แม่หมอ 4G
การสืบสวนสอบสวน ของแม่หมอจำเป็นจากประสบการณ์จริงของจากสมาชิกพันทิปนาม TharaJF ขอขอบคุณสมาชิกพันทิปนาม TharaJF สำหรับเรื่องราวสยองขวัญไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เห็นคลิปวิดีโอเจ้าแม่ไล่ผีแบบ 4G โอ้โห ก็ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่เรากับเพื่อนได้ร่วมชะตาเดียวกัน ชื่อนี้เพื่อน ๆ คุ้นหูกันไหมคะ
นาที่ว่าไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นชายหนุ่มชาวออสเตรเลียที่เคยมาเที่ยวที่เมืองไทย และเคยอยู่เป็นเพื่อนเราจนดึกดื่นเมื่อตอนเราไปทำ
ธุระที่ออสเตรเลีย อย่างที่เราเคยเล่าไปคร่าว ๆ ว่านาเป็นคริสเตียนและไม่เชื่อเรื่องวิญญานหรือโลกหลังความตาย จนกระทั่งนามี
ประสบการณ์ที่หาคำตอบทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ที่ประเทศไทย นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ความคิดของนาเปลี่ยนไป (ตลอดกาล...)
วันหนึ่งขณะที่เรากำลังง่วนทำงานบ้านในวันหยุดอยู่นั้น เสียงคอลไลน์ดังขึ้นระบุปลายทางเป็นหนุ่มต่างชาติที่คุ้นเคยกันดี
เรารับและทักทายกันเสร็จสรรพนาก็เข้าประเด็นโดยการเปิดกล้องหลังแล้วแพลนกล้องไปมุมต่าง ๆ ของบ้านพร้อมบอกให้
จับตาดูไว้ เราก็เพ่งมองตามโดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะให้ดูอะไร จากนั้นนาก็สลับเป็นกล้องหน้าและถามว่าเราเห็นอะไรผิด
สังเกตไหม เราถามกลับว่าต้องการให้เราดูอะไรเราไม่เห็นอะไรเลยนอกจากห้องของเธอ นาตอบว่าก็นี่แหละที่อยากให้ดู
ฉันรู้ว่าเธอมองเห็นผีได้ ช่วยดูให้หน่อยว่ามีผีอยู่ในบ้านของฉันไหม? ห๊ะ!!! ให้เรานี่นะดูผีในบ้าน บร้าไปแล้ว เราหัวเราะ
ออกมาพร้อมบอกว่าฉันไม่ใช่หมอดูหรือหมอผีนะยะที่อยู่ดี ๆ นึกอยากจะเห็นผีก็เห็น แต่ก็ไหน ๆ แล้ว เล่าให้ฟังหน่อยซิ
ว่าเกิดอะไรขึ้น (พ่ะน่ะ)
นาจึงเล่าให้ฟังว่า พักหลังมานี้เวลานอนมักจะมีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นกับตัวเขาตลอด เวลานอนเขาจะรู้สึกว่ามีมือปริศนามา
ไต่อยู่ใต้ผ้าห่ม พอเขารู้สึกตัวหรือเปิดไฟในห้องนอนความรู้สึกนั้นก็หายไป มีคืนหนึ่งขณะกำลังเคลิ้มก็รู้สึกเหมือนเดิมอีกคือ
มีมือไต่อยู่ใต้ผ้าห่มไต่ตามหน้าแข้งไล่ขึ้นมาถึงหัวเข่า นายังไม่ได้ลืมตาแต่ก็รู้สึกตัวจึงใช้มือควาญหาสวิตซ์โคมไฟข้างเตียง
ระหว่างที่มือคลำหาสวิตซ์ไฟอยู่นั้น มือก็ไปสัมผัสบร๊ะกับมือของอีกคนที่อยู่บริเวณสวิตซ์ไฟ ด้วยสัญชาตญานว่าฉันอยู่บ้าน
หลังนี้คนเดียว นาจึงรีบชักมือกลับทันทีแล้วนอนลืมตาเบิกโพลงในความมืด ตัวเกร็งหัวใจเต้นรัวถี่ดั่งเสียงกลอง เกร็งตัวไว้
นานขนาดไหนก็จำไม่ได้ในที่สุดก็ผล็อยหลับไป เช้าตื่นมาก็พยายามระลึกความทรงจำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนว่าฝัน
หรือเป็นเรื่องจริง ด้วยความที่ว่าตนเองย้ำนักย้ำหนาว่าตัวเองนับถืออะไร แต่ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะย้อนแย้งกับคำพูดเพราะ
สิ่งที่เขาพบเจอมันยังไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้ นาพยายามหลอกตัวเองว่าเขาฝันและพร่ำบอกตัวเองเสมอว่าผีไม่มีจริง
จนกระทั่งเรื่องนี้ที่นาสัมผัสกับมือปริศนาและยังหาข้อเท็จจริงของสิ่งนั้นไม่ได้ นาจึงลงทุนติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ในบ้าน
ทำให้เรานึกถึงหนังเรื่อง Paranormal Activity ที่ติดกล้องไว้รอบบ้านเพราะที่บ้านมีเหตุการณ์แปลกเกิดขึ้น นาก็ทำเช่นนั้น
เหมือนกันและเลือกติดไว้ในห้องนอนของตัวเอง ทุกเช้านาจะมานั่งดูเทปย้อนหลังในคอมพิวเตอร์ซึ่งทุกอย่างก็ราบรื่นดี
จนนาตะโกนออกมาด้วยความท้าทายว่า “คิดว่าจะแน่ ถ้ามีจริงก็อย่ากลัวกล้องสิเว้ย”
หลังจากรีเซ็ทกล้องคืนค่าให้เป็นปัจจุบันเสร็จแล้ว คืนนั้นนาได้เล่นเกมส์ (แบบที่มันใส่แว่นสามมิติ)
ระหว่างที่กำลังโยกตัวหลบคู่ต่อสู้ในเกมส์อย่างเมามันส์นั้น ตัวนาก็รู้สึกว่าหลังไปกระทบกับฝ่ามือหรือ
ฝ่ามือมาปะทะที่แผ่นหลังเองก็ไม่แน่ใจเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก นาสะดุ้งหลังแอ่นเหมือนคนตี
เข้าที่หลังอย่างจัง จึงถอดแว่นตาออกแล้วกวาดสายตามองรอบห้องและรีบเก็บอุปกรณ์เล่นเกมส์ปิดไฟ
แล้วรีบทิ้งตัวลงนอน กลางดึกค่อนคืนไม่ทันไร ก็มีฝ่ามือปริศนาปะทะกับใบหน้าอย่างจัง เปรี๊ยะ เสียงดัง
ฉาดใหญ่ทำให้นาสะดุ้งสุดตัวอีกครั้งพร้อมสั่นเลิ่กลั่กลุกขึ้นมานั่งแล้วค่อยเอามือคลำหาสวิตซ์ไฟแบบ
กล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อไฟในห้องสว่างขึ้นมาหน่อยนึง นาได้เอามือลูบไปที่แก้มที่เขารู้สึกได้ว่าโดนปะทะ
อย่างจังเมื่อสักครู่นี้ เขาลูบแก้มตัวเองพร้อมขมวดคิ้วสงสัยว่าเราโดนตบหรืออย่างไร? คิดได้ดังนั้นทำให้
นอนต่อไม่ได้จึงลุกขึ้นมาเปิดไฟรอบห้องแล้วเปิดคอมฯ เพื่อเช็คดูความเคลื่อนไหวภายในห้องนอนของ
ตนเอง กล้องอินฟาเรดสามารถจับภาพในความมืดได้ตามคุณภาพของราคาที่ซื้อมา แม้จะไม่ชัดเจนมาก
แต่ก็พอระบุได้ว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร นาไม่เห็นอะไรนอกจากตัวเองที่สะดุ้งตื่นมาด้วยฝ่ามือของตัวเองที่ฟาด
เข้าไปที่ใบหน้าตัวเองอย่างจัง อ้อ นี่สินะที่ทำให้เราเจ็บเพราะเราละเมอนี่เอง... นี่คือบทสรุปของการถูก
ตบหน้าคืนนั้น
จนกระทั่ง...
คืนหฤหรรษสำหรับชายหนุ่มผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยวแถบชานเมืองคนเดียวก็ได้บังเกิดขึ้นอีกครั้ง
เมื่อนาคิดว่าสิ่งที่ตัวเองได้สัมผัสในหลายคืนที่ผ่านมาเป็นเพียงมโนภาพและการนอนละเมอของตัวเอง
ในคืนหนึ่งตามวิถีของหนุ่มโสดที่มักพาคู่ขามานอนค้างที่บ้าน คืนนั้นก็เช่นกัน นาควงสาวผมสีบลอนด์
เข้ามาทำกิจกรรมป๊ะเท่งป๊ะแล้วสลบไสลกันอยู่บนเตียง ผ่านไปค่อนคืนรู้สึกเหมือนมีมือมายุบยิบแถวลำตัว
จะเหมือนปูไต่ที่ไต่ไล่ขึ้นมาจากฝ่าเท้าไล่ขึ้นมาจนถึงช่วงสะดือแล้วมาไต่อยู่ที่หน้าอกวนไปมา
ตัวนาเองรู้สึกตัวตั้งแต่ฝ่าเท้าแล้วเพราะเป็นคนบ้าจี้ แต่ที่ยังนอนนิ่งได้อยู่นั้นก็เพราะคู่ขาที่นอนอยู่ข้าง ๆ
นอนตะแคงหันหลังให้น่ะสิ เธอนอนหลับหันหลังไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น แล้วมือใครล่ะที่ยุบยิบอยู่ใต้ผ้าห่มตรงนี้?
นั่นจึงทำให้นาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเพราะถึงแม้ตัวเองจะจั๊กจี้ขนาดไหนแต่ก็สู้ความกลัวที่สัมผัสจัง ๆ ตอนนี้ไม่ได้
นาพยายามนอนหายใจให้ช้าและเบาที่สุดเพื่อรวบรวมสติที่ตอนนี้จะไม่ค่อยมีเท่าไหร่ นอนนิ่ง เงียบ หายใจให้ช้าและเบาที่สุด
เพราะไม่อยากให้มือที่ว่ารู้ตัวว่าเขารู้สึกตัวแล้ว จังหวะเดียวกันกับที่สาวผมบลอนด์คนนั้นพลิกลำตัวตะแคงหันหน้ากลับมา
นาพยายามส่งซิกโดยการใช้มือตัวเองที่วางพาดอยู่ข้างลำตัวนอกผ้าห่มสะกิดไปที่แขนของเธอเบา ๆ สะกิดแล้วสะกิดเล่า
เธอก็หาตื่นไม่ แหมช่างขี้เซาเสียจริงแม่สาวน้อย… นาได้แต่นอนสงบนิ่งอยู่แบบนั้น จนนาตัดสินใจกลั้นใจตัวเองเอาไงก็ลองดู
จะเปิดผ้าห่มซะเดี๋ยวนี้ให้มันรู้แล้วรู้แรด เอ้ย รอด จะดูให้เห็นกับตาว่าอะไรกันแน่ที่มันดุ๊กดิ๊กอยู่ เอาวะ นับหนึ่ง สอง สาม ฮึบ!!!
สะบัดผ้าห่มออก พรึ่บ!!! …...ว่างเปล่า...... มีแต่ลำตัวที่ว่างเปล่ากับบ๊อกเซอร์หนึ่งตัว นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรน่าอภิรมย์
แรงลมจากการสะบัดผ้าห่มออกจากตัวด้วยความเร็วนั้นพอทำให้แม่สาวน้อยรู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง เธอหรี่ตามองดูนาแล้วถามว่า
ทำอะไรน่ะ? นาไม่ได้ตอบอะไรแค่ห่มผ้าแล้วนอนต่อ
เช้าต่อมาหลังจากสาวผมบลอนด์กลับบ้านไปแล้ว นาได้ดูภาพจากกล้องที่บันทึกไว้เมื่อคืน โดยคราวนี้มีเพื่อนสนิทของนา
มานั่งดูด้วย นาเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็อยากจะพิสูจน์ขอดูเหตุการณ์ในกล้องเมื่อคืนหน่อยซิว่าเกิดอะไรขึ้น นาข้ามช็อต
กิจกรรมเข้าจังหวะไปจนถึงช่วงเวลาของการพักผ่อนอย่างจริงจัง เหตุการณ์ทุกอย่างดูสงบนิ่ง กล้องจับภาพการนอนพลิกตัวไปมา
ของคู่หนุ่มสาวบนเตียง ซึ่งก็ไม่มีอะไรที่ผิดแผกแปลกไป จนมาถึงช็อตที่นาบอกให้เพื่อนจับตาดู เหตุการณ์ทุกอย่างปกติจนกระทั่ง
กล้องจับภาพให้เห็นนาที่อยู่ ๆ ก็สะบัดผ้าห่มออกจากตัวเอง แล้วเหตุการณ์ก็ดำเนินต่อจนถึงการดึงผ้าห่มกลับแล้วนอนหลับอีกครั้ง
จนถึงเช้า พวกเขาย้อนดูวิดีโอเหล่านี้เป็นสิบรอบก็ไม่เจออะไรที่น่าสงสัย เพื่อนจึงบอกว่าเป็นที่ตัวนาเองหรือเปล่าที่หลอนไปเอง
นายืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้คิดไปเองแต่มีมือใครก็ไม่รู้มาโดนตัวเขาตลอดเวลา และนั่นจึงเป็นที่มาของการโทร
หาเราและแพลนกล้องไปรอบบ้านเพื่อให้เราหาผีนั่นเอง!!!
เราไม่ใช่คนมีญาณทิพย์ที่จะสัมผัสหรือเห็นผีได้ตามต้องการ มันจะเห็นมันก็เห็นเองน่ะเข้าใจบ้างไหม
นาคะยั้นคะยอให้เราค่อย ๆ มองให้ละเอียด แต่คนมันไม่เห็นก็คือไม่เห็น ไม่รู้จะบอกมัน เอ้ย นายังไง
ให้เข้าใจ แต่เพื่อความสบายใจเราจึงยอมสวมบทบาทเป็นหมอผี ฮี่ ๆ ๆ ก็ทำเป็นบทบาทสมมติไปงั้น
แหละค่ะเพื่อให้นาสบายใจและคลายกังวล แต่จริง ๆ แล้วเราก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยนะ เราก็แค่
ถามประวัติของบ้านหลังนี้ (ตามสูตร) นานั้นซื้อเป็นบ้านมือสองต่อจากเอเจ้นท์ เอเจ้นท์ก็บอกเจ้าของ
คนเก่าเป็นคู่รักที่เพิ่งแต่งงานกันและย้ายออกไปเพื่อหาบ้านที่หลังใหญ่กว่าเดิม ไม่มีประวัติโหดร้าย
เหมือนบ้านในหนังสยองขวัญเลยแม้แต่นิดเดียว เราก็ทำเนียนว่าบ้านมือสองมักจะมีประวัตินะ
บางทีเอเจ้นท์อาจไม่ได้บอกเราหมดเพราะเขาต้องการขายบ้านก็ได้ ลองไปดูหลังบ้านหรือดินรอบบ้าน
สิว่าพื้นดินบริเวณไหนที่ไม่สม่ำเสมอเหมือนตรงอื่น ให้คิดไว้ได้เลยว่าอาจจจะมีอะไรถูกฝังไว้ใต้นั้น
นี่เรามโนเองนะคะ คือเราบอกไปแล้วว่าเราไม่สามารถเห็นผีได้หรอก นาก็ตื้อเรา คือมันยัดเยียดให้เรา
เป็นหมอผีให้ได้ เราก็เลยเลยตามเลยซะเลย นาก็เชื่อเป็นตุเป็นตะเจ้าค่ะ วิ่งออกไปดูพื้นดินรอบบ้าน
(อยากจะเอารูปบ้านให้ดูจังเลย ไว้ขอเบลอก่อน) วิ่งไปเหมือนไลฟ์สดเลย เอากล้องแพลนไปตามพื้นดิน
รอบบ้านเริ่มตั้งแต่หน้าบ้าน ข้างบ้านยันไปหลังบ้าน ซึ่งค่อนข้างมีพื้นที่พอสมควร แล้วในที่สุดก็เจอ
กล้องที่แพลนไปบริเวณสนามหญ้าหลังบ้านจุดหนึ่งชี้ให้เห็นว่าจุดนั้นพื้นดินไม่เรียบเหมือนบริเวณอื่น
จะว่าเป็นเนินนูนขึ้นมา ซึ่งต่างไปจากพื้นดินบริเวณโดยรอบใกล้เคียงที่แบนเรียบ นาถามตรงนี้หรือเปล่า
เราก็เออออตามไป นาบอกรอเดี๋ยวจะไปหาไม้มาขุด เราก็หืม? ขุดเดี๋ยวนี้เลยหรอ แต่พูดยังไม่ทันขาดคำ
นาก็ตั้งโทรศัพท์ไว้กับพื้นดินเอาหินมาพิงหลังโทรศัพท์ไว้แล้ววิ่งเข้าไปในบ้านแล้ววิ่งกลับออกมาพร้อมพลั่ว
นาวิ่งมาถึงก็เล็งไปที่พื้นดินแล้วขุดจ้วง จ้วง จ้วง เรานึกในใจ เอ นี่เราก็พูดไปลม ๆ แล้ง ๆ หาได้อิงความจริงไม่
แต่นากลับเชื่อสนิทใจตามคำบอกของเรา และตอนนี้นาก็ดูจริงจังมากเสียด้วย หากเราบอกว่าโกหกหรืออำเล่น
นาคงจะโกรธน่าดู เราจึงได้แต่มองดินที่นากำลังขุดต่อไปโดยไม่ปริปากสักคำ ระดับของกล้องที่วางไว้อยู่ระดับ
เดียวกันกับพื้นดินที่นากำลังขุดซึ่งเป็นระดับสายตาของเราพอดี นาขุดลงไปได้ไม่ลึกเท่าไหร่เพราะเหมือนเป็นดิน
ที่นำมาโปะทับหน้าดินเดิมเฉย ๆ ไม่นานนักนาก็หยุดมองดูดินที่เป็นหลุมโปร่งเป็นโพรงก่อนจะนั่งลงคุกเข่าแล้วมอง
จ้องเข้าไปแล้วลุกขึ้นเอื้อมมือมาหยิบโทรศัพท์ก่อนจะขอวางสายไป จากนั้นเราก็พยายามติดต่อกลับแต่นาไม่รับสาย
และส่งข้อความกลับมาว่าเจอแล้ว แต่เดี๋ยวรอตำรวจก่อนเสร็จธุระจะโทรกลับ!
นี่ยิ่งทำให้เราฉงนมากกว่าเดิมว่านาขุดดินแล้วเจออะไร เราเฝ้ารอเวลาผ่านไปรอแล้วรอเล่าจนในที่สุด
นาก็ติดต่อกลับมาเป็นวิดีโอคอล นาพาเราไปดูบริเวณหลังบ้านที่ขุดดินเป็นโพรงไว้ เปิดกล้องหลังเพื่อ
ให้เราเห็นอย่างชัดเจนซึ่งเป็นหลุมที่ไม่ลึกมากนัก นาบอกว่าขุดเจอแหวน แต่แหวนที่ว่ามันยังคาอยู่บนนิ้ว
ที่เน่าเปื่อยจนเลาะเห็นกระดูกชัดเจนและมั่นใจว่าที่เห็นต้องเป็นนิ้วคนแน่ จึงโทรแจ้งตำรวจและสันนิษฐาน
ว่าน่าจะถูกฝังไว้ไม่นานเพราะเนื้อยังยุ่ยออกไปไม่หมด และกำลังรอเรียกเอเจ้นท์ขายบ้านมาสอบปากคำเพิ่มเติม
ส่วนนาไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเพราะเขามีหลักฐานระยะเวลาสัญญาเช่าซื้อบ้านอย่างชัดเจน แต่ที่เป็นประเด็นก็คือ
ตำรวจถามว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เขามาขุดดินที่อยู่หลังบ้านตรงนี้ นาไม่กล้าตอบความจริงว่าเราเป็นคนบอกให้ขุด
(ซึ่งเราบอกมั่วค่ะ 55) ก็หาข้ออ้างอย่างอื่นแจ้งตำรวจไป
… เอเจ้นท์มารับช่วงขายบ้าน โดยที่เอเจ้นท์ไม่ได้ระแคะระคายกับมือของภรรยาที่ผ่านการพันแผลทั้งข้อมือ
เพราะสามีก็ดูประคบประหงมภรรยาทุกย่างก้าวในขณะที่มีการทำสัญญาหรือพาชมบ้าน ผ่านการให้ปากคำของ
เอเจ้นท์ก็เป็นการสืบสวนของตำรวจที่ติดตามหาคู่สามีภรรยามาสอบปากคำ ต้นเหตุที่นิ้วนางของภรรยาขาดนั้น
สามียอมรับว่าเขาเป็นต้นเหตุแต่เขาไม่ได้เป็นคนทำ ภรรยาประชดเขาเองที่จับได้ว่าตัวเองมีชู้ เธอขู่จะตัดนิ้วนาง
ที่สวมแหวนแต่งงานหากเขาไม่เลิกกับผู้หญิงคนอื่น เขาก็ไม่ได้ระแวงว่าเธอจะทำและเธอก็ได้ลงมือทำมันจริง
ขณะที่เกิดเหตุพวกเขาอยู่คนละที่ เมื่อมาถึงบ้านสามียื้อยุดภรรยาเพื่อจะพาไปหาหมอและถามหานิ้วที่ตัดออกไป
ว่าอยู่ที่ไหน ภรรยาบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ บอกแค่ว่าเธอทำลายนิ้วกับแหวนไปแล้วและไม่ขอที่จะต่อนิ้วกลับคืนด้วย
และทำให้ได้รับทราบเหตุอันน่าเศร้าใจหลังจากทั้งคู่ประกาศขายบ้านและย้ายออกไปไม่นาน ภรรยาก็ได้เสียชีวิต
ด้วยการอัตวินิบาตกรรม โดยตำรวจไม่ได้เปิดเผยข้อมูลให้ฟังต่อว่าคดีจะเป็นเช่นไร เพราะคดีที่บ้านก็คือการพบ
นิ้วคนถูกฝังไว้หลังบ้าน แต่ก็มีหลักฐานชี้ชัดว่าไม่ได้เกิดจากการฆาตกรรมหรือเสียชีวิตลงที่บ้านหลังนี้...
เฮ้อ... เรื่องก็เป็นเช่นนี้เองค่ะ บางครั้งความบังเอิญก็เกิดขึ้นได้เสมอในชีวิตของคนเรา บางครั้งความคาดหวังของคน
ที่หมดหนทางก็ย่อมหูเบาเชื่อคนง่ายเสมอ อาจจะเจอทั้งคนที่ดีและเต็มใจช่วยเหลืออย่างจริงจัง หรืออาจจะเจอคน
แบบเราที่เป็นมิจฉาชีพโกหกเพื่อนทั้งที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษใด ๆ เลย แต่มันดันเป็นเรื่องบังเอิญที่เป็นเรื่องจริง
และทำให้เค้าปักใจเชื่อว่าเราสามารถช่วยเหลือเขาได้จริง
บัดนี้ ชื่อเสียงของเราเป็นที่กล่าวถึงแก่เพื่อนฝูงของนาเป็นที่เรียบร้อย กิตติศัพท์เลื่องลือระบือไปไกลถึงต่างแดน
ว่าเรานี่แหละมีตาทิพย์ ศรัทธาและความเชื่อใจที่เรามอบให้เขาได้บังเกิดขึ้นแล้ว จากนี้ไป ไม่ว่าเราจะพูดเอื้อนเอ่ย
อะไรเขาย่อมเชื่อเราได้ง่ายอย่างไม่มีข้อสงสัย เอวัง ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องจากพันทิป แม่หมอ 4G
เรื่องโดย TharaJF
Post a Comment