ขวางที่ขวางทาง


     "ขวางที่ขวางทาง" ประสบการณ์จริงจากสมาชิกพันทิปชื่อว่า TharaJF เธอมักจะมีสัมผัสถึงสิ่งต่างเช่นวิญญาณ สิงลี้ลับที่ไม่สามารถมองเห็นแต่เธอกลับเห็น และบางครั้งยังสัมผัสได้อีกด้วย ครั้งนี้เธอจะพบกับอะไรเชิญติดตามกันเลย ขอขอบคุณประสบการณ์สยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ขวางที่ขวางทาง เป็นชื่อเรื่องมาจากอะไร อันที่จริงเป็นชื่อเรื่องมาจากการนอนหลับของเรานั่นเอง...

เริ่มจากบ้านที่ปทุม ชั้น 2 ห้องนอนของแม่จะกั้นห้องไว้ส่วนหนึ่งเพื่อทำเป็นห้องพระ มีทั้งพระพุทธรูป
รูปปั้นเทพที่นับถือ และเครื่องรางเกี่ยวกับการค้าขาย อาทิ เจ้าแม่นางกวัก นกสาริกา พญาเต่างอยฯลฯ
ทั้งหมดนี้ไม่ได้งมงาย แต่แม่นอกจากจะเป็นแม่บ้านแล้ว ก็ยังเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้า ใครที่ค้าขายก็จะ
ต้องมีท่านเหล่านี้ไว้บูชา

ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ เรากับพ่อจะกลับมาบ้านที่ปทุม และเราก็ไม่เคยแยกออกไปนอนห้องเราคนเดียว
เรามักจะนอนห้องเดียวกับพ่อแม่จนถึงปัจจุบัน พ่อกับแม่นอนบนเตียง ส่วนเราจะปูที่นอนปิคนิคนอนหน้า
ห้องพระ เพราะมันเหลือพื้นที่แค่บริเวณนั้นที่สามารถปูที่นอนได้ ส่วนน้องชายนางได้อภิสิทธิ์นางได้นอน
บนเตียงกับพ่อแม่ตลอด (บ้านเราจนถึงทุกวันนี้ เรากับน้องชายก็โตมากแล้ว แต่ก็ยังไม่แยกห้องนอนเลย)
ทุกครั้งที่มานอน เราก็จะปูที่นอนนอนหน้าห้องพระ ทำกิจวัตรแบบนี้มาเป็นระยะเวลาหลายปีแต่...ก็ไม่เข็ด...

ครั้งแรกของที่มา "ขวางที่ขวางทาง"
"แม่จัดห้องพระเสร็จแล้ว วางท่าน ๆ ไว้ตรงนี้ก็ดีนะ เวลาเข้ามาไหว้ก็สะดวกดี" แม่พูดพลางยกมือไหว้และ
ถวายน้ำและดอกไม้สำหรับการจัดหิ้งใหม่

"โหแม่ หิ้งใหญ่เลยนะ ตรงนี้ดูขลังไปเลย" เราบอก

"อ้าว ไม่ได้หรอก นอกจากจะทำให้สมเกียรติแล้ว เจ้าบ้านก็ต้องสวดมนต์ด้วยนะ มือถือสากปากถือศีลไม่ได้
ท่านไม่ชอบ"

ก็อย่างที่บอกไปว่าแม่เราค้าขาย ต้องพูดคุยกับลูกค้าบางทีก็ต้องไปประมูลชุดฟอร์มพยาบาลหรือชุดสูทบ้าง
ดังนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับการค้าขายก็ต้องบูชาเป็นเรื่องธรรมดา

"อ้าวแม่ แล้วแบบนี้หนูจะมานอนห้องแม่ยังไงล่ะ แบ่งห้องตรงนี้เป็นห้องพระ แล้วหนูจะนอนตรงไหน?"

"ก็ปูที่นอนหน้าห้องพระก็ได้ แม่ทำฉากกั้นไว้ แต่อย่านอนดิ้นไปถีบฉากล่ะ" แม่พูด
ดังนั้น หน้าห้องพระจึงเป็นที่ประจำของเราไปโดยปริยาย

เมื่อถึงเวลาเข้านอน แม่พาเราและน้องชายสวดมนต์ คืนนั้นพ่อไม่อยู่ไปราชการต่างจังหวัดเช่นเดิม เมื่อสวดจบ
แม่ก็เตือนเราอีกทีก่อนนอนว่าอย่านอนดิ้นไปถีบฉากกั้นนะ เดี๋ยวจะล้มมาทับตัวเอง เราตกลงหลับตาห่มผ้า
แล้วคล้อยหลับไป ตื่นเช้ามาเก็บที่นอนพับผ้าห่ม กำลังจะเปิดประตูห้องออกไปเข้าห้องน้ำ แม่ไม่อยู่ที่เตียง
น้องชายยังคงนอนอยู่ แต่นางนอนลืมตาจ้องมองมาที่เรา เราเลยถามว่า

"ไม่รีบตื่นไปดูโดราเอมอนหรอ นอนแช่เตียงทำไม"

"ดูพี่สนุกกว่า อิ อิ"

"ทำไมดูพี่ต้องสนุกด้วย นี่ใครเนี่ย น้องหรอ?"

น้องชายไม่ตอบแล้วก็รีบลุกจากเตียงเปิดประตูห้องวิ่งลงไปข้างล่างทันที ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าในคำตอบ
แต่เราไม่คิดอะไรมาก เพราะน้องชายตอนนั้นก็วัยประถมต้น คงพูดอะไรล้อเล่นเรื่อยเปื่อย เราจึงเดินตามลงไป
เมื่อลงไปข้างล่างเห็นน้องชายยืนอ้อนแม่กอดแม่อยู่ เราจึงวิ่งไปกอดแม่เพื่อแหย่เล่นบ้าง แม่ก็กอดเรากลับ

"โอ๊ย!!!" เราร้องออกมาหลังจากแม่กอด

"เป็นอะไร?" แม่เราถาม

"เจ็บแขนอะแม่ ไม่รู้เป็นไร"
เมื่อพูดจบเราก็เอามือคลำ ๆ บริเวณแขนที่เจ็บแล้วถกแขนเสื้อขึ้น ปรากฏว่าที่แขน
เป็นรอยนิ้วมือและผิวช้ำสีม่วงเขียว เป็นจ้ำ ๆ เรากับแม่ตกใจมากและหันไปมองหน้าน้องชาย เหมือนน้องชาย
จะรู้ว่าที่มองหน้าเพื่อต้องการคำตอบ แต่น้องชายกลับทำเป็นไม่สนใจวิ่งไปเปิดทีวีช่อง9 โมเดิร์นไนการ์ตูน TT

รอยนิ้วมือที่มาพร้อมกับรอยช้ำบนต้นแขนเราสร้างความงุนงงให้เราและแม่เป็นอย่างมาก ถ้าหากเรานอนดิ้น
หรือเอามือไปฟาดฉากกั้นห้องก็ไม่น่าจะเป็นรอยแบบนี้ แต่นี่กลับเป็นรอยนิ้วมือเรียว ๆ เห็นได้ชัด เราเดินไป
คาดคั้นกับน้องชายว่ารู้เรื่องหรือไม่ที่แขนเราเป็นแบบนี้ น้องชายก็บ่ายเบี่ยงบอกปัดไม่รู้ เราเลยบอกให้น้อง
มาลงได้ไหม บอกแม่ให้จุดธูปเชิญน้องมาลงเพื่อถามได้ไหม แต่น้องชายบอกว่า

"ไม่เอา ไม่ให้ใครมาลงทั้งนั้น หนูจะดูการ์ตูน"

แม่เลยบอกให้เราใจเย็น ๆ ถ้าน้องจะมาน้องก็จะมาเอง แต่ถ้าเขาไม่เต็มใจมา แล้วเราไปยื้อเขา คนที่เดือดร้อน
ก็คือน้องชายนะ เราจึงสงบสติลงได้ เวลาผ่านพ้นสุดสัปดาห์ไป เราก็ต้องเตรียมตัวกลับมาบ้านพักที่ทำงานพ่อ
เหมือนเดิม สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองก็ยังไม่ได้รับคำตอบ รอยช้ำที่แขนก็ค่อย ๆ จาง จนหายไป และแล้วก็เข้าสู่
สุดสัปดาห์ต่อมา...

เรายังคงปูที่นอนนอนหน้าห้องพระเหมือนเดิม เพราะรู้สึกอุ่นใจที่นอนใกล้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่หารู้ไม่ว่าเราเข้ามาใกล้
บางสิ่งมากจนเกินไป...

ก่อนนอนเราสวดมนต์ตามปกติ เอนหลังหลับตาห่มผ้าคล้อยหลับไป สะดุ้งตื่นอีกทีไม่รู้เวลาแน่ชัด แต่รู้ว่าคงดึกมากแล้ว
เรานอนหงายแต่รู้สึกว่าหนักตัวอยากจะพลิกตะแคงซ้ายก็พลิกไม่ได้ ตะแคงขวาก็พลิกไม้ได้ ทำได้แค่นอนลืมตามองเพดาน
คิดว่าเป็นตะคริวหรือนอนทับเส้นหรือเปล่านะ จึงลองนอนนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้น เผื่อเส้นจะคลายแล้วพลิกได้ ผ่านไประยะหนึ่ง
ร่างกายเหมือนคนเป็นอัมพาต คือนอนหงายหายใจทิ้ง ลืมตาปริบ ๆ แต่พลิกตัวขยับไม่ได้ และด้วยความมืดของห้องผสานกับ
ความเงียบยามค่ำคืน จิตเริ่มฟุ้งซ่าน เมื่อคนเราตกอยู่ในสภาวะที่เงียบและวังเวง จิตมักจะคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ทั้งเรื่องดีและไม่ดี
คนเรามักจะห้ามความไม่ได้ เมื่อจิตเริ่มกลัว คิดว่าเราเป็นอะไร หรือเราตายแล้ว หรือตอนนี้เราคือวิญญาน ก็เริ่มดิ้น ขยับแขน
ขยับขา แต่มันหนักไปหมด หนักอึ้งแบบไม่เคยเจอมาก่อน หัวก็ขยับไม่ได้ จึงชำเลืองมองไปที่เตียงแม่ เอ้อ พ่อ แม่ น้องชายอยู่
แล้วเราเป็นอะไรนี่?

ระหว่างที่ชำเลืองมองไปที่เตียงที่ทุกคนนอนอยู่นั้น น้องชายเราซึ่งนอนอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่ ก็ลุกขึ้นมานั่ง เราพยายาม
อ้าปากเพื่อเรียกน้องชาย แต่ทำไม่ได้ เราจึงมองจ้องไปและคิดในใจว่า

"เจ้อยู่นี่ ช่วยเจ้ด้วยยย"

ได้ผลค่ะ น้องชายลุกขึ้น

คลานออกจากเตียง

ลงจากเตียง

แล้วเปิดประตูออกไป แป่ว...

โอยจะลุกมาเข้าห้องน้ำอะไรตอนนี้ ช่วยมาสนใจกันก่อนได้ไหม๊ อึดอัดจะตายอยู่แล้วววว...

เมื่อน้องชายออกไปเข้าห้องน้ำแล้วเดินกลับมา นางก็คลานขึ้นเตียงแทรกตัวระหว่างพ่อ แม่ แล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อ ปล่อยให้เรานอนมองตาปริบ ๆ ขอความช่วยเหลือ ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ ความเหนื่อยคืบคลานทำให้เราผล็อยหลับไป ตื่นมาอีกตอนเช้าขยับแข้งขาได้ รีบกระเด้งตัวเองออกจากที่นอนแล้ววิ่งลงข้างล่างทันที

"เมื่อคืนหนูตื่นกลางดึกแต่ขยับตัวไม่ได้เลย หนูถูกผีอำหรือเปล่า?" เราเปิดประเด็น

"เป็นไปได้ไงผีอำ บ้านนี้ใครก็เข้ามาไม่ได้ทั้งนั้นถ้าแม่ไม่อนุญาต"

"แต่เมื่อคืนนี้หนูเจอจริง ๆ นะแม่ ขยับได้แต่ลูกตา ออกแรงจนเหนื่อยเหงื่อท่วมตัวก็ยังขยับไม่ได้เลย"

"แปลกนะ แล้วเห็นอะไรหรือเปล่าล่ะ?" แม่ถามต่อ

"ไม่เห็น เห็นแต่น้องชายตื่นไปเข้าห้องน้ำ"

พูดจบประโยค น้องชายตัวดีก็หันขวับมามองแล้วยิ้มแหย ๆ แต่ไม่พูดอะไร  ใจเราตอนนั้นอยากจะให้น้องมาใจจะขาด เพราะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในเมื่อเขาไม่เต็มใจมาเราก็ไม่บังคับ รอเขาพร้อมเขาก็จะมาเอง

เวลาเรามานอนที่บ้านก็มักจะเกิดเหตุการณ์วนซ้ำแบบนี้ คือ บางคืนสะดุ้งตื่นกลางดึกแล้วอึดอัดขยับตัวไม่ได้บ้าง
หรือเช้ามามีรอยช้ำ แต่รอยช้ำเนี่ยเราเชื่อว่าคนอื่นน่าจะเคยเป็น ที่ตื่นนอนมาแล้วจะพบหน้าแข้งหรือต้นขามีรอยช้ำ
แต่รอยของเรามักจะเป็นรอยช้ำเรียว ๆ เหมือนนิ้วมือ ซึ่งสร้างความงุนงงให้เราและแม่อย่างมาก ที่สำคัญยังสร้างความ
รำคาญให้เราอีกด้วย ถ้าเหตุการณ์แบบนี้นานทีเกิดจะไม่เป็นอะไรเลย แต่นี่เกิดทุกครั้งที่เรามานอน ทำให้เรานอนไม่อิ่ม
มันหงุดหงิดมาก จนกระทั่งคืนหนึ่ง

เราสวดมนต์เสร็จแล้ว และนึกในใจขึ้นมาทำนองว่ารำคาญ มากวนใจให้นอนไม่หลับ สงสัยจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ซะแล้ว
นึกจบก็หัวเราะชอบใจ ประมาณว่าขู่ไปงั้นแหละ ขู่ใครก็ยังไม่รู้เลย พูดลอย ๆ ไปงั้น พอถึงเวลานอนก็จัดแจงที่นอน
ห่มผ้านอนหลับ รู้สึกตัวอีกทีคือนอนหงายแล้วเจ็บหน้าขาทั้งสองข้าง เจ็บแบบปวดกระดูก เราพยายามที่จะลุกมานั่ง
แต่ก็ลุกไม่ได้ รู้สึกเหมือนคืนนั้นอีกแล้ว แต่คราวนี้เราเจ็บต้นขาเหลือเกิน เราจึงตะโกนออกมา

"แม่ แม่..." เราตะโกนเรียกแม่ แต่คนที่ตื่นกลับเป็นน้องเรา

"พี่ปวดขา ลุกมาดูพี่หน่อย" เราเรียกน้องชาย น้องชายลุกขึ้นนั่งแต่ไม่ลุกมาหาเรา

"ปวดขามากเลย มาดูพี่หน่อย" เราเรียกอีกครั้งแต่น้องก็ยังไม่ลุกมา ได้แต่นั่งจ้องเรา

จากความเจ็บปวดที่ขาเริ่มเปลี่ยนเป็นความโมโห เราเลยโพร่งออกมา

"โอ๊ย อะไรนักหนา เจ็บอยู่นั่นแหละ ใครทำว ะ?"

พูดจบประโยคแค่นั้น น้องชายก็เริ่มร้องไห้ แม่จึงตื่นมาแล้วรีบปลอบน้อง เราเลยบอกให้มาดูเรานี่ น้องชายไม่เป็นไรหรอก
คนที่เป็นน่ะคือหนู แม่จึงลงจากเตียงมาหาแล้วดูว่าเราเป็นอะไร ปรากฏว่าพอแม่มาดู อาการเจ็บหน้าขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง
เราเลยเล่าให้แม่ฟัง แม่จึงหันไปหาน้องชายแล้วถามว่าร้องไห้ทำไม น้องชายชี้ไปที่ห้องพระแล้วบอกว่า

"หนูเห็นผู้หญิงยืนเหยียบขาพี่อยู่ เขายืนบนขาพี่เลย" ตอนนี้เรารู้แล้วว่าไม่ใช่น้องชาย แต่เป็นน้องที่มาแฝง
"หนูเห็นตั้งแต่คืนแรกแล้ว เขาไม่พอใจที่พี่มานอนขวางหน้าห้อง แล้วพี่ก็นอนไม่เรียบร้อย เขาเลยมาบีบแขนพี่
แต่ตอนนั้นเขาไม่ให้หนูบอก เขาบอกว่าไม่ใช่เรื่องของเด็ก"

"ที่พี่ตื่นมาคืนนั้นแล้วอึดอัดขยับตัวไม่ได้ เขาก็มายืนทับพี่อยู่ หนูเห็นพี่แล้วแต่เขาไม่ให้เข้าไป เขาบอกว่านอนไม่เรียบร้อย
กางแข้งกางขาฉันจะไม่ให้มานอน"

อ้าวมีงี้ด้วยหรอ ตอนนั้นกลัวก็กลัว ไม่รู้หรอก เขา ที่ว่านี้คือใคร แต่คงจะใหญ่มากเหมือนกันน้องเราถึงไม่กล้า แต่ความกลัว
ก็มาพร้อมกับความหงุดหงิด (หงุดหงิดอีกแล้วววว) หงุดหงิดที่ว่าในนี้ก็บ้านเราแต่ทำไมเราจะนอนตรงนี้ไม่ได้ แล้วคนหลับ
จะรู้ได้ยังไงว่าท่านอนจะเรียบร้อยไหม แต่เรายอมรับเลยว่าเราเป็นคนนอนดิ้นมาก ขนาดว่าใส่ชุดนอนแบบกระโปรงไม่ได้เลย
เพราะตื่นเช้ามามันจะถกมารวมกันอยู่ที่คอ T T

"ไม่น่าทำกันแรงขนาดนี้ ลูกหลานกันเองน่าจะมาเตือนดี ๆ " แม่กล่าว ทันใดนั้นน้องเราก็พูดสวนมา "พี่ไปท้าทายเขานี่"

เราเลยบอกว่าก็พูดลอย ๆ มันโมโห ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่พูดถึงจะมีอานุภาพขนาดนี้ คืนนั้นก็จบลงด้วยการไหว้ขอขมา
และที่สำคัญไม่ลืมที่จะขอขึ้นไปนอนบนเตียงกับแม่.

ปอลิง: สิ่งที่น้องเห็นก็คือ รูปปั้นผู้หญิงที่คนค้าขายมักจะบูชา เพื่อให้ค้าขายคล่อง เจรจาไพเราะ
ปอลิง 2: เรานอนดิ้นมาก ๆ ถึงขนาดที่ว่า นอนเป็นท่าขัดสมาธิได้ หรือบางทีนอนหัวไปอยู่ปลายเท้า เท้ามาอยู่หัวก็มี
ปอลิง 3: ทุกวันนี้ก็ยังคงนอนดิ้น และก็ยังปูที่นอนนอนหน้าห้องพระเหมือนเดิม แต่ไม่เจออะไรแล้ว เพราะก่อนนอน
เราจะตั้งจิตบอกว่า "ก่อนนอนหนูจะพยายามนอนให้เรียบร้อยที่สุดนะคะ แต่ถ้าหลับลึกไปแล้วหนูขอไม่รับผิดชอบ
กับการกระทำของหนูนะคะ ถือว่าหนูหลับแล้ว หนูไม่รู้เรื่องละกัน"

จบค่ะ

เรื่องจากพันทิป ขวางที่ขวางทาง
เรื่องโดย  TharaJF

ไม่มีความคิดเห็น