ค้างคืนมรณะในป่า


     "ค้างคืนมรณะในป่า" การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ในป่าลึก ประพันธ์โดยสมาชิกพันทิป Furryjit นักประพันธ์นวนิยายสยองแห่งพันทิป ขอขอบคุณสมาชิกพันทิป Furryjit สำหรับเรื่องสยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ผมเห็นสิ่งปลูกสร้างสูงตระหง่านเกือบจะเทียบยอดไม้นั้นแล้วรู้สึกทึ่ง เสาสี่ต้นที่ทำด้วยไม้ตะแบก ใช้เส้นหวายเหนียวมัดขวางท่อนซุงลำเขื่องทั้งสี่ต้นเพื่อกันโครงโยกเยกนับเป็นภูมิปัญญาคนสมัยก่อนแท้ๆ มาสร้างเป็นทานแก่ผู้ผ่านทางเพื่อพักแรมในป่า

ส่วนบนสุดนั้นเป็นเรือนไม้เรียงพื้นเป็นระนาดมีขอบสูงกันคนนอนแล้วกลิ้งตก แต่ไร้ฝาผนังเปิดไว้โล่งทั้งสี่ด้าน หลังคาเรือนเป็นแฝกคลุมกว้างรูปจั่วแบนๆ

ขณะนั้นฝนและพายุเริ่มตั้งเค้าแล้ว อันตรายในป่ากว้างตอนนี้สิ่งที่น่ากลัวกว่าสัตว์ร้ายใดๆคือน้ำป่าที่อาจไหลบ่ามาโดยไม่รู้ตัว

นายเคอะอดีตพรานป่าผู้ละมือจากการล่าเมื่อกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าบังคับใช้ มองบรรยากาศรอบตัวด้วยความพินิจอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกกับผมและพวกนักผจญป่ามือสมัครเล่นว่า

“คืนนี้คงต้องขึ้นไปนอนบนนู้นครับ ตั้งเต็นท์บนดินไม่ได้แน่นอน ถึงตรงนี้ไม่ใช่ทางลาดแต่เวลาฝนตกน้ำมันจะไหลมาเรื่อยๆยังไงพวกคุณก็นอนกันไม่ได้ เพราะป่าแถวนี้มันเป็นดินชื้น”

พวกเราทั้งหมดเงยหน้าขึ้นมองเพิงยกสูงแห่งนั้นอีกครั้งแล้วกลืนนำ้ลายเอือก จะให้เราปืนกันขึ้นไปอย่างไร ยังไม่ต้องพูดถึงสัมภาระ เครื่องกระป๋อง อาหารแห้ง ยาทากันยุงแมลง สารพัดที่แบกกันมา

พวกเรานั่นคือผม นายเรศ เจ้าคงและเจ้าโรจน์สามคนที่มีเวลาหยุดยาวและเห็นพ้องต้องกันมาเที่ยวป่า โดยว่าจ้างนายเคอะคนท้องถิ่นที่เมื่อก่อนเคยเป็นพรานยังชีพแต่ตอนนี้ได้ผันตัวเองมาเป็นผู้นำทางให้กับเราที่ต้องการมาเปลี่ยนบรรยากาศ อยู่ กิน นอน เดินชมป่า น้ำตก ลำธาร แมกไม้เขียว

เหมือนกับว่านายเคอะจะมองสีหน้าพวกผมออก

“ข้างบนมีบันไดลิงเป็นเชือกขดซ่อนอยู่ครับ ประเดี๋ยวผมจะไปตัดไม้ไผ่ลำสูงมาต่อตะขอเกี่ยวลงครับ ระหว่างนี้พวกคุณไปล้างเนื้อล้างตัวกันก่อน  ถัดไปตรงนั้นมีทางน้ำเล็กไหลอยู่ครับ”

พวกเราเดินไปตามทางนั้นและก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ มีร่องดินเปนทางยาวถึงน้ำมีสีฝาดเล็กน้อย แต่ก็ไหลเอื่อยๆตลอดแสดงว่าสะอาดแน่เพราะไม่นิ่ง พวกเราวักน้ำลูบหน้า ร่างกายชำระความเหนียวเหนอะจากการเดินท่องป่ามาทั้งวัน

เมื่อกลับมาก็ได้พบว่านายเคอะพรานเก่าเอาไม้ไผ่เกี่ยวบันไดลิงห้อยลงมาพื้นได้สำเร็จ ตอนนั้นเวลาเริ่มเย็นอ่อนๆแล้ว แต่เมฆฝนที่ตั้งครึ้มมาแต่ไกล ทำให้ความมืดมาเร็วกว่าปกติ ลมก็เริ่มพัดกระพือ กิ่งก้านต้นกระแตกที่ห่างออกไปเริ่มไหวเอนแล้ว

อดีดพรานเก่าเหมือนชั่งใจอยู่ชั่วขณะในที่สุดก็ตัดสินใจเด็ดขาด บอกให้พวกผมขึ้นไปบนเพิงสูงนั่นทันที  ด้วยความที่มันเป็นบันไดห้อยติดกับข้างบนจึงปืนยากเล็กน้อย ต้องมีคนคอยยึดไว้ไม่ให้แกว่งจากข้างล่าง จึงพากันทยอยเอาสัมภาระที่จำเป็นเอาไปเก็บได้ ส่วนเต็นท์และอื่นๆนั้นจำเป็นต้องทิ้งไว้ข้างล่าง เพราะสุดวิสัยที่จะนำขึ้นมา

แล้วม่านฝนก็เริ่มโรยตัวมาพร้อมกับความมืด นายเคอะพูดไม่ผิดในที่สุดน้ำก็เริ่มไหลมาจากไหนไม่รู้ลากเอาดินชะเปียกไปตามทิศทาง ขืนพวกเราตั้งเต็นท์นอนกันข้างล่างมีสิทธิ์ไถลไปจากที่เดิมแน่นอนแม้ว่าจะไม่รุนแรงนัก

แต่พวกเราก็ไม่อดอาหารเย็น เพราะเตาแก๊สขนาดพกพาได้ทำหน้าที่ของมันในการต้มมาม่าใส่ปลากระป๋องให้พวกเราพอประทังความหิวไปได้ในชั้นบนสุดนั้น กลิ่นเครื่องปรุงช่างหอมกรุ่นเสียนี่กระไร

เจ้าโรจน์ล้วงขวดบรั่นดีชั้นดีออกมาจากเป้สะพายเปิดรินแจกจ่ายทุกคน สายฝนเริ่มกระหน่ำขึ้นกระทบหลังคาและตกดิ่งลงสู่พื้นเหมือนม่านนำ้ตก

เมื่อรินผ่านรอบวงไปเป็นครั้งที่สอง ทุกคนก็เริ่มกรึ่มๆกัน สายฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกพอๆกับสี่ชีวิตบนเพิงสูงแห่งนั้นที่หยุดดื่มกันไม่ได้แล้ว

ในที่สุด เจ้าคง เจ้าโรจน์ก็ล้มตัวลงนอนแบบหมดสภาพ เหลือเพียงแค่ผมกับอดีตพรานอาวุโสนายเคอะเป็นสองคนสุดท้ายในวงที่ยังร่ำสุรากันอยู่ แต่ไปๆมาๆเราก็ต่างไม่ไหวกันทั้งคู่ค่อยๆล้มตามกระแสของความง่วงและด้วยฤทธิ์ของสุรา

แต่ผมดันมาตื่นเอาช่วงหนึ่งในเวลาดึกสงัด รอบข้างยังมืดสนิท แต่ไร้เสียงฝนที่หยุดตกไปเมื่อตอนไหนก็ไม่รู้  ไอชื้นลอยสูงขึ้นมาจากพื้นดินพร้อมกลิ่นกระดังงาป่าหลังฝนเทใส่ลอยมา

แถมได้ยินเสียงเคลื่อนไหวพลุกพล่านข้างล่าง แต่ผมงัวเงียเกินกว่าจะชะโงกหน้าลงไปดู ขณะนั้นคิดว่าไม่มีอะไร กำลังจะเข้าสู่ภวังค์หลับต่อ เกิดได้ยินภาษาพูดขึ้นมาเหมือนกับภาษาคนเลยไม่หลับในทันทีทันใด นอนนิ่งฟังสักครู่ก็พอจับใจความได้

“ไอ้แก่นั้นหัวไวชักกระไดขึ้นหลบไปเก็บข้างบน แต่บ่พ้นความสามารถข้อยดอก ข้อยจะเอื้อมมือสูงโต้ขึ้นไปล้วงก้นมันบัดเดี๋ยวนี้”

ผมได้ยินประโยคนั้นชัดทุกถ้อยคำ ความเย็นแผ่ซ่านในร่างกายจนขนลุกซู่ หูผมไม่ฝาดแน่ๆ

ความง่วงงุ่นหายเป็นปลิดทิ้ง ใจเต้นกระดอนอยู่ในอก  ไม่ผิดแล้วผมเจออาถรรพ์ป่าหรือเจอดีอะไรตามคำบอกเล่าเข้าให้แล้ว แว่วได้ยินเสียงต่อไปว่า

“อย่าๆ เจ้าล้วงบ่ถนัดดอก ล่อหลอกให้เจ้าหนุ่มคนนั้นโยนบันไดลงมาดีกว่า ฮิ ฮิ จะได้กินกันถ้วนหน้า”

ผมมั่นใจได้ว่าได้ยินเสียงพูดที่กึ่งภาษาคนปนกับเสียง”คร่อกๆ” พร้อมทั้งสำเหนียกอะไรบางอย่างที่มีชีวิตมากกว่าหนึ่งกำลังกระโดดโลดเต้นอยู่เบื้องล่างบนดินผืนป่าที่เฉอะแฉะด้วยน้ำฝนจนเกิดเสียงแจะๆ

จากนั้นผมได้ยินเสียงเดินสับสนวนไปรอบเสาไม้ตะแบกทั้งสี่อย่างงุ่นง่าน คล้ายกับอะไรก็ตามนั้นกำลังพยายามหาทางขึ้นมา

“บ่มีประโยชน์ดอก ฮิ ฮิ” เสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น “ บอกให้เจ้าหนุ่มน้อยคนนั้นโยนบันไดลงมาดีกว่า มันบ่ได้หลับแล้ว ฮิฮิ”

ผมชาดิกไปทั้งตัวเมื่อได้ยิน อะไรกัน มันกำลังเล่นสงครามจิตวิทยากับผมอยู่หรืออย่างไร เหมือนมันรู้อากัปกิริยาผมว่ากำลังลืมตาโพลงอยู่ด้วยความกลัว

แล้วก็มีเสียงเหมือนกล่อมปนสะกดตามมา

“เจ้าหนุ่มเอ๋ย เจ้าบ่หลับดอกข้ารู้ดี  รีบโยนบันใดมาสู่พวกข้า”

มีเสียงเร่งขึ้นมาเซ็งแซ่ว่า “ เร็ว เร็ว หิว หิว”

อยู่ดีๆผมก็รู้เสึกเคลิ้มเหมือนกับจะลืมตัว อยากลุกขึ้นไปหยิบบันไดลิงหย่อนไปข้างล่างเสียจะได้เสร็จเรื่องแล้วกลับมานอนต่อ แต่แล้วก็เกิดพลังงานความร้อนอย่างหนึ่งที่ทรวงอก เมื่อเอามือไปจับก็พบว่าเป็นหลวงพ่อวัดห้วยจระเข้ที่แขวนคอไว้ตลอดเวลาตั้งแต่ได้มา

ราวกับมีคนเอาน้ำมาสาดหน้าผมตอนสลึมสลือ ผมกลับคืนสติทันที เลยหยุดชะงักอยู่แค่นั้นตามด้วยเสียงคำรามดังขรมอย่างขัดใจดังมาจากใต้เพิงสูง เหมือนกับสิ้นสุดความอดทนของอะไรบางอย่าง

ทันใดนั้น ผมสาบานได้ว่าเห็นมือหนึ่งขาวโพลงในความมืดที่เลือนลางโผล่ขึ้นมาตรงขอบไม้ยาววางพาดกั้นกันคนพลัดตก มันเป็นมือปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย มืออันยาวเฟี้อยนั้นเมื่อยืดขึ้นมาสุดก็เริ่มคลำหาอะไรอย่างเอาเป็นเอาตาย เริ่มควานหาไปทั่ว เหมือนคนตะกละตะกรามหาของกิน

แต่ก่อนที่มืออุบาทว์ของสิ่งชั่วร้ายเหนือธรรมชาตินั้นจะคลำต่อไปจนเจอร่างใครเข้าก่อน แล้วมีการกระทำที่วิปริตอย่างหนึ่งอย่างใดตามมา

ผมกระเด้งตัวลุกขึ้นมาทันที คนอย่างผมเมื่อกลัวถึงขีดสุดก็แปรเปลี่ยนเป็นความบ้าระห่ำ ผมร้องลั่นปลุกทุกคนให้ตื่นพลางปราดเข้าไปเอาเท้าเหยียบมืออมนุษย์มือนั้น  ชักมีดพกที่ติดตัวออกมา อีกมือกำหลวงพ่อวัดห้วยจระเข้ที่แขวนอยู่บนอก อาราธนาสั้นๆพร้อมปักมีดในมือลงไปยังมือผีนั้นอย่างรวดเร็ว

เสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดก้องกังวานในความมืด ท่ามกลางป่าพรุแดนดินเปียกต้นไม้รากใหญ่ในอาณาบริเวณนี้ กิ่งไม้ไหวสะท้าน

เมื่อแสงไฟกระจ่างขึ้นด้วยหลอดไฟอิเล็กทรอนิกส์ที่ต่อกับพาวเวอร์แบงค์ ผมเองก็ต้องตะลึง เมื่อมองเห็นมีดของผมปักลงบนระแนงไม้ที่ว่างเปล่า ปราศจากอะไรทั้งสิ้น

ทุกคนสะดุ้งตื่นมา จะให้เมาแค่ไหนก็ตาม  ตาสว่างทันที เมื่อได้ยินเรื่องจากผมก็พาหนาวๆ ใจหวิวไปตามกันๆ คืนนั้นต่างคนต่างไม่มีใครนอนต่อกันอีกแล้วเหล้าขวดใหม่ก็ถูกเปิดออกมาวนเวียนรินดื่มรอบวงแทนเหล้าขวดเก่าที่หมดไป

รุ่งเช้าพวกเราลาจากป่าแห่งนั้นอย่างไม่อาลัย เดินออกป่ามาทั้งๆที่ยังเมาเหล้ากันอยู่นั่นแหละ นายเคอะแอบกระซิบกับผมหลังจากพากันเก็บข้าวของขึ้นรถจิ๊ปเสร็จเรียบร้อย

“ผีขโมด พวกนี้อยู่ในป่า บางทีดูเหมือนเป็นชาวบ้านธรรมดามีตัวตน ตอนกลางวันจะหลับนอนอย่างเดียว แต่พอตอนกลางคืนจะครึกครื้นออกเที่ยวหากิน บางทีก็ไม่มีตัวตนแต่เที่ยวหลอกหลอนคนมาค้างแรมในป่า”

แล้วนายเคอะก็รับสารภาพด้วยเสียงอ่อยๆ

“เมื่อคืนผมโดนสะกดตัวแข็งทื่อเลย ได้ยินและเห็นทุกอย่างตามที่คุณเห็นแต่เนื้อตัวกระดิกไม่ได้ โชคดีที่คุณจิตแข็งและมีของดีคุ้ม ไม่งั้น”

ผมไม่มีโอกาสได้ถามต่อว่า “ไม่งั้น” สิ่งที่ตามมาจะเลวร้ายอย่างไร เพราะว่าเจ้าคงและเจ้าโรจน์พร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว คำสนทนาเราจึงสิ้นสุดแต่เพียงเท่านั้น คำถามนี้จึงค้างคาใจไปตลอด

ท้ายที่สุด จนมาถึงทุกวันนี้ผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า สิ่ง(ไม่)มีชีวิตพวกนั้นที่ผมเจอในป่าจะมีฤทธิ์ถึงขั้นฉีกอก ควักเอาใส้พุงพวกเรามากินได้จริง หรือเพียงสร้างภาพอันน่ากลัวมาหลอกหลอนจิตเราให้ผวาเพียงอย่างเดียว อารามรีบร้อนเก็บข้าวของกลับในเช้าวันนั้นนับตั้งแต่แสงสว่างแรกของรุ่งอรุณทำให้ไม่ได้ตรวจสอบดูว่ามีรอยเท้าของสิ่งมีชีวิตอื่นนอกเหนือจากพวกเราหรือไม่

ได้แต่ภาวนาให้ไม่มีกลุ่มนักท่องป่าเคราะห์ร้ายกลุ่มใดหลงเข้าไปในอาณาเขตนั้น เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าเภทภัยอะไรจะเกิดขึ้น

สำหรับพวกเรานั้นไม่เคยคิดที่จะหวนกลับมายังป่าแห่งนี้อีกเลย. ตลอดกาล

โปรดติดตามผลงานต่อไปของผมนะครับ ขอบพระคุณอย่างสูงที่อ่านจนจบ

เรื่องจากพันทิป ค้างคืนมรณะในป่าตอนหนึ่ง , ค้างคืนมรณะในป่า(ตอนสองจบ)
เรื่องโดย Furryjit

ไม่มีความคิดเห็น