ความรัก ความผูกพัน ไม่พรากจากกัน


     "ความรัก ความผูกพันธ์ ไม่พรากจากกัน" เรื่องสยองสุดซึ้งจากประสบการณ์จริงจาก สมาชิกพันทิปหมายเลข 3920757 เล่าถึงเหตุการณ์หนึ่งในสมัยที่ยังเป็นเด็กมัธยมปลาย ขอขอบคุณเรื่องราวสุดสยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย

เรื่องเกิดขึ้นนานมาแล้ว สมัยที่ผมเองยังเป็นเด็กมัธยมปลาย
ตอนนั้นผมมีเพื่อนรุ่นพี่ที่อยู่ละแวกบ้าน
รู้จักกันมานานแล้ว เล่นมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก
ช่วงสมัยนั้น เวลาว่างๆ เขาจะชอบไปทำงานด้าน มูลนิธิ
ที่ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยบนท้องถนน
รถของพี่เขาก็จะตกแต่งด้วยสติ๊กเกอร์ของมูลนิธิ

บางทีผมไปเล่นบ้านพี่เขา
ก็เจอพวกผ้าห่อศพ วางอยู่ท้ายรถเต็มไปหมด
ก่อนหน้านั้นด้วยความที่เรายังเด็ก
บางทีก็เอาผ้าห่อศพนั้น มากางเล่นกันกับน้องๆของเขา
มันเป็นผ้าดิบเนื้อแข็งๆ มีตราประทับมูลนิธิตัวหนังสือจีน สีแดง
ภายหลังพอเรารู้ว่าผ้าพวกนั้นเอาไว้ใช้ห่อศพ
ผมก็เลยไม่ค่อยไปยุ่งกับผ้าพวกนั้นเท่าไหร่

วันหนึ่งผมไปเล่นแถวบ้านพี่เขา
ก็บังเอิญเห็นพี่เขากำลังเตรียมตัวขนของอะไรบางอย่างกับพวกเพื่อนๆ สามสี่คน

ผมก็เลยไปถามว่า จะเตรียมข้าวของไปไหนกัน
พวกพี่เขาก็บอกว่า จะไปทำพิธีล้างป่าช้ากัน
แล้วพี่เขาก็ชวนผมไปด้วย
ผมก็เลยตกลงไปด้วยกับพวกพี่ๆเขา เพราะเคยได้ยินพิธีล้างป่าช้ามานานแล้ว
และก็อยากไปดูด้วยตาตัวเอง สักครั้ง ว่ามันเป็นยังไง

หลังจากออกเดินทางจากหมู่บ้านที่ผมอยู่
ก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง
กว่าจะขับรถไปถึงป่าช้า เพราะต้องข้ามไปอีกจังหวัดหนึ่งเลย
ส่วนทางเข้าไปในหมู่บ้านที่จะทำการล้างป่าช้า
ก็เป็นทางลูกรัง และกันดารมาก

พอไปถึงก็มีผู้คนมาเตรียมพิธีกันก่อนล่วงหน้าแล้ว
เป็นคนของมูลนิธิที่พี่เขาทำงานอยู่

บรรยากาศตอนนั้น ดูชุลมุน และเอิกเกริกกันพอสมควร
มีทั้งชาวบ้านมามุงดูและเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิที่สวมชุดเสื้อยืดสีขาวมีตัวอักษรจีนสีแดง
กางเกงดำ  แต่งชุดเหมือนกัน มากันพร้อมเพียง

ผมสังเกตดูบริเวณแถวนั้น เป็นลานกว้าง มีต้นไม้ขึ้นมาไม่หนาตา
ดูๆแล้วก็นึกไม่ออกเลยว่า มันเป็นป่าช้าในส่วนของตรงไหน

รออยู่สักพักใหญ่ ก็มีคนคนหนึ่งแต่งชุดคลุมจีนสีเหลืองคล้ายๆ อาจารย์ปราบผีในหนังจีน
ท่านมาทำพิธี จูดธูป แล้วก็สวดคาถาอยู่พักใหญ่ๆ


จากที่มีแดดเปรี้ยงๆอยู่ตอนนั้น
อยู่ๆ ก็เริ่มมีลมแรง มีเมฆก่อตัวเป็นก้อนใหญ่จน บริเวณแถวนั้นเริ่มมืดครึ้ม
แล้วตัวอาจารย์ท่านนั้นก็เริ่มสั่น หัวสั่นเหมือนคนแก่ อายุมากๆ

แล้วก็เริ่มวิ่งออกจากตรงบริเวณทำพิธี  เข้าไปในลานป่า
พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ หรือเขาเรียกว่าเป็น ศิษย์ วิ่งตามอาจารย์ท่านนั้นไปจำนวนมาก
พอถึงจุดไหนที่อาจารย์ใช้ไม้ทิ่มลงไปที่พื้น
เจ้าหน้าที่หรือลูกศิษย์ ก็จะรีบพากัน วิ่งไปเอาไม้ปักไว้
นอกจากเจ้าหน้าที่ที่วิ่งตามกันไปเป็นขบวนใหญ่แล้ว
ยังมีขวบชาวบ้านที่วิ่งตามไปดูกันด้วย
ไม่เว้นแม้กระทั่งผม ที่วิ่งตามไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น

หลังจากวิ่งตามไปดูกันอยู่พักหนึ่ง ผมก็รู้สึกเหนื่อยมาก
ฟ้าจากที่มึดครึ้มก็เริ่มค่อยๆสว่าง
แต่ดูเหมือนท่านอาจารย์ท่านนั้น จะไม่แสดงท่าทีว่าเหนื่อยเลย
แถมตอนวิ่ง ผมสังเกตดูแล้ว เหมือนคนวิ่งแบบวิชาตัวเบาเลย
เหมือนวิ่งอยู่บนอากาศ คล่องแคล่วว่องไว ปานสายลม

หลังจากผมวิ่งตามไม่ทันแล้วก็นั่งพักเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่ง
ก็มองไปเห็นไกลๆ ว่าท่านอาจารย์ถูกหามกลับมา แบบคนหมดสติ
ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเป็นแบบนั้น
แต่ตอนหลังพี่คนที่ไปด้วยก็เล่าให้ฟังว่า พอองค์ออกจากร่าง
แล้วก็จะเป็นสภาพแบบนั้น

ผมมองหันหลังไปตามทางที่วิ่งมา
ก็เห็นคนเริ่มขุดหลุมตรงบริเวณที่มีไม้ปักกันหลายหลุม

ผมก็เลยเดินไปหาพวกพี่ๆที่มาด้วยกัน
ก็เจอกำลังขุดหลุมอยู่
ผมก็เลยไปช่วยพี่ๆเขา
ขุดกันอยู่พักหนึ่ง ลึกพอสมควร ก็เจอโครงกระดูก
เจอหัวกระโหลก ตอนนั้นรู้สึกกลัว
ผมได้แต่ยืนดูพวกพี่ๆเขา เอากระดูกมาขัดมาล้างกัน
พอได้โครงกระดูกมาเป็นห่อใหญ่แล้ว
พี่เขาก็ทำการเสี่ยงทาย ถามว่า กระดูกศพนี้หมดยัง
ถ้าหมดแล้วให้ ดลจิตเสี่ยงทายให้เกิดสัญลักษณ์ให้รู้ว่าหมดแล้ว

วันนั้นทั้งวันผมก็อยู่ตรงบริเวณนั้นตลอด
เดินไปเดินมาดูกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ขุดบ้าง
จนเริ่มเย็นๆ ก็เริ่มมี กองผ้าขาวที่หอโครงกระดูก
มาวางร่วมกันไว้ หนาตา
ผมคาดคะเนดู ไม่น่าต่ำกว่าร้อยศพ
เผลอๆน่าจะถึงสองร้อย

หลังจากขุดจนครบทุกจุดแล้ว
ก็ทำพิธีเลิก โดยให้เจ้าหน้าที่ที่มา มาเข้าพิธี
เพื่อป้องกันไม่ให้ วิญญาณร้ายตามกลับบ้าน
ก็เป็นอันจบพิธี แล้วก็แยกย้ายขนข้าวขนของกลับกัน

ทีมพี่ๆที่ผมมาด้วย เขามีญาติอยู่ในหมูบ้านนั้น
ก็เลยชวนกันไปหาญาติ ของพี่อีกคน
ระหว่างทาง หลังจากขับออกถนนใหญ่แล้ว
แล้วก็เลี้ยวเข้าสู่หมู่บ้านเล็กๆ ถนนเป็นทางลูกรัง
ไกลพอสมควร จนกว่าจะไปถึงบ้านญาติก็มืดค่ำแล้ว

พอไปถึง ญาติๆเขาก็ต้อนรับอย่างดี ซื้อเหล้าซื้อเบียร์มาเลี้ยงกัน
กินไปกินมาก็ติดลม
ผมเองตอนนั้นรู้สึกอยากลับบ้าน
แต่ก็ขัดใจผู้ใหญ่ไม่ได้ เดี๋ยวจะเสียงบรรยกาศ
ก็ได้แต่นั่งเงียบๆ ฟังเขาพูดเล่นพูดหัวกันไปตามเรื่องตามราว

จนกระทั่ง เกือบๆ เที่ยงคืน
อยู่ๆหมาก็เห่าขึ้น เหมือนมันเห็นอะไรบางอย่าง
พวกผมก็มองไปตามทิศที่หมาเห่า
ก็ไม่เห็นมีอะไร
แต่พอสังเกตดีๆ อยู่ไกลๆเหมือนมีแสงอะไรแดงๆ
ติดๆ ดับๆ เป็นระย ระยะ

พอพวกพี่ๆกับผมเดินไปจะไปดูว่ามันคือแสงอะไร
แล้วแสงนั้นก็หายไป หมาก็เลิกเห่า

พอกลับมานั่งกินเหล้ากันต่อ
สักพักหมาก็เห่าอีก
ผมก็มองไปทางทิศเดิม
เห็นแสงไฟแดงๆ ติดๆดับๆ
สังเกตดูดีๆ เหมือนไฟท้ายมอเตอร์ไซด์มากกว่า

ก็เลยบอกพวกพี่ๆไปว่า รถมอเตอร์ไซด์ใครเขามาเสียหรือเปล่า
เหมือนสตาร์ทไม่ติด

พวกพี่ๆก็เลยพากันเดินไปดู
แต่พอเดินออกไปตรงถนนหน้าบ้าน
ก็ปรากฏว่า เห็นไฟแดงๆนั้น มันติดสว่าง แล้วก็เคลื่อนที่ออกไปตามถนน

พี่คนหนึ่งก็เลยพูดขึ้นว่า  อ๋อ สงสัย มอไซด์เขาหัวเทียนบอด เลยติดๆดับๆ
พี่คนหนึ่งก็พูดว่า อืม มาเสียตอนไหนไม่เสีย มาเสียดึกๆดื่นๆ

แล้วก็พากันเดินกลับไปนั่งกินเหล้าต่อ

สักพัก
หมาก็เห่าอีกแล้ว
มองไป ก็เห็นไฟแดงๆเหมือนไฟท้ายรถ อยู่ตรงแถวๆเดิม
จนพี่คนหนึ่งบอกว่า สงสัยรถเขาจะเสียจริงๆแล้วมั้งนั่น

พี่คนหนึ่งก้บอกว่า  อืม ไปดูช่วยเขาหน่อยไหม เผื่อจะซ่อมได้

ทุกคนก็พากันลุกขึ้นไปที่รถ มูลนิธิของพี่คนที่อยู่ละแวกบ้านผม

พี่คนที่อยู่ละแวกบ้านผมก็เป็นคนขับรถ
ผมก้บพี่อีกคนก็นั่งอยู่ด้านหน้า
แล้วพี่อีกสองคนก็นั่งอยู่กระบะหลัง

พอรถขับออกถนนหน้าบ้านได้ ไฟหน้ารถ สาดไปตามถนน
ก็มองเห็นเหมือนท้ายมอเตอร์ไซด์ อยู่ไกลๆ ราวๆ ร้อยสองร้อยเมตรได้
พอขับรถเข้าไปใกล้จะถึง ก็ปรากฏว่า มอเตอร์ไซด์ก็สตาร์ทติดแล้วก็ขับออกไป
พอพี่คนขับรถ หยุดรถ จะไม่ตามต่อ เพราะคิดว่า คงซ่อมจนสตาร์ทติดแล้ว
แต่รถมอเตอร์ไซด์คันนั้นก็หยุดอีก

จนผมกับพวกพี่ๆสงสัยว่า มันเป็นอะไรกันแน่ ทำไมพอเราจะเข้าไปหา
แล้วก็เหมือนมันจะไป พอพวกเราหยุด มันก็หยุด

พอรถพวกเราหยุด รถคันนั้นก็หยุดตาม
จนพี่คนนั่งข้างๆพูดขึ้น หรือว่าเขาอยากให้เราตามไปส่ง
อาจจะกลัวรถเสียกลางทางอีก

พี่คนที่ขับรถ ก็เลยบอกว่างั้นขับไปถามดูว่าจะให้เราตามไปส่งไหม
พอพี่แกเหยียบคันเร่ง รีบออกรถเพื่อจะขับเข้าไปถาม
ก็ปรากฏว่า รถมอเตอร์ไซค์คันนั้น ได้ขับเร็วขึ้น จนรถพวกเราตามแทบไม่ทัน

ระหว่างทางที่ขับรถตามไป มีฝุ่นและหมอกขาวๆ เหมือนควันที่เขาเผาหญ้า
คลุ้งอยู่ตลอดทาง จนทำให้ มองไปเห็นท้ายรถคันนั้นไม่ค่อยชัด มัน จางๆ รางๆ

ผมสังเกตดู เป็นท้ายมอเตอร์ไซค์ ทรงแบบ รถมอเตอร์ไซค์ผู้หญิง
เห็นคนขับตัวท้วมๆ ใส่เสื้อลายๆคล้ายๆลายสก๊อต สีน้ำตาลจางๆ
ทรงผม ก็ประมาณผมดัดสั้น หยิกหยอง

ขับตามไปไกลพอสมควร จวนจะออกสู่ถนนใหญ่ ที่เป็นทางลาดยาง
พี่คนที่ขับก็เลยชะลอรถลง คิดว่ามาไกลกันแล้ว
รถคันนั้นก็ดูเหมือนจะขับได้ปกติแล้ว

พอรถพวกเราหยุด ก็ปรากฏว่า มอเตอร์ไซค์คันนั้นก็หยุดด้วย
มองไปก็เห็นไฟท้ายมอเตอร์ไซค์ จอดอยู่ไกลๆ ไม่ขยับไปไหน

จนพี่คนหนึ่งพูดว่า เอ!! มันจะเอายังไง ของมันนี่
มันจอดรอเราทำไม

ทุกคนได้แต่ งง  กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

พี่คนที่ขับก็พูดว่า  เหมือนเขาอยากจะให้เราตามไปนะ

พี่คนที่นั่งข้างๆผมก็เลยบอกว่า งั้นก็ตามไปเลย เรามากันตั้งเยอะจะกลัวอะไร

พี่คนขับ ทำหน้านึก เหมือนตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วพี่แกก็ตัดสินใจออกรถ รีบตาม รถคันนั้นต่อ

พอรถเราเริ่มเคลื่อนที่ออก มอเตอร์ไซค์คันนั้น ก็เคลื่อนที่นำออกไปข้างหน้าด้วย
แม้ว่ารถพวกเราจะพยายามเร่งเครื่องตามเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่า ระยะห่าง
ก็ยังคงเท่าเดิม


จนกระทั่ง ขับออกมาถึงถนนใหญ่
แถวนั้น เป็นถนนที่มืดมาก เพราะไม่มีไฟส่องสว่างข้างถนน
แต่ถึงแม้จะขับตามจนมาถึงถนนใหญ่ แล้ว
พวกหมอกหรือควันหนาๆ ก็ยังคง ปรากฏให้เห็นเหมือนเดิม
จนพี่คนขับบอกว่า ออกมาจากทางลูกรังแล้ว ทำไมยังมีฝุ่นมีควันอยู่อีก

ในรถตอนนั้นได้แต่นั่งเงียบกัน พี่แกก็รีบขับรถเร็วขึ้น
นั่งลุ้นว่าเมื่อไหร่จะตามทัน
แต่ก็ไม่ทันสักที

จนกระทั่ง อยู่ๆ แสงไฟท้ายรถคันนั้น ก็เหมือนชะลอ เข้าชิดข้างๆทาง
แล้วก็เลี้ยวซ้ายเข้าซอยไป

พี่คนขับรีบขับรถตามไปจนใกล้จะถึงบริเวณที่มอเตอร์ไซค์เลี้ยว
ก็ชะลอรถเข้าไหล่ทาง ค่อยๆวิ่งตามไหล่ทางไปช้าๆ

แต่ก็ต้องแปลกใจ เพราะหาซอยที่จะเลี้ยวไม่เจอ
จนพี่เขาต้องหยุดรถ
หันมาถามเพื่อนแก ว่า  เห็นเหมือนกูใช่ไหมว่ามันเลี้ยวตรงข้างหน้า
เพื่อนก็ตอบว่า อึมกูก็เห็น แต่ทำไมหาซอยไม่เจอวะ

เพื่อนอีกสองคนก็ลงมาจากกระบะหลัง ก็มายืนอยู่ข้างๆประตู
ถามว่า หยุดรถทำไม

พี่คนขับก็ถามว่า เห็นรถมอไซค์เลี้ยวลงตรงนี้เปล่าวะ
เพื่อนสองคนนั้น ก็บอกว่าเห็น

แล้วพี่คนขับก็บอกว่า มันเลี้ยวไปไหนวะ มันไม่มีซอยลงเลย

ตอนนั้นที่ผมเห็นสภาพไหล่ทาง จะเป็นทางลาดชันลงไปสูงพอสมควร
มีต้นไม้และหญ้าขึ้นสูงเต็มไปหมด ซึ่งรถไม่มีทางวิ่งลงไปได้แน่ๆ

พอดับเครื่อง พากันลงจากรถไปยืนดูลงไปตรงไหล่ทาง
พี่คนหนึ่งก็ใช้ไฟฉายส่องลงไปบริเวณข้างล่างไหล่ทาง
ที่มีป่านั้น
มันเป็นทางลาดชันลงไปลึกไม่ต่ำกว่า สามเมตร ค่อนข้างชันมากๆ
พี่เขาค่อยๆสองไฟดูไปทั่วบริเวณนั้น ก็ไม่เห็นว่ามีซอยหรือถนนที่รถจะวิ่งลงไปได้เลย
ก็เลยพากันจะกลับ
ช่วงที่หันหลังกลับจะขึ้นรถนั้นเอง
ผมก็ได้ยินเสียงไอ เสียงหนึ่ง ดังออกมาจากป่าตรงไหล่ทาง
พี่คนหนึ่งก็ อ้าแขนออก เป็นสัญลักษณ์เหมือนให้ทุกคน เงียบ
เฮ้ยๆ ฟัง

พอทุกคนเงียบ ก็ได้ยินเสียงไอ ชัดเจนขึ้น
ทุกคนหันไปพร้อมกัน ตามเสียงไอนั้น

เสียงนั่นอยู่ห่างลงไปจากไหล่ทางประมาณ สามสี่เมตร
พี่คนขับรีบเอาไฟสปอตไลท์ออกมาจากรถ เปิดไฟแล้วส่องลงไปที่ไหล่ทาง
พวกพี่ๆที่เหลือก็ต่างพากันรีบวิ่งลงไปในป่าหญ้าสูงเท่าเข่า
สักพักพี่คนหนึ่งก็พูดว่าเจอแล้ว เจอแล้ว
พวกเราก็วิ่งลงไปดูกันหมด ยกเว้นพี่คนขับที่แกยืนถือไฟส่องมา
สภาพที่ผมเห็น เห็นเป็นเด็กประมาณ สิบสองสิบสามปี หัวเกรียน
ที่จมูกและปากมีเลือดออก และหัวก็แตก มีเลือดเต็มไปหมด
นอนหมดสติอยู่ พี่คนหนึ่งปลุกเด็กคนนั้นให้ตื่น
น้อง น้อง   ตื่นก่อน ตื่นก่อน อย่าพึ่งหลับ
ปลุกอยู่สักพัก เด็กลืมตามาแล้วก็พูดว่า ผมเจ็บ
ไม่ทันถามอะไรเด็กก็สลบไปอีก
พี่สองคนก็วิ่งไปเอาเปลสนาม ลงมาจากรถ
แล้วก็เอามาเคลื่อนย้ายน้องเขา
ขึ้นไปไว้ที่ไหล่ทางด้านบน

เสียงพี่คนขับ ใช้วอแจ้งไปที่ผู้ประสานงานอุบัติเหตุท้องถนน
แจ้งว่ามีอุบัติเหตุ รถมอเตอร์ไซค์ตกไหล่ทาง มีผู้บาดเจ็บหนึ่งราย
แล้วก็ เปิดไฟสัญญาณ ไซเรน แบบมีแต่แสงไม่มีเสียง ไว้ให้เป็นจุดสังเกต
ส่วนพี่ๆที่เหลือก็พากัน ปฐมพยาบาลคนเจ็บ และห้ามเลือด


ช่วงที่กำลังรอเจ้าหน้าที่ตำรวจมา พี่คนหนึ่งก็ลงไปสำรวจบริเวณที่พบน้องเขา
ห่างจากจุดที่พบคนเจ็บ ไปราวๆ สามสี่เมตร ก็เจอ มอเตอร์ไซค์
สภาพ พังยับเยิน
พอพี่คนหนึ่งจะขยับเอามอเตอร์ไซค์ขึ้นมา พี่อีกคนก็ร้องห้ามว่า
เอาไว้ตรงนั้นแหละ รอตำรวจมาก่อน

เพราะพี่แกคงกลัวว่า ตำรวจจะเข้าใจว่าพวกเราเป็นคนชนรถมอเตอร์ไซด์
จึงอยากให้ตำรวจมาเก็บหลักฐานก่อน

รออยู่สักพัก เกือบๆ สิบนาที ก็มีชายคนหนึ่ง ขี่มอเตอร์ไซค์มา แต่งตัวนอกเครื่องแบบ
แล้วก็บอกว่า เขาเป็นเจ้าหน้าที่ พอดีได้รับประสานงานมา แล้วก็แจ้งให้ทาง สน. ทราบแล้ว
เดี๋ยวกำลังจะตามมา

เขาก็ถามพวกเราว่า เกิดอะไรขึ้น
พี่คนขับก็ตอบว่า พวกผมขับมาอยู่ดีๆ ก็เห็นมอเตอร์ไซด์ขับอยู่ข้างหน้า ตามปกติ
พอสักพักอยู่ๆ น้องเขาก็หักรถลงข้างทางเลย

ชายคนนั้นก็ตอบว่า ไม่มีอะไรชนใช่ไหม
พวกพี่เขาก็บอกว่าไม่มี อยู่ๆก็ลงไปเองเลย

แล้วชายคนนั้นก็ถามว่า พวกคุณไม่ได้เมาใช่ไหม
เพราะ คงเริ่มได้กลิ่นเหล้า หลังจากที่คุยกัน

พวกพี่ๆก็ยืนยันว่าไม่ได้เมา
แล้วชายคนนั้นก็ถามอีกว่า แล้วจะพากันไปไหน
พี่คนขับก็เลยตอบว่า พวกผมไม่ได้ไปไหน ก็นั่งกินเหล้ากันอยู่ที่บ้าน
แล้วรถน้องเขาก็เสีย พวกผมก็เลยขับตามมาส่ง

ชายคนนั้น ก็ถามต่อ  รู้จักกันกับคนเจ็บหรือ
พี่คนขับก็ตอบว่า เปล่าๆ ไม่รู้จัก เห็นรถเขามาเสียอยู่แถวๆหน้าบ้าน
ก็เลยตามมาส่งเฉยๆ

ชายคนนั้น ฟังแล้วก็เงียบ แล้วก็เดินไปดูคนเจ็บ กับเดินไปดูรถมอเตอร์ไซค์ที่เสียหาย

สักพักรถตำรวจก็มา มีเจ้าหน้าที่มา สองคน
ก็มาสอบถามว่าเหตุการณ์เป็นยังไง พี่คนขับก็ตอบไปตามที่เคยบอกกับชายคนแรก
ไม่นานก็มีรถโรงพยาบาลตามมา พวกพี่ๆก็เลยช่วยกันเอาคนเจ็บขึ้นรถ
แล้วรถโรงพยาบาลก็รีบไปทันที

ช่วงที่รอตำรวจบันทึกหลักฐานอยู่ ผมก็คุยกับพี่คนที่ขับรถ ว่า
เอ.. ตอนที่เราขับรถตามมา ผมนึกว่าเป็นผู้ใหญ่กว่านี้เสียอีก พี่เห็นไหม

พี่คนขับก็ตอบว่า เออ ใช่ ไม่คิดว่าจะเป็นเด็ก

ตอนที่ยืนคุยกันอยู่ ก็เห็นพี่ตำรวจกับพวกพี่ๆสองคนลงไปช่วยกันยกมอเตอร์ไซค์ที่พัง
ขึ้นมาจากป่า แล้วตอนที่กำลังยกขึ้นมา เหมือนมอเตอร์ไซค์ มันไปเกี่ยวกับเถาไม้หรืออะไรสักอย่าง
อยู่ๆ มันก็กระเด้งกลับ ทำให้รถมันหลุดจากมือพี่คนหนึ่ง แล้วมันก็พลิกตกลงไปในป่าอีก
กลิ้งลงไปหลายตลบ คราวนี้ตกลงไปลึกกว่าเดิม

ผมกับพี่ที่ขับรถ ยืนมองอยู่ที่รถ ส่องไฟสปอตไลท์ลงไปให้
ดูเหมือนมอเตอร์ไซค์มันจะตกลงไปไกลมาก จนทั้งเจ้าหน้าที่ทั้งพี่ๆ ต้องเดินลงไปอย่างทุลักทุเล
บางคนก็ถึงกับลื่นล้ม

สักพัก ก็ได้ยินเสียง พี่คนหนึ่งเรียก พี่คนขับรถว่า เอาผ้าห่อศพมาให้หน่อย
พี่คนขับก็ตะโกนถามว่ามีอะไร
พี่ที่อยู่ก้นไหล่ทางก็ตอบว่า เจอศพ

แล้วพี่คนขับก็ให้ผมส่องไฟไว้ แกก็เอาผ้าห่อศพ เดินลงไปในป่า
สักพักใหญ่ พวกพี่ๆก็แบกศพขึ้นมา
พอมาถึงตรงไหล่ทางใกล้ๆรถ พี่เขาวางศพลง
แล้วก็แกะผ้าพันศพออก ให้เจ้าหน้าที่มาสำรวจดูเบื้องต้น

สภาพที่ผมเห็น เป็นศพผู้หญิงร่างท้วม ใส่เสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีน้ำตาลอ่อน เก่าๆ
เจ้าหน้าที่จับคอศพหมุนให้ดู ปรากฏว่าหมุนได้รอบเลย สันนิษฐานว่าคงคอหักตาย
หลังจากนั้นพวกพี่ๆ ก็ช่วยกันยกรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาจากป่า
แล้วก็เอาใส่ไว้ที่กระบะรถตำรวจ  แล้ว พวกเราก็ขนศพไปส่งที่โรงพยาบาล
ส่วนทางตำรวจเขายึดใบขับขี่ของพี่ที่ขับรถไว้
แจ้งว่าให้ไปให้ปากคำที่โรงพักต่อ เพื่อลงบันทึกประจำวัน
และสงสัยว่าพวกเราจะเป็นคนที่ชน รถมอเตอร์ไซด์คนนั้นเสียเอง
เพราะเขาสงสัยเนื่องจาก มีกลิ่นเหล้าออกมาจาก คนทุกคน

หลังจากไปส่งศพเสร็จ พวกพี่ๆก็กลับไปที่ โรงพักและให้ปากคำ
ทางตำรวจบันทึกคำให้การไว้ และจะแจ้งให้ทราบอีกที หลังจากได้สอบปากคำคนเจ็บ
ว่าพวกเราได้กระทำผิดหรือไม่

ตอนนั้นตีสามกว่าแล้วครับ ทุกคนก็เพลียจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นอยู่แล้ว ก็เลยขอมุมมุมหนึ่งที่โรงพัก
นอนกัน ซึ่งทางตำรวจก็อนุญาต


ตื่นเช้ามา พวกเราขับรถกลับไปพักผ่อนกันที่บ้านญาติพี่คนนั้น ช่วงสายๆเกือบเที่ยง
พี่คนที่ขับรถ ก็ วอ ไปสอบถามตำรวจ  แล้วตำรวจก็แจ้งว่า คนเจ็บพ้นขีดอันตรายแล้ว
และตำรวจกำลังจะเข้าไปเยี่ยมดูอาการพร้อมกับสอบถามเหตุการณ์ ถ้ายังพอให้การณ์ได้

พวกเราก็เลยเดินทางไปที่โรงพยาบาล เพื่อเยี่ยมน้องเขา
พอเจอตำรวจ ตำรวจก็แจ้งว่า พวกเราพ้นข้อกล่าวหาแล้ว
แล้วตำรวจก็เล่าให้ฟังว่า น้องเข้าให้การณ์ว่า

ช่วงเวลาประมาณ หกโมงเย็น ผู้เจ็บได้ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปตลาดกับแม่ ขากลับ ระหว่างทาง มีรถฝั่งตรงข้ามขับแซงกันมา
แต่ยังไม่พ้น  แล้วอยู่ๆก็ได้ยินเสียงแตรรถพ่วงดังมาจากด้านหลังของเลนที่ตัวเองวิ่งอยู่
แล้วก็เห็นแค่หัวรถพ่วงโผล่มาเบียดเอารถมอเตอร์ไซค์ที่แม่ตัวเองขับ กระเด็นตกลงไปในไหล่ทาง
หลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

พอตำรวจเล่าจบ เขาก็ถามว่า แล้วทำไมพวกคุณไปเจอน้องเขาตอนเกือบๆ ตีสอง
โดยที่ ทางหมอได้แจ้งว่าถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว เด็กคนนั้นก็ไม่รอด เพราะเสียเลือดมาก

พวกเราก็ได้แต่อึ้ง จนพูดอะไรไม่ถูก
แท้ที่จริง สิ่งที่เราเห็นในคืนนั้น ก็คือวิญญาณของแม่เด็กคนนี้เองหรือ
ที่คงห่วงลูกมาก จนแม้แต่ความตายก็ไม่อาจพรากความรัก ความผูกพัน ที่แม่มีต่อลูกได้

แม้เหตุการณ์ครั้งนั้นจะล่วงเลยมาหลายสิบปี แต่มันก็ยังอยู่ในความทรงจำของผมเรื่อยมา
และเป็นเรื่องที่ยากจะอธิยาบให้ใครๆเข้าใจ แต่มันก็เป็นเรื่องที่คอยเตือนให้ผมเข้าใจเสมอ
ว่า  โลกของวิญญาณมีอยู่จริง ดังที่ผมและพี่ๆได้ไปสัมผัสมา

จบบริบูรณ์

เรื่องจากพันทิป ความรัก ความผูกพัน ไม่พรากจากกัน
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3920757

ไม่มีความคิดเห็น