ด้วยความบังเอิญ ภาคต่อ
"ด้วยความบังเอิญ ภาคต่อ" เรื่องราวของสมาชิกพันทิปชื่อว่า TharaJF จากทริปที่ไปอีสานนั้นยังไม่จบ ขอขอบคุณประสบการณ์สยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย หากใครพลาดตอนแรกคลิกที่ ด้วยความบังเอิญ
ด้วยความบังเอิญ (ต้นเรื่องทริปที่ไปอิสานแล้วพบเจอเรื่องราวมากมาย)
จะขอเล่าต่อจากเรื่อง ด้วยความบังเอิญ ซึ่งหลังจากพวกเราแยกย้ายจากบ้านเพื่อนแม่ พวกเราก็ขับมาที่ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นบ้านแม่เราค่ะ ต่อนะ...
และแล้วพวกเราก็ขับมาจนถึงหมู่บ้านของแม่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านสุดท้ายของถนนเส้นนี้ ล้อมรอบไปด้วยทุ่งนาและป่าไม้ย่อม ๆ บรรยากาศดีมากค่ะ
เช้า ๆ ก็จะมีนกบินมาเกาะพุ่มไม้หน้าบ้าน ส่งเสียงร้องแข่งกัน ลมเย็นพัดมาเป็นระลอก ชาวบ้านรอใส่บาตรอยู่หน้าบ้านใครบ้านมัน
เมื่อใส่บาตรเสร็จแล้วก็ผิงไฟทำข้าวจี่กินกันหน้าบ้าน โอ๊ยฟิน... (ข้าวจี่ คือ ข้าวเหนียวปั้นแบน ๆ กลม ๆ ชุบไข่ แล้วมาปิ้ง) เราก็เอาข้าวจี่นี่แหละค่ะ
ไปตักบาตรกับพระวัดป่าแถวบ้านด้วย
หมู่บ้านแม่เราก็เล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก รวมแล้วน่าจะไม่ถึงร้อยหลังคาเรือน
ทางออกเดียวของหมู่บ้านก็คือ ทางเข้ามาหมู่บ้านนั่นแหละ แล้วบ้านแม่เราก็อยู่ปากทางเข้าหมู่บ้านพอดี ก่อนจะถึงทางเข้าหมู่บ้านก็จะเจอกับป่าช้าและวัดป่า ถึงจะเป็นหมู่บ้านสุดท้าย และทุ่งนาปิดล้อมรอบ
วันหนึ่งสาย ๆ มีเสียงโหวกเหวกแถวกลางหมู่บ้าน เราก็ตื่นเต้นวิ่งไปดู เห็นชาวบ้านล้อมบ้านหลังหนึ่งไว้ ลักษณะเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง
แบบบ้านสมัยก่อนที่เวลาขึ้นบ้านต้องเอาบันไดเก็บด้วย สมัยนี้ก็ยังมีอยู่ค่ะ บ้านนี้เป็นแบบนั้นเลย ถ้าปีนบันได้ขึ้นบ้านแล้วก็ต้องดึงบันไดเก็บเข้าบ้าน
บนบ้านมียายแก่ ๆ อายุสัก 70 นั่งอยุ่ที่ประตูบ้าน บันไดถูกเก็บไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนปีนขึ้นไป (หรือแกจะไม่ลงมาก็ไม่รู้)
รอบบ้านมีชาวบ้านตะโกนเรียกให้ยายลงมา คนเยอะมาก เราก็พยายามเขย่งดูให้เห็นว่าแถวหน้า ๆ ที่ตะโกนคุยกับยายน่ะเป็นใคร
ยายมองรอบบ้าน ไม่คุยตอบโต้ และตามองขวาง ปากเคี้ยวอะไรก็ไม่รู้ เคี้ยวไป เคี้ยวมา แล้วก็แหวะออกมา เป็นกระดูกหรืออะไรไม่ทราบ
แต่ยายคายลงมาข้างล่าง แล้วหันไปหยิบไก่ที่จะตายแหล่มิตายแหล่ จับขาไก่ห้อยหัวแล้วชูขึ้นสูง ๆ เหมือนจะเยาะเย้ยหรือโชว์ให้ชาวบ้านเห็น
ยายหัวเราะอ้าปากดัง ๆ แล้วกัดไก่เข้าที่ปีกทั้งที่ไก่ยังไม่ตายนั้นแหละ ยายกัดเข้าไปแล้วดึง ดึง ดึง ก่อนที่ปีกไก่จะหลุดคาปากของยาย
สิ้นเสียงไก่ร้องเป็นเสียงสุดท้าย ยายก็คายปีกไก่ลงพื้น ปากยายมีแต่ขนและเลือดไก่ก็ไหลเต็มผ้าถุง
ชาวบ้านที่อยู่ข้างล่างคงจะหมดความอดทนกับยาย เริ่มมีเสียงตะโกนด่าบ้าง เอาก้อนหินหรืออะไรที่หยิบได้เขวี้ยงปาใส่ยายบ้าง
แต่ยายก็ไม่มีทีท่าจะกลัว ยังคงแสดงบทบาทอย่างอื่นให้ชาวบ้านได้ดูกันต่อ
ยายลุกขึ้นถกผ้าถุงประมาณเข่า ทำท่าจะกระโดดลงมา แต่ก็มีเสียงคนตะโกนห้าม "อย่ากระโดด!!! สงสารร่างยายจัน..."
ยายก็หยุดเอาผ้าถุงลง แล้วตะโกนกลับมาว่า "ก็กรูหิว มันไม่หาอะไรให้กรูกินนานแล้ว"
ชาวบ้านคนหนึ่งที่ดูจะเป็นผู้นำก็ตะโกนกลับไปว่า "แล้วเอ็งเป็นใคร.... มาใช้ร่างยายจันหากินทำไม?"
ยายไม่ตอบแต่นั่งลงชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง เอามือดึงขนไก่ที่ติดตามขอบปาก แล้วเลียปากแผล่บ ๆ บอก "กรูหิว...กรูหิว..." แล้วหยิบไก่ตัวเดิมมากัดปีก
ระหว่างนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่ง ดูมีอายุแล้วน่าจะพอ ๆ กับยาย เดินมาพร้อมเด็กหนุ่มอีกคน ที่มือของเด็กหนุ่มคนนั้นถือถุงผ้า หรือถุงย่ามที่น่าจะใส่ของดีไว้เยอะเลย เพราะระหว่างทางที่เดินมานั้น ผู้ชายที่มีอายุก็จะควักเอาอะไรบางอย่างในถุงผ้าแล้วโปรยออกตามทางที่เดินผ่าน
จนกระทั่งเดินผ่านชาวบ้านแหวกเข้าไปหยุดหน้าบ้านของยาย เราดูแล้วยายน่าจะกลัวผู้ชายคนนี้ เพราะผู้ชายคนนี้เดินมาหยุดหน้าบ้าน
ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลย ยายบนบ้านก็ตะโกนร้องบอก "กรูไม่ไป!!! อย่ามาไล่กรู!!!" แล้วก็มีท่าทางลนลานอยู่ไม่สุข ผุดลุกผุดนั่ง
หายเข้าไปในบ้าน แล้วก็โผล่หน้ามาตรงประตู แล้วก็หายเข้าไป แล้วก็โผล่ออกมาอีก
บางทีเราก็อดขำไม่ได้ รู้สึกว่าเออ ยายคนนี้ตลกดี เดี๋ยวผลุบ เดี๋ยวโผล่ เหมือนจะเล่นจ๊ะเอ๋ แล้วโผล่ออกมาดูว่าผู้ชายแก่ ๆ คนนั้นหายไปหรือยัง
ผู้ชายแก่ ๆ คนนั้นก็ยังไม่พูดอะไร แต่ยืนหลับตา แล้วปากก็ขมุบขมิบ มือก็กำข้าวสารที่หยิบจากในถุงผ้าออกมาแล้วเป่าเพี้ยงดัง ๆ 1 ที
พร้อมทั้งปาข้าวสารขึ้นไปใส่ยายบนบ้าน (บ้านไม่ได้สูงมากนะคะ แต่ถ้าจะขึ้นบ้าน ยังไงก็ต้องเอาบันไดที่ยายเก็บหย่อนลงมาอยู่ดี)
ยายร้องโอ๊ย ดัง ๆ แล้วหันมาตาขวาง ตอนนี้ยายไม่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ แล้วค่ะ แต่มายืนกางขาประจันหน้าอยู่ที่ประตูบ้านแทนแล้ว
ผู้ชายแก่ ๆ ก็ปาข้าวสารใส่เข้าไปอีก ทีนี้ปาไม่ยั้ง ปารัว ๆ แบบ Combo Set
ยายกรีดร้องดังกว่าเดิม ไม่รู้เพราะเจ็บปวด หรือโมโห แต่เสียงกรีดร้องน่ากลัวมาก ไม่เหมือนยายอายุ 70 ที่จะมีแรงส่งเสียงได้ดังขนาดนี้
ยายกรีดร้องอีกสักระยะ แล้วก็เอามือถกผ้าถุงขึ้นมาเหนือหัวเข่า แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น!!!
ยายกระโดดจากบนบ้านลงมาข้างล่างดัง ตุ๊บ... และวิ่งจ้ำผ่านฝูงชนออกไปทางทุ่งนา วิ่งเร็วมาก ขอบอกว่าเร็วมากกกกก
จังหวะที่ยายกระโดดลงมา ยังไม่มีใครได้ตั้งตัวหรือตั้งรับทันว่ายายจะกระโดด ทุกคนอยู่ในความตะลึง รวมถึงเราด้วย
พอยายกระโดดลงมาปุ๊บ ชาวบ้านก็แหวกตัวออกอัตโนมัติ ยายก็เงยหน้าขึ้นมาแล้ววิ่งต่อเหมือนไม่เจ็บอะไรเลย
(ท่าสวยด้วยนะตอนลงมา ^^)
คราวนี้ชาวบ้านก็วิ่งตามยายไปทางทุ่งนา เด็กหนุ่ม ๆ หรือวัยรุ่นที่เป็นผู้ชายก็สปีดตัววิ่งนำหน้าไป ส่วนป้า ๆ หรืออย่างเราก็ยังยืนงงกันอยู่
ลังเลว่าจะตามไปหรือรอฟังข่าวทางนี้ดี มันทั้งน่าตื่นเต้น ทั้งกลัวผสมกันไป ตอนนั้นคิดว่าผีเข้ายายจันแน่ ๆ แล้วถ้าเราตามไป ผีมันเข้าเรา
จะทำไงหว่า?
แต่...เราก็ตามไปค่ะ ตอนนั้นพยายามมองหาญาติ ๆ หรือคนที่เรารู้จัก กะว่าจะจูงมือแล้ววิ่งไปทุ่งนาด้วยกัน แต่ไม่รู้จักใครเลย คือจริง ๆ ชาวบ้าน
เขารู้จักกันหมดแหละค่ะ แต่เรานาน ๆ ทีมา ก็จำไม่ได้ว่าใครเป็นใครบ้าง ลืมบอกว่า พ่อแม่เราออกไปตลาดที่อำเภอแต่เช้าเลยไม่ทันเหตุการณ์
เราก็วิ่งตามไปค่ะ เห็นเขาวิ่งไปทางไหนเราก็วิ่งตามไป นู้น...เห็นหลังชาวบ้านลิบ ๆ อยู่กลางทุ่งนาโน้น...
น่าแปลกนะคะที่ยายอายุขนาดนั้นจะกระโดดลงมาจากบ้านแล้วแข้งขาไม่เป็นอะไร แถมยังวิ่งต่อไปทุ่งนาได้อีกไม่มีเหน็ดเหนื่อย
เราวิ่งตามไปถึงสุดทางของท้องนา ข้าง ๆ ล้อมรอบเป็นดงไผ่ (ดงไผ่อีกแล้ว) ข้างดงไผ่เป็นคลอง ยายคงไปต่อไปไม่ได้เลยหยุดตรงนี้
แต่ยายอยู่ไหน...?
ชะเง้อมองเข้าไป ชาวบ้านล้อมรอบดงไผ่ มองลอดเข้าไปในดงไผ่ เห็นลูกตาแวบ ๆ อยู่ในนั้น ห๊ะ!!! ยายเข้าไปในดงไผ่... เข้าไปได้ยังไง...
นึกภาพออกไหมคะ ว่าดงไผ่ป่าไผ่มีแต่ต้นไผ่สูง ๆ เบียด ๆ กัน แล้วก็มีความคมของกิ่งก้านมันด้วย แต่ตอนนี้ยายเข้าไปหลบอยู่ในนั้นค่ะ
ลุงผู้ชายที่มาพร้อมเด็กหนุ่มวิ่งมาถึงไล่เลี่ยกับเราก็บอกว่า "ยิ้ม เหนื่อยหรือยัง ก รู เหนื่อยแล้วนะ..." 555 เราอดขำไม่ได้อะ
คือจะมาปราบเขาแต่ตัวเองก็แก่แล้วเหมือนกันอะเนอะ เราขำในใจนะ ไม่ได้ส่งเสียงออกมาเพราะสถานการณ์ตอนนั้นซีเรียสมาก
ยายก็ตะโกนออกมาว่า "เออ ก รู ก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน พวก ยิ้ม ตาม ก รู ไม่เลิกเลย... ก รู ไม่อยู่แล้ว..." แล้วยายก็หลับตา หลับอยู่อย่างนั้น
สัก 5 วินาทีได้ ก็ลืมตาแล้วร้อง "โอ๊ย ๆ เจ็บ ๆ กรูเข้ามาอยู่ในนี้ได้ไง เอากรูออกไปที โอ๊ยยย..." ชาวบ้านก็ช่วยกันแหวกไผ่เอายายออกมา
พอยายออกมาได้ก็ถามว่าเข้าไปได้อย่างไร ยายก็บอกไม่รู้ จำไม่ได้ ตอนนี้เจ็บเหลือเกิน ตามตัวยายมีรอยขีดข่วนของกิ่งไผ่ น่าสงสารมากค่ะ
ชาวบ้านที่แข็งแรงหน่อยก็อุ้มยายแล้วพากันเดินลัดเลาะนากลับมาบ้าน
เพื่อน ๆ คะ ถ้าใครเคยเดินไปที่ท้องนา มันจะมีเถียงนาที่เล็กมาก ๆ เดินก็เดินลำบากแล้ว แต่นี่ยายอายุขนาดนี้แล้ววิ่งเร็ว ๆ มายังเถียงนา
แล้วมุดเข้าดงไผ่ได้อีก นี่คือยอดคนจริง ๆ แต่สลับกันตอนนี้ ยายไม่มีทีท่าว่าจะเดินกลับเองได้ แถมยังอ่อนแรง พูดเสียงแหบและเบา
ตามตัวมีรอยแผล เท้ามีแต่ดินและรอยถลอก ชาวบ้านก็สลับกันอุ้มยายไปจนถึงบ้าน...
แต่...จะพายายขึ้นบ้านได้อย่างไร ในเมื่อบันไดยังเก็บไว้อยู่บนบ้าน ตอนยายลงมาดันกระโดดลงมาซะนี่ แล้วตอนขึ้นจะขึ้นได้ยังไงล่ะ?
ก็ต้องให้ชาวบ้านวิ่งไปหาบันไดลิงแล้วปีนขึ้นไปบนบ้าน แล้วก็หย่อนเอาบันไดของยายลงมา แล้วก็ช่วยกันพยุงยายขึ้นบ้าน
บ้านยายมียายอยู่คนเดียว ลูกหลานไม่มี ยายจะหาปลาเก็บผักที่ปลูกกิน หรือบางครั้งชาวบ้านแถวนั้นก็จะทำอาหารมาเผื่อทุกวัน
สังคมชนบทก็จะพึ่งพากันและกัน ต่อให้ยายไม่มีลูกหลานดูแลก็จะมีชาวบ้านใกล้เคียงแวะมาเยี่ยมเยียนเสมอ
ตอนนี้มีผู้ใหญ่บ้าน ผู้ชายกำยำสัก 5 คน และผู้ชายแก่ ๆ พร้อมเด็กหนุ่มที่ถือถุงผ้าอยู่บนบ้านกับยาย ไทยมุงอย่างพวกเราก็อยู่ข้างล่าง
บ้างก็แยกย้ายบ้านใครบ้านมัน บ้างก็จับกลุ่มคุยกัน เราก็อยู่ในกลุ่มที่คุยกันอยู่ข้างล่าง
สืบความได้ว่า ยายคนนี้ชื่อ ยายจัน... ลูกหลานไม่อยู่ด้วย แต่เคยมารับจะไปอยู่ด้วยกันที่อื่นก็ไม่ไป เลยทิ้งไว้ที่นี่ นาน ๆ ทีจะกลับมา
แต่ก็หลายปีที่ไม่มา ยายจันมีเพื่อนต่างหมู่บ้านคนหนึ่งชื่ออะไรไม่ทราบ ชาวบ้านเคยเห็นมาเที่ยวหากันก่อนหน้าที่ยายจันจะเริ่มทำตัวแปลก ๆ
เพื่อนยายจันผอมซีด ผิวติดกระดูก ลักษณะภายนอกคือแก่มาก ๆ อาจจะแก่กว่ายายจันด้วยซ้ำ แต่เวลาเดินนี่แข็งแรงเชียว ว่องไว
จะแวะมาหายายจันแต่เช้ามืด แล้วอยู่ด้วยกันในบ้านจนถึงค่ำแล้วค่อยปีนบันไดลงมา แล้วกลับบ้าน
จากนั้นก็ไม่เห็นเพื่อนยายจันอีกเลย ทีนี้ชาวบ้านก็เอะใจว่าทำไมวันนี้ประตูบ้านไม่เปิด บันไดก็ไม่หย่อนลงมา ยายจันเป็นอะไร
เลยให้เด็ก ๆ หาบันไดลิงที่ว่าปีนส่องหน้าต่าง เด็กก็จ้องมองเข้าไปในตัวบ้านเพราะหน้าต่างไม่ได้ปิด เป็นบ้านโล่ง ๆ มีผ้ากับเสื่อไว้ปูนอน เห็นยายจันนอนแผ่อยู่บนที่นอน จึงตะโกนเรียก "ยายจัน ยายจัน... ตายแล้วบ่" แล้วยายจันก็ค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นมา หันหน้าไปมองเด็กแล้วแลบลิ้นแผล่บ... เด็กตกใจก้นก็รูดกับบันไดลิงครูดลงมาถึงข้างล่าง แล้วยายจันก็มาเปิดประตูบ้าน พร้อมตะโกนว่า "เอ้ย... มาแอบดู ก รู ทำไม ก รู ยังไม่ตายง่าย ๆ หรอกเว้ย"
นี่คือจุดเริ่มต้น จากนั้นยายก็ทำตัวแปลก ๆ กลางวันไม่เปิดประตูบ้าน แต่ตกเย็นโพล้เพล้ออกมาเดินเล่นผ่านหน้าบ้านคนนู้นทีคนนี้ที
เราฟังถึงตรงนี้เราก็พอเดาออกว่ายายจันต้องถูกผีเข้า และเดาว่าน่าจะเป็น ปอบ!!!
เรากลับไปเล่าให้พ่อแม่และน้าฟัง ถึงเรื่องราวที่เราไปเจอที่บ้านยายจัน น้าเลยแซวว่า อยากรู้อยากเห็นเดี๋ยวคืนนี้ยายจันมาเที่ยวหานะ...
ยายจันมาไหมคะคืนนี้ ตอบ ไม่แน่ใจต้องลุ้นค่ะ...
คืนนั้นเรากลัวและยังมีภาพติดตามจากยายจันกินไก่ เลยขอนอนตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่ บ้านเป็นบ้านปูนชั้นเดียว หน้าต่างรอบบ้าน
ใครมายืนส่องก็เห็นหมดว่าในบ้านทำอะไร คืนนั้นพวกเรานอนรวมกัน 3 คน อยู่ตรงกลางบ้าน น้าสาวกับน้าเขยนอนอยู่ในห้องนอน
เวลามีลดพัดมา ผ้าม่านที่หน้าต่างก็จะปลิวลู่ตามลม ด้วยความที่เรายังติดตากับเหตุการณ์เมื่อเช้า ทำให้นอนไม่ค่อยหลับ
เรานอนหงายตามองฝ้า พ่อกับแม่หลับแล้ว สักพักมุ้งมันปลิววูบ เราก็เอะใจว่าสงสัยข้างนอกลมแรง มุ้งในบ้านปลิวเลย
สักพักก็เป็นเสียงลมร้อง วิ้ด วิ้ด แสดงว่าลมพัดแรงมาก เราก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มถึงต้นคอ ตอนนั้นก็คิดถึงแต่ยายจันนะ...
ด้วยความแปลกที่ บรรยากาศรอบตัวก็ดูน่ากลัวไปหมด มุ้งของเราก็ยังคงปลิวตามแรงลมจนเราเริ่มรำคาญ
ตั้งใจลุกออกจากมุ้งจะไปปิดหน้าต่าง จังหวะที่เอื้อมปิดหน้าต่างลมก็มาปะทะหน้าอีกรอบ ผ้าม่านก็ปลิวไสว
สายตาก็จับจ้องกับบางสิ่งหน้าบ้าน...
ยายจันเดินหลังค่อมผ่านหน้าบ้านเราไป ค่อย ๆ เดิน... มองซ้ายทีขวาที ยายเดินเลยหน้าบ้านเราไปแล้ว
แต่... เรายังไม่ละสายตาจากยาย เราก็มองต่อไปจนลับสายตา...
ลมพัดแรงอีกรอบ พัดเอาหน้าต่างตีเข้าใส่หน้าเรา เราก็เลย เออ ๆ ปิดหน้าต่างเลยละกัน ปล่อยยายจันแกเดินไปเหอะ
จังหวะที่จะลงกลอนที่หน้าต่าง มีเสียงเคาะเบา ๆ 1 ที ก๊อก... เราก็หืม เสียงอะไรหว่า?
ก๊อก... เสียงดังอีก 1 ที แต่ดังอยู่ตรงหน้าเรานี่เลย เอะใจจะเปิดดีไหม แต่ไม่เปิดดีกว่า รีบล็อคแล้วรีบกลับมานอนเลย
เช้าต่อมา... แม่พาเราไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ซึ่งต้องเดินผ่านบ้านยายจัน บ้านยายจันยังคงปิดประตู ไม่มีบันไดหย่อนลงมา
แม่บอกว่า "ยายจันก็แก่แล้ว ไม่มีลูกหลานดูแล แกดูแลตัวเองได้ยังไงคนเดียว แวะสวัสดีแกหน่อยไหมล่ะ?"
เราก็ตะโกนเรียก "ยายจัน ยายจัน" เรียกไม่กี่คำเอง ยายจันก็เปิดประตูออกมา แล้วหย่อนบันไดลงมา ประหนึ่งเชื้อเชิญ
พวกเราขึ้นไปบนบ้าน มาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องปีนขึ้นไปหายายแล้วล่ะ แม่เราปีนนำขึ้นไปก่อน เราปีนตามไป พอขึ้นถึงบนบ้านปุ๊บ
เราก็ตกใจกับซากไก่ตัวเมื่อวานนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างประตู แม่เลยถามว่ากินข้าวหรือยัง สบายดีหรือเปล่า ทำนองนี้
ยายก็บอกประมาณว่า "ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ดอก กินบ่ค่อยอิ่ม มันไม่หาอะไรให้กินนานแล้ว ก รู เลยต้องออกหากินเอง"
เรากับแม่มองหน้ากันเหวอ ๆ แม่ยังกล้าถามต่อว่า "ใช่ยายจันแม่นบ่?"
ยายจันมองหน้ายิ้มแล้วตอบว่า "แล้วแต่พวก ยิ้ม สิคิด" (แล้วแต่พวกแกจะคิด)
พูดจบยายจันก็มองหน้าเราแล้วเอื้อมมือมาลูบแขนเราบอกว่าผิวสวยดีนะ แล้วลูบ ๆ เราก็ดึงแขนออก
แล้วสะกิดแม่ว่าไปเถอะแม่
ยายจันถามต่อว่า "สิกินน้ำบ่อีหล่า ยายสิเอาน้ำให้กิน" (จะกินน้ำไหมหนู ยายจะเอาน้ำให้กิน)
เราไม่ตอบแต่รีบลุกแล้วปีนบันไดลงมา แล้วแม่เราก็รีบปีนตามลงมาเช่นกัน
เรื่องราวบ้านยายจันที่เรารู้มีเท่านี้ และไม่ได้อยากหาข้อสรุปกับเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะมีเวลาอยู่ไม่กี่วันก็กลับกรุงเทพฯ
แต่มีเรื่องน่าเศร้า วันที่เราต้องกลับกรุงเทพฯ สาย ๆ มีขบวนแห่ศพยายจันผ่านหน้าบ้านเรา นั่นคือยายจันตายแล้ว!!!
พวกเราไม่ได้ถามไถ่ชาวบ้านแถวนั้น เนื่องจากต้องเตรียมของกลับกรุงเทพฯ และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่เราเห็นยายจัน...
เรื่องยายจันจบเพียงเท่านี้
หลังจากที่เรากลับกรุงเทพฯกันแล้ว น้าที่เป็นน้องสาวแม่ก็โทรมาเล่าให้ฟังว่า ศพยายจันแห่ไปวัดก็เผาเลยไม่ได้เก็บไว้นาน
เพราะไม่มีใครติดต่อลูกหลานยายได้เลย ทีนี้ที่เราเคยบอกว่าชาวบ้านแห่ศพผ่านทางหน้าบ้านแม่เรา เนื่องจากอยู่ทางเข้าพอดี
แล้วถึงจะผ่านป่าช้าและวัดป่า คืนนั้นมีตาคนหนึ่งหาบเร่ออกไปขายขนมแล้วกลับเข้าหมู่บ้านมาถึงดึก น้าเล่าต่อว่า
ตาคนหนึ่งหาบเร่ผ่านวัดป่า... ป่าช้า... ก่อนจะเข้าถึงตัวหมู่บ้านนั้น ก็ได้ยินเสียงพุ่มไม้ดัง แซก แซก คล้ายจะมีอะไรตามหลังมา
ตาก็ลองหยุดเดิน... เสียงก็เงียบ... พอก้าวเท้าเดินต่อ เสียงก็มาอีก ตาเลยหยิบเอาขนมที่เหลือในหาบเขวี้ยงเข้าไปข้างทาง
ปรากฏว่า หญ้าตรงนั้นแหวกออกแล้วมุ่งไปยังทิศทางที่ตาเขวี้ยงไป เขวี้ยงเสร็จตาก็รีบเดินจ้ำอ้าวเข้าตัวหมู่บ้าน และมาถึงบ้าน
ของน้าเราหลังแรก จึงตะโกนเรียกน้าเราให้ช่วยขี่มอเตอร์ไซไปส่งที่บ้านหน่อย
ก็ไม่รู้ว่าสิ่งเห็นนั้นเป็นอะไร จะใช่ยายจันหรือไม่ ก็ไม่มีใครอยากสืบหาคำตอบใด ๆ ทั้งสิ้น ชาวบ้านทุกคนก็ยังดำเนินชีวิตทำมาหากิน
กันต่อไป แม้ว่าภายนอกจะมีความทันสมัยและเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ ตึกรามบ้านช่องบดบังทัศนียภาพที่เป็นธรรมชาติ แต่...
ความเชื่อและสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ก็มิได้เลือนหายไป.
องค์จตุคามรามเทพ ทุกวันนี้ก็ยังอยู่หน้ารถเราค่ะ ไปไหนมาไหนก็มีวัตถุที่นับถืออยู่หน้ารถไปด้วยตลอด
ดอกไม้ห็จะเด็ดจากหน้าบ้านมาไหว้ทุกวันพระ แต่อย้างว่าแหละค่ะ ดอกไม้สดเด็ดจากต้นเอามาไว้กับแอร์อยู่ได้ไม่กี่วันก็เหี่ยว กรอบ เดี๋ยวก็ต้องเอาไปทิ้งแล้ว
ตอนกลัวผีที่อิสาน ถ้าเป็นสถานที่แรกที่หลงเข้าไปแล้วพยายามหาทางกลับรถออกมานั้น ตอนนั้นก็นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลกเลยค่ะ 555 นึกอะไรออกก็นึกเลย มันตื่นเต้นเนอะตอนนั้น
เรื่องจากพันทิป ทริปอิสาน ภาคต่อ (ต่อจาก ด้วยความบังเอิญ)
เรื่องโดย TharaJF
Post a Comment