สัญญาจากคลอง


     เรื่องสั้นสยองขวัญประพันธ์โดยสมาชิกพันทิป Furryjit นักประพันธ์นวนิยายสยองแห่งพันทิป กับเรื่อง "สัญญาจากคลอง" ที่จะออกแนวหวานสยองขวัญ  ขอขอบคุณสมาชิกพันทิป Furryjit สำหรับเรื่องสยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ต้นกล้าอกหัก ช้ำรักจากแฟนสาวที่คบซ้อน อยู่ดีๆสาวเจ้าก็แจกการ์ดประกาศแต่งงานกับผู้ชายอีกคนที่ไม่รู้ว่าไปรักกันนมนานตั้งแต่เมื่อไหร่

เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ชายหนุ่มต้องลาพักร้อนหนีหน้า แน่ล่ะ ทุกคนเข้าข้างเห็นใจไก่อ่อนอย่างเขาทั้งนั้นที่ไปหลงรักผู้หญิงผิดคน แต่ความสงสารมันตามมากับความสมเพชที่ชายหนุ่มเคยไปทุ่มเทอย่างไม่ลืมหูลืมตาด้วย

ถ้ายังอยู่กับสังคมแบบเดิม ต้นกล้าต้องทนตอบคำถามที่ตัวเขาเองก็หยั่งรู้ไม่ถึง ว่าทำไมอีกฝ่ายเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน  ชายหนุ่มเติบโตมากับวิถีชีวิตที่มุ่งมั่น ไฝ่เรียน จริงจัง เพียรพยายามจนมาถึงจุดที่ได้ทำงานในบริษัทที่มั่นคงแห่งหนึ่ง

และได้มาพบกับสาวหน้าใส หุ่นแน่นสมส่วน ที่ควรจะเป็นก็เป็นไปตามจินตนาการของผู้ชายทั้งหลาย

เขาคิดเอาเองอย่างซื่อๆว่า ได้มาพบรักแรกและรักสุดท้ายในชีวิตเข้าแล้ว เมื่อผู้หญิงคนนั้นมาติดต่อ ให้ไปดูคอมพิวเตอร์ในแผนกที่หล่อนใช้งานอยู่ซี่งใช้งานมีปัญหา ท่าทีนั้นปฎิบัติต่อเขาดุจดังเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

ความรักของเขาแตกหน่อ ผลิใบออกตอนนั้น เริ่มต้นจากการแลกเปลี่ยนชื่อและเบอร์โทรศัพท์  นัดไปกินอาหารง่ายๆใกล้ที่ทำงาน จนกระทั่งดินเนอร์สุดหรูสองต่อสองหลังตกลงปลงใจเป็นแฟนกัน

ต้นกล้าเป็นชายหนุ่มที่ไร้มารยาและกลเม็ดเด็ดพรายทั้งปวง เมื่อคิดว่ารักก็รัก ถ้าหากรักนั้นต้องการอะไรอีก เขาก็แสวงหาให้ได้

จวบจนเมื่อจีบติดได้ขึ้นใช้สรรพนามว่าแฟนกับผู้หญิงคนนั้นได้ ต้นกล้าก็ถวายเงินเดือนเกือบจะทั้งหมดเพื่อสนองคำว่ารักแท้ แม้กระทั่งผ่อนรถยนต์ให้เธอใช้เพื่อความสะดวก

สังคมรอบข้างก็ล้วนแล้วแต่ฉาบฉวยด้วยมายา หลายคนรู้เช่นเห็นชาติฝ่ายหญิงดี. แต่เก็บงำไว้ไม่พูด ไม่เตือน ต่อหน้าทำเป็นยกยอส่งเสริมว่าเขาและเธอช่างเหมาะสมกันโดยแท้ แต่ในใจเฝ้ารอดูความพังพินาศของชีวิตชายหนุ่ม เนื่องด้วยอิจฉาในฐานะการงานที่มาแรงเหลือเกิน

ตรงหน้ากระจกในห้องโรงแรมชายทะเล ต้นกล้าไม่อยากสบตากับคนหน้าเศร้าในภาพสะท้อนเพราะเขาไม่อยากมองหน้าคนโง่เง่าเต่าตุ่นให้ระคายใจ

เขาแค่ตรวจตราความเรียบร้อยของเสื้อผ้าที่นุ่งใส่เท่านั้น ไม่อยากกลัดกระดุมผิดเม็ดหรือ
ลืมรูดซิปกางเกงให้เป็นที่อับอายต่อธารกำนัลอีก

เขาเดินออกไปตรงระเบียงห้องพักชั้นที่สี่ มองไปทางชายหาดด้วยอารมณ์ว่างเปล่า ไม่ได้มีกะจิตกะใจชื่นชมธรรมชาติใดๆทั้งสิ้น

แต่วันนี้ลมแรง ซู่ซ่า ทิวยอดไม้ที่ปลูกรอบๆโรงแรมปลิวลู่ลม พยับเมฆฝนลอยคล้อยมาแต่ไกล  พายุฝนกำลังเข้านั้นเป็นสาเหตุว่าทำไม่หาดทรายขาวเกลี้ยงนั้นจึงรกร้างปราศจากผู้คนในเวลานั้น

จะว่าไร้ผู้คนโดยสิ้นเชิงเลยก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะเมื่อเบนสายตาไปยังช่วงชายหาดแคบๆจากเหล่าต้นไม้ที่ขึ้นถัดมาจากชายฝั่งเพียงเล็กน้อย จากจุดสูงของชั้นที่อยู่ ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งเล่นบนโขดหินที่เยื้องลงไปในทะเลเพียงลำพัง

ต้นกล้าอาจจะมองผ่านไปโดยไม่สนใจเลยก็ได้ ถ้าหากว่าผ้าพันคอของเธอไม่เผอิญปลิวหลุดละลิ่วมาติดยอดเรือน ของบรรดาพันธุ์ไม้ที่ขึ้นชายฝั่ง ซึ่งล้วนแล้วแต่มีลำต้นคดงอด้วยแรงลมทะเลดัดยอดจรดโคน

ดูเหมือนเธอไม่สนใจแม้แต่จะเหลือบมอง ต้นกล้ามองเห็นตำแหน่งกิ่งไม้ที่ผ้าพันคอถูกลมพัดมาติด แต่เมื่อขยับสายตามองไปที่หินใหญ่ก้อนเรียบนั้นอีกครั้ง ร่างของผู้หญิงคนนั้นก็หายไป

“เธอคงกำลังตามหาผ้าพันคอผืนนี้อยู่ “ต้นกล้าคิดในใจ ขณะจะหันหลังหนีไม่อยากเก็บมาใส่สมองให้วุ่นวาย แต่อยู่ความคิดผิดชอบชั่วดีก็กระตุ้นเขาให้เดินออกจากห้องลงลิฟต์

“เอาเถอะ เราไม่รู้หรอกว่าของธรรมดาในสายตาเราอาจมีค่าในความรู้สึกคนอื่นมากแค่ไหน” ต้นกล้าบอกตัวเองมาตลอดทาง ลืมเรื่องหม่นหมองของตัวเองไปชั่วขณะ และเมื่อเขาออกมาภายนอกอาคาร สายลมทะเลยามชิงพลบก็ปะทะตัวจนสั่นสะท้าน

ชายหนุ่มห่อตัวสั่นเล็กน้อยเพราะยังไม่ชิน แต่ก็เห็นผ้าผืนนั้นเกี่ยวกิ่งไม้อยู่ไม่ไกล เขาเอื้อมมือไปเก็บมาอย่างง่ายดาย พอสัมผัสเนื้อผ้าก็รู้สึกว่าเหมือนกับเป็นวัตถุทอด้วยใยไหมผืนบางๆ

บรรยากาศยามโพล้เพล้ประกอบด้วยสายลมที่พัดแรง แม้กระทั่งต้นมะพร้าวสูงริมทะเลก็ยังไหวเอนในวันนี้ ราวกับพายุฝนจะเข้า

ต้นกล้ามองหาเจ้าของผ้าพันคอ เขาเดินพ้นต้นไม้ยอดติดกันเป็นแถวทิวออกไปยังหาดเสี้ยวรูปพระจันทร์โล่งตัดกับน้ำทะเลสีครามแต่ไม่พบเห็นผู้ใด แสงสุริยาหมดไปแล้ว ความมืดมะงุมมะงาหราเริ่มตกมาปกคลุมแทน

โขดหินใหญ่ชะโงกยื่นออกไปทางทะเลนั้นว่างเปล่า พื้นผิวที่ราบเรียบนั้นน่านั่งพักผ่อนชมทะเลเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มละล้าละลังอยู่พักหนึ่งพลางมองทะเลสีมรกตที่ระยิบระยับก่อนตัดสินใจหันหลังกลับ ในมือยังกำผ้าพันคอผืนนั้นตั้งใจเอาไปฝากหน้าเคาน์เตอร์โรงแรมให้เจ้าของมาตามหาเอาเอง

“ผ้าพันคอของฉันเอง ขอบคุณนะคะที่หยิบมาคืนให้” เสียงเย็นๆของสตรีผู้หนึ่งกล่าวขึ้น จากหางตาของชายหนุ่ม อยู่ดีๆเธอก็เดินออกมาจากมุมมืดที่แสงหมดไปแล้วตอนไหนก็ไม่รู้

ร่างของเธอเยื้องกรายออกมา บรรยายได้อย่างเดียวว่าสง่างามราวกับนางพญา ทั้งทรวดทรงและหน้าตา ที่โดดเด่นเกินหน้าเกินตาผู้หญิงคนไหน ปาก คอ จมูก คิ้ว คาง ล้วนใช่หมด จนต้นเกล้ายืนตะลึงมอง

“ผ้าพันคอคุณ “ ต้นกล้าทวนคำ คล้ายสติล่องลอยไปชั่วครู่  ยื่นผ้าพันคอให้

สตรีคนนั้นชม้อยนัยน์ตา ยืนบิดเอว องค์ ที่ล้วนแล้วแต่ยั่วยวนจนบรุษเพศล้วนเกิดกำหนัด แต่ต้นกล้าไม่มีอาการ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ใช่ชายแท้ แต่เขาคือสุภาพบุรุษ

คำว่าลูกผู้ชายไม่ได้หมายว่า ต้องถ่อย ต้องทำตัวเท่ห์ในวิธีการต่างๆที่มันไม่ถูกต้อง ลูกผู้ชายในแบบต้นกล้าคือเด็กชายที่ต้องเดินเข้าไปกอดผู้หญิงสองคนก่อนนอนทุกคืน

คนแรกนั้นคือคุณย่า และคนที่สองคือแม่ ต้นกล้าทำมาเป็นกิจวัตรจนกระทั่งคุณย่านั้นเสียไป

แต่แล้วกริยายั่วยวนทั้งหมดก็สะดุดหยุดลงเมื่อสายตาสตรีนางนั้นมองข้ามหัวไหล่ชายหนุ่มไปข้างหลัง

สตรีนางนั้นแสดงอาการตระหนกออกมาอย่างชัดเจน กล่าวเสียงสั่นๆว่า “เอาล่ะคุณเป็นคนดี อำนาจบารมีคุณสูงเกิน วิญญาณชั้นต่ำ อย่างฉันขอยอมแพ้ ตอนแรกตั้งใจจะหลอกลงทะเลจับกดน้ำเสียให้ตาย แต่ดูท่าฉันจะถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แถวนี้ทำลายเสียก่อน

แม่นางถึงกับมาคอยคุ้มกันให้ ฉันจะทำอะไรได้  ไปดีกว่า เสียเวลาแท้ๆ หลอกล่อให้ผู้ชายมาตายหลายศพ ไม่เคยลำบากเท่านี้ เป็นโหงพรายอยู่แถวนี้เพิ่งเคยเจอ”

ต้นกล้าขนลุกซู่  ผู้หญิงคนนั้นหันมาค้อนควัก โบกมือไล่ สายตาส่องประกาย แต่กลับมองไปข้างหลังต้นกล้าอย่างหวาดๆ

“ไปๆสะ คนอะไรเกราะแก้วเพชรคุ้มกันขนาดนี้ ใครจะมาทำอะไรคุณได้” พูดจบคุณเธอก็เดินหายวับ คำว่าหายวับหมายความตรงตัวว่าร่างกายสลายหายไปจากสายตาแบบดื้อๆ ไม่ใช่ว่าเดินไปพ้นจนลับมองไม่เห็น

ชายหนุ่มยืนตะลึงอยู่ตรงนั้นสักครู่ พอรู้สึกตัวก็สยิวกายหนาวเหน็บไปทั้งตัวเมื่อเข้าใจดีแล้วว่าเพิ่งเจออะไรมาจังๆ

สิ่งที่ตอกย้ำว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อครู่ไม่ไช่เลอะเลือนไปเองคือผ้าผืนนั้น ได้กลายเป็นกาบมะพร้าวแห้งคล้ำในมือ ต้นกล้าโยนทิ้งไปไกลตัวทันทีที่เรียกสติกลับคืนมาได้ มองไปรอบๆตัวอย่างผวา

 ชายหนุ่มไม่คิดจะอยู่ในบริเวณนั้นต่อไปแม้อีกวินาทีเดียว คือไม่ได้กลัวถึงขั้นขึ้นสมอง  แต่เมื่อรู้ชัดแล้วว่าแถวนี้มีอะไรอยู่ จะทนถูกหลอกหลอนให้เสียกำลังขวัญทำไม แค่หนีอาการอกร้าวรานมาพักก็จะแย่อยู่แล้ว

มีเสียงกระแอมดังมาจากไม่ไกล ต้นกล้าแทบไม่อยากหันไปมองตามเพราะไม่รู้จะเจออะไรอีก ตั้งใจจะรีบไปให้พ้นๆจากบริเวณนั้น แต่แล้วก็มีกระแสเสียงไพเราะขัดขึ้น

“ถูกพรายแถวนี้หลอกจนขวัญหนีเลยหรือ น่าสารจริง กำลังอกหักรักคุดมาด้วย”

ชายหนุ่มชะงักเท้า เปลี่ยนใจ น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความเห็นใจแต่ก็เหมือนกับเหยาะอยู่น้อยๆในที ไม่ว่าจะเป็น ภูตผีปีศาจใดต้นกล้ารู้สึกขุ่นๆในอารมณ์จนลืมกล้วอยากเจอหน้ากันสักตั้ง

หันหน้าขวับไป ภายใต้แสงสลัวเลือนลาง หญิงสาวคนหนึ่งในชุดสีขาวแขนกุดกระโปรงยาวรัดรูปกร่อมเท้า ผิวพรรณนวล เปล่งพราวแม้อยู่ในความมืด ส่วนหน้าตานั้นมองเห็นว่าได้รูปเรียวเล็กถูกบดบังส่วนหนึ่งด้วยเรือนผมที่ดำดกหนา ปล่อยปลายสลวยตกลงเคลียต้นแขนทำให้มองเห็นองคาพยพบนใบหน้าไม่ชัด

สตรีนางนั้นยกท่อนแขนเรียวสวยขึ้นเกาะต้นมะพร้าวอย่างสบายๆ ท่าทีผ่อนคลายอารมณ์เหมือนไม่ได้ใส่ใจใยดีอะไรเป็นพิเศษ

ต้นกล้าปลุกปลอบใจพูด ตอนนั้นเริ่มรำคาญมากกว่ากลัวแล้ว

“คุณเป็นใคร หรือเป็น “อะไร”  คุณออกมาหลอกผมซ้ำแบบวิญญาณผู้หญิงตนเมื่อกี้หรือ ช่วงดวงตกนี่ผมถึงขนาดจะผีโดนหลอกติดๆกันเลยหรือนี้”

พูดจบชายหนุ่มรู้ตัวว่าผิดอย่างมหันต์ ลมโบยโบกจากทะเลพัดเอาเส้นผมดำสีขนนกกาน้ำสยายออก ทำให้ใบหน้างามดุจภาพวาดในวรรณคดีนั้นแย้มขึ้นมาต้องแสงชิงพลบ หญิงสาวเสยผมยาวลงไปปรกหลังอย่างไม่ตั้งใจ

ชายหนุ่มมองตาค้างในท่าทางที่งดงามนั้น แต่พอรู้สึกตัวก็รีบปรับปรุงกริยาให้เป็นปกติ  เสียงใสๆราวกับระฆังกล่าวขึ้นอีก คราวนี้มีเหน็บเล็กน้อย

“เป็นไงค่ะ พอมองหน้าฉันเต็มตาแล้วตกใจที่โดนหลอกมากจนลืมหายใจเลยหรือเปล่า”

ต้นกล้าเหมือนมีอะไรมาจุกในลำคอ แต่ก็ฝืนตอบไปด้วยวิสัยคนซื่อ ปากกับใจตรงกัน

“ต้องขออภัยที่เสียมารยาทจ้องหน้าคุณ คุณเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ผมลืมตัวไป”

ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นแววตาคล้ายกับเนตร์หงส์คู่นั้น ฉายแววเห่งความพึงพอใจขึ้นวูบหนึ่ง แต่ก็ยังไม่วายแขวะซ้ำ

“แหมเพิ่งอกหักมามาดๆ มาชมผู้หญิงคนอื่นว่าสวยเสียแล้ว”

ต้นกล้าสะดุ้ง คนอย่างเขาไม่ชอบพูดปด จึงพูดโพล่งออกมาได้โดยไม่ต้องผ่านกลั่นกรอง ตลบแตลงใดๆ

“ผมว่าคุณสวยเพราะคุณสวยจริงครับ ส่วนคุณจะเป็นคนหรืออะไรผมไม่รู้ เอาเป็นว่าผมมองว่าคุณสวยแล้วกัน และการที่ผมชมคุณสวยไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องมีจิตปฏิพัทธ์อะไรกับคุณ ผมพูดในสิ่งที่ผมเห็นเท่านั้น”

ดวงตาหวานคมนั้นจับอยู่ที่ต้นกล้าแสดงออกว่าตั้งใจฟังเขาพูดทุกคำ แต่ชายหนุ่มกลับตะครั่นตะครอตัวอย่างไรบอกไม่ถูก

“ เอาล่ะ ผมคงไม่ถามว่าคุณรู้เรื่องราวของผมได้ยังไง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคุณนั้นพิเศษและเหนือธรรมชาติอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นที่แน่นอน เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจมาหลอกผมอย่างวิญญาณเมื่อครู่ คุณมาปรากฎตัวให้ผมเห็นทำไม “

ระหว่างที่เขาพูด ต้นกล้าก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องหลบสายตาของหญิงสาวตลอด ใช่ว่าตาคู่นั้นจะดุดันน่าเกรงกลัวก็หาไม่ แต่มันทำให้ชายหนุ่มใจแกว่งๆพิกล

แถมยังมีรอยยิ้มที่เผยอให้เห็นฟันขาวเรียงรายราวกับใช่มุกสว่างขึ้นในความมืด ทำให้หัวใจชายหนุ่มหวิววาบ

“ฉันคงหลอกคุณไม่ได้หรอกค่ะ เพราะข้อแรก ฉันไม่ใช่สิ่งที่คุณเรียกว่า “ผี” แต่ฉันอาจทำให้มนุษย์ตกใจกลัวได้ถ้าปรากฎให้เห็นในอีกร่างหนึ่ง”

พอได้ยินแล้วชายหนุ่มรู้สึกเสียวสันหลัง ไม่อยากจินตนาการต่อ เขาพูดตัดบทว่า

“คุณมีปัญหาอะไรกับผมหรือเปล่า ผมไปลบหลู่สถานที่ หรือทำอะไรให้คุณไม่พอใจ ผมต้องขอโทษด้วย จะให้ทำพิธีขอขมาอย่างเป็นทางการก็ได้แต่คงต้องเป็นวันรุ่งขึ้น”

หญิงสาวคนนั้นยิ้มพรายแบบมีความนัย

“คุณได้ทำพิธีแน่ค่ะ แต่ไม่ใช่พิธีขอขมา “

ชายหนุ่มรู้สึกว่าถามไปถามมาเช่นนี้ รังแต่จะเสียเวลาหรือมโนภาพไปคนละทาง สู้ถามไปตรงๆอย่างเด็ดขาดจะได้รู้เรื่อง เป็นไงก็เป็นกัน

ต้นกล้าสูดลมหายใจลึกๆ นึกถึงบุญคุณของยายที่วายชีพไปแล้ว และแม่ที่ยังอยู่ แทบกลั้นใจก่อนถาม

“คุณจะมาเอาชีวิตผมไปใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ” เสียงหวานก็จริงแต่ตอบเฉียบขาด ชายหนุ่มร่างสะท้าน แต่อาการหัวเราะที่ตามมาไม่ได้ทำให้รู้สึกน่าพรั่นกลัวอย่างที่คาดหวังไว้

“ก็คุณเคยสัญญาเองว่าจะมอบชีวิตให้กับฉัน” สาวสวยพูดอย่างเป็นเรื่องปกติธรรมดา. ต้นกล้ายิ่งมึนงงหนักขึ้น ยิ่งเค้นเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

“ผมสัญญากับคุณ อย่าบอกนะว่าชาติที่แล้วแบบในละคร ผมคงระลึกชาติไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มไพล่ไปนึกถึงละครแนวข้ามชาติ ข้ามภพ

ตาของหญิงสาวเริ่มสีเขียวเรืองคล้ายมรกต หรืออาจจะเป็นเพราะว่าตาฝาดไปเองในระยะมองเห็น

“ชาตินี้แหละค่ะ แต่คุณจำไม่ได้ มนุษย์มีขีดจำกัด ฉันไม่ถือสาคุณหรอก และจะช่วยให้คุณจำได้”

นัยน์ตาสีเขียวนั้นเข้มจัดขึ้นอีก ต้นกล้าถูกสะกดให้มองประสานเขม็งเบือนหน้าไปทางอื่นไม่ได้ แล้วสติเขาก็ค่อยๆวูบลง

เขาพบตัวเองกำลังเก้ๆกังๆกับการย่างเท้าลงเรือพายท้องแบนลำหนึ่ง ซึ่งมีชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตลุ่ยๆม่อซ่อเป็นคนพายแต่ทว่ากำลังยึดท่าน้ำให้เขาลงเรือสะดวก

แต่กระนั้นก็ยังแหยงๆอยู่ดีเมื่อเรือโคลง


เขา กลับกลายเป็นเด็กชายวัยหกขวบในอดีตไปเสียแล้ว มีเสียงกำชับมาจากบนฝั่ง

“พายดีๆไอ้ชัน เอาหลานชายเขาไปส่งที่บ้านให้ถึง ยายเจ้าต้นมันติดงานทำกับข้าวเลี้ยงงานบุญที่วัด จะเอาหลานไว้ข้างๆตัวก็กลัวจะเหงา เลยส่งเด็กไปอยู่บ้านลุงจะได้มีเพื่อนเล่น”

คนที่ชื่อนายชันรับคำแล้ววาดพายออกจากฝั่ง ทั้งสองฟากมีต้นไม้เขียวครึ้ม อีกทั้งยังเป็นเวลาสายไม่มากแสงอาทิตย์ยังไม่จ้าสะท้อนกับผิวน้ำเป็นประกายงามพริ้วไหลงามตา มีแพขายของจอดเรียงอยู่ไม่ห่างกันมากนัก

ชายหนุ่มค่อยๆคัดพายในวันนี้ ไม่พายกวาดซ้ายที ขวาที อย่างที่เคยทำเพราะมีเด็กนั่งมาด้วย  แถมช่วงนี้เริ่มมีอุบัติเหตุจากเรือหางยาวประสานงากันเกินขึ้นประปราย ทำให้นายชันพายเลียบคลองเอาปลอดภัยไว้ก่อน

ให้ระวังจนสุดตัวอย่างไรก็ตาม ถ้ามันมีคนคึกคะนอง เหตุการณ์ร้ายก็อุบัติได้เสมอ อยู่ดีๆพวกนักซิ่งเรือยนต์ประจำคลองก็แล่นมา ได้ยินเสียงกระหึ่มมาแต่ไกล นายชันคัดหัวหลบอย่างอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่พ้นแรงเฉี่ยว ขนาดของเรือเบากว่ากันมาก

เรือนายชันพลิกคว่ำลงเพราะแรงสะเทือนหนุนจากน้ำ ลำพังตัวเองนั้นไม่เท่าไหร่จมไปได้แป๊บเดียวก็ผุดตัวขึ้นมาบนผิวน้ำได้

แต่เด็กชายนั้นจมหายไปเลย นายชันดำผุดดำว่ายงมหาอยู่เท่าไหร่ก็ไม่เจอ ชาวบ้านแถวนั้นรู้ข่าวเข้าก็มาช่วยคนละแรงสองแรงดำน้ำงมหาเด็กกันจ้าละหวั่น

กว่าข่าวจะรู้ถึงยายของเด็กคนนั้นก็2 -3 ชั่วโมงไปแล้ว คุณยายทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างอ่อนแรง ท่านไม่ร้องไห้แต่พนมมือไหว้พระสวดมนตร์ตลอด มีหลายคนมาปลอบใจแต่ไม่มีใครกล้าพูดตรงๆว่า จมหายไปนานขนาดนี้คงต้องรอศพบวมน้ำลอยขึ้นมาเอง

แต่เหมือนคุณยายของเด็กคนนั้นยังมีความหวัง แม่ของเด็กชายคนนั้นร้องปริ่มว่าใจจะขาดเป็นลมไปหลายพักถูกแก้ไขให้ฟื้นมาได้ก็เป็นลมฟุบลงไปอีก

เกือบเที่ยงคืน โอกาสที่เด็กคนนั้นจะรอดหมดไปนานแล้ว แต่ที่ยังค้นหากันไม่เลิกเพราะต้องการเจอศพก็ยังดี

ปาฏิหาริย์ที่ชาวบ้านชายคลองแห่งนั้นไม่เคยลืมเลือนได้บังเกิดขึ้น มีคนมองเห็นเด็กชายนอนหงายบนฝั่งมือทั้งสองข้างกุมอกไว้เรียบร้อยดุจมีคนมาจับวางท่านอนให้  และที่ตกตะลึงพรึงเพริดกันไปหมดคือเด็กคนนั้นยังหายใจ

ถึงผิวจะขาวซีดเพราะอยู่ในน้ำเป็นเวลานาน แต่ด้านสุขภาพอย่างอื่นไม่มีปัญหาเลย เด็กคนนั้นสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเหมือนคนตื่นจากหลับธรรมดา จำอะไรไม่ได้นอกเหนือจากตัวเองกระเด็นออกจากเรือ

เอาเพชรนิลจินดามากองท่วมหัวแม่ของเด็กชายคนนั้นก็ไม่ดีใจเท่ากับลูกชายฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา นางไม่ติดใจหาเหตุผลใดๆทั้งนั้นว่าลูกชายรอดชิวิตมาได้อย่างไร ส่วนคุณยายปลีกตัวออกมาเงียบๆตั้งกระทงจุดธูปเทียนไหว้บนบานขอบคุณอะไรบ้างอย่างที่ริมน้ำ

แม้เด็กจะพ้นเคราะห์ถึงชีวิตไปแล้ว แต่ชาวบ้านยังคงร่ำลือไม่หยุดหย่อน เพราะอีกไม่กี่วันต่อมานายมิ่งจอมขี้เมาและขับเรือซิ่งลำนั้น ซึ่งแหลกลาญเป็นชิ้นราวกับโดนรถตักดินคันยักษ์กระแทกใส่มาก็ไม่ปาน

นายมิ่งไม่ปริปากเอ่ยถึงสภาพเรือของตนแม้แต่น้อย แต่ได้มาขออนุโมทนาลาบวชกับชาวบ้านทุกคนรวมถึงแม่และยายของเด็กชายคนนั้น

“ฉันมาขอขมาจ้ะ ด้วยความคะนองของฉันแท้ๆเกือบทำเอาหลานชายเสียชีวิตเข้าให้แล้ว” นายมิ่งพนมมือแต้ไหว้เรียงรายทั้งสามชีวิต คือ คุณยาย แม่ ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กชาย

คุณแม่ท่านสะบัดหน้าไปทางอื่นเหมือนยังขุ่นเคืองอยู่ แต่อย่างน้อยก็ยังยกมือไหว้รับขมาจากนายมิ่ง

ส่วนคุณยายตบบ่านายมิ่งให้ อโหสิกรรม รวมถึงพร แต่พอแม่เดินลับตาไป คุณยายก็จูงนายมิ่งมาอีกทางหนึ่งกระซิบถามเบาๆพอได้ยินกันสองคน

“เขา” ไปเตือนนายมิ่งใช่ไหม”

นายมิ่งสะดุ้ง เหลียวซ้ายแลขวาก่อนพนมมือท่วมหัว

“เจ้าประคุณเอ๋ย ใครที่ว่าเห็นแต่รอย ไอ้มิ่งคนนี้เห็นเต็มตาเลยทีเดียว ขนาดเสาเรือนยังใหญ่โตไม่ถึงครึ่ง ถ้าฉันไม่สบถสาบานตนว่าจะบวช ท่าทางท่านคงไม่ละเว้นฉันแน่”

คุณยายสายตามองเลยไปยังเวิ้งน้ำ พูดพึมพำเหมือนไม่ได้พูดกับนายมิ่งที่ตัวสั่นงกอยู่ข้างหน้าโดยตรง

“เธอเป็นสตรีเพศ จะเรียกว่าอย่างไรดี ตระกูลของเธอยึดมั่นมาในพุทธศาสนานับตั้งแต่บรรพกาลแล้ว ครานี้เคราะห์ดีของเอ็งหรอกไอ้มิ่ง พอปวารณาว่าจะบวชท่านเลยไม่อยากทำบาป”

นายมิ่งลังเลใจว่าจะถามดีหรือไม่ สุดท้ายก็ห้ามความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ถามเสียงแผ่วเบาขึ้น

“ท่านเคยปรากฎตัวให้ยายเห็น อย่างที่ฉันเห็นใช่ไหมจ้ะ เอ้อ แบบที่เห็นบนบันไดโบสถ์นั่นแหละจ้ะ”

ผู้สูงวัยกว่าส่ายหน้าเบาๆ

“ท่านมาให้เห็นในร่างของผู้หญิง สวยงามเพริดพริ้งดุจนางฟ้า นางสวรรค์เลยเจ้ามิ่งเอ๋ย ท่านมาบอกว่า ให้หายห่วง หลานชายของฉันเคยมีบุญกรรมหนุนมาแต่ปางก่อนมาคราวนี้ท่านจะช่วยชีวิตเอาไว้”

เจ้ามิ่งทำท่าจะถามอะไรต่อ แต่คุณยายโบกมือไล่

“ที่เหลือก็เป็นอย่างแกรู้นั่นแหละเจ้ามิ่ง หลานฉันรอด แต่แกเกือบจะซวยแทน เข้าวัด เข้าวาแล้วหมั่นปฎิบัติธรรมด้วยใจนะ อย่าสักแต่ว่านุ่งผ้าเหลืองเฉยๆ”

เจ้ามิ่งลาคุณยายไป และหลังจากนั้นมันก็เข้าร่มกาสาวพัสตร์ไม่สึกออกมาอีกเลยจนกระทั่งคุณยายเสียชีวิต

สิ่งที่คุณยายเก็บไว้เป็นความลับกับตัวจนกระทั่งวันตายคือ วันที่หลานเธอประสบอุบัติเหตุสตรีผู้นั้นมาเยือนเธอจากท่าน้ำบอกข่าวกับเธอว่าหลานชายของเธอปลอดภัยดี แต่ขอเก็บเป็นเพื่อนเล่นสักเพลาแล้วจะนำมาส่งคืน

พลันประโยคที่สตรีนางนั้นทิ้งท้ายเอาไว้ทำให้คุณยายใจหายวูบ

“หลานชายของแม่เฒ่าช่างพูด ช่างฉอะเลาะนัก เขาชมว่าฉันสวยเหมือนเจ้าหญิงและพอเขาโตขึ้นจะมาสู่ขอฉันเป็นเจ้าสาว คอยดูนะถึงเวลาฉันจะมาทวงสัญญา”

เหมือนรู้สึกถึงความกังวลใจของหญิงผู้ชรา หญิงที่สูงศักดิ์นางนั้นพูดขึ้นว่า

“ฉันไม่ได้มาเอาชีวิตของเขาไปหรอก เพียงแต่ชาตินี้เค้าจะมอบหัวใจให้กับสตรีอื่นไม่ได้อีกนอกจากฉัน” และร่างของเธอก็เดินแหวกหายไปในสายน้ำ



เมฆหมอกของอดีตเลือนหายไป ชายหนุ่มรู้สึกตัวอีกทีก็เจอตัวเองอยู่ที่ชายหาดเหมือนเดิม เสียงเกลียวคลื่นซัดฝั่งเป๋นระลอกราวจังหวะจะโคนของธรรมชาติที่บรรเลงมโหรีกล่อม

สายลมยังพัดหวีดหวิว ต้นไม้สูงโหนเอนตัวตามกระแสลม ชายหนุ่มหันหน้าไปมองรอบๆ เสียงลมที่แรงและอุดอู้ทำให้เกือบไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง

“คุณ อยู่ไหน คุณเคยช่วยชีวิตผมไว้เมื่อตอนเด็ก ผมจำได้แล้ว มาคืนนี้คุณก็ช่วยปกป้องผมจากพรายตัวนั้นอีก”

ชายหนุ่มวิ่งวนหาหญิงสาวรอบชายหาด ฝ่าความมืดและแรงลมเหมือนคนตาบอด วิญญาณนางผีพรายตนนั้นได้แต่เฝ้ามองห่างๆอย่างเสียดายไม่อาจไปแตะต้อง อย่างมากที่ทำได้ก็อดส่งสายตาพยาบาทไปทางสตรีร่างโสภาอีกนางที่แอบดูชายหนุ่มผู้กำลังสาละวนหาเธออยู่อย่างขบขันและเอ็นดู

“หมั่นใส้จริงถือว่าสูงส่ง แต่ดันมาหลงรักมนุษย์ ขอให้ไอ้หนุ่มนี้มันรู้ความจริงสักทีเถอะว่าหล่อนเป็นใคร ถึงตอนนั้นจะหัวเราะให้หาดทั้งหาดสะดุ้งเลย แหมโว้ย คืนนี้เลยอดเหยื่อเลย” แล้วร่างนั้นก็สูญสลายไปในอากาศ  จึงไม่ได้ทันเห็นหญิงสาวชุดขาวเดินออกมาจากที่ซ่อนและชายหนุ่มก็โผเข้าไปกุมมือเธอไว้ทันที

“ผมจำสัญญานั้นได้แล้ว ผมเคยบอกกับคุณไว้ว่าพอผมโตขึ้นมาผมจะแต่งงานกับคุณ”

วงหน้างามนั้นพรั่งประกายด้วยความปราโมทย์ขึ้นทันที แต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็เจื่อนลงเล็กน้อย

“คุณไม่แปลกใจหรือว่าฉันเป็นใครหรืออะไรที่ไม่เหมือนคุณ”

ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

“ต่อให้คุณเป็นนางฟ้าหรือปีศาจสาวผมก็จะแต่งงานกับคุณ”

หญิงสาวอึกอักก่อนถามต่อ

“คุณกลัวอะไรมากที่สุดในชีวิต”

แม้ไม่รู้จุดประสงค์แต่ต้นกล้าก็ตอบตรงๆอย่างไม่ต้องขบคิด คนพูดความจริงไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเฟ้นหาคำประดิษฐ์ใดมาตอบ

“เออ ผมกลัวสัตว์เลี้อยคลานครับ โดยเฉพาะงู”

หญิงสาวหน้าเปลี่ยนสีไป

“งูเล็กหรืองูใหญ่ค่ะ”

ต้นกล้าตอบได้อีกทันที ไม่อ้อมค้อม

“ขึ้นชื่องูผมกลัวทั้งหมดล่ะครับ ไม่ว่างูเล็กงูใหญ่”

ยิ้มของหญิงสาวดูแหยๆขึ้นอีก หลุดพูดออกมา

“ถ้าอย่างนั้นเวลาจำศีล ฉันจะไปอยู่ที่อื่น ห่างๆคุณไว้ก่อน”

ต้นกล้ามองผู้หญิงตรงหน้าอย่างประหลาดใจ

“คุณหมายความว่าอย่างไรหรือครับผมไม่เข้าใจ จำศีล? ทำไมต้องห่างกันคนละที่ครับ”

แววตาขี้เล่นผุดขึ้นมาบนใบหน้าหล่อน

“ช่วงนั้นฉันจะกลับสภาพเดิมนะสิ และคนบางคนอาจกลัวจนหัวใจวายก็ได้”

ชายหนุ่มยกมือสองข้างนั้นมาแปะไว้ที่ทรวงอก พูดแบบจริงจัง

“ตัวจริงของคุณจะเป็นอะไรก็ช่าง น่าเกลียดน่ากลัวขนาดไหนก็ช่าง แต่ผมขอยืนยันว่าจะแต่งงานกับคุณ”

นัยน์ตาหวานสวยคู่นั้นอาจจะดีใจจนลืมตัว จึงเผลอฉายแววสีมรกตออกมา

“ฉันชื่อนาคิระณี ฟังจากชื่อแล้วคุณคิดว่าฉันเป็นอะไรหรือค่ะ แน่ แน่ ไม่ต้องทำหน้าตกใจ ไม่ทันแล้วคะ ยังไงๆคุณก็ต้องแต่งงานกับฉันเปลี่ยนใจไม่ได้แล้วละ”

จบ

เรื่องจากพันทิป สัญญาจากคลอง
เรื่องโดย Furryjit

ไม่มีความคิดเห็น