ด้วยความบังเอิญ


     "ด้วยความบังเอิญ" เป็นเรื่องราวจากสมาชิกพันทิปชื่อว่า TharaJF  ที่เธอเคยฝากเรื่อง"อยู่ด้วยรักและผูกพัน" ถึง 5 ตอน และเธอมักจะเจอเรื่องราวหลอนๆอยู่เสมอ เรื่องของเธอกับการไปเที่ยวภาคอีสานของเธอนั้นเธอเจอมาหลายเรื่องราว  ขอขอบคุณประสบการณ์สยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย

          เมื่อไม่นานมานี้ เราได้ไปเที่ยวภาคอิสานกับพ่อ แม่ ส่วนน้องชายเรายังอยู่ภาคใต้ เราขับรถไปเที่ยวบ้านเพื่อนแม่ที่ไม่ได้เจอกันมา
เกือบ 20 ปี แต่ว่ายังติดต่อกันไม่ขาด ทุ่งนาเขียวขจี ห่างไกลจาก Social และ Internet มาก ขอบอกว่าบรรยากาศดีมากกกก
           เราขับจากกรุงเทพไปถึงค่ำ ๆ เราก็ปล่อยให้พ่อ แม่ และเพื่อน ๆ นั่งคุยกันในบ้าน ส่วนเราเดินมารับลมเย็นหน้าบ้าน
มองดูควายที่เขาผูกไว้ ดูเป็ดที่ชาวบ้านต้อนขึ้นจากคลอง กำลังดูเพลิน ๆ ก็มีมือเล็ก ๆ มาสะกิดแขน เราก็หันไปดู
ตกใจหมดเลย เด็กผู้ชาย มาสะกิดแขนแล้วเรียกพี่ ๆ จะเอาของดีให้ เอาไหม๊?
เราก็บอก "ไม่เอาหรอก ของดีไรหรอ?" มีแอบอยากรู้ว่าคืออะไร
เด็กคนนั้นก็บอกว่า "จะเอาไหม ไปเอาที่บ้าน ของดี เอาแล้วดูแลดี ๆ ได้เปล่า?"
เราก็เริ่มกลัว เลยบอกปฏิเสธไปแล้วก็จะเดินเข้าบ้าน เด็กผู้ชายก็จับข้อมือเรา แล้วบอกว่า "ของดีนะ จะเอาไหม"
เราเลยมองเข้าไปในบ้าน พวกผู้ใหญ่ยังคุยกันอย่างสนุกสนาน และมีส้มตำถาดเบ้อเร่อวางอยู่กลางวง ตอนนั้นลังเลว่าจะไปดูของดี หรือจะไปกินส้มตำดีน้า
          สรุปไปดูของดีก่อนก็ได้ เพราะเด็กคนนี้ยืนตื๊อไม่ยอมไปไหนเลย เราก็เลยต้องยอมจำนนเดินตามเด็กไปบ้าน ซึ่งบ้านของเด็กไม่ไกลจากบ้านเพื่อนแม่
เราก็รออยู่ข้างล่างไม่ได้เข้าบ้าน แล้วเด็กก็วิ่งเข้าไปในบ้าน สักพักก็วิ่งออกมา ยื่นของให้เรา เราก็รับไว้ พอดูก็รู้ว่าเป็น "จตุคามรามเทพ"
          เด็กก็บอกว่า เอาไว้บนรถนะ จะช่วยคุ้มครองเวลาขับรถ เราก็บอก "เอ้ย!! น้อง ขโมยของใครมาเปล่า" เพราะเราคิดว่าเด็กขนาดนี้คงไม่มาเล่นพระ
เด็กก็บอกว่า "ของหนูเอง ตาให้ไว้ หนูให้พี่ต่อ หนูชอบพี่" ก่อนจะวิ่งจากเราไปยังทิ้งท้ายว่า "อย่าลืมเอาดอกไม้ไหว้ในรถด้วยนะ"
เราก็บอกว่าไม่ชอบซื้อพวงมาลัยไหว้รถ เพราะมันมีฟอร์มาลินฉีดมากับดอกไม้ เด็กคนนั้นก็บอกว่า ต้นพุดหน้าบ้านพี่ไง เด็ดมาใส่สิ พูดจบก็วิ่งเข้าบ้านเลย

          ต้องบอกว่า เราประหลาดใจไม่น้อยว่าทำไมถึงรู้ว่าหน้าบ้านเรามีต้นพุดอยู่ ซึ่งก็มีอยู่จริง ๆ 1 ต้น เราก็รีบวิ่งไปหาแม่ แล้วเล่าให้ทุกคนฟัง
เพื่อนแม่ก็บอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก สงสัยจะถูกชะตาเรา เขาถึงเอาของดีมาให้"
          เพื่อแม่เล่าว่า เด็กคนนี้เป็นหลานหมอขวัญ หมอขวัญก็คือ หมอชาวบ้านที่ทำพิธีกรรม เหมือนพราหมณ์ ใช้วิธีพุทธคุณรักษาคนป่วย
แต่เป็นทางสายดีนะคะ ไม่ใช่สายไสยศาสตร์ เขาบอกว่า ปู่ของเด็กคนนี้ก็จะสอนสวดมนต์ สอนคาถา และให้ปฏิบัติดี และเขาคงรู้สึกถูกชะตากับเราจริง ๆ

          จบนะคะ เดี๋ยวมาต่อเรื่องที่อิสานอีก

          หลังจากแยกจากบ้านเพื่อนแม่ พวกเราก็ขับรถไปที่บ้านแม่ของเรา จ.ร้อยเอ็ด เมื่อขับรถเข้ามาถึง อ.เสลภูมิ ก็จะถึงทางแยกจากถนนใหญ่
เพื่อเลี้ยวซ้ายเข้ามาในตัวหมู่บ้านอีกที หมู่บ้านแม่เราเป็นหมู่บ้านสุดท้าย ฉะนั้น ก็จะต้องเข้ามาลึกมาก ลึกที่สุด ลึกสุดติ่ง แต่......เงียบสงบ ธรรมชาติที่สุด
เช่นกัน
          เมื่อเลี้ยวซ้ายจากถนนใหญ่ มุ่งเข้าสู่แต่ละหมู่บ้านนั้น เราก็ค่อย ๆ ขับผ่านหมู่บ้านที่หนึ่งไป เว้นสักระยะก็จะเป็นป่าช้าบ้าง ทุ่งนาบ้าง แล้วก็เป็นหมู่บ้านที่สอง ป้าช้าบ้าง ทุ่งนาบ้าง สลับกันไปแบบนี้ สัก 5 หมู่บ้านนะ กว่าจะเข้าสู่หมู่บ้านของแม่เรา
          ย้อนไปหมู่บ้านแรกกันก่อนค่ะ พวกเรามาถึง จ.ร้อยเอ็ด กันดึกมากแล้ว เราขับ แม่นั่งข้างเรา พ่อนั่งหลัง (หลับกรนอีกต่างหาก) อยากให้ทุกคนเห็นภาพที่เราเล่ามากเลย บรรยากาศต่างจังหวัดที่ดึกดื่น อยู่ท่ามกลางหมุ่บ้านที่เงียบสงัด หมาเจอรถเราหมายังไม่เห่าเลย คือเงียบมากกกก ได้ยินแต่เสียงเคลื่อนยนต์ของรถที่ขับ ไฟหน้าสาดส่องออกไปที่ถนนเบื้องหน้า มีความสว่างเกิดขึ้นเฉพาะที่ไฟรถส่องเท่านั้น นอกนั้น มืดสนิท!!!!!
          ด้วยความที่ไม่ได้มาบ้านนาน ก็อาจทำให้จำเส้นทางที่จะออกไปหมู่บ้านที่สองไม่ได้ ถามแม่แม่ก็จำไม่ได้ บอกว่ามันมืด แต่คิดว่าเลี้ยวซ้ายข้างหน้า
เราก็เลี้ยวซ้ายตามที่แม่บอก เลี้ยวซ้ายปุ๊บ มืดปั๊ป มีบ้านคนอยู่ทั้ง 2 ฝั่ง แต่ไม่เยอะ ที่สำคัญมีควันอะไรไม่รู้พวยพุ่งเต็มถนนไปหมด จึงตัดสินใจเปิดไฟสูง
เพื่อส่องทางข้างหน้าแต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย แม่เลยบอกขับตรงเข้าไปเลยสิ เราก็บอกไม่เอานะแม่ ไฟส่องขนาดนี้ยังไม่เห็นทางเลย หมอกปิดถนนหมดแล้ว
แม่เลยถามจะเอาไง ถ้าไม่ขับเข้าไปก็ถอยออกหาทางใหม่ พ่อเราตื่นมาพอดีก็บอกว่า ขับเข้าไปเลยแค่หมอกเฉย ๆ จะกลัวอะไร อ่ะ ก็ได้ ยุให้ขับเข้าไป
เราก็ขับตรงเข้าไปเลย ไฟรถส่องไปข้างหน้าแต่ก้ไม่สามารถส่องทะลุหมอกได้ จนกระทั่ง เห็นกอไผ่ขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า เราจึงรีบเหยียบเบรค เอี๊ยด!!!!
          ภาพคือ มีดงป่าไผ่อยู่ข่างหน้า แล้วเป็นทางตัน นั่นก็คือถ้าเราไม่เบรคก็จะชนป่าไผ่แน่นอน จึงตัดสินใจถอยรถเพื่อหาทางกลับรถออกไปทางเก่า
ธรรมชาติของคนขับรถก็ต้องมองให้ทั่ว เพื่อหาทางกลับรถใช่ไหมคะ เราก็กวาดสายตามองรอบ ๆ  ว่าจะถอยรถแล้วหักรถอย่างไรดี
          สายตาเจ้ากรรมก็เจอะกับบ้านไม้ 2 ชั้น อยู่ข้างกอไผ่ บ้านเก่าหรือเปล่าไม่รู้เพราะมันมืด มีแต่แสงไฟหน้ารถนี่ล่ะที่ส่องพอดี
เราคิดว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ต้องเป็นเจ้าของที่ป่าไผ่แน่เลย เพราะคงไม่มีใครมาปลูกบ้านอยู่ในดงป่าไผ่ นอกจากเป็นที่ของตัวเอง
          ชั่ววินาทีเดียวที่สังเกตุเห็นบ้านหลังนั้น ประตูหน้าบ้านก็แง้มออกมา เราก็สะดุ้งแล้วบอกแม่ว่า
          "ไฟรถเราส่องเข้าบ้านเขาแน่เลยแม่" แม่ไม่ตอบอะไร แต่แม่บอกว่ากลับรถสิ กลับรถสิ!!!
          เราก็รีบหมุนพวงมาลัย ตอนนั้นไม่ได้กลัวนะ แต่ตกใจประตูมันเปิดมากกว่า สักพัก พ่อก็ร้อง เอ้ย!!!!!!! เราก็สะดุ้งถามว่า "อะไรหรอพ๊ออ"
(เสียงสูง) พ่อก็บอกว่าประตูบ้านเปิด... เอิ่มพ่อ ประตูมันเปิดตั้งนานแล้ว... ส่ายหัวให้พ่อ 2 ที ที่ทำให้เราตกใจซ้ำสอง
          จังหวะที่หมุนพวงมาลัยเข้าเกียร์ R สายตาก็แอบมองไปที่ประตูบ้านหลังนั้น แม่สะกิดเราพร้อมพยักเผยอหน้าไปทางป่าไผ่ เราก็ชำเลืองตาม
เจอผช.ยืนมองอยู่ในดงไผ่ ยืนตัวตรงแหน่วเลย มองจ้องมาที่รถ จะว่าแอบดูไหมก็ไม่เชิงเพราะเขาก็ไม่ได้หลบ แต่ป่าไผ่มันเป็นซี่ ๆ ก็จะเห็นว่ายืนมองอยู่.....

          เราเสียวสันหลังวาบ ไม่รู้คนหรือผี ถ้าคนก็กลัวเขาจะเข้ามาทำร้าย ถ้าผีก็กลัวเขาจะมาหลอก ตอนนั้นใจมันแป้ว ตกไปอยู่ตาตุ่ม
แม่ก็บอก กลับรถสิ กลับรถสิ!!! เราก็พยายามถอยหลัง เดินหน้า ขยับหน้า ขยับหลัง เพื่อให้รถมันกลับได้ เพราะมันเป็นทางตันและถนน
ก็ไม่ได้กว้างมาก หมาที่มันนอนเงียบ ๆ อยู่เมื่อกี๊ ก็เห่าขึ้นมาพร้อมกัน บรรเลงเสียงกึกก้อง เวลาหมาเห่านี่น่ากลัว แต่หอนน่ากลัวกว่า
          เคยได้ยินกันไหมคะ หมาหอนแล้วส่งรับต่อ ๆ กันมา จนถึงหมาที่อยู่ใกล้เราที่สุดรับช่วงหอน มันวิเวกวังเวงบอกไม่ถูกจริง ๆ
ฮือ ใจลอยหายไปจากตัวไม่กลับมาแล้วค่ะ ทุกคนบนรถหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พ่อก็ไม่กล้าลงรถ แม่กับเรายิ่งแล้ว ถามกันว่าจะเอายังไงดี
ทันใดนั้น กิ่งไม้จากไหนไม่รู้ตกมาใส่หน้ารถ พวกเราก็สะดุ้ง ใจแวบนึงก็คิดว่าผช.คนนั้นอาจจะเขวี้ยงกิ่งไม้มาใส่ เพราะไฟรถเราส่องเข้าบ้านเขา
แต่มองไปในป่าไผ่ก็ไม่เจอผช.คนนั้นแล้ว พวกเราเริ่มใจคอไม่ดี คิดว่ามันแปลก ๆ เพราะเราอยู่กลางหมุ่บ้านไม่มีต้นไม้ใหญ่ที่จะให้กิ่งมันตกใส่รถ
ได้แน่นอน แม่เราก็เลยสวดมนต์ เราก็สวดแผ่เมตตา พ่อทำไรคะ นั่งดูลูกเมียบริกรรมคาถาค่ะ (ส่ายหัวให้พ่ออีกที)
          ระหว่างที่กำลังหลับตาตั้งจิตแน่วแน่สวดมนต์เพื่อขอให้สิ่งศักสิทธิ์คุ้มครอง ก็มีเสียงตุ้บมาจากกระจกข้างเรา เราก็กรี๊ด สะดุ้งตัวลอยเลย
หันไปมองกระจก มีหน้าคนมาส่องมองรถเราอยู่ เราก็มองจ้องออกไปเหมือนกัน และเขาก็จ้องเรากลับเช่นกัน ตอนนั้นในรถเงียบกลิบ หายใจถี่และแรงมาก
           คนนั้นก็เอามือเคาะกระจกรถเราอีกที เราก็เอ้อ คนนี่หน่าแม่ เลยลดกระจกลงนิดนึงให้พอได้ยินเสียงคุยกัน ป้าเขาก็ถามว่ามาทำอะไรกัน
เราก็บอกว่าขับหลงเข้ามาค่ะ กำลังจะกลับรถออกไปแล้ว ป้าเขาก็บอกว่า ตกใจเสียงหมาหอนนี่หล่ะเลยตื่นมาดู เอ้า ๆ กลับออกไปเลย อย่าขับตรงไป
แล้วป้าก็กวักมือ ทำท่าโบกรถให้ถอย แล้วเราก็หมุนตัวรถออกมาได้ ก่อนจากป้าก็บอกทางทะลุไปอีกหมู่บ้านให้เราฟัง แล้วบอกว่า
          "นี่รู้ไหม๊ บ้านตา....เขามีแต่ผีเฝ้าบ้าน บ้านหลังนั้นน่ะ ตา....แกผูกคอตายอยู่ในบ้าน ใครหลงมาแถวนี้เจอผีตา.....หลอกหมดน่ะ"
พูดจบก็หัวเราะหึหึ แล้วอวยพรให้พวกเราขับไปถึงหมู่บ้านอย่างปลอดภัย
          ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีงามสำหรับทริปอิสานนี้จริง ๆ ค่ะ

และแล้วพวกเราก็ขับมาจนถึงหมู่บ้านของแม่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านสุดท้ายของถนนเส้นนี้ ล้อมรอบไปด้วยทุ่งนาและป่าไม้ย่อม ๆ บรรยากาศดีมากค่ะ
เช้า ๆ ก็จะมีนกบินมาเกาะพุ่มไม้หน้าบ้าน ส่งเสียงร้องแข่งกัน ลมเย็นพัดมาเป็นระลอก ชาวบ้านรอใส่บาตรอยู่หน้าบ้านใครบ้านมัน

เมื่อใส่บาตรเสร็จแล้วก็ผิงไฟทำข้าวจี่กินกันหน้าบ้าน โอ๊ยฟิน... (ข้าวจี่ คือ ข้าวเหนียวปั้นแบน ๆ กลม ๆ ชุบไข่ แล้วมาปิ้ง) เราก็เอาข้าวจี่นี่แหละค่ะ
ไปตักบาตรกับพระวัดป่าแถวบ้านด้วย

หมู่บ้านแม่เราก็เล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก รวมแล้วน่าจะไม่ถึงร้อยหลังคาเรือน
ทางออกเดียวของหมู่บ้านก็คือ ทางเข้ามาหมู่บ้านนั่นแหละ แล้วบ้านแม่เราก็อยู่ปากทางเข้าหมู่บ้านพอดี ก่อนจะถึงทางเข้าหมู่บ้านก็จะเจอกับป่าช้าและวัดป่า ถึงจะเป็นหมู่บ้านสุดท้าย และทุ่งนาปิดล้อมรอบ

วันหนึ่งสาย ๆ มีเสียงโหวกเหวกแถวกลางหมู่บ้าน เราก็ตื่นเต้นวิ่งไปดู เห็นชาวบ้านล้อมบ้านหลังหนึ่งไว้ ลักษณะเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง
แบบบ้านสมัยก่อนที่เวลาขึ้นบ้านต้องเอาบันไดเก็บด้วย สมัยนี้ก็ยังมีอยู่ค่ะ บ้านนี้เป็นแบบนั้นเลย ถ้าปีนบันได้ขึ้นบ้านแล้วก็ต้องดึงบันไดเก็บเข้าบ้าน

บนบ้านมียายแก่ ๆ อายุสัก 70 นั่งอยุ่ที่ประตูบ้าน บันไดถูกเก็บไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนปีนขึ้นไป (หรือแกจะไม่ลงมาก็ไม่รู้)
รอบบ้านมีชาวบ้านตะโกนเรียกให้ยายลงมา คนเยอะมาก เราก็พยายามเขย่งดูให้เห็นว่าแถวหน้า ๆ ที่ตะโกนคุยกับยายน่ะเป็นใคร
ยายมองรอบบ้าน ไม่คุยตอบโต้ และตามองขวาง ปากเคี้ยวอะไรก็ไม่รู้ เคี้ยวไป เคี้ยวมา แล้วก็แหวะออกมา เป็นกระดูกหรืออะไรไม่ทราบ
แต่ยายคายลงมาข้างล่าง แล้วหันไปหยิบไก่ที่จะตายแหล่มิตายแหล่ จับขาไก่ห้อยหัวแล้วชูขึ้นสูง ๆ เหมือนจะเยาะเย้ยหรือโชว์ให้ชาวบ้านเห็น
ยายหัวเราะอ้าปากดัง ๆ แล้วกัดไก่เข้าที่ปีกทั้งที่ไก่ยังไม่ตายนั้นแหละ ยายกัดเข้าไปแล้วดึง ดึง ดึง ก่อนที่ปีกไก่จะหลุดคาปากของยาย
สิ้นเสียงไก่ร้องเป็นเสียงสุดท้าย ยายก็คายปีกไก่ลงพื้น ปากยายมีแต่ขนและเลือดไก่ก็ไหลเต็มผ้าถุง

ชาวบ้านที่อยู่ข้างล่างคงจะหมดความอดทนกับยาย เริ่มมีเสียงตะโกนด่าบ้าง เอาก้อนหินหรืออะไรที่หยิบได้เขวี้ยงปาใส่ยายบ้าง
แต่ยายก็ไม่มีทีท่าจะกลัว ยังคงแสดงบทบาทอย่างอื่นให้ชาวบ้านได้ดูกันต่อ

ยายลุกขึ้นถกผ้าถุงประมาณเข่า ทำท่าจะกระโดดลงมา แต่ก็มีเสียงคนตะโกนห้าม "อย่ากระโดด!!! สงสารร่างยายจัน..."
ยายก็หยุดเอาผ้าถุงลง แล้วตะโกนกลับมาว่า "ก็กรูหิว มันไม่หาอะไรให้กรูกินนานแล้ว"

ชาวบ้านคนหนึ่งที่ดูจะเป็นผู้นำก็ตะโกนกลับไปว่า "แล้วเอ็งเป็นใคร.... มาใช้ร่างยายจันหากินทำไม?"
ยายไม่ตอบแต่นั่งลงชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง เอามือดึงขนไก่ที่ติดตามขอบปาก แล้วเลียปากแผล่บ ๆ บอก "กรูหิว...กรูหิว..." แล้วหยิบไก่ตัวเดิมมากัดปีก

ระหว่างนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่ง ดูมีอายุแล้วน่าจะพอ ๆ กับยาย เดินมาพร้อมเด็กหนุ่มอีกคน ที่มือของเด็กหนุ่มคนนั้นถือถุงผ้า หรือถุงย่ามที่น่าจะใส่ของดีไว้เยอะเลย เพราะระหว่างทางที่เดินมานั้น ผู้ชายที่มีอายุก็จะควักเอาอะไรบางอย่างในถุงผ้าแล้วโปรยออกตามทางที่เดินผ่าน

จนกระทั่งเดินผ่านชาวบ้านแหวกเข้าไปหยุดหน้าบ้านของยาย เราดูแล้วยายน่าจะกลัวผู้ชายคนนี้ เพราะผู้ชายคนนี้เดินมาหยุดหน้าบ้าน
ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลย ยายบนบ้านก็ตะโกนร้องบอก "กรูไม่ไป!!! อย่ามาไล่กรู!!!" แล้วก็มีท่าทางลนลานอยู่ไม่สุข ผุดลุกผุดนั่ง
หายเข้าไปในบ้าน แล้วก็โผล่หน้ามาตรงประตู แล้วก็หายเข้าไป แล้วก็โผล่ออกมาอีก

บางทีเราก็อดขำไม่ได้ รู้สึกว่าเออ ยายคนนี้ตลกดี เดี๋ยวผลุบ เดี๋ยวโผล่ เหมือนจะเล่นจ๊ะเอ๋ แล้วโผล่ออกมาดูว่าผู้ชายแก่ ๆ คนนั้นหายไปหรือยัง

ผู้ชายแก่ ๆ คนนั้นก็ยังไม่พูดอะไร แต่ยืนหลับตา แล้วปากก็ขมุบขมิบ มือก็กำข้าวสารที่หยิบจากในถุงผ้าออกมาแล้วเป่าเพี้ยงดัง ๆ 1 ที
พร้อมทั้งปาข้าวสารขึ้นไปใส่ยายบนบ้าน (บ้านไม่ได้สูงมากนะคะ แต่ถ้าจะขึ้นบ้าน ยังไงก็ต้องเอาบันไดที่ยายเก็บหย่อนลงมาอยู่ดี)

ยายร้องโอ๊ย ดัง ๆ แล้วหันมาตาขวาง ตอนนี้ยายไม่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ แล้วค่ะ แต่มายืนกางขาประจันหน้าอยู่ที่ประตูบ้านแทนแล้ว

ผู้ชายแก่ ๆ ก็ปาข้าวสารใส่เข้าไปอีก ทีนี้ปาไม่ยั้ง ปารัว ๆ แบบ Combo Set

ยายกรีดร้องดังกว่าเดิม ไม่รู้เพราะเจ็บปวด หรือโมโห แต่เสียงกรีดร้องน่ากลัวมาก ไม่เหมือนยายอายุ 70 ที่จะมีแรงส่งเสียงได้ดังขนาดนี้
ยายกรีดร้องอีกสักระยะ แล้วก็เอามือถกผ้าถุงขึ้นมาเหนือหัวเข่า แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น!!!

ยายกระโดดจากบนบ้านลงมาข้างล่างดัง ตุ๊บ... และวิ่งจ้ำผ่านฝูงชนออกไปทางทุ่งนา วิ่งเร็วมาก ขอบอกว่าเร็วมากกกกก

จังหวะที่ยายกระโดดลงมา ยังไม่มีใครได้ตั้งตัวหรือตั้งรับทันว่ายายจะกระโดด ทุกคนอยู่ในความตะลึง รวมถึงเราด้วย
พอยายกระโดดลงมาปุ๊บ ชาวบ้านก็แหวกตัวออกอัตโนมัติ ยายก็เงยหน้าขึ้นมาแล้ววิ่งต่อเหมือนไม่เจ็บอะไรเลย
(ท่าสวยด้วยนะตอนลงมา ^^)

คราวนี้ชาวบ้านก็วิ่งตามยายไปทางทุ่งนา เด็กหนุ่ม ๆ หรือวัยรุ่นที่เป็นผู้ชายก็สปีดตัววิ่งนำหน้าไป ส่วนป้า ๆ หรืออย่างเราก็ยังยืนงงกันอยู่
ลังเลว่าจะตามไปหรือรอฟังข่าวทางนี้ดี มันทั้งน่าตื่นเต้น ทั้งกลัวผสมกันไป ตอนนั้นคิดว่าผีเข้ายายจันแน่ ๆ แล้วถ้าเราตามไป ผีมันเข้าเรา
จะทำไงหว่า?

แต่...เราก็ตามไปค่ะ ตอนนั้นพยายามมองหาญาติ ๆ หรือคนที่เรารู้จัก กะว่าจะจูงมือแล้ววิ่งไปทุ่งนาด้วยกัน แต่ไม่รู้จักใครเลย คือจริง ๆ ชาวบ้าน
เขารู้จักกันหมดแหละค่ะ แต่เรานาน ๆ ทีมา ก็จำไม่ได้ว่าใครเป็นใครบ้าง ลืมบอกว่า พ่อแม่เราออกไปตลาดที่อำเภอแต่เช้าเลยไม่ทันเหตุการณ์

เราก็วิ่งตามไปค่ะ เห็นเขาวิ่งไปทางไหนเราก็วิ่งตามไป นู้น...เห็นหลังชาวบ้านลิบ ๆ อยู่กลางทุ่งนาโน้น...

น่าแปลกนะคะที่ยายอายุขนาดนั้นจะกระโดดลงมาจากบ้านแล้วแข้งขาไม่เป็นอะไร แถมยังวิ่งต่อไปทุ่งนาได้อีกไม่มีเหน็ดเหนื่อย
เราวิ่งตามไปถึงสุดทางของท้องนา ข้าง ๆ ล้อมรอบเป็นดงไผ่ (ดงไผ่อีกแล้ว) ข้างดงไผ่เป็นคลอง ยายคงไปต่อไปไม่ได้เลยหยุดตรงนี้
แต่ยายอยู่ไหน...?

ชะเง้อมองเข้าไป ชาวบ้านล้อมรอบดงไผ่ มองลอดเข้าไปในดงไผ่ เห็นลูกตาแวบ ๆ อยู่ในนั้น ห๊ะ!!! ยายเข้าไปในดงไผ่... เข้าไปได้ยังไง...

นึกภาพออกไหมคะ ว่าดงไผ่ป่าไผ่มีแต่ต้นไผ่สูง ๆ เบียด ๆ กัน แล้วก็มีความคมของกิ่งก้านมันด้วย แต่ตอนนี้ยายเข้าไปหลบอยู่ในนั้นค่ะ
ลุงผู้ชายที่มาพร้อมเด็กหนุ่มวิ่งมาถึงไล่เลี่ยกับเราก็บอกว่า "ยิ้ม เหนื่อยหรือยัง ก รู เหนื่อยแล้วนะ..." 555 เราอดขำไม่ได้อะ
คือจะมาปราบเขาแต่ตัวเองก็แก่แล้วเหมือนกันอะเนอะ เราขำในใจนะ ไม่ได้ส่งเสียงออกมาเพราะสถานการณ์ตอนนั้นซีเรียสมาก

ยายก็ตะโกนออกมาว่า "เออ ก รู ก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน พวก ยิ้ม ตาม ก รู ไม่เลิกเลย... ก รู ไม่อยู่แล้ว..." แล้วยายก็หลับตา หลับอยู่อย่างนั้น
สัก 5 วินาทีได้ ก็ลืมตาแล้วร้อง "โอ๊ย ๆ เจ็บ ๆ กรูเข้ามาอยู่ในนี้ได้ไง เอากรูออกไปที โอ๊ยยย..." ชาวบ้านก็ช่วยกันแหวกไผ่เอายายออกมา
พอยายออกมาได้ก็ถามว่าเข้าไปได้อย่างไร ยายก็บอกไม่รู้ จำไม่ได้ ตอนนี้เจ็บเหลือเกิน ตามตัวยายมีรอยขีดข่วนของกิ่งไผ่ น่าสงสารมากค่ะ
ชาวบ้านที่แข็งแรงหน่อยก็อุ้มยายแล้วพากันเดินลัดเลาะนากลับมาบ้าน

เพื่อน ๆ คะ ถ้าใครเคยเดินไปที่ท้องนา มันจะมีเถียงนาที่เล็กมาก ๆ เดินก็เดินลำบากแล้ว แต่นี่ยายอายุขนาดนี้แล้ววิ่งเร็ว ๆ มายังเถียงนา
แล้วมุดเข้าดงไผ่ได้อีก นี่คือยอดคนจริง ๆ แต่สลับกันตอนนี้ ยายไม่มีทีท่าว่าจะเดินกลับเองได้ แถมยังอ่อนแรง พูดเสียงแหบและเบา
ตามตัวมีรอยแผล เท้ามีแต่ดินและรอยถลอก ชาวบ้านก็สลับกันอุ้มยายไปจนถึงบ้าน...

ตอนนต่อไป ด้วยความบังเอิญ ภาคต่อ

เรื่องจากพันทิป  ด้วยความบังเอิญ
เรื่องโดย  TharaJF

ไม่มีความคิดเห็น