ติดฝนมรณะข้างทาง ตอนจบ

 

     เรื่องราวต่อจาก "ติดฝนมรณะข้างทาง ตอนหนึ่ง"  และ "ติดฝนมรณะข้างทาง ตอนสอง" ดำเนินไปถึงตอนที่สามแล้ว ประพันธ์โดยสมาชิกพันทิป Furryjit นักประพันธ์นวนิยายสยองแห่งพันทิป ขอขอบคุณสมาชิกพันทิป Furryjit สำหรับเรื่องสยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย

คำเตือน

กรุณาอ่านเรื่องราวก่อนหน้านี้ตามลำดับ  ถ้าจะให้ดีอ่านนิยายตาม Profile ผู้เขียนด้วยยิ่งดี

นี่คือตอนก่อนหน้านี้ อ่านก่อนตามกะบวนการอย่าข้าม เพราะตั้งใจเขียนไว้ดิบดี

สายฝนยังโหมเทลงมาไม่ขาดสาย พวกเรานั่งกอดเข่าเจ่าจุกจิบไวน์อยู่บนแคร่ไม้ จานชามที่กินเสร็จแล้วพวกเราได้พากันลำเลียงเอาไปเก็บตรงที่ล้างให้ร้านด้วยความเกรงใจ

เมื่อไวน์ขวดที่สองพร่องไปกว่าครึ่ง พี่จักรก็สลายความเงียบขึ้นด้วยการชวนทุกคนคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ ซึ่งก็ได้ผลเพราะมีแอลกอฮอล์เป็นตัวช่วยให้ครื้นเครง เจ้าโรจน์เรึ่มจะเมานิดๆเพราะออกตัวเผาหัวร้อนก่อนใครๆ  แต่ก็คอยหยอดมุขตลกในแบบฉบับของมันแทรกเป็นช่วงๆทำให้คนบางคนลืมความหมางเมินไปชั่วคราว

มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่งของเจ้าโรจน์ที่เรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคน คนเราเวลาหัวเราะมักจะลืมตัว สายตาสองคู่นั้นก็เลยมาประสานกันโดยบังเอิญ ฝ่ายชายยิ้มให้ก่อน รอยยิ้มที่ดูบริสุทธิ์นั้นทำให้ฝ่ายหญิงเกือบเผลอๆจะยิ้มตอบแต่พอรู้สึกตัวก็ค้อนควักใส่และสะบัดหน้าไปทางอื่น

เวลาผ่านล่วงไปจนกลางดึก นายิกาบอกเวลาเที่ยงคืนสิบห้านาที พวกเราทั้งหมดยังไม่มีใครง่วงนอน

คุยกันอยู่ดีๆ ปัญหาโลกแตกที่มนุษยชาติที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นก็เกิดขึ้น มนุษย์ทุกผู้ทุกนามเมื่อกิน เข้าไปแล้วก็ต้องมีขับถ่าย ไม่น่าเชื่อที่ผู้หญิงที่ส่วนมากธาตุหนัก จะเกิดปวดท้องขึ้นมากระทันหันเป็นคนแรกคือน้องจอย

จู่ๆเธอก็ลำตัวบิด ทำหน้าแหยๆและพูดเสียงอ่อยๆ

“เอ่อ จอยต้องโทษจริงๆที่ขัดจังหวะทุกคน แต่ แต่ แถวนี้พอจะมีห้องน้ำที่ไหนบ้างไหมค่ะ คือ คือ”

ไม่ต้องพูดอะไรต่อก็เข้าใจกันหมด ของอย่างนี้เกิดขึ้นกับทุกคน แต่ก็หนักใจแทนเพราะช่วยกันเหลียวซ้ายแลขวาก็เจอแต่ทุ่งโล่งๆ น้องเกศเอามือจับแขนเพื่อนอย่างเป็นห่วง

“จอย ไหวไหม”

จอยฝืนผงกหน้าช้าๆ แต่สีหน้าเธอมันบ่งบอกความรู้สึกตรงกันข้าม ขนาดเวลาอย่างนี้ผู้หญิงก็ยังต้องไว้เชิง

ไม่ต้องรอให้ใครขอ ผมก็รีบลุกขึ้นเดินไปหาป้าเจ้าของร้านอีกครั้ง ด้วยอารามห่วงเพื่อนร่วมคณะเช่นกันจึงลืมนึกถึงคำพูดและภาพนิมิตรประหลาดก่อนหน้านี้ไปชั่วขณะ

“ป้าครับ พอดีน้องเค้า เอ่อ”

ป้ายิ้มเหมือนรู้ดี คำถามผมดูจะไม่จำเป็นต้องถามด้วยซ้ำ

อีนางน้อยปวดท้องทุ่งหรือ ให้เดินตรงไปทางโน่น สักสิบเมตรผ่านเพิงขายของนั่นไป จะเจอห้องปลดทุกข์เล็กๆทำด้วยไม้ไผ่

แต่แล้วแกก็หยุดยิ้มทันควัน สีหน้าบอกถึงความกังวลบางอย่าง เมื่อสายตามองฝ่าออกไปในความมืดข้างนอก

เอาไฟไปส่องทางด้วยนะลูก ค่ำมืดอย่างนี้ต้องระวัง ตั้งสติให้ดีด้วย

ผมกำลังจะไปบอกน้องจอยอยู่แล้ว ได้ยินเช่นนั้นก็สะดุดหูเล็กน้อยแต่ไม่ได้เฉลียวใจอะไร นึกว่าแกเตือนให้ระวังพวกสัตว์มีพิษ

“ขอบคุณมากครับป้า”

ถ้าเพียงผมหันมามองอีกครั้งจะได้เห็นแววตาที่หวั่นวิตกของป้าและหลานสาวคู่นั้น เสียงพึมพำของผู้สูงวัยกว่าเพียงให้ได้ยินเฉพาะสองคน

มันเป็นเคราะห์หามยามร้ายของคนไหน คนนั้น แต่ก็ดี พอพ้นคราวนี้ไปได้แม่หนูคนนั้นจะเข้าใจพ่อเรศมากกว่าเดิม หลังจากนั้นพวกเราจะได้หมดห่วงเสียทีนวลเอ๋ย

หญิงสาวที่มีนัยน์ตาสวยแต่โศกคู่นั้นไม่พูดอะไร แต่มองตามหลังชายหนุ่มอย่างห่วงหา

ผมกลับมาบอกทางไปห้องน้ำให้น้องจอย สีหน้าเธอดีขึ้นมาเล็กน้อย น้องเกศขยับจะตามไปเป็นเพื่อน พี่จักรก็ทำท่าจะลุกเช่นกัน แต่ผมห้ามไว้

“ขับรถไปไม่ดีกว่าหรือครับ จะได้ไม่เปียกฝน”

น้องจอยยิ้มฝืดๆ เธออายแต่ก็จำใจต้องพูด

“คือจะให้พูดยังไงดี แบบว่าตอนนี้จอยนั่งไม่ได้เป็นอันขาด ถ้านั่งลงแล้วมันกลั้นไม่อยู่แน่ๆค่ะ”

พูดอย่างนี้ใครไม่เข้าก็โง่ล่ะ  ผมรีบพูด

“ถ้างั้นรอผมสักครู่ ผมมีไฟฉายอยู่ในรถ ผมจะวิ่งไปหยิบเดี๋ยวนี้แล้วเราไปด้วยกัน”

พี่จักรแสดงทีท่าว่าเห็นด้วย แต่น้องเกศพูดตัดบทขึ้น

“ไม่รง ไม่รอล่ะ จอยเค้าแย่แล้ว ของอย่างนี้ไม่เกิดขึ้นกับตัวก็ไม่รู้”

พี่จักรเกาศีรษะ หันรีหันขวาง แล้วตัดสินใจ

“ไป รีบไปกัน เรศพอแกได้ไฟฉายค่อยตามไปแล้วกัน ใช้ไฟจากโทรศัพท์ไปก่อนก็พอได้อยู่มั้ง”

แล้วหันมาทางเจ้าโรจน์

“โรจน์นั่งอยู่ตรงนี้แหละไม่ต้องตามมา แกเมาแล้ว เดินดีไม่ดี เซหกล้มเปล่าๆ”

ผมรีบวิ่งไปที่รถแต่เสียเวลาเล็กน้อยเพราะลืมไปว่าเจ้าโรจน์เป็นคนถือกุญแจคนสุดท้ายตอนไปหยิบไวน์ และมันก็ดันทำร่วงจากกระเป๋าเสียอีก โชคดีที่หาเจอเอาแถวนั้น เแต่กว่าจะหยิบไฟฉายวิ่งกลับมาอีกรอบทั้งสามก็เดินไปไกลลิบแล้ว

หญิงสาวประคองเพื่อนเดินพร้อมกับคลี่เสื้อแจ็คเก็ตที่พี่จักรให้ยืมออกคลุมฝนมือหนึ่งถือโทรศัพท์เปิดไฟแฟลชให้เป็นไฟชายส่องทางท่ามกลางความมืดสนิท ชายหนุ่มที่เดินตามข้างหลังก็เปิดโทรศัพท์ช่วยอีกแรง ทำให้พอมองเห็นทางไม่ลำบากนัก

สักพักก็เห็นเพิงขายของที่มีขนาดเล็กกว่าเพิงที่พวกเขาเพิ่งเดินออกมามาก ความสว่างของไฟโทรศัพท์มีมากเพียงพอที่ทำให้มองเห็นว่าภายในเพิงว่างเปล่าไร้สิ่งของและผู้คน และสภาพเท่าที่เห็นก็ดูโทรมๆ เก่าๆ ผุพังอย่างไม่รู้ว่าจะล้มโครมลงมาเมื่อไหร่

ถัดไปประมาณยี่สิบก้าวโดยประมาณ ทุกคนเห็นห้องปลูกสร้างง่ายๆด้วยไม้ไผ่มีหลังคามุงจาก ต้องเป็นห้องสุขาที่ป้าคนนั้นพูดถึงแน่นอน

พี่จักรขอเสื้อตัวเองกลับคืนจากเธอ

“น้องเกศรออยู่ใต้หลังคาตรงนี้แหละ จะได้ไม่เปียกฝน พี่ไปยืนเป็นเพื่อนน้องจอยข้างๆห้องน้ำให้เอง”

เกศมองชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างซาบซึ้งในน้ำใจ แต่เธอชอบเขาแบบพี่ชายมากกว่า

“ โธ่ แล้วพี่จักรไม่ตากฝนแย่หรือ ฝนตกหนักมากนะค่ะ

ชายหนุ่มยิ้มแก้มแทบปริเมื่อเห็นว่าสาวที่เขาหมายปองแสดงอาการห่วงใยออกมา

“เห็นจะไม่เปียกหนักหนาหรอก เสื้อของพี่มันกันฝนได้ เชื่อพี่ คอยอยู่ตรงนี้นะ”

แล้วชายหนุ่มก็จับแขนพาเพื่อนสาวของเธอที่มีความต้องการสลายมวลวัตถุอย่างเต็มกลืน ตรงไปยังห้องน้ำหลังนั้น เกศมองตามจนกระทั่งเห็นไฟโทรศัพท์ห่างออกไปเป็นจุดเล็กๆ

แล้วเธอก็ถูกปล่อยให้ร้างตามลำพังภายใต้เพิงแห่งนี้ แม้จะอุ่นใจเล็กน้อยว่าพี่จักรอยู่ไม่ไกล แต่เสียงฝนที่ตกแบบมาฟ้ารั่ว เกิดอะไรขึ้นมาตะโกนหากันให้ตายถึงระยะแค่นี้ก็ไม่ได้ยินอยู่ดี

พอมาอยู่ภายใต้บรรยากาศขมุกขมัว วังเวง เวลาหนึ่งนาทีก็ยาวนานราวกับสิบนาที สักพักเธอก็เริ่มกระสับกระส่าย กลิ่นอับๆที่โชยมาจากภายในเพิงทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก

แล้วเธอก็อดไม่ได้ที่ต้องคิดถึงใครคนหนึ่ง แล้วก็เกิดอารมณ์ขุ่นมัวขึ้น

“อีตาบ้านั้นบอกจะตามมา ป่านนี้ยังไม่มาอีก สงสัยกำลังนั่งจีบหลานสาวเจ้าของร้านคนนั้นจนเพลินไปแล้วมั้ง”

ความคิดของเธอย้อนกลับไปยังวันแรกที่ได้พบเขาคนนั้น เธอกำลังนั่งเอกเขนกดูทีวีอย่างสบายๆที่บ้านเพราะเป็นวันหยุดเรียนที่มหาวิทยาลัย

เสียงประตูอัตโนมัติหน้าบ้านเลื่อนออก รถคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาจอด เธอไม่ได้ชะโงกหน้าออกไปดูเพราะรู้ว่าต้องเป็นพี่ชายเธออย่างไม่ต้องสงสัย พ่อของเธอซึ่งเป็นทหารยศนายพันและใกล้จะเกษียณราชการเต็มทีออกไปตีกอล์ฟกับเพื่อนๆ มักจะกลับบ้านตอนเย็นๆเป็นประจำ

ขณะนั้นแม่ของเธอกำลังง่วนเตรียมอาหารมื้อเย็นกับแม่บ้านอยู่ในครัว

สักพักเธอก็ได้ยินพี่โรจน์กำลังเดินคุยกับใครอีกคนที่น้ำเสียงไม่คุ้นใกล้เข้ามา บ่งบอกให้รู้ว่าอยู่ในบ้านแล้ว

โรจน์หยุดพูดไปเล็กน้อยเมื่อพบว่าน้องสาวตัวเองนั่งอยู่ในห้องโถง เลยทักออกมาพอเป็นพิธีแบบไม่ได้สนใจมากนักว่าเธอจะตอบอะไร

“อ้าว เกศวันนี้เธออยู่บ้านหรือ”  แค่นั้นเอง

แล้วก็หันไปคุยกับใครอีกคนที่เธอยังไม่เห็นหน้าต่อราวกับว่าเธอไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น

เธอกึ่งขำแกมเคืองพี่ชาย ปกติเขาก็ไม่ค่อยยุ่งกับเธอเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยยังพอได้ถามสารทุกข์สุขดิบบ้าง เช่น เรียนวันนี้เป็นยังไง กินข้าวหรือยัง ไม่ออกไปกับเพื่อนหรือ อะไรทำนองนี้ให้รู้ว่าใส่ใจน้องสาวบ้าง

สำหรับวันนี้เขาแลดูไม่สนใจในตัวเธอเลย มัวห่วงคุยกับใครก็ไม่รู้ นานๆครั้งโรจน์จะพาใครมาบ้านสักที ปกติเขาจะเทียวออกไปหาคนอื่นมากกว่า

ร้อยทั้งร้อยผู้หญิงเกิดความอยากรู้ขึ้นมา เธอจึงหันหน้าไปมอง ใครกันนะที่พี่ชายเธอให้ความสำคัญ

เมื่อเห็นเต็มตาเธอก็เผลออุทานในใจ จะเพราะอะไรเสียอีกล่ะ ก็หล่อชะมัดน่ะสิ ผู้หญิงคนไหนบ้างไม่ชอบผู้ชายหล่อ แม้จะไม่ได้ชอบแต่ก็อดมองไม่ได้



หล่อไม่หล่อเปล่ายังหุ่นดีอีกต่างหาก  สูงโปร่งแต่ลำตัวหนา พี่ชายหล่อนยืนใกล้ๆแล้วดูกลายเป็นคนตัวเล็กไปเลยทั้งๆที่ก็สูงพอสมควร

เมื่อเธอหันหน้าไป เขาก็รู้ตัวทันที ละสายตาจากโรจน์มามองเธอแล้วยิ้มให้ ตาสบตาเป็นครั้งแรก

อาการใจละลายเป็นอย่างไร หรือแค่คำเปรียบเปรย หญิงสาวได้รู้ซึ้งถ่องแท้วันนั้น

อากาศเย็นรวมถึงละอองฝนที่กระเซ็นมาใส่ ทำให้เธอรู้สึกหนาวสั่น เพียงแค่เธอเขยิบลึกเข้าไปอีกนิดในเพิงก็จะพ้น แต่ความรู้สึกบางอย่างทำให้เธออยากอยู่ข้างนอกยอมโดนฝนดีกว่า

การเคลื่อนไหวของวัตถุบางอย่างเบื้องหน้ากระตุ้นความสนใจของเธออย่างปัจจุบันทันด่วน เธอเห็นดวงไฟลูกหนึ่งโผล่ขึ้นตรงข้ามของอีกฟากถนน และแสงนั้นกำลัง ค่อยๆลอยเคลื่อนเข้ามาในจุดที่เธอยืนอยู่

ความกลัวแล่นปราดไปทั่วทุกอณูขุมขน ถ้าเธอออกวิ่งตอนนี้ไปหาพี่จักรก็คงทัน แต่แล้วเธอก็เปลี่ยนใจเพราะสายตาพอจับภาพได้ลางๆว่านั้นเป็นคนกำลังหิ้วตะเกียงเดินมาทางนี้

ไม่มีผีที่ไหนถือตะเกียงตอนกลางคืนหรอก เธอปลอบใจตัวเอง ยิ่งตอนนั้นพอเห็นระบุได้แล้วเป็นร่างคนแน่นอน เพราะมีแขนมีขาเดินเหมือนคนปกติ เธอจึงระงับความคิดที่จะวิ่งหนีเสีย

แล้วเธอก็ใจเต้นส่ำด้วยความดีใจ เมื่อคิดว่าอาจเป็นเขาคนนั้นตามมาด้วยความเป็นห่วง  คิดเข้าข้างเอาว่าสาเหตุที่เขามาช้าคือหาไฟฉายไม่เจอเลยยืมตะเกียงในร้านมาใช้

ในที่สุดเธอก็ต้องผิดหวัง เมื่อคนๆนั้นเดินเข้ามาใกล้พอจะเห็นได้ว่าเป็นผู้หญิงผมยาวเสื้อผ้าการแต่งตัวบ่งบอกว่าเป็นชาวบ้านแถวๆนี้

“ใครน่ะ มาทำอะไร” เกศได้ยินผู้หญิงคนนั้นถาม ยกตะเกียงขึ้นสูงเเพื่อให้เห็นหน้าอีกฝ่ายชัดๆ

เกศแอบโล่งอก ค่อยยังชั่วหน่อย หน้าตา การพูดการจาเหมือนคนธรรมดาแบบนี้ไม่ใช่ผีแน่นอน

“สวัสดีจ้ะ พอดีเพื่อนฉันมาใช้ห้องน้ำตรงนั้น ฉันเลยมายืนหลบฝนรอตรงนี้จ้ะ”

สตรีคนนั้นผงกศีรษะแสดงว่าเข้าใจ แล้วถามต่อว่า

“แล้วทำไมไม่เข้าไปข้างใน อยู่ตรงนี้ทั้งเปียกทั้งหนาว”

เกศไม่อยากบอกตรงๆว่าเธอกลัว จึงเสตอบไปว่า

“ฉันไม่รู้ว่าเพิงนี้เป็นของใครจ้ะ ไม่อยากถือวิสาสะเข้าไป เกรงใจเจ้าของ”

“เพิงของฉันเอง” พูดพลางยกถือตะเกียงในมือเดินผ่านหล่อนเข้าไปแขวนไว้ข้างใน ทำให้เกิดแสงสว่างเรืองขึ้น “เข้ามาสิ ยืนอยู่ข้างนอกทำไม”  เสียงเชิญชวนนั้นทำให้เกศลังเล

“ยืนอยู่ข้างนอกเธอจะไม่สบาย ประเดี๋ยวเพื่อนเธอเสร็จธุระก็เดินมาหาทางนี้เอง”

เกศมองสำรวจข้างใน แสงจากตะเกียงแม้ไม่มากนัก แต่ก็พอมองเห็นว่าไม่มีอะไรข้างในที่เธอควรจะต้องกลัวเลย มันเป็นเพิงมุงหลังคาโล่งๆเท่านั้น

เธอตัดสินใจเดินเข้าไป สตรีนางนั้นถามว่า

“เธอกินอะไรมาหรือยัง หิวหรือเปล่า”

คำถามนี้ทำให้หญิงสาวประหลาดใจอยู่ครามครัน ถ้าหากบอกว่าไม่ได้กิน จะไปหาที่ไหนมาให้เธอ ในเมื่อในนี้ไม่มีอะไรสักอย่าง ส่วนตัวเจ้าของเพิงนอกเหนือจากตะเกียงแล้วก็ไม่เห็นถืออย่างอื่นติดไม้ติดมือมา

ดังนั้นหญิงสาวก็สรุปเอาว่า คงจะถามไปตามมารยาทเท่านั้นเอง

แต่แล้วหญิงชาวบ้านคนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า

“ฉันจับกบได้ ฉันมีกบ เธอจะกินไหม”

เกศตัวเย็นวาบ แข็งใจตอบว่า

“ไม่หรอกจ้ะ ฉันกินมาแล้ว ขอบคุณมาก”

ทันใดนั้นหญิงชาวบ้านก็เอื้อมมือมาจับแขนเธอหงายขึ้นแล้วบอกเสียงหัวเราะว่า

“ไม่ต้องเกรงใจ กินเถอะน่า แบมือมาสิ ฉันจะให้เธอ”

พอได้จับต้องแขน อยู่ๆหญิงชาวบ้านคนนั้นก็ร้องลั่น กระโดดถดถอยไปจนหลังติดมุมเพิง

“โอ้ยร้อน ไฟลวก เธอ เธอมีของอะไร”

เกศมองอย่างตกใจและก้มดูที่ข้อมือของเธอ มีสายสิญจน์พระมอบให้มาตอนไปไหว้พระและถวายสังฆทานที่วัดแห่งหนึ่ง พระท่านเจริญพุทธมนต์และแจกให้คนละเส้นหลังจากนั้นเธอก็ผูกติดมือมาตลอดจะแกะออกก็เฉพาะตอนอาบน้ำ

หญิงชาวบ้านแปรเปลี่ยนเป็นคนละคนกับตอนแรก สุ้มเสียงกราดเกรี้ยวขึ้น ตาวาวโรจน์มองมาที่สายสิญจน์เส้นนั้นอย่างจงเกลียดจงชังปนหวาดกลัว

“เธอ ฉันไม่ชอบไอ้ที่เธอสวมบนข้อมือเลย เธอเอาออกได้ไหม เธอมองดูให้ดีๆที่เธอใส่มันเป็นหนอนยักษ์ตัวน่าเกลียด”

เกศมองข้อมือเธออีกครั้ง คราวนี้เธอเห็นเป็นบุ้งตัวใหญ่เกาะอยู่บนข้อมือเธอแทนที่ เธอกรีดร้อง

เกศมองข้อมือเธออีกครั้ง คราวนี้เธอเห็นเป็นบุ้งตัวใหญ่เกาะอยู่บนข้อมือเธอแทนที่ เธอกรีดร้องเสียงหลง และดิ้นสะบัดแขนเร้าๆอย่างขยะแขยง ด้วยความที่กลัวและรังเกียจสัตว์จำพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก

ผู้หญิงอีกคนกำลังมองด้วยสายตาเป็นประกายอย่างสมใจเมื่อกฤตยามนตร์ดำสำเร็จ ริมฝีปากแสยะยิ้ม หยิบกิ่งไม้ยื่นส่งให้

“มันไม่หลุดง่ายๆหรอกเธอ ใช้ไม้นี่เขี่ยออกดีกว่า”

ไม่รู้อะไรสิงสู่ดลใจให้เธอรับกิ่งไม้มา สอดและเกี่ยวจนกระทั่งสายสิญจน์นั้นขาดหลุดร่วงลงกับพื้น

จากตัวบุ้งที่น่าสะอิดสะเอียน กลับกลายเป็นเส้นด้ายผูกข้อมือเหมือนเดิม

หญิงสาวแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง  มีเสียงฮิ ฮิดังขึ้น เธอเงยหน้าขึ้นมองแล้วตกใจแทบสิ้นสติ

หญิงชาวบ้านอ้าปากกว้าง มีกบตัวอ้วนใหญ่ตาแดงก่ำดุจไฟโผล่พ้นออกมาครึ่งตัว กบตัวนั้นคล้ายมีชีวิตเพ่งมองเธออย่างหมายมั่น รอมันหลุดออกมาเต็มตัวเมื่อไหร่ เป้าหมายคงไม่แคล้วตัวหล่อน

“รับไป อีนาง รับขันธ์ของข้าไป ข้าต้องการคนรับช่วง”

กบผีตัวนั้นทำท่าจะกระโดดออกมาอยู่ร่อมร่อ หญิงหรือปีศาจในร่างคนยื่นหน้าเข้ามาใกล้เกศ กลิ่นเหม็นคาวเน่าราวกับศพขึ้นอืดพุ่งมาแตะจมูกจนแทบอาเจียน

“แกจงรีบรับเดี๋ยวนี้  โชคร้ายของแกเองที่ชักนำให้แกมาอยู่ในบริเวณนี้ ข้าทนทรมานมานานแล้ว เอาขันธ์นี้ไปต่อ ข้าจะได้พ้นทุกข์”

เมื่อปราศจากของศักดิ์สิทธ์หญิงสาวก็ล้มก้นกระแทกลงกับพื้น ร่างกายของเธอไร้เรี่ยวแรงและควบคุมไม่ได้โดยพลังลึกลับที่เหนือกว่า มีแต่ดวงตาเบิ่งตระหนกด้วยความหวาดกลัวสุดขีดแสดงออกมา นางผีร้ายหยุดลงชั่วขณะแววตาส่อถึงความเวทนาแวบหนึ่ง

“อย่าโทษข้าเลย โทษกรรมเก่าของแก  ไม่มีประโยชน์อะไรต้องฝืน สู้อำนาจข้าไม่ได้หรอก ยอมรับชะตากรรมเดี๋ยวนี้”

คำพูดประโยคนั้นเป็นสัญญาณสิ้นสุด ขณะที่กบตาสีแดงเพลิงรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวกำลังจะกระโดดใส่หน้าเธอ ร่างๆหนึ่งก็ผลุนผลันเข้ามาสกัด มือข้างหนึ่งกำสิ่งที่ดูคล้ายสร้อยคอเส้นโต อีกมือหนึ่งที่เหลือถือมีดพกเดินป่าธรรมดาออกมากวัดแกว่ง

“กลับไปในที่ๆอยู่ซะ ผมไม่อยากทำร้ายใคร” เสียงนั้นกล่าว “ คุณจะเป็นอะไรก็ตาม คุณไม่มีสิทธิโอนย้ายความทุกข์ทรมานของตัวเองไปสู่ผู้อื่น คุณต้องหาทางดิ้นรนหลุดพ้นวิบากกรรมด้วยตัวเอง ไม่ใช่ถ่ายทอดไปให้คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่”

หญิงภายใต้ร่างคนกึ่งภูตผีหันไปมองตามเสียงแล้วเกิดอาการประหวั่นลนลานขึ้นมาทันที มนุษย์เพศชายผู้นั้นหามีอันใดให้น่าเกรงขามไม่ แต่ที่น่ายำเกรงคือสตรีร่างอ้อนแอ้นท่านหนึ่งในอาภรณ์อันเลอค่าอร่ามตา รัศมีมลังเรืองบ่งบอกถึงภาวะทิพย์ที่สูงส่งกว่าไม่รู้กี่ระดับขั้นยืนประกบอยู่ข้างหลังบรุษหนุ่มราวกับแม่จงอางแผ่ผังพานออกคุ้มครองบุตร

“เจ้าแม่จระเข้” นางผีป่าอุทานออกมา” ไอ้หนุ่มคนนี้มันมีบุญญาธิการหนักถึงขนาดแม่เจ้ามาปรากฎตัวเพื่อช่วยเหลือ เห็นทีจะต้องขออำลาไป ไว้รอโอกาสหน้าคนดวงตกคนอื่นมาแทน”

ร่างนางปีศาจค้อมตัวคารวะอย่างกลัวเกรงและร่างกลายเป็นกลุ่มควันสูญหายมลายสิ้นไป

แต่กบเสนียดตัวนั้นยังไม่ไปไหน มันยังกระโดดไปมา  ชายหนุ่มที่เข้ามาที่หลังจดๆจ้องว่าจะทำอย่างไรดี ทันใดนั้นก็มีเสียงขู่ฟ่อของแมวสีขาวตัวหนึ่งที่โผล่จากไหนก็ไม่รู้ กระโจนเข้ามาในเพิงและตบกบตัวนั้นจนแบนแหลกเหลวด้วยความโกธรแค้น




ก่อนที่แมวขาวเตัวนั้นจะจากไป มันเหลียวมามองผมก่อน สายตากลมแป๋วคู่นั้นละม้ายคล้ายกับคน มันแสดงอาการอาลัยอาวรณ์ก่อนวิ่งลับหายไปในความมืด

เป็นแมวที่อยู่ๆก็โผล่ขึ้นมาตอนที่ผมมะงุมมะงาหรา ฉายไฟหาพี่จักร น้องจอย และน้องเกศอย่างมืดบอดหลังจากคว้าไฟฉายตามมาและไม่เจอใคร และเมื่อจนปัญญาจริงๆ ผมก็ต้องภาวนาถึงแม่บุญธรรมของผมเป็นที่พึ่ง(เนื้อหาทั้งหมดอยู่ในนิยาย เจ้าแม่จระเข้ของผู้เขียน)

ผมพบพี่จักรและน้องจอยกำลังเดินงงมองหาน้องเกศเช่นกัน แต่หายังไงก็ไม่เจอ มนตร์ผีดิบบดบังเอาไว้ มันต้องการตัวแทนมารับขันธ์ ข่ายเวทย์อันชั่วร้ายที่ต้องการคนสืบทอด

แมวสีขาวตัวนั้น วิ่งมาตะกุยขาผมเพื่อเรียกร้องความสนใจ แล้ววิ่งไปหยุดที่ตำแหน่งโล่งแห่งหนึ่ง

เหตุการณ์หลังจากนั้นก็เป็นไปตรงตามที่ผมได้บรรยายเอาไว้ก่อนหน้านี้

ผมอุ้มร่างเล็กๆของน้องเกศขึ้นมา เดินออกจากเพิงแห่งนั้น ใจจริงอยากจะจุดไฟเผาทิ้งเสียด้วยซ้ำแต่กลัวอัคคีภัยที่ลามไป

พี่จักรมองดูผมอุ้มน้องเกศมาตลอดทางอย่างไม่เห็นด้วย ทำท่าจะคัดค้านหลายทีแต่ก็จนใจ

เพราะว่าหญิงสาวที่นอนสลบอยู่ พอฟื้นขึ้นมาในระหว่างทางก็โผหน้าขึ้นมาแล้วหอมแก้มนายเรศฟอดใหญ่อย่างไม่อาจห้ามใจ

พี่จักรเบือนหน้าไปทางอื่นเพราะทนดูภาพบาดตาไม่ไหว น้องจอยที่เดินเคียงข้างกันมาก็จับแขนอย่างปลอบประโลม

จบแล้วครับ โปรดติดตามผลงานต่อไปนะครับ

เรื่องจากพันทิป ติดฝนมรณะ(จบซะที)
เรื่องโดย Furryjit

ไม่มีความคิดเห็น