สาร จาก มัจจุราช


     เรื่อง สาร จาก มัจจุราช จากสมาชิกพันทิปหมายเลข 3062905 มาติดตามกับ "มัจจุราช" ได้ส่งสารอะไรมาและเรื่องราวจะเป็นอย่างไรขอขอบคุณเรื่องราวดีๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย

เหตุการณ์มันเริ่มต้นขึ้นจาก วันหนึ่ง ที่ผม นั่งเล่นเฟสบุ๊คอยู่ที่ห้องตอนดึกๆ
อยู่ๆก็มี ข้อความเด้งขึ้นมาทักผมว่า
จำเราได้ไหม เรารุ้งนะ

ผมนั่งนึกอยู่สักพัก...ก็เริ่มจำได้

รุ้งเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาลัย ซึ่งหลังจากจบและแยกย้ายกันไปคราวนั้น
ผมก็ไม่เคยได้ติดต่อกับเพื่อนๆ รุ่นนั้น อีกเลย จนเวลาล่วงเลยมาหลายสิบปี

วันนั้นจึงรู้สึกแปลกใจและดีใจ ที่มีเพื่อนเก่าทักมา

ผมแปลกใจว่า หาผมเจอได้ยังไง
เพื่อนก็บอกว่า เขาจำชื่อผมได้เลยลอง ค้นหาดูในเฟสบุค แล้วก็เจอชื่อผม พร้อมกับรูปหน้าผม
เขาเลยทักมา

หลังจากถามสารทุกข์สุขดิบอยู่พักหนึ่ง รุ้งก็ขอเบอร์โทรผม และโทรมาหาผมในคืนนั้น

น้ำเสียงของรุ้งดูกังวลและรีบร้อนมาก พยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับผม
รุ้งบอกว่า "เธอต้องไม่เชื่อสิ่งที่เราจะบอกแน่ๆ เพราะเราเคยเตือนไอ้ชัยแล้ว มันก็ไม่ฟัง"

ตอนนั้นผมรู้สึก งงๆ  ไม่รู้ว่ารุ้งพูดเรื่องอะไร จึงขอให้รุ้งเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังหน่อย

รุ้งก็เลยเล่าว่า
" เธอจำ สา ได้ไหม  ที่เขาต้องกินยาระงับประสาททุกวัน ไม่ค่อยสุงสิงกะใคร "

ผมก็ตอบว่า จำได้  แต่ผมไม่ค่อยได้สนใจ สา เท่าไหร่ เพราะเธอ ขาดเรียนบ่อย
และไม่ค่อยพูดจากะใคร

รุ้งเล่าให้ฟังว่า
"สามันเคยมาเล่าเรื่องของมันให้ฟัง ว่า  มันชอบได้ยินเสียงคนมากระซิบที่หูตอนกลางคืนบ่อยๆ
ทั้งเสียงผู้หญิง ทั้งเสียงผู้ชาย บ่นอะไรไม่รู้ จนมันนอนไม่หลับ
บางทีก็ได้ยินเสียงคนมากระซิบว่า ไม่สวย ถ้ากูหน้าอย่างนี้นะ กูฆ่าตัวตายไปนานแล้ว

บางทีมันก็ได้ยินว่า รีบๆตายไปเถอะ อย่าอยู่เลย
สาบอกว่า เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนเข้ามหาลัย
จนมันต้องไปหาหมอรักษาโรคจิต หมอก็ให้ยาระงับประสาทมันมากิน

มันเลยต้องกินยาระงับประสาททุกวัน
บางที่มันรำคาญเสียงกระซิบพวกนั้นมาก มันก็เลยคิดฆ่าตัวตาย
วันหนึ่ง สาก็ไปซื้อ ยาแดงใส่แผล มากิน หวังจะฆ่าตัวตาย กินไปหมดขวดเลย
แต่พอตื่นเช้ามาก็ไม่ตาย ฉี่ออกมา เป็นสีแดงซะงั้น
ครั้งหนึ่ง สาก็ ซื้อน้ำยาล้างจานมากิน หวังฆ่าตัวตาย อีก
แต่ตื่นเช้ามาก็ไม่ตาย ฉี่ออกมามีแต่ฟอง

รุ้งเล่าต่อ

ตอนนั้นฉันก็ฟังๆ สาพูดไป ธรรมดา ไม่ได้ใส่ใจ อะไร เพราะไม่สนิท
แต่ไม่รู้ทำไม สามันอยากมาคุยกับฉัน นะ

จนปีสุดท้าย ฉันเอาไดอารี่ให้เพื่อนๆเขียน
จำได้ว่า ฉันไม่ได้ให้สาเขียนนะ
แต่ ดันมีข้อความของสา เขียนไว้ในสมุดบันทึกของฉัน หน้าสุดท้าย
ตอนนั้นฉันอ่านแล้วก็ นึกในใจ ว่า
อี่บ้าสา มันมาเขียนแช่งเพื่อนๆทำไม
ด่าแล้วก็ไม่ใส่ใจอะไร จนลืมเรื่องนี้ไปเลย

จนเวลาผ่านไป สิบกว่าปี เมื่อไม่นานนี่เอง
เราไปเจอน้องชายของไอ้ป๋อง โดยบังเอิญ
เราก็เลยถามหาไอ้ป๋องมัน ปรากฏว่า น้องชายมันบอกเราว่า
ไอ้ป๋องตายแล้ว โดนรถชนตาย
เราก็รู้สึกตกใจนะ เฮ้ย ทำไมเพื่อนเสียไวจังวะ
แต่น้องมันบอกว่า เสียไปหลายปีแล้ว เป็นสิบปีแล้ว

พอรุ้งเล่าจบ
ผมก็พูดขึ้นว่า มันคงบังเอิญมั้ง นี่กำลังจะบอกว่าคำแช่งของ สา เป็นจริงใช่ไหม

รุ้งก็เล่าต่อ
ไม่ใช่ เราก็ยังไม่คิดถึงเรื่อง สา นะ
หลังจากนั้นไม่นาน ประมาณ สองสามเดือนได้
เราก็ได้เจอกับเพื่อนคนหนึ่งที่เขาสนิทอยู่กับกลุ่มของเจี๊ยบ
เพื่อนคนนั้นก็บอกเราว่า เจี๊ยบเสียแล้วนะ  ตายเพราะซ้อนมอไซด์เพื่อนไปกินเหล้า
แล้วเพื่อนเมา ขับรถชนเสาไฟฟ้าตายทั้งคู่

ตอนนั้น ฉันก็เลยเริ่มนึกได้ว่า ในไดอารี่ของฉันที่ สา มันเขียนไว้
มันเขียนถึงเจี๊ยบด้วยว่า เจี๊ยบจะตายเพราะมอเตอร์ไซค์

วันนั้นฉันก็เลยรีบกลับมาบ้าน หาไดอารี่เล่มนั้น ใหญ่เลย
ไม่รู้ว่าแม่เอาไปเก็บไว้ตรงไหน
กว่าจะหาเจอ มันสุมๆกองๆอยู่กับพวกหนังสือเก่าๆใต้บันใด
พอฉันเห็นก็รีบเอามาอ่านหน้าที่ สามันเขียนไว้
เธอ ฉันขนลุก...ซู่ไปทั้งตัวเลย

มันเขียนว่า
ไอ้ป๋องจะตายตอนอายุ 29 เพราะรถชน
ไอ้เจี๊ยบจะตายเพราะซ้อนมอไซด์เพื่อนแล้วชนเสาไฟฟ้า
ไอ้เปียจะตายเพราะน้ำ
ได้ชัยจะตายแบบเฉียบพลัน
แล้วก็มีต่ออีก สามคนที่มันเขียนไว้

พอผมได้ฟัง  ผมก็ พูดสวนขึ้นไปทันที มันคงบังเอิญมั้งรุ้ง

แล้วรุ้งก็รีบพูดอย่างกระหืดกระหอบ ต่อทันทีว่า

ไม่นะ   เธอพูดเหมือนไอ้ชัยเลย

หลังจากนั้น เราก็ค้นหาที่อยู่เพื่อติดต่อเปีย
จนเจอที่อยู่และเบอร์ติดต่อ เราโทรไป หาเปีย แต่แม่เปียเป็นคนรับสาย
แล้วแม่เปียก็บอกเราว่า เปียเสียชีวิตแล้ว ตั้งแต่สองปีก่อน
เพราะโดนน้ำป่าพัด ขณะที่ไปเที่ยวน้ำตก

ฉันนี่อึ้งเลยนะ เฮ้ย.. มันจริงมาสามรายแล้วนะ และรายต่อไปก็คือไอ้ชัย
ฉันพยายามหาที่อยู่มันอยู่นาน จนติดต่อมันได้
โชคดีที่มันยังไม่ตาย
และฉันก็เล่าให้มันฟัง
แต่มันเหมือนไม่เชื่อฉัน
เธอรู้ไหม  ตอนนี้ไอ้ชัยมันตายแล้วนะ
แม่มันบอกว่า มันตายเพราะหัวใจวายเฉียบพลัน

พอได้ฟัง ผมนี่ ร้อง  เฮ้ย ...  ออกมาโดยไม่รู้ตัวเลย

จริงหรือรุ้ง

รุ้ง รีบตอบกลับมาว่า จะโกหกทำไม

ตอนนั้นผมได้แต่คิดไปต่างๆนาๆ จนมาชะงักที่รุ้ง

เฮ้ย..ที่รุ้งตามหาเรา และโทรมาหาเรานี่ คงไม่ใช่.. อย่างนั้นใช่ไหม

เสียงรุ้งเงียบไป
แล้วก็ค่อยๆพูดแบบเบาๆว่า
ทั้งเราและเธออะ คือหนึ่งใน สามชื่อสุดท้าย

ผมนี่มือสั่นเลยตอนนั้น
รีบบอกให้รุ้งอ่านให้ฟังต่อ ว่าอีกสามคนที่เหลือคือใคร

รุ้งก็อ่านให้ฟังว่า
ถัดจากนั้นอีก 1 ปี ไอ้ปุ๋ม จะตายเพราะปืน
ไอ้รุ้งจะตายเพราะไฟ
ไอ้ต้า จะตายเพราะลวด

เฮ้ย มีชื่อเราด้วย

รุ้งก็ร้องตอบมาว่า ก็ใช่นะซิ ฉันก็มีชื่อด้วย

ผมก็ถามรุ้งไปว่า
แล้ว ปุ๋มหละ เสียไปหรือยัง

รุ้งบอกว่า ยังติดต่อปุ๋มไม่ได้
แต่นี่ไอ้ชัยก็ตายไปจะเกือบปีแล้ว
มีเวลาไม่มากนะ ที่จะไปเตือนปุ๋ม

ผมก็เลยพูดกับรุ้งไปว่า
แต่เราว่า เราน่าจะตาม หาสากันก่อนนะ
จะได้ถามว่า มีวิธีแก้ไหม

หลังจากวันที่คุยกับรุ้งวันนั้น
เราก็นัดเจอกันที่ มหาลัยที่เราเรียนจบ

รุ้งบอกว่า เขาพยายามจะตามตัวสาอยู่นาน แต่เขาจำนามสกุลไม่ได้
เลยหาสาไม่เจอ

เราก็เลยพากันมาที่มหาลัย  เพื่อจะมาจดชื่อและที่อยู่ ของสา
แต่หลังจากไปที่ฝ่ายทะเบียนแล้ว
เขาก็ปฏิเสธไม่ให้ข้อมูล แก่เรา

รุ้งก็เลยชวนไปถามอาจารย์ท่านหนึ่งที่ท่านเคยเป็นที่ปรึกษา
แต่ระหว่างเดินไป เราก็ไปเจอกับเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งที่รุ้งรู้จัก

อ้าว เธอทำงานที่นี่หรือ

เสียงรุ้งทักทายน้องผู้หญิงคนนั้น
เธอบอกว่าเธอทำงานเป็นฝ่ายธุรการในแผนกทะเบียน
แล้วรุ้งก็เลยถามว่า อาจารย์ที่ปรึกษาท่านนั้น ยังทำงานอยู่ที่นี่ไหม
น้องคนนั้นก็ตอบว่า ท่านย้ายไปที่อื่นนานแล้ว ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว

เราสองคนก็เลย เหมือนถอนหายใจพร้อมกัน
น้องคนนั้นก็เลยถามว่า มาหาอาจารย์ท่านนั้นทำไมหรือ
เราก็เลยบอกน้องคนนั้นไปว่า มาค้นประวัติเพื่อนหน่ะ
แบบว่าอยากทราบ ข้อมูลส่วนตัว บ้านเลขที่อะไรแบบนี้

น้องคนนั้นก็เลยบอกว่า
หนูพอจะช่วยได้นะ แต่ว่า พี่สองคนต้องหาเอง
เดี๋ยวหนูไปขนกล่องที่เก็บเอกสารนั้นมาให้

จริงหรือ  เราต่างพูดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย  ด้วยความดีใจ

หลังจากนั้นเราก็ตามน้องคนนั้นไปที่ฝ่ายทะเบียน
แล้วน้องก็ให้เรานั่งรออยู่ที่ด้านหลัง ห้อง ห้องหนึ่ง

น้องเขาหายไปสักพัก ก็หอบกล่องเท่าลังเบียร์มาสองกล่อง

นี่คะพี่ มันปนๆกันอยู่กับคณะอื่นด้วยนะพี่
เพราะว่าน้ำมันท่วมปีนั้น เอกสารมันเลยมีคราบน้ำบ้าง
และก็อาจจะกระจัดกระจายบ้างนะพี่

หลังจากเอากล่องมาว่างให้เราแล้ว น้องเขาก็หายไปทำงาน
เราสองคนก็รีบค้นหาข้อมูลในกล่องนั้นทันที

สภาพกล่องเก่าและมีคราบน้ำให้เห็น บางจุดก็เปื่อยยุ่ย

รุ้งเสนอไอเดีย งั้นเธอหากล่องนั้น เราหากล่องนี้เอง
ว่าแล้วเราก็ลงมือค้นหาชื่อสา กันอย่างจดจ่อ

ผ่านไปสักครู่ใหญ่ อยู่ๆรุ้งก็พูดว่า เฮ้ย.. อันนี้ของปุ๋ม
แล้วรุ้งก็เอาเอกสารชุดนั้นออกมาดู   มีรูปปุ่ม สำเนาทะเบียนบ้าน
บัตรประชาชน และก็วุฒิการศึกษาจากที่เก่า
เราก็เลยรีบจดที่อยู่ของ ปุ๋มไว้

หลังจากนั้นเราก็ค้นหาของ สากันต่อ
จนกระทั่ง หมดกล่อง ก็ไม่พบข้อมูลของสา

เอ.. แปลกจัง ทำไมไม่เจอข้อมูลสา นะ

จนกระทั่งน้องคนนั้นกลับมา แล้วก็ถามว่าเจอไหมพี่

เราก็สายหัวไปมา บอกว่าไม่เจอเลย
น้องคนนั้นก็เลยบอกว่า สงสัยมันจะปนไปกับปีอื่นมั้ง

เดี๋ยวหนูไปเอาปีถัดไปมาให้ดูนะ

ว่าแล้ว น้องเขาก็หอบกล่องสองกล่องนั้นกลับไป

รออยู่พักหนึ่ง น้องเขาก็กลับมา กับกล่องอีกสองกล่อง

น่าจะปนกันอยู่ในปีนี้แหละพี่ ถ้าไม่มีก็คงหมดแล้ว
เพราะบางส่วนก็หายไปจาก โดนน้ำท่วม

หลังจากนั้นน้องเขาก็ปล่อยให้เรานั่งค้นหาประวัติของสากันต่อ
จนกระทั่ง...

เฮ้ย.. เจอแล้ว นี่ไง.. ผมพูดขึ้นด้วยความดีใจ
แล้วรีบเอาออกมาดูในที่ที่สว่าง

พอเรามานั่งดูที่โต๊ะ
เห็นตรงด้านหน้าสุดของเอกสาร
มีตราประทับ ว่า จำหน่าย

เฮ้ย.. สา เรียนไม่จบหรือ

ว่าแล้วก็เปิดเข้าไปดูข้อมูลข้างใน
มีเอกสาร เหมือน เอกสาร memo เขียนว่า นักศึกษาเสียชีวิต

เฮ้ย.. สา ตายแล้วหรือ

รุ้งรีบ ฉะโงกหน้าเข้ามาดูเอกสาร  "ไหน ไหน"

พอเปิดดูข้างในเอกสาร ปรากฏว่า มีข้อมูล แค่เทอมสอง

เอ๊ะ.. ทำไมมีแค่ปีสองอะ  สามันก็เรียนกะเราจนถึงปีสี่นี่

ผมกับรุ้งมองหน้ากันด้วยความตกใจ

แล้วรุ้งก็พูดว่า ไหนๆดูปีการศึกษาซิ

พอผมเปิดดูก็ปรากฏว่า
เอ๊ะ..!  ปีนี้  เราจบไปแล้วสองปีนี่
อ้าว... แสดงว่า สามันเรียนไม่จบหรือ มันมาลงเรียนใหม่หรือ

ตอนนั้นก็ได้แต่พากัน งงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับสากันแน่
หลังจาก จดชื่อที่อยู่ ของสา เสร็จ เราก็ไปเจอน้องคนนั้น
แล้วก็ขอบใจที่ช่วยเหลือในการหาข้อมูลของเพื่อน

แล้วรุ้งก็เลยถามน้องเขาไปว่า รู้จักเพื่อนพี่คนนี้ไหม
พร้อมกับเอาเอกสาร ของ สาให้น้องคนนั้นดู

ทำไมเขาถึงตาย  เสียงรุ้งถาม

พอน้องคนนั้นเอาเอกสารไปดู เห็นรูปสา น้องเขาก็พูดว่า

อ้อ พี่คนนี้เองหรือ
เขาฆ่าตัวตายไงพี่  ที่กระโดดจากสะพานลอยหน้ามหาลัย
ลงมาแล้วรถทับ จนเสียชีวิต

เราสองคน ร้อง เฮ้ย..! พร้อมกัน ด้วยความตกใจ

จนน้องเขาเองก็พลอยตกใจไปด้วย

แล้วน้องเขาก็มองหน้าเราสองคนด้วยความสงสัย
ถามเราว่า

พวกพี่มาตามหา ประวัติเพื่อนพี่คนนี้กันทำไมหรือ

เราสองคนมองหน้ากัน
(นึกในใจ พูดไปก็ยาว)

รุ้งก็เลยรีบตัดบทไปว่า  อ๋อพอดีเราจะจัดเลี้ยงรุ่นกันน่ะ
ก็เลยมาจดที่อยู่เพื่อนๆทุกคน จะได้ส่งจดหมายไปเชิญได้ถูก

น้องเขาก็เลยหายสงสัย  อ๋อ ค่ะ

ก่อนแยกย้าย

เอาไงดีรุ้ง สาเขาตายไปแล้ว

รุ้งก็ทำ ท่าทางคิดไปมา
ก่อนจะพูดขึ้นว่า

ถ้าเจ้าตัวไม่อยู่  งั้น สา มันอาจจะเขียนอะไรทิ้งไว้ เหมือนที่เขียนในสมุดบันทึกของฉันก็ได้

ผมก็ถามว่า  แล้วเราจะไปหาสมุดพวกนั้นยังไงหละ

รุ้งก็บอกว่า งั้นเราก็ต้องไปบ้านเกิดสา อะ
ไม่แน่นะ ทางบ้านของสา เขาอาจจะเก็บ
ของใช้ หรือพวก หนังสือเรียน ของสา ไว้ก็ได้

เอางั้นเลยหรือ..  ผมพูดด้วยความตกใจ

แล้วรุ้งก็พูดว่า แต่เราต้องไปตามตัวปุ๋มไปด้วยอีกคน

ผมกับรุ้งนัดกันไปตามหา ปุ๋ม ตามที่อยู่ ที่เราจดมาจากข้อมูลในทะเบียนบ้านที่มหาลัย
โชคดีที่ บ้านของเธออยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก
ขับรถไปราวๆ สองชั่วโมงก็ถึง จังหวัดที่ ปุ๋ม อยู่
พอซอกแซกถามคนละแวกนั้น อยู่พักหนึ่ง
เราก็ขับรถเข้ามาในซอยบ้านของปุ๋มตามที่คนชี้ให้เลี้ยวมา
พอเข้ามาในซอยได้พักหนึ่ง
มองหาบ้านปุ๋มทั้งสองข้างทาง
อยู่ๆ ข้างหน้า ก็เหมือนมีคนมุงดูอะไรกันอยู่

เราก็เลยค่อยๆขับรถไปชลอดู ตรงนั้น

ผมมองไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
มีผู้หญิงคนหนึ่งยื่นอยู่หน้าบ้าน
มีญาติๆยื่นเกาะประตูดูสองคน นั้น

เหมือนกำลังทะเลาะกันอยู่
และก็มีคนละแวกบ้านแถวนั้น มายืนมุงดู

พอเข้าไปถึงใกล้ๆ รุ้งก็พูดขึ้นว่า

เฮ้ย... นั้นมันไอ้ปุ๋มนี่ จอด จอดก่อน

เราก็รีบลงรถ แล้วก็เข้าไปหา ปุ๋มกัน

พอเข้าไปถึง ก็ได้ยินแต่เสียงผู้ชายพูดว่า

จะเอายังไง  จะไปกะกูดีๆไหม ถ้าไม่ไปก็เอาเงินกูคืนมาเลย

แล้วปุ๋มก็ พูดกับผู้ชายคนนั้นว่า

กูไม่ไป อยากได้เงินก็ไปฟ้องเอาเลย

ตอนนั้น รุ้งกำลังเดินไปจะถึงตัวปุ๋มแล้ว
ส่วนผมก็ยืนอยู่ข้างหลังผู้ชายคนนั้น

อยู่ๆผู้ชายคนนั้นก็เอามือล้วงมาที่ข้างหลังกางเกง แล้วก็ดึงปืนออกมาจากเอว
ผมเห็นก็ตกใจมาก ทำไรไม่ถูก เพราะมันเกิดขึ้นเร็วมาก

ผมร้องเฮ้ย รุ้ง..!
รุ้งหันหลังมามองผม ก็เห็นผู้ชายคนนั้น เล็งปืนไปที่ปุ๋มพอดี

รุ้งร้อง เรียกปุ๋ม ระวัง แล้วก็กระโดนผลักปุ๋มล้มลงกับพื้น

พร้อมกับเสียงดัง ปั้ง...!

วินาทีนั้น บอกตามตรงผมไม่รู้ตัวเลยครับว่าทำอะไรลงไป
แต่มารู้ตัวอีกที คือ
สภาพที่ตัวผมเองนอนกลิ้งไปมาแย่งปืนกับผู้ชายคนนั้นอยู่ที่พื้นหน้าบ้าน
ผมเอามือจับมือข้างที่ถือปืนของผู้ชายคนนั้นไว้แน่น
ได้ยินแต่เสียงผู้ชายคนนั้น ตะโกน ว่า ปล่อยกู ปล่อยกู กูจะฆ่ามัน

จากนั้นไม่นานก็รู้สึกเหมือนมีคนแถวนั้นวิ่งเข้ามาช่วยกันจับผู้ชายคนนั้นไว้
ช่วงที่กำลังชุลมุนผมก็รีบผละออกมาหารุ้งกับปุ๋ม

เป็นอะไรหรือเปล่า ปุ๋ม

ปุ๋ม ส่ายหน้า   ไม่เป็นไร ไม่โดน

รุ้งก็ปลอดภัย

หลังจากนั้นเราก็ดึงปุ๋มไปขึ้นรถที่เราขับมา
ปุ๋มก็ตามาแต่โดยดี แล้วก็รีบขับรถออกไปจากตรงนั้นทันที


เฮ้ย พวกแก มา หาฉันได้ยังไง
ปุ๋มพูดขึ้น ด้วยความแปลกใจ ปนตกใจ

แล้วรุ้งก็พูดขึ้นว่า
โชคดีนะ ที่มาทัน  เกือบไปแล้ว

ปุ๋ม หันไปดูหลังรถ อย่างกระวนกระวาย
มันจะตามมาอีกไหม
รีบๆขับไปเลย

ผมถามว่า จะไปไหนกัน

ปุ๋มก็บอกว่า เออ ไปไหนก็ได้ ไปก่อน

ขับมาได้สักพักรุ้งก็ถามปุ๋มว่าทำไมผู้ชายคนนั้นมันจะมาฆ่าเธออะ
ปุ๋มก็เลยเล่าให้ฟัง

ประมาณว่า เมื่อ 8 เดือนที่แล้ว ปุ๋มมันลงไปทำงานที่ ภูเก็ต
แล้วก็ได้ไปรู้จักกับผู้ชายคนนี้
แต่ปุ่มมันมีแฟนอยู่แล้วคนหนึ่ง
มันก็หลอกผู้ชายคนนั้นว่า ปุ๋มยังไม่มีแฟน
จนสนิทกันก็คบกันเป็นแฟน
แต่ก็ปิดบังว่ามีแฟนอยู่ที่บ้าน

จนวันหนึ่งปุ๋มมันเบื่องาน ก็เลยหลอกยืมเงินผู้ชายคนนั้น
แล้วก็หนีกลับมาบ้าน
อยู่ได้สามเดือน ผู้ชายคนนั้นมันก็ตามมาเจอที่บ้าน

"ก็เป็นอย่างที่พวกแกเห็นนั้นแหละ"

ปุ๋มเล่าจบ ก็หันมาถามรุ้งว่า
แล้วทำไมพวกแกมาหาฉัน ได้

แล้วรุ้งก็เล่าทุกอย่างให้ปุ๋มฟัง ระหว่างอยู่ในรถ

พอปุ๋มได้ฟัง ปุ๋มก็ อุทานออกมา

โห โคตรเหลือเชื่อเลยวะ ถ้าพวกแกมาช้าอีกนิดเดียว ฉันอาจจะโดนยิงไปแล้ว

ปุ๋มถามว่า แล้วพวกแกหละจะเอายังไงกันต่อ

รุ้งก็บอกว่า
เราไม่แน่ใจนะว่า ปุ๋มรอดครั้งนี้ไปได้
แล้วมันจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกไหม
เพราะ คนเรามันหนีดวงตัวเองไม่พ้นหรอก

ปุ๋มก็เริ่ม คิดแล้วก็ กระสับกระส่าย

เออ ใช่  มันจะหนีความตายพ้นหรือวะ

รุ้งก็เลยบอกว่า
ทางเดียว เราต้องไปค้นหา สิ่งที่ไอ้สามันเขียนไว้
บางทีมันอาจจะบอกวิธีไว้ก็ได้

ปุ๋มก็ บอกรุ้งว่า
เอาซิ ไปกันเลย เราไม่มีอะไรอยู่แล้ว
ตกงาน แฟนทิ้ง แถมจะโดนฆ่า ดวงตกสุดๆแล้วนี่

หลังจากนั้น  เราก็มุ่งหน้าไปตามถนนที่จะไปจังหวัดของบ้านเกิดสา ทันที

หลังจากขับรถมาหลายชั่วโมง

ผมก็เริ่มรู้สึก ง่วงมาก
หันไปบอกรุ้งกับปุ๋มที่นั่งหลับสัปงกกันอยู่เบาะหลัง

"เฮ้ย.. เราไม่ไหวแล้ววะ ตาจะปิดแล้ว"

รุ้งรู้สึกตัว  งวงเงีย เอามือขยี้ตา

"เออ ถ้าง่วงเราก็  แวะหาที่พักกันก่อนไหม"

ตอนนั้นผมดูนาฬิกา ราวๆ ห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืนแล้ว
ก็เลยชะลอความเร็วลง ค่อยขับช้าๆ เผื่อจะมีป้ายบอกที่พัก สักที่
ขับไปสักพักใหญ่ๆ ก็เจอ ป้ายที่พัก 24 ชั่วโมง
ก็เลยขับแวะเข้าไป
พอขับเข้าไปในซอยได้ซักพัก รุ้งก็ชะโงกหน้าไปดูใกล้ๆ หน้าต่าง
มองบรรยกาศข้างนอก

"เฮ้ย.. ดูดีดีนะโวย ไม่ใช่พามาม่านรูดนะ"  รุ้งพูดลอยๆ

พอขับไปที่จอดรถเสร็จ สภาพเป็นอาคารเก่าๆสูงประมาณ 5 ชั้น
รุ้งปลุกปุ๋มให้ลงจากรถ
แล้วเราก็เดินไปที่ ทางเข้าด้านหน้าอาคาร
เจอพนักงานต้อนรับผู้หญิง นั่งดูทีวีอยู่
ก็เลยถามไปว่า "มีที่พักว่างไหม"

น้องเขาก็บอกว่ามี
แล้วเราก็ทำการเปิดห้องพัก เลือกห้องเตียงคู่

น้องเขายื่นกุญแจห้องให้
แล้วบอกว่า ห้องชั้น 5 นะคะ
ขี้นลิฟท์ไปได้คะ ลิฟท์อยุ่ขวามือ

เราก็พากันเดินไปขึ้นลิฟท์
พอลิฟท์เลื่อนขึ้นไปถึงชั้นสอง
อยู่ๆ ปุ๋มมันก็พูดขึ้นว่า  " เฮ้ย เธอ ได้ยินไหม "
รุ้งก็ถาม "ได้ยินอะไร "
ปุ๋มก็บอกว่า "เสียงคนอ๊วกอะ นี่อยู่ข้างๆผนังลิฟท์นี่"
รุ้งก้อบอกว่า "หูแว่วแล้ว ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย"

ปุ๋มมันก็เงียบไป

พอเลื่อนผ่านชั้น 4 ปุ๋มมันก็พูดขึ้นอีก
"เฮ้ย ..นี่ไง  เสียงคนอ๊วก .. ได้ยินไหม ชัดมากเลยนะ"

รุ้งก็หันไปมองปุ่ม
"ไม่เห็นได้ยินอะไรเลยปุ๋ม"

ตอนนั้นผมง่วงนอนมาก ก็ได้แต่ยืนฟังสองคนคุยกัน
แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงคนอ๊วกอะไรนะ

พอออกจากลิฟท์ได้
ก็พากันเดินไปที่ห้องพัก
พอเข้าไปในห้องพักได้ ปุ๋มมันก็ทิ้งตัวลงนอนที่เตียงทันที
รุ้งก็บอกว่า
"ต้าแกนอนเตียงนั้น เรากะปุ๋มจะนอนเตียงนี้"

ว่าแล้วรุ้งก็ไล่ปุ๋มไปอาบน้ำ
แก ไปอาบน้ำก่อน
ปุ๋มก็บ่ายเบี่ยง "ไม่อาบไม่ได้หรือนอนเลย เราง่วง"

รุ้งก็เลยบอกว่า
"บ้าแล้ว แกต้องนอนกะฉันนะ จะมานอนตัวเหม็นได้ไง"
"ต้าแกจะอาบไม่อาบก็เรื่องของแกนะ เพราะแกนอนคนเดียว"


ตอนนั้นผมก็หูทวนลมไป นอนคว่ำหน้าอยู่ที่เตียง ฟังสองสาวเขาคุยกัน


สักพักทุกอย่างก็เงียบ หลังจากปุ๋มไปอาบน้ำเสร็จ รุ้งก็ไปอาบน้ำต่อ
ออกมาจากห้องน้ำแล้วก็มานั่งคุยกับผมอยู่พักหนึ่ง
ปุ๋มก็เลย ว่าเรา  "พวกเองคุยอะไรกันวะ  คนจะนอน"
ผมกะรุ้งก็เลย หยุดคุย แยกย้ายกันนอน


แต่สักพัก ปุ๋มก็พูดขึ้น
"เมื่อไหร่จะหยุดคุยนี่ คุยอยู่นั้นแหละ รำคาญ"
ผมกะรุ้งชะโงกหน้ามามองปุ๋ม เห็นปุ๋มเอาหมอนมาปิดหัวแล้วนอนต่อ

สักพัก กำลังจะหลับ
อยู่ๆ ปุ๋มก็พูดขึ้นมาอีก
"ใครมาร้องเพลงวะ ร้องอยู่ได้"

แล้วปุ๋มก็ลุกขึ้น นั่ง
ผมกับรุ้งก็พลอยลุกมาดูปุ๋มด้วย

"เป็นไรวะปุ๋ม"

ปุ๋มก็บอกว่า
"ห้องข้างๆอะ ร้องเพลงอยู่ได้ พวกแกได้ยินไหม นี่ นี่  ..ฟังซิ "

ผมกับรุ้งก็เงียบ เอียงหูฟังอย่างตั้งใจ
แต่ก็ไม่ได้ยินอะไรเลย

"ไม่เห็นได้ยินอะไรเลยปุ๋ม แกประสาทหรือเปล่า" รุ้งพูด

ปุ๋มก็บอกว่า
"นี่ นี่ชัดเลยนี่ มันร้องอีกแล้ว "

แล้วปุ๋มก็ ร้องเพลงนั้นให้ฟังว่า

"ฉันคง...ไม่อาจ...ทำให้เธอ..เปลี่ยนใจ"

"เห็นไหมได้ยินไหม"

เราสองคนได้แต่มองหน้ากัน
"ไหนวะ ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย" ผมพูด

ปุ๋มก็พูดขึ้นอีก
"นี่ๆ  ได้ยินอีกแล้ว เสียงผู้ชาย
ฉันคง..ไม่อาจ...ทำให้เธอ..เปลี่ยนใจ
ฉันคง..ไม่อาจ...ทำให้เธอ..เปลี่ยนใจ
มันร้องซ้ำๆไปมาอยู่ได้ แต่ทอนเดียว"

แล้วปุ๋มก็เดินไปที่ประตู แล้วก็เปิดประตูห้องออกไป
พร้อมกับพูดว่า

"คนจะนอนร้องเพลงอยู่ได้"

เราสองคนได้แต่ยืนดู อาการแปลกๆของปุ๋ม

พอปิดประตูห้อง ปุ๋มก็กลับมาที่เตียง

"เออ เงียบไปแล้ว"

พอไม่มีอะไรแล้ว พากันนอนต่อ

ช่วงที่กำลังจะหลับ ทุกอย่างเงียบสงัด
เสียงปุ๋มก็ กรี๊ดดังลั่นขึ้น
ผมตกใจรีบลุกขึ้นดู
ปุ๋มเอามือปิดหู ร้องไห้

"มีคนมากระซิบข้างๆเราอะ เป็นเสียงผู้หญิง"

รุ้งก็มองปุ๋มด้วยความตกใจ แล้วก็ถามว่า
"กระซิบว่าอะไร"

ปุ๋มพูดว่า
"กระซิบว่า ไปอยู่กับกูไหม"

ว่าแล้วก็ผวากอด รุ้งแน่น
รุ้งก็ได้แต่ปลอบว่า "ไม่มีอะไรแล้ว แกฝันไปเอง"

แล้วปุ๋มก็ ร้องกรี๊ดขึ้นมาอีก
"มันมาอีกแล้ว เสียงผู้ชายร้องเพลงนั้น"

"ฉัน.. คงไม่อาจ.. ทำให้เธอ.. เปลี่ยนใจ"

ปุ๋มเริ่มร้องไห้ ฟุมฟาย
"ฉันไม่อยากได้ยิน  บอกให้มันเงียบที หือ.หือ.."

ผมก็ถามว่า แล้วเสียงมันมาจากตรงไหนปุ๋ม
ปุ๋มก็ ทำท่าตั้งใจฟัง แล้วก็ชี้ไปตรงข้างๆผนังห้อง

ผมก็บอก ว่า  "ห้องข้างๆหรือ"
แล้วปุ๋มก็ชี้ไปที่ห้องน้ำ
ผมก็บอก ว่า  "เสียงมาจากห้องน้ำหรือ"
แล้วปุ้มก็ชี้ไปตรงระเบียงห้อง
ผมก็บอก ว่า "ตรงระเบียงหรือ"

ปุ๋มก็บอกว่า "ใช่ๆ เหมือนมันเคลื่อนที่ได้ ตอนนี้เหมือนอยู่แถวๆระเบียง"


ผมก็เลยเดินไปตรงระเบียง
พอเปิดประตูระเบียงออกไป  ลมก็พัดมาปะทะหน้าผมอย่างแรง

"โอ้  ลมแรงดีจัง"  ผมพูด

รุ้งเดินออกมาตรงระเบียงด้วยกับผม
เรายืนมองบรรยากาศยามค่ำคืนกันตรงระเบียง
ปุ๋มเดินมาเกาะขอบประตูไม่กล้าออกมา

ผมก็บอกว่า "ปุ๋มมาซิ อากาศดี๊ดี"

แล้วปุ๋มก็ กรี๊ดเสียงดังขึ้นมาอีก

ผมหันไปมอง เห็นแต่ ปุ๋มถอยกรู ไปที่เตียง
เอาผ้าหุ่ม คลุมตัว

ผมกับรุ้งรีบเข้าไปดูปุ๋ม

"ปุ๋มเป็นอะไร แกเห็นอะไร"  รุ้งถาม

ปุ๋มก็ตอบว่า
"ไม่เอาแล้ว กูกลัว ไม่เอาแล้ว"

รุ้งก็บอกว่า "ไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย กลัวอะไรของเแกนี่"

ปุ๋มโผล่แต่หัวออกมาจากผ้าหุ่ม

"เมื่อกี้ ฉันเห็นขาคนห้อยลงมาตรงด้านบนหลังคาระเบียงอะ
แล้วมันก็ตกลงไป เหมือนคนโดดตึกอะแก
แล้วเสียงคนที่มันร้องเพลงก็หายไปด้วย"

ปุ๋มพูดไปร้องไห้ไป

ผมได้แต่มองหน้ารุ้ง (จะได้นอนกันไหมคืนนี้)

รุ้งก็เลยบอกว่า
"งั้นเดี๋ยวฉันจะนอนกอดแกอยู่ข้างๆนี่เลย  แกไม่ต้องกลัว"

ปุ๋มก็รีบเอาผ้าคลุมโปง
รุ้งก็เลยเข้าไปกระแซะนอนข้างๆปุ๋ม
ผมก็เลยเดินไปปิดไฟแล้วก็มานอน

สักพัก ปุ๋มก็โวยวายขึ้นอีก
"มันมาอีกแล้ว.. รุ้ง... "
"กรี๊ด.."

ปุ๋มลุกขึ้น เอามือปิดหู
"ช่วยเราด้วย เราไม่อยากได้ยิน เราอยากนอน เราไม่อยากได้ยิน"


ผมก็รีบลุกขึ้นไปเปิดไฟ รุ้งก็ลุกขึ้นมาปลอบปุ๋ม

รุ้งหันมาคุยกับผม  "ไม่ได้การณ์แล้วหละ "

ผมก็ถาม ปุ๋มไปว่า
"ปุ๋ม แกไม่ได้เสพยามาใช่ไหม  เหมือนแกหลอนๆนะ"

ปุ๋มเหมือนไม่ได้ยินที่ผมถาม เอาแต่ร้องไห้
บ่นประมาณว่า "เอามันออกไปที บอกมันเงียบที "

สรุปคืนนั้น รุ้งต้องเอายาแก้แพ้ให้ ปุ๋มกิน เพราะไม่มียานอนหลับ
รุ้งบอกว่า ยาแก้แพ้ ที่รุ้งพกประจำ มันจะมีอาการง่วงๆหน่อยหลังรับประทาน

รุ่งเช้าต่อมา
กว่าจะตื่นกันก็สายพอสมควร  เพราะกว่าจะได้นอนกัน ก็ดึก
ปุ๋มยังมีอาการสะลึมสะลือ เพราะฤทธิ์ยา

หลังจากแวะทานข้าวเช้ากันแล้ว เราก็มุ่งหน้าต่อไปที่จังหวัดของบ้านเกิดสา
ขับไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง หมู่บ้านของสา
เราขับรถแวะไปถามทางกับคนแถวนั้น
เขาบอกให้ขับตรงมาในซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง ให้ถามคนในซอยนั้นว่า บ้านยายสายหลังไหน
เดี่ยวมีคนบอกเอง

พอเข้ามาในซอย ขับมาไม่ไกลก็มีร้านขายของอยู่พอดี ก็เลยจอดรถ แวะถามทางกัน
รุ้งเปิดกระจกชะโงกหน้าไปถามผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใน้ร้านขายของชำ
ผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้น เดินมาใกล้ๆรถ
แล้วก็ถามว่า " บ้านใครนะ "
รุ้งก็บอกว่า "บ้านยายสาย "
ผู้หญิงคนนั้นก็ทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดว่า " สายไหน"
รุ้งก็เลยบอกเขาไปว่า  "ที่มีลูกชื่อสา อะ"
แล้วรุ้งก็บอกนามสกุลของสาไปด้วย

ผู้หญิงคนนั้นก็เลย "ร้องอ๋อ"
แล้วก็ชี้มือไปข้างหน้า บอกว่า
"ตรงไปแล้วก็เลี้ยวซ้ายตรงซอยข้างหน้า แล้วก็ตรงไปสุดซอยเลย
บ้านหลังสุดท้าย"

พอได้คำตอบเราก็ขอบใจผู้หญิงคนนั้น
ช่วงที่รุ้งกำลังหมุนกระจกรถขึ้น
อยู่ๆก็มีเด็กคนหนึ่ง วิ่งมาจากไหนไม่รู้มาหา ผู้หญิงคนที่อยู่ร้านขายของ
ได้ยินแต่เสียงลอดเข้ามาในรถ ว่า

" แม่ๆ เขามาทำอะไร "

แล้วก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นตอบว่า

" อ๋อเขามาถามทาง ไปบ้านเพื่อนแม่ "


พอได้ยินเสียงรอดเข้ามา รุ้งกับผมก็พูดขึ้นพร้อมกัน

" เพื่อนสา ! "

ผมได้แต่มองดูเพื่อนที่บ้านเกิดของสา แล้วก็ค่อยๆเคลื่อนรถออกไปช้าๆ
รุ้งก็เลยพูดว่า  เออๆ  ไปหาบ้านสาก่อน  ถ้าไม่คืบหน้ายังไงค่อยมาหาเพื่อนสาอีกที

พอไปถึงบ้านสา ก็เจอ แม่ กับ น้า ของสาอยู่ที่บ้าน
เราก็เข้าไปแนะนำตัว ว่าเราเป็นเพื่อนของสา

แม่ของสาก็ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี
เราถามถึง เหตุการณ์ที่ สา ต้องคิดสั้นฆ่าตัวตาย กับแม่สา
แม่สา ก็เล่าให้ฟังว่า สาเขาไม่สบาย ป่วยทางจิต มาหลายปี
เคยไปอยู่โรงพยาบาลบ้าอยู่พักหนึ่ง กลับมาก็ดีขึ้นนิดหน่อย
แต่ก็ ชอบคุยคนเดียว บ่นตลอดว่า หนวกหู รำคาญคนคุยกัน
อาการ เวลาเป็นหนักๆ ก็คือ หูแว่ว ได้ยินเสียงโน่น เสียงนี่ ไปทั่ว

แล้วรุ้งก็ถามว่า
แล้วแม่รู้ไหมว่า สา เขาคิดอยากฆ่าตัวตาย หรือเปล่า

แม่ก็ตอบว่า
ก็เห็นบ่นๆว่า รำคาญ อยากตายๆ ไปให้พ้นๆ  แม่ก็ได้แต่คอยดูอยู่ห่างๆเงียบๆ

แล้วผมก็ถาม แม่สาไปว่า

แล้วก่อนหน้าที่สาจะป่วยแบบนี้ สาไปทำอะไรมาหรือเปล่า ครับ

แม่ของสา ก็ทำหน้านึก อยู่พักหนึ่ง
แล้วก็พูดว่า ไม่รู้เหมือนกัน  จำได้แต่ว่าผิดปกติแบบนี้ตั้งแต่ เด็กๆ แต่จะมีอาการหนักๆ
ก็ช่วงเข้ามหาลัย นี่แหละ

รุ้งก็เลยถาม แม่ของสาไปอีกว่า
แล้วพวกของใช้ส่วนตัว พวกสมุด หนังสือ อะไรของสา แม่ยังเก็บไว้อยู่ไหม

แม่สาก็ตอบกว่า ไม่อยู่แล้ว  ไม่ได้เก็บอะไรไว้เลย พวกหนังสือหนังหาอะไรก็เอาไปทิ้งหมด
เสื้อผ้าก็เอาไปเผาที่วัดหมด

ผมก็ถามว่า แล้วห้องที่สานอนหละ ยังอยู่ไหมครับ หรือพวกตู้เก็บของสวนตัวของสา ที่อยู่ที่นี่มีไหม ครับ

แม่ของสาก็ตอบว่า  ก็นอนๆรวมๆกันนี่แหละไม่มีห้องส่วนตัวหรอก ส่วนพวกตู้เก็บของอะไรก็ใช้ๆรวมกันในบ้าน
ก็อย่างที่บอกนั้นแหละ อะไรที่มันเป็นของ สา   แม่ก็เอาไปเผาทิ้งหมดแล้ว ไม่มีเหลือไว้เลย

เราสามคนได้แต่มองหน้ากันด้วยความสิ้นหวัง
เหมือนมาครั้งนี้ก็เสียเวลาเปล่า

หลังจากลา แม่ของสาแล้ว
รุ้งก็ชวนไปหาเพื่อนสาคนนั้น ที่เราได้ยินว่า เขาเป็นเพื่อนกับสา

พอไปถึงบ้านเพื่อนสา
เราก็แนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนสาสมัยเรียนมหาลัย
แล้วก็ขอร้องให้เขาช่วยเล่าเรื่องของสา สมัยเด็กๆให้ฟังหน่อย

เพื่อนสมัยเด็กของสา ก็เล่าให้ฟังว่า

สมัยนั้น สาก็เป็นเด็กปกติธรรมดานี่แหละ
อาศัยอยู่กับแม่กับยาย กับน้าๆมาตั้งแต่เด็กๆ แต่สาเขาไม่มีพ่อนะ
จนโตมาหน่อย สาเขาจะดูเพี้ยนๆ เก็บตัว ไม่ค่อยคุยกับใคร

ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะ โดนล้อ ว่าเป็นเด็กไม่มีพ่อหรือเปล่าไม่รู้นะ

หรือส่วนหนึ่งอาจจะ คิดมากไปเองว่า เพื่อนๆมองว่าตัวเองแปลกที่ไม่มีพ่อ
ก็คงคิดมากตามประสาเด็กๆ

แต่ทีว่าเพี้ยนๆ ก็คือ ถ้าใครไปคุยกะสา สาเขาจะชอบเล่าแต่เรื่องผีให้เพื่อนฟัง
จนเพื่อนๆกลัวไม่กล้าคุยด้วย

แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนอยู่ ป.5  สาไปชี้หน้าครูผู้ชายคนหนึ่ง
แล้วก็บอกว่า ครู ครูจะตายนะ
ตอนนั้นครูเองก็โกรธ เลยจับ สา มาตีหน้าชั้น

แต่ผ่านไปสามวัน ครูคนนั้นก็เสียชีวิตจริงๆ
โดนถังแก๊สที่เขาเอามาเป่าแก๊สใส่ลูกโป่งสวรรค์ แตกใส่
เพราะตอนนั้นจะมีงานกีฬาที่โรงเรียน ครูเขาไปช่วยทำลูกโป่งสวรรค์
เพื่อจะเอามาใช้ในงาน แต่ก็ดันมาเกิดเหตุเสียก่อน

พอพวกเราได้ฟังเรื่องของสา
รุ้งก็พูดขึ้นว่า  สาเขาทักเหมือนกับที่เขียนในสมุดของฉันเลย

ยิ่งทำให้ผมขนลุกไปใหญ่

แล้วรุ้งก็ถามเพื่อนสาคนนั้นต่อ
แล้วพ่อของสาไปไหน ทำไมสาถึงไม่มีพ่อหละ

เพื่อนสาก็ตอบว่า
ไม่รู้เหมือนกันนะ  ได้ยินแต่ชาวบ้านเขาพูดกันว่า
พ่อสาเขามาทำแม่สาท้อง แล้วก็ทิ้งไป

พวกเราก็ได้แต่นั่งฟังอยู่เงียบๆ แล้วเพื่อนสาก็เล่าต่ออีกว่า

แต่จริงๆ พอฉันโต ก็มาได้ยินเขาพูดกันไปอีกแบบหนึ่ง

รุ้งก็ถามต่อ
พูดกันว่ายังไงหรือ

เพื่อนสาก็เล่าว่า
เห็นคนเขาเล่ากันนะ  จริงๆ พ่อของสาก็คือ เฒ่าจ้ำ

เล่ามาถึงตรงนี้ผม งง เลย  อะไรหรือ เฒ่าจ้ำ
เพื่อนสาก็อธิบายให้ฟังว่า  เฒ่าจ้ำ ก็คือ คนที่ทำเกี่ยวกับพวกทรงเจ้าเข้าผีประจำหมู่บ้าน
เวลามีงานที่ต้องเชิญผีตาผียาย ที่ประจำศาลเจ้าในหมู่บ้าน เฒ่าจ้ำก็จะเป็นคนทำหน้าที่นี้
แล้วก็ใช่ว่าใครจะมาเป็น เฒ่าจ้ำก็ได้นะ เขาจะมีการคัดเลือก จากรุ่นสู่รุ่น ต้องมีการเรียนภาษา
ขอม ภาษามอญ เรียนวิชาอาคมต่างๆ  ถึงจะได้รับการคัดเลือก

"อ๋อ เป็นแบบนี้เอง " ผมพูดพลางพยักหน้าเข้าใจ

เพื่อนสาเล่าต่อ

มีชาวบ้านเขาไปเห็น เฒ่าจ้ำ เดินหายไปด้วยกันกับแม่ของสาในป่า  ช่วงพลบค่ำ มาหลายครั้ง
แต่ก็ไม่มีใครสนใจ  จนช่วงที่แม่สาเขาท้องแล้วก็คลอดสาออกมา แล้วพอชาวบ้านเขารุ้ว่าท้องไม่มีพ่อ
คราวนี้ข่าวก็เลยลือกันใหญ่เลยว่า เฒ่าจ้ำคือพ่อเด็ก

ลือกันหนักเขา หนักเข้า เฒ่าจ้ำก็หายไปจากหมู่บ้านเลย แล้วก็ไม่มีใครเจอเลย
เลยต้องคัดเลือก เฒ่าจ้ำ ประจำหมู่บ้านคนใหม่ ก็เป็นคนในตระกูลเดียวกันกับ เฒ่าจ้ำคนเก่านั้นแหละ

รุ้งก็เลยถามเพื่อนสาอีกว่า
แล้วทำไมต้องหนีด้วยหละ ทำไมไม่ออกมายอมรับเลย ไม่น่าจะเป็นอะไรเลยเพราะโตๆกันแล้วนี่ไม่ใช่เด็กๆแอบมีอะไรกัน

เพื่อนสาก็บอกว่า
ก็เฒ่าจ้ำคนนั้น เขามีครูนะ มีวิชาอาคม แล้วก็เป็นคนโสดมาจนแก่ ไม่มีลูกเมีย  คล้ายๆว่า รักษาพรหมจรรย์ รักษาศีล
พอแกมีเรื่องแบบนี้ ก็คงกลัวคนรับไม่ได้
รุ้งก็ถามต่อ
แล้วทุกวันนี้ เฒ่าจ้ำคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ไหม

เพื่อนสาก็บอกว่า
ไม่รู้ซิ ไม่มีใครเห็นเลย   ก็เลยตอบไม่ได้  แต่ก็มี ญาติๆเขาเคยเห็นนะ
ต้องไปถาม ญาติๆเขาดู

หลังจากได้เบาะแส เรื่องพ่อของ สา
พวกเราก็ถามทางไปบ้านญาติพ่อของสากับเพื่อนคนนั้น
แล้วก็เดินทางไปหา ญาติ เฒ่าจ้ำ ตามที่ได้ข้อมูลมา

พอไปถึงบ้านญาติเฒ่าจ้ำ ดังกล่าว
ก็ได้ข้อมูลว่า เฒ่าจ้ำ มีชื่อว่า ตายืน   (เฒ่าจ้ำ จริงๆคือชื่อตำแหน่งเฉยๆ  คล้ายๆ คำเรียก เจ้าอาวาส เรียก ดีเจ  อะไรแบบนี้)
ญาติเล่าให้ฟังว่า ตายืน แกหายไปหลายสิบปีแล้ว  ตั้งแต่มีเรื่องข่าวลือครั้งนั้น
แต่ล่าสุด ก็มีการติดต่อมา
มารู้ภายหลังว่า ตายืนได้ ไปบวชอยู่ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ทางลุ่มแม่น้ำโขง


หลังจากที่เราได้ชื่อวัดมา ก็ตั้งค่าปลายทางในแผนที่ของโทรศัพท์ให้นำทางเราไป
ระยะทางในโทรศัพท์มันคำนวณว่า ใช้เวลาประมาณ สองชั่วโมงกว่า ก็ถึงที่หมาย

ผมขับรถออกมาจากหมู่บ้านเล็กๆแห่งนั้น จนออกมาจากปากซอยจะเข้าถนนใหญ่
ค่อยๆชะลอรถ มองซ้ายขวา ของถนนก่อนออกจากซอย เห็นถนนว่างๆ แต่มีมอไซค์คันหนึ่ง
กำลังวิ่งอยู่ในเลนที่เรากำลังจะออกไป ขับมาอยู่ไกลพอสมควร
ผมก็เลยขับออกมาจากซอย  แล้วมอไซค์คันนั้นก็เร่งเครื่อง มาแซงเรา ตอนที่เราเลี้ยวออกมาเข้าถนนใหญ่พอดี
เขา ก็บีบแตใส่ หนึ่งครั้ง ก่อนจะแซงรถเราไป
คนขับหันมามองหน้าเรา แล้วก็ส่ายหัวไปมา เขามากันสองคนอีกคนซ้อนอยู่ด้านหลัง
ไม่ได้ทำอะไร

รุ้งก็พูดขึ้นว่า อะไรของเขา ถนนก็ตั้งกว้าง เราก็ไม่ได้กินเลนออกไปกลางถนนสักหน่อย ยังจะมาทำไม่พอใจอีก

พอขับออกถนนใหญ่มาได้สักพัก เราก็แซงมอไซค์คันนั้นคืน
จนขับมาไกลพอสมควร สักพักก็เห็นมอไซค์คันนั้นเร่งเครื่องตามเรามาติดๆ พยายามจะแซงเรา
ผมก็เลยชะลอรถลงให้มอไซค์แซงไปก่อน

รุ้งเห็นแบบนั้น ก็ งง
"อะไรของเขานะ  เฮ้ยๆ ปล่อยมันไปก่อนเลย ถ้ามันรีบ"

พอมอไซค์คันนั้นแซงเราไปได้ เร่งเครื่องมาที่หน้ารถเราแล้วเขาก็เบรคกะทันหันเลยครับ
ผมตกใจ รีบเหยีบเบรค จนเกิดเสียงดัง ทั้งรุ้งและปุ๋มหัวคะมำไปข้างหน้า พร้อมกับ ร้อง ว้าย..!

ผมก็พูดขึ้นว่า เฮ้ย มันหาเรื่องนี่หว่า

มองไปก็เห็นแต่ มอไซค์คันนั้นขับส่ายไปส่ายมาไม่ให้พวกเราแซง

รุ่งก็เลยพูดว่า  ปล่อยมัน ปล่อยมัน ให้มันไปก่อน

ผมก็เลยชะลอรถเข้าข้างทางปล่อยให้เขาขับไปก่อน
จนมอไซค์มันแซงไปไกลแล้ว ผมก็เลยขับกลับมาเข้าเลนเหมือนเดิม

เสียงปู๋มพูดขึ้นอยู่ด้านหลังผม  อะไรของมันวะ น้ำใจมันไม่มีเลยหรือไง เรื่องแค่นี้ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้

แล้วเราก็เริ่มพากันบ่นให้มอไซค์คันนั้นไปตามประสา
ขับมาได้พักใหญ่ ถนนโล่ง นานๆจะมีรถสวนมาสักคัน
อยู่ๆมีมอไซค์แซงเรามาจากข้างหลัง คนที่นั่งซ้อนท้ายถือไม้หน้าสาม ชี้มาที่รถเรา
พอมันใกล้จะแซงเราไปคนที่ถือไม้หน้าสามก็ฟาดไม้ลงมาใส่แถวๆกระโปรงรถด้านหน้า
ผมตกใจรีบหักหลบ เสียงรุ้งกับปุ๋มโวยวายขึ้นมาทันที

เฮ้ย..ๆ มันอยากตายใช้ไหม

ผมค่อยๆชะลอรถเข้าจอดตรงไหล่ทาง มอไซค์คันนั้นมันเห็นเราจอดมันก็จอดดูเรา
ห่างจากรถผมประมาณ สิบก้าว
สองคนมองมาทางเรา
ผมก็เลยบอก รุ้งว่า รอในรถนะ ผมจะไปเคลียร์ก่อนว่ามันจเอายังไง
พอเปิดประตูลงรถไป สองคนนั้นก็ลงมาจากรถมอไซค์
ผมก็ถามว่า ทำแบบนี้ต้องการ อะไร
เขาก็โวยวายใส่ผมทันทีว่า เก๋าหรือ เก่งนักหรือ ขับรถแบบนี้อยากมีเรื่องใช่ไหม
ผมก็ งง อะไรวะ เรื่องแค่นี้นี่นะ

ก็เลยพูดไปว่า  ก็ยอมให้คุณแซงไปแล้วไง แล้วจะเอาอะไรอีก

แล้วอยู่ๆคนที่ถือไม้หน้าสามมาก็เดินเข้ามาหาผม แล้วก็พูดว่า
ทำไม มีปัญหาหรือ  อย่าซ่า

ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็เดินเข้าไปตรงหน้ารถผมแล้วก็ฟาดไม้ลงไปที่กระโปรงรถอีก
แล้วก็กระหน่ำฟาดลงไปไม่ยั้ง จนผมต้องรีบเข้าไปล๊อคตัวเขาไว้ ดึงออกมา
ผู้ชายคนนั้นก็พยายามจะตวัดไม้ฟาดมาที่ผม ผมก็ยื้อไม้เขาไว้
สู้กันไปมา ด้วยความที่ผมตัวใหญ่กว่าก็เลยผลักเขาล้มลงไปนอนอยู่ข้างริมทาง
เขามองหน้าผม ขว้างไม้ทิ้ง ลุกขึ้นมา ล้วงมือเข้าไปในเสื้อแถวๆเอวด้านหน้า
แล้วก็ชักปืนออกมา พอผมเห็นดังนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปจับปืนที่มือเขา งัดขึ้นฟ้า
แล้วก็ล้มลงไปฟัดเหวี่ยงแย่งปืนกันที่พื้นริมทาง
ผู้ชายตัวเล็กที่มากันกับเขายืนดูผมแย้งปืนกับชายคนนั้นไปมา ไม่ได้เข้ามาช่วยอะไร

แล้วผมก้ได้ยินเสียงเปิดประตู ร้องเรียกชื่อผม  ต้า..
ผมรีบหันไปมอง เห็นรุ้งเปิดประตูรถลงมา กำลังเดินมาทางผม
ผมร้องบอกรุ้งไปว่า อย่าเข้ามา มันมีปืน
ไม่ทันขาดคำ  เสียงปืนก็ดังปั้ง! ขึ้น
รู้สึกถึงแรงลม พัดวาบไปตามขาผม เหมือนมีตัวอะไรวิ่งผ่าน
วินาทีนั้น ใจหายวาบเลยครับ
ผมมองไปทางรุ้ง  เห็นรุ้งยืนจังงังอยู่ แต่ตามตัวไม่มีแผลอะไร
ผมก็เลยรีบมาสำรวจตัวผมเอง มองไปตามขาที่รู้สึกเย็นวาบเมื่อกี้ ในมือก็จับบีบมือผู้ชายคนที่ถือปืนไว้แน่น
พอมองไม่เห็นแผลในตัวผม ผมก็หันกลับไปมองที่รุ้งอีก
คราวนี้ชำเลืองไปดูทีกระโปรงรถ มีควันขึ้นที่รูเล็กๆตรงกระโปรงหน้ารถ
ผมจ้องไปตรงควันนั้น รุ้งก็หันไปมองตาม แล้วรุ้งก็รีบวิ่งไปเปิดประตูหลังรถ
พร้อมกับรีบเข้าไปในตัวรถ ก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดัง
ไอ้ปุ๋มถูกยิง
เสียงรุ้งร้องไห้โหออกมาจากในรถ เสียงดังมาก
ผมตกใจ รีบปล่อยมือชายคนที่มีเรื่องกับผม รีบวิ่งไปดูปุ๋ม
เปิดประตูรถ ก็เห็นสภาพปุ๋มนอนจมกองเลือดอยู่ รุ้งนั่งอยู่ข้างๆเอามือกดแผลที่ท้องไว้เพื่อห้ามเลือด
พอเห็นสภาพปุ๋มแล้วผมก็โกรธมาก รีบหันไปมอง พวกมอไซค์คันนั้น
เห็นมันลุกขึ้น พากันวิ่งไปที่มอไซค์ของพวกมันแล้วก็รีบสตาร์ทเครื่องขี่หนีไป

วินาทีนั้นคิดอะไรไม่ออกเลยครับ
แต่ได้ยินเสียงรุ้งร้องบอกผมว่า
ต้า แกรีบพาปุ๋มไปโรงบาลก่อน เรื่องอื่นช่างมัน
พอเริ่มมีสติกลับมา ผมก็รีบขึ้นรถ สตาร์ทรถได้ก็รีบกลับรถ ย้อนกลับเข้าไปทางตัวเมือง
หาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
ระหว่างทางได้ยินแต่เสียงรุ้งร้องไห้ เรียก  ปุ๋มอย่าหลับนะ  ปุ๋มอย่าหลับนะ ตลอดทาง
ส่วนรถที่ผมขับก็มีควันออกมาจากกระโปรงหน้ารถตลอดทางเหมือนกัน
ขับมาไม่นานก็เข้ามาในตัวเมือง แล้วสักพักก็เจอโรงพยาบาล
ผมก็รีบขับรถเข้าไปทันที
พอถึงแผนกฉุกเฉิน ก็ชุลมุนกันอยู่พักใหญ่ กว่าจะส่งปุ๋มถึงมือหมอได้
เราพากันนั่งรอหมอผ่าตัดกระสูนออกจากตัวปุ๋มอยู่หน้าห้องผ่าตัด
ต่างคนต่างกระวนกระวายใจ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
จนสักพัก ดูเหมือนรุ้งจะคิดอะไรได้
ต้า.. เราต้องไปหาพ่อของสากันให้ได้ภายในวันนี้
ไม่งั้น ปุ๋มไม่รอด เรารอไม่ได้อีกแล้วนะ

ผมก็เลยบอกรุ้งไปว่า คงไม่น่าจะทันนะ เพราะรถที่ขับมามันดูแย่ๆแล้ว
ไม่รู้กระสูนมันไปทำให้ข้างในเสียหายตรงไหนหรือเปล่า
ยังไงก็ต้องเอาไปที่อู่ให้เช็คสภาพดูก่อน

รุ้งลุกขึ้นแล้วก็พูดว่า แล้วจะรออะไร  ทางนี้ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงมือหมอแล้ว
เราว่า เอารถไปเช็คดูกันก่อนว่าต้องซ่อมอะไรแค่ไหน


ผมกับรุ้งขับรถออกมาหาอู่ที่อยู่ใกล้ๆแถวนั้น แต่ไม่มี
เลยต้องขับออกไปนอกเมืองไกลพอสมควร
หลังจากที่ให้ช่างดูอาการให้คร่าวๆแล้ว เขาก็บอกว่ารอคิวซ่อมอีกสองสามคัน
เดี๋ยวจะซ่อมให้ ก็น่าจะประมาณเย็นๆถึงมารับรถ
เราก็ย้ำกับทางช่างไปว่ายังไงก็ต้องซ่อมให้ได้นะ เพราะว่าเราต้องใช้รถจริงๆ
ทางช่างรับปาก ว่าจะซ่อมให้ทันก่อนเย็น

พอได้ที่ซ่อมรถแล้ว รุ้งก็เลยชวนผมกลับไปที่โรงพยาบาลกัน
ป่านนี้หมอคงผ่าตัดเสร็จแล้วมั้ง


เรานั่งรถตู้ที่เขาเป็นรถรับส่งข้ามจังหวัด อาศัยไปลงแถวๆตลาดในเมืองแล้วก็จะนั่งรถสองแถวต่อไปลงแถวโรงพยาบาล
ในรถตู้มีคนนั่งอยู่ประมาณเจ็ดแปดคน  พอเราขึ้นไปบนรถตู้ ก็มีแค่ตรงเบาะหลังสุดเท่านั้นที่ว่าง เลยพากันไปนั่งตรงนั้น
ขับมาได้พักหนึ่ง อยู่ๆก็มีผู้โดยสารท่านหนึ่งพูดว่า พี่ๆ เหม็นอะไรไหม้อะ
แล้วผมกับรุ้งก็ได้กลิ่นเหมือนควันอะไรสักอย่าง  ไม่นานผู้โดยสารทั้งคันก็ได้กลิ่นเหมือนกัน
ก็เลยมีพี่คนหนึ่งตะโกนไปหาคนขับ ว่า พี่พี่ เหม็นไหม้อะไรอะ

คนขับรถหันมามอง แล้วก็หันกลับไปขับรถต่อ ชะลอรถเข้าข้างทาง
ลงมาเปิดประตูแถวๆที่ผู้โดยสารนั่ง  ตอนนั้นทุกคนนั่งอยู่กับที่ไม่มีใครกล้าลุก
สงสัยจะกลัวโดนแย่งที่นั่ง
คนขับรถขึ้นมาบนรถแล้วพยายามก้มลงไปดม ตามซอกรถ ว่ากลิ่นเหม็นไหม้มาจากไหน
ช่วงที่เขากำลังก้มๆอยู่
อยู่ๆก็มีผู้โดยสารคนหนึ่งพูดว่า เฮ้ยควันอะไร
แล้วเขาก็รีบวิ่งลงรถไป แต่คนอื่นๆก็ยังไม่ลุก จนควันมันเริ่มคลุ้งขึ้นมา
คนขับก็รีบลุกไปดูตรงที่มีควันลอยออกมา
ไม่นานครับ ควันก็เริ่มเกิดมากขึ้น จนผู้โดยสารท่านอื่น ทนไม่ไหว ต่างพากันรีบลุก
แล้วก็เบียดกันรีบลงจากรถกันโกลาหล  ผมกับรุ้งรีบเดินออกมาจากเบาะหลัง
แล้วทันใดนั้นเอง คนยังไม่ลงจากรถหมดเลยครับ ไฟก็ลุกขึ้นตรงแถวๆด้านหลังที่ผมกับรุ้งนั่ง
ผมรีบเบียดคนอื่นๆออกมาจากรถทันที
พอทุกคนออกมาจากรถได้ ไม่นานไฟก็เริ่มลุกไหม้ตรงด้านหลังรถตู้ มากขึ้น
ผมยืนดูไฟไหม้รถตู้อยู่สักพัก ก็นึกถึงรุ้งขึ้นมา รีบมองหารุ้ง
อ้าวรุ้งหละ

พอไม่เห็นรุ้งผมก็รีบวิ่งไปดูที่รถตู้ทันที
พอชะโงกหน้าเข้าไปดูตรงประตูรถตู้ ผมก็เห็นร่างของรุ้ง นอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้นรถ
เห็นดังนั้นก็ตกใจมากรีบวิ่งขึ้นไปบนรถตู้ ควันไฟเริ่มคลุ้งเต็มไปหมด จนผมต้องคลานต่ำๆไปหารุ้ง
ดึงร่างรุ้งลากออกมา ลากมาได้นิดหน่อย เหมือนมันติดอะไรสักอย่าง
ผมมองไปตรงขัางหลังสุด เห็นที่ข้อเท้ารุ้งติดเชือกอะไรอยู่
ผมเลยรีบคลานไปที่ปลายเท้ารุ้ง พยายามแกะเชือกที่เท้ารุ้ง
ตอนนั้นไฟมันเริ่มไหม้หลังคารถแล้ว ทำให้มีไฟตกลงมาข้างๆผมกับรุ้งเป็นเส้นๆ และก็เป็นก้อนก็มี
ผมจับขารุ้งดึงสุดแรงให้เชือกนั้นขาด แต่ไม่เป็นผล  เชื่อมันเหนียวมาก
ควันในรถเองก็เริ่มเยอะมากจนมันจะเริ่มต่ำลงมาเต็มรถแล้ว
ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกครับ และมองไปรอบๆมันมืดเต็มไปด้วยควันไฟ
ผมก็เลยสำลักควัน แสบตาไปหมด  พยายามจะออกมาหายใจนอกรถ
แต่มองไม่เห็นอะไรเลย
ช่วงที่ผมเกือบๆจะขาดอากาศหายใจ
อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีคนมาดึงเท้าผม แล้วดึงตัวผมให้ถอยหลังออกมา
ผมจับแขนรุ้งดึงออกมาด้วย
แล้วเหมือนเท้ารุ้งจะหลุดออกจากเชือก คงเพราะไฟที่ไหม้ มันไหม้เชือกจนขาด

พอออกมาจากตรงประตูรถตู้ได้
ผมหันกลับมามอง  เห็นมีคนประมาณ สองคนช่วยดึงขาผมอยู่
ผมรีบลุกขึ้นแล้วดึงร่างรุ้งออกมาจากรถตู้
ร้องเรียก รุ้งให้ตื่น
รุ้ง  รุ้ง...
ผมเรียกรุ้งไปมาอยู่สักพัก แล้วรุ้งก็เริ่มรู้สึกตัว


พอรุ้งรู้สึกตัว ผมก็ดีใจมาก นึกว่าจะเสียเพื่อนไปอีกคนแล้ว

หลังจากรุ้งมีสติฟื้นคืนมา ก็รีบบอกให้ผมกลับไปที่อู่รถ

เฮ้ย ต้า ทำไมมัน..มาเร็วแบบนี้
ฉันจะต้องตายเพราะไฟ หลังจากที่ปุ๋มตายเพราะปืน
แสดงว่า...

ไอ้ปุ๋ม.... มัน

รุ้งเงียบไป

รุ้งรีบพูด
ไม่มีเวลาแล้ว เราต้องไปเดี๋ยวนี้

เรานั่งมอไซค์รับจ้างแถวนั้น พามาส่งที่อู่ ที่ รถเราจอดอยู่
ผมเข้าไปคุยกับช่างที่จะซ่อมรถให้
ช่างบอกว่ายังไม่ได้ซ่อมอะไรเลย
ผมก็บอก ว่า
เร่งซ่อมให้หน่อยได้ไหมจะจ่ายให้เป็นพิเศษ
เพราะต้องรีบไปแล้ว

โชคดีคนที่เขาเป็นเจ้าของรถคิวก่อนหน้าเรา เขาใจดี
บอกให้ช่างรีบซ่อมให้พวกเราก่อน


ช่วงระหว่างนั่งรออยู่
รุ้งก็พยายามติดต่อไปที่โรงพยาบาลเพื่อสอบถาม อาการของปุ๋ม
แต่เหมือนสายโทรศัพท์ไม่ดี
เห็นรุ้งบอกว่าพอมีคนรับสายแล้วเขาก็วางหู
เหมือนมันตัดไปเอง
ทำให้รุ้งอารมณ์เสียมาก

ผมเห็นดังนั้น ก็เลยปลอบรุ้งไปว่า
ทำใจไว้บ้างเถอะรุ้ง
ถ้าไอ้ปุ๋มมันรอด พอมันฟื้น มันจะโทรมาหาพวกเราเอง

รุ้งก็เลยสงบอาการลงบ้าง

รออยู่พักใหญ่ ผมเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น ขณะที่รุ้ง นั่งหลับอยู่
แล้วช่างก็มาตาม แล้วบอก ว่า รถซ่อมเสร็จแล้ว
ช่างแจกแจงรายละเอียดว่าซ่อมอะไรไปบ้าง
แต่ผมแทบจะไม่ได้ฟังอะไรเลย แค่ถามว่า ทั้งหมดค่าซ่อมเท่าไหร่
พอเห็นค่าซ่อมแล้ว เงินผมไม่พอก็เลยใช้บัตรเคดิตจ่ายแทน
จากนั้นก็รีบไปปลุกรุ้งให้ตื่น แล้วก็พากันออกเดินทางทันที

ขับรถมาได้ไม่นานฟ้าก็เริ่มมืด เพราะกว่าจะซ่อมรถเสร็จก็เย็นมากแล้ว
รุ้งนั่งหลับมาตลอดทาง พอเริ่มมืด
อยู่ๆรุ้งก็มีอาการแปลก
แล้วก็ร้อง ว๊าย ขึ้น
ผมก็ถามว่า เป็นอะไร
รุ้งก็หันมาทางผมแล้วก็บอกว่าไม่มีอะไร
สักพักก็ร้องขึ้นมาอีก

ต้า  แก แกเห็นไหม

ผมก็ถามว่าเห็นอะไร
รุ้งก็บอกว่า ข้างทางเมื่อกี้ไง คนเดินอยู่ข้างๆถนน แต่มีไฟลุกอยู่บนหัว

ผมก็บอก ว่าไม่เห็นมีอะไรเลย ตาฝาดแล้ว

นั่งไปได้สักพัก รุ้งก็ ร้องว้าย.. เสียงดังขึ้นมาอีก

ผมก็มองหน้ารุ้ง เป็นอะไรอีก

รุ้งก็บอกว่า ต้า แกได้ยินใคร ร้องไห้ไหม

ผมก็บอกว่าไม่เห็นได้ยินเลย

มองดูรุ้ง เริ่มมีอาการหลอนๆ เหมือน ปุ๋ม
ผมก็เลยถามไปว่า
รุ้ง แกไหวไหมนี่ แกหูแว่วเหมือนไอ้ปุ๋มไปอีกคนแล้วนะ

รุ้งรีบหลับตา เอามือปิดหู แล้วก็พูดว่า
ฉันไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องมาคุยกับฉัน

หลังจากที่รุ้งมีอาการสงบลงไป สักพักใหญ่
ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก จนทำให้แทบจะมองไม่เห็นถนน
ตกแรงมาก จนผมต้องรีบหาที่แวะจอดพักก่อน
พอจอดรถได้ ก็มองไปที่รุ้ง เห็นนอนหลับ เอามือปิดหูอยู่
ผมก็ไม่ได้ปลุกอะไร
ฝนตกนานพอสมควร กว่าจะเริ่มซาลง
พอเริ่มตกปรอยๆผมก็รีบขับต่อไป
ขับมาได้พักใหญ่ รถที่ขับสวนมาก็เริ่มบางตาลง นานๆจะผ่านมาสักครั้ง
ทำให้ผมรีบขับเร็วขึ้นได้อย่างสบาย

พอมาถึงจุดจุดหนึ่ง ขณะขับรถไปบนสะพาน ก็เห็นเหมือนข้างหน้ามีอุบัติเหตุอะไรสักอย่าง
เป็นรถบรรทุกคว่ำอยู่แถวๆ ปลายสะพาน
ผมก็เลยชลอรถลง ค่อยๆขับเข้าไปใกล้ๆ มองดูดีๆอีกที
มันเป็นรถ สิบล้อ กับรถ พ่วง ชนกันครับ
รถพ่วงมันตะแคงอยู่กลางถนนเลย ส่วนสิบล้อหน้ามันชนอยู่กับขอบสะพาน
หน้ารถสิบล้อมันก็ทะลุขอบสะพานจนยื่นออกไป เหมือนจะตกลงไป
มีสายไฟสายอะไรพันละโยงละยางเต็มถนนไปหมด
ผมปลุกรุ้งให้ตื่น

รุ้งแล้วเราจะไปกันยังไงหละทีนี่  มันขวางถนนไว้ทั้งสองเลน เลย

รุ้งก็เลยบอกว่า พึ่งชนกันหรือ

แล้วรุ้งก็ชี้ให้ดูตรงรถสิบล้อ มีคนขับติดอยู่บนรถ พยายามจะลงจากรถ
แต่ว่าหน้ารถมันยื่นลงไปเกือบจะตกสะพานอยู่แล้ว
เห็นแล้วก็หวาดเสียวแทน
ผมก็เลยบอกรุ้ง ว่า รออยู่ในรถก่อนนะ เราจะไปดูก่อน
พอผมลงจากรถได้ ก็รีบเดินเข้าไปดูว่ามันพอจะมีช่องให้รถเราเบนขับออกไปได้บ้างไหม
ตอนนั้นเห็นคนคับสิบล้อรีบปีนออกมาแล้วก็ไต่ไปตามขอบข้างของรถ
ผมก็ตระโกนถามเขาว่าเป็นอะไรไหม
เขาก็พูดอะไรออกมา สักอย่าง แต่ผมไม่ได้ยินชัดนัก
จนเขาโดดลงมาจากรถสิบล้อ แล้วก็รีบวิ่งหายไปทางปลายสะพาน
เท่านั้นแหละ
ผมก็เห็น ท้ายรถสิบล้อมันกระดกขึ้น หน้ารถทิ่มลงไปตรงขอบสะพาน
ผมก็ชะงัก ยื่นนิ่งอยู่ลุ้นว่ามันจะตกไหม
แต่มันก็ยังไม่ตก
แล้วผมก็เดินเข้าไปอีก มองไปตรงด้านหลัง รถพ่วงที่จอดตะแคงคว่ำอยู่

เห็นพอมีช่องที่จะขับเบนผ่านไปได้  ช่องนั้นน่าจะผ่านไปได้นะ
พอเห็นดังนั้นผมก็รีบเดินกลับมาที่รถ
แต่ไม่ทันจะก้าวเท้า อยู่ๆก็ได้ยินเสียง เหมือนอะไรเคลื่อน ขูดไปตามถนน
ผมหันกลับไปอีกที เห็นรถสิบล้อคันนั้นหน้ามันทิ่มตกลงไปข้างสะพานแล้วครับ
เห็นแต่ท้ายรถสิบล้อหล่นลงไปต่อหน้าต่อตา
แล้วเหมือนมันกระชากสายไฟ สายสลิงต่างๆลงไปด้วย
จนผมได้ยินแต่รอบๆตัวผม มีเสียง สายไฟ สายสลิง ปลิวไปตามสายลม ดัง ฟิ้วๆ
ตอนนั้นเห็นเลยว่าสายไฟมันถูกกระชากไปอย่างแรง
จนผมไม่กล้าขยับตัวไปไหนเลย
แล้วผมก็มองเห็นที่พื้น มันมีลวดสลิงเส้นหนึ่งค่อยๆถูกดึงไปตามพื้น
พอมองดูดีๆอีกที มันเป็นเส้นที่ผมกำลังยืนอยู่ข้างๆมันเลย
แล้วลวดสลิงเส้นนั้นมันก็ถูกกระชากอย่างแรง
เสียงดังฟิ้ว ผ่านข้างๆหูข้างหนึ่งผมทันที
แต่เสียงดังแปะ เหมือนมีอะไรฟาดมาข้างๆหน้าผมอีกด้าน ทำให้ผมรู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที
ยังไม่ทันตั้งตัวเลย รู้สึกเหมือนมีเส้นอะไรมาพันคอผม
แล้วก็ดึงผมล้มลงไปกับพื้น แล้วก็กระชากตัวผมไปกับพื้นอย่างแรง
จนผมงงไปหมด
สิ้นเสียงลวดที่ปลิวไปกับแรงดึงพร้อมกับเสียงรถตกลงน้ำ
ผมมองไปที่มือผม มีเลือดเต็มไปหมด แล้วก็ตรงใบหน้าข้างที่โดนลวดฟาด
ก็เหมือนมีเลือดไหลออกมาจนเข้าตาผมข้างหนึ่ง
ตอนนั้นผมได้แต่ลืมตาอยู่ข้างเดียว นอนอยู่กับพื้น
มองไปไกลๆ เห็นรุ้ง เปิดประตูรถ วิ่งมาทางผม

พอรุ้งวิ่งมาถึงก็ร้องถามว่า เป็นอะไรหรือเปล่า
ตอนนั้นผมเอามือกุมแผลที่หน้าอยู่ เลือดไหนออกมาเต็มไปหมด
รุ้งเข้ามาสำรวจตัวผม แล้วให้ผมนอนหงาย
ตอนนั้นผมรู้สึกร้อนที่คอมาก เหมือนไฟจะไหม้คอผมเลย
ก็เลยรีบบอกให้รุ้งช่วยดูที่คอให้หน่อย

คอผมขาดหรือเปล่า...

รุ้งรีบปลดกระดุมเสื้อออก
พอเห็นคอผมก็ ร้อง โห ขึ้นมา

ต้า แกไปเอาแผ่นสังกะสีนี้มาจากไหน

ผมค่อยๆเอามือไปจับแผ่นสังกะสีที่พันคอผมอยู่
รู้สึกร้อนๆ
แล้วก็ถามรุ้งว่า มันยังอยู่ดีไหม

รุ้งก็บอกว่า โชคดีมากเลย
แผ่นสังกะสีเกือบทะลุไปถึงคอ

ผมก็เลยค่อยๆลุกนั่ง แล้วก็บอกกับรุ้งว่า

เจอตอนที่อยู่อู่ซ่อมอะ เห็นเป็นเศษซากทิ้งอยู่แถวนั้นพอดีก็เลยเอามาพันตามตัว
กันไว้ก่อน  แฮะๆ

ผมก็หัวเราะออกมา
แล้วรุ้งก็ช่วยผมแกะแผ่นสังกะสีที่ผมแอบพันติดตัวมา ออก

พอลุกนั่งได้รุ้งก็มาดูแผลที่ศรีษะผม รุ้งบอกว่า เป็นแผลโดนฟาดยาวเลย
แต่ว่ามันแตกจนเลือดออก ตรงเหนือคิ้วซ้าย

ตอนนั้นพอเอามือจับแผลเริ่มแสบๆแล้วครับ
พอเดินมาถึงรถได้ แล้วก็เอาน้ำเปล่ามาล้างแผล พอโดนน้ำนี่แสบสุดๆ
ถึงกะซี๊ด เลยทีเดียว

ผมค้นเอาเสื้อยืด ในกระเป๋ามากดทับไว้ตรงแผล
จนเลือดออกมาเต็มเสื้อตัวนั้นเป็นสีแดงไปหมด
นั่งอยู่บนรถ สักพัก ก็เริ่มเห็นหน่วยกู้ภัยเริ่มมากัน
ผมมองกลับไปตรงถนนด้านหลัง ที่เราขับผ่านมา
เริ่มมีรถมาต่อรอกันยาวพอสมควรแล้ว
สักพักใหญ่ ก็มีหน่วยกู้ภัยมาโบกให้ทางแกเรา
ให้ขับไปในเลนสวน แล้วก็อ้อมหลังรถพ่วงที่ตะแคงอยู่
พอขับเลยมาถึง ปลายสะพานได้
ก็เห็นกลุ่มคนยืนจับกลุ่มกันอยู่แถวๆปลายสะพานเป็นกลุ่มใหญ่
สิบกว่าคน  เห็นคนขับรถสิบล้อคนนั้น ยืนอยู่ด้วย
พอเลยสะพานมาได้ ผมก็รีบขับรถต่อไป ยังจุดหมายที่เราต้องการทันที


ขับมาได้ระยะหนึ่ง ไกลจากจุดเกิดอุบัติเหตุพอสมควร
แผนที่ก็นำทางเราเข้าไปตามหมู่บ้านเล็กๆ
ถนนเป็นทางลูกรัง สองข้างทางเป็นป่า ไม่มีไฟส่องถนน
ขับเข้าไปเรื่อยๆ ถนนก็เริ่มเปลี่ยว เป็นหลุมเป็นบ่อ จนไม่สามารถขับรถเร็วได้
ต้องค่อยๆไป

เป็นแบบนี้ไปตลอดทาง จนเกือบๆจะห้าทุ่มกว่า พวกเราก็เดินทางมาถึงวัดที่พ่อของสาบวชอยู่

พอถึงหน้าวัด ผมมองดูรอบๆ ส่วนใหญ่จะเป็นป่า กับทุ่งนาเสียมากกว่า
รู้สึกวัดจะห่างจะบ้านคนพอสมควร
ไม่มีบ้านคนอยู่ในละแวกนี้เลย
ผมตัดสินใจขับรถเข้าไปในวัดต่อ
มองเข้าไป ตามที่ไฟรถส่อง เห็นเป็นโบสถ์เก่าๆอยู่ข้างหน้า
แต่ไม่มีไฟเปิดเลยสักดวง  พอจอดรถไว้ที่หน้าโบสถ์
ผมกับรุ้งก็พากันลงมาจากรถ มองไปรอบๆ
รู้สึกว่าจะเป็นวัดที่ไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่โตอะไรมาก
มีเรือนคล้ายๆกุฏิพระ อยู่ไม่ไกล แถวนั้น สองสามหลัง

ผมเอาโทรศัพท์มาทำเป็นไฟฉายส่องทาง แล้วพารุ้งเดินอ้อมไปตามโบสถ์
ทางเดินมีหญ้าขึ้นสูงพอสมควร แทบไม่มีทางเดิน ที่จะเดินไปยังกุฏิเลย
เราก็เดินลุยหญ้ากันไป
พอไปถึงที่กุฏิแรก เป็นกุฏิที่ไม่ใหญ่มาก มีพื้นยกเป็นใต้ถุนสูง มีชานพักอยู่ด้านบน
ผมก็ร้องเรียก

หลวงพ่อ  หลวงพ่อ ครับ
มีใครอยู่ไหมครับ

ร้องเรียกอยู่พักหนึ่ง ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา

หรือว่าไม่มีใครอยู่หลังนี้  ผมก็เลยชวนรุ้ง เดินไปทางกุฏิด้านหลัง
พอกำลังจะเดินออกจากตรงนั้น อยู่ๆก็ได้ยินเสียง เสียงหนึ่งดังขึ้น

มาทำอะไรกันโยม ดึกๆดื่นๆ

ผมตกใจ รีบหันไปมองที่กุฏินั้น เห็นเป็นพระยืนเป็นเงามืดๆอยู่ตรงหน้าต่างพอดี

โห หลวงพ่อ  เล่นเอาผม ใจหายวาบเลย

ผมพูดขึ้น พลางเดินกลับไปที่ใต้กุฏิ
พอเดินขึ้นบันไดไป ก็เจอหลวงพ่อถือตะเกียงยืนอยู่หน้าประตู
พอกราบหลวงพ่อเสร็จ
ผมก็ถามหลวงพ่อว่า

ที่วัดนี้มี พระที่เคยชื่อ ตายืน มาบวชหรือเปล่าครับ

หลวงพ่อก็ถามกลับว่า
อืม.. แล้วมาตามหาตายืนทำไม

ผมก็เลยบอกว่า มีเรื่องคอขาดบาดตายครับ
ถ้าไม่เจอท่านวันนี้ พวกเราอาจจะเสียชีวิตกันหมดก็ได้

แล้วหลวงพ่อ ก็พูดขึ้นว่า
อาตมานี่แหละ คนที่โยมตามหา

พอได้ยินดังนั้น ผมก็ดีใจมาก หันไปมองรุ้งที่นั่งอยู่ข้างๆ
นึกในใจ หวังว่าคงไม่เสียเที่ยวนะ

พอท่านพาเข้าไปนั่งข้างในกุฏิ  เริ่มมีแสงสว่างจนสังเกตเห็นหน้าท่านได้ถนัดขึ้น
ผมว่าน่าจะเรียกท่านว่าหลวงปู่มากกว่า เพราะท่านดูเหมือนอายุมากแล้ว
คาดคะเน  อายุน่าจะราวๆสักเก้าสิบกว่าน่าจะได้

หลังจากที่สนทนากันพอสมควร ผมก็ถามหลวงปู่ยืนว่า

ท่านพอจะจำเหตุการณ์เมื่อสี่สิบปีก่อนได้ไหมครับ

หลวงปู่ก็ถามว่า เรื่องไหนกันหละโยม
ผมก็ตอบท่านว่า เรื่องผู้หญิงคนหนึ่งที่ท้องไม่มีพ่อน่ะครับ

หลวงปู่ ดูเหมือน นั่งนิ่งคิดอยู่นาน
เรื่องนั้นมันนานมากแล้วนะโยม
แต่อาตมาไม่เคยลืมเลย

ผมก็เลยถามท่านว่า แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับลูกของผู้หญิงคนนั้นครับ
ทำไมเขาถึง...

พอผมถามแบบนั้น หลวงปู่ ท่านก็เอื้อมมือที่สั่น และผอมแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
ไปหยิบหมากพลูมาเคี้ยวช้าๆ

แล้วหลวงปู่ก็เริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เราฟัง ดังนี้ครับ


หลวงปู่ยืน เล่าให้ฟัง พอจะสรุปเนื้อหาใจความได้ดังนี้ครับ
เพื่อความเข้าใจง่าย ผมขอเรียกหลวงปู่ยืนในสมัยก่อนว่า
ตายืน นะครับ เพราะตอนนั้นท่านยังไม่ได้บวช
เมื่อสี่สิบปีก่อน แม่ของสา มาปรึกษากับตายืนว่า
ตัวเองโดนคนทำคุณไสยใส่ แต่ไม่รู้ว่าใครทำ
ตายืนเลยให้ไปทำพิธีถอนคุณไสย
โดยการไปหาของที่เป็นคุณไสยให้เจอ
แล้วให้เอามาทำพิธีทิ้งไว้ที่ทางสามแพร่ง แล้วก็ทำกระทงใส่ของกินมาเส้นไหว้ในวันทำพิธีด้วย
แม่ของสาที่โดนคุณไสย
จะมีอาการชอบลุกมาเดินกลางคืนคล้ายคนที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น
ส่วนกลางวันจะอ่อนเพลียแล้วจะเอาแต่นอนซมเหมือนคนป่วย
แต่ว่า แม่ของสาก็หาสิ่งที่เป็นคุณไสยไม่เจอ
ตายืนเลยนัดมาเจอกันแถวๆทางสามแพร่ง แล้วก็รอให้มืดค่ำ
เพื่อรอให้เกิดอาการเหมือนอย่างที่แม่สาเป็นตอนกลางคืน จะได้รู้ว่าคือมนต์ดำของใคร

แต่ด้วยความกลัวว่าชาวบ้านแถวนั้นจะรู้เรื่องนี้
แม่สาเลยต้องปิดบังเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
อาจจะด้วยความอายด้วย และอาจจะด้วยความกลัวว่าชาวบ้านจะรังเกลียดด้วย
ทำให้ทั้งตายืนกับแม่สา ต้องมาทำพิธีกันแบบลับๆตอนไม่มีคนสัญจร
แต่นัดกันมาอยู่หลายวัน ก็ยังไม่มีอาการคุณไสยออกฤทธิ์
จนทำให้ทั้งสองต้องเดินทางมาตรงจุดสามแพร่งนั้นบ่อยๆ

และแล้ว วันหนึ่ง
หลังจากที่ รอจนค่ำแล้วแม่สาเริ่มมีอาการ ไม่เป็นตัวของตัวเอง 
ตายืนก็รู้ทันทีเลยว่ามันมาแล้ว
พอตายืนเพ่งจิตไปที่ร่างแม่สา
ก็ทำให้รู้ว่าคุณไสยที่มาเล่นงานแม่สานั้น คือวิญญาณร้าย
ตายืนก็เลยใช้มีดลงคาถาพยายามไล่วิญญาณร้ายออกจากร่างแม่สา
ผีร้ายมันเก่งมาก มันหลบซ่อนไปตามอวัยวะต่างๆของร่างกายแม่สา
จนทำให้เวลาจ่อปลายมีดหมอไปตรงไหนก็ไม่โดนมัน
สู้กันไปมาอยู่พักใหญ่
ตายืนก็เปลี่ยนตำแหน่งวางมีดหมอไปตามร่างกายเรื่อยๆ
จนมาหยุดอยู่ตรงท้อง มันถึงร้องออกมาจนเสียงดัง
ตายืนใช้มีดหมอสะกดวิญญาณร้ายนั้นไว้ตรงอวัยวะที่ปลายมีดจ่ออยู่
แล้วก็รีบเอาหุ่นที่ปั้นเป็นตัวคนจากสีผึ้ง ออกมา วางไปตรงข้างๆมีด
แล้วก็ท่องคาถาเพื่อจะสะกดวิญญาณร้ายให้มาอยู่ที่ตัวหุ่นสีผึ้ง
แต่ช่วงที่กำลังทำพิธีอยู่นั้น อยู่ๆ วิญญาณร้ายมันก็หลุดหนีไปได้
ตายืนเลยต้องใช้มีดหมอควานหาตำแหน่งที่มันซ่อนตัวใหม่อีกครั้ง

แต่หาอยู่นานก็ไม่เจอ หาไปมาอยู่พักใหญ่
แล้วตายืนก็สัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจอีกดวงที่อยู่ในร่างของแม่สา
ตายืนก็เลยรีบตรวจดูไปตรงที่ท้องน้อยของแม่สาทันที
ถึงรู้ว่าแม่สากำลังท้องอ่อนๆอยู่
และวิญญาณร้ายนั้นก็กำลังสิงอยู่ในร่างเด็กเพื่อหลบมีดหมอของตายืน

พอตายืนเห็นดังนั้นก็รู้เลยว่า เป็นเรื่องยากแล้ว
เพราะถ้าจะจับตัวมันใหม่ มันก็จะเข้าไปหลบในตัวเด็กอีก
และถ้าปล่อยมันให้อยู่กับร่างแม่สาไปจนคลอดเด็ก แม่สาก็อาจจะเป็นอัตรายก็ได้
ตายืนคิดไปมาอยู่พักใหญ่ ก็เลยตัดสินใจ ไม่ทำลายวิญญาณร้าย
ตายืนใช้วิธี ท่องคาถาสะกดวิญญาณร้ายไว้กับตัวเด็กไม่ให้มันมีอำนาจไปทำร้ายใครได้อีก
แต่มันเสียตรงที่ ตายืนไม่รู้ว่า เด็กจะได้รับผลอะไรบ้างหรือเปล่า

พอสะกดวิญญาณให้สงบนิ่งได้ แม่สาก็กลับมามีสติเหมือนเดิม
ตายืนก็เลยถามว่า ลูกในท้องใครเป็นพ่อเด็ก

แม่สาก็เลยเล่าให้ฟังว่า เมื่อสามเดือนก่อนหน้า แม่สาไปหาปลากับญาติๆ ในหนองน้ำแห่งหนึ่ง
ช่วงที่แม่สาไปฉี่ในป่า อยู่ๆก็มีชายคนหนึ่ง เดินเข้ามาหา แล้วก็มาจูงมือแม่สาให้เดินตามเขาไป
ลักษณะเป็นผู้ชายผอมๆ หัวโล้น ใส่ชุดคนแขกโบราณ
แม่สารู้แต่ว่า  ก็ลุกขึ้นตามเขาไปโดยไม่ขัดขืนอะไร
พอเดินตามไปแล้วก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย ว่าไปไหนต่อ
มารู้ตัวตอนตัวเองนอนอยู่บนโขดหินแถวๆริมหนองน้ำ
จนได้ยินเสียง ญาติๆร้องเรียกชื่อตนเอง ก็เลยรู้สึกตัว
พอญาติๆมาเห็น   เขาก็เลยหาว่า มาแอบหลับ
หลังจากนั้นผ่านไปเดือนกว่าก็ไม่มีอะไร
เริ่มมามีอาการก็ช่วงเดือนที่ผ่านมา

ตายืนพอรู้ความจริง ก็บอกว่า ทำไมพึ่งมาบอก
ถ้ารู้ก่อนหน้านี้จะได้ไปตามหาผู้ชายคนนั้น
แต่ตอนนี้ ไม่ทันแล้ว เพราะตายืนสะกดวิญญาณร้ายนั้นให้อยู่กับเด็กไปแล้ว
เพราะมันจะถอนการสะกดวิญญาณไม่ได้
คือคาถานี้ทำให้วิญญาณติดอยู่กับสิ่งของอะไรสักอย่าง
แล้วก็เอาสิ่งของนั้นไปทำลาย หรือเอาไปฝังไว้
แต่พอมันติดอยู่กับเด็กแล้ว ถ้าจะทำลายวิญญาณก็คือต้องทำลายเด็กด้วย

สรุปสาเป็นลูกคนเล่นของที่มีวิชาแกร่งกล้าพอสมควร แต่มนต์ที่ตายืนสะกดวิญญาณนั้นไว้กับตัวเด็ก
ส่งผลให้สาเป็นคนที่ เหมือนมีใครอีกคนอยู่ในร่าง และได้เห็นอะไรในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น

พอเล่าจบ
เราก็เล่าเรื่องที่สาทำนายว่าพวกเราจะเสียชีวิตให้ หลวงปู่ฟัง
พอท่านฟังจบ ท่านบอกว่า กรรมใครกรรมมันนะ
อาตมาช่วยได้แค่คนที่พอจะมีบุญหนุนนำเท่านั้น

ไม่นานท่านก็ทำพิธีต่อดวงชะตาให้พวกเรา
ท่านให้เรานอนหงายแล้วก็เอาผ้ามาคลุมพวกเราทั้งตัว
สวดมนต์ท่องคาถาอยู่พักใหญ่
พอท่านเอาผ้าคลุมออก ผมลุกขึ้นมานั่ง  ท่านก็เรียกให้เข้าไปหาท่าน
แล้วหลวงปู่ก็เอาใบชะพลูพันเป็นเหมือนยาเส้น แล้วเอามาถือไว้ในมือ สามม้วน
บอกให้ผมหยิบเอาไปเคี้ยวที่ละอัน  ก่อนที่ผมจะหยิบ ท่านก็ท่องคาถาเป่าไปที่ใบชะพลู
แล้วก็บอกผม หยิบเอาไปกิน
ผมก็หยิบเอามาเคี้ยวกินแล้วก็กลืนจนหมด แล้วท่านก็ยื่นมาอีก
ท่องคาถาแล้วก็เป่าไปที่ม้วนใบชะพลู
สุดท้ายผมก็ เคี้ยวกินม้วนใบชะพลูจนหมดทั้งสามม้วน
แล้วผมก็ขยับให้รุ้งเข้าไปบ้าง
แต่หลวงปู่บอกว่า ผู้หญิงไม่ต้อง

หลังจากเสร็จพิธีต่อดวงชะตาแล้ว ผมกับรุ้งก็ลาท่านกลับ
ดูรุ้งเงียบๆ
ไม่นานรุ้งก็พูดขึ้น "แค่นี้เองหรือ"
ผมก็พูดกับรุ้งว่า "ยังไม่สบายใจหรือ"
รุ้งก็บอกว่า  "ถ้าง่ายขนาดนี้ วัดที่ไหนก็ทำได้หมดซิ แค่ สวดมนต์ต่อชะตาก็จบหรือ"
ผมก็เลยบอกว่า "อ้าวก็ท่านบอกแล้วไง มันอยู่ที่บุญวาสนาของแต่ละคนด้วย"

ผมกับรุ้งขับรถออกมาจากหมู่บ้านนั้น ก็เล่นเอาดึกพอสมควร
เพราะทางมันไม่ดี เป็นหลุมเป็นบ่อ
พอออกมาถึงถนนใหญ่ได้ ก็เกือบๆจะตีสองแล้ว
ขับมาได้พักหนึ่ง ผมรู้สึกง่วงมาก ก็เลยบอกรุ้งว่า เราแวะหาที่พักกันดีกว่า
รุ้งก็เห็นด้วย
พอแวะหาที่พักกันได้ เราก็รีบไปติดต่อสอบถามห้องพักกัน
กับพนักงานต้อนรับผู้หญิง ที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ด้านหน้า
พอเขาเห็นหน้าผมเขาก็ดูตกใจเล็กน้อย สงสัยจะเพราะแผลเหนือคิ้วที่เริ่มบวมปูด
พอจ่ายเงินมัดจำเสร็จ พนักงานยื่นกุญแจให้ ผมก็ถามว่า ห้องเตียงคู่หรือเปล่า
พนักงานก็ตอบว่า ห้องเตียงเดี่ยวค่ะ
ผมก็เลยบอกให้น้องเขาเปลี่ยนห้องเป็นห้องเตียงคู่ให้
พนักงานมองหน้าผมแปลกๆอีก ก่อนจะพูดว่า

งั้นเป็นห้องใหญ่นะค่ะ เตียงคู่

ผมก็พยักหน้า  ครับ
พอได้กุญแจแล้วพากันเดินจะไปขึ้นลิฟท์ ผมหันกลับไปมองพนักงานที่เคาน์เตอร์
เห็นพนักงานมองตามเราแบบแปลกๆ
คงไม่คิดว่าผมเป็นโจรนะ

พอถึงห้องพัก นั่งพักกันได้ไม่นาน โทรศัพท์ผมก็มีสายเข้า
พอรับสาย ปรากฏว่า เป็นเสียงปุ๋มดังอยู่ปลายสาย

เฮ้ย พวกแกไปไหนกันหมด ทิ้งฉันได้ไง

ผมดีใจมาก รีบหันไปบอกรุ้ง   "เฮ้ย.. ไอ้ปุ๋มยังไม่ตาย"
ผมรีบยื่นโทรศัพท์ไปให้รุ้งคุยกับปุ๋ม
คุยกันได้สักพักปุ๋มก็บอกว่า ให้เรารีบไปหาปุ๋มเร็วๆ
รุ้งก็บอกว่า  " เดี่ยวฉันไปแกไม่ต้องกลัว "

หลังผมอาบน้ำเสร็จ ออกมาจากห้องน้ำ  ก็ไม่เห็นรุ้งในห้อง
สงสัยจะลงไปซื้ออะไรหรือเปล่า
แต่ด้วยความง่วง
พอได้แอนกายนอนบนที่นอนนุ่มๆ ไม่นานผมก็เผลอหลับไป

ตื่นเช้ามา ไม่เห็นรุ้งอยู่ในห้องอีก  สงสัยจะลงไปหาอะไรกินก่อนเรา
เลยรีบอาบน้ำแต่งตัวลงไปทานข้าวเช้า
พอลงไปถึงตรงที่เขาจัดอาหารเช้าไว้ให้
ก็เห็นคนนั่งกินข้าวกันอยู่ ไม่ถึงสิบคน

พยายามมองหารุ้ง แต่ไม่เจอ
สงสัยจะไปเข้าห้องน้ำหรือเปล่า
ก็เลยเดินไปตักของกิน ที่ทางโรงแรมเตรียมไว้
ช่วงที่ กำลังนั่งทานข้าวอยู่ ก็นั่งดูทีวีแถวนั้นไปด้วย
นั่งทานข้าวไปได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงจากทีวีมาสะดุดเข้าที่หูผม


มาดูข่าวรถตู้ไฟไหม้กันบ้างคะ  คราวนี้เกิดขึ้นที่ต่างจังหวัด

พอได้ยินดังนั้น ผมก็รีบหันไปมองทีวี
แล้วก็นึกในใจ รถตู้คันเมื่อวาน ก็เป็นข่าวด้วยหรือวะ
พอตั้งใจฟังไปได้แป๊บหนึ่ง

มีผู้เสียชีวิตหนึ่งราย เป็นผู้หญิง..

เท่านั้นแหละผมรีบลุกเดินไปดูใกล้ๆทีวีทันที
เสียงคนอ่านข่าวผู้หญิงรายงานต่อ

ผู้เสียชีวิตคือคุณ รุ้งนภา นามสกุล.....
ก็ขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะ

เท่านั้นแหละ ผมนี่ ขำก๊าก ขึ้นมาเลย
เฮ้ย ... ข่าวมันมั่วได้ขนาดนี้เลยหรือวะ

แต่พอภาพตัดไปตรงผ้าห่อศพที่วางอยู่ข้างๆรถตู้ที่ไหม้
ก็เล่นเอาผม ต้องชะงักทันที

เฮ้ย.. ไม่จริง

แล้วผมก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้องพักทันที
เปิดประตูเข้าไปได้ก็รีบเรียกรุ้ง  รุ้ง  เสียงดังลั่นห้อง
พอไม่เห็นรุ้งผมก็รีบกลับลงมาที่ เคาน์เตอร์ด้านล่าง
เจอน้องพนักงานต้อนรับคนเมื่อคืนนั่งอยู่ ก็เลยถามน้องเขาว่า
น้องน้อง เห็นผู้หญิงที่มากับพี่เมื่อคืนไหม

น้องคนนั้นก็ตอบว่า

ไม่เห็นนิคะ  หนูก็ยัง งง อยู่เลย ว่าพี่มาคนเดียว แล้วทำไมพี่เลือกห้องเตียงคู่

พอน้องเขาตอบมาแบบนั้น
ผมก็นึกไปถึงตอนที่ พารุ้งขี่มอไซค์ไปที่อู่ทันที
ตอนที่ผมถามมอไซค์รับจ้างไปว่า ซ้อนสองได้ไหม มอไซค์รับจ้างทำหน้า งงๆ
มองซ้ายมองขวา แล้วก็พยักหน้า ได้ได้  เหมือนพูดส่งๆไป
แล้วพอไปถึงอู่ซ่อมรถ ตอนที่พนักงานเอาน้ำมาเสิร์ฟทำไมเขาถึงเอามาเสิร์ฟเราแก้วเดียว
ทั้งๆที่ผมนั่งอยู่กับรุ้ง

พอนึกขึ้นมาได้ ผมก็รีบ เอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู
เบอร์ล่าสุดที่ปุ๋มโทรมาเมื่อคืน  คือ เบอร์อะไร
ผมปัดหน้าจอมือถือ รีบดูเบอร์แรกทันที ปรากฏว่าเป็นเบอร์ที่ไม่โชว์เบอร์
ผมก็เลยเลื่อนลงไปดูอีกเบอร์ ที่เป็นเบอร์ที่รุ้งโทรไปโรงพยาบาล
ปรากฏว่าไม่มีเบอร์โรงพยาบาล

เฮ้ย.. อะไรกันนี่
ตอนนั้นมือไม้ผมสั่นไปหมด
รีบบอกให้น้องพนักงานต้อนรับช่วยหาเบอร์ โรงพยาบาลนั้นให้หน่อย
ไม่นานน้องเขาก็จดเบอร์โรงพยาบาลนั้นมาให้ผม
พอได้เบอร์ผมก็รีบโทรไปที่โรงพยาบาลนั้นทันที
พอมีคนรับสาย ผมก็รีบถามทันที ว่า เมื่อวานมีผู้หญิงคนหนึ่งถูกยิงที่ท้อง
ตอนนี้ อาการเป็นยังไงบ้าง
เขาก็บอกให้ผมรอ เดี่ยวจะติดต่อกับอีกแผนกให้
รออยู่พักหนึ่ง  ตอนนั้นผมได้แต่ถือโทรศัพท์แนบหูเดินไปเดินมา อย่างกระวนกระวาย
แล้วสักพัก ปลายสายก็พูดขึ้นว่า
คุณเป็นอะไรกับผู้ป่วยคะ
ผมก็ตอบว่า เป็นญาติ ครับ
แล้วเสียงผู้หญิงคนนั้นก็ตอบว่า
ค่ะ  เสียใจด้วยนะคะ น้องเขาเสียชีวิตแล้วค่ะ

เท่านั้นแหละ ผมนี่แทบจะ ร้องโฮ  ออกมาดังๆเลย

แต่พอตั้งสติได้ ผมก็รีบไปที่รถ
พยายามคิดว่า เมื่อคืนเราฝัน หรือว่าตอนนี้เราฝันกันแน่
ตอนนี้สมองผมว่างเปล่ามาก คิดอะไรไม่ออก
ที่นึกออกได้ ตอนนี้ก็คือ หลวงปู่
หลวงปู่ ท่านก็เห็นรุ้งเมื่อคืนใช่ไหม

ผมรีบขับรถกลับไปวัดที่ผมไปกับรุ้งทันที
ขับรถไป น้ำตาผมก็ไหลออกมาตลอดทาง
แล้วอยู่ๆ ผมก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้ขึ้นมา
เป็นกลิ่นเหมือนเส้นผมคนโดนไฟไหม้
เท่านั้นแหละผมก็ปล่อยโฮ ออกมา

รุ้ง แกอยู่ตรงนี้ใช่ไหม  ทำไมแกไม่บอกวะ  ว่าแกจะไป

แล้วผมก็พูดอะไรออกมา น้ำตานองหน้า ไม่เป็นภาษา
ด้วยความอัดอั้นตันใจ


พอไปถึงวัด ก็รีบเดินไปหากุฏิที่ผมกับรุ้งมากันเมื่อคืน
พอขึ้นไปบนกุฏิ ผมก็รีบเรียก หลวงปู่ หลวงปู่
ผมยืนมองไปที่ประตู เห็นประตูปิดไม่สนิทอยู่
ก็เลย เรียกหลวงปู่อีกครั้ง  แต่ก็เงียบ
ผมก็เลยเดินไปดึงประตู เปิดเข้าไปดูข้างใน
ปรากฏว่า  มันเป็นห้องเปล่าๆครับ
ไม่มีข้าวของเครื่องใช้ เหมือนอย่างที่เห็นเมื่อคืน
ผมตกใจมาก
เฮ้ย... อะไรกันนี่
ผมรีบเดินลงมาจากกุฏิ แล้วก็เห็น หลวงพี่กับเณร
ยืนมองมาจากทางโบสถ์
หลวงพี่ก็ถามผมทันทีว่า มาหาใครหรือโยม
ผมก็เลยเดินเข้าไปถามหลวงพี่ว่า
พระที่เคยชื่อตายืน ที่อยู่ตรงกุฏิตรงนั้น ท่านไปไหนแล้วครับ
หลวงพี่ ก็หันมาตอบว่า
อ๋อ.. เจ้าอาวาส องค์ก่อน หรือ
ท่านมรณภาพไปหลายปีแล้วโยม
กุฏิตรงนั้นไม่มีใครอยู่นานแล้ว

จบ บริบูรณ์

เรื่องจากพันทิป สาร จาก มัจจุราช
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 3062905

ไม่มีความคิดเห็น