เหงา
เป็นวรรณกรรมเรื่องสยองขวัญจากสมาชิกพันทิปนาม นาคาแห่งการพิธี เป็นผลงานครั้งแรกของเขา "เหงา" เป็นซีรี่ที่มีชื่อว่า "GHost Detective File" โดยซี่ซั่น 1 ซึ่งมีทักหมด 9 ตอนเราจึงรวบรวมมาให้อ่านในตอนเดียวกัน ขอขอบคุณเรื่องราวสยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย
กลางดึกในหมู่บ้านจัดสรรย่านชานเมือง ถนนคอนกรีตขนาด2เลนในหมู่บ้าน ที่เป็นหลุมเป็นบ่อบ้างตามกาลเวลา แสงสว่างของไฟข้างทางนั้นค่อนข้างห่าง แต่มันก็ไม่ถึงกับน่ากลัวเสียทีเดียว เพราะข้างทางนั้นเป็นบ้านคน
"เอี๊ยดๆ" ในเวลา5ทุ่มกว่า แม้แต่เสียงจักรยานเก่าๆของเด็กสาว ม.ปลาย ที่ปั่นจักรยานเก่าๆคันเดียวของบ้านไปส่งข้าวให้พ่อของเธอที่เป็นยามเฝ้าอยู่ที่หน้าหมู่บ้าน ซึ่งอิงดาวก็ปั่นจักรยานแบบนี้เป็นปกติ แต่วันนี้เธอรู้สึกว่ามันแปลกไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หมู่บ้านทวีสุข เป็นหมู่บ้านเล็กๆย่านชานเมืองของเมืองกรุง พ่อบอกว่าหมู่บ้านนี้มีอายุพอๆกับอิงดาว ด้านหน้าหมู่บ้านแม้จะติดถนนใหญ่ แต่ตรงหน้าหนู่บ้านเป็นป่ารก ด้านตรงข้ามนั้นเป็นทาวน์เฮาส์ ซึ่งส่วนมากจะเป็นเป็นร้านขายของหรือกิจการเล็กๆโดยมีลูกค้าสำคัญก็คือคนในหมู่บ้านนี่แหละ และตรงด้านป่ารกริมถนนมีต้นไทยใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง พ่อเคยเล่าให้อิงดาวฟังว่า เป็นต้นไทรที่มีเจ้าที่สถิตอยู่ จึงมีผ้าสามสีและศาลขนาดใหญ่ที่ชาวบ้านสร้างไว้ให้ตั้งอยู่ และเมื่อผ่านจากโซนทาวน์เฮาส์ ถึงจะเป็นโซนบ้านเดี่ยว ซึ่งบ้านของอิงดาวอยู่ท้ายหมู่บ้าน
"ฮื้อๆ" เสียงร้องไห้ลอยมาตามสายลม เพียงแต่มันเป็นเสียงร้องไห้ของเด็ก อิงดาวมองเห็นเด็กผู้ชายยืนร้องไห้อยู่หน้าต้นไทรใหญ่ เธอรู้สึกคุ้นๆหน้าเด็กชาย ซึ่งก็เป็นเด็กในหมู่บ้านเธอเอง
"นี่น้องร้องไห้ทำไมเหรอคะ" อิงดาวปั่นจักรยานเข้าไปถาม เด็กผู้ชายค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา เด็กชายมีดวงตาบวมเป่งจากการร้องไห้ และคราบน้ำตาและน้ำมูก ดูหน้าสงสาร
"ผมอยากกลับบ้านครับ ฮื้อๆๆๆ" เด็กชายตอบ พลางร้องไห้ และด้วยความที่ว่าเป็นเด็กในหมู่บ้าน อิงดาวจึงอาสาไปส่ง โดยให้เด็กชายนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง
อิงดาวปั่นจักรยานออกไปโดยที่เด็กชายคนนั้นซ้อนท้าย เขากอดเอวเธอแน่น มันก็ยังพอทำให้อิงดาวรู้สึกสบายใจได้อย่างว่าเธอได้สัมผัสถึงความอุ่นจากตัวของเด็ก
"แล้วน้องบ้านอยู่ที่ไหนเหรอจ้ะ " อิงดาวถาม เป็นคำถามเพื่อเริ่มบทสนธนา เพราะเธอรู้สึกว่าบรรยากาศมันเงียบผิดปกติ เพราะบางบ้านที่เค้าเลี้ยงหมา ก็น่าจะมีหมาเห่าบ้าง แต่นี่กลับไม่มีเสียงใดๆแม้แต่เสียงแมลง
"อยู่ตรงซอยท้ายหมู่บ้านครับ" เด็กน้อยพูดแบบสะอึกสะอื้น อิงดาวก็ได้แต่คอยปลอบ พอคุยกันไปคุยกันมาก็ได้ความว่าเด็กคนนี้ชื่อโหน่ง โหน่งอายุ8ขวบ พ่อแม่ทำงานกลับมาดึก ทำให้ทุกเย็นเขาชอบเล่นเกมส์ที่ร้านหน้าหมู่บ้าน และวันนี้เขากลับดึกไปหน่อยจะกลับบ้านก็กลัวพ่อแม่ตี เลยมาร้องไห้อยู่ที่หน้าต้นไทร
"ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวกลับถึงบ้านก็บอกพ่อแม่เค้าดีละกัน แล้วก็ขอโทษเค้าซะนะ" เด็กชายตอบตกลง
บ้านของโหน่งอยู่ตรงซอยท้ายหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ตรงข้าวกับซอยบ้านอิงดาว เธอมาส่งโหน่งถึงหน้าบ้าน แต่บ้านของโหน่งปิดไฟหมด สงสัยว่าพ่อกับแม่คงนอนไปแล้ว อิงดาวจึงบอกกับเด็กว่า ถ้ามีอะไรก็ไปหาเธอที่บ้านได้ บ้านของเธออยู่ซอยตรงข้ามนี่เอง
หลังจากที่ส่งโหน่งเสร็จเธอก็กลับไปที่บ้าน อิงดาวเข้านอนทั้งทีเพราะรู้สึกเพลีย เธอหลับไปเมื่อหัวถึงหมอนไม่นาน
"ฮื้อๆ"เสียงร้องไห้ลอยมาจากความมืดมิด อิงดาวรู้สึกตัวขึ้นมาก็เจอกับบ้านหลังหนึ่ง นั่นเป็นบ้านของโหน่ง เด็กชายที่เธอเพิ่งไปส่ง บรรยากาศรอบตัวดูมืดมิดและหงอยเหงา เสียงร้องไห้ดังมาจากข้างหลังของเธอ พอเธอหันหลังกลับเธอก็พบโหน่งกำลังยืนร้องไห้
"น้อง น้องร้องไห้ทำไมจ้ะ"
"ผมเข้าบ้านไม่ได้ครับ คุณตาไม่ให้เข้าบ้าน" โหน่งชี้ไปที่บ้าน อิงดาวหันไปมอง เธอเห็นคนแก่ชุดขาวอยู่อยู่ตรงประตูบ้าน สีหน้าดุดัน ท่าทางน่ากลัว
"คุณตาคะ ทำไมไม่ให้น้องคนนี้เข้าบ้านล่ะคะ ดูซิร้องไห้ใหญ่แล้ว" อิงดาวถามชายแก่ แต่ไม่ว่าจะขอร้องยังไงคำตอบก็ยังเหมือนเดิม
"เด็กนี่จะเข้าบ้านไม่ได้ พ่อแม่เค้าไม่อนุญาติ" อิงดาวจนปัญญา สงสัยว่าพ่อแม่คงจะโกรธโหน่งจริงๆ
"งั้นมาอยู่บ้านพี่ก่อนก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านไปขอโทษพ่อกับแม่นะ"
"ครับ" โหน่งพยักหน้า แต่สีหน้าโหน่งเปลี่ยนไป โหน่งผิวซีเผือดเหมือนไม่มีเลือด คราบน้ำตาบนแก้มกลับกลายเป็นคราบเลือด อิงดาวตกใจ จนตื่น
(ฝันไปเหรอเนี้ย) เธอคิดไหนใจ พอดีโทรศัพท์มือถือของโทรดังเธอจึงรับโทรศัพท์
"ดาวเหรอลูก รีบมาหาพ่อหน่อย หมู่บ้านเรามีคนตาย"
ดาวปั่นจักรยานมาที่หน้าหมู่บ้าน ตามที่พ่อของเธอสั่งพร้อมกับดอกไม้ธูปเทียน เพราะพ่อของเธอเคยบวชเรียนมา ก็พอจะรู้ว่าจะทำยังไงกับเหตุการณ์แบบนี้ รถหน่วยกู้ภัยและรถตำรวจมาจอดหน้าบ้านที่เกิดเหตุ มีชาวบ้านมามุงอยู่ซักหกเจ็ดคน ผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้เหมือนจะขาดใจเสียให้ได้ เดาว่าคงเป็นญาติของผู้ตาย บ้านที่เกิดเหตุเป็นทาวน์เฮาส์ ที่ดัดแปลงเป็นร้านอินเตอร์เนต ซึ่งดาวก็เคยมาใช้บริการเป็นประจำตอนทำรายงานส่งครู
"ดาว มานี่ซิ" พ่อของดาวกวักมือเรียก ก่อนที่จะนำดอกไม้ธูปเทียนหายเข้าบ้านไป ซักพัก กู้ภัยก็หามศพผู้เสียชีวิตออกมา ในห่อผ้าดิบนั้นดูแปลกๆ ร่างนั้นตัวเล็กเหมือนเด็ก ทันใดนั้นดาวก็ได้ยินเสียงร้องที่ทำให้เธอรู้สึกขนลุก
"โหน่ง ลูกแม่ ฮือๆๆๆ" ผู้หญิงที่กำลังร้องไห้ ตะโกนเรียกชื่อลูกของเธออย่างน่าสังเวช แต่ ชื่อๆนั้นมันกระตุ้นทำให้นึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อคืน
(โหน่ง เหรอ) เธอจำได้ว่าเด็กผู้ชายที่เธอให้ซ้อนจักรยานแล้วพาไปส่งบ้านก็ชื่อโหน่งเหมือนกัน เธอคิดปลอบใจตัวเองว่าบางทีอาจจะเป็นคนละคนก้ได้ เพราะที่เธอเจอดูไม่เหมือนผีตามที่เคยได้ยินมาเลย
"แก......." ผู้เป็นแม่เข้าหาเจ้าของบ้านอย่างคุ้มคลั่ง จนชาวบ้านช่วยกันแยก
"ฉันไม่ได้ทำนะ ตื่นขึ้นมา ก็เห็นโหน่งเข้าฟุบอยู่กับเครื่องคอมพ์แล้ว" พี่แก้มผู้เป็นเจ้าของบ้านตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ คงเพราะเธอยังไม่หายตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พี่แก้มเป็นเจ้าของบ้านซึ่งดัดแปลงบ้านเป็นร้านอินเตอร์เนต สามีของพี่แก้มเป็นตำรวจ อยู่สน.ใกล้บ้านซึ่งทุกคนเรียกว่าลุงดาบ เพราะแกแก่กว่าพี่แก้มผู้เป็นภรรยาเกือบยี่สิบปี
ซักพัก ตำรวจคนหนึ่งออกมาจากบ้านที่เกิดเหตุพร้อมกับลุงดาบ สามีของพี่แก้ม ดาวเดาว่าคงเป็นหัวหน้าของลุงดาบแน่ๆ
"เดี๋ยวขอเชิญ เจ้าของบ้านกับญาติผู้เสียชีวิตไปให้ปากคำที่ สน. ด้วยนะครับ เพราะว่าผู้เสียชีวิตถูกแจ้งว่าหายตัวไปจากบ้านเมื่อ 3วันก่อนด้วย"
ตำรวจหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าลุงดาบพูด ส่วนลุงดาบก็ได้แต่คอยปลอบภรรยาของเข้าว่าไม่มีอะไรๆ
"พ่อคะ ที่ว่าหายออกจากบ้านไปเมื่อ สามวันก่อนนี่มันยังไงเหรอคะ" ดาวถามพ่อของเธอ เพราะดาวเพิ่งกลับมาจากค่ายวิชาการของโรงเรียนเมื่อว่า ทำให้ดาวไม่รู้ว่ามีเด็กในหมู่บ้านหายตัวไป
"เด็กชื่อโหน่งน่ะ หายตัวไปเมื่อสามวันก่อน ก็มาเล่นเกมส์ที่ร้านนี้แหละ แต่ก็ไม่กลับบ้านจนมืดค่ำ คนออกตามหากันทั่วหมู่บ้าน แต่ก็ไม่เจอ จนเจ้าของร้านมาเจอศพตอนเช้านี่แหละ" พ่อของดาวบอก
"แต่เมื่อคืนตอน หนูมาส่งข้าวให้พ่อ หนูก็เจอเด็กที่ชื่อโหน่งนะคะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นคนเดียวกันรึเปล่า หนูเลยพอเค้าไปส่งบ้าน ที่ซอยท้ายหมู่บ้านค่ะ" ดาวบอกกับพ่อของเธอ
แต่พี่แก้มได้ยินที่ดาวพูดกับพ่อเลย เข้ามาหา ด้วยแววตาที่มีหวังขึ้น
"ใช่แล้วล่ะ โหน่งเค้าอยู่บ้านที่ซอยท้ายหมู่บ้านจริงๆ เห็นมั้ยว่าพี่ไม่ได้ทำให้เค้าตาย"
"ถ้าอย่างนั้นก็เชิญหนูไปให้ปากคำด้วยนะ เผื่อจะมีผลต่อรูปคดี" นายตำรวจหนุ่มพูด ดาวพยักหน้า ในใจของเธอคิดแต่เพียงว่าเด็กที่เธอเจอไม่ใช่ผี และคำให้การของเธออาจจะมีประโยชน์บ้าง
........................................................
ที่ สถานีตำรวจในห้องสอบสวน ในห้องมีผู้กอง คนที่ไปตรวจที่เกิดเหตุ ลุงดาบ สามีของพี่แก้ม เป็นคนบันทึก มีพี่แก้ม น้าสาย แม่ของโหน่ง และดาว นั่งอยู่ในห้อง
"จากตรงนี้ผมขอจดบันทึกปากคำไว้ก่อนนะครับ ส่วนศพต้องส่งไปชันสูตร ถ้าไม่มีอะไร พรุ่งนี้น่าจะเอาให้ญาติรับไปทำพิธีทางศาสนาได้ครับ และคำให้การจะมีนำไปอ้างอิงกับผลชันสูตรด้วย ดังนั้น ตั้งใจและค่อยๆเรียบเรียงคำพูดนะครับ"
คนแรกคือน้าสาย แม่ของโหน่ง น้าสายบอกว่า เธอและสามีทำงานกลับดึก ทำให้ตอนเย็นของทุกวันโหน่งจะมาเล่นเกมส์ที่ร้านพี่แก้ม ก่อนจะกลับบ้านก่อนมืดเป็นประจำ แต่วันที่โหน่งหายตัวไป โหน่งไม่กลับบ้าน น้าสายจึงไปตามหาที่ร้าน พี่แก้มบอกว่าโหน่งน่าจะออกไปแล้ว เพราะที่ร้านก็ไม่เห็นโหน่ง คืนนั้นทั้งคืน ทุกคนช่วยกันตามหาทั่วหมู่บ้าน แต่ก็ไม่เจอ วันต่อมาก็ตามหากันอีก จนทุกคนถอดใจ จนกระทั่งพี่แก้มมาเจอโหน่งนอนฝุบกับโต๊ะคอมพ์ที่ร้าน แล้วจึงพบว่าโหน่งนั้นเสียชีวิตแล้ว แต่น้าสายเหมือนแกจะบอกว่าเป็นความผิดของพี่แก้ม ของที่พี่แก้มอาจจะขังโหน่งไว้ เพราะพี่แก้มกับสามีไม่มีลูก และพี่แก้มก็เอ็นดูโหน่งมาก
แต่พี่แก้มก็รีบปฏิเสธว่าเธอไม่รู้เรื่อง เพราะตอนที่เธอนั่งคุมร้านก็ไม่เห็นโหน่งแล้ว เธอคิดว่าโหน่งคงกลับไปแล้ว แต่ตอนหลังที่เธอรู้ว่าโหน่งหายไปก็ออกไปตามหากับทุกคน และเมื่อหาที่ร้านของเธอก็ไม่เจอ จึงเป็นไม่ได้ที่เธอจะขังโหน่งไว้ ลุงดาบสามีเธอก็เป็นตำรวจยิ่งไม่น่าจะทำแบบนั้นได้
แต่คำพูดของพี่แก้มกลับทำให้น้าสายโมโหหาว่าพี่แก้มพยายามแก้ตัว จนเกือบจะมีการลงไม้ลงมือกัน ดีที่ผู้กองแยกทั้งคู่ได้ทัน
แต่คำให้การของดาวยิ่งทำให้ทุกคนสงสัยขึ้นไปอีก เพราะว่าเธอยืนยันว่าเธอเจอโหน่งที่ศาลเจ้าต้นไทรประจำหมู่บ้าน จากนั้นเธอจึงพาโหน่งไปส่งที่บ้าน และจากคำให้การของดาว ทั้งรูปร่างหน้าตา เสื้อผ้า และบ้านของโหน่ง ตรงกับชุดที่โหน่งใส่ตอนที่หายไป และตอนเสียชีวิตทุกอย่าง ซึ่งหมายความว่า พี่แก้มจึงไม่ใช่คนที่ขังโหน่งไว้แน่ และเพื่อเป็นการพิสูจน์เรื่องที่ดาวพูด ผู้กองจึงขอหลักฐานวีดีโอจากกล้องวงจรปิดในร้าน ซึ่งพี่แก้มรับปากว่าจะเอามาให้ วึ่งพี่แก้มค่อนข้างมั่นไปว่าเธอไม่ผิด
แต่ความสงสัยตกอยู่ที่ผู้กอง เขาสงสัยว่าถ้าดาวพาโหน่งไปส่งที่บ้านจริง แล้วทำไมโหน่งต้องกลับมาที่ร้านในเมื่ออยากกลับบ้านขนาดนั้น และทำไมโหน่งถึงตาย
"ถ้ายังไง ผลชันสูตรออกมา พรุ่งนี้ผมจะเรียกมาสอบปากคำอีกครั้งหนึ่งนะครับ แล้วก็ดาบมิตร ช่วยเอาวีดีโอกล้องวงจรปิดของภรรยามาให้ผมด้วยนะ" ลุงดาบรับคำ และผู้กองก็ยื่นนามบัตรใบหนึ่งมาให้
"สำนักงานกฏหมายและนักสืบเอกชนภูเตศวร เหรอคะ" ดาวถามอย่างสงสัย
"ถ้าคดีนี้มันซับซ้อนกว่าที่เราคิด ผมว่าคนๆนี้ช่วยได้ครับ" ผู้กองบอกทุกคน
ทั้งสามคนแยกย้ายกันกลับหลังจากสอบปากคำเสร็จ ดาวมีเรื่องความฝันที่จะบอกน้าสาย แต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะน้าสายกับสามีที่มารับ กำลังไปติดต่อเพื่อจองศาลา ดาวจึงคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยบอกน้าสายก็แล้วกัน
.............................................................................
วันนี้พ่อของไม่ได้อยู่ยามช่วงดึก ทำให้วันนี้ที่บ้านนอนแต่หัวค่ำ ด้วยความเพลีย เมื่อหัวถึงหมอน ดาวก็หลับไป
"แก๊ก ๆ ๆ"เสียงปาอะไรเล็กๆมากระทบหน้าต่าง ดาวพยายามลุกขึ้นดู นอกบ้าน ดาวเห็นเงาดำๆกำลังปาหินก้อนเล็กๆมาที่หน้าต่าง ฉับพลัน เมื่อดาวรู้สึกตัวอีกที ดาวกำลังยืนอยู่กลางถนนที่มืดมิด เบื้องหน้าของดาวคือโหน่งที่ยืนร้องไห้ เนื้อตัวสั่น เสียงร้องไห้ของโหน่ง กรีดลึกบาดถึงหัวใจ ทำให้ดาวรู้สึกหนาวสะท้านตามไปด้วย
โหน่งค่อยๆเงยหน้า ผิดขาวซีดเหมือนไม่มีเลือด เพราะเหมือนเลือดทั้งร่างนองออกมาจากดวงตา ไหลออกมาอาบหน้าและเนื้อตัวแดงฉาน
"พี่ดาว ทำไมไม่บอกพ่อบอกแม่ผม ผมอยากกลับบ้าน ผมเข้าบ้านไม่ได้ ฮือๆๆๆ" โหน่งค่อยๆเหยียดมือออกมา มือเล็กๆขาวซีด ค่อยๆยืดออก ฝ่ามือของโหน่งนั้นนิ้วทั้ง5กางใหญ่ ปานจะตะครุบดาวได้ทั้งตัว เธอกรีดร้อง และวิ่งโดยทันที แต่ไม่ว่าจะวิ่งหนียังไง ดาวก็ยังคงวิ่งกลางถนนที่มืดมิด พร้อมกับเสียงร้องไห้ที่เย็นเฉียบไล่หลังมา ดาวรู้สึกหวาดกลัว จนเผลอพูดขึ้นมาว่า
"ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที"
ส่วนเสียง ดาวก็มายืนอยู่หน้าบ้านของตัวเอง โดยมีโหน่ง ที่เลือดทั่วร่างร้องไห้อยู่ตรงหน้า โหน่งค่อยๆก้าวทีละก้าว ทีละก้าว มาหาเธอ พร้อมกับแขนทั้งสองที่เหยียดออกเหมือนพยายามจะกอดดาวไว้
"ช่วยด้วย" ดาวถอยมาจะจนตัวติดประตูหน้าบ้านด้วยความกลัว สายตัวของดาวไม่สามารถละจากภาพหน้าสยดสยองตรงหน้าได้ โหน่งอยู่ห่างจากดาวไม่กี่ก้าว
ทันใดนั้น ท่อนแขนเรียวสีขาว ก็ลอดออกมาจากประตูหน้าบ้าน โอบกอดดาวไว้จากด้านหลัง มันเป็นท่อนแขนที่อบอุ่น ดาวไม่รู้สึกถึงความกลัวอีก เธอรู้สึกปลอดภัยภายใต้อ้อมกอดนี้
"ถ้าจะอนุญาต เดี๋ยว...........จะดูแลเด็กคนนี้อีกคืนก็ได้ พักผ่อนเถอะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว" เสียงที่ไพเราะของผู้หญิงที่กระซิบข้างหูดาวอย่างแผ่วเบา จนดาวเคลื้อมหลับไปในอ้อมแขนนั้น
...........................................................
"กลางดึกที่ห้องทำงานของผู้กองต้อม นายตำรวจที่ดูแลคดีของโหน่ง กำลังมองภาพจากกล้องวงจรปิดที่ ดาบมิตรส่งมา อย่างเคร่งเครียด
"ก้อกๆๆๆ"
"เชิญ" ชายวัยรุ่นในชุดสูทเรียบร้อยเดินเข้ามาในห้องของผู้กองต้อม
"ว่าไงพี่ มีเรื่องอะไรให้ผมช่วยอีกเหรอ" ชายหนุ่มพูด
"เรื่องแปลกอีกแล้วว่ะ ภู ทั้งคำให้การ หลักฐานผลตรวจนิติเวช คดีนี้พี่ต้องให้แกช่วย"
...........................................................................
เช้าวันอาทิตย์ที่วัดใกล้หมู่บ้าน โลงศพที่บรรจุร่างของโหน่ง ถูกหามลงมาจากรถเพื่อนำมาไว้ที่ศาลา บรรยากาศในวัดดูเงียบเหงา นอกจากพระเณรในวัดที่มีอยู่ไม่กี่รูป ก็มีพ่อแม่ของโหน่ง บ้านใกล้เรือนเคียงที่สนิทกัน ยังมีพี่แก้มและดาวที่มาช่วยงานศพของโหน่ง น้าสายและพ่อของโหน่งดูจะทำใจเรื่องของลูกได้มากขึ้น แต่ก็ยังมีแววตาที่ดูเศร้าต่อการจากไปอย่างกะทันหันของลูกอยู่
ช่วงหลังเพล คนที่มาช่วยงานทยอยกลับบ้านไปก่อน เพื่อเตรียมตัวมาฟังสวดในตอนเย็น มีเพียงพี่แก้มและดาวที่อยู่เป็นเพื่อพ่อแม่ของโหน่ง น้าสายเริ่มเข้าใจพี่แก้มมากขึ้นหลังจากเมื่อวานที่เธอเสียใจจนขาดสติจนโผเข้าทำร้ายพี่แก้ม ส่วนพ่อของโหน่งที่ท่าทางดุ หน้าเข้มเหมือนนักเลง ดาวก็สังเกตเห็นว่าพี่ของโหน่งมีอาการบวมใต้ตา คงเพราะเขาคงร้องไห้เหมือนกัน
ซักพัก รถหรูสีดำก็ขับเข้ามาจอดที่ข้างๆศาลา ผู้กองต้อม ที่วันนี้ใส่สูทสีดำเรียบแต่ดูหราหรา ลงมาพร้อมกับผู้ชายอีกคนหนึ่งที่หล่อเหลาเหมือนดารา ในมือถือพวงหรีดที่มีป้ายเขียนว่า "สำนักงานกฏหมายและนักสืบเอกชนภูเตศวร"
พ่อแม่ของโหน่งรีบออกไปต้อนรับผู้กองต้อมเนื่องจากเป็นผู้ดูแลคดีของลูกชาย ส่วนพี่แก้มก็ไปเตรียมน้ำมาตอนรับแขกทั้งสองคน ส่วนดาวก็ไปช่วยผู้ชายคนนั้นติดพวกหรีดที่เสา
(หล่อจัง) ดาวมองชายหนุ่มอย่างไม่ละสายตา แต่ก็ไม่แปลกเพราะรูปร่างหน้าตาของผู้ชายคนนี้ดูดีขนาดเข้าวงการบันเทิงได้อย่างสบายๆ
"มีอะไรเหรอ" เขาหันมามองดาว หลังจากที่ติดพวงหรีดเสร็จ จนดาวที่เริ่มรู้สึก จนออกอาการเขินไปตามระเบียบ
"มะ...ไม่มีอะไรค่ะ" ดาวตอบด้วยเสียงอันแผ่วเบาด้วยความอาย
"เธอคงชื่ออิงดาวใช่มั้ย" เขาถาม โดยดาวพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร
"ฟังจากพี่ต้อมคำให้การของเธอน่าสนใจดี เรื่องที่ฉันมาก็เกี่ยวกับคดีนี่แหละ อยากให้เธอมาฟังด้วยกัน" ดาวทำหน้าสงสัยในคำพูดของชายหนุ่ม ใบหน้าของเขาแฝงไปด้วยความลึกลับที่ซ่อนอยู่ข้างใน
...................................................
ด้านหลังของศาลา คอมพิวเตอร์โน๊ตบ็คถูกตั้งไว้บนโต๊ะ เบื้องหน้ามีพ่อแม่ของโหน่ง พี่แก้มและดาว โดยมีผู้กองต้อม และชายหนุ่มคนนั้นนักอยู่ข้างๆ
"ลืมแนะนำไป นี่รุ่นน้องผมชื่อว่าภูเตศวร เป็นทนายความและนักสืบ วันนี้เขาจะมาช่วยผมอธิบายเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นครับ"
"ผมชื่อภูเตศวร หรือจะเรียกว่าภูก็ได้ ผมอยากบอกไว้ก่อนว่า หลังจากที่ผมอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น การดำเนินการตามกฏหมาย อยากให้คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจให้ดีว่าจะทำยังไงต่อ เพราะ ถ้าเลือกที่จะสู้คดี มันจะไม่มีประโยชน์ต่อใครทั้งสิ้น" หลังจากที่ภูพูดจบ ทุกคนเริ่มหน้าเสีย โดยเฉพาะพ่อแม่ของโหน่ง เพราะคำพูดของภู ทำให้พวกเขาเดาไม่ถูกว่ามีอะไรเกิดขึ้น
"ก่อนอื่น วีดีโอที่จะให้ดูเป็นภาพที่ถูกถ่ายย้อนไปจากวันที่พบศพสามวัน ก่อนอื่นผมขอฟังการยืนยันจากคุณแก้มอีกครั้งว่าคุณไม่เคยดูวีดีโอนี้มาก่อน" ผู้กองต้อมพูด
"ค่ะ ตอนที่เอาให้สามีเพื่อเอามาให้ผู้กอง ดิฉันก็ไม่ได้ดูมาก่อนค่ะ" พี่แก้มยืนยัน
"ส่วนหลักฐานการชันสูตร โหน่งเสียชีวิตจากการขาดน้ำอย่างรุนแรงและหัวใจวาย เวลาการเสียชีวิตประมาณ7-8ชั่วโมงก่อนที่จะพบศพครับ"ผู้กองต้อมพูดถึงผลชันสูตร จากนั้นภูจึงเปิดวีดีโอ
วีดีโอเริ่มต้นที่เย็นวันพุธ เวลาประมาณ5โมงเย็น โหน่งเข้ามาในร้าน เพื่อจ่ายเงินกับพี่แก้มที่อยู่ที่โต๊ะเก็บเงิน ตรงจุดนี้ พี่แก้มยืนยันว่าโหน่งได้จ่ายเงินเพื่อเล่นเกมส์เป็นเวลาสองชั่วโมงเหมือนปกติ จากนั้นภูก็เร่งวีดีโอให้เร็วขึ้น จนถึงเวลาประมาณสามทุ่มครึ่ง น้าสายก็เข้ามาในร้านแล้วมาหาพี่แก้ม จากนั้นพี่แก้มก็เดินดูภายในร้านแล้วกลับมาคุยกับน้าสายอีกครั้งจากนั้น น้าสายก็เดินออกจากไป ตรงจุดนี้ น้าสายบอกว่าเธอเข้ามาตามหาโหน่งที่ร้านเพราะยังไม่กลับบ้าน ซึ่งพี่แก้มก็ยืนยันเรื่องนี้ เธอยังบอกอีกว่า ได้เดินดูในร้านเพื่อหาโหน่ง แต่ก็ไม่เจอ เธอจึงกลับมาบอกน้าสายว่าโหน่งคงกลับบ้านไปแล้ว เพราะโหน่ง เล่นแค่สองชั่วโมงเหมือนทุกวัน
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจก็คือในภาพวีดีโอ โหน่งยังคงเล่นเกมส์อยู่ที่เครื่องเดิม แม้ว่าพี่แก้มจะปิดร้าน วึ่งก่อนที่เธอจะปิด มีการเช็ดทำความสะอาดทุกเครื่องแต่ก็เว้นเครื่องที่โหน่งเล่นอยู่ ราวกับว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
วีดีโอถูกเร่งไปจนถึงช่วงของอีกวัน พี่แก้มยังคงเปิดร้านตามปกติ โดยมีโหน่งที่ยังคงเล่นเกมส์ ไม่ได้ลุกไปไหน ช่วงสายของวันนั้น น้าสายกับพ่อของโหน่งเข้ามาหาพี่แก้มอีกครั้ง จากนั้นน้าสายและพ่อของโหน่งก็เดิม หาโหน่งทั้งร้าน ไปจนถึงส่วนต่างๆของบ้าน แต่ก็เช่นเดียวกัน แม้จะหาอย่างละเอียดแค่ไหน แต่ทุกคนก็เว้นเครื่องที่โหน่งเล่น โดยเหมือนกับว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ซึ่งเมื่อเห็นภาพวีดีโอ ทุกคนก็น้ำตาไหล โดยเฉพาะแม่ของโหน่ง ที่ถึงกับเรียกชื่อโหน่งออกมาโดยไม่รู้ตัว
จนมาถึงเวลาห้าทุ่มกว่าในคืนวันศุกร์ หลังจากพี่แก้มปิดร้าน จู่ๆร่างของโหน่งก็ล้มฟุบลงไปกับโต๊ะ จนถึงเวลาเช้าที่พี่แก้มเดินลงมาจากชั้นสอง ความนี้เธอมองเห็นโหน่งซึ่งตอนนี้เหลือแต่ร่างไร้วิญญาณ พี่แก้มเดิมเข้าไปพยายามปลุก แต่หลังจากนั้นพี่แก้มกรีดร้องและรีบวิ่งขึ้นไปเอาโทรศัพท์ เพื่อโทรหาใครบอกคน พี่แก้มบอกว่าเหตุการณ์นี้ เธอเห็นโหน่งฟุบอยู่บนโต๊ะ ตอนนั้นเธอคิดว่าโหน่งคงแอบเข้ามาเล่นเกมส์ เธอจึงเข้าไปปลุก แต่พอรู้ว่าโหน่งตายแล้วเธอจึงกรีดร้อง และไปโทรศัพท์เพื่อบอกกับลุงดาบสามีของเธอ
หลังจากวีดีโอภาพเหตุการณ์จบลงทุกคนดูอึ้ง พ่อแม่ของโหน่งร้องไห้ ในขณะที่พี่แก้มและดาวไม่เชื่อสายตาตัวเองที่เห็นอะไรแบบนี้ โดยเฉพาะดาว
"ถ้างั้นที่ฉันเจอโหน่งเมื่อคือนั้นก็...."
"ใช่แล้ว ตอนนั้นโหน่งตายแล้ว แต่ที่เธอเจอชั้นคิดว่า โหน่งคงยังไม่รู้ว่าตัวเองตาย ช่วงนี้วิญญาณยังมีความเป็นมนุษย์สูง ทำให้บางที เราก็ไม่รู้คิดว่าเขายังไม่ตาย" ภูตอบ ขณะที่ดาวยังคงไม่เชื่อว่าเธอจะเจอผีจริงๆ
"ทีนี้คงเข้าใจเหตุผลแล้วใช่มั้ยครับว่า ทำให้เรื่องคดี ผมถึงให้คุณพ่อคุณแม่ไปคิดดูอีกที" ภูพูดกับพ่อกับแม่ของโหน่ง เพราะเขารู้ดีภาพในกล่องวงจรปิดจะเป็นข้ออ้างให้กับทั้งสองฝ่ายว่าประมาทเลินเล่อได้
"ตะ..แต่ว่า....ช่วยบอกฉันทีได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น"น้าสายถามด้วยความสงสัยและสงสารลูกเมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้น
"ใช่แล้ว มันเกิดอะไรขึ้นในร้านฉันกันแน่" พี่แก้มก็ถามด้วยอีกคน
"ครับ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ผมเป็นนักสืบเอกชน นอกเหนือจากอาชีพทนายความ แต่คดีที่ผมสืบทั้งหมดก้เป็นคดีประมาณนี้ ซึ่งเหตุผลนี้ที่ทำให้ผมได้รู้จักกับครอบครัวพี่ต้อม และผมเป็นนักสืบ ไม่ใช่หมอผี ดังนั้นทุกสิ่งที่ผมพูดมันเป็นเหตุเป็นผล"ภูตอบด้วยสีหน้าที่จริงจัง จนดาวรู้สึกได้ถึงพลังที่แผ่ออกมาจากคนๆนี้
"เท่าที่ดูจากหลักฐาน ผมไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้ผู้ตายไปทำอะไร แต่ลักษณะนี้น่าจะเหมือนกรณีผีบังหรือผีลักซ้อน แต่ถึงแบบนั้นมันก็น่าแปลกที่จะเกิดขึ้นในบ้านคน"
แล้วมันแปลกยังไงเหรอคะ" ดาวถาม
"ปกติเทวดาพวกเจ้าบ้านเจ้าเรือนจะคุ้มครองผู้คน เว้นเสียแต่ว่าในอาณาเขตนั้นจะไม่มีเทวดา" ภูบอก ซึ่งดูเหมือนพี่แก้มจะตั้งใจฟังเป็นพิเศษ
"จากคำบอกเล่าของพี่ต้อม บ้านที่เกิดเหตุเป็นทาวน์เฮาส์ ไม่มีศาลพระภูมิ จึงมีความเป็นไปได้ว่า มีอมนุษย์ภายนอกเข้ามาทำร้ายผู้ตายได้"
"แล้วจากนี้ต้องทำยังไงเหรอคะ" พี่แก้มถาม
"จากนี้ต้องตั้งศาลพระภูมิในบ้าน ไม่แน่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะมีสาเหตุมาจากสิ่งนี้ก็ได้" เมื่อพี่แก้มได้ฟัง เธอก็รับปากว่าจะทำตาม
"เออ....คือไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวรึเปล่าคือ" ดาวซึ่งจู่ๆก็ถามขึ้นมา
"คือฉันฝันค่ะ ฝันเกี่ยวกับโหน่ง" ดาวเล่าความฝันให้ทุกฟัง จนทำให้พ่อแม่โหน่งร้องไห้ขึ้นมาอีกเพราะสงสารลูก
"บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องติดค้างอย่างสุดท้ายของผู้ตาย ยังไง อยากให้พ่อแม่ ช่วยตามที่เขาขอด้วยนะครับ" ภูพูดแนะนำให้พ่อแม่ของโหน่ง จุดธูปบอกกล่าวโหน่งว่ายกโทษให้ที่กลับบ้านสายและบอกว่าจะไปบอกเจ้าที่เจ้าทางว่าจะอนุญาตให้โหน่งกลับบ้านได้
...........................................
ประมาณ1เดือนหลังจากงานศพของโหน่ง น้าสายกับพี่แก้ม ดูเหมือนจะเข้าใจกันมากขึ้น หลังจากเผาศพ น้าสายบอกว่าฝันเห็นโหน่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม โหน่งบอกว่าต้องไปแล้ว ให้พ่อแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนพี่แก้มหลังจากนั้นก็ได้ทำพิธีตั้งศาลพระภูมิ และที่สำคัญ เธอได้สอดส่องเด็กในร้านมากขึ้น
ในขณะที่ดาวกำลังนั่งพิมพ์งานอยู่ที่ร้านพี่แก้ม พี่แก้มเดินมาหาดาวด้วยท่าทางร้อนรน
"ดาวๆ ทำไงดี เด็กในร้านหายไปอีกแล้ว!"
..................................................
เป็นเวลาได้เดือนนึงหลังจากโหน่งเสีย คำแนะนำของชายหนุ่มที่มากับผู้กองต้อม พี่แก้มและสามีก็ได้ทำตามคำแนะนำทุกอย่าง แต่เรื่องราวที่เห็นว่าจะกลับเป็นปกติ กลับกลายเป็นความทรงจำที่หวนกลับมาหลอกหลอนอีก
"ดาวๆ ทำไงดี เด็กในร้านหายไปอีกแล้ว!" พี่แก้มเดินมาเรียกดาวที่กำลังนั่งทำงานอยู่
"พี่แก้มคะ เด็กอาจจะกลับไปแล้วก็ได้นะคะ" ดาวพยายามพูดด้วยเสียงที่เบา เพื่อไม่ให้คนอื่นในร้านแตกตื่น เพราะตอนเกิดเรื่องโหน่งใหม่ๆ ร้านพี่แก้มก็เงียบมาได้ซักพัก เพิ่งกลับมาเป็นปกติเมื่อไม่กี่วันเท่านั้น
"พี่ดูดีแล้วนะ ถ้าดาวไม่เชื่อ ดาวก็มาดูเองสิ พี่จะได้มีคนยืนยันว่าพี่ตาไม่ฝาด" พี่แก้มดึงดาวมาที่โต๊ะเก็บเงินเพื่อดูกล้องวงจรปิด
ดาวเปิดไปดูภาพที่บันทึกไว้จากกล้องวงจรปิด โดยย้อนไปก่อนหน้าประมาณหนึ่งชั่วโมง เป็นเวลาที่เด็กคนนั้นเปิดเครื่อง ภาพจากกล้องถ่ายให้เห็นเด็กอย่างชัดเจน แต่จู่ๆภาพที่ปรากฏ ก็ทำให้ทั้งสองตกตะลึง
ในกล้องร่างของเด็กคนนั้นค่อยๆเลือนหายไป!
พอตั้งสติได้ ดาวก็รีบจูงแขนพี่แก้มมาหน้าร้าน เพื่อไม่ให้คนที่เล่นอยู่ในร้านสงสัย
"เค้าเป็นผีหรือเปล่าพี่" ดาวพูดอย่างตระหนก
"ไม่ใช่หรอก น้องเค้าเป็นลูกแม่ค้าหน้าปากซอยน่ะ พี่รู้จักแม่เค้าดี ไม่น่าใช่ผีหรอก" พี่แก้มยืนยันดาวแบบนั้น แต่ดาวก็ยังคงคิดว่ายังไงมันต้องเป็นฝีมือผีแน่ๆ
"งั้นพี่ว่าเราลองโทรหาคุณภูมั้ย พี่เก็บนามบัตรเค้าไว้อยู่"
"จะดีเหรอคะพี่แก้ม" ดาวพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยไว้ใจนายภูคนนี้เท่าไหร่
"คราวที่แล้วพี่แก้มกับลุงดาบก็ทำตามที่เค้าบอกทุกอย่าง สุดท้ายมันก็เหมือนเดิม"
"เอาเถอะๆ ยังไงซะเราจะได้ยืนยันไงว่านายคนนี้จะลวงโลกจริงหรือเปล่า" พี่แก้มยังคงยืนยัน บางที เธออาจจะกลัวเรื่องบานปลายเหมือนคราวโหน่ง เธอจึงโทรหาภูเพื่อบอกเรื่องที่เกิดขึ้น
..................................................
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ดาวยืนคอยภูอยู่ที่นอกร้าน ส่วนพี่แก้มก็เข้าไปคุมร้าน เพื่อไม่ให้คนในร้านผิดสังเกตุ รถตู้คันใหญ่ขับเข้ามาจอดที่หน้าร้าน ภูเดินลงมาจากรถประหนึ่งนายแบบ ทำเอาดาวเคลิ้มไปพักหนึ่ง
"ไหนมีอะไรเล่ามาซิ" จู่ๆภูก็ยิงคำถามใส่ดาวโดยที่ไม่มีแม้แต่คำทักทาย ทำเอาดาวเดือดปุดขึ้นมานิดนึง
"คุณเข้ามาดูเองเถอะ มีเด็กที่มาเล่นในร้านหายไปอีกแล้ว" ดาวคว้าแขนภูแล้วพยายามร่างชายหนุ่มเข้ามาในร้าน
"เดี๋ยวๆซิ จะรีบไปไหน" ภูพยายามรั้งเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าดาวเอาแรงมาจากไหน กว่าจะยื้อกันไปยื้อกันมาก็เลยเหนื่อย
"คุณภูสวัสดีค่ะ" พี่แก้มเปิดประตูออกมาพร้อมกับทักทาย
"เรื่องเป็นไงมาไงเหรอครับ" ภูถามพี่แก้ม โดยเมินดาวที่อยู่ข้างๆ
"ฉันว่าคุณภูเข้ามาดูเองดีกว่าค่ะ เมื่อกี้ฉันกับดาวดูแล้วแทบจะช็อคไปเลยทีเดียว"
ทั้งสามคนเดินเข้ามาในร้านโดยที่ดาวแอบค้อนอยู่ข้างหลัง
ทันทีที่เปิดประตูเข้ามา ภาพที่น่าตกใจก้ปรากฏแก่สายตาพี่แก้มกับดาว แต่คราวนี้ มันย้อนกลับ
ร่างของเด็กค่อยๆปรากฏที่โต๊ะที่เขาเล่นอยู่ เด็กคนนั้นกำลังเล่นเกมส์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พี่แก้มกลับนั่งทรุดลงไปกับพื้น
"ดะ....ดาว เห็นเหมือนกันใช่มั้ย" พี่แก้มถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"ค่ะ...พี่" แม้แต่ดาวก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
"พวกคุณเห็นอะไรกันเหรอ"ภูถามสองสาว
"นี่คุณไม่เห็นเหรอ จู่ๆเด็กคนนั้นก็ปรากฏตัวออกมา" ดาวตอบด้วยน้ำเสียงค้อนเล็กๆ
"ไม่นี่ ฉันก็เห็นเด็กเค้านั่งอยู่ตรงนี้ ก็ว่าจะถามอยู่เหมือนกันว่าเด็กที่ว่าหายไป เค้านั่งตรงไหน" ด้วยคำตอบของภู ทำให้ดาวคิดว่าเขาแกล้ง แต่พอพี่แก้มถามด้วยคำถามเดียวกัน ภูก็ยังตอบแบบเดิม แสดงว่าเขาไม่ได้แกล้งแน่ๆ
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่.....
.....................................................
วันนั้นพี่แก้มปิดร้านเร็วกว่าปกติ พี่แก้มถือโอกาสทำมื้อเย็นเลี้ยงภูและดาว ลุงดาวที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านยังตกใจที่ภรรยาทำอาหารมาเต็มโต๊ะ
หลังจากมื้อเย็น ภูชมฝีมือพี่แก้มไม่หยุดปาก ทำให้แม่ครัวอย่างพี่แก้มพลอยหน้าบาน แล้วลุงดาบรู้สึก "ยืด" ที่ภรรยาแกทำอาหารอร่อย แต่ดาวที่เป็นลูกมือกลับไม่ได้รับคำชมใดๆหนำซ้ำยังถูกแซวเป็นระยะว่า ถ้าดาวทำอาหารแล้วจะกินได้หรือเปล่า
"คุณภู ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นครับ ไหนบอกว่าตั้งศาลแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น" ลุงดาบถามด้วยความสงสัย
"ต้องขอโทษด้วยนะครับ อันที่จริงผมไม่ได้แก้ตัว แต่คำแนะนำของผม มาจากหลักฐานในกล้องวงจรปิดกับคำให้การครับ ดังนั้นหากจะยืนยันสาเหตุให้แน่ชัดจะต้องพิสูจน์ให้ละเอียดกว่านี้" ไม่ทันขาดคำ ภูก็โดนดาวแทรกขึ้นมา
"คงไม่ใช่หาเรื่องหลอกเอาเงินเค้าหรอกนะ นายน่ะ"ดาวพูดกับภูดูห้วนขึ้นจากที่โดนแซวตอนทานอาหาร
"ถ้าจะหาว่าฉันหลอก เธอต่างหากที่โทรมาหาแล้วบอกว่าเกิดเรื่อง พอมาถึงกลับไม่มีอะไรเลย แบบนี้มันเด็กเลี้ยงแกะชัดๆ"ภูย้อน
"นี่นาย..."
"เอาเถอะค่ะๆ จริงแล้วฉันเองนี่แหละที่เป็นฝ่ายขอให้คุณภูช่วย ว่าแต่คุณภูกับดาวนี่สนิทกันเร็วดีนะคะ" พี่แก้มยิ้ม เมื่อเห็นภูกับดาวเถียงกัน
"จริงๆผมก็เชื่อคำพูดคุณแก้มนะครับ ว่าคุณเห็นว่าเด็กหายไป เพราะผมรู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรื่องแบบนี้น่ะผมเหมือนคนหูหนวกตาบอด ต้องอาสัยคนอื่นดู อาศัยคนอื่นฟังให้ ถึงจะรู้"
ด้วยท่าทางที่ดูจริงจังของภู ทำให้ดาวรู้สึกสงสัยว่ามันหมายความว่ายังไง และจริงๆแล้วนายคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่
.........................................................
หลังจากพูดคุยกันได้ซักพัก ภูก็ขอตัวกลับ ก่อนไปเขามาข้อเสนอบางอย่างให้กับดาว มันทำให้เธอคิดหนัก เขาบอกว่าให้เวลาดาวหนึ่งคืนไปปรึกษาพ่อของเธอ เพราะดาวอายุยังไม่ถึงสิบเจ็ดปี ภูเลยให้ดาวไปปรึกษาพ่อก่อน
ดาวปั่นจักรยานกลับบ้าน พร้อมกับคิดเรื่องข้อเสนอของภูไปด้วยตลอดทาง
มันเป็นข้อเสนอที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตของดาวไปตลอดเลยก็ได้
...........................................
วันนี้พ่อของดาวไม่ได้ไปอยู่ยามตอนดึก ดาวที่กลับมาจากบ้านพี่ก้อย ได้ห่ออาหารมาให้พ่อด้วย ข้อเสนอที่ดาวได้รับทำให้เธอคิดมาตลอดทาง
(ถ้านายนิสัยดีกว่านี้ก็ดีสิ) ผู้ชายที่ทำให้เธอเคลิ้มเมื่อแรกเห็น กลับทำตัวยียวนกวนประสาทเมื่อพบหน้าอีกครั้ง ความจริงข้อตกลงนี้มันก็ทำให้ชีวิตดาวดีขึ้น แต่ด้วยข้อตกลงที่อันตราย กับนิสัยแบบนี้ ทำให้ดาวต้องคิดหนัก
พอถึงบ้าน ดาวจัดเตรียมสำรับอาหารให้พ่อ จากนั้นก็ทานมื้อเย็นกับพ่อเะออีกรอบ เพียงเพราะจะหาโออกาสปรึกษา เพราะวันไหนที่พ่อไม่ได้ออกไปอยู่ยาม พ่อมักจะนอนเร็วแต่หัวค่ำ
"พ่อคะ หนูมีเรื่องอยากปรึกษาพ่อได้มั้ยคะ" ดาวถาม ขณะที่พ่อของดาวกำลังทานข้าวอยู่
"มีอะไรรึเปล่า เห็นเหมือนมีอะไรอยู่ในใจตั้งแต่เข้าบ้านแล้ว" พ่อถามดาวด้วยความเป็นห่วง
"คือพ่อฟังแล้วอย่าบอกใครนะคะ คือมันจะเสียหายกับบ้านพี่แก้ม" พ่อของดาวพยักหน้ารับคำ
"วันนี้ที่ร้านพี่ดาวเกิดเรื่อง มีเด็กหายไปอีกแล้ว จนอีตาบ้าคนนั้นมาค่ะ เค้าบอกจะสืบสาเหตุที่เกิดที่ร้านพี่แก้มให้ แต่คิดค่าดำเนินการตั้งสองหมื่น ซึ่งมันโขกสับเกินไปจนหนูโวยวาย จากนั้นเค้าก็ยื่นข้อเสนอให้หนู"
"ข้อเสนอที่ว่าคืออะไรเหรอ" พ่อถาม
"ตาบ้านั้นอยากให้หนูทำงานเป็นผู้ช่วยเค้าค่ะ ถ้าประเมินงานที่ร้านพี่แก้มผ่าน เค้าจะจ้างหนูตลอดไป แต่ถ้าไม่ เค้าจะให้หนูรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดค่ะ หนูก็เลยมาปรึกษาพ่อ คือหนูก็อยากช่วยพี่แก้มนะคะ แต่หนูก็กลัวว่าจะทำไม่ได้" ดาวเล่าด้วยสีหน้าที่ไม่มั่นใจ จนพ่อสังเกตได้
"ดาว หนูมีอะไรที่ทำไม่ได้บ้างถ้าหนูตั้งใจ หนูได้ทุนเรียนโรงเรียนดีๆ มีทุนเรียนดี และทุนนักกีฬาโรงเรียน หนูช่วยแบ่งเบาภาระพ่อได้ ถ้าหนูมั่นว่าว่าจะช่วยแก้มเค้า พ่อก็สนับสนุน พ่อไม่คิดว่าหนูจะทำไม่ได้หรอก" คำพูดของพ่อ ทำให้ดาวดูมีกำลังใจขึ้น
"ว่าแต่ อีตาบ้าที่หนูว่านี่มันใครกันเหรอ" พ่อถามเพราะปกติดาวก็ไม่เคยเรียกใครว่าอีตาบ้าซักที
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ขอบคุณนะคะที่เชื่อใจหนู"
..................................................................
วันต่อมา ในตอนเย็นหลังจากดาวกลับจากโรงเรียน รถตู้คันใหญ่จอดอยู่หน้าร้านพี่แก้ม วันนี้ดาวจะต้องให้คำตอบของข้อเสนอที่ภูยื่นให้ เธอเดินเข้าไปร้านพี่แก้ม วันนี้ที่ร้านไม่มีคนมาเล่น ดาวสงสัยว่าวันนี้พี่แก้มคงจะปิดร้าน เมื่อรู้ว่าดาวเข้ามาพี่แก้มก็เรียกดาวให้ไปหาที่หลังร้าน ซึ่งมีภูกับพี่แก้มนั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าว ดาวทักทายพี่แก้มและแกล้งเมินภูเหมือนไม่สนใจ
"นี่ๆไม่คิดจะทักทายกันหน่อยเหรอ" ภูเอ่ยปากเพราะรู้ว่าดาวแกล้งไม่สนใจ
"หวัดดีย่ะ"ดาวทักอย่างเสียไม่ได้
"ตกลงว่าที่ให้ไปคิดเมื่อคืนเธอมีคำตอบให้ฉันว่ายังไง" ภูถามดาวด้วยสีหน้าจริงจัง โดยมีพี่แก้มที่ลุ้นคำตอบของดาวอยู่เหมือนกัน
"ฉันตกลง" ดาวตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
พี่แก้มถึงกับโล่งใจเหมื่อดาวตอบตกลง แต่ภูยิ้มอย่างมีเลศนัย
"ฉันก็คิดนะว่าเธอจะตอบตกลง ส่วนเรื่องสัญญา รอให้ผ่านงานนี้ค่อยว่ากัน ตกลงมั้ย" แก้มพยักหน้า
"เอาล่ะ เรามาเริ่มงานได้เลย" ภูบอกพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ให้กับดาว
"นี่มันอะไร นายเอามาให้ฉันทำไม"
"ก็โทรศัพท์ปุ่มกดของเธอมันไม่ค่อยสะดวกเวลาติดต่อ อีกอย่าง ให้ยืมเฉยๆ" ภูยิ้มให้แบบกวนๆส่วนดาวก็รับไปอย่างเสียไม่ได้
"เอ้ารออะไรอยู่ ทำงานสิ เราเริ่มงานกันแล้ว"
"เดี๋ยวตอนนี้เนี้ยนะ"ดาวนั่งยังไม่ทันไรก็โดนใช้งานทันที ดาวคิดว่าภูต้องแกล้งเธอแน่ๆ
.........................................
อุปกรณ์หลายอย่างถูกดาวขนลงมาจากรถตู้เพื่อนำมาไว้ในบ้าน ในขณะที่ภู เดินไปสำรวจรอบบ้านกับพี่แก้ม จนดาวแอบบ่นว่า ทำไมต้องให้ภูหญิงอย่างเธอมาทำงานแบกหามแบบนี้ แต่ภูก็ได้ยินที่ดาวบ่นพอดี
"ก็เพราะเป็นเธอไง นางสาวอิงดาว อินทดำรงค์ นักเรียนดีเด่น เรียนดี กีฬาเด่น เป็นนักวิ่งของโรงเรียน ถ้าฉันให้เด็กสาวผู้เพียบพร้อมอย่างเธอ ทำงานสบายๆ มันก็เป็นการไม่ให้เกียรติเธอน่ะสิ ฮ่าๆๆๆ" ภูหัวเราะชอบใจ ขณะที่ดาวหัวเสียอย่างที่สุด
"นี่นายรู้จักประวัติฉันได้ไงห่ะ"
"อย่าลืมสิ ฉันเป็นนักสืบนะ แค่ชุดนักเรียน ฉันก็รู้แล้วว่าเธอชื่ออะไร เรียนที่ไหน แค่กดค้นนิดเดียวก็รู้แล้ว ยิ่งนักเรียนดีเด่น มีรูปพร้อมประวัติโชว์หราอยู่หน้าเว็บไซด์โรงเรียน ไม่ต้องเป็นนักสืบเหมือนฉันก็น่าจะรู้แล้ว" ภูตอบด้วยน้ำเสียงและท่าทางเหนือกว่าดาวขั้นหนึ่ง
"แล้วก็เอาอุปกรณ์กับขาตั้งตามฉันมา ชั้นจะบอกว่าจะต้องติดที่ไหนยังไงวันหน้าจะได้ทำเป็น"
คำพูดที่เหมือนจะเย้ยหยันจนดาวอยากกรี๊ด แต่ก็ต้องเก็บเอาไว้ทำได้เพียงบ่นอยู่ในใจ
.............................................................
ดาวต้องแบกอุปกรณ์ทั้งกล้องและขาตั้งเดินขึ้นลงบ้านหลายรอบ ยังต้องต่อสายระโยงระยางอีก จนการติดตั้งอุปกรณืต่างๆในบ้านดูเป็นรูปเป็นร่างขึ้น
เมื่อการติดตั้งเสร็จ ภูก็เริ่มอธิบายถึงอุปกรณ์ต่างๆให้ดาวฟัง
"นี่เธอจำเอาไว้นะ การตรวจจับปรากฏการณ์ทางวิญญาณจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พื้นฐานต่างๆเช่นกล้องถ่ายวีดีโอ ไมโครโฟน เครื่องวัดอุณหภูมิ ไปจนถึงการวัดตำแหน่งต่างๆในบ้าน อุปกรณ์พื้นฐานพวกนี้จำเป็นอย่างมาก ฉันเคยใช้หลักฐานที่อุปกรณ์พวกนี้ตรวจจับได้ สู้คดีในศาลมาแล้ว ดังนั้นเวลาติดตั้งอุปกรณ์จะมีช่องโหว่ไม่ได้" ภูอธิบาย คราวนี้ท่าทางของเขาดูจริงจังเหมือนกับเป็นคนละคนจนดาวสังเกตได้
"แล้วทำไมต้องใช้ทั้งกล้องตัวใหญ่กับกล้องตัวเล้กๆซ่อนไว้ด้วยล่ะ" ดาวถาม เธอพยายามถามสิ่งต่างๆเพื่อเรียนรู้งาน
"เป็นคำถามที่ดี กล้องตัวใหญ่ใช้เป็นตัวล่อ เพราะในกรณีที่ปรากฏการณ์ทางวิญญาณเกิดจากฝีมือมนุษย์ จะมีการตอบสนองต่อกล้องอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ในขณะที่กล้องที่เราซ่อนไว้จะจับพฤติกรรมได้ทั้งหมด"ดาวจดคำอธิบายของภูลงในสมุด
"ส่วนไมโครโฟน เธอน่าจะรู้ว่าเอาไว้จับสัญญาณเสียง ทั้งที่มนุษย์ได้ยินและไม่ได้ยิน เครื่องวัดอุณหภูมิ เอาไว้วัดความเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิจากสมมติฐานที่ว่าการปรากฏตัวของวิญญาณทำให้อุณหภูมิลดลง"
"แล้วจากนี้จะต้องทำยังไงเหรอ"ดาวถาม
"วันนี้ก็ไม่มีอะไรมากหรอก เปิดอุปกรณ์ทั้งหมด ให้คุณแก้มเค้าใช้ชีวิตประจำวันในวันนี้ แล้วพรุ่งนี้เรามาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น" ภูตอบพลางเก็บชองและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
"แล้วมันจะจับผีได้จริงๆเหรอ"ดาวยังคงสงสัย
"ได้หรือไม่เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้"
......................................................
เช้าวันรุ่งขึ้น ดาวกำลังปั่นจักรยานไปโรงเรียน หน้าบ้านของพี่แก้มมีรถตู้จอดอยู่และภูกำลังยืนพิงรถเพื่อรอดาว
"นี่จะรีบไปไหนเนี้ย มาคุยกันก่อนดิ" ภูเรียกให้ดาวหยุด จนดาวที่พยายามปั่นผ่านไปต้องหยุดมาคุยด้วย
"มีอะไรอีก ฉันรีบไปโรงเรียนนะ" ดาวตอบอย่างหัวเสีย
"เธอนี่ไม่คิดจะดูผลงานตัวเองเลยเหรอ คือว่าฉันส่งวีดีโอไปให้แล้วนะ ตอนพักค่อยดู แล้วดูเสร็จให้โทรมาด้วย"
"แต่ฉันไม่ได้เอามือถือของนายมานะ"ดาวตอบ
"ก็รีบกลับไปเอามาดิ ถ้าเธอยังอยากผ่านงานนี้" ภูยิ้มอย่างผู้ชนะ
"แล้วก็เลิกเรียน มารอฉันที่นี่นะ" มีแต่เสียงตะโกนของดาวว่ารู้แล้ว ซึ่งเธอกำลังรีบกลับไปเอามือถือที่บ้าน
เมื่อดาวคล้อยหลังไป ลุงดาบกับพี่แก้ม เดินออกมาจากบ้าน ลุงดาบที่กำลังจะไปทำงานถือซองเอกสารสีน้ำตาลมายื่นให้ภู
"นี่สำเนาโฉนดที่นายขอไว้ ว่าแต่จะเอาไปทำอะไรเหรอ" ลุงดาบถามด้วยความสงสัย ขณะที่ภู เปิดซองเพื่อตรวจดูข้างในว่าได้ถ่ายสำเนาครบถ้วนหรือ เปล่า
"ผมอยากเช็คว่า บ้านหลังนี้เปลี่ยนมือมายังไงครับ บางที่เรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้"
"ถ้าแบบนั้นแสดงว่าบ้านพี่มีผีเหรอ" พี่แก้มถามอย่างกลัวๆ
"เรื่องนั้น ผมยังสรุปไม่ได้ครับ แต่ยังไงซะ ผมจะต้องหาสาเหตุและหาทางแก้ไขให้เร็วที่สุด" ภูให้คำมั่นแก่ทั้งสองคน
"แล้วก็เรื่องกล้องต้องขอโทษด้วยนะ" ลุงดาบพูด
"ไม่เป็นไรครับ ยังดีที่ไม่เสียหาย แต่ถ้ายังไง วันนี้ผมอาจจะต้องขอความร่วมมืออะไรหน่อย"
................................................
ช่วงพักเที่ยงหลังจากที่ทานกลางวันเสร็จ ดาวได้ปลีกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อน โดยเธออ้างว่าไม่ค่อยสบาย แต่อันที่จริงเป็นเพราะดาวกังวลว่าเพื่อนๆจะถาม ไหนจะเรื่องมือถือของภู ที่แพงและเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดซึ่งเกินฐานะของดาว หรือไม่ก็เป็นเรื่องงานพิเศษที่เธอทำ หากเพื่อนรู้เข้าคงจะหาว่าเธอบ้าไม่ก็ถูกหลอกแน่ๆ
ดาวเดินมาถึงห้องน้ำหลังโรงเรียนโดยไม่รู้ตัว นักเรียนดีเด่นอย่างดาวคงนึกไม่ออกแล้วว่าจะหาที่ลับๆที่ไหนแอบดูวีดีโอที่ภูส่งมาให้ ดาวจึงจัดแจงเข้าห้องน้ำและปิดประตูล็อคอย่างดี แต่อย่างว่าที่ผ่านมาดาวใช้แต่แบบปุ่มกด กว่าจะหาวิธีเปิดวีดีโอเจอ ดาวก็แทบจะเขวี้ยงมือถือทิ้งตั้งหลายครั้ง
แต่ในที่สุดเธอก็เปิดได้
ภูส่งวีดีโอมาสองไฟลื เขาแนะนำให้ดาวดูวีดีโอจากกล้องหลักก่อน
ภาพจากกล้องหลักที่ถูกส่งมาบันทึกภาพในช่วงเวลาประมาณตีสาม กล้องถูกตั้งไว้ที่ห้องนอนของพี่แก้มกับลุงดาบ จู่ๆภาพจากกล้องก็หมุนเหมือนกล้องล้ม ลุงดาบลุกขึ้นมาจากเตียง ลงเพราะเสียงกล้องที่ล้มลงทำให้ลุงดาบตื่นขึ้น เขาลุกจากเตียงมาตั้งกล้องให้เหมือนเดิม ก่อนจะไปนอนต่อ
ภาพจากกล้องที่ซ่อนไว้ ถ่ายให้เห็นภาพในห้องนอนในอีกมุมหนึ่ง และเห็นกล้องหลักที่ถูกตั้งไว้ที่ด้านข้างของจอ จู่ๆกล้องหลักที่ตั้งอยู่ ขาตั้งกล้องก้ได้หุบลงเองทั้งสามข้าง ซึ่งนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้กล้องหลักล้มลง จากนั้นลุงดาบก็ลุกลงมาจากเตียงเพื่อตั้งกล้องที่ล้มลง
หลังจากดูจบก่อนที่ออดคาบเรียนต่อไปจะดัง ดาวได้โทรไปหาภูจากเบอร์โทรที่ถูกบันทึกไว้เพียงเบอร์เดียวในเครื่อง
"นี่นาย ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่" ทันทีที่ภูรับสายดาวก็ยิงคำถามใส่ทันที
"ถ้าเธอหมายถึงภาพที่ส่งให้ ก็คงจะเป็นกล้องล้มมั้ง" ภูตอบแบบกวนๆแต่ดาวไม่เล่นด้วย เธอจึงตะโกนใส่ไปทีนึง
"ฉันหมายถึงที่กล้องมันล้มน่ะ เป็นฝีมือผีที่ว่าหรือเปล่า" ดาวถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง คราวนี้ภูก็ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นกัน
"เพราะแบบนี้ไง คืนนี้ฉันถึงอยากให้เธอไปนอนเป็นเพื่อนพี่แก้ม" คำตอบของภูทำให้ดาวเงียบไปพักนึง
"ทะ..ทำไมต้องเป็นฉันล่ะ"คราวนี้ดาวถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
"นี่ฟังนะ จำที่ฉันบอกได้หรือเปล่าว่าอุปกรณ์ต่างๆไม่ได้มีไว้จับผี แต่เอาไว้ตรวจจับสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันจ้างเธอ ฉันคิดว่าเธอสามารถสามารถสัมผัสได้ถึงปรากฏการณ์ทางวิญญาณ"
"แล้วนาย...รู้ได้ไงน่ะ"ดาวยังคงสงสัยในสิ่งที่ภูพูด
"เธอจำเรื่องที่เกิดขึ้นกับโหน่งได้หรือเปล่า จากที่เธอเล่าทั้งเรื่องที่เธอไปส่งโหน่งที่บ้าน และในความฝัน ฉันจึงอยากลองพิสูจน์ดู" จากคำพูดของภูทำให้ดาวเริ่มคิดตาม
"อีกอย่าง คนปกติที่ไม่สามารถสัมผัสถึงวิญญาณหรือสิ่งเหนือธรรมชาติได้ อาจแทนด้วยศูนย์ ส่วนเธอ ถ้าเธอสามารถสัมผัสได้ ก็จะเป็นบวก แต่สำหรับฉัน มันคือลบ นี่เป็นเหตุผลที่ฉันต้องพึ่งเธอ" คราวนี้หัวใจของดาวเต้นแรงโดยเมื่อรู้ตัว ความรู้สึกลึกๆของดาว เธอแอบดีใจ ที่ภูเห็นเธอสำคัญ
"แล้วฉันต้องทำไงบ้าง"
"เดี๋ยวฉันจะบอกเอง วันนี้กลับบ้านไปบอกพ่อซะว่าจะมานอนกับพี่แก้ม ส่วนตอนนี้เธอเรีบไปเรียนได้แล้ว" พอพูดจบภูก็วางสาย พร้อมๆกับเสียงออดที่ดังขึ้น
(คงไม่มีอะไรหรอกน่า)
.......................................
คืนนั้น ในห้องนอนของพี่แก้ม บนเตียงดาวนั่งคุยกับพี่แก้มอยู่ โดยเธอเลี่ยงที่จะพูดถึงรายละเอียดมากนัก เพราะภูได้กำชับไว้ว่าอย่าให้พี่แก้มรู้สึกกลัว ในห้องนอน มีกล้องวีดีโอซึ่งเป็นห้องหลักตั้งไว้อยู่ตัวหนึ่ง และกล้องอื่นที่ซ้อนไว้
ใต้ชุดนอนที่เป็นชุดวอร์มของดาว ภูได้ติดตั้งอุปกรณ์วัดการเต้นของหัวใจให้ดาว เขาบอกว่า หากดาวหลับและอัตรการเต้นของหัวใจผิดปกติ เขาสามารถขึ้นไปช่วยได้
คืนนี้ภูนั่งอยู่ในรถตู้ของเขา ซึ่งด้านหลังได้ดัดแปลงให้มีจอภาพที่แสดงภาพต่างๆภายในบ้านรวมถึง จอภาพที่แสดงถึงกราฟแสดงการเต้นของหัวใจของดาว ซึ่งตอนนี้มันเต้นแรง คงเพราะดาวอาจจะตื่นเต้นทำให้ภูอดขำไม่ได้
"นี่ดาว บ้านพี่มีผีจริงๆใช่มั้ย" จู่ๆพี่แก้มก็ถามขึ้นในขระที่ทั้งสองคนกำลังนอน คำถามนี้ทำให้ดาวรู้สึกอึ้งเพราะไม่นึกว่าจู่ๆพี่แก้มจะถาม
"หนูคิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้นค่ะพี่แก้ม" ดาวพยายามตอบอย่างเลี่ยงๆ เธอได้ยินเสียงพี่แก้มถอนหายใจ
"ราตรีสวัสดิ์นะ"
"ค่ะ พี่แก้ม"
ดาวพยายามข่มตาให้หลับ เสียงหัวใจของดาวเต้นแรงจนเธอรู้สึกได้ อาจจะเป็นเพราะมันแปลกที่ หรืออาจะเป็นเพระมีกล้อง ที่ภูสามารถมองเห็นเธอนอนได้ หรือไม่อย่างนั้น.....
อาจจะมีใครคนอื่นมองอยู่ก้เป็นได้
........................................
ดาวกำลังนอนอยู่บนเตียง บรรยากาศและเวลาในห้องดูเหมือนจะหยุดนิ่ง ความเย็นของเครื่องปรับอากาศทำให้ดาวหนาวไปถึงกระดูก ในขณะที่ตายังคงหลับ เธอเอื้อมมือไปเพื่อจะดึงผ้าห่มขึ้น
แต่มันหายไป
ผ้าห่มร่นมาที่ขา ดาวเอื้อมมือ ไปเพื่อจะดึงขึ้นมา แต่มันก็ร่นลงไปอีก ความกลัวผุดขึ้นมาในใจของดาว พร้อมด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก อันแผ่วเบา
ดาวตกใจกลัวจนลืมตาขึ้น
ภายในห้องมืดสนิท เสียงเครื่องปรับอากาศก็เหมือนจะกลืนไปกับความเงียบ ด้านข้างพี่แก้มนอนนิ่งไม่ไหวติง จากนั้นเสียงหัวเราะก็ค่อยๆดังขึ้น เหมือนว่ามันจะมาจากข้างๆหู
"มาเล่นกันเถอะ" เสียงยานคางอันยะเยือกของเด็ก กระซิบข้างหูดาวอย่างแผ่วเบา จนลมปากกระทบซอกคอ ทำให้ดาวขนลุกจนต้องหันไป
แต่ไม่มี
เสียงหัวเราะดังขึ้นเหมือนว่ามันขบขันเมื่อเห็นท่าทางของดาว
"พี่สาวมาเล่นกัน" คราวนี้มือสีดำตัดกับความมืด มาจับที่ข้อเท้าของดาว มันเย็นเฉียบจนเธอสะดุ้ง
"มาเล่นกัน"
"มาเล่นกัน"
"มาเล่นกัน"
คำพูดที่สลับกับเสียงหัวเราะได้ปั่นป่วนจิตใจของเด็กสาวให้กระเจิง ต้นเสียงของเสียงหัวเรานั้นเป็นเงาค่อยๆคืบคลานมาจากทั่วมุมห้อง
ในตอนนี้อย่าว่าแต่จะลุกหนี แต่จะอ้าปากเพื่อส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ดาวยังทำไม่ได้ มีเพียงสายตาเท่านั้นที่ยังคงมองเห็นกลุ่มเงาทะมึน ที่กำลังคืบคลานมาหาเธอ
"อย่าแกล้งพี่เขาสิ" เสียงของเด็กอีกคนหนึ่งดังแว่ว จากนั้นก้เงียบหายไป พร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัว เงาดำนั้นหายไปสิ้น
"ดาว เป็นอะไรรึเปล่า" ภูเปิดประตูเข้ามา มันทำให้ดาวตกใจตื่น พร้อมกับพี่แก้ม
"เกิดอะไรขึ้นหรือดาว"พี่แก้มที่กำลังงัวเงียถาม พร้อมกับเปิดไฟที่หัวเตียง
"มะ...ไม่มีอะไรค่ะ"สีหน้าดาวตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหงื่อเป็นเม็ดๆบนหน้าดาว ซึ่งอากาศในห้องก็เย็นเพราะเปิดเครื่องปรับอากาศไว้
"พอดีฉันเห็นกราฟอัตรการเต้นของหัวใจเธอแปลกๆไป ฉันเลยรีบวิ่งขึ้นมา"
ทันใดนั้นดาวก็โผตัวมากอดภูไว้แน่น เขารู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของเด็กสาว น้ำตาของดาวไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวตัว คงเพราะเธอกลัวหรือไม่ก็เธอดีใจที่ผ่านเรื่องน่ากลัวมาได้
ชายหนุ่มค่อยลูบหัวของเด็กสาวอย่างอ่อนโยน พี่แก้มกำลังมองดูภาพที่อยู่ตรงหน้าอย่างสงสัย
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
.................................................
รุ่งเช้า เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง ดาวเดินลงมาจากชั้นสองของบ้านพี่แก้มอย่างเร่งรีบ แต่ภูที่นั่งทำงานอยู่ในส่วนของร้านได้ฉวยมือเอาไว้ สีหน้าของดาวดูไม่ค่อยดี แววตาสั่นกลัว ใบหน้าซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด
"นี่นายจะรั้งฉันไว้ทำไมปล่อยนะ" ดาวพยายามสะบัดมือ แต่ภูก็ยิ่งจับไว้แน่น
"เธอเป็นอะไรไปดาว จู่ๆก็จะกลับ...."แต่ยังไม่ทันที่ภูจะพูดจบน้ำตาก็ค่อยไหลออกมาจากดวงตาของดาวที่เต็มไปด้วยความกลัว
"ฉันกลัว ฉันไม่ไหวแล้ว เมื่อคืนฉันนอนไม่หลับ เมื่อจะหลับตาภาพมันก็ตามมาหลอกหลอนอยู่ตลอด ปล่อยฉันไปเถอะนะ ฉันไม่ทำแล้วแล้ว"ดาวระบายความรู้สึกออกมาเป็นชุดกับน้ำตาที่ไหลออกมาราวเขื่อนแตก ภูดึงร่างอันสั่นเทาของเด็กสาวมากอด ใบหน้าของดาวซบลงบนหน้าอกภู เธอร้องไห้อย่างไม่มีกั๊ก มือของชายหนุ่มตระกองกอด ส่วนอีกข้างก็ลูบหัวของเด็กสาวอย่างแผ่วเบา
"ฉันขอโทษนะ" เป็นคำพูดที่แผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
พอร้องไห้ได้ซักพัก ดาวก็ตั้งสติได้ พร้อมกับที่พี่แก้มตื่นนอน เมื่อพี่แก้มเห็นหน้าดาวก็ตกใจรีบมาถามไถ่เป็นการใหญ่ ดาวก็ได้แต่บอกปัดว่าไม่เป็นไรพร้อมกับขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าที่บ้าน
"ดาวเดี๋ยวเสร็จแล้วไปกับฉันหน่อยนะ วันหยุดฉันอยากพาเธอไปรู้จักกับคนๆหนึ่ง" ดาวพยักหน้าแล้วก็เดินออกไป จากนั้นพี่แก้มก็รีบมาถามเรื่องราวกับภูทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ภูก็มีท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ ว่าจะเล่าให้พี่แก้มดีหรือเปล่า
"พี่แก้มรับได้จริงๆใช่มั้ยครับถ้าผมจะเล่า"ภูทำหน้าจริงจังจนพี่แก้มตกใจ จนพี่แก้มบอกไปว่ายังไม่ต้องก็ได้ เพราะดูเหมือนเธอก็พอจะรู้ๆอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น
"จริงๆเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าผมเจอข้อสรุปของเหตุการณืทั้งหมด ผมคิดว่าน่าจะแก้ปัญหาได้ครับ" เมื่อได้ยินถึงคำว่าแก้ปัญหาพี่แก้มก็หันมาถามด้วยความสนใจ
"ตกลงบ้านพี่มีผีจริงๆใช่มั้ย"พี่แก้มถาม แต่ภูก็ทำได้เพียงแต่พยักหน้า พี่แก้มดูเหมือนจิตตก แต่เหมือนว่าแกทำใจไว้แล้วว่าอาจจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
"จากเหตุการณ์เมื่อคืน ทั้งอาการของดาว ภาพถ่ายจากกล้อง และหลักฐานสนับสนุนทั้งหมด ผมยืนยันว่าบ้านนี้มีผีครับ"ภูตอบอย่างจริงจัง จนทำให้พี่แก้มรู้สึกกลัว
"แต่ถ้ายังไง ตอนเย็นถ้าลุงดาบกลับ ผมอยากจะคุยรายละเอียดอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง เพราะเดี๋ยวผมจะต้องพาดาวไปหาคนรู้จักของผมไม่อย่างนั้นงานนี้อาจจะล่มได้ครับ แล้วก็..." ภูค้นหาอะไรบางอย่างในโทรศัพท์จากนั้นก็ยื่นให้พี่แก้มดู
"สมศรี พงษ์ประไพ ใครเหรอคะ?" พี่แก้มสงสัยเมื่อได้เห็นชื่อนี้
"เจ้าของบ้านหลังนี้คนแรกครับ ผมเห็นชื่อในโฉนด ก่อนที่จะจำนองกับธนาคารจากนั้นก็เปลี่ยนมือมาจนถึงลุงดาบ ซึ่งคนก่อนหน้าลุงดาบเหมือนจะเป็นญาติ นามสกุลเดียวกัน น่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่เจ้าของบ้านคนแรกนี่แหละที่ผมสงสัย ก็เลยอยากฝากให้พี่แก้มลองไปถามคนแถวๆนี้ที่อยู่มาตั้งแต่สร้างหมู่บ้านได้มั้ยครับ"
"จะลองดูนะคะ แต่ถ้าพูดถึงคนที่อยู่มาตั้งแต่สร้างหมู่บ้าน ที่ฉันรู้จักก็คงจะมีแต่พ่อของดาวค่ะ" เมื่อได้ยินชื่อของดาว ภูก็สนใจขึ้นมาทันที
"พ่อของดาวเหรอครับ"ภูถามย้ำไปอีกครั้ง
"ค่ะ ได้ยินมาว่าพ่อของดาวเค้ามาสร้างหมู่บ้านนี้ แต่ไม่ได้ย้ายไปกับกลุ่มคนงาน เจ้าของหมู่บ้านเลยยกบ้านหลังท้ายหมู่ พ่อของดาวก็เลยอยู่มาตลอดทำงานรับจ้างซ่อมนั้นซ่อมนี้และก็เป็นยามด้วยค่ะ"พี่แก้มเล่า
"ถ้าอย่างนั้นก้ดีเลย ถ้าพ่อของดาวไม่ลืมไปซะก่อนเราน่าจะไขปริศนานี้ได้ครับ"
"ปริศนาอะไรเหรอคะ"พี่แก้มยังคงสงสัย
"เอาไว้บอกตอนเย็นดีกว่าครับ" ภูยิ้ม
.......................................................
"เดี๋ยวหนูไปก่อนนะคะพ่อ" ดาวที่แต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์ดูทะมัดทะแมงได้ลาพ่อขอเธอเพื่อจะออกไปธุระกับภู
"จ้า รักษาตัวด้วยนะ ว่าแต่ดาวเมื่อคืนไปนอนกับแก้มเค้าเป็นไงบ้างล่ะ" จู่ๆพ่อของดาวก็ถามเมื่อเห็นสีหน้าของแก้มดูแปลกๆไป
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะพ่อ พ่อสบายใจได้นะคะ"ดาวยิ้มให้ แต่รอยยิ้มนั้นดูเหมือนฝืนๆจนพ่อของเธอสังเกต
"ถ้าอย่างนั้นก็ระวังตัวด้วยนะ อย่าฝืนมากนักล่ะ พ่อเป็นห่วง"
"ขอบคุณค่ะพ่อ"ดาวกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ปั่นจักรยานออกไป เมื่อพ่อเห็นดาวลับตาไป พ่อจึงพูดอะไรบ้างอย่างออกมาคนเดียว
"ฝากดูแลลูกของเราด้วยนะแม่"
........................................
ตอนเช้าในวันหยุดในกรุงเทพ ถนนดูโล่งกว่าเดิมนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าติดเอาการ ภูกับดาวนั่งหน้าหน้ารถตู้สองคน บรรณยากาศในรถดูอึดอัดโดยเฉพาะกับดาว เธอไม่รู้จะเริ่มประโยคสนทนายังไง จึงได้แต่นั่งเกร็งๆอยู่อย่างนั้น เมื่อภูหันมามองเค้าก้ได้แต่ยิ้ม
"ไม่เคยนั่งรถหรือไง นั่งตัวแข็งทื้อเชียว"ภุพูดหยอก
"เคยสิบ้านฉันก็มีรถนะ แต่นั่งกับนายมันรู้สึกอึดอัดบอกไม่ถูก"เหมือนว่าอาการของดาวจะเริ่มดีขึ้นถึงสามารถต่อปากต่อคำกับภูได้
"รู้มั้ยฉันจะพาเธอมาเจอกับใคร" คำถามที่ภูถามขึ้นมาลอย ทำให้ดาวรู้สึกว่าเขากำลังกวนโมโหเธออยู่
"ฉันจะรู้กับนายมั้ยหะ แต่ถ้านายพาฉันไปทำมิดีมิร้ายได้เห็นดีกันแน่" ดาวพุดพร้อมกับทุบไปที่ต้นขาภูทีหนึ่ง
"โอ๊ย! ทำอะไรของเธอเนี้ย"ภุโวยขึ้นมา ดาวก็เชิดใส่พร้อมกับหัวเราะเบาๆ
"อันที่จริงที่ฉันพาเธอมาหาเค้า ก้เพราะเรื่องของเธอเมื่อคืนนั่นแหละ" น้ำเสียงของภูเริ่มเปลี่ยนไป จนทำให้ดาวเริ่มคิดถึงมันอีกครั้ง
"นี่นายหมายถึงที่ฉันโดนผีหลอกเหรอ" ดาวถาม
"เปล่า ฉันหมายถึงเธอกำลังกลัวต่างหาก"คำพูดของภูทำให้ดาวประหลาดใจ
"กลัวงั้นเหรอ"ดาวเอ่ยขึ้นมาเบาๆแต่เหมือนภูจะได้ยิน
"เค้าเรียกว่าอาการ sleep paralysis หรือผีอำนั่นแหละ แต่เป็นแบบที่เกิดขึ้นจากผีของจริง" ดาวนั่งเงียบตั้งใจฟังในสิ่งที่ภูพูด
"ปกติการถูกผีอำเป็นความผิดปกติของการสั่งงานของสมองคือ คือไม่สามารถขยับตัวได้ แต่ฝันว่ากำลังตื่นอยู่ และมีอาการหลาดกลัวร่วมด้วย แต่ถ้าถูกผีอำจริงคือ การเกิดความกลัวจากภูติผี ทำให้เกิดกระบวนการย้อนกลับ ทำให้สมองไม่สามารถสั่งการให้ขยับร่างกายได้ และมันคือสั่งที่เกิดขึ้นกับเธอ"พอภูพูดจบ ก้ทำให้ดาวอึ้งไปพักหนึ่ง
"ฉันกลัวงั้นเหรอ" คำพูดที่แผ่วเบาของดาว มันวนเวียนซ้ำๆอยู่ในหัวของเธอ ไม่ใช่เพราะเะอกลัว แต่เธอรู้สึกว่าเธอไม่อยากอ่อนแอกับความกลัวอีกต่อไป
..............................................................
รถตู้กำลังจอดอยู่หน้าคลีนิคในชุมชนเล็กๆแห่งหนึ่ง ดาวยังคงนั่งนิ่งอยู่บนรถก่อนที่ภูจะสะกิดให้เธอลงไป
"นี่จะนั่งอยู่ทำไม ลงไปได้แล้ว" ภูไล่
"แล้วนายมาที่ไหนเนี้ย" ดาวมองออกไปนอกรถอย่างแปลกใจ ก่อนที่จะเดินลงไป ดาวแหงนมองไปที่ป้ายของคลีนิค
"ลูกเจี๊ยบคลีนิคและเวชกรรม" ดาวอ่านชื่อเงียบ ในขณะที่ภูเดินมาจากข้างหลัง แล้วสะกิดจนดาวสะดุ้ง ทำให้เธอค้อนใส่ภูไปทีนึง
"ยืนบื้ออยู่ทำไม เข้าไปได้แล้ว"
"แต่นี่ คลีนิคยังไม่เปิดเลยนะ" ดาวชี้ไปที่ป้ายหน้าร้านที่บอกว่าเปิด 9.30 น. ในขณะที่ตอนนี้เพิ่งจะแปดโมงเช้าเอง
"แล้วฉันบอกเธอเมื่อไหร่ว่าจะพามาหาหมอ" ว่าแล้วภูก็ลากแขนดาวเข้าไปในคลีนิค คลีนิคเป็นห้องแถวเล็กคูหาเดียว ข้างในมีเคาเตอร์จ่ายยา และม้านั่ง3ที่ ส่วนข้างๆก็มีเก้าอี้พลาสติกซ่อนกันอยู่ตั้งหนึ่ง
"สวัสดีครับป้า พี่เจี๊ยบตื่นหรือยังครับ" ภูกล่าวทักผู้หยิงวัยกลางคนที่กำลังปัดกวาดคลีนิคอยู่ ทำให้ดาวต้องสวัสดีตาม
"สวัสดีจ้าภู ป้าก็ไม่รู้นะว่าเจ้าเจี๊ยบมันตื่นรึยัง ว่าแต่ได้นัดกันไว้ก่อนรึเปล่า" ป้าคนนี้คือป้ากุ๊กเป็นแม่ของพี่เจี๊ยบ ซึ่งเป็นหมอเจ้าของคลีนิคนี้
"เมื่อคืนโทรคุยกันแล้วครับ แต่ไม่รู้ว่าพี่แกจะลืมหรือเปล่า"
"นั่นสิ เมื่อคืนก็กลับมาดึกซะด้วย งั้นเดี๋ยวป้าจะลองไปดูให้นะ" ไม่ทันขาดคำ หมอเจี๊ยบ ที่ยังใส่ชุดนอนลายคิดตี้ ผมเผ้ายุ่งเหยิง สวมแว่นหนาเตอะ เดินหาวออกมาจากข้างหลังคลีนิค
"ไงภู มาแต่เช้าเชียวนะ" พูดเสร็จพี่เจี๊ยบก็หาวอีกหนึ่งที ซึ่งทำให้ดาวยิ่งสงสัยว่าทำไมภูต้องพาเธอมาหา หมอที่ดูท่าทางเอ๋อๆคนนี้ด้วย
"หวัดดีพี่เจี๊ยบ ดาวคนที่เมื่อคืนผมเล่าให้ฟังไง" หมอเจี๊ยบพยักหน้าแบบมึนๆเหมือนคนไม่สร่างดี คงเป็นเพราะภูโทรไปหาหมอเจี๊ยบตอนที่เธอกำลังเมากลับบ้านพอดี และดูท่าทางเธอก็คงมีเวลานอนไม่ถึง5ชั่วโมงด้วยซ้ำ
"ดาวเดี๋ยวเธอก็ไปคุยกับพี่เจี๊ยบนะ ป้าครับผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับ" ภูพูดจบก็ยกมือไหว้แม่ของหมอเจี๊ยบจากนั้นก็เดินออกไป ทิ้งไว้ให้ดาวยืนมองอย่างงงๆ ซึ่งในใจของเธอก็คงผุดคำด่าออกมาอย่างพรั่งพรูเหมือนกัน
"เดี๋ยวเธอก็ตามพี่มาในห้องตรวจเลยละกันนะ" หมอเจี๊ยบพูดจากนั้นก็เดินไปคล้าชุดกาวด์ มาใส่ทับชุดนอนลายคิตตี้ของเธอ ซึ่งดาวก็เดินตามเธอเข้าไปอย่างงงๆ
ในห้องตรวจ ด้วยความที่นั่งใกล้กันมากเหมือนหมอกับคนไข้ ทำให้ดาวได้มองดู "สารรูป"ของหมอเจี๊ยบอย่างละเอียด ผมที่ดูกระเซิง(เพราะเพิ่งตื่นนอน) แว่นตาวงกลมขนาดใหญ่ ชุดนอนที่ใส่ไม่เรียบร้อย และยังรัดติ้วจนหน้าอกแทบจะทะลักออกมา จนทำให้ดาวเผลอกลืนน้ำลายโดยเมื่อรู้ตัว แต่พอย้อนกลับมาดูตัวเอง มันก็ทำให้ดาวได้แต่ถอนหายใจ เพราะเนินดินเตี้ยๆ มันก็สู่เทือกเขาไม่ได้อยู่แล้ว
"เมื่อคืนตอนภูโทรมา พี่ก็มึนๆนิดหน่อย ก็เลยอยากฟังจากปากเธอมากกว่าน่ะ" ดาวได้แต่ตอบด้วยคำว่า "คะ"เพียงคำเดียว คือเธออยากถามด้วยความแน่ใจว่าหมอเจี๊ยบอยากฟังเรื่องอะไรกันแน่
"ก็เรื่องเมื่อคืนไง ที่เธอโดนผีอำน่ะ คงจะกลัวมากล่ะสิถ้า" หมอเจี๊ยบยิงคำถามจี้ใจดำดาว โดยเฉพาะคำว่ากลัว คำที่ยังคาใจเธอจนมาถึงเดี๋ยวนี้ ดาวเล่าเหตุการณืที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้หมอเจี๊ยบฟังทั้งหมด หมอเจี๊ยบฟังอย่างตั้งใจด้วยท่าทางมึนๆ บางครั้งก็พยักหน้า บางครั้งก้หาว จนดาวชักไม่แน่ใจว่าคนๆนี้เป็นหมอจริงๆรึเปล่า
"มิน่าล่ะตาภูถึงสนใจเธอ" คำพูดนี้ของหมอเจี๊ยบทำให้ดาวหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว
"นี่พี่จะเล่าอะไรให้ฟัง ว่าแต่ภูพูดถึงเรื่องผู้มีสัมผัสวิญญาณให้ฟังแล้วใช่มั้ย" ดาวพยักหน้า
"พี่น่ะเป็นผู้มีสัมผัสวิญญาณเหมือนกัน แต่ต่างจากของเธอนะ ของเธอคืนการสื่อสารวิญยาณในสภาวะฝัน แต่ของพี่ คือการรับรู้ตัวตนและความรู้สึกเมื่ออยู่คนเดียว" คราวนี้ดาวมีสีหน้าที่ให้ความสนใจมากขึ้น
"ยังไงเหรอคะ หนูไม่เข้าใจ" ดาวถาม แต่หมอเจี๊ยบก็แอบหัวเราะเบาๆด้วยความเอ็นดู
"ก็นะ ในอาณาเขตที่มีวิญญาณ ถ้าพี่อยู่คนเดียว พี่จะรับรู้ถึงตัวตนและอารมณ์ ความรู้สึก ของภูติผี วิญญาณเหล่านั้น แม้จะมองไม่เห็น ไม่ได้ยิน แต่พี่ก็รู้สึกได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ ภูก็มาขอให้พี่ช่วย แต่มันก็มีข้อจำกัดนะ พี่ได้แค่รู้ว่ามีเค้า แต่สื่อสารกับเค้าไม่ได้เหมือนกับเธอ" คำพูดของหมอเจี๊ยบ ทำให้ดาวตะลึง บางทีก็คงเพราะเธอเจอคนที่เข้าใจเรื่องที่อธิบายได้ยาก ถึงแม้ว่าเค้าจะเป็นหมอ(ที่ตอนนี้ดูยังไงก็ไม่เหมือนหมอ)ก็ตาม
"ที่ว่าอาณาเขตคืออะไรเหรอคะ อย่างเรื่องบ้านของพี่แก้ม ที่หนูไปตรวจสอบ ตานั่นก็พูดถึงอาณาเขตเหมือนกัน"
"อาณาเขต คือขอบเขตที่วิญญาณนั้นยึดติดอยู่ อาจจะเป็นสถานที่ คน หรือสิ่งของก้ได้ หากวิญญาณมีความยึดติดอยู่ เค้าจะไม่ไปจากอาณาเขตของตัวเอง และสำหรับพี่ หากพี่อยู่คนเดียว ในห้อง ในบ้าน หรือสถานที่ไหนที่มีวิญญาณอยู่พี่ถึงจะสัมผัสได้ นี่ๆพี่มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง"
ดาวทำหน้าสนใจ จากนั้นหมอเจี๊ยบก็เริ่มเล่า
"ตอนปีหนึ่งที่พี่เข้าเรียนหมอ ตอนรับน้องพี่ถูกรุ่นพี่ขังในห้องดับจิตคนเดียวชั่วโมงนึง พี่ก็รู้นะว่าหมอจะกลัวไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นศพ หรือแม้แต่ผี เพราะเราทำงานกับความเป็นความตาย พี่อยู่ในห้องคนเดียว ประตูที่พี่สามารถออกไปได้ทุกเมื่อ แต่มันก็หมายถึงว่าเราเอาชนะความกลัวไม่ได้ และแน่นอนพี่ไม่ได้อยู่คนเดียว พี่รู้ถึงตัวตนของวิญญาณที่ยังติดอยู่กับร่างในห้องดับจิตมากมาย และความรู้สึกเหล่านั้น มีทั้งความเสียใจ ความห่วงหา ความผิดหวัง ความเศร้า ความโกรธ ความเกลียด ความอาฆาต ทุกอย่างที่เป็นอารมณ์ของเค้าเหล่านั้น มันประดังเข้ามาในความรู้สึกพี่ มันทำให้พี่กลัว พี่กลัวจนไม่กล้าที่จะหลับตา เพราะพี่กลัวว่าถ้าพี่หลับตาพี่จะเห็นเค้าเหล่านั้นก็ได้ แต่พี่ก้ผ่านมันมาได้ จนตอนที่พี่จบมาพี่เลือกที่จะเรียนนิติเวช" หมอเจี๊ยบเล่าด้วยสายตาที่เป็นประกายแห่งความภาคภูมิใจ จนดาวสังเกตได้
"แล้วหมอเจี๊ยบผ่านมันมาได้ยังไงเหรอคะ" พอดาวถามหมอเจี๊ยบก้หลุดขำ
"ไม่ต้องเรียกหมอก้ได้ เรียกพี่น่ะดีแล้ว ก็คือพี่มีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าความกลัวน่ะสิ ถ้าพี่ผ่านความกลัวนี้ไปได้ ความฝันที่จะเป้นหมอของพี่นั้นจะรออยู่ แล้วก็นะบางอารมณ์ความรู้สึกของวิญญาณ บางคนก็มีความคับแค้นใจ ถึงแม้เค้าจะตายแล้ว แต่เค้าก็ยังต้องการความยุติธรรม เพราะอย่างนี้พี่ถึงเรียนนิติเวช เพราะพี่จะได้ช่วยเหลือคนตาย ส่วนเวลาว่างเสาร์อาทิตย์ พี่ก็มาเปิดคลีนิครักษาคนเป็นไง"
คำพูดของหมอเจี๊ยบทำให้ดาวรู้สึกฉุกคิดขึ้นมาได้ ชะตากรรมที่น่าสงสารของโหน่ง ความกังวลของพี่แก้ม บางทีเพราะดวงวิญญาณในบ้านนั้น หากเธอยังคงกลัว ความตั้งใจในการช่วยเหลือก็จะถูกละเลย แต่ถ้าเธอเอาชนะมันไปได้ ทุกอย่างก็จะคลี่คลาย
..................................................
ก่อนที่คลีนิคจะเปิด แก้มลาหมอเจี๊ยบกับแม่กลับ เมื่อภูมารับ เธอก็ได้แต่นั่งเงียบตลอดทาง วึ่งภูก็รู้ว่าการที่เธอมาคุยกับหมอเจี๊ยบนั้นทำให้เธอคิดได้แน่ๆ เมื่อภูมาส่งแก้มที่บ้าน พร้อมกับนัดแนะแผนการ กับทุกคน แก้มก็นอนเอาแรงจนประมาณบ่ายทุกคนกลับมารวมตัวที่บ้านพี่แก้มอีกครั้ง ทั้งภู ดาว พ่อของดาว พี่แก้มและลุงดาบ และแผนการณืที่ว่านั้นก็คือดาวจะต้องนอนที่บ้านพี่แก้มคนเดียว ส่วนทุกคนจะรอดูสถานการณ์ในรถตู้ที่มีจอมอนิเตอร์ ที่ถ่ายภาพในบ้าน ซึ่งแผนการณืก็คือ ดาวจะต้องติดต่อ "วิญญาณ" ที่เคยห้ามวิญญาณอื่นมาทำร้ายเธอ เพื่อสอบถามเรื่องราวทั้งหมด ก่อนที่จะแก้ไขต่อไป
ธูปหนึ่งดอกถูกดาวจุดขึ้น ในช่วงหัวค่ำ ดาวนั่งยองๆบริเวณหน้าประตูเข้าบ้านพนมมืออธิฐานเพื่อที่จะสื่อถึงวิญยาณที่เคยช่วยเหลือเธอ
(หากวิญญาณที่ช่วยฉันเมื่อคืนได้รับรู้ คืนนี้ช่วยมาเข้าฝันฉัน ฉันอยากรู้เรื่องราวทั้งหมด เพื่อที่จะช่วยเหลือทุกๆคน) จากนั้นดาวก็ค่อยๆปักธูปลงบนรอยแตกของพื้นจากนั้นเธอจึงเดินเข้าบ้านไป คนเดียว!
..........................................................
ภายในบ้านไฟทุกดวงถูกเปิดจนสว่างไสว คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในร้านก้ถูกเปิดเช่นกัน ภาพภายในบ้านจากมุมต่างๆได้ถ่ายทอดผ่านกล้องทุกตัว เชื่อมไปยังรถตู้ที่มีจอมอนิเตอร์ และทุกคนที่เฝ้ามองอย่างใจจดใจจ่อ แน่นอนภายในบ้านมีแค่ดาวเพียงคนเดียว เธอติดต่อกับภูที่อยู่ด้านนอกผ่านไมค์และหูฟังตัวเล็ก และเพื่อความไม่ประมาท เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจก้ถูกติดไว้ที่ตัวดาวเช่นกัน
และแม้ว่าในบ้านจะเปิดไฟสว่าง แต่ลึกๆดาวรู้สึกอึดอัดเป็นพิเศษ ถ้าไม่เพราะกล้องหลายๆตัวที่เฝ้ามองพฤติกรรมของเธอเหมือนรายการเรียลลิตี้ ก็อาจจะเป็นเพราะในบ้านมี "ใคร" เฝ้ามองเธออยู่จริงๆ
"นี่นาย ยังอยู่มั้ย ฉันรู้สึกแปลกๆ"ดาวพูดใส่ไมค์
"คิดไปเองรึเปล่า ภาพจากกล้องกับเซนเซอร์ค่าต่างๆยังไม่เปลี่ยนเลยนะ" ภูพูดหลังจากที่มองไปยังเซนเซอร์วัดอุณหภูมิและตัวจับคลื่นเสียงที่ยังคงไม่แสดงค่าที่ปกติแต่อย่างใด
"บางที่ฉันว่า ฉันเข้าใจความรู้สึกของหมอเจี๊ยบแล้วแหละ" ดาวพูดในขณะที่กำลังนึกถึงเรื่องที่หมอเจี๊ยบเล่าให้เธอฟังเมื่อตอนเช้า
(สิ่งที่เหนือกว่าความกลัวอย่างนั้นเหรอ)
"ถ้าฉันจะให้เธอนอนเลยพอจะไหวมั้ย" ภูพูดเปิดประเด็นทันที แม้เค้าจะรู้ดีว่า ดาวพึ่งหลับไปในตอนบ่าย แต่ด้วยสภาพการที่เกิดขึ้น ภูไม่อยากเสี่ยงที่จะไม่ได้ผลอย่างที่คาดไว้
ไม่มีคำตอบจากดาว แต่จากการที่เธอเดินไปที่ห้องนอนของพี่แก้มนั่นแสดงว่าเธอก้เห็นด้วยในข้อเสนอของภู
ทันทีที่เดินเข้ามาในห้อง เพียงก้าวแรกของดาวก็ขาตายอยู่หน้าประตู ภาพเหตุการณ์ในฝันที่ทำให้เธอกลัวสุดขีดจนเกิดอาการผีอำนั้น ผุดขึ้นมาในหัวเธออีก ดาวยืนนิ่งจนภูต้อง ถามซ้ำๆว่าเธอไหวหรือเปล่า
(ใช่แล้ว เรามีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าความกลัวนี่นา)
ภูมองภาพดาวเดินเข้าไปห้องหลังจากที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู เข้าพยายามถามว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า แต่ดาวก็ตอบแต่เพียงว่าไม่เป็นไร
ในห้องดาวเลือกที่จะไม่เปิดไฟ เพราะมันทำให้เธอนอนหลับได้ง่ายขึ้น ดาวนอนทำสมาธิอยู่นานเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกเกร็งจนพาลจะไม่หลับเอาเสียดื้อๆ ทุกคนที่เฝ้ามองไปที่หน้าจอต่างนิ่งเงียบ โดยเฉพาะพ่อของดาวที่มองดูด้วยความเป็นห่วง
...............................................
(ที่นี่ที่ไหน) ดาวนึกในใจรอบตัวเธอมันรู้สึกแตกต่าง รอบๆตัวเธอคือหน้าบ้านพี่แก้มที่ดูไม่เหมือนบ้านพี่แก้ม ตรงรั้ว มีป้ายที่วาดด้วยสีน้ำเขียนตัวตัวหนังสือสีแดงตัวโตๆว่า "สมศรีซาลอน" ดาวพยายามรวบรวมสติ เธอจำได้ว่าตอนเด็กๆ บ้านพี่แก้มหลังนี้เคยเป็นร้านเสริมสวยมาก่อน
(งั้นก็หมายความว่า) แม้เพียงความคิด แต่ก็มีเสียงที่เหมือนจะเปร่งเข้ามาในหัวสมองเธอโดยตรงจนทำให้ดาวรู้สึกตกใจ
(ใช่แล้วครัว นี่คือเรื่องพี่อยากรู้และเรื่องราวทั้งหมด) ดาวหันไปด้านหลัง เด็กผู้ชายตัวเล็กๆแต่งตัวมอมแมมยืนอยู่ด้านหลังเธอ แม้แววตาเด็กคนนี้จะดูว่างเปล่า แต่ดาวก็ไม่รู้สึกว่าเด็กจะคิดร้ายกับเธอแม้แต่น้อย
"หนูคือคนที่ช่วยพี่ไว้เมื่อคืนใช่มั้ย" แต่ไม่มีคำตอบจากเด้กชาย มีแต่เพียงการยกมือชี้ให้ดาวมองไปยังบ้าน ผู้หญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวเปรี้ยวไม่สมกับวัยไว้ผมหยิกเป็นลอน เดินออกมาพร้อมกับเด็ก5คน และหนึ่งในนั้นก็คือเด็กคนที่กำลังชี้ให้ดาวไปดูนั่นเอง เด็กคนนั้นดูตัวโตกว่าเป็นคนอื่น อาจจะเป็นพี่คนโตของน้องๆก็ได้
ซักพัก ภาพก็ตัดมาที่ในบ้าน ภายในบ้านส่วนที่ควรจะเป็นร้านเกมส์ แต่ตอนนี้เป็นร้านเสริมสวย ผู้หญิงคนนั้นกำลังทำผมให้ลูกค้าอย่างยิ้มแย้ม ขณะที่ลูกๆของเธอก้กำลังเล่นกันอย่างมีความสุข ทุกคนสวมเสื้อใหม่ กำลังเล่นของเล่นกันอย่างสนุกสนาน โดยมีพี่คนโตคอยดูแลน้องๆ มันเป็นภาพของครอบครัวที่มีความสุข
แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น เด็กคนนั้นก็สะกิดสีข้างของดาว พอดาวหันไปหา เด้กน้อยก็ค่อยร้องไห้ ดาวก้มลงไปปลอบคอยถามว่า หนูเป็นอะไร เด็กน้อยได้แต่ส่ายหน้าแล้วร้องไห้ เด็กชี้ให้ดาวมองไปยังภาพที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
ร้านเสริมสวยไม่มีลูกค้า ผู้หญิงคนนั้นนั่งหน้านิ่วบนเก้าอี้ทำผม ตรงหน้ามีกองบิลกองโต เหล่าเด็กๆที่ยืนมองอยู่ด้านหลัง แต่ตอนนี้สีหน้าเด็กเหล่านั้นเริ่มไม่สดใส บางคนร้องไห้ ในขณะที่เนื้อตัวก็มอมแมม พี่ใหญ่ได้แต่กอดน้องเล็กที่กำลังร้องไห้
"แม่ไม่รักเราแล้ว ฮือๆๆๆ" เสียงของเด็กน้อยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นข้างๆดาว ภาพต่อไปที่ดาวเห็น มันทำให้เธอแทบจะทรุด
ผู้หญิงคนนั้นด่าลูกๆของเธออย่างหยาบคายด้วยถ้อยคำที่ไม่สมควรกับเด็ก บางครั้งก็ตีลูกอย่างแรง และภาพที่ทำให้ดาวอึ้งก็คือ เธอจับเด็กแต่ละคนไปขังไว้ตรงฝ้าเพดาน ในห้องนอน
ซึ่งเป็นห้องนอนของพี่แก้มพอดี
ทันที่ที่ช่องของฝ้าเพดานถูกปิดตาย เสียงร้องไห้ระงมของเหล่าเด็กอย่างน่าสังเวช ดังออกมาจากบนเพดานเป็นระยะๆ และจากนั้นก็ค่อยๆเงียบไป น้ำตาของดาวค่อยๆไหลริน ด้วยไม่นึกว่าในโลกนี้จะมีคนใจร้ายแบบนี้อยู่
ภาพกลับมาเป็นห้องพี่แก้มปัจจุบัน เด็กน้อยยังคงยืนอยู่ข้างๆเธอ แต่ตอนนี้เด็ก ร้องไห้ซบดาว
"พี่สาว ช่วยพวกเราด้วย พวกเราเหงา ที่น้องๆทำลงไปก็เพราะว่าเหงา อย่าไปว่าน้องๆเลยนะ" เสียงของเด็กน้อยชวนให้น่าสงสาร เธอคิดว่าถ้าเป็นเพราะวิญญาณที่รู้เท่าไม่ถึงการ จนทำให้เกิดเรื่องสลดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"พี่ทรยศเรา พี่ไม่รักเราแล้ว" เสียงของเด็กหลายๆเสียงดังก้องอยู่รอบตัว ในห้องยังคงมืดมิด แต่แปลกที่ดาวกลับเห็นภาพที่น่าสยดสยองได้อย่างชัดเจน
ตะปูที่ตอกบนช่องฝ้าเพดานที่ถูกกปิด ตอนนี้มันหลุดออกมาที่ละตัว พร้อมกับเสียงกระแทกตึงตังบนเพดาน เสียงหัวเราะคิกคักอันน่าคนลุกได้เสียดแทงเข้ามาถึงจิตใจทำให้ดาวรู้สึกสั่นไปทั้งตัว
"อย่าทำอะไรพี่เค้านะ" เด็กชายที่เมื่อกี้ยังร้องไห้ แต่ตอนนี้เข้าเปลี่ยนมายืนตรงหน้าดาวพร้อมทำท่าทางแขนทั้งสองข้างเหมือนว่ากำลังจะปกป้องเธออยู่
"พี่ไปช่วยมันทำไม พี่ไม่รักเราแล้วเหรอ"เสียงเหล่านั้นเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่ดูโกรธ พร้อมกับเสียงตึงตังที่ตอนนี้ได้เงียบลงไปซะเฉยๆ
"โครม" แผ่นปิดฝ้าเพดานร่วงหล่นลงบนพื้น
ดาวได้แต่ยืนตัวแข็ง ขระที่เด็กที่พยายามปกป้องเธอก็ยังยืนอยู่ไม่ไปไหน
เงาสีดำคืบคลานออกมาจากช่องบนฝ้าเพดานนั้น
มือเล็กๆของเด็กค่อยๆโผล่ออกมาจากช่องนั้น
หนึ่งข้าง
สองข้าง
สามข้าง
สี่ข้าง
ทันใดนั้น!
กลุ่มของหัวก้โผลพลวดออกมาจากช่อง กลุ่มหัวนั้นเหมือนพวกอะไรซักอย่างติดกันอยู่4หัว ดวงตาที่แดงก่ำจนเห็นได้ในความมืดเหมือนแสงจากดวงไฟ มันทำให้ดาวเห็นใบหน้าทั้ง4อย่างชัดเจน รอยยิ้มที่แสยะจนถึงหู พร้อมกับลิ้นที่แลบยาวออกมาซักไม้บันทัดนึงได้ พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังมาจากรอบทิศทาง แต่จู่ๆร่างที่น่ากลัว กับเด้กชายที่ปกป้งอดาวนั้นก็หายไป พร้อมกับเสียงร้องห้ามอย่างทุรนทุราย
ในตอนนี้ดาวไม่สามารถแม้แต่จะหลับตา เธอเลือกที่จะไม่มองไปทางอื่น ใช่แล้ว เธอกำลังกลัว
(ฉันต้องสู้สิ ถ้าเรากลัวแล้วเด็กๆพวกนี่แหละ) เธอคิด เพื่อจะจะเอาชนะความกลัวนั้น
"พวกเราทำไมเหรอ" เสียงพูดยานคางดังมาจากข้างๆหัว ดาวหันไปมองโดยทันที่ กลุ่มหัวของเด็กนั้นหันมาแสยะยิ้มใส่เธอพร้อมกัน โดยห่างจากหน้าดาวไม่ถึงคืบ "มัน" ยืนห้องหัวลงจากเพดาน ข้างสองข้างยืดยาวจนทำให้ลพตัวสั้นของเด็กยืนจะหัวทั้งสี่ลงมาอยู่ในระดับเดียวกับหน้าดาว มีทั้งสี่ของมันได้จับหัวดาวไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว มันช่วงเป็นภาพที่น่าสยดสยองที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอ
"ช่วยด้วยยยยยยยยยยยยยยยย" ดาวตะโกนอย่างสุดเสียงจากนั้นเธอก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
...........................................
"ดาวตื่นแล้ว พ่อครับ ดาวตื่นแล้ว" นี่เป็นเสียงแรกที่เธอได้ยิน ภาพเพดานที่ค่อยๆชัดขึ้น เธอจำได้ว่านี่เป็นห้องของพี่แก้ม
"พ่อ" ดาวเห็นพ่อของเธอที่อยู่ข้างๆ สีหน้าของพ่อที่ดาวเห็นทำให้เธอโล่งใจ พอมีสีหน้าที่ดีขึ้นแม้ว่าจะดูโทรมๆเหมือนกังวลมาทั้งคืน
"พ่อคะ ขอหนูคุยกับภูค่อยหน่อยได้มั้ยคะ" ดาวพยุงตัวขึ้นจากเตียง โดยมีพ่อคอยช่วย
"นี่นายฉันเห็นมาแล้ว ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น"ดาวอธิบาย แต่ภูได้แต่ส่ายหน้าและบอกว่าเธอไม่ต้องพูดแล้วให้นอนพักไปก่อน
จนช่วงเที่ยง ดาวก็ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น น้ำตาของเธอไหลโดยไม่รู้ตัว ภาพจากกล้องที่ถ่ายในห้องนอนพี่แก้ม หลังจากที่ดาวนอนหลับได้ซักพัก จู่ๆหัวใจของดาวก็เต้นแรงขึ้น ทันได้นั้น ฝาปิดช่องเพดานก็หล่นลงมา ทำให้พ่อและภูตัดสินใจทันทีที่จะเข้าไปช่วยดาว และสิ่งที่ดาวต้องแปลกใจขึ้นไปอีกหลังจากที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก็คือ ไม่มีศพของเด็กบนเพดาน แต่พ่อของดาวกลับเจอห่อผ้าห่อหนึ่ง
มันคือตู๊กตาที่เหมือนกุมารทองเก่าๆห้าตัว
"นี่มันหมายความว่ายังไง" ดาวถามไปที่ภู ที่ตอนนี้เหมือนว่าเขาจะรู้คำตอบทุกอย่างแล้ว
"ที่เธอเจอ ก็คือกุมารทองตัวหนึ่ง แต่สำนึกในตัวตนของเค้ามองว่าเค้าก็คือเด็กเป็นลูกของคุณสมศรี แน่นอนช่วงแรกกุมารทองเหล่านี้ถูกเลี้ยงดูอย่างดี เพราะร้านไปได้สวย แต่ต่อให้กุมารช่วยแค่ไหน แต่ขาดแผนธุรกิจที่ดีมันก็เจ๊งได้เหมือนกัน เมื่อบ้านถูกยึดและจากพฤติการที่ทำเค้าคงต้องการให้กุมารทองทำให้ผู้ที่ซื้อบ้านคนต่อๆไปล่มจมเหมือนเค้า จนบ้านเปลี่ยนมือมาที่ลุงดาบ และพี่แก้มเปิดร้านเกมส์ ทุกอย่างก็ลงล็อค"
ตอนนี้ข้อสงสัยทุกอย่างของดาวเริ่มกระจ่างแล้ว
"หมายความว่ากุมารอีกสี่ตัวเข้าสิงเด็กเพื่อที่จะเล่นเกมส์งั้นเหรอ" ดาวถาม
"ใช่แล้ว ความเหงา และด้วยความเป็นเด็ก เกมส์คอมพิวเตอร์ที่พวกกุมารเห็นมันน่าสนุก ดังนั้นเด็กอย่างโหน่งก็เลยกลายเป็นเหมือนร่างที่กุมารเหล่านั้นจะเข้าสิงเพื่อเล่นเกมส์ แต่ด้วยการสิงที่มากถึงสี่ ทำให้ร่างกายของเด็กรับไม่ไหว จนเกิดเรื่องน่าเศร้า และสาเหตุที่ทำให้โหน่งและเด็กอีกคนหายไปก็คงเพราะ การเข้าสิงที่มากเกินไปจนทำให้ร่างที่ถูกสิงกลายเป็นเหมือนวิญยาณชั่วคราว ทำให้คนธรรมดาไม่สามารถเห็นได้"
คำตอบของภูทำให้ดาวและพี่แก้มน้ำตาไหล ดาวร้องไห้เพราะสงสารโหน่ง แต่พี่แก้มร้องไห้เพราะสงสารกุมารเหล่านั้น เพราะทั้งสองฝ่ายขาดทั้งความรักจากแม่ และลูก
.............................................................
เกือบสองเดือนที่ภู ดาว พี่แก้ม ลุงดาบ ตัดสินใจทำพิธีศพให้ตุ๊กตากุมารเหล่านั้น ก่อนที่จะเผาตุ๊กตา ภูได้จับตุ๊กตาทั้งห้าตัว และด้วยความสามารถของเขา พลังที่ยึดโยงดวงวิญญาณกับตุ๊กตากุมารถูกทำลาย ทำให้วิญญาณของกุมารทั้งห้าถูกปลดปล่อยให้ไปเกิดตามบุญตามกรรม พี่แก้มและลุงดาบได้ทำพิธีตั้งศาลพระภูมิอีกครั้ง และหลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องแบบโหน่งเกิดขึ้นอีก วันนั้นหลังเลิกเรียน ดาวได้ไปเยี่ยมพี่แก้มที่บ้าน พร้อมกับตูกตายัดนุ่นตัวใหญ่ที่เธอนำกลับมาจากโรงเรียน เพราะเะอได้ข่าวว่า พี่แก้มกำลังจะเป็นแม่คน พี่แก้มท้องได้6สัปดาห์ และดูเหมือนลุงดาบจะประคบประหงมภรรยาไม่ห่าง และนี่ก็เป็นแรงฮึดที่ทำให้ลุงดาบพยายามสอบเป็นนายร้อยให้ได้
ก่อนกลับดาวแอบเห็นสุนัขแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่งกำลังให้นมลูกแรกเกิดสี่ตัวอยู่ริมศาลบริเวณต้นไทร ความบังเอิญนี้ทำให้ดาวอดคิดไม่ได้ว่ากุมารคนพี่กับน้องๆอีกสี่เค้าจะไปเกิดเป็นอะไรกันนะ
จู่ๆข้อความในไลน์ของดาวก็เข้ามา เป็นข้อความจากภู
"พรุ่งนี้ฉันจะมาหา มีคดีเกิดขึ้น ที่โรงเรียนเธอ"
...................................................
Post a Comment