเพราะโทรศัพมันแผดเสียงดังจนแสบแก้วหู จนต้องรีบลุกขึ้นไปหยิบมันแล้วกดรับสาย เพื่อไม่ให้มันแผดเสียงดังต่อไป มีเสียงสั่นๆคล้ายคนวิตกสุดขีดโผล่ออกมาจากปลายสาย

    "เฮ้ยไอ้บอย! มารับกูเดี๋ยวนี้เลย ตอนนี้เลยนะเว้ย!!" ที่แท้ก็ไอ้เพื่อนผมนี่เอง ผมเลยพูดด้วยเสียงเรียบๆกลับไปว่า "รับทำไม จะไปไหน" มันพูดสวนขึ้นมาเสียงดังเหมือนตะคอก "มารับกูที่คอนโดเดี๋ยวนี้เลย!! กุไม่อยู่แล้ว ไม่ไหวแล้ว"

    เสียงอันสั่นเทาของมันทำให้ผมรู้สึกตกใจ คำถามต่างๆผุดขึ้นมาในหัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับมันกันแน่ อยากจะถามไถ่มันเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย แต่ก็เกรงว่าจะไม่ทันการ จึงขึ้นรถแล้วรีบบึ่งไปหามันทันที

    ไม่กี่อึดใจต่อมา ผมก็เห็นคอนโดสีขาวสูงตระหง่านแต่ไร้วี่แววของแสงไฟแม้ซักดวง ทันทีที่ผมเลี้ยวรถเข้าไปหยุดที่หน้าคอนโด มันก็โผล่พลวดพลาดออกมาจากมุมมืดใต้ตึก วิ่งหน้าตั้งมาเปิดประตูแล้วกระโดดเข้ามาในรถ

    ผมได้แต่มองด้วยความฉงนสนเท่ห์ แต่ยังไม่ทันจะได้ถามให้คลายปมสงสัย มันรีบเร่งเร้าทันที "ไปๆๆๆๆ! ไปซะทีสิวะ!!" ผมเลยจำต้องเหยียบคันเร่งรีบพามันออกไปจากที่แห่งนี้ มันพูดเสียงสั่นๆว่า "คืนเนี๊ย ยังไง กูขอนอนด้วย พรุ่งนี้กูจะกลับบ้าน"

    ผมทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ว่าเพื่อนผมมันเป็นอะไร จึงต้องเอ่ยปากถามมันว่า "เฮ้ยเดี๋ยวๆ เป็นอะไร ใครทำอะไร" มันพูดเสียงสั่นระริกว่า "ตอนนี้อย่างเพิ่งถามเลย ขอไปที่ห้องก่อนได้มั้ย" ผมเลยจำต้องขับรถกลับห้องอย่างเงียบๆ

    ระหว่างทางผมสังเกตเห็นมันเอาแต่นั่งนิ่ง ตัวสั่นเทาเหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง จนเมื่อถึงห้องของผม มันตรงปรี่ขึ้นเตียงทันทีโดยไม่พูดอะไรกับผมแม้แต่คำเดียว และผมสังเกตเห็นว่ามันนอนไม่หลับเลยทั้งคืน พลอยทำให้ผมไม่ได้นอนไปด้วย รุ่งเช้าผมจึงพามันไปส่งที่บ้าน โดยที่ไม่ได้ปริปากถามอะไรมันสักคำ เพราะดูเหมือนอาการมันยังไม่ปกติดี

    จนเรื่องเหล่านี้ได้ผ่านห้วงความคิดของผมไปนานพอสมควร หนึ่งอาทิตย์เห็นจะได้ แม่ของมันก็โทรมาหาผม ได้ความว่าตอนนี้มันกำลังบวชอยู่ สร้างความแปลกใจให้ผมอีกระลอกหนึ่ง ซึ่งแม่ของมันเองก็แปลกใจไม่ต่างจากผมเท่าใดนัก

    ซึ่งแกก็ถามกับผมว่าพระต้น หรือเพื่อนของผมไปทำอะไรมาหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้มีคำตอบอะไรให้แก เพราะตัวผมเองก็ยังคงสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนกันแน่ ท้ายสุดผมเลยจำต้องหาวันว่างไปหาพระต้น เพื่อถามไถเรื่องราว

    เมื่อผมไปถึง ก็ได้นั่งคุยสัพเพเหระกับพระต้นไปเรื่อยๆ แต่ใจของผมอยากวกเข้าเรื่องเมื่อคืนนั้น คืนที่พระต้นมีอาการหวาดวิตกรุนแรง แต่ผมก็ไม่อยากหาเรื่องไม่ดีมารบกวนจิตใจของพระให้ขุ่นหมอง เลยจำต้องขอลากลับเมื่อถึงเวลาอันควร

    จนเวลาล่วงไปเกือบอาทิตย์ แม่ของพระต้นก็ได้โทรมาบอกผมว่าต้นได้สึกแล้ว และแกได้ร้องขอให้ผมเข้าไปรับแกเพื่อที่จะไปรับเจ้าต้นกลับบ้าน ในระหว่างที่ผมกับแม่อยู่ที่วัด พ่อของเจ้าต้นเพิ่งจะเสร็จธุระ เลยขับรถมาสมทบที่วัดอีกคัน

    ขากลับจึงได้แยกกันกลับ โดยแม่ก็ได้กลับรถคันเดียวกับพ่อ บอกว่าจะไปธุระกันต่อ เจ้าต้นจึงต้องกลับคันเดียวกับผม ระหว่างที่กำลังขับกลับบ้าน มันเอ่ยปากกับผมว่า "ช่วยกูหน่อย ไปส่งกูเก็บของที่คอนโดที กะจะย้ายออก"

    คำพูดเมื่อครู่เหมือนเป็นการเปิดประเด็นให้ผม ผมเลยรีบพูดขึ้นมาทันที "มาถึงตรงนี้ต้องเล่าแล้วล่ะ มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงบวชกระทันหัน แล้ววันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น"

    มันเริ่มเล่าว่า ตอนที่มันย้ายเข้ามาอยู่ที่คอนโดแห่งนี้ได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ มันก็ไม่ได้มีเรื่องผิดปกติอะไร แต่ในคืนหนึ่งหลังจากนั้นตอนที่มันกำลังนอน ไม่แน่ใจช่วงเวลา มันได้ยินเสียงอะไรสักอย่าง "แกร๊ก..แกร๊ก..แกร๊ก"

    เสียงมันดังมาจากกระจกบานเลื่อนของระเบียง มันค่อยๆชะโงกหัวขึ้นไปมองตามเสียง แต่ก็ไม่พบเจออะไร เป็นแค่ระเบียงโล่งๆสลัวๆ ประตูกระจกยังคงปิดมิดชิดดี เมื่อไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติมันจึงล้มตัวลงนอนต่อ

    มารู้สึกตัวเพราะเสียงเจ้ากรรมอีกเช่นเคย "แกร๊ก..แกร๊ก..แกร๊ก" มันจึงชะโงกหน้ามองไปที่ระเบียงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ปรากฏเรือนร่างของหญิงสาวใส่เสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์ขาสั้น ผมยาวรุงรังกระเซอะกระเซิง ลำตัวซีดเซียวผอมแห้งคล้ายศพมากกว่าจะเป็นคน ช่วงใบหน้ามีลักษณะเป็นสีดำ

    เธอกำลังใช้มือทั้งสองข้างพยายามง้างกระจกบานเลื่อนจนเกิดเสียง "แกร๊ก..แกร๊ก..แกร๊ก" เพื่อนของผมมันผวาตกใจสุดขีดกับภาพที่เห็น จนมันรู้สึกตัวสะดุ้งตื่นจากภวังค์ พบว่ามันเป็นแค่ความฝัน ใช่แค่ฝันเท่านั้น มันมองซ้ายขวาพร้อมกับหายใจถี่ๆเพราะยังวิตกกับฝันเมื่อครู่

    "แกร๊ก..แกร๊ก..แกร๊ก" "เฮ้ย!!" มันตกใจจนเผลอร้องตะโกนดังลั่นห้อง พร้อมกับรีบหันไปทางต้นเสียง แต่ ณ ตอนนั้นรอบตัวของมันกลับมืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

    ภายในหัวของมันมีแต่ความสับสนหวาดกลัวและความรู้สึกต่างๆนาๆตีกันให้มั่วไปหมด มันค่อยๆเพ่งสายตาฝ่าความมืดไปทางระเบียงห้อง แต่ก็ป่วยการเพราะมันมืดจนเกินไป

    ระหว่างนั้นประสาทรับรู้ทางจมูกของมันก็ได้สัมผัสสิ่งผิดปกติบางอย่าง คล้ายกับกลิ่นเหม็นเน่าจางๆของอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่มันตายมานานพอสมควร หนูตายเหรอ แล้วทำไมกลิ่นมันต้องโชยมาเตะจมูกในเวลาแบบนี้

    "แกร๊ก..แกร๊ก..แกร๊ก" มันสะดุ้งเฮือกกับเสียงเจ้ากรรมที่แม้จะได้ยินมาหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะชินชากับมันได้ ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแน่ ถ้าอยู่แบบนี้กูต้องบ้าตายแน่

    มันตบหน้าตัวเองเต็มแรงหนึ่งทีเพื่อเรียกสติ แล้วรีบกระโจนฝ่าความมืดไปทางสวิทช์ไฟโดยอาศัยความเคยชินว่ามันต้องอยู่ตรงนั้น มันชนเข้ากับผนังห้องเต็มแรงแต่กลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย พร้อมกับคลำหาสวิทช์ไฟอยู่สักพักด้วยใจหวาดวิตกขั้นรุนแรง

    "เร็วเข้าๆๆ เร็วเข้าสิ ไอ้สวิทช์บ้านั่นมันอยู่ไหนวะ!!" มันบ่นพึมพำอยู่ในลำคอจนคลำเจอของที่มันกำลังหา "เป๊ะ!!" หลอดนีออนสีขาวส่องสว่างขับไล่ความมืดให้กับห้องของมัน แต่แสงไม่ได้ช่วยไล่ความหวาดวิตกในใจของมันเลยแม้แต่น้อย

    มันรีบหันไปทางระเบียงห้อง แต่กลับไม่พบเจอกับสิ่งผิดปกติใดๆทั้งสิ้น เป็นเพียงแค่ระเบียงห้องที่ยื่นออกไปรับลมกลางอากาศ มันยืนนิ่งมองสิ่งต่างๆภายในห้องอยู่พักใหญ่ จนแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างโอเคดี มันจึงล้มตัวลงนอนต่อด้วยใจที่ยังไม่คลายความวิตกเท่าใดนัก

    ในคืนต่อมา มันลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงที่คอยหลอกหลอนมันเมื่อคืนก่อน "แกร๊ก..แกร๊ก..แกร๊ก" หัวใจมันเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ มันค่อยๆหันไปทางระเบียงห้องช้าๆด้วยใจอันระทึก

    และแล้วมันก็เห็นว่าประตูกระจกระเบียงห้องกำลังเปิดอยู่ พร้อมกับเนื้อคู่ของมันยืนก้มหน้านิ่งอยู่ตรงระเบียงห้อง แต่ครั้งนี้เจ้าหล่อนเข้ามายืนอยู่ด้านใน เธอยืนนิ่งไม่ไหวตึงเหมือนกับรูปปั้น แต่ยังคงมองไม่เห็นใบหน้าอีกเช่นเคย

    เพื่อนของผมมันตะลึกกับภาพที่เห็น ตาเบิกโพลงอ้าปากค้างเพราะความหวาดกลัวสุดขีด "อ๊ากกกกกก!!!" มันสะดุ้งตื่นขึ้นจากภวังค์พบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนเตียง ครั้งนี้มันไม่รอช้า รีบกระโดดไปเปิดไฟทันที

    และก็เป็นอย่างเช่นเคย เธอคนนั้นก็ได้หายไปเหมือนไม่เคยมีอยู่ แต่สิ่งที่ผิดปกติคือประตูระเบียง มันดันเปิดค้างอยู่ ทั้งๆที่มันต้องปิดก่อนเข้านอนทุกคืนอยู่แล้ว ใช่ เพราะทุกๆคืนจะเป็นแบบนั้น

    สายลมยามดึกพัดผ้าม่านสีคลีมปลิวไสวไปมา คล้ายกับว่ามีอะไรสักอย่างหลบอยู่หลังผ้าม่านผืนใหญ่ เสียงสายลมกรีดอากาศดังหวีดหวิวจนฟังดูน่ากลัว มันต้องไม่มีอะไร มันพยายามคิดปลอบใจตัวเองแบบนั้น แล้วค่อยๆเดินไปทางประตูระเบียงช้าๆ

    ผ้าม่านยังคงปลิวไสวไปมาตามแรงลม มันค่อยๆเอื้อมมือไปจับบานกระจกด้วยมืออันสั่นเทา แล้วลากมันปิดเช่นเดิม ห้องนอนกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง ไม่มีเสียงลมที่น่าขนลุก ผ้าม่านหยุดนิ่งไม่ไหวตึง

    มันเดินกลับไปนั่งบนเตียงแล้วคิดทบทวนต่อเรื่องราวที่มันเพิ่งจะเผชิญมา นั่นมันเป็นความฝันหรือความจริง แต่ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ มันก็เอาแต่นั่งหลอนอยู่แบบนั้นจนไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน

    รุ่งขึ้นมันก็ออกไปทำงานปกติ ขากลับมันแวะซื้อเสบียงมาเต็มที่ กะว่าคืนนี้กูจะนั่งกินขนมดูมันให้เห็นจะๆไปเลย แต่ท้ายสุดมันทนความง่วงไม่ไหวจึงได้ล้มตัวลงนอนเหมือนเช่นทุกคืน

    สติของมันค่อยๆรวมเข้าเป็นจุดเดียวกันอย่างช้าๆ มันลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องที่มืดสลัว ดวงตายังคงพล่ามัว แต่มีสิ่งผิดสังเกตอยู่แถวๆปลายเตียง เมื่อมันเรียกสติทุกดวงของมันกลับมาจนครบ ดวงตาที่พล่ามัวกลับมาชัดเจนเหมือนปกติอีกครั้ง

    ทำให้มันเห็นเนื้อคู่ของมันอย่างจัง เธอยืนอยู่ปลายเตียง แทบจะชนกับปลายเท้าของมัน สวมชุดเดิม เนื้อตัวผอมแห้งสีขาวซีด แสดงอาการสั่นระริกเหมือนคนเป็นโรค แต่ครั้งนี้มันมองเห็นใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน

    เธอมีสีหน้าที่บิดเบี้ยวคล้ายกับคนที่กำลังถูกทรมาณ จ้องมองมาทางมันด้วยสายตาที่มันไม่เคยพบเห็นมาก่อน เป็นสายตาของคนตาย มันช็อกกับภาพที่เห็นจนแทบหยุดหายใจ ท้องไส้ขดเป็นปมเพราะความหวาดกลัวสุดจะอดกลั้น

    มันผวาตกใจตื่นจากความฝันเหมือนคืนก่อนๆ มองซ้ายมองขวาเหมือนคนเสียสติ ฝัน ฝันอีกแล้วเหรอว๊ะ "หวี๊ววววววววว" มันรีบหันไปทางต้นเสียง พบว่าประตูระเบียงถูกเปิดทิ้งไว้อีกแล้ว ผ้าม่านปลิวไสวไปมาตามแรงลม พร้อมกับเสียงอันหน้าหวาดหวั่นดังอย่างต่อเนื่อง "หวี๊ววววววววว"

    "ไม่ไหวแล้ว ถ้ากูไม่ตายกูก็คงบ้าแน่ๆ" มันสถบออกมาดังๆ พร้อมกับปรี้เข้าไปเปิดไฟ แล้วรีบกดโทรศัพหาผมทันที และนี่ก็เป็นเรื่องราวที่มันพยายามเล่าให้ผมฟัง

    เมื่อผมได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็ได้แต่คิดว่านี่มันไม่ธรรมดาแล้ว และเมื่อผมไปถึงที่คอนโดต้นเหตุ ในระหว่างที่มันกำลังรีบเก็บของ ผมก็เดินดูสิ่งต่างๆภายในห้องของมัน แล้วเดินออกไปดูแถวๆระเบียงห้อง แต่ก็ไม่พบอะไรที่มันผิดปกติเลย

    สักพักผมก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เจ้าต้นมันก็เดินไปเปิด พบเป็นหญิงวัยกลางคนสวมชุดทำความสะอาด คาดว่าเป็นแม่บ้านของคอนโด แกพูดขึ้นมาว่า

แม่บ้าน : อยู่ไม่ได้แล้วเหรอหนุ่ม
ผม : หมายความว่าไงครับป้า ที่ว่าอยู่ไม่ได้แล้วนั่นน่ะ
แม่บ้าน : ห้องนี้มีคนเคยเช่าอยู่มาสี่ห้ารายแล้ว นานสุดก็สองอาทิตย์แล้วก็รีบย้ายออก เร็วสุดก็สามวัน
ผม: เดี๋ยวๆๆๆป้า มันเกิดอะไรขึ้น
แม่บ้าน : อ่าวแล้วหนุ่มไม่ได้เจออะไรเหรอ
ผม : ผมไม่รู้แต่เพื่อนผมเจอ
แม่บ้าน : ป้าก็ลำบากใจ แต่ก็อยากเล่าให้ฟัง แต่อย่าไปเล่าต่อนะ จบแค่ตรงนี้

    แกเริ่มเล่าว่า ความจริงห้องนี้มันไม่ได้มีอะไร แต่ไอ้ห้องข้างบนที่มันตรงกับห้องนี้เนี่ย มีหนุ่มสาวอยู่คู่หนึ่งเคยมาเช่าอยู่ แต่มักชอบมีปากเสียงกัน ช่วงหลังยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ รุนแรงถึงขั้นปาข้าวของใส่กัน ทางนิติก็ได้ขึ้นมาตักเตือนอยู่หลายหนเพราะผู้เช่าท่านอื่นแจ้ง แต่แทนที่จะเบาลง กลับทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

    แต่มีอยู่ช่วงหนึ่ง ทั้งคู่กลับเงียบเสียงเอาเสียดื้อๆ ทั้งๆที่ปกติจะทะเลาะกันไม่เว้นวัน และไม่เห็นหน้าค่าตาของทั้งคู่เลยหลังจากนั้น ทุกคนต่างคิดว่าคงจะกลับไปอยู่บ้าน

    จนเวลาล่วงมาเกือบสองเดือน ทางนิติให้แม่บ้านเอาใบค้างชำระค่าเช่าไปเสียบไว้ที่ช่องใต้ประตูห้องของทั้งคู่ และในระหว่างที่แม่บ้านเสียบใบค้างชำระเข้าไปที่ช่องใต้ประตู

    แกได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาจากภายในห้อง โดยสัญชาตญาณแกรู้ได้ในทันทีว่ามันไม่ปกติ แกจึงรีบไปตามนิติและ รปภ ให้เข้าไปดูในห้อง

    เมื่อทางนิติเปิดประตูเข้าไปในห้อง กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงตีปะทะออกมาจนทุกคนต้องเอามือปิดจมูก และช่วยกันหาที่มาของกลิ่นแต่ก็ไม่พบ

    สุดท้ายแม่บ้านผิดสังเกตตรงที่ว่าทำไมขาเตียงมันไม่ติดกับพื้น จึงได้ก้มลงดูใต้เตียง ปรากฏว่าพบศพของหญิงสาวซุกอยู่ใต้เตียง สภาพศพขึ้นอึดจนดันเตียงลอยขึ้นเล็กน้อย เพราะช่องใต้เตียงไม่ได้สูงจากพื้นเท่าใดนัก

    เมื่อเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ทางนิติจึงปิดตายห้องนั้นทันที และนี่ก็เป็นเรื่องราวที่แม่บ้านรู้มา เมื่อผมได้ยินแบบนั้นก็รีบช่วยเพื่อนเก็บของและออกจากคอนโดแห่งนั้นในทันที

    แต่มันก็ยังมีเรื่องที่คาใจผมอยู่หลายเรื่องด้วยกัน ทั้งๆที่ห้องที่เพื่อนผมเช่าอยู่ไม่ใช่ห้องที่เคยเกิดเหตุ เธอคนนั้นจะลงมาหาทำไม เธอตายที่ห้องด้านบนก็น่าจะอยู่ได้แค่ห้องนั้น แต่นี่เธอเข้ามาในห้องข้างล่างได้ยังไงกัน หรือแม่บ้านแก่เล่าไม่หมดกันแน่

เล่าโดย : คุณบอย
จากพันทิป เรื่องของคนตาย...เล่มที่ 40


ไม่มีความคิดเห็น