"สางดงในคืนเดือนดับ" ตอน 1
"สางดงในคืนเดือนดับ" เรื่องจริงที่ตกทอดจากปู่สู่หลานเกี่ยวกับอาถรรพ์ป่าย้อนยุคไปในช่วงพ.ศ. 2490 การเล่าเรื่องและดำเนินเรื่องได้ดีมากขอสปอย ไว้เลยว่าเรื่องนี้สนุกมากและไม่สามารถวางได้เมื่ออ่านแล้ว หาอ่านได้ยากมาก รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน เรื่องจากสมาชิกหมายเลข 3108333 กราบขอบพระคุณคุณปู่ท่านนี้ด้วย
สำหรับตัวผมเองขอเล่าเรื่องนี้ เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับปู่ทวดของผม เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ราวๆ 3ปี
โดยเรื่องราวนี้ผมขอตั้งชื่อว่า “คืนเดือนดับจับหัวใจ”
ปู่ทวดนั้นท่านเป็นคนจีนแต้จิ๋ว ที่อพยพเข้ามาอยู่ประเทศไทยราวๆปี พ.ศ. 2490 ท่านได้รับสถานะภาพเป็นคนไทย ด้วยจากการช่วยเหลือจากเจ้านาย โดยได้ชื่อไทยว่านาย ฮวด แซ่ถ่ำ และท่านได้เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.2553 ด้วยวัย 94ปี ด้วยประเทศจีนสมัยนั้นเกิดกาลียุค ประชาชนจำต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากการอดอยาก ท่านจึงเข้ามาทำงานในประเทศไทยเมื่ออายุท่านได้ราว 20ต้นๆ โดยไปอาศัยอยู่กับเครือญาติที่อพยพมาอยู่ก่อนหน้านี้ ที่ในจังหวัดแพร่ จนได้เข้าทำงานที่ปางไม้แห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าของก็คือ พ่อเลี้ยงพัฒนา คหบดีเศรษฐีจังหวัดแพร่
ปู่ฮวดนั้นรับค่าจ้างแรงจากการทำงานปางไม้ วันละ 6สลึง มีการจ่ายเงินทุกๆเย็นวันอาทิตย์ ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นค่าแรงทำงานที่เยอะพอสมควรในยุคสมัยนั้น ด้วยที่ปางไม้อยู่ในป่าจึงแทบไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆเลย คนงานในปางไม้ทั้งหมดที่มีประมาณ 20กว่าคน บางคนก็เข้าป่าล่าเนื้อ ได้ เก้ง กวาง หมูป่า กระจง ไก่ป่าหรือสัตว์อื่นๆอีกมากมายยกเว้นไว้แต่ช้าง ทีถือได้ว่าเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง ด้วยสัตว์ป่าสมัยนั้นมีมากมายจึงง่ายต่อการล่านำมาเป็นอาหาร เพราะที่ปางไม้นั้นมีปืนคาร์บิ้น m1แบบแม็คคาซีนชนิดยิงเร็วและสามารถยิงรัวต่อเนื่องได้ ยามได้เนื้อมาก็แบ่งกันกิน ถ้าเหลือก็ตากเกลือเก็บไว้ตามแต่อัตภาพ โดยทิดกราดเป็นพ่อครัวประจำปางไม้ มักจะหุงข้าวด้วยกระทะใบใหญ่ ตำน้ำพริกหาผักต้ม ต้มยำทำแกงต่างๆ แบ่งกันกินทั้งคนไทยคนจีน ได้อาศัยอยู่กันฉันพี่ฉันน้องด้วยความไมตรีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไม่แบ่งเชื้อชาติ เลิกงานตอนเย็นก็อาจจะมีการกินเหล้ากินยาบ้าง โดยมากเป็นเหล้าอุ๊หรือเหล้าป่าตามสมควรพอเป็นกษัยเส้น ถ้าพ่อเลี้ยงแกช่วยอนุเคราะห์ ก็อาจจะได้ดื่มเหล้าสีหรือบางคนเรียกเหล้าแดง แล้วนานๆครั้งถึงได้เข้าเมือง ส่วนมากจะไปเที่ยวตลาดเมืองแพร่กัน โดยการขึ้นรถบรรทุกหัวยาวของปางไม้ไป เพื่อหาซื้อเครื่องใช้ หากินก๊วยเตี๊ยว ข้าวขาหมูและเดินเที่ยวตลาด ส่วนปู่ฮวดนั้นแกชอบชิ่งเพื่อนๆไปนั่งกินก๊วยจั๊บเครื่องในวัว กับน้ำแข็งไสที่ร้านของ อาเหมย สาวน้อยน่ารักวัยแรกรุ่น ผิวขาว ตาตี่ ยิ้มหวาน ลูกสาวของเจ็กเฮงคนจีนฮกเกี้ยน ที่ขายอยู่ในตลาดเมืองแพร่ ด้วยเพราะแอบมีใจให้หล่อนอยู่ลึกๆแอบ เทียวไปนั่งกินก๋วยจั๊บส่งยิ้มหวาน แล้วคิดในใจเข้าข้างตัวเอง ว่าอย่างน้อยๆ หล่อนก็คนบ้านเดียวกัน มันต้องมีลุ้นบ้างแหล่ะวะ ก็มีเพื่อนบางกลุ่ม ไปเสี่ยงโชคเข้าบ่อนเล่นไพ่ แทงไฮโล จะได้จะเสียก็ว่ากันไปตามเวรและกรรม หรือไม่ก็เที่ยวผู้หญิงตามซ่องกลางวันแสกๆ โดยมากเป็นหญิงบริการชาวดอยภูเขา เป็นสาวๆวัยละอ่อน หน้าตาทรวดทรงก็จัดได้ว่าทีเด็ดขาวเนียน อัตราค่าบริการก็แล้วแต่จะตกลงกัน ยืนพื้นก็ราวๆ 7บาท ไม่มีเบอร์ตอง ถุงยางอานามัยไม่ต้องใช้ เพราะสมัยก่อนนั้น อย่างมากก็เป็นแค่โรคผู้หญิงไม่มีโรค hivอย่างปัจจุบันนี้
แล้วก็มีเหตุอันทำให้ปู่ฮวดของผม ต้องเดินทางจากปางไม้จังหวัดแพร่ ไปกับเพื่อนหนุ่มๆในปางไม้อีกรวมๆ 6คน จำต้องไปช่วยงานคุณอนุวัฒน์ น้องชายคนเล็กสุดของพ่อเลี้ยงพัฒนา ท่านขอให้ไปช่วยงานที่เมืองน่าน เนื่องจากมีงานข้ามโขงไปตัดไม้สักขนาดใหญ่ ว่ากันว่าขนาดต้นนั้น ราวๆ 3คนโอบแต่อยู่ในป่าลึก จึงขอใช้แรงคนงานที่ปางไม้ของพ่อเลี้ยงพัฒนา เพื่อข้ามลำโขงเข้าไปตัดในป่าภูเวียงฟ้า(ทางภาษาคนพื้นเมืองเรียกกันว่าภูผีเมือง) โดยเหตุที่พ่อตาของคุณอนุวัฒน์ ได้ทำเรื่องขอสัมปทานไม้สักขนาดใหญ่ กับทางการแขวงเมืองไซยะบุรี ประเทศลาวเอาไว้
ด้วยลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปของแขวงไซยะบุรี เป็นภูเขาและที่ราบสูง มีชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่มากมายอาทิ ไทดำ ไทลื้อ ขมุ ขฉิ่น อาข่า และม้ง จึงได้กลายเป็นแขวงที่มีการทำไม้ซุงมากที่สุดและมีจำนวนช้างงานมากที่สุดในประเทศลาวสมัยนั้น ราวๆต้นเดือนพฤษจิกายน เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว คณะเดินทางอันประกอบไปด้วยคุณอนุวัฒน์ ทิดหมาน ทิดกราด นายทอง นายแสง นายกล้า ปู่ฮวด และดาบเริงนายตำรวจสังกัด ต.ช.ด.ริมโขง เพื่อนคุณอนุวัฒน์สมัยมัธยมปลาย ร่วมเดินทางไปด้วย เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้ว จึงเดินทางเข้าเขตแขวงเมืองไซยะบุรีข้ามโขงด้วยการนั่งเรือ ครั้นขึ้นฝั่งก็พบกับพรานพื้นเมืองชาวลาวรอคอยที่ฝั่งอยู่ 2คน ซึ่งมีชื่อว่าอ้ายเฮืองและอ้ายโหน่ย เมื่อพรานพื้นเมืองทั้งสองเจอคุณอนุวัฒน์ ก็รีบยกมือไหว้ทักทายตามประสาคนรู้จักที่คุ้นเคยกันมาแต่ช้านาน แต่เนื่องด้วยเวลาที่ไปถึงนั้น ก็เป็นเวลาใกล้พลบค่ำแล้ว คณะเดินทางของคุณอนุวัฒน์ จึงเดินเท้าราวๆ2 กิโลเมตร เพื่อไปพักค้างคืนที่เรือนไม้ขนาดเสา 12ต้นยกใต้ถุนสูง ตีฝาด้วยแผ่นกระดานไม้ฝาเก่าๆเพียงครึ่งหลังและมุงด้วยหญ้าแฝก ซึ่งเป็นบ้านของอ้ายโหน่ยพรานพื้นที่หนุ่มใหญ่วัย 30ต้นๆ จากนั้นเจ้าบ้านก็จัดแจงเลี้ยงดูปูเสื่อ ในเรื่องอาหารการกินเป็นอย่างดี โดยมีต้มไก่บ้านใส่หน่อไม้ดองหม้อใหญ่ กับผักสดจี้มกับแจ่ว และเนื้อแดดเดียวทอดกินกับข้าวเหนียวนึ่งอุ่นๆ
ครั้นเมื่อถึงยามดึกแล้ว โดยสภาพทั่วไปที่แขวงไซยะบุรี จะมีภูมิอากาศที่คล้ายคลึง กับสภาพภูมิอากาศของจังหวัดน่านและจังหวัดอุตรดิตถ์ แต่ทว่าในฤดูหนาวจะมีอากาศที่หนาวเย็นมากกว่า ทำให้ปู่ฮวดกับเพื่อนๆนั้นนอนไม่หลับ รวมถึงคุณอนุวัฒน์และดาบเริงด้วยด้วย จึงได้ลงจากเรือนมานั่งห่มผ้าคุยพูดกัน บนแคร่ไม้ขนาดใหญ่ใต้ถุนบ้าน พร้อมกับได้ก่อกองไฟขนาดใหญ่ไว้ข้างๆ นั่งจิบเหล้าสีแม่โขงขวดใหญ่ ที่คุณอนุวัฒน์หิ้วมาฝากจากเมืองน่าน เพื่อคลายความหนาวเย็น ของลมหนาวทีพัดเข้ามาใต้ถุนบ้านเป็นระยะๆ แล้วสักพักหนึ่ง ทันใดนั้นเองก็มีชายชราสูงวัย เดินตรงเข้ามายังกลุ่มคนที่นั่งอยู่ใต้ถุนบ้าน เมื่อแกเดินเข้ามาใกล้ๆ ก็พบว่าผมหงอกขาวโพลนแทบทั้งศรีษะอายุ ราว 80ปลายๆ ซึ่งบ้านแกก็อยู่ในละแวกนั้นเอง คงอาจจะเห็นว่าพวกปู่ฮวดยังไม่หลับนอน จึงเดินเข้ามาขอผิงไฟด้วย และชวนพูดคุยถามสารทุข์สุกดิบ ตามประสาคนแก่ชอบหาเพื่อนคุยเล่น
ชายชราผู้นั้นแกบอกว่าแกนั้นชื่อสีเมือง หรือให้เรียกแกว่าพ่อใหญ่สีก็ได้ ทิดหมานหนุ่มวัย 20กว่าๆชาวเมืองลับแลบรรจงรินเหล้าสีใส่แก้วให้แก แต่แกก็ได้โบกมือปฏิเสธ พร้อมกับพูดว่า ตาเป็นหมอธรรมต้องรักษาศิลไม่ดื่มเหล้าเมายาหรอกไอ้หนุ่มเอ้ย หลังจากที่ได้พูดคุยกันอยู่สักพักใหญ่ๆ แกจึงได้ถามว่าพวกปู่ฮวดนี้จะเดินทางไปที่ไหนกัน จะเข้าป่าไปหาล่าสัตว์เหรอ คุณอนุวัฒน์จึงได้ตอบกลับไปว่า พวกผมมาหาพรานนำทาง และรอเจ้าหน้าที่ตีตราไม้ประจำแขวงครับ พวกเราจะเดินทางขึ้นภูเวียงฟ้า ไปเอาไม้สักใหญ่ขนาดใหญ่ครับ พอดีพ่อตาผมแกรู้จักกับผู้บริหารระดับสูง เลยทำเรื่องสัมปทานกับทางการไว้ประมาณ 30ต้น เลยสั่งให้ผมพาลูกน้องไปล้มทิ้งไว้เสียก่อน แล้ววันหลังค่อยไปเช่าช้างงานที่ด่านกุดดอน ลากไม้ซุงลงลำเง็ก แล้วค่อยลำเลียงออกปากแม่น้ำโขงครับ กะไว้ว่าถ้าแปรรูปแล้วคงได้ไม้กระดานงามๆหลายแผ่นอยู่ พอจะได้กำไรจากการสัมปทานนี้อยู่บ้างครับ เพราะเราไม่มีคู่แข่งตอนประกวดราคา สิ้นเสียงคำตอบของคุณอนุวัฒน์ เมื่อพ่อใหญ่สีได้ฟังแกก็มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย แล้วจึงอุทานออกมาเสียงเบาๆว่า ที่ภูฟ้านะหรือ แล้วหลังจากนั้นแกก็อธิบายต่อและเล่าให้ฟังว่า ภูเขาลูกนี้เป็นภูอาถรรพ์ตามความเชื่อของชาวเผ่าไทลื้อ ไทดำ ที่เชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตย์ของพญาผีป่าผีไพร พร้อมทั้งผีบริวารทั้งหลายภายใต้ปกครอง ในเขตย่านนี้แทบไม่มีใครกล้าขึ้นไป เคยมีนายพรานที่ดันทุรังไม่เชื่อคำทักท้วงขึ้นไปล่าสัตว์ป่า ไปแล้วแล้วไม่ได้กลับลงมาตั้งหลายคน โดยเฉพาะพรานที่มาต่างถิ่นหรือพรานเมือง เหตุก็เพราะป่านี้อาถรรพ์ผีป่ามันแรง คนที่เคยรอดออกมาก็มี แต่มักจะเพ้ออย่างเสียจริต ว่าเห็นนี่บ้าง นั่นบ้าง ส่วนใหญ่ก็มักเพ้อเจ้อกันไปแบบนี้ คนเขตนี้ไม่มีใครเขาอยากขึ้นไปกันหรอก เมื่อพูดจบแกก็พันบุหรี่จากใบจากมาจุดสูบสีหน้านิ่งเรียบ คุณอนุวัฒน์จึงได้ถามพ่อใหญ่สีกลับไปอีกว่า แล้วทำไมนายทุนเขตนี้ เขาจึงไม่มีใครเข้าไปสัมปทานไม้ใหญ่บนภูนี้ครับ ทางการเขาก็เปิดให้ประมูลไม้เยอะอยู่นะตา พ่อใหญ่สีจึงตอบกลับมาว่า มันไม่มีใครเขาอยากเข้าไปทำไม้บนภูนี้หรอกไอ้หนุ่มเอ้ย เพราะเขากลัวอาถรรพ์กันยังไงเล่า มีเสี่ยใหญ่เมืองมุกดาหารเคยเข้าไปสัมปทานอยู่เหมือนกัน เข้าไปได้ไม่กี่วันก็พาลูกน้อง หนีกลับลงภูแทบไม่ทัน ที่หลงหายสาบสูญไปก็มี แล้วพวกไอ้เฮืองไอ้โหน่ยไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังบ้างหรือไอ้หนุ่ม ไอ้สองคนนี่มันเห็นแก่ค่าจ้างจริงๆเลยนะ พูดจบพ่อใหญ่สีก็หัวเราะขบขัน พลางส่ายหัวเบาๆไปมา เมื่อพวกปู่ฮวดได้ฟังพ่อใหญ่สีเล่าดังนี้ ก็ถึงกับหน้าซีดถอดสี ใจแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะความกลัว ทิดหมานจึงได้ถามพ่อใหญ่สีกลับไปอีกว่า ถ้าพวกผมจะขึ้นภูตาพอจะมีของดีอะไร ให้พวกผมไว้ป้องกันตัวบ้างมั้ยครับ เนื่องว่าทางกลุ่มนั้นก็พอรู้ว่าพ่อใหญ่สีนั้น แกเป็นหมอธรรมประจำพื้นที่ก็ต้องมีวิชาอาคมอยู่บ้างพอสมควร จึงอยากจะขอของดีแกไว้เพื่อป้องกันตัวยามขึ้นภูบ้าง พ่อใหญ่สีได้ตอบกลับมาว่า วันพรุ่งนี้ก่อนเดินทางให้ใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มพวกเอ็งไปหาตาที่บ้านนะ เดี๋ยวตาจะให้ของดีพวกเอ็งไปไว้ป้องกันตัวสักอย่าง 2อย่าง แต่พวกเอ็งจงจำไว้นะไอ้หนุ่ม อีกไม่กี่วันนี้ก็จะถึงคืนแรม 15ค่ำ คืนนั้นมันจะเป็นคืนเดือนดับ พวกเอ็งจงรีบลงจากภูเวียงฟ้ากันเสีย เพราะคืนเดือนคับแรม 15ค่ำ พวกวิญญาณสัมภเวสีภูตผีต่างๆมันจะมีพลังแห่งอาถรรพ์สูง จงพากันรีบลงภูมาก่อนที่อาทิตย์จะลับขอบฟ้า พอพูดจบพ่อใหญ่สีก็ลุกออกจากกองไฟนั้นแล้วหันหลังกลับ เพื่อไปเรือนนอนที่อยู่หลังถัดออกไปอีกไม่กี่หลัง
เมื่อพวกปู่ฮวดดื่มเหล้าหมดโขง ก็รีบขึ้นเรือนนอนผักผ่อนเพื่อเก็บแรงไว้เดินทางกัน รุ่งขึ้นทิดหมานเดินไปหาพ่อใหญ่สีที่บ้านแต่เช้าตรู่ตามคำสั่งของคุณอนุวัฒน์ เพื่อไปขอรับของดีไว้ไปป้องกันตัว ก่อนจะกลับพ่อใหญ่สีได้กำชับทิดหมานอีกว่า ให้รีบลงภูก่อนวันแรม 15ค่ำ ทิดหมานกลับมาพร้อมกับด้ายสายสิณญ์สีเหลืองหลายเส้น และสร้อยปะคำร้อยแปด ที่ทำจากทองเหลืองเม็ดโตเท่านิ้วชี้อีก 1เส้น สำหรับสร้อยประคำเส้นนี้ พ่อใหญ่สีแกบอกว่า ได้จากเกจิวัดป่าพระอริยสงฆ์แห่งนครหลวงพระบาง ลงจากภูแล้วค่อยมาคืนให้แกก็ได้
หลังจากกินข้าวเที่ยงกันเสร็จแล้ว คณะตัดไม้ของคุณอนุวัฒน์จึงได้เดินทางเพื่อเข้าภูเวียงฟ้า ด้วยรถแลนด์เก่าๆโกโรโกโสทั้ง 2คันโดยบรรทุกคนวิ่งตามกันมา ซึ่งในคณะนั้นได้มี ท้าวคำใสเจ้าหน้าที่ตีตราไม้ของทางการแขวงไซยะบุรี ได้ร่วมเดินทางไปด้วย พร้อมทั้งกับขนอุปกรณ์สำหรับล้มต้นไม้ขนาดใหญ่ เสบียงอาหาร และอาวุธปืนชนิดต่างๆไปเพื่อป้องกันตัว จากเหตุการณ์อันไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ รถวิ่งผ่าผืนป่าไปได้สักราวๆ 20กว่ากิโลเมตร ครั้นเมื่อสิ้นสุดถนนที่รถยนต์สามารถเข้าถึงแล้ว คุณอนุวัฒน์จึงให้ตาบุญมีกับทิดดวงคนขับรถทั้งสองขับรถกลับ โดยได้กำชับให้มารอรับในวันเวลาที่นัดหมายไว้ จากนั้นคณะทีมงานของคุณอนุวัฒน์ทุกคน ก็ได้ขนอุปกรณ์ต่างๆใส่เป้สนามเดินไปตามรอยทางเท้า โดยมีอ้ายเฮืองและอ้ายโหน่ยเป็นพรานนำทาง พาทำพิธีเปิดป่าขอขมาเจ้าที่เจ้าทางเสียก่อน
แล้วทั้งหมดก็ออกเดินทางไปตามร่องทางเดิน ที่คาดได้ว่าน่าจะเป็นด่านช้าง หรือทางช้างป่าเดินนั่นเอง จากนั้นทิดหมานก็นำเรื่องราวที่พูดคุยกับพ่อใหญ่สี ร่วมปรึกษาหารือกับคุณอนุวัฒน์ พร้อมกับยื่นเส้นปะคำร้อยแปดในมือ ให้คุณอนุวัฒน์เป็นคนเก็บรักษาเอาไว้ รวมถึงแบ่งเส้นด้ายสายสิณญ์ปลุกเสก ที่พ่อใหญ่สีให้มาแก่ทุกคนในคณะ รวมถึงปู่ฮวดด้วยนั่นเอง เมื่อคุณอนุวัฒน์ได้ปรึกษากับทิดหมาน ก็มีอาการสีหน้าเหมือนครุ่นคิดอย่างหนัก มือพลางควักบุหรี่จากกระเป๋าเสื้อมาจุดสูบ ปล่อยควันลอยออกปากแล้วพูดเปรยๆขึ้นว่า ถ้าเป็นแบบนี้ เราควรเร่งมือการตัดไม้สักใหญ่จำนวน 30ต้นนี้ ให้แล้วเสร็จก่อนวันแรม 15ค่ำ นี้แล้วกัน จากนั้นคุณอนุวัฒน์จึงมีคำสั่งให้คณะรีบเดินทางกันอย่างรวดเร็ว คุณอนุวัฒน์หนุ่มใหญ่หน้าตาดีแม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ จบการศึกษาปริญญาตรี ด้านบริหารรัฐกิจมาจากกรุงเทพมหานคร แต่ก็นับได้ว่า แกเป็นคนที่มีความเชื่อในเรื่องนี้อยู่มากพอสมควร
การเดินทางขึ้นภูนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก ในทันใดนั้นเอง รีบหยุดกันก่อนครับ นี่มันรอยขี้ช้าง รอยมันยังใหม่ๆอยู่เลย อ้ายเฮืองเอ่ยบอกคณะ พลางก้มมองดูมูลช้าง ด้วยเพราะบริเวณโดยรอบ เป็นป่าค่อนข้างจะรกทึบ ที่หนาแน่นไปด้วยไม้พุ่มเตี้ยๆสลับกับไม้สูง ถ้าหากช้างป่าแอบซ่อนตัวพรางตาอยู่ ทั้งคณะอาจได้รับอันตรายจากมัน อ้ายเฮืองจำต้องตรวจตราจนแน่ใจ ว่าช้างป่าได้เดินจนผ่านพ้น ออกจากด่านย่านนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันไปหรือยังครับพราน ดาบเริงเอ่ยถามอ้ายเฮืองแบบอยากรู้ มันออกไปได้สักพักแล้วครับ อ้ายเฮืองกล่าวบอกดาบเริง กระทั่งคณะตัดไม้ได้เดินทางมาถึงที่บริเวณลานโล่งใจกลางป่า อันเป็นที่หลุบลึกมีอากาศร้อนชื้น และอบอ้าวนิดๆ แต่ก็มีลำน้ำเป็นโตรกธารเล็กๆไหลพาดผ่าน ทางคณะจึงได้พากันหยุดพักเนื่องจากใกล้พลบค่ำแล้ว ดังนั้นในคืนแรกนี้ คณะตัดไม้ของคุณอนุวัฒน์ จึงตกลงกันว่าจะนอนค้างคืนในที่นี้ เพราะเป็นที่โล่งแจ้ง และมีแหล่งน้ำ โดยวิธีการกางเต้นท์นอนขนาดใหญ่ 2หลัง มีการเข้าเวรยามรอบบริเวณชุดละ 3คน โดยที่สลับกันอยู่เวรยามชุดละ 3ชั่วโมง และได้ก่อกองไฟขนาดใหญ่ไว้หน้าเต้นท์นอนทั้งคืน เพื่อบรรเทาความหนาว และเป็นการป้องกันภัยอันตรายจากสัตว์ป่า
โดยก่อนจะนอนนั้น ทุกคนต่างพากันไปอาบน้ำชำระร่างกาย ที่ลำธารน้ำเล็กๆแหล่งนั้น แล้วก็ล้อมวงกินข้าวที่ห่อติดตัวมา กินกับเนื้อเค็มปิ้ง น้ำพริกตาแดง ปลาร้าสับจี้มกับผักสดที่ขึ้นตามป่า และต้มกาแฟดำดื่ม ครั้นเมื่อถึงเวลาดึก ภูมิอากาศหนาวเย็นก็เข้าปกคลุม ทุกคนจึงได้เข้านอนในเต้นท์เพื่อผักผ่อนเอาแรง โดยที่ ปู่ฮวด ทิดหมาน และดาบเริง เป็น 3คนแรก ที่ทำหน้าที่เวรยามให้หมู่คณะ กระชับปืนคู่กายไว้กับตัวแน่น จนเมื่อเวลาได้ผ่านล่วงไป นายทอง นายแสงและนายกล้า ก็มารับช่วงยามต่อเป็นพลัดที่ 2 จนเวลาเข้าไปถึงช่วงดึกราวๆตี 1 คณะตัดไม้ก็ต้องตกใจสะดุ้งลุกตื่นขึ้นมา รีบหยิบปืนกระชับเข้ามือกันแทบทุกคน เมื่อทุกคนได้ยินเสียงปืนลูกซองดังสนั่นขึ้น 1นัด เปรี้ยง... พร้อมกับเสียงเสือโคร่งที่วิ่งร้องคำรามกึกก้องทั่วทั้งผืนป่า โฮร่กกก... สำหรับตัวของปู่ฮวดนั้นได้สะดุ้งตื่นสุดตัว พลางกระชับลูกซองยาวนัดเดียวไว้ในมือ พร้อมที่จะลั่นไกยิงผู้บุกรุกได้ทุกเมื่อ
ทุกคนต่างถือปืนไว้ในมือเตรียมพร้อมที่จะยิงอย่างทันที และแล้วก็มีเสียงร้องตะโกนถามกันจ้าละหวั่นถามว่า เสียงปืนเมื่อกี้ใครยิงอะไร ดาบเริงตะโกนถามลั่น นั่นซิยิงอะไรวะ ใครเป็นอะไร อ้ายเฮืองรีบเอ่ยสำทับ คุณอนุวัฒน์จึงรีบตอบกลับมาบอกทุกๆคนว่า เมื่อกี้ฉันนี่แหล่ะยิงใส่เสือโคร่ง ตัวมันใหญ่มากราวๆสัก 7ศอก เห็นจะได้ล่ะมั้ง ก็เห็นมันกำลังเดินย่างสามขุมเข้ามา จะกัดไอ้แสงที่นั่งยามอยู่ ฉันปวดฉี่จึงตื่นนอนมาเห็นเข้าพอดี เลยเอาปืนลูกซองที่ถือติดมือมายิงใส่แสกหน้ามันไป 1นัด มันโดนกระสุนลูกโดดเข้าจังๆ จนสะดุ้งแล้วกระโจนหนีเข้าป่าหายไป และจากนั้นอ้ายโหน่ยจึงถามกลับยังนายแสงไปว่า เสือตัวใหญ่มันเดินเข้ามาใกล้ขนาดนี้ เอ็งก็นั่งยามอยู่เอ็งไม่เห็นตัวมัน หรือว่าเอ็งนั่งหลับใน ฉันก็เห็นอยู่นะพี่ แต่ไม่ได้เห็นเป็นตัวเสือ ฉันเห็นแต่ผู้หญิงสาวชาวป่า มีหน้าตาสะสวย เปลือยท่อนบนนุ่งแต่ผ้าถุง ค่อยๆเดินเข้ามาแล้วก็ส่งยิ้มให้ฉัน จากนั้นก็กวักมือเรียก ให้ฉันเข้าไปหาที่ชายป่าโน่นแน่ะ ขณะจ้องมองอยู่ฉันก็เหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์ รู้สึกบังคับตัวเองไม่ได้เลย นายแสงหนุ่มรุ่นๆตอบกลับด้วยสีหน้าซีดเผือดพลางเกาหัวเบาๆ เอ็งคงคิดจินตนาการไปว่ามีสาวสวย มาโปรดเอ็งถึงกลางป่าล่ะซิ ไอ้แสง5555 ทิดหมานเอ่ยขึ้นระคนหัวเราะ แล้วไอ้ทองกับไอ้กล้า ที่นั่งยามอยู่ด้วยกันกับไอ้แสง พวกเอ็งไม่เห็นหรือว่าเสือกำลังเข้ามาใกล้ขนาดนี้ คุณอนุวัฒน์เค้นถามสีหน้าเคร่ง พวกเรานั่งยามอยู่ดีๆมันก็วูบหลับหายไปเลยครับนาย มารู้สึกตัวก็ตอนเสียงปืนที่นายยิงดังขึ้นนี่แหล่ะครับ นายทองและนายกล้าตอบแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน อ้ายเฮืองพรานหนุ่มจึงได้อุทานออกมาว่า ข้าว่าพวกเอ็งต้องมนต์สะกดของสมิงไพรแล้วล่ะซิ พวกเอ็งได้ผูกด้ายสายสิณญ์ที่แจกให้ เก็บไว้ติดตัวกันบ้างมั้ย ทิดหมานเอ่ยถามนายแสงพลางเร่งบุหรี่ที่จุดสูบคีบไว้ในมือ เปล่าพี่ ฉันไม่ได้เก็บไว้ที่ตัว ฉันเอาไว้ในย่ามอยู่ในเต้นท์นอนโน่นแน่ะพี่ นายแสงพูดตอบสีหน้าเรียบเฉย มิน่าล่ะพวกเอ็งถึงต้องมนต์เสือสมิงได้ อ้ายเฮืองพรานหนุ่มพลางกล่าวทิ้งทวนอีกครั้ง ถ้างั้น เอาเป็นว่าทุกคน จงรีบเอาด้ายสายสิณญ์ปลุกเสก ที่พ่อใหญ่สีให้มา ผูกเอาไว้ที่ข้อมือนะ ถ้าใครคนไหนยังไม่ผูกก็ให้รีบผูกตอนนี้เสียเลย คุณอนุวัฒน์บอกสั่งแกมบังคับทุกๆคน จากนั้นทุกๆคนก็แยกย้ายกันเข้าที่นอน โดยที่คุณอนุวัฒน์ได้ขอให้อ้ายเฮืองและอ้ายโหน่ย สองพรานฝีมือดีผู้เจนจัดป่าไพร แห่งเมืองไซยะบุรี ทำหน้าที่เวรยามแคมป์ของคณะนอนจนถึงยามเช้าตรู่
เมื่อเสียงไก่ป่าขันทุกๆคนต่างก็ลุกขึ้นจากที่นอน ไปล้างหน้าล้างตาที่ลำธารเล็กๆแต่เช้ามืด จากนั้นจึงได้พากันออกเดินไปตามรอยเลือดของเจ้าเสือตัวนั้น แล้วทุกคนก็ต้องตะลึง เมื่อพบซากเสือโคร่งขนาดใหญ่ นอนตายจมกองเลือดอยู่ห่างออกไปจากที่กางแคมป์นอน ราวๆเกือบ 800เมตร มีรอยกระสุนแบบลูกโดด เข้าที่แสกหน้าเสือโคร่งตัวเมียแก่ๆ และมันมีลูกอ่อนอยู่หนึ่งตัว โดยที่มันนอนอยู่ข้างๆร่างของเสือโคร่งตัวแม่ มันเป็นตัวผู้ ที่ขนาดตัวเท่าๆกับลูกสุนัข นอนดูดเต้านมของแม่มัน ที่นอนนิ่งไร้วิญญาณ โดยที่มันหารู้ไม่ ว่าแม่ของมันได้จากโลกนี้ไปแล้ว มันช่างเป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก เจ้าเสือโคร่งน้อยตัวนั้น มันหันหน้ามามองเหล่าคณะ แล้วได้คำรามขู่เบาๆ แฮร่ๆๆๆๆๆ ไม่ใช่เสือสมิงที่แก่วิชาหรอกครับนาย มันเป็นแค่เสือธรรมดา ที่มีวิญญาณสิงสู่อยู่ในร่างกายเท่านั้นเอง แค่อาถรรพ์ผีป่าลวงตาโดยจำแลงภาพให้เห็น เป็นเหยื่อที่มันเคยฆ่ามาแล้วเท่านั้น ท้าวคำใสพูดอธิบายในขณะที่ยังก้มหน้ามอง จ้องไปที่ซากเสือร้ายตัวนั้น ถ้าเราจะมัวชำแหล่ะมัน แล้วถลกเอาหนัง ฉันคิดว่าเราต้องเสียเวลาขึ้นภูแน่ๆ ผมว่าเอาเศษไม้สุมทั้งร่างมันเลย ดีกว่าจะปล่อยมันทิ้งไว้ให้อุจาดตาแบบนี้ เมื่อคุณอนุวัฒน์พูดจบ ทุกคนต่างออกเดินไปหอบฟืนและหาเศษไม้ ช่วยกันใช้ไฟสุมร่างเสือตัวนั้น ในบริเวณที่เป็นลานโล่ง เพื่อป้องกันการลุกลามของไฟป่า แล้วลูกน้อยมันที่เป็นลูกโทนนี่เราจะเอาอย่างไรดีครับ ถ้าปล่อยไว้มันคงอดตายเพราะขาดแม่ ผมว่าฆ่ามันทิ้งจะดีกว่านะครับ อ้ายโหน่ยพูดจบพลางยกปืนลูกซอง 5นัดคู่กาย ทำท่าจะเล็งปลายกระบอกปืนไปยังร่างเจ้าเสือโคร่งน้อยตัวนั้น ในทันใดนั้นเอง หยุดๆก่อนครับพราน คุณอนุวัฒน์กล่าว พลางยกมือไปกำกระบอกปืนของอ้ายโหน่ยกดลงต่ำไว้ เดี๋ยวให้ไอ้ทองจับมันใส่ย่ามไปกับเราก็ได้ อย่างน้อยๆผมก็มีนมข้นแบบกระป๋องติดตัวมา พอจะให้มันกินแก้ขัดได้บ้าง ถือเสียว่าเลี้ยงมันเอาบุญก็แล้วกัน แค่ผมยิงจนมันต้องกำพร้าแม่ ก็รู้สึกว่าบาปเต็มทีแล้ว คุณอนุวัฒน์กล่าวทิ้งท้าย เอาเป็นว่า เรียกเจ้าเสือโคร่งน้อยตัวนี้ว่าไอ้โทนก็แล้วกันนะ555 อ้ายเฮืองเอ่ยบอกพลางหัวเราะ ใช่แล้วเอาชื่อนี่แหล่ะ เหมาะดี ดาบเริงรีบเอ่ยเสริม แล้วคุณอนุวัฒน์ได้สั่งให้นายทอง รีบจับเจ้าเสือโคร่งน้อยตัวนั้น ใส่ย่ามสะพายข้างของตนไปด้วย โดยที่มันเข้าไปหมอบอยู่ข้างในย่ามอย่างว่าง่าย โดยไม่มีอาการดื้อดึงแต่อย่างใด แล้วทุกคนก็ได้เดินทางกลับมายังแคมป์นอน เพื่อร่วมวงกินอาหารเช้า ซึ่งมีทิดกราดเป็นผู้ตระเตรียมรอเอาไว้ โดยอาหารในมื้อนี้ก็คือ แกงหมี่ผักหวานใส่เนื้อเค็มหม้อใหญ่นั่นเอง
เมื่อกินข้าวเช้ากันเสร็จสับแล้ว คณะตัดไม้จึงออกเดินทางเพื่อขึ้นภูต่อไป โดยมีท้าวคำใสเจ้าพนักงานป่าไม้แขวงไซยะบุรีเดินนำหน้า โดยอาศัยเข็มทิศช่วยในการเดินทาง และมีคุณอนุวัฒน์เดินตามอยู่ไม่ห่าง คุณอนุวัฒน์ได้เดินพูดคุยกับท้าวคำใส พร้อมกับถามถึงเรื่องราวอาถรรพ์ลี้ลับต่างๆของภูลูกนี้ แต่ว่าท้าวคำใสก็ไม่สามารถอธิบายได้เลย เพราะเพิ่งย้ายมาจากหน่วยงานกลางที่เวียงจันทร์ ที่เขานำขึ้นภูมาได้เพราะแผนที่และเข็มทิศ ดงสักในป่านี้ก็เพียงแค่รู้ว่ามีอยู่จริง แต่ก็ไม่เคยเห็นมันจริงๆ ซ้ำพูดทิ้งท้ายว่า ถ้าป่ามันมีอาถรรพ์จริงๆ ตัวผมก็ศิษย์มีครูวิชาอาคมนี้ผมก็มีอยู่บ้าง แต่ว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดเราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราคงต้องวัดดวงเอาแล้วครับ คำพูดท้าวคำใส เล่นเอาทั้งคณะตัดไม้ ที่ได้ฟังประโยคนี้ถึงกับต้องเสียขวัญไปตามๆกันเลยทีเดียว
ตะวันบ่ายคล้อยคณะตัดไม้จึงนั่งพักเหนื่อยที่ริมธารน้ำ พร้อมกับนั่งกินข้าวห่อ ปู่ฮวดนั้นเมื่อกินข้าวห่อกับเนื้อเค็มย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จุดบุหรี่สูบหลังพิงกับต้นไม้ใหญ่และคุยกันกับเพื่อนๆในคณะตัดไม้ อย่างสนุกสนานต่างคนต่างเหนื่อยล้าเต็มที คุณอนุวัฒน์บอกให้คณะหยุดพักงีบก่อนสัก 1ชั่งโมง จากนั้นค่อยเดินทางต่อ งีบอยู่สักพักก็มีเสียงปืนลูกซองดังขึ้น ครู่เดียวอ้ายเฮืองก็แบกหมูป่าหนุ่มๆ น้ำหนักราว20กิโลกรัมเห็นจะได้ คอนขึ้นบ่าแบกเดินออกมาจากพุ่มไม้ ค่ำนี้ไม่ต้องกินย่างเนื้อเค็มแล้วพวกเรา ทิดหมานอุทานอย่างปลื้มปิติ จากนั้นปู่ฮวดและเพื่อน จึงช่วยก็กันชำแหล่ะเนื้อหมูป่าใส่ย่าม โดยที่เศษกระดูกและเครื่องในนั้นก็จุดไฟ โดยใช้เศษไม้สุมทิ้ง พร้อมกับให้ทิดหมานอดีตผู้เคยเป็นพระบวชเรียนยาวนานมาถึง 3พรรษา สวดแผ่เมตตาพร้อมกับกรวดน้ำไปให้ เพื่อให้หมูป่าตัวนี้ได้ไปจุติใหม่ยังภพภูมิที่ดีกว่าเก่า เราเข้าป่า เราขออาหารป่า เราก็ต้องเคารพป่า คุณอนุวัฒน์กล่าวประโยคทิ้งท้ายด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ก่อนสั่งให้ทุกคนเตรียมตัวเก็บของ แล้วไปตักน้ำใส่กระบอกไว้ดื่มให้เต็มอย่าให้ขาด จากนั้นจึงให้เร่งเดินทางต่อไป
การเดินทางผ่านมาอย่างทุลักทุเล จนกระทั่งมาถึงชายป่าก่อนทางขึ้นภูเวียงฟ้า ซึ่งเป็นลักษณะบริเวณโล่งแจ้ง พบรอยของการก่อสร้างบ้านเรือน ซึ่งน่าจะเป็นของกลุ่มผู้บุกเบิกทำไร่ในป่า แต่ทว่ามีสภาพรอยทิ้งร้างไว้ โดยรวมๆแล้วก็เกือบจะ 20กว่าหลังคาเรือน บางหลังยังมีสภาพแทบสมบูรณ์ แต่ว่าไร้วี่แววผู้อยู่อาศัย บัดนี้เป็นเวลาที่จวนจะใกล้พลบค่ำแล้ว มีหมู่บ้านร้างอยู่พอดีเลย เรานอนพักที่นี่เลยมั้ยครับ ทิดหมานเอ่ยถามทุกคนทันที คนโบราณเค้าถือโว้ย ถ้าเดินป่าแล้วเจอหมู่บ้านร้าง ห้ามนอนพักค้างคืนเด็ดขาด อ้ายโหน่ยเอ่ยตอบทิดหมานทันที ใช่แล้ว ไม่รู้ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นที่หมู่บ้านนี่ เราควรออกไปตั้งแคมป์ที่ตรงชายป่าโน่นแน่ะ กันไว้จะดีกว่าแก้นะ ท้าวคำใสบอกสำทับอีกครา แล้วทั้งคณะตัดไม้จึงลงกันออกไปตั้งแคมป์นอนที่ชายป่า ห่างจากจุดหมู่บ้านร้างนี้พอสมควร จากนั้น ทิดกราดพ่อครัวก็ลงมือหุงข้าว และง่วนกับการทำอาหาร โดยเมนูได้จากหมูป่าตัวนั้น ทั้งทาเกลือย่าง ทั้งผัดพริกแกงใส่ใบกระเพรา โดยที่ทุกๆคนพากันแยกตัวกัน ออกสำรวจพื้นที่บริเวณรอบๆ อ้ายโหน่ยได้พบว่าทางเหนือขึ้นไปจากจุดทีพัก ห่างไปประมาณเกือบ 1กิโลเมตรนั้น เป็นดินโป่งดินอยู่ติดกับหนองน้ำ ได้พบรอยสัตว์มากมายหลายชนิด อ้ายโหน่ยจึงได้ขัดห้างไว้ และขออนุญาติคุณอนุวัฒน์ เข้าไปรอยิงสัตว์ป่าในตอนกลางคืน คุณอนุวัฒน์นั้นไม่อยากให้อ้ายโหน่ยไปเพราะกลัวเป็นอันตราย และไม่อยากให้แยกกัน แต่ก็ขัดอ้ายโหน่ยเสียมิได้ ไม่เป็นไรหรอกครับนาย เดี๋ยวผมจะนำเด็กไปช่วยนั่งเป็นเพื่อน อ้ายโหน่ยกล่าวบอกคุณอนุวัฒน์ทันที ก่อนมีเสียงเรียกของอ้ายโหน่ยดังขึ้นอีกครั้ง ไอ้ฮวดไอ้หมานพวกเอ็งไปนั่งห้างเป็นเพื่อนข้าหน่อยโว้ย คืนวันนี้จะพาไปนั่งห้างยิงสัตว์ป่าที่กินดินโป่ง เผื่อได้เก้ง ได้กวางไว้เป็นเสบียงมื้อหลังสักตัวสองตัว เล่นเอาปู่ฮวดและทิดหมานถึงกับใบหน้าซีดเผือด เหตุเพราะไม่อยากไปด้วยแต่ก็ขัดเสียมิได้ ดีแล้วไปกันหลายคนแหล่ะดี มีอะไรจะได้ช่วยกัน อ้ายเฮืองกล่าวสำทับอีกครั้ง
แล้วก็ได้เวลาที่ทุกคนนั่งล้อมวงกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อกินข้าวกันเสร็จสับ จึงได้จัดแจงสถานที่เพื่อกางเต้นท์นอนทั้ง 2 หลังนั้น เมื่อจวนถึงเวลาใกล้ค่ำ ดวงอาทิตย์จวนจะลับขอบฟ้า ก่อนที่ปู่ฮวด ทิดหมาน อ้ายโหน่ยจะออกไปนั่งห้าง ที่ไปขัดไว้ก่อนหน้านี้แล้วนั้น ท้าวคำใสก็ได้เดินมาพูดคุยกับทิดหมาน และยื่นกระสุนปืนลูกซองให้ไว้ 7นัด พร้อมกับบอกว่า นี่เป็นลูกกระสุนแร่เงินที่ทำการปลุกเสกด้วยอาคม สามารถใช้แก้อาถรรพ์ได้ จงเก็บไว้ใช้ยามจำเป็น เผื่อมีอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อทิดหมานรับลูกกระสุนปืนจากท้าวคำใสแล้ว ได้ยกห่อลูกปืนนั้นขึ้นสาธุเหนือศรีษะตนเอง ครั้นเมื่อได้เวลาใกล้จะมืด จึงรีบพากันเดินทางเพื่อไปขึ้นห้าง โดยที่ทิดหมานได้ยื่นกระสุนปืนปลุกเสกทั้งหมดนั้น ให้แก่ปู่ฮวดของผม เพราะทิดหมานนั้นใช้ปืนคาร์บิ้น m1แม็คคาซีน15นัด แต่ปู่ฮวดนั้นใช้ปืนลูกซองยาวหักยิงทีละนัด ส่วนอ้ายโหน่ยนายพรานนั้นใช้ปืนลูกซองยาว 5นัด แต่ก็ไม่ลืมหยิบเอาระเบิดแท่งแบบโรงโม่หิน ที่นำมาไว้สำหรับล้มต้นไม้ ใส่ย่ามสะพายไปด้วย 1ลูก
เมื่อทั้ง 3มาถึง แล้วปีนขึ้นห้างกันครบทุกคนแล้ว ต่างคนก็จัดหาเหลี่ยมนั่งที่ถนัด เพราะถือได้ว่าเป็นห้างที่ใหญ่พอสมควร และสามารถนั่ง 2คนสบายๆ อันเนื่องจากทิดหมานนั้น ได้นั่งในแปลสนามที่มัดไว้กับกิ่งไม้ขนาดใหญ่ 2ด้าน ห้อยโตงเตงอยู่ใกล้ๆกัน หลังจากนั้นอ้ายโหน่ยก็กำชับทิดหมานกับปู่ฮวดว่า พวกเอ็งจำไว้เห็นอะไรก็ห้ามทักเด็ดขาดนะ และจงอย่าได้ลงจากห้างจนกว่าฟ้าจะสว่าง ให้เอาเชือกผูกพานท้ายปืนไว้ให้ปลายเชือกมัดติดกับข้อมือเผื่อกันปืนร่วงลงพื้น และถ้าพวกเอ็งง่วงก็นอนหลับกันเสีย มีอะไรเดี๋ยวข้าจะสะกิดปลุกให้ตื่นเอง และก็ห้ามสูบุหรี่กับเยี่ยวลงพื้นดินนะโว้ย ประเดี๋ยวสัตว์ได้กลิ่นเอา ถ้าปวดเยี่ยวก็ปล่อยใส่กระบอกไม้ไผ่ ที่ข้าแขวนไว้ให้น่ะ ถ้างั้นพวกฉันของีบเอาแรงก่อนนะพราน ปู่ฮวดกล่าวบอก ก่อนจะมัดพานท้ายปืนติดไว้กับข้อมือขวา แล้วหลับตาเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ เช่นเดียวกับทิดหมานที่นอนยาวเยียดอยู่ในเปลสนาม ห้อยโตงเตงอยู่ใกล้ๆกันนั้น
ฝ่ายทางด้านแคมป์นอนของคุณอนุวัฒน์นั้น ทุกๆคนต่างเข้าแคมป์นอนด้วยความอ่อนล้า เมื่อนายทองละลายนมข้นในน้ำอุ่นป้อนเจ้าโทนเสือโคร่งน้อยกินแล้วนั้น ก็จับมันเข้าไปนอนภายในเตนท์เเคมป์นอน ครู่ต่อมา ท้าวคำใสก็ถือไม้หลักเสกลงอาคม นำแท่งไม้ไปตอกไว้รอบบริเวณเตนท์นอนเป็น 8ทิศ จากนั้นท้าวคำใสจึงเข้าไปนอนพักผ่อนเอาแรงในเต๊นท์ โดยให้ อ้ายเฮือง นายแสง และนายกล้า ทำหน้าทีเฝ้าเวรยามที่หน้าเต๊นท์นอน ขณะที่ทั้ง 3คนนั่งยามอยู่นั้น ก็ปรากฏร่างของสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง แววตาครุกรุ่นแดงฉาน ราวกับสัตว์ร้ายที่ออกมาจากขุมนรก มันค่อยๆย่างสามขุมเข้ามาหาเต๊นท์นอนเรื่อยๆ มีกลิ่นเหม็นสาปสางลอยอบอวลรอบบริเวณ มันช่างแตกต่างจากกลิ่นลาแวนเดอร์ยิ่งนัก เมื่อเป็นเช่นนี้ แผนกเฝ้าเวรยามเห็นท่าไม่ดี อ้ายเฮืองจึงรีบตะโกนปลุกคนในเต๊นท์นอนทันที พวกเราตื่นเร็วเข้า มีสัตว์ป่ามา ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรบุกพวกเรา สิ้นเสียงตะโกนของอ้ายเฮือง ทุกๆคนต่างวิ่งกรูออกมาจากแคมป์นอน โดยที่ทุกคนต่างถืออาวุธคู่กายออกมาด้วย มันคือตัวสางดง ทุกคนระวังตัวไว้ ท้าวคำใสเอ่ยบอกเสียงดังลั่น ก่อนกล่าวสำทับอีกว่า รีบยิงมันเลยพวกเรา สิ้นเสียงสั่งท้าวคำใส เสียงปืนทุกกระบอกก็ดังกัมปนาทขึ้นทันที ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โดยที่ท้าวคำใส รีบป้อนกระสุนเงินเข้ารังเพลิง ปืนลูกซองแฝดประจำกาย แล้วสาดกระสุนออกไปใส่มันทันที ปังๆ วินาทีนั้น ดาบเริงไดัรีบจุดชนวนลูกระเบิดแท่ง แล้วขว้างใส่ยังเจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นทันที ตูมมมม เสียงระเบิดดังกึกก้อง แต่ทว่า มันไหวตัวกระโจนหลบทัน เมื่อเจ้าอสูรกายนั้นเห็นท่าไม่ดีแล้ว เพราะจะบุกเข้าไปในเขตแคมป์ก็ทำไม่ได้ ด้วยถูกอาคมของไม้หลักสะกัดกั้นไว้ เป็นเขตแห่งค่ายมนตรา จึงต้องบ่ายหน้าถอดใจ กระโจนหนีเข้าป่าทึบหนีไป มีแต่เพียงเสียงหวีดร้องอย่างโกรธแค้น ที่ดังสนั่นก้องป่าค่อยๆห่างออกไป หวี้ดดดด.... ช่างเป็นเสียงที่ดังกดประสาทยิ่งนัก จนทุกคนในคณะต่างรีบเอานิ้วอุดไปที่รูหูไว้ เพราะป้องกันเสียงที่กดประสาทนั้น
เมื่อมีเสียงปืนแตกรัว กระหน่ำยิงดังระงม มาจากทิศทางแคมป์นอนกลุ่มของคุณอนุวัฒน์ อ้ายโหน่ยจึงรีบสะกิดปู่ฮวดบอกให้ตื่น แล้วบอกให้รีบปลุกทิดหมานที่อยู่ในเปลอีกต่อหนึ่ง เพราะเสียงปืนเสียงระเบิดนั้น ดังราวกับเกิดสงครามกลางเมือง สร้างความตกใจให้กับทั้ง 3คน ที่นั่งอยู่บนห้างนั้นเป็นอย่างยิ่ง เฮ้ย เสียงพวกเขายิงอะไรกันวะ พรานโหน่ยสบถเบาๆในรูคออย่างสงสัย ก็นั่นน่ะซิครับพราน ทิดหมานเอ่ยตอบเบาๆ
พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงหวีดร้อง ดังกังวานกึกก้องทั่วทั้งป่า หวี้ดดดด...... มันเป็นเสียงร้องที่น่าสยดสยองยิ่งนัก ถึงตอนนี้ ปู่ฮวดและทิดหมานสติแทบหลุด ประหนึ่งใจจะขาดเสียให้ได้ ตัวสั่นเทิมเพราะเกิดมาไม่เคยเจอ เพิ่งมานั่งห้างครั้งแรกในชีวิต ก็ดันมาเจอเรื่องประหลาดชวนขนหัวลุกเช่นนี้ มันเป็นเสียงร้องของตัวสางดง อ้ายโหน่ยบอกกระซิบเบาๆแบบคุมสติได้ แล้วพูดเสริมต่อไปอีกว่า คนเฒ่าคนแก่เคยเล่าว่า เสียงของมันจะหวีดร้องเป็นแบบนี้แหล่ะ ตัวของมันนั้นไม่เชิงจะเป็นภูติผี แต่มันก็ไม่ใช่สัตว์ป่า ลักษณะมันจะเป็นภูติไพร ที่มีพลังแห่งอาถรรพ์ของวิญญาณตายโหงสิงสู่อยู่ มันจะมีเสียงร้องหวีดแหลมคมอย่างกดประสาท และชอบดูดกินเลือดและเครื่องในไส้พุงเป็นอาหาร มันกินได้ทั้งคนทั้งสัตว์ ตัวมันมีขนาดเท่าๆกับลูกวัว รูปร่างเหมือนเสือโคร่งผสมหมีควาย ดวงตาของมันคุกรุ่นสีแดงฉาน ถ้าได้เผชิญหน้าอย่ามองจ้องดวงตามัน เพราะอาจโดนสะกดจิตได้ ลูกกระสุนปืนธรรมดาๆนี้ พรานแก่ๆบอกว่าทำอะไรมันไม่ได้หรอก อย่าเที่ยวไปประจันหน้ามัน ถ้าหนีได้ก็ให้รีบหนีมันไปไกลๆ นี่เป็นเรื่องเล่าของนายพรานเก่าๆ ที่เคยขึ้นมาบนภูนี้ แล้วหนีรอดกลับออกไป เขาสืบทอดเรื่องเล่าขานไว้ว่า ที่ภูนี้มีตัวสางดง อย่าได้ริอาจขึ้นมาล่าสัตว์เด็ดขาด อ้ายโหน่ยอธิบายซ้ำอย่างหนักแน่นอีกครั้งหนึ่ง สงสัยมันคงบุกเข้าไปทางแคมป์นอนพวกเรา ป่านนี้โดนพวกเรารุมยิงตายแล้วละมั้งพราน เสียงปืนดังออกจะขนาดนั้น ปู่ฮวดเอ่ยเสริมขึ้นทันที มีปืนตั้งหลายกระบอกคงยิงถล่มไม่เหลือซากแล้ว ทิดหมานพูดลอยๆขึ้นมาอย่างมีความเชื่อมั่นในหมู่คณะ มันคงไม่เป็นอะไรมากหรอก มันก็อาจจะแค่ตื่นหนี แล้วไม่กล้าเข้าไปใกล้แคมป์ที่พักเท่านั้นเอง แต่ถ้าเกิดมันได้กลิ่นพวกเราที่บนห้างนี่ แล้วหันออกมาหาเรา แล้วเล่นงานทางเรา เห็นทีเราคงแย่เหมือนกัน เพราะเรามีกันแค่ 3คนเอง อ้ายโหน่ยกล่าวตอบอย่างมีความกังวลอยู่ลึกๆในใจ
สักครู่หนึ่ง เสียงปืนที่ดังระงมทางด้านแคมป์นอนก็สงบลง ทันทีก็มีลมกระโชกแรง พร้อมเสียงหวีดร้องอย่างน่าสยดสยองดังเข้ามาเป็นระยะๆเสียงนั้น เหมือนกับว่ามันค่อยใกล้เข้ามา ทางกลุ่มคนที่นั่งห้างเรื่อยๆ ปู่ฮวดและทิดหมานต่างหน้าซีด ตัวชา มือสั่น เหงื่อเม็ดข้าวโพดแตก มันบ่งบอกได้ว่ามีความกลัวถึงจุดสุดขีด ข้าว่าพวกเราคงรุกล้ำเข้าเขตหวงห้ามของมันหว่ะ ไอ้ฮวดเอ็งรีบส่งกระสุนเงินมาให้ข้าเร็วเข้า อ้ายโหน่ยเรียกสั่ง มือพลางคัดลูกปืนแบบธรรมดา ออกจากปืนลูกซอง 5นัดประจำตัว เก็บใส่กระเป๋าเสื้อไว้ แล้วยื่นมือขวา แบฝ่ามือออกมารับเอากระสุนเงิน ไปบรรจุป้อนเข้ารังเพลิงปืนของตนอย่างเร่งรีบหมดทั้ง 5นัด แล้วกล่าวบอกออกมาว่า สางดงมันมุ่งหน้ามาทางเราแล้ว พวกเอ็งจงระวังตัวกันไว้ รีบนอนหมอบราบบนพื้นห้างไว้ และอย่าส่งเสียงใดๆทั้งสิ้น ข้าจะปีนขึ้นไปหลบบนยอดไม้ก่อน ทันทีที่อ้ายโหน่ยพูดจบ ปู่ฮวดรีบหักคอปืนลูกซอง แล้วป้อนลูกกระสุนเงินเข้ารังเพลิงอย่างรวดเร็ว จากนั้นรีบหมอบตัว นอนแบราบลงแนบกับตัวห้าง พร้อมกันกับทิดหมาน ตามคำสั่งอ้ายโหน่ยนายพรานแห่งไซยะบุรี
เพียงไม่กี่อึดใจ สักพักเสียงหวีดร้องของตัวสางดงก็ค่อย เข้ามาใกล้ๆ จนมาถึงเขตโป่งดินตรงนั้น พลันก็ปรากฎร่างของสัตว์ 4เท้า ที่เดินเหมือนกับเสือโคร่ง แต่ลักษณะตัวคล้ายหมีดวงตาแดงฉาน ปากแสย๊ะแยกเขี้ยว เดินออกมาจากพุ่มไม้ ใต้พื้นห้างที่กลุ่มพวกปู่ฮวดนั่งอยู่ด้านบนนั้น แล้วเดินวนรอบบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่ ที่ขัดห้างอยู่นั้น มันทำจมูกฟึดฟัดเหมือนดมหากลิ่นอะไรอยู่สักพัก ในทันใดนั้นเอง ทิดหมานได้ทำข้อศอกแขนซ้าย ไปถูกกระบอกไฟฉายขนาด 5ท่อน ที่อ้ายโหน่ยวางไว้บนพื้นห้างลืมหยิบใส่ย่ามไป ร่วงจากบนห้างลงสู่พื้นดินด้านล่าง ตุ๊บบบ... บัดซบเอ้ย ทิดหมานอุทานในรูคอ อย่างตกใจ ปู่ฮวดหันมามองหน้าทิดหมาน แล้วพูดเบาๆในรูคอเอ่ยบอกว่า บรรลัยแล้วมั้ยล่ะพี่ทิดเอ้ย
ทันทีนั้นเจ้าสางดงก็แหงนหน้ามองขึ้นมาด้านบนต้นไม้ พลางแยกเขี้ยวร้องคำรามกึกก้องดวงตาแดงฉาน คุณพระช่วย ตอนนี้มันรู้แล้วพวกปู่ฮวดที่แอบหลบซ่อนอยู่บนห้างนั้น ทันใดนั้นมันก็กระโจนกอดโคนต้นไม้ทันที ทำท่าทางเหมือนกำลังจะปีนขึ้นมาหา พวกเอ็งยิงมันเลย เสียงอ้ายโหน่ยตะโกนบนยอดไม้สั่งคนบนห้าง ทิดหมานกุลีกุจอแหย่ปลายกระบอกปืน ลอดแขนงลูกห้างลงไปชี้ตรงหามัน แล้วกดไกปืนคาร์บิ้น m1ทันที เสียงปืนระเบิดขึ้นดังสนั่นท้องไพร เปรี้ยงๆๆๆๆๆๆ เสียงแหลมคมของลูกกระสุนคาร์บิ้น ดังต่อเนื่องจนหมดทั้งแม็กคาซีน กระสุนนั้นวิ่งกระแทกร่างของอสุรกายตนนั้น ร่างผงะเป็นจังหวะเมื่อโดนลูกกระสุน เข้าที่ใบหน้าและหน้าอกของมัน แต่ทว่ามันแทบไม่ระคายผิว ปืนของฉันเอามันไม่อยู่เลย ทิดหมานอุทานเสียงดังลั่น พวกเอ็ง 2คนรีบปืนมาหาข้าข้างบนนี้เร็วๆ อ้ายโหน่ยตะโกนสั่งปู่ฮวดและทิดหมานทันที ปู่ฮวดและทิดหมานรีบปีนตามขึ้นไปบนยอดไม้หาอ้ายโหน่ยอย่างรวดเร็ว
เมื่อเจ้าสางดงตัวนั้นปืนมาจวนใกล้จะถึงแขนงลูกห้างที่ขัดไว้ ปู่ฮวดก็บรรจงเล็งลั่นไกปืนลูกซองที่บรรจุลูกกระสุนเงิน ชนิดที่เรียกว่า ระยะเผาขน เปรี้ยง ลูกกระสุนเงินวิ่งเข้าที่หน้าอกของมัน เจ้าสางดงมันคำรามร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด หวี้ดดดดด.... แล้วในทันใดนั้นปู่ฮวดก็หักคอปืนลูกซอง ป้อนลูกกระสุนเงินที่เหลืออีกเพียงหนึ่งนัด เข้ารังเพลิง แล้วซัดออกไปใส่แสกหน้าของมันแทบไม่ต้องเล็ง เปรี้ยง คราวนี้ร่างของเจ้าสางดงกระเด็นปลิวลอยละล่อง ตกจากต้นไม้ลงสู่พื้นดินเสียงดังสนั่น
เจ้าสางดงมันหมอบแน่นิ่ง ด้วยฤทธิ์อาคมกระสุนเงิน มันนอนหมอบอยู่สักครู่ใหญ่ๆ แล้วมันก็ลุกขึ้นมายืน 4ขา พร้อมแหงนหน้าขึ้นมองมาบนต้นไม้ตาขวาง แยกเขี้ยวคำรามร้องก้องป่า โฮร่ก..... ด้วยแววตาที่แสนจะอาฆาตแค้น กระสุนเงินยิงมันไม่อยู่ แค่ทำให้มันบาดเจ็บครับ ปู่ฮวดอุทานลั่นบอกอ้ายโหน่ยทันที จากนั้นเจ้าสางดงก็พยายามไต่ปีนต้นไม้ จนมาถึงแขนงลูกห้างที่ขัดไว้ พวกเอ็งรีบไต่ไปตามกิ่งใหญ่นะสุดปลายกิ่ง มันจะไปถึงหนองน้ำพอดี อ้ายโหน่ยร้องสั่งเสียงเครียด ปู่ฮวดและทิดหมานกล่าวรับคำ พลางรีบปีนหนีเจ้าสางดงตัวนั้นไปอย่างลนลานด้วยความกลัว
ในขณะที่เจ้าสางดง กำลังก้าวขาจะไต่ตามขึ้นมานั้น อ้ายโหน่ยก็กระหน่ำยิงด้วยลูกกระสุนเงิน จากปืนลูกซอง 5นัดที่อยู่ในมือนั้น เปรี้ยงๆๆๆๆ ร่างของสางดงฟุบลงบนพิ้นแขนงลูกห้างด้วยฤทธิ์กระสุนเงิน พวกเอ็งรีบไปๆๆ อ้ายโหน่ยตะโกนเร่งให้ปู่ฮวดและทิดหมาน ไต่ไปกิ่งไม่ที่ปลายกิ่งยื่นไปทางสุดหนองน้ำ จากนั้นอ้ายโหน่ยก็รีบไต่ตามมาอย่างว่องไว
จนเมื่อทั้ง 3คนไต่มาสุดที่กิ่งไม้ใหญ่ พอข้าบอกให้โดด พวกเอ็งก็โดดลงไปที่หนองน้ำทันทีเลยนะ อ้ายโหน่ยสั่งทันที พูดจบอ้ายโหน่ยก็ล้วงเข้าไปในย่าม ควักระเบิดแบบแท่งที่นิยมใช้ในโรงโม่หิน แท่งขนาดเท่าลำแขนยาวประมาณครึ่งฟุต ออกมาจากย่ามทันที พร้อมกับบริกรรมคาถาเป่าลงไป แล้วจากนั้นก็จุดสายชนวนด้วยเหล็กไฟหินในทันที พลางโยนลูกระเบิดลูกนั้น ไปยังเจ้าสางดงที่กำลังบาดเจ็บหมอบฟุบอยู่บนแขนงลูกห้าง แล้วทันทีนั้น อ้ายโหน่ยก็ตะโกนบอกออกไปว่า โดดลงห้วยเร็ว ทั้ง 3คนได้กระโจนลงจากต้นไม้ ลงสู่หนองน้ำด้านล่างแทบจะพร้อมกัน พลันเจ้าระเบิดลูกนั้นก็ทำงานในทันที ตูมมมม แรงระเบิดทำให้เกิดแรงสะเทือนทั่วทั้งผืนป่า ทั้ง 3คนเมื่อตั้งสติได้ จึงคนรีบว่ายน้ำเข้าหาฝั่งทันที เมื่อขึ้นฝั่งมาได้อ้ายโหน่ยจึงบอกให้ทุกคนวิ่งเร็วๆ เพราะมันกำลังบาดเจ็บอยู่ ให้รีบหนีมันไปหากลุ่มของเราที่แคมป์นอน ปู่ฮวดทิดหมานและอ้ายโหน่ย วิ่งสะพายย่ามแบกปืน ออกจ้ำอ้าวชนิดที่ว่าลืมตาย จากระยะทางที่ห่างจากแคมป์เกือบ 1 กิโลเมตร ทำให้ทั้ง 3คนแทบจะสุดแรงหายใจ เมื่อห่างออกจากโป่งมาได้สักพักหนึ่ง จึงหยุดวิ่งแล้วเดินเท้าแทนเนื่องจากความเหนื่อยล้า มันจะตามเรามาอีกมั้ย ปู่ฮวดถามอ้ายโหน่ยพร้อมกับหอบแฮ่กๆ ข้าไม่รู้หรอก เอ็งทำไมไม่ถามมันวะเมื่อกี้ อ้ายโหน่ยตอบกลับกล่าวติดตลกเล็กน้อย ไอ้สางดงตัวนั้น มันโดนระเบิดลูกเมื่อกี้เข้าให้ คงจะแหลกหาซากไม่เจอแล้วมั้งพราน55555 ทิดหมานพูดพลางหัวเราะระคนกับความเหนื่อย
ทิดหมานพูดจบยังไม่ทันขาดคำดี ก็มีเสียงหวีดร้องของเจ้าสางดง ร้องคำรามกึกก้องราวกับโกรธแค้นอย่างหนัก ลอยแว่วกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไอ้ผีบ้าเอ้ย มันจะจองเวรจองกรรมกันไปถึงไหนวะ อ้ายโหน่ยเอ่ยสบถ จากนั้นก็รีบวิ่งออกนำหน้าปู่ฮวดและทิดหมานไปอย่างไม่คิดชีวิต โดยที่ปากก็บอก ไปเร็วโว้ยๆๆๆ ท่ามกลางความมืดของเดือนข้างแรม ชายทั้ง 3คน ออกแรงวิ่งหนีอสูรกายสัตว์ป่าอย่างสุดกำลังแรงเกิด ทิดหมานวิ่งปิดท้าย ปู่ฮวดบอกว่าตอนนั้นวิ่งไปก็นึกถึงหน้าพ่อหน้าแม่ ที่อยู่แถบมลฑลกวางตุ้ง พลางคิดว่ายังไงเสีย ชาตินี้คงไม่มีทางรอด กลับไปเห็นหน้าท่านทั้ง 2อีกแล้ว
มันวิ่งไล่หลังตามเรามาใกล้แล้ว ทิดหมานหันกลับไปมอง ปากพูดไปด้วยพลางวิ่งไปด้วย ทันใดนั้นก็เหมือนจะมีแสงอะไรบางอย่างสีเขียวพุ่งอย่างรวดเร็วลอยเหนือศรีษะชายทั้ง 3คน ที่กำลังจ้ำอ้าวอย่างไม่คิดชีวิต แล้วเมื่อหันกลับไปดูทั้ง 3คนก็ต้องตกตะลึง เมื่อได้เห็นควายตัวหนึ่งมีร่างกายกำยำสีดำขลับดวงตาสีแดงคุกรุ่น มีอักขระตัวอักษรขอมโบราณเป็นแสงสีเขียวขึ้นรอบตัว กระโจนวิ่งเข้าไปขวิดฟัดเหวี่ยงกับเจ้าสางดงตัวนั้นอย่างรุนแรงและหนักหน่วง ร่างของอสุรกายสางดงกระเด็นลอยละลิ่วไปตามแรงขวิดนั้น ทุกคนรีบมาทางนี้ๆๆ เสียงเรียกของคุณอนุวัฒน์ได้ตะโกนเรียกพร้อมกับส่องแสงไฟฉาย มายังกลุ่มของปู่ฮวดที่ห่างออกไป ราวๆเกือบ 200เมตร นายอยู่ทางโน้นไปเว้ยพวกเราไปเร็ว อ้ายโหน่ยตะโกนบอกเสียงดัง แล้วพวกปู่ฮวดก็ได้วิ่งเข้าไป ถึงยังกลุ่มของคณะตัดไม้ได้จนสำเร็จ มีใครเป็นอะไรบ้างมั้ย คุณอนุวัฒน์กล่าวถามเสียงดัง ไม่มีใครเป็นอะไรครับนาย อ้ายโหน่ยกล่าวบอกพร้อมกับหอบแฮ่กๆ ก่อนที่ทิดหมานนั้น จะถามกลับไปยังในคณะตัดไม้เสียงดังว่า ไอ้ที่เห็นเมื่อกี้ มันคือตัวอะไรกันครับ ที่มันไปสู้กับเจ้าสางดงนั่น ไอ้ตัวที่พวกแกเห็นเมื่อกี้มันคือควายธนู ที่ฉันส่งมันไปเอง ท้าวคำใสเอ่ยตอบ พลางพูดต่อไปว่า ได้ยินเสียงพวกเอ็งยิงปืนต่อสู้ดังระงมไพร ราวกับเกิดสงครามโลก ฉันเกรงว่าพวกเอ็ง จะได้รับอันตรายจากเจ้าอสุรกายร้ายนั่น เลยรีบท่องมนต์ปลุกควายธนูแล้วส่งไปช่วย ท้าวคำใสกล่าวตอบกลับสีหน้านิ่งเรียบ โอ้โห้..นี่มันสุดยอดวิชาเลยนะครับ อ้ายโหน่ยอุทานขึ้น มันเป็นศาสตร์วิชาที่ตกทอด มาจากบรรพบรรพบุรุษของฉันน่ะ ท้าวคำใสกล่าวตอบอีกครั้ง
สักพักหนึ่ง เสียงต่อสู้กันระหว่างควายธนู กับเจ้าปีศาจร้ายก็เงียบสงบลง พร้อมกันนั้นท้าวคำใสก็หลับตายกมือพนมขึ้น ปากก็บริกรรมคาถาครู่เดียวก็มีลูกไฟแสงสีเขียว ขนาดกำมือลอยพุ่งเข้ามา โดยที่ท้าวคำใสยื่นมือไปข้างหน้าแบฝ่ามือออกรับ ลูกไฟสีเขียวดวงนั้น พลันลูกไฟดวงนั้นมันก็แปรสภาพ กลายเป็นรูปปั้นควายขนาดเล็กที่แกะสลักขึ้นด้วยแร่โลหะทองแดง ขอบใจมากนะเจ้าทองแดงลูกพ่อ ท้าวคำใสกล่าวชมพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ทุกๆคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกตะลึง นี่ถ้าไม่เห็นกับตาฉันไม่เชื่อนะนี่ ว่าวิชาควายธนูยังมีอยู่จริงๆ คุณอนุวัฒน์เอ่ยขึ้น เจ้าสางดงตัวนั้นมันเสร็จเรามั้ยครับ อ้ายเฮืองรีบเอ่ยถามทันที มันก็คงแค่บาดเจ็บเท่านั้นแหล่ะ เจ้าสางดงตัวนี้มันมีพลังอาถรรพ์เยอะนัก มันคงครองผืนป่านี้มานานหลาย 100ปีแล้ว ควายธนูฉันทำอะไรมันไม่ได้หรอก สู้กับมันเมื่อกี้ ก็เกือบแย่เหมือนกัน ตัวสางดงนี้ที่เมืองไทย เค้าก็เรียกกันว่าผีป่านั่นแหล่ะ ตัวมันเกิดจากผู้มีไสยเวทย์มนต์ดำ แต่มันกระทำอันเป็นการผิดครู ทำให้ของเข้าตัวต้องกลายร่างเป็นอสูรกาย ต้องคอยหากินเลือดกินเนื้อหรือของสด เมื่ออยู่ร่วมกับมนุษย์ไม่ได้ก็ต้องหนีเข้าป่า กลายเป็นตัวสางดง ยิ่งกินเหยื่อมาก พลังแห่งอาถรรพ์วิญญาณที่สิงสู่มัน ก็จะมากขึ้นไปเรื่อยๆ ลักษณะของมันมักจะหวงอาณาเขต ถือได้ว่าเป็นภูติไพรที่มีฤทธิ์เยอะมาก ร่างกายของมันคงกระพัน ถ้าจะยิงสาง ต้องใช้กระสุนที่เป็นแร่พิเศษ มันมีความดุร้ายกว่าเสือสมิงมากๆ และก็สามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้ แต่จะมีอิทธิฤทธิ์เฉพาะเวลากลางคืนเท่านั้น ต้องอยู่ใช้กรรมเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์แบบนี้ไปเรื่อยๆ รอเพียงผู้มีวิชาอาคมมาปลดปล่อยไปเกิดใหม่เท่านั้น เป็นเรื่องที่ตาทวดของฉันเคยเล่าเอาไว้ ท้าวคำใสกล่าวอธิบายอย่างละเอียดจบแล้ว พลางควักบุหรี่ซองมาจุดสูบแก้เครียดทันที
เวลานี้ก็ใกล้สว่างแล้ว ผมว่าเรารีบเตรียมตัวหุงหาอาหารกันดีกว่า จะได้รีบขึ้นให้ถึงดงสักนั่นโดยเร็ว อย่างไรเสียวันนี้เราต้องไปให้ถึงดงสัก คุณอนุวัฒน์กล่าวสั่งในขณะที่ปากยังคาบเร่งบุหรี่อยู่
รุ่งขึ้นหลังจากที่คณะตัดไม้ กินอาหารกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท้าวคำใสจึงนำทุกคนออกเดินทางเข้าภูเวียงฟ้า ลักษณะของภูเวียงฟ้าเป็นภูเขาที่อยู่ใจกลางป่าลึก เป็นทางค่อยลาดขึ้นโดยไม่ชันมากนัก มีไม้ป่าเต็งรังและมีไม้ใหญ่ที่ค่อนข้างขึ้นหนาแน่น ประกอบด้วยไม้พุ่มขนาดเล็กขึ้นสลับกับมีลำธารขนาดเล็กไหลผาดผ่าน มีภาพภูมิอากาศที่เย็นสบาย เดินผ่านมาได้สักราวๆ ชั่วโมงเศษ ทุกคนก็ได้พบองค์ปราสาทโบราณสภาพแสนทรุดโทรมก่อสร้างด้วยอิฐมอญ มีเถาวัลย์พันปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น รอบๆบริเวณนั้น ก็พบซากเจดีย์ที่อยู่ถัดออกไปจากองค์ปราสาท
นี่ไงนครเวียงฟ้า ท้าวคำใสอุทานออกมาเสียงเรียบ และได้กล่าวอธิบายต่อไปว่า เป็นเมืองโบราณที่เล่าสืบทอดกันมาตามความเชื่อของคนเฒ่าคนแก่น่ะครับ จากนั้นทุกๆคน ก็เดินสำรวจปราสาทโบราณหลังนั้น เพื่อคลายความข้องใจ แล้วดงสักที่ว่าอยู่ตรงไหนครับ คุณอนุวัฒน์เอ่ยถามท้าวคำใส ตรงไปทางทิศเหนืออีกหน่อยครับ ไม่เกิน 8กิโลเมตรก็คงจะถึง ถ้าดูตามแผนที่แผ่นนี้ ท้าวคำใสเอ่ยตอบพลางก้มมองแผนที่ ถ้างั้นพวกเราก็รีบไปเลยดีกว่า คุณอนุวัฒน์กล่าวสั่งคณะเดินทางพลางยกน้ำในกระบอกไม้ไผ่มาดื่มลงคอ
จากนั้นทั้งคณะตัดไม้ ก็ได้ออกเดินทางไปตามแผนที่อย่างรวดเร็ว เมื่อออกห่างจากปราสาทโบราณหลังนั้นได้สักประมาณ 2กิโลเมตร ทุกคนก็ต้องตะลึงกับภาพที่ได้เห็น มันคือซากของควายป่านอนตายเน่า ที่ท้องมีรอยฉีกในลักษณะที่ไร้ตับไตใส้พุง ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งทั่วบริเวณ เป็นฝีมือเจ้าสางดงตัวนั้นครับ ดูได้จากรอยเขี้ยวที่ลำคอของมัน และพฤติกรรมการฉีกกินเครื่องในซากควายป่าตัวนี้ ท้าวคำใสเอ่ยบอกเบาๆ พวกปู่ฮวดเมื่อเห็นภาพอันน่าสะพรึงดังกล่าว และกลิ่นอันแสนเน่าเหม็น ก็ถึงกับต้องวิ่งออกไปอาเจียรทิ้งกันเลยทีเดียว
การเดินทางผ่านมาเรื่อยๆ จนถึงเวลาตะวันเริ่มบ่ายคล้อย แต่คณะตัดไม้ก็ยังไม่เจอดงสักใหญ่ใจกลางป่านี้สักที ถ้าดูจากแผนที่และเข็มทิศมันก็น่าจะถึงตั้งนานแล้ว ท้าวคำใสเอ่ยขึ้น คุณอนุวัฒน์จึงสั่งให้ทั้งคณะ นั่งพักดื่มน้ำที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพร้อมกับกินข้าวห่อที่พกติดตัวมา ผมว่ามันมีอะไรแปลกๆนะ เราก็เดินมาถูกทางแต่เราก็ไม่ถึงดงสักเสียที คุณอนุวัฒน์กล่าวขึ้นเสียงเครียด ก็นั่นน่ะสิครับ ท้าวคำใสตอบหน้านิ่ง หรือว่าเราจะโดนพรางตา ด้วยอาถรรพ์แห่งเจ้าสางดงตัวนั้นครับนาย ทิดหมานเอ่ยกึ่งข้องใจ มันก็อาจจะเป็นอย่างที่เอ็งคิดก็ได้ อ้ายโหน่ยเอ่ยตอบทิดหมานเบาๆ
ทันทีนั้นคุณอนุวัฒน์ก็เอ่ยขึ้น ผมได้ทบทวนและตัดสินใจแล้ว ว่าผมจะนำคณะตัดไม้ของเรา รีบเดินทางออกจากป่าแห่งนี้ เพราะถ้าเราไม่เจอดงสักในตอนนี้ ต่อให้พรุ่งนี้เราเจอดงสักในตอนเช้ามืด คิดว่าเราคงจะล้มต้นสักทั้ง 30ต้น ไม่ทันแล้วเสร็จก่อนอาทิตย์ตกดินเป็นแน่นอน เพราะแต่ละต้นนั้นมันเป็นไม้ใหญ่ ไม่ใช่ว่าเราจะล้มกันง่ายๆ ต่อให้ใช้ระเบิดแท่งก็เถอะ และในคีนพรุ่งนี้ มันเป็นคืนเดือนดับแรม 15ค่ำ ผมเกรงว่า มันจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับพวกเรา กลัวเจ้าสางดงตัวนั้นจะออกมาเล่นงานพวกเราอีก คุณอนุวัฒน์กล่าวเสียงดังเพื่อให้ทุกๆคนในคณะได้ยิน ผมก็คิดว่าจะปรึกษากับคุณ ในเรื่องนี้แหล่ะครับ ท้าวคำใสกล่าวรับ พร้อมกับพูดสำทับมาอีกว่า ลำพังจะต้านอาถรรพ์พลังผีป่าของเจ้าสางดงตัวนี้ก็ไม่ไหวแล้ว ถ้าเกิดเป็นคืนเดือนดับขึ้นมาล่ะก็ ผมนี่ไม่อยากจะคิดเลย ขนาดควายธนูผม ที่ถือได้ว่าเป็นสุดยอดวิชายังทำอะไรมันไม่ได้ ผมว่าถ้าอย่างนั้น เมื่อเรากินข้าวกินปลากันเสร็จสับแล้ว เมื่อพักหายเหนื่อยกันแล้ว เราทุกคนจงเร่งฝีเท้าเดินทางลงจากภูเวียงฟ้านี้เลยนะ ค่าแรงของทุกคนฉันยังคงจ่ายให้เป็นปกติ คุณอนุวัฒน์กล่าวบอกทวนคำสั่งอีกครั้ง
เมื่อพวกปู่ฮวดและเพื่อนผองได้ยินคำสั่ง ก็ต่างก็ยินดีปรีดากับคำสั่งที่ออกมานั้นอย่างมาก ถึงแม้ครั้งนี้จะต้องมาเสียเที่ยวก็ตาม เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้ว คณะตัดไม้ก็ได้เดินทางหันโฉมหน้ากลับลงจากเขาภูเวียงฟ้าทันที โดยมีอ้ายโหน่ยเดินนำหน้า อ้ายเฮืองเดินปิดท้าย เมื่อคณะตัดไม้ออกเดินทางกลับได้สักพักใหญ่ๆ พวกเราก็เดินกลับออกตั้งแต่บ่ายโมง นี่ก็จวนจะ 5โมงเย็นแล้ว ทำไมเราจึงไม่เจอทางเดินเก่าของเราสักที ทิดหมานพูดพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ เราคงโดนอาถรรพ์ผีป่าเล่นงานแล้ว นี่ป่ามันปิดชัดๆลองสังเกตดูได้ แทบทั้งป่าไม่มีเสียงร้องของนกเลยสักตัว ท้าวคำใสเอ่ยขึ้นทันที ให้ตายเถอะ..แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี อ้ายโหน่ยอุทานเสียงดัง สักพักก็มีลมพัดกระโชก และสายฝนได้เริ่มร่วงลงเม็ดเล็กน้อย นี่ก็จวนจะพลบค่ำแล้ว ผมว่าเราควรหยุดพักกันก่อน หากเราดันทุรังเดินตอนกลางคืน มันจะยิ่งอันตรายกว่าเป็นไหนๆ มิหนำซ้ำอาจจะหลงทางไปกันใหญ่ อาจจะไปไกลจนหาทางกลับไม่ได้ ท้าวคำใสกล่าวบอกคณะตัดไม้ โน่นไง..ปราสาทโบราณ ที่เราเจอเมื่อตอนเดินเข้ามา ไอ้แสงเด็กหนุ่มอุทานดัง พลางชี้นิ้วไปยังองค์ปราสาท ทีอยู่ห่างออกไปไกลลิบตา ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เราเข้าไปพักข้างในกันก่อนเถอะ อย่างน้อยก็กันฝนกันลมได้ คุณอนุวัฒน์เอ่ยสั่งทันที
คืนนี้ทั้งคณะตัดไม้ ได้มาหยุดพักที่ปราสาทโบราณหลังนั้น พอมาถึงก็รุดเข้าไปเก็บเศษไม้ ที่อยู่ระเกะระกะข้างในตัวปราสาททันที ทิดกราดก็ได้หุงข้าว ทำอาหารเย็นให้แก่คณะเดินทาง โดยไปตักน้ำที่ลำธารเล็กๆ ที่อยู่ทางทิศเหนือของปราสาทนั้นเอง เพื่อนำมาหุงข้าวและต้มกาแฟดำ หลังจากที่กินอาหารเย็นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ราวๆ ทุ่มเศษ สายฝนก็ได้ร่วงลงมาแต่ไม่แรงมากนัก ทุกคนก็ต่างพากันเข้าไปนอนหลับพักผ่อนเอาแรง ในปราสาทเก่าๆหลังนั้น โดยการให้อ้ายเฮืองอ้ายโหน่ยและไอ้ทอง ทำหน้าที่นั่งยามอยู่หน้าปราสาท โดยมีเพียงกองไฟกองใหญ่ที่ก่อไว้ เพื่อช่วยให้เป็นแสงสว่างยามค่ำคืน ตัวปู่ฮวดนั้นแกนอนไม่หลับ จึงมานั่งอยู่เพื่อพูดคุยเล่น เป็นเพื่อนพวกนั่งยามพร้อมกับจิ๊บกาแฟดำ และสูบบุหรี่ไปด้วย คืนนี้เป็นปกติดีมั้ย ท้าวคำใสก้าวเดินมาจากด้านในตัวปราสาท พร้อมกับเอ่ยถาม ยังปกติอยู่ครับ อ้ายเฮืองตอบเบาๆ ไอ้แสงกับไอ้ฮวด พวกเอ็งรีบเอาแท่งไม้หลักเสกทั้ง 8ท่อนนี้ ไปตอกฝังไว้อ้อมเขตปราสาทที่เราพักอยู่นะ ตอกอ้อมไว้ให้เป็น 8ทิศนะ เพื่อป้องกันสัมภเวสีภูติผีต่างๆ ไม่ให้มันมารบกวนเราได้
ท้าวคำใสกล่าวสั่งนายแสงและปู่ฮวด จากนั้นทั้งคู่ก็นำแท่งไม้เสก ไปตอกเป็นหลักอ้อมตัวองค์ปราสาทไว้ ตามแบบที่ท้าวคำใสบอกอย่างขมักขเม้น
เมื่อเวลายามค่ำคืนอันมืดมิดก้าวผ่านล่วงไป สายฝนได้สงบลงแล้ว จนผ่านไปถึงราวเที่ยงคืน พลันก็มีลมพัดกระโชกมาอย่างรุนแรง พร้อมมีเสียงร้องอันน่ากลัวของสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่ดูเหมือนว่ามีจำนวนอย่างมากมาย มีหน้าตาคล้ายคนแก่ รูปกาย ขนาด และท่าเดินเหมือนกับลิง ดวงตาสีแดงกรุ่น มีกลิ่นสาบเหม็นลอยเข้ามาแตะจมูกอย่างจัง ผีโป่งค่าง ท้าวคำใสอุทาน พลางรีบไปปลุกกลุ่มของคุณอนุวัฒน์ ที่กำลังหลับอยู่ด้วยความอ่อนเพลียให้รีบลุกขึ้นจากที่นอน ครู่เดียวทุกคนทั้งคณะก็ตื่นออกจากที่นอน ถือปืนกระชับในมือมากันทุกคน พวกนี้มันคงโดนสะกด ให้เป็นบริวารของเจ้าสางดงตัวนั้น อ้ายโหน่ยเอ่ยขึ้นเสียงดัง ใช่แล้ว..พวกมันถูกบังคับให้เป็นบริวาร เพราะอิทธิฤทธิ์และพลังอาถรรพ์ของเจ้าสางดงตัวนั้น แต่อย่างไรพวกมันก็เข้ามาที่เขตปราสาทหลังนี้ไม่ได้หรอก เพราะเราลงอาคมป้องกันไว้ทุกทิศแล้ว อย่างมากมันก็แค่หลอกหลอนพวกเรา มาได้จากภายนอกเท่านั้น จงอย่าไปกลัวพวกมัน ขอเพียงพวกเราอยู่แต่ในบริเวณนี้ อย่าได้ออกไปเด็ดขาด ท้าวคำใสกล่าวเสียงดังบอกทุกคน
เมื่อเหล่าผีโป่งค่าง ก้าวเดินเข้ามาในบริเวณใกล้เขตองค์ปราสาท ก็เหมือนว่ามีอะไรป้องกันไว้ ทำกับประหนึ่งว่าถูกความร้อนจากเปลวไฟเผาไหม้ จนทำให้พวกมันที่มีนับ 100ๆตัว ต้องหลบหนีหายไปจนลับตา คืนนี้เจ้าสางดงมันจะออกมาเล่นงานเรามั้ยครับ คุณอนุวัฒน์เอ่ยถามท้าวคำใส คืนนี้มันคงไม่กล้ามาหรอกครับ เพราะมันยังบาดเจ็บอยู่มาก จากคราวที่สู้กับควายธนูของผมในครานั้น แต่ถ้าคืนพรุ่งนี้เรายังออกป่านี้ไม่ได้ ก็ไม่แน่เหมือนกัน มันจะต้องมาหาเราแน่ๆ เพราะมันเองก็แค้นอาฆาตเราอยู่มากเหมือนกัน มิหนำซ้ำคืนพรุ่งนี้ยังเป็นคืนเดือนดับแรม 15ค่ำ ซึ่งตามความเชื่อของคนโบราณนั้น ถ้าดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเมื่อไหร่ คืนนี้พลังแห่งอาถรรพ์ของภูติผีปีศาจ จะมีเยอะมาก ท้าวคำใสกล่าวอธิบายอย่างละเอียด ก่อนที่ทุกคนจะหันกลับเข้าไปนอนผักผ่อน ในองค์ปราสาทเหมือนเช่นเดิม คงเหลือไว้เฉพาะพวกเฝ้าเวรยามที่หน้าปราสาทเท่านั้น
รุ่งเช้า ทุกคนต่างรีบตื่นนอนกันแต่เช้าตรู่ นั่งล้อมวงกินข้าวที่ทิดกราดตระเตรียมไว้ หลังจากพากันกินเสร็จ คณะตัดไม้ก็รีบออกเดินทาง ออกจากภูเวียงฟ้าโดยทันที การเดินทางนั้นเป็นไปอย่างเร่งรีบ แต่เหมือนว่ายิ่งเดิน ก็เหมือนกับยิ่งไปไกลวกไปวนมา มองออกมาก็เจอแต่ที่เดิมๆทั้งที่ระยะทางตอนเดินเข้ามา ก็ไม่น่าจะเข้ามาในป่าที่ลึกขนาดนี้ได้ ให้ตายเถอะครับ..ทำไมเข็มทิศบอกทางผมมันค้างแบบนี้ ท้าวคำใสเอ่ยบอกคณะ แล้วเอ่ยสำทับอีกว่า ไม่สามารถแสดงทิศทางได้เลยครับ ผมว่ามันน่าจะเป็นด้วยอิทธิฤทธิ๋ แห่งอำนาจของเจ้าสางดงตัวนั้นแน่ๆ อ้ายเฮืองเอ่ยขึ้นตอบทันที เราคงต้องเสี่ยงเดินดู อย่างไรเสียก็ต้องออกป่านี้ให้ได้ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน คุณอนุวัฒน์พูดสั่งทุกคนในคณะ การเดินทางเป็นไปอย่างเร่งรีบ จนเวลาล่วงไปถึงตะวันบ่ายคล้อยลง เราโดนอาถรรพ์ป่าปิดเล่นงานเข้าแล้ว ท้าวคำใสเอ่ยขึ้นเสียงเรียบขึ้น ผมพยายามใช้มนต์ตราเปิดป่าแก้อาถรรพ์ดูแล้ว แต่มันไม่ได้ผลเลย เราต่อสู้กับพลังแห่งอาถรรพ์ที่ครอบงำไว้ไม่ได้ พรานเฮืองเอ่ยอธิบายขึ้น แล้วเราพอจะมีวิธีแก้ไขบ้างมั้ย คุณอนุวัฒน์กล่าวถามเสียงเคร่ง แล้วทุกคนก็เดินมาถึงบริเวณลานโล่ง ที่อยู่ใจกลางของป่าทึบ ที่บริเวณโดยรอบ อบอวนไปด้วยกลิ่นสาบสาง พลันสายตาของดาบเริง ก็เพ่งไปปะทะกับอะไรบางสิ่งบางอย่าง ทุกคนดูนั่นสิครับ ดาบเริงพูดพลางชี้นิ้วมืออกไปที่สิ่งหนึ่ง เมื่อทุกคนมองตามไปก็ต้องตกใจเพราะมันคือเทวรูปโบราณ รูปปั้นคล้ายตัวนรสิงห์มีขนาดเท่าลูกวัว ยืนตระง่านอยู่ภายใต้เครือเถาวัลย์ ที่พันปกคลุมอยู่รอบตัว ซึ่งดูจากลักษณะมีอายุไม่ต่ำกว่าหลาย 100ปีเป็นแน่ ใกล้ๆกันนั้น ก็มีเศษกระดูกของสัตว์กองอยู่เกลื่อนกราด กลิ่นเหม็นสาปสางคละคลุ้ง อบอวนไปทั่วบริเวณ เมื่อทุกๆคนได้พิจรณากันอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ยังพบว่ามีซากกระโหลกศรีษะ และซากร่างกายของมนุษย์ ปะปนอยู่ในนั้นด้วย บัดซบเอ้ย..นี่แหล่ะเขตรังของเจ้าสางดงตัวนั้น ท้าวคำใสกล่าวสบถออกอย่างตกใจ มันใช้อาถรรพ์ของมัน พรางตานำเราให้หลงป่ามาที่รังของมัน เพื่อที่มันจะได้เล่นงานเราในตอนพระอาทิตย์ลับฟ้าน่ะสิ ท้าวคำใสเอ่ยพูดสำทับอีกครั้ง มิน่าล่ะ ผมว่าแล้ว ถึงรู้แปลกๆนัก เพราะเราเข้ามาใกล้รังของมันแล้วนี่เอง อ้ายเฮืองกล่าวขึ้นอีกครั้ง แล้วพวกเราจะทำอย่างกันไรดีครับ ทิดกราดเอ่ยถามอย่างตกใจ เราต้องรีบหนีออกให้ห่างจากที่นี่ก่อน และเราต้องออกจากภูเวียงฟ้านี้ให้ได้ ก่อนพระอาทิตย์จะลับแสงเท่านั้น ตอนนี้ขอให้ทุกคนทำตัวปกติอย่าได้กลัวมัน ช่วงเวลานี้ มันยังไม่สามารถออกมาเล่นงานเราได้หรอก เว้นแต่จะมืดค่ำเสียก่อน ท้าวคำใสเอ่ยตอบเสียงดัง ไอ้หมานเอ็งเอาระเบิดแท่ง ไประเบิดรูปปั้นเทวรูปนั้นทิ้งซิวะ ลองดู เผื่อมันจะคลายอาถรรพ์ได้บ้าง ดาบเริงเอ่ยพลางยื่นระเบิดแท่งให้ทิดหมาน จากนั้นทิดหมานก็นำระเบิดลูกดังกล่าว ไปมัดติดกับเทวรูปนั้นด้วยเชือกขนาดเล็ก แล้วรีบทำการจุดสายชนวนระเบิดนั้น แล้วทิดหมานก็ได้วิ่งเข้าไปหลบที่หลังต้นไม้ใหญ่ทันที ตูมมม เสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นผึนป่า ด้วยฤทธฺ์แห่งระเบิดไดนาไมค์ ทำให้รูปปั้นเทวรูปอสูรกายน่าเกลียดนั้น แหลกกระจายหายไป ภายในชั่วพริบตา โอ้ เข็มทิศของเราทำงานแล้ว แสดงว่าเราคลายอาถรรพ์ป่าปิดได้แล้วครับ ท้าวคำใสอุทานขึ้นอย่างดีใจ ถ้างั้นทุกคนจงรีบไปจากที่นี่เร็วเข้า คุณอนุวัฒน์สั่งขึ้นเสียงดังทันที
จากนั้นคณะตัดไม้จึงรีบเดินจ้ำอ้าวออกเดินทาง หนีไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดินทางอยู่นั้น ท้าวคำใสก็เอ่ยสนทนากับคุณอนุวัฒน์ไปว่า ถ้าเป็นไปตามบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ ตามตำนานแล้วนั้น เทวรูปนี้อยู่ใจกลางป่าภูเวียงฟ้า เจ้านครเวียงฟ้าสมัยก่อนนั้น หลงเชื่อราชครูที่เป็นหมอพราห์มฤาษีชาวขอม จนเกิดการทางไสย์เวทย์เลี้ยงผีฟ้า โดยการสร้างรูปปั้นนรสิงห์ตัวนี้ขึ้นมา แล้วใช้เลือดคนบูชาทุกๆคืนแรม 15ค่ำ จนทำให้นครเวียงฟ้าเกิดอาเภทขึ้น เมื่อควบคุมเหล่าภูติผีไม่ได้ ก็บังเกิดอสูรกายเข้าครอบงำแฝงร่างราชครูฤาษี เที่ยวออกเข่นฆ่าราษฎร จนนครต้องล่มสลายลงไป เพราะผู้คนอพยพหนีภัยไปอยู่นครเวียงจันทร์ สมัยของเจ้าฟ้างุ่มครับ อ้าว..ถ้าเป็นไปตามที่ตำนานบอกเล่า แสดงว่าเราอยู่ถึงใจกลางป่าภูเวียงฟ้าน่ะสิ คุณอนุวัฒน์เอ่ยอุทานระคนความตกใจ ใช่แล้วครับนาย นี่แหล่ะที่ผมอยากจะบอก ท้าวคำใสตอบกลับทันที แล้วเอ่ยบอกคุณอนุวัฒน์ไปว่า จากจุดที่เราอยู่นี้ ถ้าตามแผนที่ในอัตราส่วน 1ต่อ1ของผมนั้น เท่ากับว่าตอนนี้ พวกเราอยู่ห่างจากทางขึ้น ของตีนเขาทั้ง 2ด้าน โดยถ้าเราไปทิศเหนือก็ราว 30กิโลเมตร จะออกทางเขตหนองคำไซ ถ้าไปทิศใต้ก็ราวๆ 30กิโลเมตร จะออกทางเดิมที่เราขึ้นมา และอีก 2ด้านที่เหลือ ไปไม่ได้เพราะเป็นหุบเหว เว้นแต่เราจะมีปีกเท่านั้น เพราะตอนที่เราโดนอาถรรพ์ป่าปิด มันแกล้งให้เราเดินหลงทาง จนออกนอกเส้นทางไปเข้าใจกลางป่าลึก เท่ากับว่าตอนนี้เรามีเวลาในการเดินทาง ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินแค่ 5ชั่วโมงเองครับ สำหรับระยะทางเกือบๆ 40กิโลเมตร ท้าวคำใสกล่าวอธิบายอย่างละเอียด ถ้าอย่างนั้นเราควรจะไปทางไหนดีครับ คุณอนุวัฒน์เอ่ยถามท้าวคำใส ผมว่าเราออกทางหนองคำไซง่ายสุดครับ เพราะเป็นทางออกของลำเง็ก ถ้าเราเดินถึงลำเง็กเมื่อไหร่ เท่ากับว่าเราออกน้ำโขงได้สบายๆ ด้วยการต่อแพ เพราะที่ดูจากแผนที่แล้วนั้น ตอนนี้เราหันโฉมหน้ามุ่งตรงไปหาลำน้ำแม่เง็ก ซึ่งปลายน้ำออกแม่น้ำโขงนั่นเอง ท้าวคำใสตอบพร้อมอธิบายถี่ยิบ แล้วปล่อยควันบุหรี่ออกปากช้าๆ ราวกับแดง ไบเล่ ในภาพยนต์เรื่อง 2499อันธพาลครองเมือง
คณะตัดไม้เดินทางมาเรื่อยๆ จนเวลาได้ล่วงเลยผ่านจนจะถึงเวลาราวบ่าย 4โมงเย็น แต่ทว่า คณะตัดไม้ก็ยังไม่สามารถ ที่จะลงจากภูเวียงฟ้าได้เสียที เนื่องจากระยะทางที่ไกลโข และสภาพป่าที่รกทึบ มีไม้ใหญ่ขึ้นสลับ ประกอบกับสายฝนที่ปรอยลงมา เป็นระยะๆ ทั้งหมดจึงได้พาตัดสินใจ ขอนั่งพักกินข้าวห่อกันเสียก่อน เพราะแต่ละคนนั้นเร่งเดินมาทั้งวัน ไม่ได้หยุดพักเลยแม้สักนิดเดียว แถมต้องสะพายเป้สนามขนาดใหญ่กันทุกคน จึงทำให้เกิดความอ่อนล้าขึ้นมาอย่างหนัก คุณอนุวัฒน์นั้น เมื่อบอกหยุดให้พักก่อนแล้ว ได้lสั่งให้นายทอง ละลายนมข้นหวานกับน้ำเปล่า เพื่อป้อนเจ้าโทน เสือโคร่งน้อย จากนั้นคุณอนุวัฒน์ก็ไปนั่งพิงโคนต้นไม้ใหญ่ แล้วนำสร้อยปะคำร้อยแปดทีพ่อใหญ่สีให้มา หยิบออกมาจากเป้สนาม แล้วยกขึ้นสูงเหนือศรีษะ จากนั้นนำมาคล้องไว้ที่คอของตน แล้วจึงได้เผลองีบหลับไป เฉกเช่นหลายๆคนที่เผลองีบหลับเช่นกัน ยกเว้นแต่อ้ายโหน่ย อ้ายเฮืองและท้าวคำใส ที่นั่งสูบบุหรี่เป่าควันโขมงอยู่
ช่วงที่คุณอนุวัฒน์งีบหลับอยู่นั้น ก็ได้ฝันไปว่า ได้พบพระธุดงภ์รูปหนึ่ง มีสีหน้าผุดผ่องโอบอ้อมอารี เดินเข้ามาหยุดตรงหน้า แล้วบอกออกมาว่า พวกโยม..จงเดินทางจากตรงจุดที่อยู่นี้ ให้รีบเดินมุ่งไปทางทิศตะวันออก แล้วพวกโยมก็จะเจอกับถ้ำ ที่อยู่ในภูเขาสูงชัน เมื่อดวงอาทิตย์ลับฟ้าแล้ว จงอย่าได้เดินกันทางเด็ดขาด ให้พาทุกๆคนเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในที่ถ้ำนั้นก่อน ทางด้านหลังถ้ำจะมีลำน้ำ นั่นคือเส้นทางที่จะพาทุกคนออกไปจากที่นี่ได้ จงเอาลูกปะคำของสร้อยเส้นนี้ ทำเป็นกระสุนแทนลูกปืน ยิงเจ้าอสูกายนั่น พอจะทำให้มันบาดเจ็บได้บ้าง หนังกายหยาบของมันคงกระพันนัก จะยิงมันได้ ต้องใช้กระสุนที่ทำจากแร่ ดีบุก เงิน ทองแดงและทองเหลืองเท่านั้น และจงระวังไว้ให้ดี อย่าได้เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น เพราะมัน อาจจะเป็นภาพพลวงตาพวกโยมได้ ทันทีนั้น พลันคุณอนุวัฒน์ก็สะดุ้งตื่น เมื่ออ้ายเฮืองมาสะกิดปลุก เพื่อให้รีบเดินทางต่อไป
คุณอนุวัฒน์ จึงได้เล่าเรื่องความฝันของตน ให้แก่ทุกๆคนในคณะตัดไม้ฟัง หรือว่าจะเป็นหลวงปู่จ้อย เกจิวัดป่าถ้ำลับแลแห่งหลวงพระบาง เจ้าของสร้อยปะคำเส้นนี้ อ้ายโหน่ยกล่าวขึ้นทันที ถ้าตามที่พ่อใหญ่สีเคยเล่าให้ฟัง สร้อยปะคำเส้นนี้แกได้มาจากหลวงปู่จ้อย สมัยที่ท่านยังไม่มรณะภาพโน่นแน่ะครับ ราวๆสัก 10กว่าปีได้แล้วมั้ง อ้ายเฮืองกล่าวเสริมขึ้นอีกครั้ง พระมาโปรดแท้ๆ ทิดหมานเอ่ยขึ้นลอยๆ ผมว่า ถ้าอย่างงั้น เรารีบเดินทางไปทางทิศตะวันออกก็แล้วกัน ลองไปตามการบอกเล่าของพระท่าน เผื่อพวกเราจะเจอถ้ำแห่งนั้นจริงๆก็ได้ อย่างไรเสียดูท่าทีแล้ว เราคงจะลงภูเวียงฟ้า ไม่ทันก่อนพระอาทิตย์ตกดินแน่ๆเชียว คุณอนุวัฒน์กล่าวสั่งเสียงหนักแน่น แล้วจากนั้นทั้งคณะตัดไม้ จึงรีบเดินทางไปทางทิศตะวันออกทันที โดยการดูจากเข็มทิศยี่ห้อดังของท้าวคำใส
เมื่อคณะตัดไม้เดินมาได้สักระยะหนึ่ง พลันทิดหมานก็เอ่ยขึ้นเสียงดังลั่น นั่นไงล่ะ เจอถ้ำแล้ว ทิดหมานเอ่ยขึ้นพลางชี้นิ้วบอกทุกคน จริงด้วย ถ้างั้น ไปพวกเรารีบเข้าไปในถ้ำกันดีกว่า คุณอนุวัฒน์เอ่ยปากชวนทันที ทั้งคณะตัดไม้จึงรีบเดินทางเข้าไปยังถ้ำแห่งนั้น ซึ่งเป็นลักษณะถ้ำอยู่ในตัวภูเขา ปากถ้ำสูงต่างระดับกับพื้นดินราวๆเกือบ 3เมตร จากนั้นเมื่อคณะตัดไม้ได้ปีนขึ้นบนถ้ำนั้น เมื่อขึ้นกันได้เรียบร้อยทุกคนแล้ว ต่างก็รีบวางเป้สะพายหลังลง ปู่ฮวดก็ลงมาด้านล่างทันที เพื่อจะหาเก็บฟืนไว้ก่อกองไฟบนถ้ำนั้น ส่วนท้าวคำใสก็นำไม้หลักไม้ลงอาคม ไปตอกไว้อ้อมบริเวณหน้าปากถ้ำทางด้านล่างไว้ เพื่อใช้ป้องกันอันตรายจากอาถรรพ์ภูติผีต่างๆ
แล้วต่อจากนั้น ท้าวคำใสได้ออกเดินสำรวจบริเวณโดยรอบ พร้อมกับทิดหมาน ส่วนคุณอนุวัฒน์นั้นก็สั่งให้ดาบเริง และทิดกราด ช่วยกันอัดลูกกระสุนปืนลูกซองใหม่ โดยใช้ลูกโลหะทองเหลืองของสร้อยปะคำพ่อใหญ่สี ที่ลูกมีขนาดโตเท่านิ้วชี้อัดลงไปแทนลูกตะกั่ว โดยแกะดินระเบิดของลูกระเบิดแท่งใส่คลุกผสมดินปืน เพื่อเพิ่มแรงอัดระเบิดของลูกกระสุนปืน ไว้ยิงเจ้าสางดงตัวนั้น ตามที่พระธุดงภ์ท่านบอกเอาไว้ในความฝัน จึงได้ลูกกระสุนปืนที่อัดใหม่ ทั้งสิ้นจำนวน 108นัด เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ๆ เราพบลำเง็กแล้วครับ ถัดไปจากถ้ำของเราทางขวามือไม่ถึง 100เมตรนี่เอง ท้าวใสกล่าวบอกคุณอนุวัฒน์ งั้นก็ดีเลย ผมว่าเรารีบต่อแพกันดีกว่า ถ้าเกิดแล้วเสร็จก่อนพลบค่ำ เราจะได้ล่องออกไปตามลำเง็กเลย คุณอนุวัฒน์ตอบท้าวคำใส แล้วสั่งสำทับมาอีกว่า ทุกคนจงรีบไปตัดลำไม้ไผ่นะ เราจะได้รีบต่อแพ ถ้าหากทำเสร็จก่อนพลบค่ำ เราจะท่อออกไปทางหนองคำไซเลย จะได้ออกจากป่านี้เสียที จากนั้นทุกๆคนในคณะตัดไม้ ต่างก็ช่วยกันตัดไม้ไผ่ลำโต ได้นำหลายต้นมามัดรวมกัน จนทำแพที่ใหญ่ขนาด กว้าง 5เมตร ยาว 7เมตร ได้สำเร็จลุล่วง แต่ก็กินเวลาในการต่อแพลำนี้ไปเกือบๆ 2ชั่วโมงทีเดียว ผมว่าเราผูกแพลอยน้ำไว้ตรงนี่ก่อนดีกว่าครับ ดวงตะวันจะลับขอบฟ้าแล้ว เห็นทีเราคงหนีไม่ทันแล้วแหล่ะ ท้าวคำใสเอ่ยบอกคุณอนุวัฒน์ คงใช่ครับ ถ้างั้นคืนนี้เราก็ต้องอาศัยถ้ำนั้น ถ้าเจ้าสางดงมันมา อย่างน้อยเราก็ระวังแค่ด้านเดียว คือปากถ้ำเท่านั้น คุณอนุวัฒน์พูดตอบเสียงเบา
จากนั้นทุกคนก็ปีนขึ้นไปอยู่ในถ้ำนั้น ปู่ฮวดก็นำเศษไม้ใหญ่ที่เอาขึ้นมากองรวมกัน แล้วรูดซิบเป้สะพายหลังของแกออก พลางควักปิ๊บน้ำมันก๊าดขนาด 5ลิตร ออกมาเทราดที่กองฟืนนั้นเล็กน้อย แล้วก็จุดไฟขึ้นทันทีเพื่อสร้างแสงสว่างภายในถ้ำนั้น โดยที่ท้าวคำใสสั่งก็สั่งให้ นายทอง นายแสง นายกล้า ช่วยก่อกองไฟขนาดใหญ่ ไว้ที่พื้นด้านล่างของปากถ้ำที่อยู่ต่างระดับลงมาเกือบ 3เมตร โดยให้ก่อกองไฟไว้ 4กอง และใส่ฟืนไว้เยอะๆ อย่าให้ดับได้เด็ดขาด สร้างความประหลาดใจแก่ทุกคนยิ่งนัก แต่ก็ไม่มีใครอยากเอ่ยถามท้าวคำใส
ในคืนนี้เป็นคืนเดือนดับแรม 15ค่ำ ในป่าเวลานี้ช่างเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมที่พัดใบไม้อยู่อย่างแผ่วเบา ทุกๆคนในคณะตัดไม้ต่างนั่งเงียบกระชับปืนไว้ในมืออย่างใจจดใจจ่อ ทุกๆคนต่างขอภาวนา ให้คืนนี้ผ่านลุล่วงไปด้วยดี เมื่อเวลาผ่านไปได้ราวๆสัก 3ทุ่มเศษ พลันก็มีสายลมพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง ต้นไม้ทีอยู่รอบข้างต่างไหวเอนตามกระแสความแรงของลมที่พัด มันมาแล้ว ท้าวคำใสเอ่ยขึ้นทันที พลันก็ปรากฏร่างของเหล่าผีป่า ที่มีอยู่อย่างมากมาย ที่ลักษณะของมันนั้นดูคล้ายลิง แต่ดวงตาสีแดงลุกโชน มีเสียงหวีดร้องอันน่ากลัวพร้อมกับมีกลิ่นสาบที่รุนแรง ผีโป่งค่าง อ้ายเฮืองเอ่ยขึ้นเสียงดัง ท้าวคำใสรีบเดินไปรูดซิบเป้สะพายหลัง ที่วางกองไว้ข้างๆผนังของถ้ำ จากนั้นก็ควักเอาลูกกระสุนเงิน ที่มีอยู่จำนวนมากมายมาแจกให้แก่ทุกๆคน ถ้าพวกมันเริ่มเข้ามาใกล้ปากถ้ำ ก็ยิงมันด้วยกระสุนเงินนี่เลยนะ ท้าวคำใสเอ่ยสั่งเสียงดังทันที
ทุกคนในคณะตัดไม้ ต่างรีบบรรจุลูกกระสุนเงิน เข้ารังเพลิงปืนลูกซองอย่างรวดเร็ว ยกเว้นก็แต่ทิดหมาน ดาบเริง และทิดกราด ที่ใช้ปืนคาร์บิ้น m1 เมื่อบรรดาเหล่าผีโป่งค่าง ค่อยๆก้าวเดินเข้ามาใกล้ ในเขตที่ไม้หลักอาคมตอกฝังดินเอาไว้ เมื่อได้ระยะที่เหมาะสมแล้ว จากนั้น ท้าวคำใสก็หลับตาลง ปากก็ได้บริกรรมคาถาไปด้วย ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงร้องลั่นโหยหวนของเหล่าผีโป่งค่าง อันเนื่องจากถูกเปลวไฟของทั้ง 4กอง ที่ก่อไว้นั้น ลอยขึ้นเป็นลูกไฟขึ้นขนาดเท่ากำมือ พุ่งตรงไปกระทบยังร่างของบรรดาเหล่าผีโป่งค่าง ที่ดาหน้าเข้ามานับ 100ตัวนั้น เกิดเป็นเปลวไฟลุกไหม้ ขึ้นตามลำตัวเหล่าผีโป่งค่างในทันที นี่มันวิชากสิณไฟนี่หว่า อ้ายเฮืองอุทานขึ้นทันที ผีโป่งค่างถูกลูกไฟเหล่านั้น พุ่งไปเผาไหม้ร่างกายตัวแล้วตัวเล่า จนทำให้บรรดาผีโป่งค่างในตัวหลังๆนั้น ไม่กล้าเข้ามาใกล้เขตของกสิณไฟ คุณพระช่วย ในทันใดนั้นเอง ก็เกิดพลังลมพายุพัดกระโชกอย่างหนัก โหมกระแทกเข้ามาอย่างจัง จนทำให้ไม้หลักอาคมที่ตอกไว้นั้นหลุดลอยไป และพัดพานำกองไฟ ทั้ง 4กอง ที่ด้านล่างของปากถ้ำนั้นปลิวดับหายไปด้วย ให้มันได้แบบนี้ซิวะ..เจ้าสางดง มันใช้อิทธิฤทธิ์ของมันดับไฟ เพื่อทำลายเขตกสิณไฟของเรา จะเปิดทางให้สมุนของมัน เข้ามาเล่นงานเราจนได้ ท้าวคำใสพูดดังลั่น แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีครับ คุณอนุวัฒน์เอ่ยถามเสียงดัง ต้องใช้กระสุนเงินที่เรามีอยุ่ยิงมันครับ ท้าวคำใสเอ่ยตอบเสียงเครียด
จากนั้นบรรดาผีโป่งค่าง ที่เหลือรอดจากการถูกกสิณไฟ ได้ย่างเท้าเดินเข้ามาช้าๆ จวนจะถึงลานที่ใต้หน้าปากถ้ำเต็มที พลัน ก็มีเสียงสั่งของคุณอนุวัฒน์ มันมาใกล้มากแล้ว รีบยิงพวกมันเลย แล้ววิถีกระสุนเงิน ก็พุ่งตรงไปยังบรรดาผีโป่งค่างนั้นทันที เปรี้ยง เสียงปืนลูกซองที่บรรจุกระสุนเงิน ได้ดังขึ้นและดังต่อเนื่องสนั่นลั่นทั้งผืนป่า เปรี้ยงๆๆๆๆๆๆๆ ผีโป่งค่างตัวแล้วตัวเล่าที่เดินดาหน้าเข้ามา เมื่อถูกกระสุนเงินเข้าไปที่ร่างกาย ก็เกิดการลุกไหม้ ถูกไฟเผากลายเป็นฝุ่นเถ้าธุลี เพราะฤทธิ์อาคมของกระสุนเงิน จนในที่สุดเหล่าผีโป่งค่างนับ 100ตัวนั้น ก็แทบไม่มีเหลือรอดเลย เนื่องจากถูกคณะตัดไม้ กระหน่ำยิงจนหายไปหมดสิ้น ส่วนอีกไม่กี่ตัวที่เหลือนั้น เมื่อเห็นท่าว่าไม่ดีก็กระโจนหนีเข้าป่าหายไป หลังจากที่ทุกคนยิงผีโป่งค่างเหล่านั้นหนีกระเจิงหายไปหมดแล้ว ต่างพากันหยุดพักเหนื่อย ที่ปากถ้ำถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกครั้ง ให้ตายเถอะมันมาเยอะจริงๆยิงจนแทบไม่ทัน คุณอนุวัฒน์กล่าวพลางควักบุหรี่มาจุดสูบ พลางยื่นไปแจกยังทิดหมาน 1มวน แล้วพวกมันจะบุกมาอีกมั้ยครับ ทิดหมานเอ่ยถามขึ้นทันที ไอ้ผีโป่งค่างพวกนี้ มันคงไม่กล้ามาอีกแล้ว กลัวแต่เจ้าสางดงตัวนั้นแหล่ะ มันจะมาหาเราหลังจากนี้ ท้าวคำใสกล่าวเสียงเข้ม แล้วเราพอจะมีวิธีการรับมือมันบ้างมั้ยครับ ดาบเริงเอ่ยเสริมขึ้น ถ้าเรายังโชคดีคงรอดกลับออกไป ท้าวคำใสกล่าวลอยๆทิ้งท้าย
จนเวลาผ่านไปถีงราวๆเที่ยงคืน ก็ได้เกิดลมกระโชกอย่างแรง มีเม็ดฝนร่วงหล่นลงมาอย่างหนัก ระคนกับสายลมที่พัดอื้ออึงด้วยพลังแห่งอาถรรพ์เจ้าสางดงตัวนั้น พร้อมกับมีเสียงร้องคำรามกึกก้อง ของเจ้าอสูรร้ายนั้นดังมาอย่างกดประสาท ทันทีที่เหตุการณ์อันเลวร้ายได้อุบัติขึ้นท้าวคำใสก็ล้วงมือไปที่เป้สะพายหลัง ที่วางกองไว้ข้างผนังของถ้ำ แล้วควักเอาควายธนูออกมา จากนั้นได้บริกรรมคาถาปลุกเสกด้วยมนตราอย่างรวดเร็ว พลันควายธนูในมือ ก็กลายเป็นแสงสีเขียวลอยพุ่งออกจากฝ่ามือไป จัดการมันเลยเจ้าทองแดงลูกพ่อ ท้าวคำใสเอ่ยขึ้นเสียงดัง ทันทีนั้นเอง เสียงควายธนูต่อสู้กับเจ้าสางดง ก็ดังสนั่นกึกก้องทั่วทั้งผืนป่า ตึงๆๆๆๆ... เสียงปะทะกันดังได้สักระยะหนึ่ง ซึ่งก็นานพอสมควร แล้วพายุลมฝนที่อื้ออึงอยู่นั้นก็สงบลงในบัดดล สักพักท้าวคำใสก็กระเด็นล้มลงอย่างแรง แล้วได้อุทานขึ้นเสียงดัง ให้ตายซิ..ไอ้ทองแดงแพ้มันแล้ว พลันเศษควายธนูของท้าวคำใสที่ทำจากแร่โลหะทองแดง ก็ร่วงหล่นลงพื้นดังตุ๊บ โดยที่มันแตกหักออกเป็น 2ท่อน ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก
เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว ก็มีกลิ่นสาบสางลอยละล่องเข้ามาแตะจมูกคณะตัดในไม้ทันที พวกเราทุกคนเตรียมตัวไว้ให้ดี มันใกล้เข้ามาแล้ว ท้าวคำใสเอ่ยเสียงดังพลันลุกขึ้นยืน ชั่วอึดใจนั้น ก็ปรากฏร่างของเจ้าสางดงตัวใหญ่ ดวงตาสีแดงลุกโพลน ยืนห่างออกไปจากปากถ้ำราวๆ 30เมตร
และมันได้เดินย่างสามขุมเข้ามาอย่างเยือกเย็น แต่แฝงไปด้วยความดุดัน พวกเรารีบบรรจุกระสุนปืน ที่อัดด้วยลูกปะคำเร็วๆ พูดจบคุณอนุวัฒน์ได้แบห่อลูกกระสุน ที่อัดไว้จำนวน 108นัด นำมาแจกทุกๆคนที่ใช้ปืนลูกซอง โดยที่ปู่ฮวดนั้น แกได้กระสุนไปทั้งสิ้น 12นัด แล้วทุกคนต่างรีบป้อนกระสุนเข้ารังเพลิง เมื่อเจ้าสางดงได้ก้าวเดินเข้ามาถึงบริเวณใกล้ปากถ้ำเต็มที มันใกล้มาแล้ว..เราจะเอาอย่างไรดี ดาบเริงเอ่ยขอความคิดเห็น มันเข้ามาใกล้วิถีกระสุนเราแล้ว รีบยิงมันเร็ว คุณอนุวัฒน์สั่งเสียงดัง ทันทีที่คุณอนุวัฒน์พูดจบ เสียงปืนลูกซองก็ดังกัมปนาทขึ้นในทันที เปรี้ยงๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ทุกคนต่างกระหน่ำยิงเจ้าอสูรร้าย เรียกได้ว่าอย่างอุตลุด ดินปืนลูกกระสุนลอยขึ้นควันโขมง ลูกกระสุนแร่โลหะทองเหลืองจากเม็ดสร้อยปะคำ พุ่งเข้ากระแทกร่างเจ้าสางดงอสูรกายร้ายแห่งท้องไพรลูกแล้วลูกเล่า โดยที่ร่างของมัน กระเด็นไปตามแรงปะทะลูกกระสุน มันคำรามร้องเจ็บปวดด้วยความกึกก้อง ยิงอีก ยิงเข้าไป อย่าหยุด มันทนได้ให้มันรู้ไป คุณอนุวัฒน์สั่งลูกน้องเสียงดังลั่น ด้วยสีหน้าที่จริงจัง เสียงกระสุนระเบิดออกดังต่อเนื่อง เปรี้ยงๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ๆๆ คณะตัดไม้กระหน่ำยิงอีกอย่างหนัก จนปลอกกระสุนหล่นเกลื่อนกลาดลานหน้าปากถ้ำ เมื่อเสียงกระสุนลูกปะคำทั้ง 108นัดสงบลง ได้ปรากฏร่างของเจ้าสางดงหมอบฟุบ อยู่ห่างออกไปจากหน้าถ้ำราวๆ 20เมตร มันเสร็จเราแล้ว ดาบเริงเอ่ยขึ้นทันที ผมว่ายังหรอกครับ แต่มันคงเจ็บหนักเอาการอยู่เหมือนกัน มันชะล่าใจ คิดว่าเราไม่มีอาวุธที่มีพลังพุทธานุภาพขนาดนี้ เลยเดินเข้ามาตกเป็นเป้านิ่งให้เรายิง ท้าวคำใสเอ่ยบอกคณะตัดไม้ กระสุนเราก็หมดแล้วเราจะทำอย่างไรกับมันดี คุณอนุวัฒน์เอ่ยถามเสียงดัง ก็นั่นน่ะซิครับ ทิดหมานกล่าวสำทับอีกครา บรรยากาศในป่านั้น เมื่อสิ้นเสียงลูกปืนก็ได้เงียบสงบลงอีกครั้ง ทุกคนต่างเงียบกริ๊บ รอลุ้นระทึกว่าเจ้าสางดงที่นอนหมอบอยู่นั้นจะมีทีท่าอย่างไร พลันมันค่อยๆลุกขึ้นยืนจังก้า 4ขา อย่างทุลักทุเล พร้อมหันหน้ามาคำรามใส่คณะตัดไม้ ที่ยืนอยู่บนปากถ้ำสูง ด้วยดวงตาสีแดงลุกโชนอย่างโกรธแค้นแสนสาหัส แล้วได้บ่ายหน้าหนี กระโจนเข้าพุ่มไม้หายไปในป่าทึบทันที ให้ตายสิ.. บ้าชิพ มันอึดจริงๆ โดนรุมยิงขนาดนี้มันยังลุกขึ้นกระโจนหนีหายได้ ทิดหมานกล่าวอุทานขึ้น เวลานี้กี่ยามแล้ว คุณอนุวัฒน์เอ่ยถามขึ้น ใกล้ตีหนึ่งแล้วครับนาย อ้ายโหน่ยเอ่ยตอบพลางก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือ หวังว่าคืนนี้มันคงไม่กล้าบุกมาทำร้ายพวกเราแล้วนะ ทิดหมานกล่าวสำทับทันที ก็ไม่แน่เหมือนกันหว่ะ ถ้าผ่านคืนนี้ไปได้ มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ บางทีมันอาจย้อนกลับมาอีกก็เป็นได้ เพราะมันแค้นเราอยู่มากเหมือนกัน อ้ายเฮืองกล่าวบอก ฟังดูก็มีส่วนเป็นไปได้อยู่เหมือนกันนะ ดาบเริงกล่าวสนับสนุนอีกแรง
ตอนนี้ทั้งคณะตัดได้แต่นั่งนิ่งในถ้ำทุกคน รวมถึงพวกเด็กหนุ่มอย่างนายแสง นายกล้า นายทองและปู่ฮวดด้วย ต่างไม่ต้องพากันหลับนอน คงได้แต่นั่งจุดบุหรี่สูบเป่าควันเล่น ขอภาวนาให้ถึงยามเช้าเร็วๆทีเถิด ต่างระเแวงกลัวเจ้าอสูรกายนั่นจะย้อนกลับมาอีก ถ้าเกิดมันมาอีกเราจะรับมือมันอย่างไรดีครับ คุณอนุวัฒน์พูดกระซิบถามท้าวคำใสที่นั่งติดกัน ไม่มีอะไรเหลือเลยครับ ทีเหลือก็มีกระสุนเงินเหลือราว 20นัด และกระสุนเหล็กไหล 2นัด กับมีดหมอโบราณเพียงเล่มเดียว ที่เราจะต้องใช้ในระยะประชิดตัวเท่านั้น ท้าวคำใสตอบเสียงแผ่วเบา ก็ยังดีนะทึ่ยังพอมีอะไรติดตัวอยู่บ้าง คุณอนุวัฒน์เอ่ยให้กำลังใจ ก่อนเอนตัวนอนไปทางด้านหลังศรีษะหนุนเป้สะพายหลัง พร้อมกับลืมตาแป๋วมองบนผนังถ้ำ
จากนั้นท้าวคำใสจึงเอ่ยขึ้นว่า กระสุนเหล็กไหลนั้นถือได้ว่า เป็นอาวุธที่พลังแห่งการทำลายล้างอาถรรพ์ที่ดีที่สุดครับ โดยการที่เอาน้ำผึ้งเดือน 5ไปล่อให้แร่เหล็กไหลออกมา แล้วนำแร่เหล็กไหลที่ได้มานั้น ไปเข้าสู่กระบวนการทางพิธีไสยศาสตร์ เพื่อให้มันเกิดการจับตัว นำมาเป็นลูกกระสุนปืน แต่ทว่า เราต้องยิงในขณะที่ทวารเปิดเท่านั้น เราไม่สามารถยิงผ่านชั้นหนัง ของเจ้าอสูรกายนั้นได้เลย เว้นแต่ใช้กระสุนที่ทำจากแร่ทองแดง ทองเหลือง เงินและก็ดีบุก กระสุนเหล็กไหลเมื่อยิงไปแล้ว มันคงไม่ต่างอะไรกับกระสุนลูกตะกั่วธรรมดาๆ ถ้าเราไม่ใช้กระสุนล้างอาถรรพ์เสียก่อน น่าเสียดายจริงๆ ที่ผมไม่ได้หยิบกระสุนจัตวโลหะ บนหิ้งพระที่บ้านติดตัวมาด้วย ท้าวคำใสกล่าวอธิบายเสร็จพลางเอนกายหลับตาช้าๆ อย่างอ่อนใจ ทิ้งศรีษะหนุนเป้สะพายหลังลงเช่นกัน
เวลาได้ผ่านไปราวสักครู่ใหญ่ๆ พลัน ทันทีนั้นก็มีเสียงคนเรียก จากด้านล่างของปากถ้ำ โดยเป็นเสียงชายชราเอ่ยขึ้นว่า ในถ้ำนั้นพอจะมีใครอยู่บ้างมั้ย รีบช่วยข้าหน่อยเร็วๆ ซึ่งมีลักษณะเป็นเสียงที่แผ่วเบา เย็นยะเยือก คล้ายๆกับเสียงผู้ชายที่ชรามากแล้ว คณะตัดไม้พากันสะดุ้งตื่นสุดตัวเมื่อได้ยินเสียง จึงต่างพากันลุกเดินออกมา มองลงด้านล่างหน้าปากถ้ำทันที โดยที่ทิดหมานได้ส่องไฟฉายจี้ไปทางต้นเสียงนั้น คุณพระช่วย ทุกคนต่างก็ต้องตะลึง เมื่อพบชายชรามีหนวดและผมรกรุงรังแต่งกายเหมือนฤาษี มาในสภาพเลือดอาบท่วมกาย ยืนอยู่ด้านล่างของบริเวณปากถ้ำ โดยแหงนหน้ามองขึ้นมาด้านบน แต่เอามือยกขึ้นบังแสงไฟฉาย ที่ส่องจี้บนใบหน้า แล้วตาเป็นอะไร ไปทำอะไรมา แล้วเข้ามาอยู่ในป่านี้ได้อย่างไร ดาบเริงรีบเอ่ยขึ้นถามเป็นชุดทันที อ้อ..ข้าเป็นนักบวช เป็นพราหมฤาษี ออกเดินทางมาจากเมืองพงสาลี เข้ามาเพื่อนั่งทำสมาธิปลีกวิเวกในป่าแห่งนี้ นั่งสมาธิทำาวิปัสนาอยู่ในกระท่อม อยู่ๆก็มีตัวอะไรไม่รู้ กระโดดพุ่งเข้ามาจะกัดข้า แต่ข้าไหวตัวรีบหลบทัน จึงโดนกรงเล็บของมันเฉียดๆที่แขนขวา จนบาดเข้าให้ พอได้สติข้าก็สบัดหลุด ก็เลยรีบวิ่งหนีมาทางนี้ จนมาเจอแสงไฟสว่าง ลอดออกมาจากปากถ้ำนี่แหล่ะ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนในคณะตัดไม้ต้องแปลกใจ นั่นก็คือกลิ่นสาบสางที่รุนแรง เหม็นลอยโชยเข้าปะทะจมูกทุกคนอย่างจัง
ติดตามตอนต่อไปได้ที่ "สางดงในคืนเดือนดับ" ตอน 2 จบภาค1
เรื่องจากพันทิป (สางดงในคืนเดือนดับ)อาถรรพ์เกี่ยวกับป่าที่สมาชิกทุกท่าน เคยได้ยินเรื่องเล่าที่ตกทอดกันมามีอะไรบ้าง?
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 3108333
Post a Comment