เปลี่ยนพิกัด


     เล่าโดยคุณอิคคิว ผู้มีอาชีพเป็นเซลแมนที่จะต้องออกเดินทางบ่อยครั้ง และครั้งนี้เขาได้พบกับประสบการณ์สุดหลอน.... "เรื่องเปลี่ยนพิกัด" จากสมาชิกพันทิปชื่อ คนอ่านผี เล่าโดยอิคคิว ประสบการณ์หลอนที่นำมาฝากกัน ขอขอบคุณเรื่องหลอนๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย

    อาชีพของผมคือเซลแมน โดยปกติแล้ว ผมจะต้องลงใต้อย่างน้อยเดือนละครั้ง ลงไปครั้งนึงก็กินเวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์เห็นจะได้ ไม่หนีจากนี้สักเท่าไหร่ ครั้งนี้ก็เช่นเดิม ผมกับลูกพี่และก็เพื่อนผมอีกคน รวมสามชีวิต ขึ้นเครื่องไปลงที่จังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ และหาเช่ารถแถวสนามบินสักคันเพื่อวิ่งไปหาลูกค้า

    แต่ครั้งนี้เราสามารถจบกับลูกค้าได้เร็วกว่าปกติ จากแพลนเดิมที่วางกันไว้ว่าจะต้องพักค้างที่จังหวัดนี้หนึ่งคืน จากนั้นจะไปหาลูกค้ารายต่อไปอีกจังหวัดนึง ทำให้เราต้องเดินทางไปอีกจังหวัดหนึ่งเร็วกว่าแพลนหนึ่งวัน

    เมื่อพวกเรามาถึง ก็พบว่าโรงแรมที่เราจองไว้ในจังหวัดนี้มันอยู่ห่างจากแหล่งท่องเที่ยวพอสมควร ผมเลยไม่ค่อยปลื้ม จึงได้ตกลงกันว่าจะหาโรงแรมใหม่ที่ใกล้ย่านชุมชนแหล่งท่องเที่ยว แต่เมื่อเราช่วยกันโทรสอบถามทุกๆที่ ก็พบว่ามันว่างแค่คืนเดียว ไม่มีที่ไหนเลยที่ว่างสองคืนติดกัน

    และในระหว่างที่พวกเรากำลังนั่งทานข้าวกันในห้างแถวตัวเมือง ก็พอดีผมเซิร์จเจอเข้ากับโรงแรมแห่งหนึ่ง อยู่ห่างจากที่พวกเราอยู่ไม่ไกลนัก ผมเลยตัดสินใจลองโทรไปจองห้องดู ปลายสายเป็นเสียงของหญิงสาวท่าทางน่ารัก เธอบอกว่ามีห้องว่างพร้อมเข้าอยู่เลย และถามกลับว่าจะจองตอนนี้เลยมั้ย

    ผมเลยบอกไปว่าเดี๋ยวจะเข้าไปดู แต่เธอใช้เสียงน่ารักคะยั้นคะยอให้ผมจองตอนนั้นเลย โดยบอกว่ากลัวห้องจะเต็มเสียก่อน แต่ผมยังไม่ตกลงด้วย เพราะต้องการเห็นโรงแรมเสียก่อน ใช้วิธีนี้มากินเนียนผมไม่ได้หรอก เราออกจากห้างในเวลาประมาณห้าโมงครึ่ง ใช้เวลาไม่นานก็ถึงโรงแรมที่หมาย

    จากที่ผมดูสภาพภายนอกค่อนข้างดี ลักษณะของโรงแรมเป็นรูปตัวยูมีสามชั้นสีเทา ลานจอดรถจะอยู่ด้านหน้าของโรงแรม เราจึงรีบเข้าไปติดต่อที่ฟอร์น เมื่อผมเดินเข้ามาภายในโรงแรม ภาพที่ผมเห็นทำให้ผมรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย

    สภาพมันดูค่อนข้างเก่าแก่มาก พื้นหินอ่อนขัดมันดูเก่าจนแทบจะไม่มีความเงา เห็นเป็นแค่พื้นหินอ่อนสากๆ วอลเปเปอร์สีครีมหม่นๆแตกลายงาดูเก่าแก่มีอายุ มีบางจุดหลุดลอกเปิดออกจนเห็นผนังปูนดิบๆ

    ผมมองดูพิพิธภัณฑ์เก่าแก่แห่งนี้อยู่สักพักก็หันไปถามพนักงานตรงเคาน์เตอร์ว่า "ที่นี่กี่ปีแล้วครับ" หญิงสาวหน้าตาน่ารักรูปร่างผอมได้สัดส่วนในชุดยูนิฟอร์มสีดำแดงตอบกลับผมว่า "ก็...สามปีแล้วค่ะ"

    อ๋อออ..สามปี ผมคิดในใจ "คงไม่ได้รีโนเวทเลยใช่มั้ยครับ" ผมต่อคำกับเจ้าหล่อนต่อ หล่อนยิ้มแห้งๆให้ผมแล้วตอบกลับว่า "ไม่ได้รีเลยค่ะ" ผมหันหลังไปมองลูกพี่กับเพื่อนผมที่ยืนอยู่ไม่ห่างกัน ไอ้เพื่อนมันยักคิ้วให้ผมแล้วมองหน้าพนักงานหญิง

    โดยปกติแล้วลูกพี่แกชอบนอนคนเดียวอยู่แล้ว ซึ่งห้องเดี่ยวนั้นไม่มีปัญหา ว่างอยู่หลายห้องด้วยกัน ลูกพี่แกก็เลือกไปสักห้อง ก็จะมีแค่ผมกับเพื่อนที่จะนอนห้องเดียวกัน ผมจึงได้เอ๋ยปากถามพนักงานสาวสวยไปว่า "มีห้องเตียงคู่มั้ยครับ"

    หล่อนมองหน้าผมแล้วพูดขึ้นว่า "มีอยู่ห้องนึงค่ะ เป็นห้องใหญ่นะคะ" พูดจบหล่อนก็ก้มหน้าจดอะไรสักอย่างลงสมุดเล่มใหญ่แล้วพูดว่า "แต่ต้องเช็คดูก่อนนะคะว่ามันว่างมั้ย" ผมเลยพูดสวนขึ้นมาว่า "ผมจ่ายได้คุณเอามาเลย"

    หล่อนกระอึกกระอักอยู่พักนึงแต่ก็ยอมยื่นกุญแจมาให้ผมแต่โดยดี ผมยังคิดในใจว่าหล่อนเป็นอะไร ผมไม่ได้บังคับขอกุญแจห้องนอนของหล่อนซะหน่อย ผมหยิบกุญแจมาแล้วดูหมายเลขห้อง ใจของผมหล่นวูบเหมือนคนตกจากที่สูง "1213"

    อย่างที่บอก อาชีพของผมคือเซลแมน ตั้งแต่ที่ผมเข้าพักโรงแรมทุกแห่งทั่วประเทศ ผมไม่เคยเจอห้องพักที่มีเลขในลักษณะนี้เลย มันทำให้ผมรู้สึกกังวลใจอยู่ไม่น้อย แต่ไม่ได้ ผมจะคืนห้องไม่ได้เด็ดขาด เสียเชิงแย่สิ

    หรือหล่อนจะแกล้งผมอยู่ ใช่ หล่อนต้องแกล้งผมอยู่แน่ๆเพื่อให้ผมกลัว ตอนนี้หล่อนน่าจะกำลังยิ้มเยาะใส่ผมที่เห็นผมกำลังทำหน้าเครียดแน่ๆ ผมค่อยๆชำเรืองมองหน้าหล่อน ก็ทำให้ผมรู้สึกเบาใจที่มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ผมเห็นหล่อนเอาแต่ทำหน้าเหมือนคนกำลังหนักอกหนักใจ ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกหวั่นใจตามไปด้วย

    ผมกับลูกพี่และเพื่อนพากันเดินขึ้นบันไดที่ตั้งอยู่กลางห้องโถง มันไม่ผิดหรอกที่ผมจะคิดว่าที่นี่คือพิพิธภัณฑ์เก่าแก่ บันไดไม้มีรอยผุพังแทบจะทุกขั้น ราวบันไดโงนเงนคล้ายกับว่าถ้าผมจับมันเพื่อช่วยพยุงร่างของตัวเอง มันคงจะหักล้มคลืนลงทั้งราวแน่ๆ เอาเถอะ เมื่อไหร่ผมถึงจะเลิกนิสัยคิดมากคิดไปเองแบบนี้ได้เสียทีนะ

    เมื่อเราทั้งสามเดินขึ้นมาถึงโถงทางเดินชั้นสอง ผมได้กลิ่นเหม็นอับลอยคละคลุ้งไปทั่ว คล้ายกลิ่นอับในห้องน้ำที่ถูกปิดไว้เป็นเวลานาน ครั้งนี้ผมไม่ได้คิดไปเอง เพราะผมได้ยินเสียงเพื่อนมันสูดจมูดฟึดฟัดอยู่ด้านหลัง

    เมื่อดูตามเลขห้องแล้ว ของลูกพี่จะอยู่ทางฝั่งซ้าย ของผมกับเพื่อนจะอยู่ทางฝั่งขวา เราจึงได้แยกกันตรงหน้าบันได ผมเดินผ่านมาประมาณห้าถึงหกห้องได้ ก็เจอเข้ากับห้องของผม "1213" แต่ให้ตายเถอะ ผมได้กลิ่นเหม็นอับมาตลอดทางจนถึงตอนนี้ สภาพโถงทางเดินก็ดูไม่น้อยหน้ากว่าห้องโถงใหญ่ชั้นล่างเท่าไหร่นัก

    ยังคิดในใจว่าคนที่นี่เค้าอยู่กันได้ยังไง แล้วทำไมตัวผมต้องอยู่ที่นี่ แต่คิดไปก็เสียเวลาเปล่า ผมเสียบกุญแจแล้วหมุนลูกบิดประตูพร้อมกับดันมันเข้าไปช้าๆ ผมดันมันเข้าไปอย่างช้าๆจริงๆ แต่ผมสาบานได้ว่ามันเหมือนมีอะไรบางอย่างกระตุกบานประตูเข้าไป พร้อมๆกับมีลมปะทะออกมาจากภายในห้อง "วูบบบบ"

    "นี่แม่บ้านเค้าลืมปิดประตูหลังห้องหรือไงเนี่ย งี้ยุงหามแน่นอน" ผมบ่นกับเพื่อนผม แล้วเดินเข้าไปในห้องเพื่อจะไปปิดประตูหลังห้อง จังหวะที่ผมก้าวเข้ามาภายในห้อง ผมกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ไหนจะไอ้กลิ่นเหม็นอับที่มันลอยฟุ้งอยู่ทั่วห้อง

    มันเป็นห้องที่กว้างพอสมควร แต่ไหงผมถึงรู้สึกอึดอัดอยู่ตลอดเวลา สภาพภายในห้องดูใหม่กว่าด้านนอก...นิดหน่อย มีเตียงแฝดตั้งอยู่กลางห้อง ปลายเตียงจะเป็นโต๊ะทีวี ทางซ้ายของเตียงจะเป็นตู้เสื้อผ้า ทางขวาจะเป็นกระจกบานเลื่อนออกไปนอกระเบียง ถัดไปจะเป็นห้องน้ำ

    ผมเดินตรงไปที่กระจกบานเลื่อนหลังห้อง ก็เห็นว่ามันปิดสนิทมิดชิดดี อ่าวแล้วลมที่มันตีใส่ผมตอนเปิดประตูห้องนั่นมันคือลมอะไร ผมคิดในใจว่าคงไม่ใช่มั้ง จึงได้ชวนเพื่อนออกไปยืนรับลมที่ระเบียงหลังห้อง เพราะไม่ไหวจะเคลียร์กับกลิ่นเหม็นอับภายในห้อง

    "รู้สึกเปล่าคิว ว่าตอนเข้าห้องมา มันมีลมตีกลับออกมาจากในห้อง" สิ้นเสียงที่เพื่อนผมพูด ผมหันไปมองหน้ามันทันที อยากจะด่ามันนะว่าจะพูดขึ้นมาอีกทำไม มันอุส่าจะลืมไปแล้วเชียว ยังไม่ทันที่ผมกำลังจะอ้าปากตอบ

    "ตึ้งๆๆๆๆๆๆ!!" ผมกับเพื่อนหันควับไปมองภายในห้องทันที หางตาผมเห็นเพียงแค่เงาดำๆรูปร่างคล้ายคนผ่านตาไป ผมตัวแข็งทื่อทันที รู้สึกเนื้อตัวเย็นเฉียบ มันอะไรว๊ะนั่น ผมว่าผมไม่ได้ตาฝาดแน่นอน มันเป็นเงาดำมืดรูปร่างคล้ายคน

    ในช่วงที่ผมกำลังตะลึง เพื่อนมันก็เดินไปเปิดบานเลื่อน แล้วมองสำรวจภายในห้อง "เสียงอะไรวะ ได้ยินเปล่า" มันถามผม แต่ผมไม่ได้ตอบกลับเพราะยังช็อกกับภาพที่เห็น "ห้องข้างบนวิ่งเล่นกันมั้ง" มันพูดแล้วกลับมายืนหน้าระเบียงเหมือนเดิม งั้นแสดงว่ามันได้ยินแต่เสียง แต่มันไม่เห็นเงาอย่างที่ผมเห็น หรือผมจะตาฝาดไปเอง มันยังไงกันแน่ว๊ะ

    เวลาประมาณทุ่มกว่าๆได้ ลูกพี่ผมแกก็เดินมาเคาะห้องชวนออกไปกินข้าว กว่าจะกลับเข้ามาถึงโรงแรมก็เกือบๆสี่ทุ่มได้ ช่วงที่เพื่อนมันเปลี่ยนเสื้อผ้าจะอาบน้ำ ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นของน้ำหอม เหมือนเป็นน้ำหอมของผู้หญิงโบราณ กลิ่นมันจะออกหอมแบบเย็นๆ

    ผมเลยแกล้งแซวเพื่อนไปว่า "แหม ออกไปกินข้าวนะ ไม่ได้ออกไปล่าผู้หญิง หลิ่นน้ำหอมงี้ให้รึ่ม" มันหันกลับมาตอบผมว่า "บ้าเปล่า ไม่ได้ฉีด เปลือยๆไปเลย" อ่าวถ้างั้นผมก็เลยหันกลับมาเช็คกับตัวเองว่ากลิ่นมันมาจากไหน ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียง "ตึ้งตั้งๆ" ดังมาจากห้องข้างๆ ก็รู้สึกเบาใจที่อย่างน้อยๆ ห้องข้างๆก็มีคนอยู่

    จนเวลาเลยเข้าช่วงดึกจึงได้เข้านอน ซึ่งผมเองยังคงรู้สึกหวั่นๆในใจ จึงได้ล้วงเข้าไปหยิบสร้อยพระในกระเป๋าเสื้อผ้ามาไว้บนหัวเตียงแล้วล้มตัวลงนอน ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก พยายามข่มตานอนต่อแต่ก็ไม่เป็นผลจึงหยิบโทรศัพขึ้นมาเล่น ตอนนั้นเป็นเวลา 4:33

    ในระหว่างที่ผมกำลังเล่นมือถืออยู่ ผมสังเกตว่าทางขวามือของผม นั่นคือเตียงของเพื่อนผม มันเหมือนมีอะไรสักอย่าง ซึ่งผมยอมรับว่าผมไม่กล้าหันไปมอง จึงเล่นโทรศัพต่อโดยทำเป็นไม่สนใจ แต่ผมก็ทนต่อไปได้ไม่นาน ผมปิดหน้าจอโทรศัพ แล้วค่อยๆหันมองไปทางเตียงของเพื่อนอย่างช้าๆ สิ่งที่ผมเห็นคือเพื่อนผมนอนอยู่บนเดียง ฉากหลังเป็นกระจกบานเลื่อนที่มองเห็นนอกระเบียง

    แต่ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ยืนอยู่ข้างเตียงของเพื่อนผม ผมสังเกตหน้าตาของเธอได้อย่างชัดเจน เธอมีใบหน้าทีเรียวเล็ก ตาโต จมูกแหลม สไตล์คนใต้ หัวฟูกระเซอะกระเซิง สวมชุดสาลี่สีดำ เธอยืนถลึงตาจ้องเพื่อนผมอยู่แบบนั้น ทำให้ผมมองเห็นลูกกะตาของเธอที่โตกว่าคนปกติ ผมช็อกกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า รู้สึกเย็นวูบวาบไปทั้งตัว รีบดึงขากลับขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ

    ไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไร เธอคนนั้นก็หันควับมาจ้องหน้าผมทันที ทำให้ผมได้เห็นใบหน้าของเธอได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เบ้าตาของเธอลึกโหล ลูกกะตาโตจนดูหน้าหวาดหวั่น ถลึงตาใส่ผมเหมือนคนที่เคียดแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน ตายแน่ กูตายแน่ ผมคิดจะปลุกไอ้เพื่อนที่มันนอนอยู่ข้างๆ พยายามตะโกนเรียกมันแต่ไม่ได้ผล ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกจากปากผมเลยแม้แต่น้อย

    ผมนึกถึงพระที่ผมวางไว้บนหัวเตียง พร้อมกับท่องในใจในอารมณ์ที่กำลังหวาดกลัวสุดขีด "พระคุณเจ้าๆๆๆช่วยผมด้วยๆๆ" อึดใจต่อมา เธอคนนั้นก็หายไปเหมือนกับว่าเธอไม่เคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน ผมกรอกสายตาไปมาเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าเธอไปแล้วจริงๆ ไม่ใช่ว่าแอบซ่อนอยู่ในมุมมืดตรงไหนสักที่ในห้องนี้ เพื่อรอให้ผมหาเธอให้เจอ

    แม้ถ้าเธอจะไปแล้วจริงๆ แต่ความหวาดวิตกในใจผมมันไม่ได้ลดน้อยลงกว่าเดิมเลย แถมกลิ่นเหม็นอับบ้าๆนั่นที่ผมคิดว่ามันเริ่มจางหายไปแล้ว ตอนนี้มันกลับลอยฟุ้งขึ้นมาเสียดื้อๆ มันเป็นกลิ่นของอะไรกันแน่ แล้วพวกห้องข้างๆเค้าทนกันได้ยังไง คนปกติธรรมดาไม่น่าจะทนกลิ่นแบบนี้ไหวแน่ แม้ว่าผมอยากจะวิ่งออกไปจากห้องนี้เต็มทน แต่ผมก็ทำไม่ได้เพราะร่างกายของผมมันไม่เชื่อฟังผมเลย

    ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาประมาณเจ็ดโมงกว่าๆได้ ก็รีบลุกไปอาบน้ำทันทีเพราะนี่มันก็สายมากแล้ว สักพักก็มีแม่บ้านขึ้นมาไล่เปลี่ยนผ้าขนหนูแต่ละห้อง ผมเห็นอย่างนั้นจึงไปยืนเต๊ะท่าล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่หน้าห้อง

    พอป้าแม่บ้านเดินมาถึงห้องของผม ผมจึงเริ่มชวนแกคุย "เอ่อ..ป้าครับ ห้องข้างๆนี้เค้าเช็คเอาท์ออกไปยังเหรอครับ" ป้าแม่บ้านมองหน้าผมแล้วตอบผมว่า "อ๋อ..เมื่อคืนทางฝั่งนี้มีแต่ห้องหนูนะ" ผมได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกจุกขึ้นที่ท้องจนลืมหายใจไปช่วงหนึ่ง แล้วไอ้เสียงดังตึงตังที่ผมได้ยินมาจากห้องข้างๆเหมือนมีคนทำอะไรอยู่ในห้องนั่นมันคืออะไรกันแน่

    ผมเลยถามแกไปตรงๆเรื่องประวัติของห้องนี้ แต่ก็อย่างที่ผมคาดเอาไว้ เพราะแกไม่ยอมบอกอะไรกับผมเลย และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

เล่าโดย : คุณอิคคิว
จากพันทิป เรื่องของคนตาย...เล่มที่ 40


ไม่มีความคิดเห็น