ตัวตายตัวแทน


     "ตัวตายตัวแทน" เรื่องราวสุดเฮี้ยนที่สมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735 ได้นำมาเล่าให้ฟัง จากดูชื่อเรื่องแล้วน่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่นอน เราไปติดตามรับชมกันว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร ขอขอบคุณสมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735 สำหรับเรื่องหลอนๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย

เรื่องราวครั้งนี้มันเกิดขึ้น  จากที่ผมไปรับญาติคนหนึ่งที่ต่างจังหวัด
ญาติผมคนนี้ เป็นลูกน้า อายุอ่อนกว่าผมปีสองปี เราโตมาด้วยกัน เล่นหัวกันมาตั้งแต่เด็กๆ
ครั้งนี้ น้าขายรถให้กับคนรู้จักคนหนึ่ง เลยให้ ลูกชายน้าขับรถคันที่ขายไปส่ง ให้กับผู้ซื้อที่ต่างจังหวัด
ผมเลยดันต้องขับรถไปรับลูกน้าคนนี้กลับมา หลังจากที่ขับรถไปส่งแล้ว

ผมขับรถไปถึงต่างจังหวัด ตามที่นัดกันไว้กับลูกน้า  ก็ราวๆ หัวค่ำ เกือบจะสองทุ่มแล้ว
เจ้าของบ้านคนที่ซื้อรถ เขาก็เลยชวน ให้ค้างที่บ้านก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยขับรถกลับกัน
ผมกับลูกน้าก็เลยได้นอนค้างกันที่บ้านคนรู้จัก คนนั้น หนึ่งคืน

พอตกลงว่าจะค้างคืนที่บ้านคนรู้จักคนนั้น เขาก็บอกว่า จะพาไปเดินตลาดนัด กลางคืน
มีของกินของขายเยอะ
พวกเราก็เลยพากันไป ตลาดนัดกลางคืน กับญาติๆของคนรู้จัก อีกสามถึงสี่คน

พอไปถึงตลาด ก็แวะหาของกิน ซื้อโน่นซื้อนี่ กันตามอัธยาศัย
จนเกือบๆ สี่ทุ่มก็ถึงชวนกันกลับ

พอมาถึงบ้าน ไม่รู้ว่าผมไปกินอะไร มา แล้วมันแพ้
อาการ แสบๆคันๆ ตามมือเท้า แล้วก็ ตรงต้นขา
ตอนแรกก็ไม่คันมาก คิดว่าไม่เป็นไร ก็เลยอาบน้ำเข้านอนเลย
จนดึกๆ นอนยังไง ก็นอนไม่หลับ รู้สึกมือแสบ เท้าแสบ แล้วก็คันรุนแรงมากขึ้น
ผมก็เลยลุกขึ้นมาเปิดไฟดู
ปรากฏว่า มือเท้าผมบวมแดง แล้วก็เป็นผื่นขึ้นเต็มไปหมด
เห็นแล้วตกใจเลย

เลยรีบปลุกลูกน้าขึ้นมาดู
พอลูกน้าตื่นมาดู เขาก็บอกว่า เฮ้ยแพ้อะไรหรือเปล่า ทำไมมันบวมแดงแบบนั้น
ผมก็ถามว่ามียาแก้แพ้อะไรติดตัวมาไหม
เขาก็อบกว่าไม่มี
ก็เลย เดินไปปลุกลุงเจ้าของบ้าน
พอลุงเจ้าของบ้านตื่นมาเห็น เขาก็เลยหายาแก้แพ้มาให้กิน

ผมกินยาเสร็จ ผมคิดว่าเดี๋ยวมันก็หาย ก็เลยเข้านอนต่อ
แต่มันก็ไม่ทุเลาเลย ผมนอนกระสับกระสายไปมา คันตามมือตามเท้า ตามเนื้อตามตัวไปหมด
เกาจน ผิวหนังมันเป็นเหมือน ผิวไม่เรียบ เป็นตุ่มๆขรุขระขึ้นมาเต็มไปหมด

สุดท้ายนอนไม่ได้ต้องลุกขึ้นมานั่ง ลูกน้าก็เลยตื่นมาเปิดไฟ ดูอาการผม
พอเขาเห็นแล้ว เขาก็ถามว่าไหวไหม
ตอนนั้นตีหนึ่งกว่าแล้ว ใจอยากจะรอให้ถึงเช้าค่อยไปหาหมอ แต่มันทนไม่ไหวจริงๆ
ก็เลย บอกลูกน้าว่า ไปโรงบาลดีกว่า ไม่ไหวแล้ว

พอพวกเราพากันจะเปิดประตูบ้านไปที่รถผม
ลุงเจ้าของบ้านกับลูกแกก็ตื่น เดินลงมาดูพวกเรา
แกก็ถามว่า เป็นอะไร

ลูกน้าก็เลยบอกว่า จะพาไปส่งโรงพยาบาล เพราะดูท่าทางจะแพ้หนักแล้ว
ลุง ก็เลยบอกว่า นี่ไปโรงบาลตรงนี้ซิ ไม่ไกล อยู่ตรงเส้น เลี่ยงเมือง

ตอนนั้น ผมเริ่มรู้สึกแสบตามเนื้อตามตัวไปหมด ใจเต้นแรง
ลูกน้ามาประคองผมขึ้นรถ ลูกลุงรีบไปเปิดรั้วบ้านให้

ไม่นานลูกน้าก็ขับรถ พาผมมุ่งหน้าไปส่งที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
ขับมาได้สัก พักใหญ่
ผมถามว่าถึงหรือยัง
ลูกน้าก็บอกว่า ตรงไหนวะ ยังไม่เห็นป้ายโรงพยาบาลอะไรเลย
ผมก็เลยบอกว่า เห็นคลีนิค ก็แวะคลีนิคก็ได้

ขับมาเรื่อยๆ ผมนั่งหลับตา ไม่ได้มองถนนหนทาง
แล้วรถก็ค่อยๆชะลอเหมือนจะเลี้ยวเข้าข้างทาง
ผมลืมตามองดู เห็นลูกน้า พาขับเข้าไป ผ่านประตูรั้ว โรงพยาบาล

พอเห็นโรงพยาบาลตอนนั้น เริ่มใจชื้นขึ้นมาหน่อย อาการคัน อาการแสบเริ่มทุเลาลง

แต่พอขับเข้าไปในรั้วโรงพยาบาลได้ไม่นาน ลูกน้าก็พาขับวนไปวนมา หาที่จอดรถ
จนสุดท้ายมาจอดอยู่ในมุม มุมหนึ่ง ที่มืดๆ

ผมก็ถามว่า เฮ้ย ไม่ไปจอด ตรงหน้าโรงบาลเลย โน้นตึกโน้น
ลูกน้าก็ตอบว่า มันเอาอะไรมากั้น ไม่ให้เข้าอะ ดูซิ มีเชือกกั้นเต็มไปหมด


ผมกับลูกน้าก็เลยพากันลงจากรถ
ตรงที่เรายืนอยู่ เป็นลานจอดรถ แต่มีป้ายห้าม มีเชือกกั้นไม่ให้ขับเข้าไปต่อ เหมือนจะบอกว่า เป็นจุดสิ้นสุดถนน
ก็เลยต้องจอดตรงนั้นแล้วลงเดิน

รอบๆข้างมีไฟส่องลานจอดไม่กี่ดวง ทำให้ดูสลัวสลัว
มองไปไกลๆ ราวๆร้อยสองร้อยเมตร เห็นตึกโรงพยาบาลตึกหนึ่งเปิดไฟสว่าง
เหมือนอยู่ด้านหลังตึกที่เรายึนอยู่
ตรงนั้นน่าจะเป็นอาคารใหญ่ของโรงพยาบาล

ตรงที่เราจอดรถ เป็นตึก มืดๆ เหมือนเขา ปิดทำการแล้ว
เราก็เลยพากันเดินลัดไปตามตัวตึกที่มืดๆ เพื่อจะไปตึกที่สว่างๆ

เราเดินไปตามระเบียงของอาคาร ที่มีไฟเปิดอยู่สลัวสลัว
คิดว่าเดินทะลุอาคารนี้ไป ก็น่าจะไปเจอ อาคารที่เปิดไฟสว่างสว่างนั้นแล้ว
แต่พอเดินไปได้สักพัก มองเห็นอยู่ในระยะสายตา เหมือนกับว่า
มีกำแพงกั้นไม่ให้เดินผ่านไป

ผมก็มองหน้า ลูกน้า แล้วก็บอกว่า "ทางตัน สงสัยต้องย้อนกลับไป ที่จอดแล้วอ้อมไปอีกทาง"
แม้จะมองเห็นลิบๆว่าเป็นกำแพง แต่เราก็ยังเดินต่อไปไม่หยุด
จนไปใกล้จะถึงผนังนั้น ก็เห็นป้ายติดอยู่ที่ผนังว่า ฉุกเฉินแล้วก็มีลูกศรชี้ไปในตึก
พอเราเดินไปถึงตรงนั้น มองไปตามลูกศร ก็เห็นเป็นช่องทางเดิน เดินเข้าไปในอาคาร
มีไฟเปิดอยู่สลัวสลัว ตามข้างในทางเดินนั้น
ผมมองไป เห็นเตียงรถเข็น จอดอยู่ตรงโคมไฟที่ส่องอยู่สลัวสลัว
ลูกน้าก็เลยพูดว่า " มา เฮีย  เฮียขึ้นไปนอนเลย เดี่ยวผมเข็นเอง "

ตอนนั้นผมรู้สึกหายใจแรง เหนื่อย แล้วก็แสบไปตามเนื้อตามตัว
อยากจะเจอหมอเร็วๆ  ก็เลยคิดในใจว่า ดีเหมือนกัน  ไม่ต้องเดิน

คิดแล้ว ผมก็เลยเดินตรงไปที่เตียงเข็น แล้วก็ขึ้นไปนอนบนเตียง
ลูกน้าก็เดินตามมา แล้วก็จับที่เตียงรถเข็นนั้นไว้

พอขึ้นไปนอนบนรถเข็นได้ ลูกน้าก็เข็นเตียงไปตามทางเดินทันที
ตอนนั้น ผมได้แต่มองดูเพดาน  เห็นโคมไฟสลัวสลัว สลับไปกับฝ้าสีขาวขุ่นๆ ดำๆมอซอ

ลูกน้าเข็นผมผ่านประตูเข้าไป ตามป้ายที่ชี้ว่า ฉุกเฉิน
พอผ่านประตูเข้าไป ก็มีช่องทางเดินไปอีก
มีไฟเปิดอยู่ สองสามจุด เป็นระย ระยะ
ผมมองไปทางปลายเท้า
เห็นข้างหน้าเป็นทางบังคับเลี้ยว ขวา
พอเลี้ยวขวา ก็เจอโถงลิฟท์  แต่ไฟหน้าโถงลิฟท์ไม่ติด
ทำให้บริเวณนั้นมืดพอสมควร
พอผ่านโถงลิฟท์ไปก็เจอประตูห้อง ห้องหนึ่ง  มีป้ายเขียนว่าแผนกสูติ
แต่ตรงหน้าแผนกนั้นมืดมาก ไม่ได้เปิดไฟ
ประตูห้องไม่ได้ปิดไว้ ผมมองเข้าไปในห้องแผนกสูติ
มันมืดมากๆ ไม่มีใครอยู่ข้างในเลย
ในใจก็คิดว่า ทำไมบรรยากาศมันวังเวงอย่างนี้นะ

ผ่านจากตรงนั้นมาไม่นาน ผมมองไปทางซ้ายมือผม
ก็มาโผล่ แถวๆ ห้องโถงใหญ่
เหมือนแผนก จ่ายยา หรือ รอคิวอะไรสักอย่าง
มีเก้าอี้ยาวๆ วางเรียงกันอยู่หลายสิบตัว เป็นทางยาว
แต่โถงตรงนั้น ปิดไฟมืดหมด
มีแต่ไฟตรงทางเดินข้างๆที่เราผ่าน เท่านั้นที่เปิดอยู่
เลยทำให้พอมองเห็น บรรยากาศตรงนั้น
ตอนที่ปิดทำการ ว่าเงียบเหงาขนาดไหน


ลูกน้าเข็นเตียงผมไปตามทางเดินช้าๆ
จนไปหยุดอยู่ตรงแถวๆ ห้องฉุกเฉิน
ในห้องมีไฟเปิดสว่าง   ลูกน้าเดินเข้าไปดูในห้องฉุกเฉินที่เปิดอยู่
แล้วก็เดินกลับออกมา

ลูกน้าหันมาพูดกับผม
"ไปไหนกันหมดวะ "

ผมก็เลยถามว่า มีอะไร
ลูกน้าก็บอกว่า
"ไม่มีคนอยู่น่ะ ส่งสัยเรามากันดึกไป"
"งั้นเดี่ยวเฮียรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ ผมเดินไปถามเขาดูก่อนว่าต้องติดต่ออะไรยังไง"

ลูกน้าเดินย้อนกลับไปตามทางเดินที่เราผ่านมา
ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป แล้วก็เงียบไปในที่สุด

ผมนอนหลับตารอลูกน้า อยู่พักหนึ่ง ก็ได้ยินเหมือนมีเสียงคนคุยกัน
ดังขึ้น ก็เลยผงกหัวมองไป ทางห้องฉุกเฉิน
ที่มุมห้องโถงตรงนั้นไกลๆ เหมือนมีคนอยู่ตรงนั้น กำลังคุยอะไรกันอยู่
ผมไม่ได้ใส่ใจอะไร ก็เลยนอนรอต่อ
สักพักเสียงนั้นก็เงียบไป

ผมนอนรออยู่อย่างนั้นนานพอสมควร จนเริ่มรู้สึกได้ว่ามันนานเกินไปแล้ว
ได้แต่นึกในใจ มันหายไปไหนวะ นานจัง

แล้วอยู่ๆ ก็เหมือนมีคนมาเข็นเตียงผมให้ขยับ
ผมตกใจ รีบชำเรืองมองไปทางคนเข็นเตียง
เห็นเป็น พยาบาลคนหนึ่งมาเข็นรถเตียงผม
พอเห็นว่าเป็นชุดพยาบาล ผมก็ไม่ทันได้มองดูหน้าตาเขา
ก็เลยหันกลับมานอนหงาย ให้พยาบาลเข็นเตียงผมไป

พอเข้ามาในห้องฉุกเฉิน ยังไม่ทันถามอะไร
พยาบาลคนนั้นก็เดินกลับออกไปเลย

ผมละ งง มาก
"อ้าวนี่ไม่คิดจะถามไถ่อะไรกันบ้างเลยหรือ"

หลังจากโดนทิ้งให้นอนรออยู่ในห้องฉุกเฉิน
มองสภาพห้องก็เป็นห้องในโรงพยาบาลทั่วไป
มีเก้าอี้พับที่กางแล้ว วางอยู่ข้างๆกำแพงสี่ห้าตัว
มีเตียงสองเตียง และก็โต๊ะที่มีเครื่องไม้เครื่องมือแพทย์วางอยู่บนโต๊ะ

พอเริ่มหลับตา ว่าจะนอนพักสายตารอสักหน่อย
ก็เริ่มได้ยินเสียงคนเดินไปมาข้างนอกห้อง
ทั้งเสียงฝีเท้าพยาบาล ทั้งเสียงเดินลากเท้าแบบใส่รองเท้าแตะ ของคนไข้

ในใจผมก็เริ่มนึกว่า อืม เริ่มคึกคักแล้ว คนเริ่มมาแล้ว ไม่วังเวงแล้วเรา

สักพักก็ได้ยินเสียงดัง แก๊ก แก๊ก  เหมือนกำลังเดินผ่านประตู
ผมก็เลย พยุงตัวขึ้น หันหลังไปมอง
แล้วก็เจอ ลุงแก่ๆคนหนึ่ง แกเดินด้วย ที่ค้ำเดินของคนแก่
ที่มันมีสี่ขา เวลาเดินเลยทำให้มีเสียงดัง แก๊ก แก๊ก
พอลุงเห็นผมหันมามอง แกก็เหมือนชะโงกหน้ามาดูผม ตรงประตู
สักพัก แกก็เดินต่อไป

ผมนอนรอหมอ มองโน่นมองนี่ไปมาในห้อง
แล้วก็ไปเจอนาฬิกาแขวน ติดอยู่ที่ผนัง บอกเวลา อีกห้านาทีจะเที่ยงคืน
ผมก็เลยมองดูนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง ปรากฏว่า ตีสองกว่าแล้ว
"อ้าว นาฬิกาไม่ตรงนี่หว่า"
นึกในใจ

ผมหลับตา นอนรอลูกน้าอยู่สักพัก ลืมตามาดูนาฬิกาที่มันแขวนอยู่ผนัง
อีกไม่กี่วินาที เข็มยาวก็จะทับเข็มสั้น บอกถึงเวลา เที่ยงคืนตรง

พอเข็มนาฬิกาทับกันสนิท
อยู่ๆไฟก็ดับพลึบลง
ผมตกใจมาก  รีบหันไปมองรอบตัว ปรากฏว่ามันมืดสนิทมองไม่เห็นอะไรเลย

ผมร้องถาม
คุณพยาบาล คุณพยาบาลยังอยู่ไหม

แต่ก็เงียบ ไม่มีเสียงตอบกลับมา
นึกในใจ "หรือว่า ไฟฟ้ามันดับวะ  เดี่ยวก็คงมามั้ง"

ผมก็เลยนอนรอต่อ พอสักพักสายตามันเริ่มปรับแสงในที่มืดได้
ผมก็มองไปรอบๆห้อง เห็นสภาพห้องสลัวสลัว
แล้วก็เจอร่างคนเป็นชายแก่ๆ นั่งอยู่ตรงเก้าอี้พับตัวที่ใกล้ผมที่สุด
ผมตกใจ เย็นสันหลังวาบขึ้นมาทันที
กวาดสายตามองไปอีกก็เจอ เหมือนเป็นคนแก่ๆ
นั่งเรียงกันไปตามเก้าอี้พับ มองมาที่ผมเป็นตาเดียวกัน

ขนหัวผมลุกตั้ง ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
รีบลุกจากเตียง วิ่งออกมานอกห้อง

พอออกมาจากห้องได้ มองไปตรงไหนก็มืดไปหมด
เห็นเพียงแสงไฟรางๆตรงหน้าโถงลิฟท์ ไกลๆ
ผมรีบวิ่งไปทางแสงไฟที่เปิดอยู่
พอใกล้ๆถึง หน้าโถงลิฟท์ เห็น เหมือนคนนั่งรถเข็น
กำลังรอลิฟท์อยู่

มองไปเห็นแสงไฟออกมาจากลิฟท์ที่กำลังเปิดประตู

ผมก็เลยรีบตะโกนไปว่า รอผมด้วยครับ รอผมด้วย

ผมรีบวิ่งไปถึงตรงหน้าลิฟท์ เห็นคนที่นั่งรถเข็น เข็นรถเข้าไปในลิฟท์
ผมก็รีบจะตามเขาเข้าไป

ปรากฏว่า อยู่ๆมีลมพัดมาปะทะหน้าผมอย่างแรง
จนผมต้องผงะถอยหลัง

แล้วมองดูลิฟท์อีกทีปรากฏว่า มันเป็นช่องลิฟท์ที่ไม่มีประตูครับ
ผมชะโงกหน้ามองเข้าไปในลิฟท์อีกทีให้แน่ใจ
มันเป็นบ่อลิฟท์ร้าง ไม่มี ตัวลิฟท์

คุณพระช่วย อะไรกันนี่ พอมีสติได้
ผมหันกลับไปมอง ทางห้องโถงแผนกจ่ายยา
มันมืดสนิทเลยครับ ไม่มีไฟสักดวงเลย
แล้วก็เห็นคล้ายๆ เงาหัวคนยืนเรียงราย มองมาที่ผมเต็มไปหมด
เท่านั้นแหละผมได้แต่ เข่าทรุด จนไม่กล้าขยับไปไหน
ได้แต้ร้องออกมาจนสุดเสียง

ช่วยด้วย...

ผมร้องโหวกเหวกโวยวายไม่เป็นภาษา
เสียงผมก้องสะท้อนกลับไปกลับมาทั่วบริเวณนั้น
พอได้ยินเสียงตัวเองสะท้อนก้องกลับมา
ก็ยิ่งทำให้ขนหัวลุกไปใหญ่ เพราะมันบอกถึงว่าผมอยู่คนเดียวในบริเวณนั้น

ผมวิ่งหนีออกมาจากตรงโถงลิฟท์ ผ่านไปตามทางที่ผมถูกเข็นเข้ามา
ตอนนั้นตามทางเดินมืดสนิทไม่มีแสงไฟอะไรเลย
จนใจผม ก็กลัวว่าจะวิ่งหลงทาง จะแย่ไปใหญ่ จึงต้องเพ่งทางเดินให้ดีๆ
และพยายามนึกว่าผมถูกเข็นมาจากทางไหน

พอวิ่งตรงออกมาไม่นาน ก็เจอ ประตูที่เราเข้ามา แง้มอยู่
มีแสงสว่าง ลอดเข้ามาตรงประตูที่แง้มนั้น
ผมรู้สึกดีใจ พอได้เห็นแสงสว่างสลัวสลัว  ก็รีบวิ่งไปที่ประตู
ขณะเดียวกันก็รู้สึก เย็นสันหลังวาบๆ ขนลุกไปหมด
แทบไม่อยากจะหันหลังไปมองเลย ว่าอะไรตามหลังเรามา

พอไปถึงประตูผมรีบผลักประตู แล้ววิ่งออกมา
มองไปข้างหน้า เจอไฟสลัวสลัว ตรงที่เตียงเข็น จอดอยู่ตอนแรก
ผมรีบเดินตรงไป ตรงที่มีแสงสว่างนั้น
นั่งลงหลังพิงผนัง กอดเข่าตัวเอง มองซ้ายมองขวา
ได้ยินแต่หัวใจตัวเองเต้นแรง ตุ๊บๆ ตุ๊บๆ

พอหายเหนื่อย ผมก็ ร้องตะโกน เรียกชื่อ ลูกน้า
แล้วก็ ร้องถามว่า "เฮ้ย..  อยู่ไหนวะ  ได้ยินไหม "
ร้องเรียกอยู่ พักหนึ่ง แต่ก็เงียบไม่มีเสียงตอบกลับมา

ผมนั่งมองซ้ายมองขวาไปมา เงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง
ก็ตัดสินใจตะโกนเรียกชื่อลูกน้าอีก
เสียงผมก้องไปทั่วบริเวณ นั้น
แล้วเสียงลูกน้าก็ ก้องสะท้อนกลับออกมา

เฮีย  เฮียอยู่ไหน

พอได้ยิน ผมก็ ร้องตอบไป ว่า " อยู่นี่ อยู่ นี่ "
แล้วก็มองไปตรง ประตูที่เขียนว่าทางเข้า ห้องฉุกเฉิน  ที่ผมวิ่งออกมา

ได้ยินเหมือนเสียงคนเดินมา ดังมาจากบริเวณนั้น
ผมจ้องมองไปที่ประตูนั้น ในใจก็คิดว่า อย่าบอกนะว่ามาจากทางนั้น

ผมนั่งลุ้น มองไปตรงนั้น จนตัวเกร็งไปหมด
แล้วไม่นาน อยู่ๆ ลูกน้า ก็โผล่ออกมาจาก ซอกตรงข้ามกับประตูที่ผมจ้อง

อ้าว.. ผมแปลกใจ ทำไม มันออกมาจากตรงนั้น
มองไปอีกที ก็เห็น มีผู้ชายคนหนึ่งเดินตามมาด้วย

ทั้งสองกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาผม

เฮีย เป็นอะไร เป็นอะไร
ลูกน้ารีบถาม พอเดินเข้ามาใกล้ๆผม

ผมก็เลยสังเกตตัวเอง พบว่า
ตัวผมมีอาการสั่น มือข้างหนึ่งเกร็งซุกไว้อยู่กับ อก ตลอดเวลา
มืออีกข้างหนึ่งสั่นๆไม่หยุด  ขาไม่มีแรงลุกขึ้นยืน

เสียงผู้ชายที่ตามมา ถามลูกน้า ว่า  เป็นอะไร
ลูกน้าก็ตอบไปว่า " แพ้อาหาร ไม่รู้ไปกินอะไรมา "

ไม่นาน ลูกน้า กับ ชายคนนั้นก็ช่วยกันประคองแขนผมสองข้าง หิ้วปีก
พาผมเดินไปตามทาง ที่เขาเข้ามากัน

ผมถามลูกน้าว่า  ทำไมช้าจังวะ ไปไหนมา
ลูกน้าก็เล่าให้ฟังระหว่างทาง ที่พาผมเดินไป
ว่า  เขาเดินย้อนกลับออกมาตรงหน้าตึก ที่เราจอดรถไว้ กะว่าจะมาดูว่ามี รปภ ไหม
แต่ก็ไม่เห็นใคร ก็เลยเดินอ้อมไปอีกทางหนึ่ง จนไปถึงตึกใหญ่ ด้านหลัง
ก็ไปเจอน้า รปภ นี่แหละ เลยวานเขามาช่วยรับตัวผม
แล้ว รปภ เขาก็พามาทางลัด ทะลุมาตึกด้านหลังนี้ ตรงที่ผมเห็นเขาโผล่กันออกมา

แล้วน้า รปภ ก็เล่าให้ฟังว่า ตึกที่เราไปจอดรถอยู่นั้น เป็นตึกเก่า  ทางโรงพยาบาล
เขาย้ายมาอยู่ตึกใหม่กันได้หลายปีแล้ว ตึกนั้นก็เลยถูกทิ้งร้างไว้ ไม่ได้ทำอะไร
เมื่อก่อนมันจะมีทางเดินลัดจากตึกใหม่มาทะลุตึกเก่าได้ ตรงประตูที่ รปภ พาผ่านมานั้นแหละ
ตอนหลังมีปัญหาเยอะ ผอ เลยสั่งให้ใส่กุญแจล๊อคไว้  ไม่ให้คนผ่านอีก

ผมถูกนำตัวมาส่งที่ห้องฉุกเฉิน รปภ และลูกน้า ช่วยกันพยุงผมขึ้นไปนอนที่เตียง
มีพยาบาลเดินมาดู แล้วก็ถามว่า ผู้ป่วยเป็นอะไรมาคะ
ได้ยินเสียงลูกน้าตอบไปว่าแพ้อาหาร คันตามตัว มือเท้าปวม
แล้วก็ได้ยินเสียงลูกน้า เหมือนหันไปคุยกับ รปภว่า ขอบคุณมากครับ
แล้วก็ได้ยินเหมือนเสียง รปภ เดินกลับออกไป

ผมนอนหลับตาอยู่ที่เตียง สักพัก
ก็เหมือนมีคนมายืนอยู่ข้างๆ
พอลืมตา ก็เห็นหมอผู้ชาย กับพยาบาลยืนอยู่ข้างๆเตียง
หมอถามว่า " แพ้อะไรมา "
ผมก็บอกว่า "ไม่รู้เหมือนกันครับ กินไปหลายอย่างเลย"
หมอก็ถามว่า "ลุกขึ้นนั่งไหวไหม"
ผมก็บอกว่า  "ไหวครับ"
ผมก็เลยลุกขึ้นมานั่งที่เตียง
หมอกับพยาบาลก็เดินมาดู ผื่นแพ้ที่เท้าผม

ผมเองก็พึ่งได้มองสภาพตัวเองตอนมีแสงไฟสว่างสว่างตอนนี้เอง

ตกใจมาก

เท้าผมมีฝุ่นดำจับเต็บไปหมด อย่างกะคนไปนอนคลุกฝุ่นมา
ผมเห็นแล้ว ยังตกใจตัวเองเลย สภาพเหมือนคนเร่ร่อนไม่ได้อาบน้ำสักสามสี่เดือน

พยาบาลเห็นก็ตกใจ "ไปคลุกอะไรมาค่ะนี่ มอมแมมหมดเลย"
ผมดูที่มือที่แขนผม ฝุ่นดำๆ เทาๆ เกาะเต็มแขนไปหมด
รู้สึกอายพยาบาลมากๆเลยตอนนั้น

แต่อาการตัวสั่นกับมือสั่นข้างหนึ่งก็ยังไม่หาย
จนหมอสังเกตเห็น ก็เลยถามว่า "สั่นแบบนี้ตั้งแต่ตอนมีอาการแพ้เลยหรือ"
ผมก็บอกว่า "เปล่าครับ พึ่งมาเป็นตอนมาถึงโรงพยาบาลนี่แหละครับ"

หมอเขียนสั่งยาให้ผมอยู่พักหนึ่ง แล้วก็พูดกับผมว่า

"เดี่ยวหมอฉีดยาให้ แล้วก็นอนรอดูอาการสัก สองชั่วโมงนะ ค่อยกลับบ้าน"
ว่าแล้ว หมอก็เดินออกไป

สักพัก ก็มีพยาบาลเดินเข้ามา แล้วก็มาฉีดยาให้ที่ก้น

แล้วก็บอกให้ผมนอนพัก
ตอนนั้นผมรู้สึกหิวน้ำมาก ก็เลย ขอน้ำกิน กับพยาบาล
พยาบาลไปเอาน้ำมาให้ผมดื่ม
พออ้าปากจะดื่มน้ำ รู้สึกเจ็บตรงกรามข้างซ้ายมาก
ก็เลยถามพยาบาลไปว่า ทำไมอยู่ๆรู้สึก เจ็บตรงกรามครับ
กลืนน้ำก็เจ็บ

พยาบาลก็เลย เดินมาอยู่ตรงหน้าผม แล้วก็ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง
แล้วก็ตั้งนิ้วชี้ขึ้น พร้อมกับพูดว่า "มองตามนิ้วชี้นี่นะคะ"
แล้วพยาบาลก็ เลื่อนนิ้วไปขวาไปซ้าย ช้าๆ
ผมก็มองตามส่ายหน้าไปทางขวาได้
แต่พอจะส่ายกลับมาทางซ้าย เหมือนคอมันเกร็งครับ ปวดมาก
ก็เลยบอกพยาบาลไปว่า มันปวดครับเวลาหันไปทางซ้าย
พยาบาลก็เลยบอกว่า
"งั้นน่าจะเป็นเพราะคนไข้อาจจะมีอาการเครียดสะสมด้วยอะคะ เลยทำให้ปวดบริเวณกราม ลำคอ "
"นอนพัก ทำใจให้สบาย ไม่ต้องวิตกกังวลมาก เดี๋ยวอาการนั้นก็ค่อยๆหายไปเอง"
แล้วพยาบาลก็เดินออกจากห้องไป

ผมก็เลยรีบพูดกับพยาบาลขึ้นว่า อย่าพึ่งไปได้ไหมครับ ขอถามอะไรหน่อย
พยาบาลเดินกลับมามอง " มีอะไรหรือเปล่าคะ "
ผมพึ่งสังเกตเห็นหน้า พยาบาล ชัดๆ ดูมีอายุพอสมควรแล้ว
พอมองหน้าพยาบาลเสร็จ ผมก็ถาม คำถามตรงๆกับพยาบาลว่า
"ที่นี่มีผีไหมครับ "
พยาบาลยิ้มอ่อนๆ แล้วก็บอกว่า  "ไม่มีหรอกคะ ฉันอยู่ที่นี่มานานแล้ว รับรองได้"

พยาบาล หายออกไปพักหนึ่ง  แล้วก็กลับเข้ามาอีก
พร้อมกับอุปกรณ์ทำความสะอาด
พอเริ่มเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตามแขนผม
พยาบาลก็ถามว่า "นี่ไปคลุกฝุ่นที่ไหนมาคะ"
ผมก็เลยตอบไปว่า " อ๋อ สงสัย ฝุ่นที่เตียงเข็น ที่ผมขึ้นไปนอนมา มั้ง"
พยาบาล มองหน้าผม แล้วก็ถามว่า "เตียงเข็นที่ไหนคะ"
ผมก็บอกว่า "ที่ตึกเก่า ด้านหลังอะครับ"

เท่านั้นแหละ พยาบาลร้อง ว๊าย..!
แล้วก็ทำอ่างสแตนเลส ที่ถืออยู่ ร่วงมือ ตกพื้น ดัง เพล้ง

พยาบาลรีบก้มลงไปเก็บอ่างสแตนเลสที่พื้น แล้วก็ บอกว่า "โทษทีคะ"
แล้วก็เอาผ้ามาเช็ดแขนผมต่อ

ผมก็เลยถามว่า "แล้วคุณพยาบาล รู้จัก พยาบาลที่อยู่ตึกเก่าหลังนั้นไหมครับ"
พยาบาลก็ ร้อง ว๊าย ...! ขึ้นมาอีก

พยาบาล ก็ถามย้ำอีกว่า  " คุณเจอน้องเขาด้วยหรือ "

ผมก็เลยตอบว่า  " ใช่ครับ  ดูแขนผมซิ ยังสั่นไม่หายเลย "
แล้วพยาบาลก็เล่าให้ฟัง พอจับใจความได้ ว่า

เมื่อหลายปีก่อน
ก่อนจะมีการสร้างอาคารใหม่ มีพยาบาลคนหนึ่งเสียชีวิต โดยไม่ทราบสาเหตุ
คือ
เพื่อนๆไม่เห็นพยาบาลคนนั้น มาทำงาน
จนหลายวันผ่านไป
รปภ ไป พบศพ พยาบาลคนนั้นในห้อง เก็บถังออกซิเจน
สภาพเหมือนคนนอนหลับ ปกติ  แต่ตามตัวเริ่มเขียวคล้ำ ขึ้นอืด เพราะ ตายมาหลายวันแล้ว
คาดว่าเธอคงแอบมางีบหลับ ในห้องนั้น จนกระทั่งเสียชีวิต
แต่เคยได้ยินว่า พยาบาลส่วนใหญ่ ถ้าวันไหน เจออะไรหนักๆ
ก็มักจะไปห้องเก็บ ออกซิเจน  แล้วก็สูด ออกซิเจน เพื่อผ่อนคลาย
แต่น้องพยาบาลคนนี้ไม่รู้ว่า แอบไปสูดออกซิเจนหรือแอบไปงีบหลับ

ตั้งแต่เธอตายไป ก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นบ่อยๆ
เช่น ไฟห้องฉุกเฉินจะชอบดับเอง ตอนเที่ยงคืนประจำ
เคยให้ช่างไปซ่อมหลายหนแล้วแต่ก็ใช้งานได้ไม่นาน ก็กลับมาเป็นอาการเหมือนเดิม

ช่วงนั้น ลิฟท์ก็ค้างบ่อย ด้วย
จนมีคนมาร้องเรียน กับทางโรงพยาบาล เรื่องลิฟท์ค้าง

ทาง ฝ่ายบริหารเขาก็เลย คิดว่าจะปรับปรุงอาคารใหม่
แต่สุดท้ายก็สรุปว่า สร้างตึกใหม่ไปเลย

พอสร้างตึกใหม่เสร็จ
ตอนที่ขนย้ายของในตึก มีพนักงานคนหนึ่งในกลุ่มที่เขามาขนย้ายลิฟท์ ตกบ่อลิฟท์ตาย
แต่ทาง ผอ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เขาปิดข่าวกัน
ก็เลยไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมอยู่ๆถึงตกไปตายได้

ช่วงที่เปิดตึกใหม่ๆ
คนไข้ส่วนหนึ่งก็ยังคงไปที่ตึกเก่าอยู่
ทาง ผอ เลยให้ทำทางเชื่อม ให้เดินมาที่ตึกใหม่ได้

จนกระทั้งวันหนึ่ง ก็มีข่าวว่า มีผู้ป่วยคนหนึ่ง ตกบ่อลิฟท์ตาย
ผอ ก็เลย เรียก รปภ ที่เฝ้าอยู่แถวนั้นมาสอบ
ว่าเหตุการณ์มันเป็นยังไง
ก็สรุปว่า รปภ ที่อยู่ เวร คืนนั้น เขาไปแอบหลับ เลยไม่รู้ว่ามีคนไข้มา
ผอ ก็เลยไล่ออก
แล้วก็ให้ รปภ ใหม่ไปประจำจุด ทางเชื่อมด่านหลังตึกเก่า 1 คน
แต่ อยู่กันได้ไม่นาน ก็ลาออก
หามาอยู่ใหม่ ก็ลาออก
ขนาดเอาคนที่เคยอยู่เก่าแก่ มาเฝ้า ก็ยังลาออก
ว่ากันว่า รปภ เห็น พยาบาล คนหนึ่ง เดินไปเดินมาในตึกเก่านั้น
มาหลอก จนอยู่ไม่ได้

สุดท้าย ผอ ก็เลย ให้ปิดทางเชื่อมตึกนั้น ไม่ให้คนผ่าน


พอพยาบาลเล่าให้ฟัง ผมนี่ รีบกุ้มดูที่คอตัวเองเลยครับ
ว่าใส่พระอะไรมา ไม่งั้นผมคงตกไปตายในบ่อลิฟท์นั่นแล้ว

แล้วผมก็ถามพยาบาลต่อ
แล้วเขาไม่มีการทำบุญ อะไรบ้างหรือครับที่ตึกเก่า

พยาบาลก็ตอบว่า
ก็มีคะ หลังจากมีคนเสียชีวิต ผอ ก็ สั่งให้ทำบุญที่ตึกเก่า
นิมนต์พระมาสวด ทำพิธี

ช่วงนั้นฉันก็ไปร่วมพิธีด้วย
แล้วก็เห็นเขาคุยกันเรื่อง ศาลเก่าที่หน้าตึกนั้น
เหมือนมีรอยรถชน
เขาก็ลือกันว่า บริษัทที่เขามาขนลิฟท์เก่าอะ ถอยรถมาชน ศาลเก่าตรงนั้น
ตอนนั้นฉันก็ฟังไว้เฉยๆ นะ ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือเปล่า
แต่เดินไปดูตรง ศาลเก่านั้น เหมือนกะว่า ถูกทิ้งให้รางไปด้วย
มีเหมือนรอยแตก ตรงมุม มุมหนึ่ง

แต่ทาง ผอ เขาก็ไม่ได้ให้ ซ่อมแซมอะไร เพราะว่า มีศาลใหม่ที่ตั้งขึ้นตรงตึกใหม่แล้ว


พยาบาลเล่าจบ พร้อมกับทายาให้ผมเสร็จพอดี
ผมมองดูตัวเอง ทั้งตัวผมถูกชโลมด้วยแป้งน้ำสีส้มๆ
พยาบาลบอกว่า  " เป็นยาทา แก้คัน  "

"เสร็จแล้วคะ เดี๋ยวพักรอสักชั่วโมงนะคะ เดี๋ยวกลับมาดูอาการอีกที "

ผมก็เลยถามพยาบาลไปว่า เห็นเพื่อนผมคนที่มาด้วยกันไหม
พยาบาลก็บอกว่า เห็นนั่งหลับอยู่ข้างหน้าห้อง ตรงนี้
แล้วพยาบาลก็ถือเครื่องไม้เครื่องมือเดินออกจากห้องไป

ตื่นมา หกโมงเช้า
ผมมองไปตามแขนขา อาการบวมที่มือเท้าหายไป
ผื่นคัน ต่างๆ ก็จางลงพอสมควร

พยาบาลมาแจ้งให้ผมกลับบ้านได้

หลังจากจัดแจงทุกอย่างเสร็จแล้ว ผมกับลูกน้าก็พากันเดินออกมาจากหน้าตึกใหม่
แล้วลูกน้าก็พาเดิน อ้อมไปตามทางที่ ลูกน้าเดินผ่านมาเมื่อคืน
พอมาถึงลานจอดด้านหลัง ผมมองไปทั่วบริเวณ ถึงได้รู้ว่า
ถ้าเมื่อคืนลูกน้า ขับไปอีกทางหนึ่งมันจะไปเข้าช่องที่ไปตึกใหม่ได้
แต่ถ้าหลุดเข้ามาในช่องด้านซ้ายแล้วมันจะเข้ามาที่ลานจอดตรงนี้
แล้วมันจะไม่มีทางออกต้องถอยกลับ

พอเดินมาถึงรถ ผมมองสภาพตรงนั้น
มีรถเราจอดอยู่คันเดียวที่หน้าตึก ถัดไปข้างๆตึก มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
มองดูดีๆ เห็นศาลเล็กๆศาลหนึ่ง อยู่ข้างๆต้นไม้ใหญ่นั้น
ผมนี่ขนลุกซู่เลย
ยกมือไหว้
จนลูกน้าถามว่า เป็นอะไร
ผมก็เลยบอกว่า เดี่ยวถึงบ้านแล้วจะเล่าให้ฟัง

จากนั้นเราก็ขับรถออกมาจากโรงพยบาล

จบ บริบูรณ์

เรื่องจากพันทิป ตัวตายตัวแทน
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 2227735

ไม่มีความคิดเห็น