อาถรรพ์บ้านหลอนกลางป่า


     เรื่องราวความสยองของบ้านกลางป่าจาก "เรื่องอาถรรพ์บ้านหลอนกลางป่า" โดยสมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735  ที่ฝากผลงานไว้หลายเรื่อง ขอขอบคุณเรื่องราวหลอนๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ช่วงก่อนหน้านี้ ผมตกงาน อยู่หลายเดือน เลยกลับไปอยู่ต่างจังหวัดที่บ้านแม่สักพัก
นั่งๆนอนๆไม่ได้ทำอะไรนานๆ ก็รู้สึกเบื่อๆเซ็งๆ  สุดท้ายก็เลยต้องมุ่งหน้าเข้ากรุงไปหางานใหม่อีกรอบ
ผมมาพักอยู่กับครอบครัวของน้า  ช่วงที่ยังไม่ได้งาน ก็อาศัยเป็นที่พักไปพลางๆก่อน จนกว่าจะได้งาน
ค่อยหาห้องเช่าเอง

ทุกๆวันผมใช้เวลาช่วงเช้าเข้าไปนั่งจดตำแหน่งานที่ผมสนใจ ที่สำนักงานจัดหางาน ใกล้ๆที่พัก
เสียงผู้คนที่มาหางาน จ้อกแจ้ก จอแจ ราวกะตลาดสด
ผมนั่งเปิดแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะ มองหาตำแหน่งงานว่างไปเงียบๆ ไม่ได้สนใจใคร
จนเกือบๆเที่ยง อยู่ๆก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่ง พูดเสียงดังขึ้นอยู่แถวๆด้านหลังผม
ช่างไม้สอง ช่างสีหนึ่ง โฟเมนคุมงาน ใครสนใจบ้าง
ผมรีบหันไปดู เห็นคนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปหา ชายคนนั้น
แล้วชายคนนั้นก็พูดกับคนที่วิ่งไปหาว่า ไปอยู่จันท์นะ ไปได้ไหม ที่พักฟรี

คนที่วิ่งไปหาก็ต่างพากันส่ายหน้ากันเป็นแถว โห ไกลไปลวกพี่
แล้วชายคนนั้นก็ประกาศหาคนต่อ
จนผมสังเกตเห็นว่า ไม่ค่อยมีคนสนใจ ผมก็เลยเดินไปถามชายคนนั้น


ไปอยู่ที่จันท์ กี่วันครับ

ชายคนนั้นหันมามองผม  แล้วก็ตอบว่า ราวๆสองเดือน
พอถามเรื่องเงินเดือนแล้ว ก็น่าสนใจอยู่ครับ
ผมเลยสมัคร ตำแหน่งโฟแมนกับเขา  ซึ่งเขาต้องการคนที่ค่อนข้างเป็นงาน อินทีเรีย อยู่พอดี
หลังจากที่เขาสัมภาษท์อยู่พักหนึ่ง เขาก็รับผมเข้าทำงานทันที

เช้าวันเดินทางเขานัดผมให้มารออยู่ที่ หน้าสำนักงานจัดหางานที่เดิม
ผมเอาเสื้อผ้าของใช้ติดกระเป๋ามาไม่มากนัก  พอมารอได้สักพัก เขาก็มารับผมตามนัด
รถกระบะเก่าๆมาจอดอยู่ตรงริมถนนหน้าสำนักงานจัดหางาน ได้ยินเสียงคนเรียก น้อง
ผมก็รีบหันไป ก็เจอคนขับ ชะโงกหน้า มามองผม แล้วก็ กวักมือเรียกผมให้ขึ้นรถ
ผมรีบหิ้วกระเป๋า วิ่งไปขึ้นรถทันที

ผมขึ้นรถไป  นั่งอยู่ข้างๆคนขับ ที่เป็นคนรับผมเข้าทำงาน มองไปที่แค๊ปด้านหลัง
เห็นเป็นผู้ชายนั่งอยู่ 3คน ตัวผอมๆ หน้าตาไม่เหมือนคนไทยเท่าไหร่


ช่วงที่นั่งอยู่ในรถ ที่กำลังมุ่งหน้าไปจันทบุรี เถ้าแก่ที่รับผม ก็เริ่มสาธยายเรื่องงานให้ฟังว่า
งานไม่มีอะไรมาก  เป็นงานรีโนเวทบ้านเก่า  ตรงไหนผุก็รื้อทำใหม่ บ้านเป็นบ้านไม้ ส่วนใหญ่จะ
เน้นงานไม้ ทาสี

แกก็เล่าให้ฟังว่า ที่นั้นบรรยากาศดี เป็นธรรมชาติ  เจ้าของที่เข้าจ้างให้มาปรับปรุงบ้าน
ซื้อที่ดินแถวนั้น ต่อจากเจ้าของเดิม
พอมาเห็นบ้านไม้เก่าๆทรงโบราณๆแล้วก็เลยเสียดาย ไม่อยากรื้อทิ้ง


ผมนั่งรถไป หลับๆ ตื่นๆบ้าง ใช้เวลานานมาก กว่าจะถึงจันทบุรี
พอช่วงเถ้าแก่บอกว่าใกล้จะถึงแล้ว ผมก็เริ่มสั่งเกตข้างทาง
ปรากฏว่ามันเป็นป่าทั้งสองฝั่ง ทางก็คดเคี้ยว วกวนไปมา
จนทำให้ผม แทบจะต้องมองหาจุดสังเกต เพื่อไม่ให้หลง เผื่อต้องเดินทางออกมาเอง

แล้วไม่นาน รถกระบะก็พามาจอดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง
พอพากันลงมาจากรถ มองไปที่บ้านหลังนั้น
มันเป็นบ้านไม้หลังใหญ่ ทรงโบราณ ใต้ถุนยกสูง
ข้างบนดูเป็นสไตล์ทรงไทยประยุกต์ น่าจะเป็นแนวๆ ยุครัชกาลที่5
เพราะดู ดีๆอีกทีหนึ่งก็เหมือน ที่ทำงานของราชการสมัยก่อน
มองไปรอบๆ ไม่มีบ้านใกล้เรือนเคียงอยู่ข้างๆแถวนั้นเลย
เรียกได้ว่าบ้าน ตั้งอยู่กลางป่า หลังเดียว จริงๆก็ว่าได้


เถ้าแก่พาพวกเราเดินขึ้นไปบนบ้าน
พอขึ้นไปบนบ้าน ตรงกลางจะเป็นทางเดิน เป็นแนวยาว ตรงไปสุดทางเดินจะเจอประตูบานคู่
พอเปิดประตูเข้าไปก็จะเป็นห้องใหญ่ โล่งๆ

ย้อนออกมาจากห้องใหญ่ ข้างทางเดินซ้าย-ขวา ก็มีห้องอีก ห้องอยู่ตรงข้ามกัน

เดินย้อนกลับไปตรงทางเดินที่เราขึ้นมา ก็จะเป็นห้องเล็กๆห้องหนึ่ง ตรงข้ามห้องเล็กนั้น
ก็จะเป็น โถงโล่งๆ เดินย้อนไปจนสุดทางอีก ก็จะเป็นห้องน้ำ
แล้วก็เป็นห้องครัวที่ไม่มีหลังคา

เต้าแก่แนะนำ คนที่มาด้วยอีก 3 คนให้ผมรู้จัก
เป็นช่างไม้2 คน  และอีกคนเป็นช่างสี  ช่างไม้สองคนเป็นชาวพม่า ส่วนช่างสีเป็นคนเขมร
หลังจากเถ้าแก่ใช้ สามคนนั้นให้ยกของ เครื่องมือต่างๆ กระป๋องสี ขึ้นมาเก็บไว้ที่ห้องใหญ่
เถ้าแก่ก็พาผมไปดูจุดต่างๆที่จะทำการ รีโนเวท


คุยกันจนเกือบจะพลบค่ำ เถ้าแก่ก็บอกว่า
เดี๋ยวแกจะมาดูความคืบหน้า อาทิตย์ละครั้ง
ถ้ามีของขาดหรือเครื่องมือทำงานไม่พอก็ให้โทรบอกแกก่อน
เที่ยวหน้าจะได้ขนมาเลยทีเดียว

พอได้ยินแบบนั้น ผมก็ตกใจเหมือนกัน
อ้าว แล้วนี่จะทิ้งพวกเราไว้กลางป่าแบบนี้เลยหรือ รถลาอะไรก็ไม่มี
แล้วจะออกไปหาซื้ออะไรมากินยังไง


แต่เถ้าแก่ ก็เหมือนรู้   แกก็บอกว่าไม่ต้องกังวล  แกเอาข้าวสารมาให้ด้วย
แล้วก็หม้อหุงข้าว ปลากระป๋อง มาม่า อาหารแห้งต่างๆ


ก่อนไปแกก็หันมาถามพวกเราว่า อยู่ได้ใช่ไหม


ไม่ทันฟังคำตอบจากพวกเรา แกก็ขึ้นรถขับออกไปเลย


ผมกับช่างที่เหลืออยู่ พากันจับจองหาห้องนอนก่อน คืนนี้จะนอนห้องไหนดี
โชคดีที่แม้จะเป็นช่างพม่า กับเขมร แต่ก็พูดไทยได้ชัดพอสมควร
เขาเรียกผมว่า นายช่าง

เราเลือกห้องนอนเล็กที่อยู่ตรงข้ามกับโถงรับแขก เป็นห้องนอน  นอนรวมๆกัน
ห้องนั้น มีหลอดไฟแบบหลอดกลมๆ ห้อยลงมาเกือบๆจะเอามือเอื้อมถึง
น้ำกิน เถ้าแก่ให้ไว้ 5 ถัง  แต่น้ำอาบ ผมไปดูในห้องน้ำแล้ว มันเป็น ตุ่มใส่น้ำ
ไม่มีประปา ต้องตักน้ำขึ้นมาใส่ตุ่มอาบ  น้ำอาบก็จะมีในโอ่งแดง ที่อยู่ด้านข้างของบ้าน

หลังจากกินมื้อค่ำกันเสร็จแล้ว  ต่างคนต่างมานั่งอยู่ในห้องนอน มุมใครมุมมัน
ตรงที่ผมอยู่ อยู่ใกล้กับหลอดไฟที่ห้อยอยู่
ผมเอาสมุดจดงานที่คุยกับเถ้าแก่ขึ้นมาดู  คิดวางแผนว่าพรุ้งนี้จะทำอะไรกันบ้าง
คงต้องเริ่มจากทำหลังคาก่อน พรุ้งนี้คงต้องตั้งนั่งร้านกันทั้งวันแน่ๆ
ช่วงที่กำลังคิดอะไรไปมาอยู่คนเดียว
อยู่ๆ ก็รู้สึก ว่า หลอดไฟมันแกว่งๆไปมา จนผมต้องรีบเหงนขึ้นไปมองบนเพดาน
ก็เห็นสายไฟมัน เหวียงไป เหวียงมา ช้าๆ


เฮ้ย ทำไมมันแกว่งได้เองวะ


พอคิดในใจแบบนั้น หันไปมองพวกช่าง
ก็เห็นหลับกันหมดแล้ว

ผมก็เลยรีบนอนดีกว่า



ตื่นเช้ามา
พอคุยเรื่องงานกันแล้ว กินข้าวเช้าเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปทำงาน
สายๆ ช่างสามคนก็พากันเข้าไปในป่า ไปหาไม้มาทำนั่งร้าน
ผมตอนนั้น อยู่ในห้อง ด้านซ้าย ติดกับห้องใหญ่
เปิดประตูอ้าไว้ และก็ไปเปิดหน้าต่างทุกบานในห้องที่ผมอยู่

หน้าต่างเป็นหน้าต่างเรียงกัน 6 บาน มีลายฉลุและเซาะร่องที่มันแตกของบานหน้าต่าง ที่ต้องซ่อม
และบานพับบางตัวก็เสียด้วย

ผมเอาอุปกรณ์มาทำไม้ขึ้นรูปเพื่อใช้ซ่อมแซมลายไม้ที่แตก
ช่วงแรก เสียงดังตึงตังอยู่พักใหญ่ จนพอเริ่มขัดกระดาษทราย
บรรยากาศก็เริ่มเงียบ
ช่วงที่กำลังนั่งขัดกระดาษทรายอยู่ อย่างจดจ่อ
อยู่ๆหางตาผม ก็เห็นเหมือนคนเดิน ผ่านหน้าประตูห้องไป
วึบ..

ผมรีบหันไปมองทางประตูห้อง อย่างเร็ว  เห็นแต่ปลายผ้า ดำๆผ่านแว๊บไป
ผมตกใจ ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เนื้อตัวผมนี่ชาขึ้นมาวืบๆ เลย


เฮ้ย...! ใครวะ

ตอนนั้นบรรยากาศ เงียบมากๆ
ผมค่อยๆลุกขึ้น แล้วเดินไปที่ประตู  ค่อยๆชะโงกหน้าออกไปดูตรงแนวทางเดิน
เห็นบรรยากาศ ตรงพื้นทางเดินเก่าๆ ประตูห้องเก่าๆ หยักไย่ ฝุ่นตามผนัง
ก็ชวนให้ขนหัวลุกทันที เพราะมันทำให้ผมพึ่งนึกได้ว่า
นี่มันบ้านร้างดีๆนี่เอง
แล้วใครจะรู้ได้ว่า  ประวัติบ้านหลังนี้ มันมีอะไรที่หน้ากลัวแฝงอยู่หรือเปล่า

ผมรีบเดินไปตรงประตูห้องเล็กที่เราพากันนอนเมื่อคืนนี้
ยืนมองเข้าไปในห้อง  ข้างในมีแสงสลัวสลัว เพราะไม่ได้เปิดหน้าต่าง
เห็นแล้วก็วังเวงจน เย็นสันหลังวูบ วาบ
ผมเลยเดินเข้าไปเปิดหน้าต่างในห้อง ให้แสงเข้ามาบ้าง
จะได้ไม่วังเวง ช่วงที่กำลังเปิดหน้าต่างทีละบานอยู่นั้น
อยู่ๆ ก็มีเสียงดังปัง ขึ้น อย่างแรง  จนผมสะดุ้งตกใจ เพราะไม่ทันตั้งตัว
เผลอร้องอุทานออกมาอย่างลืมตัว


เสียงหน้าต่างที่ผมเปิดทิ้งไว้ในห้องข้างๆ
มันคงโดนลมพัด ปิดเองจนเกิดเสียงดัง
เล่นเอาใจหายวาบเหมือนกัน


ผมเดินออกมาจากห้องเล็ก จะเดินไปทำงานต่อ
แต่พอมองไปตรงห้องใหญ่ที่มีประตูคู่ข้างหน้า มันก็ทำให้ผมแทบไม่กล้าก้าวเท้าไปอีก
เพราะ ประตูมันปิดสนิท เหมือนมีคนดึงมันให้ปิดจากข้างใน ทั้งๆที่ห้องนั้นผมเปิดประตูค้างไว้อยู่
ด้วยความสงสัย ผมก็เลยค่อยๆเดินไปที่หน้าประตูห้องใหญ่ช้าๆ สายตาจับจ้องไปที่ประตูคู่นั้นไม่กระพริบ
พอเดินผ่านมาถึงตรงหน้าประตูที่ผมเข้าไปทำงาน ผมก็ค่อยๆชำเรืองเข้าไปมองในห้องช้าๆ
แล้วผมก็ตกใจสุดขีด จนมือไม้สั่น เพราะหน้าต่างที่ผมเปิดอ้าไว้ ไม่มีบานไหนปิดเลย

เฮ้ย... อย่าบอกนะว่า เสียงดัง ปัง เมื่อกี้  คือประตูห้องข้างในมันปิดเข้าไปเอง

"ลมอะไรมันจะพัดเข้ามาจนประตูข้างในมันปิดเองได้วะ .."

ผมรีบถอยหลัง ออกมาจากตรงนั้น อย่างลนลาน ตาก็มองไปตรงบานประตูใหญ่คู่นั้น
พอถอยออกมาจนถึงตรงทางลงบันใด
มองดูภาพกว้างๆ
โอ้โห บรรยากาศมันชวนให้ขนลุกมากๆ เพราะสภาพบ้านมันดูมีเพดานสูงจนวังเวง
ราวกับว่ามีสายตาของอะไรบางอย่างจ้องมองผมลงมจากเพดาน ที่เป็นรูแตกหัก
เป็นช่องมืดๆ อยู่หลายจุด



ผมรีบเดินลงบันใดมา เสียวสันหลังตลอด

เดินลงมา แล้วก็พยายามมองหา พวกช่าง ว่ากลับมากันหรือยัง
พอวิ่งรอดใต้ถุนบ้าน ไปมองดูอยู่ตรงด้านหลังบ้าน
ก็เห็นพวกช่างกำลังแบกไม้ไผ่กลับมากันพอดี

พอช่างมาถึง โยนไม้ไผ่ทิ้งลงไว้ตรงพื้นที่หลังบ้าน
ช่างคนหนึ่งบอกผมว่า คงต้องไปขนอีกสองสามเที่ยวถึงจะหมด
ช่วงที่นั่งพักกินน้ำอยู่ใต้ถุนบ้าน

ช่างคนหนึ่งก็ทักผมว่า
เป็นอะไรหรือเปล่าหน้าซีดๆ
ผมก็บอกว่าเปล่าไม่มีอะไร

แล้วสักพักช่างคนนั้นก็เหมือนจะเดินไปฉี่ ตรงแถวๆป่าหญ้าข้างๆบ้าน
พอเดินไปได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงช่างเรียก ให้ไปดูอะไรบางอย่าง

ผมกับช่างที่เหลือลุกเดินออกจากใต้ถุนบ้านไปดูตรงบริเวณต้นหญ้าที่ขึ้นสูง
เห็นแต่ช่างคนนั้นชี้ให้มองไปที่พื้นหญ้า
ผมมองไป ก็เห็นแต่กอหญ้าที่ขึ้นสูง
แต่พอช่างคนนั้นเอาเท้าเขี่ยหญ้าให้เปิดออก
ผมก็เห็นลำไม้ไผ่แห้งวางกองกันอยู่

อ้าว.. นี่ไงไม้ไผ่
พอพากันเขี่ยหญ้าแถวนั้นดู ปรากฏว่ามีไม้ไผ่กองอยู่ตรงนั้นเยอะพอสมควร

เออ พอดีเลย ไม่ต้องไปหาไม้ที่ไหนแล้ว

แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าใครขนมาทิ้งไว้ เพราะสภาพมันเหมือนขนมาทิ้งไว้ตรงนี้นานแล้ว

พอได้ไม้แล้ว เราก็ช่วยกันทำนั่งร้านขึ้นไปจนถึงหลังคา แต่ทำได้แค่ด้านฝั่งที่เป็นหลังบ้าน
ช่างคนหนึ่งก็เดินมาบอกพวกเราว่า ข้าวที่หุงไว้ มันไม่สุก เพราะไฟดับ

ผมก็เลยขึ้นไปดูไฟในบ้าน ทุกจุดไม่มีไฟเลย
ก็เลยพากันเดินหาเสาไฟที่มันต่อมาเข้ากับตัวบ้าน
พอเจอเสาไฟ เราก็เดินตามสายไฟไปว่าไฟฟ้ามันลากมาจากจุดไหน
เดินไปตามเสาไฟฟ้าไปในป่าเกือบๆสองร้อยเมตร ก็ไปเจอเหมือนเป็นห้องน้ำเล็กๆ
สายไฟมันออกมาจากห้องตรงนั้น
พอพากันเดินไปดูใกล้ ก็เห็นว่า
ที่ประตูมีกุญแจล็อคอยู่ และก็มีไม้แผ่นสั้นๆตีปิดทับประตูลงไปอีกที หลายแผ่น
เหมือนจะกันไม่ให้ใครเข้าไปได้
เพราะนอกจากถอดกุญแจแล้วยังต้อง งัดแผ่นไม้ที่ตีปิดตายนั้นออกด้วย
ช่างคนหนึ่ง เอาฆ้อนมางัดไม้แผ่นที่ตีปิดตายนั้นออก
งัดกันอยู่พักใหญ่ ก็เหลือแค่กุญแจที่ล็อคโซ่ไว้
ใช้ฆ้อนทุบสองสามทีก็ออก
พอเปิดประตูเข้าไปดูข้างใน
มันมีแท่นเครื่องเก่าๆ ทำด้วยปูน
ลักษณะเหมือนมีเครื่องอะไรตั้งอยู่มาก่อน
แล้วถูกรื้อออกไป
ข้างๆแท่นเครื่อง มีแบตเตอรี่เก่าๆวางเรียงกันอยู่เป็นสิบๆลูก

อ้าวแสดงว่า ไฟที่เราใช้ในบ้านหลังนั้น มาจาก แบตเตอรี่ พวกนี้หรือ
แล้วมันเอาไฟที่ไหนมาเก็บไว้ เพราะ เครื่องปั่นไฟก็ไม่มี

พอเดินสำรวจดูไปมา ก็เจอตู้ไฟ
พอเปิดดูก็มีแผงแบรคเกอร์อยู่หลายชุด
แต่บางช่องก็ถูกถอดเบรคเกอร์ออกไป
บางตัวก็ถูกปิด ผมก็เลยลองเปิดเบรคเกอร์ให้หมดทุกตัว
แต่มันมีเบรคเกอร์อยู่ตัวหนึ่งที่มีกระดาษเก่าๆแป๊ะอยู่ เขียนว่า ห้ามเปิด
พอผมเปิดเบรคเกอร์ตัวนั้น แล้วก็ได้ยินเสียง  ซ่าๆ...  ออกมาจากลำโพงใกล้ๆทันที

อ้าวเฮ้ย.. มีระบบเสียงด้วยหรือที่นี่

เสร็จแล้วเลยให้ช่างคนหนึ่งวิ่งไปดูว่าไฟฟ้าที่บ้านติดหรือยัง
รอสักพักช่างวิ่งกลับมาบอกว่า ยังไม่ติด

ผมก็เลยไล่สายไฟดู พอมันออกจากตู้ไฟแล้วก็ไปเข้ากล่องเล็กๆ อยู่ข้างๆ
เปิดดูปราฏกว่ามันเป็นกล่องฟิวส์ มีแผงฟิวส์อยู่ประมาณ 10 ช่อง
แต่มีใส่ฟิวส์อยู่แค่ 3 อัน นอกนั้นถูกถอดออกหมด
ผมเลยถอดเอาฟิวส์มาดู ปรากฏว่ามันขาดหมดทั้งสามอัน

สงสัยฟิวส์ขาด

งั้นเดียวต่อตรงเลยแล้วกันไม่ต้องผ่านฟิวส์

ผมลองสุ่มต่อตรงดู จาก ชุดฟิวส์  3 แผง
พอต่อ ช่องแรกดู แล้วให้ช่างวิ่งไปดูไฟที่บ้านใหม่  ช่างก็กลับมาบอกว่าไม่ติด
ผมก็เลย ต่อทีเดียวให้หมดทุกแผงเลย ไม่ต้องสุ่มแล้ว

คราวนี้ช่างวิ่งกลับมาบอกว่า ไฟติดแล้ว

อ้า..ใช้ได้แล้ว

พอจะเดินกลับออกมา ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า
แบตเตอรี่พวกนี้เอาไฟที่ไหนมาเก็บไว้
ผมก็เลยพยายามไล่สายไฟที่ไปจ่ายให้แบตเตอรี่
จนเจอว่ามันมีสายไฟเข้ามาจากมุม มุมหนึ่ง
ก็เลยพากันเดินออกมาดู มันเป็นสายที่มาจากในป่าที่อยู่หลังห้องเก็บแบตเตอรี่ตรงนั้น
เป็นป่ากระถินรกๆ ต้องฝ่าดงไม้ตรงนั้นไป
ช่างคนหนึ่งก็เอามีดมาฟันต้นไม้ที่ขึ้นแน่นๆตรงนั้นออก
แล้วเราก็เดินตามท่อสายไฟไป
เดินไปเรื่อยๆ ประมาณ 50เมตร ทะลุป่าออกมา
ก็เจอลักษณะเป็นคลองน้ำไหล มีกังหันวิดน้ำเก่าๆ

อ๋อ.. เขาใช้ตัวนี้ปั่นไฟมาเก็บไว้ที่แบตเตอรี่นี่เอง

ยืนดูกันอยู่พักหนึ่ง
พอเข้าไปดูใกล้ๆคลอง
ปรากกฏว่า เจอพวก กระป๋องสี ทิ้งเกลื่อนอยู่ตรงแถวๆริมคลองเต็มไปหมด
พอมองดูรอบๆ ก็เหมือน มีพวกผ้าใบที่ใช้สำหรับปูพื้นกันสีตกใส่พื้น ทิ้งอยู่ด้วยอีก

เฮ้ยย..  ไม้ไผ่ พวกนั้น แล้วนี่ก็เจอกระป๋องสีอีก
แสดงว่ามีคนเคยจะมา ซ่อมบ้านหลังนี้ก่อนพวกเราแล้วซิ่

พอพากันเดินกลับมาถึงบ้าน ก็มืดพอดี
หลังจากทำอะไรกินกันแล้ว ผมก็เลยนั่งเล่นอยู่ตรงโถงรับแขก
พวกช่างก็นั่งเล่นอยู่ตรงชานบันไดบ้าน

สักพักใหญ่
ผมก็เลยเอาโทรศัพท์มาโทรหาเถ้าแก่ จะรายงานความคืบหน้าสักหน่อย
พอเถ้าแก่รับสาย ผมก็ได้ยินแต่คำว่า นะครับ แล้วก็เป็นสัญญาณขาดๆหายๆ
ผมก็ถามเถ้าแก่ว่าได้ยินผมไหม
แล้วก็ได้ยินแต่เสียง แคล๊กๆ.. แคล๊กๆ
สงสัยจะไม่มีคลื่น

ผมก็เลยวางสายไป
มองดูขีดสัญญาณโทรศัพท์ที่หน้าจอ
มันขึ้น 2 ขีด  อืมแสดงว่าคลื่นมันไม่ค่อยมีจริงๆด้วย
ผมก็เลย เดินไปชานบันไดทางขึ้น

อ้าวช่างไปไหนกันหมด

แล้วผมก็ได้ยินเสียง คนอาบน้ำในห้องน้ำ เสียงตักน้ำลาดตัว ดัง ซ่า ซ่า
แล้วก็ได้ยินเสียงเหมือนช่างอีกสองคนเขา วิ่งเล่นกันอยู่แถวๆหลังบ้าน

ผมมองดูขีดสัญญาณในมือถือ  ก็เหมือนเดิม มีสัญญาณแค่สองขีด
ผมก็เลยเดินไปแถวๆในครัว ตรงนั้นมันเป็นที่เปิดโล่งๆไม่มีหลังคา
มองดูที่มือถืออีกที อา.  มันขึ้นมาเป็นสามขีดแล้ว
ผมก็เลยรีบโทรหาเถ้าแก่อีก
พอเถ้าแก่รับสาย ผมก็ถามเถ้าแก่ว่าได้ยินผมไหม
แล้วเถ้าแก่ก็ตอบกลับมา แต่ฟังไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่
เหมือนไม่มีสัญญาณอีกแล้ว
ผมพยายามสื่อสารอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้เรื่อง
ก็เลยวางหูไป
พอวางหูเสร็จ ก็เห็นช่างเขมร เปิดประตูห้องน้ำออกมา
นุ่งผ้าเช็ดตัว ไม่ได้ใส่เสื้อ ที่ไหล่มีเสื้อพาดอยู่ตัวหนึ่ง
เดิน ถือถุงใส่พวกยาสีฟันครีมล้างหน้า สวนมาทางผม
พอเดินมาใกล้ๆผม อยู่ๆช่างมันก็ยิ้มให้ผมแบบแปลกๆ
แล้วก็มาหยุดอยู่ตรงข้างๆผมก่อนจะพูดว่า

คุณมาอยู่กันกี่วัน คะ

เฮ้ย... ขนหัวผมลุก ซู่ ขึ้นมาทันที

แล้วช่างก็เดินผ่านผมไป ผมรีบเดินตามไปแล้วก็เรียก

ช่าง.. เมื่อกี้เอ็งพูด อะไร วะ

ช่างหันมามองผม  ท่าทางตกใจ
แล้วก็พูดว่า  เปล่า ผมไม่ได้พูดอะไร นะ

ผมมองดูหน้าช่าง หน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด
ผมก็เลยรีบแกล้งพูดไปว่า
อ๋อได้ยินเหมือนพรึมพรำอะไร เลยนึกว่าช่างจะพูดอะไรกับผม

ช่างมองมาที่ผมทำหน้า งงๆ แล้วก็เดินเข้าห้องไป
พอช่างเดินเข้าห้องไป
ผมก็มานั่งตรงชานบันใดทางขึ้น  นึกถึงเรื่องแปลกๆเมื่อกี้
หรือเราจะหลอนไปเอง จริงๆมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้

ช่วงกำลังนึกอะไรอยู่
อยู่ๆก็เห็นช่าง พม่า เดินพยุงกันมา
มาเกาะอยู่ตรงราวบันใด
อีกคนมีสีหน้า ซีด เดินเขย่งเท้ามาข้างหนึ่ง
พอผมเห็นอาการแปลก ผมก็เลยถามว่า เป็นอะไรกัน

ช่างพม่าก็บอกว่า เหยียบตะปู

พอประคองกันขึ้นมาบนบ้านได้
มองดูที่เท้าช่าง เลือดพุ่งออกมาเยอะเลย
เลือดหยดเป็นทาง เต็มไปหมด
พอมีเสียงเอ๊ะอะกัน ช่างเขมรก็วิ่งออกมาดู
ผมก็เลยบอกให้ช่างเขมรวิ่งไปหายาในห้องเก็บของ ห้องใหญ่
แล้วให้ช่างอีกคนไปตักน้ำมา
แล้วก็บอกให้คนที่เหยียบตะปูเอามือกดแผลห้ามเลือดไว้
แต่พอมองดูเลือดที่ไหลออกมาตรงฝ่าเท้าเขามันไหลไม่หยุด
มือช่าง ก็เต็มไปด้วยเลือด
ผมก็เลยบอกให้เขาถอดเสื้อออกมาแล้วก็เอามาปิดแผลไว้
เขาก็ทำตาม  เอาเสื้อมาอุดแผลไว้ทันที
แต่ไม่นาน เสื้อก็ชุ่มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมา

ช่างเขมรวิ่งมาบอกว่าไม่มียาอะไรเลย
แล้วช่างอีกคน ก็ตักน้ำมาพอดี
ก็เลยเอาน้ำล้างเท้าคนที่เหยียบตะปู
พอล้างเสร็จ มองเห็นแผลตรงฝ่าเท้า โหแผลเป็นรูใหญ่เหมือนกัน

มิน่าถึงมีเลือดไหลไม่หยุด
ตอนนี้ต้องห้ามเลือดให้ได้ก่อน แล้วยาก็ไม่มีด้วย จะทำไงดี

มองหน้าช่างคนที่เหยียบตะปู ก็หน้าซีดมาก ปากนี่ซีดเห็นได้ชัดเลย

ผมก็เลยไปเอาเสื้อผมตัวหนึ่งมาฉีกให้เป็นแนวยาว  แล้วก็มาพันรอบแผลเขาไว้
แล้วก็มัดให้แน่น แต่ดูเหมือนจะไม่พอ
ช่างอีกคนหนึ่งก็เลยเอาเสื้อเขามาฉีกพันที่เท้าไปอีกทบหนึ่ง
ช่วงที่กำลังพันแผลกันอยู่ อยู่ๆก็มีเสียงเพลงดังขึ้น


ติ้ง.. ต่อง..  ขณะนี้ เวลา ...สิบห้านาฬิกา


เฮ้ย...

ผมกับช่างพากันตกใจ อยู่ๆมีเสียงประกาศดังออกมาได้ไง
แล้วเราก็พยายามเดินหาที่มาของเสียงนั้น
ก็ไปเจอเป็นลำโพงเก่าๆ ติดอยู่บนเพดานด้านนอก ติดกับหลังคา

สงสัยเพราะเบรคเกอร์ตัวนั้นแน่ ที่เขาบอกว่าห้ามเปิด

แสดงว่าเสียงนั่นมันจะบอกเวลาพวกเราทุกๆชั่วโมง
แต่ตอนนี้สองทุ่มแล้ว มันบอกว่า เป็นเวลาสิบห้านาฬิกา
คงเพราะมันเริ่มนับเวลาต่อจากครั้งล่าสุดที่มันโดนตัดกระแสไฟไป

พอห้ามเลือดได้แล้ว ผมก็พยายามโทรไปบอกเถ้าแก่ ว่าเรามีคนเจ็บ
แต่ก็เหมือนเดิม ติดต่อได้แต่ว่าคุยกันไม่ได้ เพราะสัญญาณมันไม่ดี
ผมก็เลยส่งข้อความไปหา เถ้าแก่ ว่า มีคนเจ็บให้เอายามาให้ด้วย

พอพาคนเจ็บมานอนในห้องได้ ช่างคนที่เจ็บก็เริ่มบ่นว่าปวดแผล
ดูปากเขาซีดมาก

แปลกนะ เหยียบตะปูแค่นี้เอง เป็นขนาดนี้เลยหรือ

ผมกับช่างพม่าก็เลยพากันไปดูว่าเขาเหยียบตะปูตรงไหน
ส่วนในห้องก็ให้ช่างเขมรดูช่างที่นอนเจ็บ

พอลงไปดูก็เจอ ตะปูที่เขาเหยียบ มันเป็นตะปูตัวใหญ่ ติดอยู่กับไม้
แต่ว่ามีสนิมจับ มีเลือดของช่างคนนั้นติดอยู่ด้วย

โห สนิมเขอะเลย แทงเข้าไปลึกด้วยซิ่


ผมก็เลยถามช่างที่มากับผมว่า ไปเดินยังไงถึงได้มาเหยียบได้
ช่างก็บอกว่า  ก็วิ่งเล่นกันอยู่ดีๆนี่แหละ แล้วช่างคนนั้นเขาก็เสียหลักเหมือนจะล้ม
แล้วก็เซ มาจนมาเหยียบเข้ากับตะปู

พอพากันขึ้นไปบนบ้าน ดูอาการช่างคนนั้นแล้ว หน้าซีดกว่าเดิมอีก
นอนคราง ว่า ปวด ปวด
อยู่เบาๆ

ผมก็เลยถามว่ามีใครมียาแก้ปวดมาบ้าง ปรากฏว่าไม่มีใครพกมาด้วยสักคนเลย

ผมก็เลยบอกให้ช่างทนเอาหน่อย พรุ้งนี้จะลองเดินเท้าไปหาซื้อยามาให้
มันคงมีหมู่บ้านอยู่แถวนี้แหละ

แล้วช่างอีกคนก็เดินไปอาบน้ำ
ผมกับช่างที่เหลืออยู่   นั่งอยู่เงียบๆในห้อง
สักพักก็ได้ยินเสียง วิทยุ ดังขึ้น
เป็นเสียงโฆษณาในวิทยุเบาๆ

เฮ้ย... เสียงอะไร
ผมชะโงกหน้าออกไปดูตรงหน้าต่าง
เสียงมันดังออกมาตรงลำโพงที่ติดอยู่บนเพดานหลังคา
ไม่ไกลจากห้องที่เรานอนเท่าไหร่
เหมือนคลื่นวิทยุมันแทรกเข้ามา มันเลยมีเสียงของรายการวิทยุท้องถิ่นดังออกมาค่อยๆ

จะได้นอนกันไหมนี่ ถ้ามันดังแบบนี้ทั้งคืน
แล้วช่างเขมรก็พูดว่า
สงสัยต้องไปปิดเบรคเกอร์ตัวนั้น


อืม ไม่น่าเปิดเลยจริงๆ  งานเข้าเลย
มืดๆแบบนี้ จะเดินไปกันยังไง

พอสักพักช่างอีกคน   ก็อาบน้ำเสร็จเดินเข้ามาในห้องที่พวกเรานั่งกันอยู่
ช่างก็ถามว่า เสียงอะไร

ผมก็ตอบว่า สงสัยคงเป็นเสียงคลื่นวิทยุมันแทรกเข้ามาในระบบเครื่องเสียงเก่า
อาจจะเป็นเพราะเบรคเกอร์ตัวนั้นที่เรา เปิดมัน

แล้วผมก็ถามว่า แล้วจะเอายังไง จะไปปิดเบรคเกอร์ตัวนั้นกันไหม
ช่างคนที่อาบน้ำมาก็บอกว่า โห ไปตอนมืดๆนี่หรือ มันไกลอยู่นะ


ผมก็เลยบอกว่า
นั้นนะซิ หรือว่าจะทนนอนไปก่อนพรุ้งนี้เช้าค่อยไปปิดมัน

ทุกคนก็เงียบ ไม่มีใครออกความเห็น

พอเห็นเงียบกัน ผมก็เลยเดินไปเอาชุดกับผ้าเช็ดตัว เดินไปอาบน้ำ

เดินไปถึงตรงครัว พอเลี้ยวไปทางหน้าห้องน้ำ ไฟที่อยู่หน้าห้องน้ำมันก็ดันกระพริบ กระพริบ
เหมือนจะดับแหล่ไม่ดับแหล่

อ้าว... เฮ้ย... อย่าเล่นแบบนี้ซิ ไม่เอานะ

พอพูดจบไฟก็กลับมา ปกติเหมือนเดิม ไม่กระพริบ

ผมรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำ เปิดไฟในห้องน้ำ
แสงไฟในห้องน้ำมันสว่างไม่มาก  เพราะเป็นหลอดไส้แสงสีส้มๆ
พอเริ่มอาบน้ำ อยู่ๆก็รู้สึกว่า เหมือนมีคนมาแอบดูผมอาบน้ำ
มันใจหวิวๆ แล้วก็ดูวังเวงมาก
ยิ่งตอนล้างหน้าแล้วต้องหลับตา รู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบเลย
กลัวว่าลืมตามาแล้วจะเจอใครยืนอยู่ข้างๆด้วย
พอเริ่มฟอกสบู่
ตรงข้างหน้าผมมันมีกระจกเก่าๆ เล็กๆ ผูกด้วยเชือกฟาง
ห้อยแบบเอียงๆ ติดอยู่กับผนังไม้ของห้องน้ำ
พอผมมองไปในกระจก ก็เห็นเป็นหน้าตัวเองไม่ค่อยชัด
เพราะมันย้อนแสง เลยทำให้ส่องเห็นหน้าผมมืดๆ
แต่พอมองจากกระจกผ่านไปตรงด้านหลังผม
ก็เห็นเป็นขอบไม้ที่กั้นเป็นผนังห้องน้ำ อยู่ไม่สูงนัก
แล้วมันก็อดจินตนาการไม่ได้ ขึ้นมาทันที
นี่ถ้ามีหัวใครโผล่ขึ้นมาจากขอบตรงนั้นนะ

มีหวังช๊อคตายคาห้องน้ำ

นึกไปก็ขนลุกไป
ไม่ทันตั้งตัว อยู่ๆก็มีเสียงดังขึ้น

ติ๊ง... ต๊อง....

ผมร้อง เฮ้ย..! สะดุ้งสุดตัว

ขณะนี้เวลา สิบหก นาฬิกา

ผมตกใจมากเล่นเอาซะ   เกือบช๊อคไปจริงๆเสียแล้ว
และเสียงผู้หญิงที่ประกาศมันก็ฟังดูวังเวงมาก
เป็นเสียงแหลมๆ เหมือนเสียงผู้หญิงในเพลงโบราณเก่าๆ

พอหายตกใจผมก็รีบตักน้ำลาดตัวอย่างไว
รีบเช็ดตัว รีบใส่เสื้อผ้าออกมาจากห้องน้ำ
ช่วงที่ปิดไฟห้องน้ำแล้วเดินกลับออกมา
ดันไปนึกถึง
ตอนที่ช่างเขมรมันถามผม คุณมาอยู่กันกี่วัน คะ

แล้วขนหัวผมก็ลุกตั้ง
รีบเดินออกมาจากตรงนั้น ไม่หันหลังไปมอง
เอาเสื้อผ้ามาตากไว้ตรงชานทางขึ้นบันได
แล้วก็รีบเดินเข้าห้องไป

พอเข้ามาในห้อง  เห็นทุกคนนอนหงายหลับตานิ่งกันหมด

อ้าว หลับกันหมดแล้วหรือ  ทำไมมันหลับกันเร็วจังวะ

กลายเป็นผมคนเดียวที่ยังไม่ง่วง เพราะพึ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ
ผมพยายามข่มตาให้หลับ แต่ก็นอนไม่หลับ
นอนฟังเสียงวิทยุชุมชนที่มันแทรกเข้ามา ปนกับเสียงจิ้งหรีดยามราตรี
บางช่วงวิทยุนั่นก็เงียบไป
บางช่วงก็กลับมาแทรกอีก เป็นระยะ ระยะ

ผมยังนอนไม่หลับได้ฟังเสียงประกาศ
ประกาศเวลาทุกๆชั่วโมง
จนมันประกาศเวลามาถึง สิบเก้านาฬิกา
ซึ่งตรงกับเวลาจริงคือช่วงเที่ยงคืนพอดี

ผมนอนเอาผ้าขนหนูผืนเล็กๆปิดตาอยู่
พอเริ่มรู้สึกปวดเบา อยากเข้าห้องน้ำ
ผมก็เปิดผ้าที่คลุมหน้าผมออก หันไปมองช่างที่นอนกันอยู่คนละมุม
ผมอยากจะปลุกใครสักคนไปห้องน้ำเป็นเพื่อนผมหน่อย
แต่อยู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่ตรงชานบันไดทางขึ้น
เสียงพื้นไม้ลั่น ดัง เอี๊ยด..
แล้วก็เงียบไป
ผมรีบมองไปทางประตูห้องที่ปิดอยู่ ตั้งใจฟังเสียงนั้นอย่างจดจ่อ
เสียงมันค่อยๆดัง เอี๊ยด...  อ๊าด..
เหมือนคนกำลังเดินย่องเบาๆอยู่ด้านหน้าโถงทางเดิน
เสียงมันค่อยๆ ใกล้เข้ามาช้าๆ
จากตรงชานทางขึ้น จนมาถึงแถวๆหน้าห้องที่เรานอนกันอยู่

ตอนนั้นใจผมเต้นแรงมาก

กลางป่าแบบนี้ ไม่มีบ้านคนอยู่ละแวกนี้เลย
ใครมันจะมาทำอะไรวะ

สักพักก็ได้ยินเสียง ประตูห้องข้างๆเปิด .. แอ๊ด...

"เฮ้ย... ใครวะ" นึกในใจ

ขนผมลุกซู่ขึ้นมาอีก  จนผมต้องรีบลุกมานั่ง เงี่ยหูฟังให้แน่ใจว่าหูผมไม่ได้ฝาด
แล้วสักพัก ผมก็ได้ยินเสียงตะกุตะกักอยู่ห้องข้างๆ
เสียงเหมือนเข่า กับศอก มันกระทบกับพื้นเป็นเสียงดัง กึก.. กึก.. กึก.. กึก
เสียงดังมาก
จนพวกช่างก็ต่างพากันตกใจตื่น รีบลุกขึ้นมามองไปทางห้องด้านข้างทันที
แล้ววินาทีนั้น อยู่ๆเสียง หวอ ก็ดังขึ้น

เฮ้ย.. อะไรอีกวะ

สัญญาณเตือนภัย..

พวกเราพากันลุกขึ้น  แล้วเปิดประตู  เดินออกมาจากห้องนอน
เหลือแต่ช่างที่เจ็บนั่งรออยู่ในห้อง
พอรีบเดินไปดูห้องข้างๆ กัน
ปรากฏว่า ไม่มีอะไรเลย ทุกอย่าง ว่างเปล่า
ผมพยายามมองดูที่พื้นห้อง พื้นทางเดิน มองหาว่ามีรอยเท้าอะไรหรือเปล่า
เพราะผมได้ยินชัดเจน ว่ามีคนย่องเดินอยู่บนบ้านแน่ๆ


พอตรวจดูทุกห้องแล้ว ปรากฏว่าไม่มีใคร
ก็พากันกลับมาที่ห้องนอน
แต่เสียงหวอยังคงดังอยู่ แม้จะไม่ได้ดังต่อเนื่องเหมือนตอนแรก
แต่ก็ดังเป็นระยะระยะ

ถ้าดังอยู่แบบนี้ คืนนี้ไม่ได้นอนกันแน่

พอคุยกันไปมา ก็เลยสรุปว่า ผมกับช่างสี จะไปปิดเบรคเกอร์ตัวนั้น
ส่วนช่างพม่าก็ให้อยู่เป็นเพื่อนกับช่างที่นอนเจ็บอยู่


พอตกลงกันได้อย่างนั้น ผมกับช่างเขมรก็พากันถือไฟฉาย ลงจากตัวบ้าน
มุ่งหน้าไปในป่า เพื่อไปยังห้องเก็บเบตเตอรี่ทันที


พอเริ่มเดินเข้าไปในป่า เสียงหวอ ก็เริ่มห่างออกมา  แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงหวอนั้นอยู่บ้าง
เดินมาได้เกือบๆจะถึงห้องแบตเตอรี่ ผมหันไปมองที่บ้าน
เห็นเป็นแสงไฟที่รอด ออกมาตรงหน้าต่างของห้องนอนเล็ก อยู่ไกลริบๆ

พอมาถึงห้องแบตเตอรี่ ก็ไม่ได้ยินเสียงหวอนั้นแล้ว
ผมรีบเข้าไปในห้อง ไปดูตรงตู้ไฟฟ้า
ได้ยินแต่เสียงลำโพงตรงข้างบนตู้ไฟ ดัง แคล็ค   แคล็ค....   แคล็ค  แคล็ค
พอผมปิดเบรคเกอร์ตัวที่ผมสงสัยลง  เสียงลำโพงตัวที่อยู่เหนือตู้ไฟ ก็เงียบไปทันที
อา... ใช่จริงด้วย

พอเปิดระบบเสียงได้ ผมก็รีบเอาไฟฉายส่องหาบางอย่างที่พื้น
จนช่างเขมรถามว่า นายช่าง หาอะไร

ผมก็เลยบอกว่า กระดาษแผ่นที่เขียนว่า ห้ามเปิด
จะเอามาแปะไว้ที่เดิม

ช่างเขมรก็เลยมาช่วยหากระดาษนั้นอยู่ใกล้ๆอีกคน
หาอยู่พักใหญ่ก็ไม่เจอ
ช่างเขมรก็เลยบอกว่า พรุ้งนี้ค่อยเอามาแปะก็ได้  กลับเถอะ ง่วงแล้ว

ผมก็เลยตัดสินใจกลับ
พอเดินมาถึงบ้าน บ้านเงียบสงัด ไม่มีเสียงดังมาจากลำโพงนั่นอีกแล้ว
พอขึ้นมาบนบ้าน ผมก็ต้องชะงักทันที

เฮ้ย... เกิดอะไรขึ้น

มีข้าวของตกเกลื่อนอยู่ตรงชานทางขึ้นบันได
พอวิ่งไปดูในห้องนอนเล็ก ก็ไม่เจอช่างพม่าสองคนนั่น
พอมาดูตรงโถงทางเดิน  ก็มีหยดเลือด หยดเป็นทาง
ตรงไปทางห้องใหญ่
ผมเดินตามหยดเลือดนั้นไป  จนถึงหน้าห้องใหญ่
พอเปิดประตูเข้าไปดู ปรากฏว่า
ข้าวของกระจัดกระจายเต็มห้องไปหมด
ของส่วนใหญ่หายไป

ผมยืนดูด้วยความ งง งวย

นี่มันอะไรวะนี่..

ผมได้แต่ยืนดู สภาพข้าวของที่ถูกรื้อค้นกระจัดกระจายในห้องนั้น
คิดไม่ออกว่าเขาจะเอาของพวกนี้ไปทำอะไร
แล้วช่างสองคนนั้นหายไปไหน

อยู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงคน ร้องให้ช่วย
ดังแว่วอยู่ไกลๆ ผมเลยรีบเดินไปเปิดหน้าต่าง แล้วก็มองไปทางป่า
ก็เห็นเหมือนแสงไฟฉาย ส่องไปมาอยู่ในป่า

พอเห็นดังนั้นผมกับช่างสีก็รีบวิ่งลงจากบ้าน
แล้วก็รีบตามไปทางป่าที่ช่างเคยพากันไปเอาไม้ไผ่
แต่พอนึกอะไรขึ้นมาได้
ผมก็รีบ วิ่งกลับมาตรงหลังบ้าน หาท่อนไม้ที่มีตะปูยาวอันนั้น ที่ทิ้งอยู่แถวๆโคนต้นไม้
พอหาเจอผมก็ถือท่อนไม้นั้นแล้วรีบวิ่งตามไป

สักพักใหญ่  ก็เริ่มตามแสงไฟฉายที่เราเห็น  ได้ทัน
ช่วงที่กำลังวิ่งอ้อมไปทางต้นไผ่ ผมรีบฉายไฟส่องไปทางด้านหน้า
แล้วสิ่งที่ผมเจอก็ทำให้ผมถึงกับชะงัก

เมื่อมองไปเห็น ชายคนที่เหยียบตะปู กำลังฉุดกระชากลากถูช่างอีกคนให้เดินตามไป
และมืออีกข้างหนึ่ง แบกผ้าใบ ใบใหญ่ที่ห่อข้าวของผลุงผลัง
ดูมีพละกำลังมหาศาล ผิดจากเมื่อตอนหัวค่ำที่นอนเจ็บเพราะปวดแผล

ผมและช่างสีพยายามวิ่งตามไป
พอใกล้จะถึงผมก็ ตะโกนถามไป  หยุดก่อน พวกเอ็งจะไปไหนกัน
แต่ดูเหมือนเขาไม่สนใจอะไร ยังคงเดินหน้าไปต่อ

อีกนิดเดียวก็ใกล้จะถึง เพราะแสงไฟฉายผมเริ่ม ส่องไปเห็นด้านหลังพวกเขาชัดเจนแล้ว
พอสักพักดูเหมือนเขาหยุดเดินกัน แล้วก็หันหน้ามามองทางผม

ผมกับช่างสีก็หยุดชะงักตามไปด้วย มองไปเห็นข้างหน้า เป็นคลอง

แล้วตอนนั้นเอง อยู่ๆผมก็รู้สึก แน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยออก ตาก็พล่ามัว
แล้วเริ่มจุกที่ลิ้นปี่ ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความโกรธแค้นอะไรบางอย่างขึ้นมาแบบฉับพลัน
พอมองไปข้างหน้าก็เห็นเหมือนมีคนถือคบเพลิง กำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ แยกเป็นสองฝั่ง

แล้วผมก็ ทนไม่ไหว มันหายใจไม่ออก
จนต้อง เข่าทรุดลงไป คุกเข่าอยู่กับพื้นหญ้า แล้วก็ทิ้งตัวลงนอนคว่ำหน้า
ตอนนั้นเองที่อยู่ๆ เหมือนความรู้สึกประหลาดนั้น
มันเคลื่อนออกจากตัวผมไป แล้วความรู้สึก
แน่นหน้าอก ก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง

ผม งง กับ สิ่งที่เกิดขึ้น เอามือ จับดูแถวๆลิ้นปี่ตัวเอง
เฮ้ย.. เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นวะ

พอลุกขึ้นมาคุกเข่าได้   ก็เห็นช่างสีเดินมาข้างหน้าผม แล้วก็พูดเสียงดังไปทาง คนพวกนั้น
“ไอ้..เลว  เลี้ยงไม่เชื่อง  แกจะเอาทองของข้าไปไหน

พอได้ยินผมก็ตกใจ  เฮ้ย... ทำไมมันพูดแบบนั้นวะ

แล้วเสียงคนที่เหยียบตะปูก็ตอบกลับมาว่า

บอกให้คนของเอ็งถอยไป ถ้าไม่อยากให้ลูกสาวเองตาย

พอได้ยินช่างตอบกลับมาแบบนั้นผมก็ยิ่ง งง
เฮ้ย พวกแก เล่นละครเรื่องอะไรกันอยู่วะ

ช่วงที่ผมยืน งง อยู่  เสียงช่างพม่าคนที่ถูกจับแขนไว้
ก็ร้องเสียงดังออกมา ว่า
พ่อ.. ช่วยหนูด้วย

เฮ้ย..
ผมเริ่ม รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง  รีบลุกขึ้นยืน
เดินถอยหลังออกมา
ภาพคนที่ถือคบเพลิง เมื่อกี้ ผุดขึ้นมาในหัวผมทันที

แล้วช่างสีก็ร้องขึ้น  ฆ่า... มัน
ช่างที่เหยียบตะปู รีบดึงแขนช่างอีกคนให้วิ่งหนีลงคลอง
แต่ช่างสีก็รีบวิ่งไป กระชากลากถู ห่อผ้าใบ กับช่างที่เหยียบตะปู
จนพวกป๋องสีต่างๆ ข้าวของต่างๆ ตกออกจากผ้าใบที่ห่ออยู่ กองเกลื่อนอยู่แถวนั้น
แล้วสองคนนั้นก็ชกกันไปมา  อย่างบ้าคลั่ง

จนกระทั่งมาหยุดตรงที่ ช่างที่เหยียบตะปู บีบคอช่างสีอยู่

ผมเห็นช่างสีเหมือนอ่อนแรง จะตายแหล่ไม่ตายแหล่
เลยรีบวิ่งไปช่วย
พยายามล็อคคอช่างที่เหยียบตะปูแล้วก็ดึงให้สองคน หลุดออกจากกัน
ตอนนั้นเองที่ผมมองเห็นนัยน์ตาของทั้งสองคน ตาเขาเหมือนคนเป็นต้อเลย
พอเห็นแบบนั้นผมก็ ร้องเรียกให้เขามีสติกลับคืนมา
แต่แรงช่างที่เหยียบตะปูเยอะมาก สะบัดผมจะกระเด็นไปไกลเลย

พอผมลุกขึ้นมองไป ก็เห็นช่างสี คอพับไปเสียแล้ว แต่ก็ยังคงถูกบีบคออยู่

เฮ้ย.. ไม่นะ

ผมรีบวิ่งไป ล็อคคอช่างที่เหยียบตะปูนั้นอีก
ช่างพยายามสะบัด ให้ผมหลุด ผมออกแรงรัดที่คอเขาแน่นขึ้น
จนสักพักดูเขาอ่อนแรงลง แล้วก็ได้ยินเสียงเขาไอ

ก่อนจะพูดว่า

มารัดคอผมทำไม

พอได้ยินเสียง ผมรีบชะโงกหน้าไปดูตาเขา ตาเขากลับมาปกติแล้ว
ผมรีบปล่อยแขนคลายออก
ช่างหันมาหาผม
เรามาทำอะไรกันที่นี่ นายช่าง
พลางไอไปด้วย

ผมใจเต้นแรงทำไรไม่ถูกเลยตอนนั้น
มองไปที่ช่างสี เห็นฟุบอยู่ที่กอหญ้า ผมก็รีบเข้าไปดึงตัวเขาขึ้นมา
แล้วก็ปลุกเขา ให้ตื่น

ดูเขานิ่งไปเลย

ตายหรือเปล่าวะนี่

ผมเอาไฟฉายมาส่องที่หน้าเขา
หน้าตาบวมปูดไปหมด เพราะโดนตี

แต่พอดูตรงช่วงท้องเขาเขายังหายใจอยู่  ผมเริ่มโล่งใจขึ้น
ต้องไม่มีใครตายนะ

พอปลุกอยู่พักหนึ่งช่างสีก็มีสติขึ้นมา
เขาก็ถามผมว่า  เขาเป็นอะไร มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง

ผมก็ยังไม่ตอบ หันไปหาช่างอีกคน ที่นอนสลบอยู่ตรงใกล้ๆคลอง
พอไปปลุกให้เขาตื่น ช่างคนนั้นก็ตื่นขึ้นมา แล้วก็ถาม ผมแบบ งงๆ ว่า
ทำไมเขามาอยู่ตรงนี้

ผมบอกทั้งสามคนว่า เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังทีหลัง ตอนนี้ต้องออกไปให้ห่างจากบริเวณตรงนี้ก่อน

ว่าแล้วผมก็รีบฉายไฟเดินนำทางช่างออกมาจากป่าตรงนั้น
ช่างสองคนช่วยกันพยุงช่างที่เหยียบตะปูเดินออกมาจากในป่า ทุลักทุเล
จนมาถึงบ้านหลังนั้น

ช่างบอกว่าหิวน้ำ  ขอขึ้นไปกินน้ำบนบ้านก่อน
ผมก็บอกว่า
จะขึ้นไปให้ผีมันสิงอีกหรือ

ช่างหันไปมองหน้ากัน แต่ละคนหน้าบวมปูด เลือดเต็มหน้า
แล้วก็พยุงกันเดินกระโผกกระเผก ตามหลังผมมา

ผมพาช่างเดินมาตามถนนลูกรัง มีสองข้างทางเป็นป่ามืดๆ
ผมบอกกับช่างว่า อดทนเอาหน่อย ข้างหน้าต้องมีหมู่บ้านอยู่ไม่ไกล

ไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหน ไฟฉายผมเหมือนถ่านจะหมด
เลยต้องใช้ไฟฉายอีกกระบอก

เดินไปได้พักใหญ่ๆ ช่างก็ร้องบอกผมว่า ไม่ไหวแล้ว ขอพักก่อน
ผมหันกลับไป เห็นช่างนั่งกองกันอยู่กับพื้นแล้ว
ผมมองกลับไปตามทางที่เราเดินมา
มันมืดมาก มองไม่เห็นแล้วว่า เราห่างจากบ้านหลังนั้นมาไกลแค่ไหนแล้ว
น่าจะหลายกิโลแล้ว
ก็เลยบอกช่างว่า งั้นเรารออยู่ตรงนี้กันจนถึงเช้าก็ได้ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว

แต่พอนั่งรอกันได้พักหนึ่ง อยู่ๆช่างคนหนึ่งก็ ชี้ให้ดู แสงอะไร อยู่ข้างหน้า
พอผมหันไปมอง
ก็เห็นเป็นเหมือนแสงไฟจากหน้ารถ วิ่งผ่านไป อยู่ไกล ริบๆ

เฮ้ย  เจอถนนใหญ่แล้ว

ช่างก็เหมือน ดูมีเรี่ยวมีแรงขึ้น

แล้วเราก็เลยพากัน ลุกขึ้นเดินต่อ

เดินมาตามทางเรื่อยๆจนกระทั้ง แสงพระอาทิตย์ก็เริ่มขึ้นแล้ว
ถึงพากันมาหยุดอยู่ตรง ทางสามแยก  ข้างหน้าเป็นถนนลาดยาง  ที่รถวิ่งผ่านไป

พอเดินออกมาถึงตรงริมถนน ได้
พวกเราก็พากัน ร้องดีใจ  เย้..รอดตายแล้วเรา
ช่างพากันทิ้งตัวลงนั่งกับไหล่ทาง คลุกลงไปกับฝุ่น ไม่ห่วงว่าจะเปื้อนไหม
หันหน้าไปมองแสงพระอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้น
พอมีแสง ก็เริ่มเห็นหน้าพวกช่างชัดเจนขึ้น  หน้าตานี่บวมจนแถบจะตาปิดอยู่แล้ว
ผมก็เลย รีบเอาโทรศัพท์มือถือมาดู


อา.. มีคลื่นเต็ม

แล้วผมก็รีบโทรไปหาเถ้าแก่ทันที
พอเสียง ทางผมเริ่มดัง ตุ๊ส....  ตุ๊ส......

ช่างคนหนึ่งก็รีบสะกิดผมทันที
นายช่าง นายช่าง ได้ยินอะไรไหม

ผมเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูผม

แล้วก็ได้ยินเสียง  เหมือนโทรศัพท์ใครดัง อยู่ใกล้ๆแถวนี้แต่เสียงค่อยมาก

เอ้ย.... เสียงโทรศัพท์ใครวะ

ผมเลยรีบวางสาย ปรากฏว่า เสียงโทรศัพท์นั้น ก็เงียบไปทันทีเหมือนกัน

เฮ้ย...

ผมหันไปบอกกับพวกช่างว่า

เอาใหม่นะ

ผมยกโทรศัพท์ขึ้น มือไม้เริ่มสั่น แล้วก็กดโทรออกไปหาเถ้าแก่อีก

พอเสียงโทรศัพท์ผมเริ่มดัง ตุ๊ส...  ตุ๊ส...
เสียงโทรศัพท์ประหลาดนั้นก็ดังขึ้นมาอีกทันที

เฮ้ย.. เสียงมันมาจากทางไหน

ทุกคนลุกขึ้น มองไปรอบตัว หาต้นเสียงที่มันดังออกมา ว่าอยู่ตรงไหน
แล้วช่างคนหนึ่งก็บอกว่า  เสียงมันน่าจะดังมาจากตรงป่าข้างถนนฟากโน้นนะ
แล้วเราก็รีบพากันวิ่งข้ามถนน ไป
เดินไปตามเสียงโทรศัพท์ เริ่มใกล้เข้าไป เสียงโทรศัพท์เริ่มชัดขึ้น
พอเดินไปหยุด อยู่ตรงแถวเสียงโทรศัพท์ดังออกมา มองไปในป่า
ก็เจอรถหงายท้องล้อชี้ฟ้าอยู่

เฮ้ย.. รถเถ้าแก่

จบบริบูรณ์

จบแล้ว อย่าพึ่งรีบลุกไปไหนนะครับ
มี During Credit  ช่วงท้ายครับ

During Credit


เฮ้ย.. รถเถ้าแก่  นี่

พวกช่างรีบพากันวิ่งกรู ไปดูทีรถทันที
ผมรีบวิ่งตามเข้าไปตรงป่าข้างทาง
ประมาณห้าถึงหก เมตร  ถึงมองเห็นตัวรถที่หงายท้องอยู่ ชัดเจนขึ้น
พอพากันไปหยุดยืนอยู่ตรงข้างๆ ประตูรถ ฝั่งคนขับ
ทุกคนก็มองต่ำไปที่กระจกรถที่กลับหัวอยู่
เสียงโทรศัพท์ยังคงดังออกมาจากข้างในนั้น

ผมรีบกดวางสาย  เสียงโทรศัพท์ข้างในรถก็เงียบตาม
มองไปที่กระจกรถ มันมีฝุ่นจับและมืดจนมองไม่เห็นข้างใน

ผมค่อยๆเดินเข้าไป นั่งลงข้างๆตรงกระจกนั้น
กลิ่นน้ำมันรถเริ่มโชยมา  ตามมาด้วยกลิ่นตุๆบางอย่าง
พอเอื่อมมือไปเช็ดฝุ่นตรงกระจกนั้นออก
แล้วมองดูข้างใน มันก็ทำให้ผมถึงกับผวา จนต้องรีบกระเด้งตัวถอยหลังออกมาทันที
เพราะสภาพที่ผมเห็น คือ
ตาคู่หนึ่งที่แทบจะถลนออกมาจากนอกเบ้า มองมาทางผม
หน้าบวมคล้ำ ผิดรูปผิดร่าง มือไม้ดำปี๋ อืดเกร็ง ชูขึ้นเหมือนแขนคางคก

เฮ้ย... เถ้าแก่ตายแล้ว

ผมรีบตะเกียตะกาย ทั้งๆที่ อยู่ในท่านั่งกับพื้น ถอยหลังไปหาพวกช่างที่อยู่ข้างหลังผม
พวกช่างรีบมาจับตัวผม ผยุงผมลุกขึ้น


ศพขึ้นอืดขนาดนี้แสดงว่า ตายมาแล้ว ไม่ต่ำกว่า สอง สาม วัน

อย่าบอกนะ ว่า...
เถ้าแก่ตายตั้งแต่วันแรกที่มาส่งพวกเรา

เฮ้ย...

แล้วใครรับสายผม

เรื่องจากพันทิป อาถรรพ์บ้านหลอนกลางป่า
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 2227735

ไม่มีความคิดเห็น