เธอเห็นแต่ฉันไม่เห็น ตอนสอง
ประสบการณ์จากสมาชิกพันทิปชื่อว่า TharaJF กับการเห็น.....อีกครั้ง ขอขอบคุณประสบการณ์สยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ต้องบอกก่อนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ภาคต่อจากกระทู้ "เธอเห็นแต่ฉันไม่เห็น"
แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
คล้ายกัน และเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นพฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมานี่เอง (เรียกได้ว่าทุกอย่างมีความทันสมัยขึ้นเยอะเลย 55)
เมื่อต้นเดือนเพื่อนชายชาวต่างชาตินามว่า "นา" นามสมมตินะจ๊ะ ได้เดินทางมาเที่ยวประเทศไทย เราจึงต้องเป็นธุระจัดหาเรื่องที่พัก
และเป็นไกด์จำเป็นให้นาตลอดทริปหนึ่งสัปดาห์ และรีไควเม้นท์ที่นาต้องการคือ
1. โรงแรมใกล้บ้านเรา เพื่อที่จะไปรับ-ส่ง สะดวก -----> บ้านเราอยู่ชานเมือง อีกนิดเดียวก็ออกต่างจังหวัด สภาพก็จะได้ตามสถานที่ ^^
2. ราคาไม่แพงมาก เพราะพัก 7 วัน -----> เซอร์วิสดี ๆ ราคาย่อมเยา ตัดทิ้งได้เลย เพราะบ้านเราอยู่ชานเมือง สภาพก็จะได้ตามราคา ^^
3. ใกล้แหล่งสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และติดถนนใหญ่ -----> ไม่มีค่ะ เพราะบ้านเราอยู่ชานเมือง 555
ดังนั้น เกณฑ์การค้นหาที่นาต้องการ เราจึงไม่สามารถหาให้ได้ เพราะบ้านเราอยู่ชานเมือง ซึ่งอีกนิดเดียวก็ออกต่างจังหวัด มีแต่ทุ่งนา
และป่ากล้วย เราจึงคัดสรรโรงแรมที่ใกล้บ้านเราที่สุด ระยะทางประมาณ 3 กม. ราคาถูกที่สุด คืนละ 600 บาท ส่วนใกล้แหล่งสะดวกซื้อ
และติดถนนใหญ่ ข้อนี้ตัดไป เพราะหาไม่ได้จริง ๆ เราจึงได้ที่พักที่ต้องเข้าไปในซอยป่ากล้วยอีก 2 กม. Finally ในที่สุดก็ได้ที่พักตามที่
นาต้องการ (หรือเปล่า)
เมื่อถึงเวลาพานาไปเช็คอิน ระหว่างทางจากสนามบินไปที่พัก นาดูตื่นเต้นกับประเทศไทยและบรรยากาศชานเมืองที่ร่มรื่น ป่ากล้วยสลับ
กับคลอง น้ำไหลเอื่อย ๆ นาเอ่ยมาว่า "โอ้ บรรยากาศแบ็งค่อกนี่ดีจริง ๆ ร่มรื่นจังเลย ไอคิดว่าจะมีแต่ตึกสูงใหญ่ซะอีก"
เหอ ๆ นี่มันชานเมืองต่างหากล่ะ แบ็งค่อกจริง ๆ ไม่มีหรอกต้นกล้วยแบบเนี๊ย... เราได้แต่นั่งนึกแล้วขำเบา ๆ พอสวยงาม แต่ไม่ได้บอกว่า
นี่คือชานเมืองนะจ๊ะพ่อหนุ่ม ขับต่อมาได้อีกสักพักเลี้ยวลัดเลาะริมคลองริมทุ่งแล้ววิ่งตรงยาว ๆ จากหน้าปากซอยมาอีก 2 กม. ก็ถึงแล้ว
แท่น แท่น แท๊น... รีสอร์ทxxx เราลงจากรถแล้วอ้อมไปเปิดประตูให้นาที่ยังนั่งนิ่งอยู่บนรถ นาทำท่าทางอิดออดแล้วบ่นเป็นภาษาอังกฤษ
ประมาณว่า ที่ไอต้องการไม่ใช่แบบนี้นี่หว่า
"Are you sure ? ทำ มาย ม่าย เหมือน ที่ ไอ ต๊ก หลง ว๊าย" (นาพูดไทยได้นิดหน่อย เราสอนเอง 55)
"อืม ที่นี่แหละ ใกล้เคียงกับที่ยูต้องการที่สุดแล้ว ลงมา ๆ รีบเช็คอิน"
"ที่ นี้ คือ แบ็ง ค่อก จริง ๆ ช่าย หมาย"
"เออ This is Bangkok แต่แค่ชานเมืองเท่านั้นเอง" เราเริ่มหงุดหงิดนิดนึงละ ถามมากจัง
"แล่ว ม่าย เห็น หมี ตึก สู่ง สู่ง ทำ มาย หมี แต๊ ต๊น กล่วย"
"เอ๊า... ไออยากให้ยูเปลี่ยนบรรยากาศบ้างไง มาอยู่แบบใกล้ชิดธรรมชาติบ้างเซ่ ปะ ปะ เช็คอิน"
จะว่าไปแล้วก็ไม่แปลกใจที่นาจะรู้สึกไม่โอเคกับสถานที่ที่เราหาให้ เนื่องจากนาตั้งความหวังไว้สูง ว่าจะต้องได้แบบที่นาต้องการ
แต่ผลคือตรงกันข้ามทุกประการ รีสอร์ทห่างจากบ้านเรา 3 กม. ราคาก็ถูกแสนถูก แต่ก็แลกด้วยการไม่มีเซอร์วิสใด ๆ เลย มีแค่ wifi
นี่ก็หรูมากแล้ว แถมยังเข้ามาในซอยป่ากล้วยอีก 2 กม. แต่จะให้ทำอย่างไร You have no choice na ka ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
ยังไงก็ต้องนอนที่นี่!!!
รีสอร์ทที่เราหาให้นั้น เป็นรีสอร์ทชั้นเดียวเล็ก ๆ ถึงเล็กมาก มีเพียง 6 ห้อง เมื่อจอดรถหน้ารีสอร์ทมองตรงไปจะไปเป็นรีเซฟชั่น
(เรียกซะหรูเชียว) แบ่งออกเป็นซ้ายขวาอย่างละ 3 ห้อง ล้อมรอบไปด้วยป่ากล้วยและคลองที่มีน้ำไหลผ่าน มีรูปประกอบ
มีคนเฝ้ารีสอร์ทเป็นป้าตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่เราได้ให้เบอร์มือถือเราไว้แล้ว เผื่อขาดเหลืออะไรก็ให้ป้า
โทรหาเราได้ทันที เมื่อถึงตอนเช็คอิน ป้าบอกว่าให้เลือกห้องได้เลย ว่างทั้งหมด 6 ห้องนั่นแหละ เรากับนาก็เดินเลือกกันสบายใจ
“เห็นไหม ไอบอกแล้วว่าที่นี่ต้องดีแน่ ๆ ขนาดห้องพักเรายังเลือกเองได้เลย”
“ม่าย หมี คน หมา อยู่ ต่าง หาก” นาว่าอย่างนี้
“โธ่ ยูก็คิดให้เป็นข้อดีเซ่ ยูได้อยู่แบบไพรเวท ไม่มีใครรบกวนเลยนะ”
“alright alright ไอ อยู่ ที่ นี้ ก้อ ด้าย มา อยู่ แค่ ต่อน นอน หลับ อย่าง เดียว ช่าย หมาย?”
“Yesss ยูมาแค่ตอนนอนอย่างเดียว ระหว่างวันไอจะมารับไปเที่ยว”
พอพูดปลอบใจนาได้แล้ว ก็เดินมาหยุดที่ประตูห้องหมายเลข 3 ขอให้ป้าเปิดห้องให้ดู สภาพห้องน่ารักเชียว แต่งเป็นสีโทน
ม่วงอ่อน “This room is beautiful ห้องนี้สวยเอาห้องนี้เลย” เราเชียร์ให้นาเลือกห้องนี้ นาก็โอเคขนกระเป๋าเข้าห้อง เปิดแอร์
เสียงแอร์เงียบ ไฟที่แอร์ไม่ขึ้น
“ป้าคะ ป้าคะ แอร์เสียหรือเปล่า?”
“เดี๋ยวป้าขอชะโงกหน้าไปดูคอมแอร์ก่อนนะ... เอ้อ หนู แอร์เสียจริงด้วย เปลี่ยนห้องใหม่นะลูกนะ”
เรากับนาก็ลากกระเป๋าออก แล้วเดินมาห้องหมายเลข 1 ที่อยู่ริมถนนทางฝั่งขวามือ เมื่อเปิดประตูเข้าไปห้องเป็นสีขาวครีม
ก็พอน่ารักดูแล้วสบายตา ลากกระเป๋าเข้าห้องเปิดแอร์ โอ๊เค แอร์ทำงานเสียงเงียบดีมาก จากนั้นเมื่อเก็บกระเป๋าเรียบร้อย
เรากับนาก็ออกจากรีสอร์ทเพื่อไปเที่ยวแล้วเราจะกลับมาส่งนาอีกทีตอนค่ำ ซึ่งป้าก็บอกว่ามาดึกแค่ไหนก็ได้ เพราะที่นี่
ไม่มีประตูรั้วจ้า T T แต่หลังหกโมงเย็นป้าจะผลัดให้หลานชายป้ามาเฝ้าแทน เมื่อตกลงได้ดังนั้น เรากับนาก็เดินทางออก
จากรีสอร์ทไปตะลอนกินเที่ยวในแบ็งค่อกอย่างที่นาต้องการ และกลับมาส่งนาที่รีสอร์ทอีกทีตอน 3 ทุ่ม จะว่าไปแล้วตอนดึก
เส้นทางนี้ก็น่ากลัวไม่น้อย ขนาดเราเป็นคนท้องที่ยังรู้สึกหวิว ๆ กับบรรยากาศรอบข้าง แล้วทำไมฝรั่งตาน้ำข้าวต่างถิ่นอย่างนา
จะไม่กลัวล่ะ เราส่งนาเสร็จ ขับรถออกมายังไม่ถึงครึ่งทางเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“Hey ยู คัม แบ็ค ได้ หมาย มา หา ไอ ที่ ห่อง ได้ หมาย”
“อ้าว ทำไมล่ะ มีอะไร What Happen?”
“Come on รีบ มา เหอะ น่า”
เราจึงต้องกลับรถเพื่อไปหานาที่รีสอร์อีกครั้ง พลางคิดในใจ อั้นแน่ อยากจะแอ๊วชั้นอะเซ่... เมื่อขับรถไปถึงรีสอร์ท ภาพที่เห็นคือ
นานั่งรออยู่บริเวณบันได้ทางขึ้นรีสอร์ท เราก็ถามว่าทำไมมานั่งตรงนี้ ไม่เข้าห้องล่ะ นาก็ตอบว่า
“ไอ กำ ลัง จะ ข้าว ห่อง แต่ ไอ เห็น หมี ผู้ หยิ๋ง เดิน ตัด หน้า ไอ ข้าว ห่อง”
“หืม ยูหมายถึงเห็นมีผู้หญิงเดินตัดหน้าเข้าห้องยูหรอ?”
“Yes!!!” นาตอบกลับอย่างมั่นใจ
เราเลยเดินนำหน้าแล้วเอากุญแจไขเข้าห้อง 1 2 3 เปิดประตู พลั่ก!!! ว่างเปล่า... ปลอบใจนาอยู่สักพัก สักพักใหญ่เลยแหละ
กว่านาจะยอม ตอนแรกขอเปลี่ยนห้อง เราก็เดินไปชะเง้อดูตรงรีเซฟชั่น เห็นหลานป้านั่งหลับอยู่ก็ไม่อยากปลุก เลยเดินกลับไป
บอกนาว่า ไม่มีอะไรหรอกยูตาฝาดนะ แต่ถ้าไม่สบายใจเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาย้ายห้องก็ได้ นี่ดึกมากแล้ว เดี๋ยวฉันต้องขับรถกลับบ้าน
อีกนะ นาจึงตกลงแล้วเราก็แยกจากกัน
นี่คือคืนที่หนึ่งผ่านไป
วันรุ่งขึ้นทุกอย่างเหมือนเดิมเราไปรับนาที่รีสอร์ทแล้วพาไปเที่ยวในแบ็งค่อก ตะลอนกินเที่ยว พาเข้าวัดไหว้พระ จนพลบค่ำ
ก็เดินทางมาถึงรีสอร์ท เวลานี้ยังไม่ดึกเท่าไหร่ เราจึงนั่งเล่นอยู่ที่รีสอร์ทเป็นเพื่อนนางอีกสักหน่อย ประมาณทุ่มนึงเราจึงขอตัว
ขับรถออกมาได้ครึ่งทางเสียงโทรศัพท์ก็ดัง
"Hey ยู ถึง หนาย แล่ว กลับ รถ มา หา ไอ ด้าย หมาย?"
"Why? ทำไมหรอนา ยูอยู่คนเดียวไม่ได้หรือไง นี่ฉันเหนื่อยนะวันนี้ อยากกลับบ้านนอนแล้วอ่า"
"Pls, พลีสสส มา หา ไอ โหน่ย" นาขอร้อง เราจึงต้องกลับรถแล้วไปหานาที่รีสอร์ทอีกรอบ แต่ใจไม่ไม่ได้คิดเรื่องบัดสีบัดเถลิงนะคะ
คิดแค่ว่าคงต้องการความช่วยเหลือ เมื่อเราไปถึงก็พบว่านานั่งรออยู่ที่หน้าบันไดเหมือนเดิม และคำตอบก็เช่นเดิมคือ ก่อนจะเข้าห้อง
นาเห็นผู้หญิงเดินตัดหน้าเข้าห้องนาไป เหมือนแว่บ ๆ ประมาณนี้ พอลองจับลูกบิดประตู ปรากฏว่าข้างในก็ล็อกไว้อยู่ นาเลยไม่แน่ใจ
ว่าที่เห็นคืออะไร พอเดินไปเรียกหลานป้ามาคุย หลานป้าก็สื่อสารไม่เข้าใจ นาจึงโทรหาเรา... เอาล่ะ ในเมื่อรู้สึกไม่สบายใจกับห้องนี้
เราจึงเรียกหลานป้ามาคุยเพื่อขอเปลี่ยนห้อง เป็นห้องที่ 2 ได้หรือไม่ หลานป้าก็เอากุญแจมาไขเปิดประตู ปรากฏว่าห้องยังไม่ได้ทำ
ความสะอาด ไม่มีผ้าเช็ดตัว พื้นเป็นฝุ่น เราเลยคิดว่าห้องอีกฝั่งก็คงเป็นเหมือนกัน จึงบอกนาไปว่า
"คืนนี้ยูนอนห้องเดิมแหละ ไม่มีอะไรหรอก ไอว่ายูคงเหนื่อยแล้วตาฝาด"
"ไอ ตา ฝาด หมา 2 คืน ติด กั๋น แล่ว น๊ะ"
5555 เราอดขำกับความต่อล้อต่อเถึยงของนาไม่ไหว เลยหัวเราะออกมาแล้วบอก เออ ๆ เดี๋ยวคืนนี้จะพาสวดมนต์นะ เราจึงพานาเข้าห้อง
ปล่อยให้นาทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ แล้วพวกเราก็ขึ้นเตียงกัน 18+ แล้วนะ ^0^ ที่พาขึ้นเตียงเพราะว่าจะพานาสวดมนต์ค่ะ เราจัดท่าทาง
ให้นานั่งขัดสมาธิ แล้วสอนให้ท่อง นะ โม ตามเรา ใจจริงจะพาท่องแค่รอบเดียวด้วยซ้ำ เพราะกว่าจะผ่านไปแต่ละประโยคนี่ยากมาก
สมาธิก็อยากจะทำ สวดมนต์ก็อยากสวด ขำก็ขำ สุดท้ายก็ท่องนะโมได้ครบ 3 จบ เราเลยคิดว่าถ้าสอนสวดบทอิติปิโส หรือชินบัญชร
คืนนี้คงไม่ได้นอนเป็นแน่แท้ เลยบอกนาไปว่าที่พาสวดมนต์ตามแบบไทยพุทธเนี่ย ไม่ใช่ไล่ผีหรือไล่ปิศาจนะ แต่ว่าเพื่อให้ยูสบายใจ
สงบนิ่งไม่ฟุ้งซ่านนะ เอาหล่ะ สวดแค่นี้พอนะ นอนได้แล้ว ไอต้องกลับบ้านแล้ว พรุ่งนี้จะมารับใหม่นะ ว่าแล้วเราก็รีบลุกจากเตียงแล้ว
ขับรถกลับบ้าน
คืนนี้ถือเป็นอีกคืนที่ทั้งเหนื่อย ทั้งสนุก และเป็นจุดเริ่มต้นประสบการณ์ใหม่ที่นาคงจำไม่ลืม...
เช้าวันต่อมา เรารีบวิดีโอคอลไปหานาเพื่อบอกว่าวันนี้เราจะเข้าไปรับช้าหน่อย เพราะต้องไปทำธุระกับแม่ อาจจะไปหาสักประมาณ
10 โมง นาก็โอเคตามนั้น เดี๋ยวจะหากาแฟในห้องชงดื่มรอไปพลาง ๆ เราก็ถามกลับว่าเมื่อคืนนอนหลับสบายดีหรือไม่ นาก็พยักหน้า
แล้วบอกว่า
"ไอ นอน หลับ สบาย ดี ฝาน ดี ด้วย" นาเล่าว่า ฝันว่านอนอยู่ในห้องมีผู้หญิงผมสั้นแต่งตัวเสื้อยืด กางเกงขาสั้น มานอนอยู่ข้าง ๆ
ทีนี้นาเลยตื่นขึ้นมาตกใจแล้วถามเป็นภาษาอังกฤษว่า Who the hell are you? นี่คุณเป็นใครน่ะ ประมาณนี้นะคะ แต่คำอาจไม่สุภาพ
เท่าไหร่ จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ยิ้มหวานให้นา 1 ที นาจึงเคลิบเคลิ้มกับรอยยิ้มพิมพ์ใจ แล้วเอนตัวนอนหนุนตักสาวน้อยคนนั้น
จนมาตื่นเอาอีกทีตอนเช้าเพราะนาฬิกาปลุก
เหตุการณ์ทุกอย่างก็เวียนวนอยู่แบบเดิม เรามารับช่วงสายแล้วมาส่งตอนค่ำเหมือนเดิม ในคืนนี้หลังจากแยกย้ายกับนาแล้ว
นาวิดีโอคอลมาหาเราตอนเที่ยงคืน เรางัวเงียรับสายถามว่าต้องการอะไรด่วนหรือเปล่า นาตอบว่านอนหลับไปสักพัก ก็ฝันเห็น
สาวน้อยคนเดิมมานั่งข้างเตียงแล้วยิ้มให้ จากนั้นนาก็เอามือไปลูบแขนสาวน้อย สาวน้อยยิ้มมุมปากนิด ๆ นาชมว่าสวยจัง
“You are so beautiful” จากนั้นรอยยิ้มสวยพิมพ์ใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความน่ากลัว เพราะสาวน้อยนางนั้นยิ้มกว้างกว่าเดิม
มุมปากยิ้มไปเกือบถึงหู นาเลยตกใจผลักแล้วถีบผู้หญิงคนนั้น แล้วนาก็ตื่น ด้วยความกลัวเพราะฝันเหมือนจริงมาก จึงรีบ
วิดีโอคอลมาหาเรา เราจึงเปิดไฟในห้องเพื่อให้นาเห็นหน้าเรา ปลอบใจไปว่า “ยูแค่ฝันนะ นอนต่อเถอะเดี๋ยวก็เช้าแล้ว”
“ไอ ฝาน เห็น เธอ 2 ครั้ง แล่ว ไอ ว่า มาน ม่าย เมค เซ้นท์… ไอ นอน ม่าย หลับ แล่ว ยู อย่า นอน นะ ตื่น เปน เพื่อน ไอ ก่อน”
โอ พ่อเจ้าประคุณ นี่มันเที่ยงคืนจะให้ถ่างตาเป็นเพื่อน แล้วฉันจะไหวไหมเนี่ย แต่ถามว่าถ่างตาเป็นเพื่อนไหม ก็ถ่างนะคะเพราะว่า
เราสงสาร และเราก็รู้สึกว่ามันแปลกแต่พยายามไม่คิดอะไรฟุ้งซ่าน สุดท้ายนาก็หลับไปก่อนเราสักประมาณตีหนึ่ง จากนั้นตอนเช้า
เราก็รีบไปรับแล้วพามาบ้านเรา พูดคุยได้ประมาณหนึ่ง นาก็บอกว่า รู้สึกไม่โอเคกับห้องนอน มันอึดอัดบอกไม่ถูก แล้วก็รู้สึกเหมือน
สาวน้อยนางนั้นอยู่ใกล้ตลอดเวลา ใจนึงก็อยากย้ายรีสอร์ทเลย แต่ใจนึงก็เสียดายเงินที่จ่ายไปแล้ว จึงตกลงกันว่าก่อนนอนให้เรา
วิดีโอคอลคุยกันจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหลับ เฮ้อ เกิดมาก็ไม่เคยคุยกับแฟนนานขนาดนี้ นี่แฟนก็ไม่ใช่แต่ก็ยอมทนทำให้...
ในทุก ๆ คืน พวกเราจะวิดีโอคอลกันจนกว่าใครจะง่วงหลับก่อนแล้วอีกฝ่ายค่อยวางสายไป กว่าจะผ่านพ้นแต่ละคืนก็ค่อนข้างเหนื่อย
และในตอนเช้าของทุก ๆ วัน นาก็จะเล่าให้ฟังตลอดว่าฝันเห็นสาวน้อยคนนี้มานั่งเล่นอยู่บนเตียงข้าง ๆ หรือบางทีก็มาเรียกแล้วชวน
ไปเดินเล่นบ้าง เราจึงถามกลับว่า สาวน้อยที่ว่าพูดภาษาอะไร "She speak english or thai?" นาตอบว่าน่าจะภาษาไทย เพราะนาฟัง
ไม่รู้เรื่อง แต่ดูจากท่าทางเชิญชวนเปิดประตูแล้วหันมาพยักหน้ายิ้มให้ นาจึงคาดเดาได้ว่านี่คือชวนให้ออกไปด้วยกัน จากช่วงแรกที่นา
รู้สึกแปลก ๆ ระคนกลัว ระคนสุขใจ แต่ผ่านมาหลายวันก็เริ่มทำใจให้ชินได้แล้ว คืนไหนไม่ได้ฝันถึงจะรู้สึกเหงา (อย่างนี้ก็ได้หรอ?)...
เมื่อพักอาศัยได้หลายวันเข้า สักประมาณช่วงคืนที่ 4 หรือ 5 นาผู้ร่าเริงก็เปลี่ยนนิสัยเป็นนาที่ขี้หงุดหงิด เวลาเราชวนไปเที่ยวหรือ
ไปหาอะไรกินก็มักจะบ่นเราตลอดทาง บางครั้งก็สบถคำหยาบคายออกมา เราเองก็ต้องคอยเตือนตลอดว่ายูพูดคำหยาบอีกแล้วนะ
ฟังไม่เพราะเลย นาก็จะบอกว่า "ขอ โทด ครับ" และนาเองก็มักจะบ่นว่าง่วงนอนเหมือนนอนไม่อิ่ม ทั้ง ๆ ที่เวลานอนก็หลับสนิทตลอด
แต่ระหว่างวันมักจะเพลีย เราเลยถามว่า
"ยูฝันเห็นสาวน้อยคนนั้นทุกคืนเลยหรือเปล่า?"
"Yes ไอฝันเห็นเกือบทุกคืน" (ตอบเป็นภาษาอังกฤษนะคะ ช่วงหลังนาไม่ค่อยพูดภาษาไทยแล้ว นาบอกเหนื่อยสมอง"
"แล้วในฝันเธอมาทำอะไรทุกคืนอะ?"
"ชีมานั่งเล่นอยู่ข้าง ๆ บนเตียง บางทีก็เดินไปเปิดประตูแล้วหันมาพยักหน้า พูดอะไรพึมพำ แต่ไอฟังไม่ออก"
"แล้วยูเคยเดินออกไปข้างนอกกับเธอไหม?"
"Noooo ไอไม่เคย ไอไม่กล้า เพราะไอยังจำภาพตอนที่ชียิ่มปากกว้างได้ น่ากลัวมาก"
พูดถึงตอนนี้นาก็ทำท่าขนลุกแล้วยื่นแขนมาให้ดูบอกว่า "ดูสิ ดูแขนไอ ขนลุกไปทั้งตัวแล้ว"
เมื่อสิ้นสุดการเดินทางกิน เที่ยว ช็อป ก็ถึงเวลาพามาส่งที่รีสอร์ท สภาพแวดล้อมทุกอย่างเหมือนเดิมกับทุก ๆ วัน ป้ามักจะผลัด
ให้หลานชายมานั่งเฝ้ารีสอร์ทแทนหลัง 6 โมงเย็น และพวกเราก็ไม่เคยสนทนากับหลานชายป้าสักครั้งเดียว เพราะเวลามาถึง
หลานชายก็จะก้มหน้าเล่นเกมส์หรือไม่ก็นอนหลับไปแล้ว แต่วันนี้เรามาถึงรีสอร์ทประมาณหนึ่งทุ่ม เมื่อเราจอดรถยนต์หน้ารีสอร์ท
เราก็พบหลานชายป้านั่งอยู่หน้ารีเซฟชั่น หลานชายป้าเงยหน้ามามองพวกเราแล้วพยักหน้ารับแล้วก้มหน้าดูโทรศัพท์ต่อ
ทันทีที่พวกเราเปิดประตูเข้าห้อง นาก็จับแขนเราแล้วเขย่า
"ยูเห็นไหม ยูเห็นเหมือนไอไหม?"
"เห็นอะไร หยุดเขย่าได้แล้วเว้ย..."
"ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างหน้ากับหลานป้าไง ไอจำได้ว่าฝันเห็นคนนี้"
หืม...? เราแปลกใจนิดหน่อย ถึงกับต้องเปิดประตูห้องแล้วชะโงกหน้าไปดูบริเวณที่หลานชายป้านั่งอยู่ แต่เราเห็นแต่หลานชายป้า
นั่งคนเดียว เลยหันกลับมาบอกว่าไม่เห็นผู้หญิงเลยมีแต่หลานชายป้านะ นาก็ยังยืนยันว่าตอนขับรถเข้ามาจอด หลานชายป้าเงยหน้า
มายิ้มให้ ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็เงยหน้ามายิ้มให้เช่นกัน นาจึงจำหน้าได้ว่าคือคนที่อยู่ในฝัน ว่าแล้วเราก็เลยบอกขอตัวกลับบ้านละกัน
(ใจจริงคือเริ่มกลัวค่ะ) ไอว่ามันดึกมากแล้ว แต่นาก็ยังยื้อแขนไว้แล้วบอกถ้าคืนนี้เราไม่อยู่ด้วยนาก็จะไม่อยู่เหมือนกัน!!! อ้าว ตั่ย แล้ว
จะพากลับไปนอนที่บ้านก็กลัวชาวบ้านเอาไปนินทาว่าเป็นสาวเป็นนางเอาผู้ชายมานอนที่บ้าน เลยตัดสินใจนอนเป็นเพื่อนก็ได้
แต่ยูห้ามแตะต้องไอนะ... นารับปากว่าจะไม่แตะต้องหรือลวนลามเราเด็ดขาด... เป็นอันว่าคืนนี้เรานอนที่นี่ค่ะ... ก่อนนอนเราพานา
สวดมนต์โดยท่องนะโม 3 จบ เหมือนเดิมแล้วให้นั่งทำสมาธินิดหน่อย จากนั้นก็ต่างคนต่างนอน...
"Oh shit!!" คำอุทานนี้ดังขึ้นกลางดึกและเรารับรู้ได้ถึงฝ่ามือของบางคนกระทบที่เบ้าตาเราอย่างจัง ทำให้เราสะดุ้งโหยงลุกขึ้นมานั่ง
พร้อมหันขวับไปยังต้นทางของเสียงที่มา
"Damn!!" คำอุทานที่เป็นคำหยาบคายถูกสบถออกมาจากปากนาทั้งที่หลับตา แต่มือของนาก็ยกขึ้นปัดป้องแกว่งไกวอยู่ในอากาศเหมือน
กำลังป้องกันอะไรบางอย่าง
"นา ตื่น!!! ยูเป็นอะไร ตื่น!!!" เราเรียกพร้อมเขย่านาให้ตื่น แต่ตัวนาก็ดิ้นไม่หยุดเราสู้แรงไม่ไหว เลยใช้ไม้ตายโดยดึงขนหน้าแข้งไปหนึ่งที
พลั่ก!!! เสียงนี้ไม่ใช่อะไร เสียงทุ้ม ๆ นุ่ม ๆ แต่หนักแน่น เป็นเสียงของฝ่าท้าฝรั่งกระทบกับท้องน้อยหญิงไทยผู้บอบบาง
"โอยยยยยย..." เสียงเราโอดโอยเพราะทนพิษฝ่าเท้าไม่ไหว มันจุกเหลือเกินค่ะ จุกจนพูดไม่ออก จุกซะยิ่งกว่าปวดท้องประจำเดือนอีก
แต่ได้ผลค่ะ... เรากำลังจะสลบหมดแรงเพราะฝ่าเท้า แต่นากลับตื่นขึ้นมาทำท่าหืดหอบแล้วลุกมานั่งพร้อมตะโกนเรียกชื่อเรา เมื่อเห็นเรา
นั่งอยู่ปลายเท้า นาก็รีบมาเกาะแขนพร้อมเล่าความฝันแบบรัว ๆ ไม่ได้สนใจเลยว่าดึกดื่นแบบนี้ชั้นมานั่งทำอะไรที่ปลายเท้าแกเนี่ย!!!
นาเล่าว่า ระหว่างที่กำลังสวดมนต์นั่งสมาธิ นาได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะ จึงลืมตาแล้วหันมองทางเราแต่เรายังคงนั่งสมาธิอยู่
นาจึงหลับตาต่อ แต่เสียงก็กลับดังขึ้นมาอีก คิก คิก เป็นเสียงหัวเราะของผู้หญิงเบา ๆ แต่ได้ยินชัดเจน นาเริ่มขมวดคิ้วแต่ไม่
ลืมตา เสียงหัวเราะคิก คิก ที่ได้ยินตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ปนคำรามในลำคอ ฮึ่ม ฮึ่ม!!! สลับกันแบบนี้ นาจึงหลุด
จากสมาธิและล้มตัวลงนอนทันที
ในขณะที่นอนหลับสาวน้อยนางนั้นก็มาอยู่ในฝันอีกเช่นเคย คราวนี้มานั่งแทรกตรงกลางระหว่างเรากับนา แม้ในความฝันตัวนาเอง
ก็ยังรู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงมีเรานอนอยู่ข้าง ๆ... สาวน้อยนางนี้ยิ้มทักทายด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจแต่แฝงไปด้วยความน่ากลัว
สาวน้อยลุกขึ้นยืนตัวตรงบนเตียง ก้าวขาข้ามตัวนาแล้วก้าวลงจากเตียงพร้อมทั้งไปหยุดที่ประตู หันหลังกลับมามองหน้า พยักหน้า
เชิญชวนให้ตามเธอออกไปด้วยกัน... นาเล่าว่า ตัวนาเองก็รู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น จะว่าฝันก็คือฝันเพราะหลับไปแล้ว แต่มัน
ให้ความรู้สึกที่ Real อย่างบอกไม่ถูก... สาวน้อยหันหลังกลับเปิดประตูแล้วออกจากห้องปิดประตูปัง!!! นาฝรั่งตาน้ำข้าวนอนลืมตา
งง งวย ว่านี่คืออะไร? ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่ง ตึง ตึง ตึง แต่คงวิ่งด้วยความเร็วสูง เพราะได้ยินเสียงสับฝีเท้าไม่ทันไร
ประตูห้องก็เปิดพร้อมสาวน้อยนางเดิมโผล่พรวดเข้ามาด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนกระหืดกระหอบแล้วรีบปิดประตูล็อกกลอนทันที!!!
เธอยืนนิ่งหลังพิงกำแพงข้างประตูหายใจแรงถี่เหมือนกับวิ่งหนีอะไรมา... นานอนนิ่งไม่ไหวติง เพราะไม่อยากให้เธอรู้ว่ามีคน
กำลังมองเธออยู่ แต่ดูเหมือนเธอจะรู้ตัว เธอเริ่มหันมามองที่เตียงนอนกวาดสายตาตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมายันหัวแล้วค่อย ๆ เดิน
มาหยุดอยู่ข้างเตียงฝั่งที่นานอน เธอชะเง้อหน้ามามองหน้านา สายตาประสานกัน นาจ้องเธอกลับพลางคิดว่านี่ฝันหรือเรื่องจริง?
เธอชะโงกหน้ามามองหน้านาพร้อมทั้งอ้าปากและมีเสียงคราง อ่ายาว ๆ (อ่า.........) น้ำลายค่อย ๆ ไหลออกจากปากเธอหยด
ลงใส่หน้านา ทำให้นาอุทานประโยคแรกออกมานั่นคือ "Oh shit!!" พร้อมทั้งเอามือปัดน้ำลายที่หล่นใส่หน้าตัวเอง (แต่ไม่รู้ว่า
ปัดอิท่าไหน มือถึงกระเด็นมาที่เบ้าตาเราได้) จากนั้นเธอก็กระโดดขึ้นมาบนเตียงแล้วนั่งคร่อมนาไว้ ทำให้นาตกใจพร้อมอุทาน
ประโยคที่สองตามมา "Damn!!" เธอนั่งคร่อมนาแล้วหัวเราะปนร้องไห้เอามือจับหัวตัวเองแล้วดึง ดึง ดึง แต่เหมือนเธอจะสะใจ
กับการดึงผมตัวเองไม่พอ เธอเอามือทั้ง 2 ข้าง มาคว้าผมของนาแล้วดึง ดึง ดึง ทำให้นาเริ่มป้องกันตัวเองด้วยการใช้มือตีเข้าไป
ที่หน้าของเธอแล้วพยายามแงะมือเธอออกจากผม นาเล่าว่า ยื้อยุดฉุดกระชากกันสักพักเลยทีเดียวจนได้ยินเสียงเราตะโกนเรียก
ถึงหลุดออกมาได้...
นาบอกว่าทุกอย่างเหมือนจริงมาก สาวน้อยที่นาเห็นในฝันคือคนเดียวกับที่เห็นนั่งอยู่ข้างหลานชายป้าที่รีสอร์ท แล้วทำไมถึงฝันเห็นเธอล่ะ?
นี่คือสิ่งที่คาใจพวกเรา คืนนั้นพวกเราตัดสินใจไม่นอนแล้วเก็บกระเป๋ากันกลางดึกเพื่อที่จะขับรถกลับไปที่บ้านให้รู้แล้วรู้รอด แต่พอเปิดประตู
ห้อง บรรยากาศข้างนอกนี่น่ากลัวกว่าในห้องอีก พวกเราจึงรีบปิดประดูล็อกกลอนแล้วมานั่งจับเข่าคุยกันใหม่ว่าจะเอายังไงดี
"เอายังไงดีนา ไอว่าขับรถออกไปตอนนี้อันตรายนะ ดูสิข้างนอกมืดตึ๊ดตื๋อเลย ทั้งรีสอร์ทมีไฟแค่รีเซฟชั่นที่เดียว ถนนก็มืด
ไอไม่กล้าขับรถออกไป"
"อืม ไอเห็นด้วย แต่ไอไม่กล้านอนหลับแล้ว ไอกลัวจะเจออีก"
"แปลกจัง พวกเราก็นอนอยู่ด้วยกัน ทำไมไอไม่ฝันเห็นบ้าง?"
"ไม่ฝันเห็นดีแล้ว She must be..." (เธอต้องเป็น...) นาพูดทิ้งท้ายไว้
"Ghost!!! (ผี!!!)" เราเอ่ยออกมา
"ไม่เอาสิ ไอไม่เคยเชื่อเรื่องผีเลยนะ ไอเป็นคริสเตียน" นากล่าว
"ก็ไม่ได้บอกให้เชื่อ แต่สิ่งที่ยูสัมผัสได้ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่คืออะไรล่ะ ยูพิสูจน์หรือหาคำอธิบายได้ไหม?" นาเงียบไม่ตอบทำท่าครุ่นคิด
หนุ่มต่างชาติผู้นับถือคริสเตียนและไม่เชื่อเรื่องผีสางวิญญาณ กำลังสับสนกับความความคิดของตนเองที่ย้อนแย้งกับสถานการณ์
ที่หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ นาไม่ตอบคำถามที่เราถาม แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าสิ่งที่พบอาจเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติ...
ท้ายที่สุดในคืนนั้นพวกเราก็ไม่ได้นอนหลับและรอจนถึง 6 โมงเช้าจึงลากกระเป๋าออกมาที่รีเซฟชั่น และแจ้งจำนงค์ขอเช็คเอาท์ทันที
ทั้งที่เหลือวันพักอีก 1 คืน แต่พวกเราตัดสินใจกันแล้วว่าทิ้งเงินที่เหลือเพื่อสวัสดิภาพที่ดีน่าจะดีกว่า เพราะหากนอนอยู่ต่อไปไม่รู้จะเกิด
อะไรขึ้นอีก หลังจากเช็คเอาท์แล้วเราก็ขอเอ่ยปากถามหลานชายป้าให้หายสงสัยในประเด็นหนึ่งสักหน่อยว่าเมื่อคืนนี้เขาเฝ้ารีสอร์ทอยู่กับใคร?
"ผมก็อยู่ของผมคนเดียวทุกคืน พวกพี่ก็เห็นหนิ" นั่นคือคำตอบที่ได้และเราก็ไม่ถามต่อเพราะคิดว่านาก็น่าจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว
พวกเราขับรถเลี้ยวออกจากรีสอร์ทแวะล้างหน้าแปรงฟันที่ปั๋มน้ำมันหลอดเล็ก ๆ ห่างจากรีสอร์ทไม่ถึงกิโล ระหว่างที่เรารอนาอยู่ใน
ห้องน้ำมุงสังกะสีข้างกอหญ้า ลุงเจ้าของปํมหลอดก็เริ่มบทสนทนากับเรา
"มาจากไหนกันแต่เช้าล่ะเนี่ย ทำไมถึงมาล้างหน้าแปรงฟันที่นี่ เพิ่งกลับจากผับกันหรอ" ลุงถาม
"เปล่าค่ะ เพิ่งมารีสอร์ทXXX ค่ะ"
"โอ้... ไปทำอะไรที่นั่นน่ะ ไม่มีโรงแรมอื่นกันแล้วหรือ?"
"พอดีเพื่อนมาจากออสเตรเลีย แล้วอยากได้ที่พักใกล้บ้านหนู แถวนี้หนูก็เห็นมีแค่ที่นี่ที่เดียวที่ใกล้สุดแล้วอะค่ะ"
"โอย โอย คนแถวนี้ไม่มีใครมาอยู่หรอกรีสอร์ทเนี๊ย ไม่สังเกตหรอว่ามีคนอยู่บ้างหรือเปล่า"
ลุงเล่าว่าสมัยก่อนที่แถวนี้เป็นป่าแล้วมีนายทุนมาสร้างโรงแรมม่านรูด ที่เขาสร้างมาลึก ๆ เพราะไม่อยากให้แขกที่ขับรถเข้าออก
จะเจอคนรู้จักแล้วอาย เขาเลยมาซื้อที่ตรงนี้เพราะมันเปลี่ยวลับตาคน ดูสิ ข้าง ๆ มีบ้านคนที่ไหน มีแต่ป่า ส่วนตัวลุงก็เป็นชาวบ้าน
ที่นายทุนจ้างให้มาเฝ้าปั๊มหลอดเล็ก ๆ แต่ก่อนก็ขายดีนะน้ำมันที่นี่เพราะมีแขกมาที่โรงแรมบ่อย ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกขี่มอไซค์พา
สาวคาราโอเกะซ้อนท้ายมา โรงแรมนี้จะมีลูกค้าประจำอยู่คู่หนึ่ง ผู้ชายแก่แล้วล่ะสัก 40 จะมาพร้อมกับสาวคาราโอเกะวัยรุ่นน่าจะ
20 ต้น ๆ เป็นต่างด้าวนะ น่ารักจิ้มลิ้มเชียว แล้วขากลับตอนเช้าก็จะมาเติมน้ำมันที่นี่ แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่หายไปนะเป็นเดือนเลย
แต่ผู้หญิงคนนี้ก็มากับแขกคนอื่น มามีเรื่องอีกทีก็เช้าของอีกวันมีตำรวจกับกู้ภัยมาที่โรงแรม ลุงวิ่งไปดูเห็นเขายกเปลออกมา
จากห้องริมติดถนนเนี่ย ห้องริม ๆ (พูดพร้อมชี้มือ) เอาผ้าขาวห่อมิดชิด เลยถามป้าที่เฝ้าแกบอกเมื่อคืน ลูกค้าประจำมาเปิดห้อง
แล้วได้ยินเสียงทะเลาะกันข้างใน ป้าเลยเดินไปเคาะห้องขอร้องให้ลดเสียงลงหน่อยเดี๋ยวแขกห้องอื่นตกใจ แต่ผู้หญิงที่เดินมาเปิด
ประตูตาบวมปูดหัวกระเซิงเลย พูดเสร็จป้าก็เดินกลับไปนั่งอยู่รีเซฟชั่น สักพักผู้หญิงก็พรวดพราดออกจากห้องวิ่งมากอดแขนป้าร้องไห้
บอกว่า
"ป้า ป้า ช่วยหนูด้วย มันจะฆ่าหนู ฮือ ฮือ"
"เอ้ย จะมาฆ่าแกงกันที่นี่ไม้ได้นะ" ป้าพูดพร้อมหยิบโทรศัพท์จะโทรหาตำรวจ
"อย่ามา เ (สื) อก เรื่องของผัวเมีย ป้ามีหน้าที่เฝ้าก็เฝ้าอย่างเดียวอย่ายุ่ง!!!" เสียงของผู้ชายคู่ขาตะโกนหร้อมชี้หน้าป้า
จากนั้นก็วิ่งปรี่เข้ามากระชากแขนผู้หญิงแล้วด่าว่า
"ตอน ก รู ไม่มา ยิ้ม ไปรับแขกคนอื่นทำไม ก รู ส่งเสียเลี้ยงดู ยิ้ม ให้มีเงินซื้อผ้าสวย ๆ ใส่ ทำไมไม่สำนึกบุญคุณ ก รู บ้าง ห๊ะ!!!"
ผู้หญิงก็สะบัดแขนดิ้น ๆ จนหลุดแล้ววิ่งกลับเข้าห้องไปอีกครั้ง ผู้ชายก็วิ่งตามไปเขย่าประตูแต่เนื่องจากถูกล็อกจากด้านใน
"เปิดประตู ก รู บอกให้เปิด!!!" แต่ประตูไม่มีทีท่าว่าจะเปิด ดังนั้น ผู้ชายจึงยอมสงบลงแล้วนั่งคุกเข่าหน้าประตูร้องไห้
"ดาว (นามสมมติ) ดาวเปิดประตูให้พี่หน่อย พี่รักดาวมากนะพี่ขอโทษ พี่จะไม่ทำร้ายดาวอีกแล้ว"
"มีอะไรก็คุยกันดี ๆ สิ ผู้หญิงเขาก็ตัวนิดเดียว ถ้ารักกันก็อย่าทำร้ายกันสิคุณ" ป้าพูดเสริม ว่าแล้วป้าก็ช่วยเขาเคาะประตูบอกผู้หญิงให้เปิด
ประตูเอาผู้ชายเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้อง เมื่อทั้งคู่เข้าไปอยู่ในห้องแล้ว ป้าถอยออกมาจากประตูไม่ถึงก้าวก็ได้ยินเสียงร้องของผู้หญิง
ร้องครวญครางโอดโอยสลับกับเสียงร้องไห้เบา ๆ แล้วเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก็คือเสียงกรี๊ดแผดออกมาแล้วเงียบไป สักพักผู้ชายก็เปิดประตู
พรวดออกมาแล้ววิ่งขึ้นรถขี่ออกไปเลย ป้าจึงรีบวิ่งเข้าไปดูในห้องภาพที่เห็นคือ ผู้หญิงคนนั้นนอนจมกองเลือดอยู่บนเตียง ตาช้ำ ผมกระเซิง
ตามตัวมีรอยช้ำเป็นจ้ำ แต่ที่น่าเวทนาไปกว่านั้นก็คือ ริมฝีปากของเธอถูกเลาะเป็นทางยาวเผยอจนเห็นเหงือก ทั้งเลือดทั้งน้ำลายไหลออกจาก
ปากย้อยลงมาตามลำคอไหลนองไปที่เตียง...
นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ โรงแรมม่านรูดแห่งนั้น จนกระทั่งเวลาผ่านไปจึงมีการรีโนเวทใหม่เป็นรีสอร์ทXXX โดยผู้บริหารงานคนเดิม
ป้าเฝ้ารีเซฟชั่นคนเดิม ลุงเฝ้าปั๊มหลอดคนเดิม เพิ่มเติมคือหลานชายป้ามาเฝ้าแทนตอนดึกนั่นเอง
Edit : ลุงเล่าว่าที่ป้าไม่ยอมเฝ้ารีสอร์ทXXX ตอนดึกเหมือนสมัยที่เป็นโรงแรมม่านรูด เพราะว่าบางคืนนั่งอยู่รีเซฟชั่นก็จะได้ยินเสียง
คนวิ่งตึงตังหรือเสียงร้องไห้สะอื้น หนักสุดคือนั่งอยู่กำลังเคลิ้มหลับเหมือนมีคนมากระชากแขน เป็นแบบนี้บ่อยเข้าป้าเลยจ้างหลาน
ให้มาเปลี่ยนเฝ้ากลางคืนแทน
ปัจจุบันนากลับออสเตรเลียไปแล้วนะคะ แต่เรายังคงพูดถึงเรื่องนี้ตลอด เมื่อนาได้รู้เรื่องราวที่ลุงปั๊มหลอดเล่าให้ฟังผ่านเราแล้ว
จากความกลัวก็กลับกลายเป็นความสงสาร เพราะนาเชื่อว่า "Nobody deserve to die" แล้วยิ่งเป็นคนต่างถิ่นด้วยแล้ว ยังมาถูก
ฆาตกรรมต่างบ้านต่างเมืองอีก เมื่อเราถามกลับว่ายังคงคิดว่าผีหรือวิญญาณไม่มีจริงอยู่ไหม? นาไม่ตอบค่ะ ส่วนหนึ่งเราเข้าใจ
ที่นาไม่ตอบเรื่องแบบนี้ให้ชัดเจนว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ กลัวหรือไม่กลัวก็เพราะเกี่ยวพันธ์กับสิ่งที่เขาเคารพนับถือ แต่ถ้าถามว่าจิตใต้
สำนึกลึก ๆ แล้ว เชื่อหรือไม่ เรามั่นใจว่านาต้องตอบว่า 100%.
ขอบพระคุณที่ติดตามนะคะ ^^
เรื่องจากพันทิป เธอเห็นแต่ฉันไม่เห็น #2
เรื่องโดย TharaJF
Post a Comment