พิธีกรรมสยองขวัญ ตอน 1
"GHost Detective File" เป็นผลงานซีรี่ย์สยองขวัญจากสมาชิกพันทิปนาม นาคาแห่งการพิธี ได้ดำนินมาถึงซี่ซั่นที่ 2 หากใครพลาด ซี่ซั่น 1เหงา โดยซีซั่นที่ 2 "พิธีกรรมสยองขวัญ" มีทั้งหมด 24 ตอนเราจึงรวบรวมได้แบ่งเป็น 3 ช่วง ขอขอบคุณเรื่องราวสยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ก่อนหน้านั้นสามวัน กลางดึกคืนวันศุกร์ แสงจันทร์สาดส่องจนทำให้ค่ำคืนสว่างไสว ภายในโรงเรียนนรินทร์ปกเกล้า ชายหญิงคู่หนึ่งได้แอบเข้ามาในโรงเรียนกลางดึก ปกติโรงเรียนนริทร์ปกเกล้าเป็นที่ขึ้นชื่อลือชาของครูและนักเรียน ทั้งศิษยืเก่าและปัจจุบันว่า "ผีดุ" ซึ่งสังงเกตุได้จากชายหญิงสองคนนี้เข้ามาในโรงเรียนได้โดยไม่มีแม้แต่ยามเข้ามาตรวจแม้แต่คนเดียว
"พี่เอิร์นดันหนูขึ้นไปหน่อยนะ"หญิงสาวขอร้องแก้มบังคับแฟนของเธอ
"แต่พี่ว่าไว้วันจันทร์ค่อยมาเอาดีกว่ามั้ง โรงเรียนอุ๊มันน่ากลัวยังไงไม่รู้สิ" แฟนหนุ่มนักศึกษาพยายามหว่านล้อมให้หญิงสาวยกเลิกความคิด
"แต่มันใกล้สอบแล้วนะ ถ้าไม่ได้มาเอาหนังสือคืนนี้ หนูคงไม่ได้อ่านหนังสือสอบพอดี" แฟนสาวหน้าบึ้งและพยายามเดินไปคนเดียวจน แฟนหนุ่มต้องมาง้อ
"อะๆ แล้วให้พี่ดันขึ้นไปแล้วจะไปเอาหนังสือได้เหรอ"แฟนหนุ่มรับปากอย่างเสียไม่ได้
"ไม่ต้องห่วงค่ะพี่ ชั้นสองขึ้นไปเค้าไม่มีประตู เดี๋ยวหนูขึ้นไปจะรีบวิ่งไปเอา พี่เอิร์นรอรับด้วยนะ"
แฟนสาวขึ้นขี่คอแฟนหนุ่ม เพื่อจะเกาะขึ้นไปบนชั้นสองอย่างทุลักทุเล แต่ในที่สุดก็ขึ้นไปได้โดยที่แฟนหนุ่มของเธอถึงกับหอบ เมื่อขึ้นไปแล้วแฟนสาวกำชับให้แฟนของเธอรอ เธอรีบวิ่งขึ้นไปชั้นสามของตึกซึ่งเป็นห้องเรียนของเธอ
"ตึกๆๆๆๆๆๆๆ"เสียงวิ่งของหญิงสาวดังก้อง
"ตึกๆๆๆๆๆๆๆ" มีเสียงหนึ่งตามมา
"ตึก...ตึก.....ตึก..." แม้หญิงสาวจะหยุดเพื่อตั้งใจฟัง แต่มันก็ยังคงดังตามหลังเธอมา
"ตึก.....ตึก.....ตึก...." เสียงนั้นมาหยุดตรงด้านหลังของเธอ
"พะ...พี่เอิร์นเหรอ..."หญิงสาวเรียกชื่อแฟนของเธอ เธอพยายามคิดว่าแฟนของเธอคนแกล้งเธอเล่นแน่ๆ
เธอค่อยๆหันไปมอง
แต่ว่างเปล่า
(สงสัยเราคงหูแว่วไปเอง) หญิงสาวได้แต่คิดปลอบใจตัวเอง
เธอค่อยๆเดินขึ้นไปชั้นสาม เสียงฝีเท้ายังคงดังก้อง ทำให้เกิดเสียงสะท้อนของฝีเท้า
ทางเดินมันรู้สึกยาวผิดปกติ อาจจะเป็นเพราะเธอกลัวก็ได้ พอถึงห้องเรียน เธอรีบไปที่โต๊ะของเธอ เพื่อหยิบเอาหนังสือและสมุดที่เธอลืมเอาไว้กลับ
แต่ทว่า... เธอกลับรู้สึกเหมือนเธอไม่ได้อยู่คนเดียว
เสียงหัวเราะคิกๆคักๆ ลอยมาตามอากาศที่เงียบงัน มันก่ำกึ่งระหว่างเสียงเบาๆกับการหลอนไปเอง สายตานับสิบๆคู่จ้องเธออยู่ แต่รอบๆห้อง มันว่างเปล่า
(ไม่ไหวแล้ว) เธอรีบจ้ำอ้าวออกจากห้อง เสียงฝีเท้าที่เธอเร่งก้าว เสียงสะท้อนมันดังมาติดๆ
"ตึกๆๆๆๆๆ" มันดังใกล้เข้ามา
ก่อนที่จะสติแตกไปมากกว่านี้ เธอรีบเอามือถือออกมาโทรหาแฟนหนุ่ม
"ฮัลโหล พี่เอิร์นยังอยู่ตรงนั้นมั้ย" แฟนหนุ่มรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
"อยู่สิมีอะไรรึเปล่า" เมื่อได้ยินเสียงตอบรับ เธอก็ปล่อยโฮออกมาทันที
"ฮือๆๆๆ พี่เอิร์น รอหนูนะ บนนี้มีอะไรไม่รู้ ฮือๆๆๆๆ" หยิงสาวร้องไห้ไปด้วยคุยไปด้วย แต่แฟนหนึ่งของเธอได้แต่ปลอบ
พักหนึ่ง เธอก็มาถึงตรงจุดนัดพบ เธอชะโงกหน้าลงไป
โทรศัพท์ของแฟนหนุ่มตกอยู่บนพื้น แสงไฟจากหน้าจอ บ่งบอกว่ามีการโทรคุยกันอยู่ แต่กลับไม่มีคนพูด
"รู้ตัวแล้วเหรอ หึหึ" เสียงแฟนหนุ่มกลายเป็นเสียงเย็นแทรกเข้ามา มันทำให้หญิงสาวร้องกรี๊ดลั่นในทันที ก่อนที่สะเป็นลมไปตรงนั้น
...................................................
เช้าวันจันทร์ ดาวมารอภูอยู่ตรงหน้าบ้านพี่แก้ม เะอถือกระเป๋าของหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนีบตุก๊ตาผ้าตัวโตไว้ ซักพัก รถเก๋งราคาแพงสีดำขับเข้ามาเทียบ ภูเปิดกระจกลงพร้อมเรียกให้ดาวขึ้นรถ
"เอาอะไรมาด้วยน่ะ" ภูถามเมื่อดาวขึ้นนั่งแล้ว เขาพยายามจะเอื้อมมีมาจับแต่ดาวก็ปัดมืออย่างไว
"ไม่ได้ๆ เดี๋ยวถ้านายมาจับเดี๋ยวเสียพิธีขึ้นมาจะแย่เอา" ดาวตอบ
"พิธีอะไรของเธอ นี่มันตุ๊กตาเด็กเล่นชัดๆ" ว่าแล้วภูก็เอื้อมมือมาจับอีก แต่ดาวก็ปัดมือไปอีก
"รีบๆไปเถอะน่า มัวช้าเดี๋ยวเคารพธงชาติไม่ทันพอดี" ดาวบอก เหมือนเธอจะเริ่มรำคาญแล้ว
ภูรีบขับออกไป ปกติภูมักจะไปไหนมาไหนด้วยรถตู้ นี่เป็นครั้งแรกที่ดาวเห็นภูขับรถหรูแบบนี้
"นี่นายไปเอารถคันนี้มาจากไหนเนี้ย"
"พอดีรถตู้พ่อท่านยืมไปใช้งานของวัดน่ะ" พ่อในที่นี้คือหลวงพ่อเจ้าอาวาส คนที่รับเลี้ยงภูมาตั้งแต่เล็ก จนภูได้ดิบได้ดีมาถึงทุกวันนี้ หลังจากเหตุการณ์ที่บ้านพี่แก้ม เธอก็ไปช่วยงานภูทุกเสาร์อาทิตย์ ส่วนใหญ่ก้เป็นพวกงานเอกสาร คดีความต่างๆที่ภูว่าความอยู่ จนดาวได้รู้ว่าภูเป็นเด็กวัดมาก่อน เพราะบางวันที่ทำงานในสำนักงานเสร็จเร็วภุก็จะพาดาวมากราบหลวงพ่อที่วัดอยู่เสมอ ซึ่งภูมักจะเรียกกุฏิหลวงพ่อว่าบ้าน แม้ว่าดาวจะรู้ว่าภูมีบ้านอีกหลังหนึ่ง ที่ได้จากการช่วยคดีของครอบครัวผู้กองต้อม แต่ดาวก็ไม่เคยไปซักครั้ง เพราะภูมักจะบอกว่า ไม่อยากพาไป ถ้าภูไม่ได้อยู่ด้วยตลอดเวลา
อันที่จริง ที่ภูตั้งตัวมีสำนักงานกฏหมาย อย่างทุกวันนี้ก็เพราะได้ช่วยคดีครอบครัวของผู้กองต้อมตอนเป็นทนายฝึกหัดนั่นแหละ ไปๆมาๆก็ได้บ้านมาหลังหนึ่ง แต่เงินช่วยเหลือต่างๆจนภูเป็นภูอย่างทุกวันนี้ แต่พอดาวถาม ภูก็บอกปัดว่า รอผู้กองต้อมเล่าให้ฟังเองดีกว่า
ภูขับไปถึงโรงเรียนโดยใช่เวลาไม่นานนัก เพราะโรงเรียนนรินทร์ปกเกล้า เป็นโรงเรียนใกล้บ้านดาวนั่นเอง แต่ด้วยความที่ดาวผู้ "ป๊อบ" ในหมู่นักเรียนชายหญิงของโรงเรียน ทันที่เธอลงจากรถหรูพร้อมกับหนุ่มหล่อ ทำให้นักเรียนที่พบเห็นพากันจับกลุ่มเม้าท์แทบจะทันที จนดาวรีบเดินไปห้องเรียนให้เร็วที่สุด แต่ภูก็คว้าแขนเธอไว้
"จะไปไหน เราต้องไปคุยงานต่อนะ ที่ห้องผอ." ดาวได้แต่ทำหน้างง จากนั้นก็รีบสะบัดมือเพื่อเดินไปห้อง ผอ.ด้วยตัวเอง โดยมีภูเดินตามไม่ห่าง แต่ตายตาที่ทุกคนมองเห็น มันเหมือนกับผู้หญิงงอนและแฟนหนุ่มตามง้อนั่นแหละ
............................................................
"มากันแล้วเหรอ" ผอ.ทักเมื่อเห็นภูเดินเข้ามาในห้อง ดาวที่เดินตามมาข้างหลัง เห็นหมอเจี๊ยบ ผู้กองต้อม และคนอีกสามสี่คนนั่งรอในห้อง
ดาวไหวสวัสดีทุกคน ก่อนจะนั่งเก้าอี้ที่จัดไว้ให้ข้างๆภู เธอสังเกตเห็น ชายหญิงวันกลางคนคู่หนึ่งมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
"ขออนุญาตนะคะ ผอ. ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ" ดาวตัดสินใจถามหลังจากสังเกตว่าทุกคนในห้องรู้เรื่องกันหมดแล้วยกเว้นเธอ
"เดี๋ยวนะ อิงดาวเธอมาทำอะไรตรงนี้" ผอ.ถาม เมื่อเห็นนักเรียนดีเด่นมานั่งด้วยในห้องที่ควรจะเป็นความลับ
"อิงดาวเค้าทำงานกับผมครับ ผอ. เรื่องนี้ผมอยากให้เธอรู้ด้วย"ภูยืนยันกับผอ.พร้อมกับวางมือบนไหล่ดาว แม้แธอจะไม่ชอบแต่ก็ได้แต่เนียนๆไป
"งั้น อิงดาวเธอก็เอา เพื่อน ไปวางไว้ด้านหลังก่อนไป" ผอ.ทำหน้าแบบเลยตามเลย เมื่ออิงดาวเอาตุ๊กตาที่เธอหนีบมาด้วยไปวางไว้ ผอ.ก้เริ่มเล่าเหตุการณืที่ทำให้ต้องเรียกทุกคนมา
"คืนวันศุกณื มีนักเรียน ม.6ของเรากับเพื่อนชายแอบเข้ามาเอาของตอนกลางคืน จนเกิดเรื่อง ในตอนเช้า นักเรียนคนนั้นโทรหาตำรวจ พอตำรวจมาถึง เราผมศพเพื่อนชายคนนั้นในสระน้ำ แล้ว นักเรียนของเรานั่งตัวสั่นบนชั้นสองของตึก พร้อมกับพูดไม่หยุดปากว่าผีหลอก"
"ผีหลอก...ตัวสั่น ถ้าแบบนั้นแล้วเค้าจะโทรมาได้ยังไงกันคะ" ดาวถามเพราะจากเรื่องที่เกิดมันไม่น่าจะเป็นไปได้
"เรื่องนั้น เราก็ยังสงสัย เพราะนักเรียนคนนั้นยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนโทรไป แต่ในมือถือของเธอพบว่าเธอโทรไปที่191 จริงๆ อีกอย่างการโทรแจ้งก็ไม่เหมือนคนจิตหลุดซักนิด เค้าถึงประสานให้ทางเรามาตรวจไงล่ะ" ผู้กองต้อมอธิบาย
"จากที่ทางนั้นแจ้งมาบอกว่า แฟนของเค้าหายไปส่วนตัวเค้าติดบนชั้นสองของตึกลงไม่ได้ ส่วนยามก็กลับไปหมดแล้ว ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะรู้ว่ายามไม่อยู่ ทางตำรวจก็เลยอยากให้ปิดเรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วจึงเรียกพวกภูกับผู้ปกครองของน้องทั้งสองมาคุยในวันนี้" ดาวได้ฟังจึงหันไปมองผู้ปกครองทั้งสี่คน เธอเห็นใบหน้าที่เศร้าจึงอดสงสารไม่ได้ จากนั้นหมอเจี๊ยบก็เสริมขึ้นมาทันที
"แล้วจากผลชันสูตร ผู้ชายไม่ได้ตายเพราะจมน้ำ แต่เค้าถูกกิน"
.............................................................
"ถูกกินเหรอ" ดาวหลุดปากอุทาน จนหมอเจี๊ยบต้องจุ๊ปากให้เบาเสียง
"ก็ถ้าว่าจากลักษณะบาดแผลตั้งแต่ช่วงขาลงไปล่ะก็ใช่" พอได้ยินแม่ของผู้ตายก็ร้องไห้จนพ่อเค้าต้องคอยปลอบ
"ถ้างั้นเอาเป็นว่ารายละเอียดไว้ค่อยคุยกันทางไลน์ก็แล้วกันนะ" หมอเจ๊ียบรีบตัดบทเพราะถ้าไม่แบบนั้น พ่อแม่ของผู้ตายคงทำใจไม่ได้แน่ๆ
และในตอนนี้ดาวสังเกตสีหน้าของแต่ละคน เธอสังเกตว่าภูดูเงียบผิดปกติ ส่วนพ่อแม่ของผู้หยิงดูท่าทางจะเอาเรื่องให้ได้ แต่พยายามเก็บไว้ในใจแต่มันก็แสดงออกมาทางสีหน้าอยู่ดี สำหรับหมอเจี๊ยบกับผู้กองต้อม ก็ดูท่าทางลำบากใจอย่างบอกไม่ถูก ดาวคิดว่างานนี้คงหินแน่ๆ
"ส่วนทางคดี เอาเป็นว่าทางพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายอยากได้ข้อสรุปเรื่องที่เกิดขึ้นและทางโรงเรียนก็อยากให้ปิดเรื่องนี้ไว้ใช่มั้ยครับ" ผู้กองต้อมถามอีกครั้ง ไม่มีคำตอบใดๆ วึ่งก็แสดงว่าทุกฝ่ายเห็นด้วย แต่....
"ห้าแสน" ภูเอ่ยปากออกมา ทำให้ทุกคนอึ้งไปตามๆกัน
"ผมขอห้าแสนสำหรับการไขปริศนาเรื่องที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าต้องเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย" คำพูดภูดูจริงจังจนพ่อฝ่ายหญิงไม่พอใจ
"นี่คุณมันจะมากไปแล้วนะ ลูกเราพึ่งเกิดเรื่อง คิดจะขูดรีดกันหรือไง"พ่อฝ่ายหญิงโมโหจนแม่ต้องคอยดึงไว้
"ผมไม่ได้เรียกจากคุณครับ ทางนี้ต่างหาก" ภูชี้ไปที่ ผอ.
"ในเมื่อโรงเรียนอยากปิดเรื่องนี้ผมก็เข้าใจ แต่ฝ่ายนั้นเค้าก็อยากได้คำตอบ ซึ่งคงไม่ดีแน่ถ้าจะมีใครไม่พอใจแล้วหลุดพูดเรื่องนี้ออกไป ดังนั้นผมคิดว่าทาง ผอ.คงไม่มีปัญหาอะไรนะครับ" ภูยิ้มอย่างมีเลศนัย ทำให้ผอ.เหงื่อตก
"แน่นอนว่าผมจะเรียกเก็บเงินก็ต่อเมื่อผมสามารถหาคำตอบที่พ่อแม่ผู้ตายกับพ่อแม่ของนักเรียนคนนั้นพอใจ และแน่นอนว่ามันจะเป็นความลับ แต่ผมก็ต้องการความร่วมมือจากทุกฝ่ายด้วยครับ"
ดูเหมือนพ่อแม่ทั้งสองครอบครัวดูจะพอใจ เพราะจริงๆแล้วการบุกรุกสถานที่ราชการยามวิกาลมันก็ผิดอยู่แล้ว ทำให้ข้อเสนอนี้จึงเป็นที่ยอมรับ ส่วนทางผอ.ได้แต่คิดหนัก
"ผมยอมรับก็ได้ แต่ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูคนอื่น ผมจะถือว่าเรื่องออกมาจากฝ่ายคุณ และโดยเฉพาะอิงดาว ครูจะตัดทุนเะอ เข้าใจมั้ย" ในที่สุดผอ.ก็ยอมตกลง แต่ตอนนี้กลับเป็นดาวที่หนักใจ
"แล้วยังไงผมจะให้ครูพิลาวรรณช่วยเหลือพวกคุณในเรื่องต่างๆ" ครูพิลาวรรณคือ ครูอีกคนที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกัน
"ถ้าอย่างนั้นไว้ผมจะร่าสัญญามาให้ทีหลังนะครับ" จากนั้นทุกคนก็ออกจากห้องหลังจากคุยเสร็จ ทุกคนออกจากห้องโดยไม่พูดอะไรกันเลย ดาวหยิบ "เพื่อน"ออกมา จากนั้นเธอจึงไปเข้าห้องเรียนซึ่งเธอสายไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
"แบบนี้จะดีเหรอ"ผู้กองต้อมคุยกับภูที่มุมๆหนึ่งที่ลับตาคน
"ผมก็ลำบากใจ แต่เรื่องนี้ทำให้แผนของเราง่ายขึ้น"ภูตอบ
"นั่นสินะ หวังว่าทางนั้นจะติดกับเราและจำนนต่อหลักฐานทุกอย่าง" ผู้กองต้อมถอนหายใจ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินออกไป
.....................................................
"นี่ๆดาวคนที่มาส่งเธอตอนเช้านี่ใครอ่ะ หล่อจัง" มลเพื่อสนิทของดาวถามโดยที่ดาวไม่ทันตั้งตัวตอนพักกลางวันขณะที่กำลังทานข้าว
"ใช่ๆอย่าบอกนะว่านั่นแฟนเะอ ร้ายเหมือนกันนะเนี้ยยัยดาว" มิ้นเพื่อนอีกคนก็ผสมโรง โดยที่ดาวไม่ทันได้พูด
ดาวรวบทั้งสองคนมากระซิบเพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน
"รู้แล้วเงียบไว้นะ ฉันทำงานพิเศษกับเค้าแค่นั้นจริงๆ" เพื่อนทั้งสองทำหน้าไม่เชื่อแล้วยังยิ้มๆจนดาวจนใจจะอธิบาย
"เออนี่แล้ววันนี้ มลแกพากุ๋กกู๋กลับบ้านใช่มั้ย" ดาวถามมลเรื่องที่วันนี้ถึงตามลต้องหอบเอาตุ๊กตาตั้วนั้นกลับบ้าน
"ใช่ทำไมเหรอแก" มลถามกลับ แต่ดาวก็ตอบแค่ว่าไม่มีอะไร แต่เธอก็เก็บความสงสัยไว้ในใจ ทันใดนั้นก็มีข้อความในไลน์เข้ามา ซึ่งดาวก็เปิดดู มันเป็นรูปภาพที่เธอเห็นแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไปอ้วกแทบไม่ทัน
หมอเจี๊ยบส่งรูปสภาพศพผู้ตายมาในไลน์กลุ่ม ซึ่งเธอก็ทำตามจรรยาบรรณโดยการคาดแถบดำปิดตา แต่ตรงส่วนอื่นยังคงเปิดภาพจริงจากที่เกิดเหตุ ผู้ตายอยู่ในชุดนักศึกษา ท่อนล่างจมอยู่ในสระน้ำกลางโรงเรียน ขณะที่ช่วงลำตัวเกยอยู่บนฝั่ง มือทั้งสองข้างกำต้นชาทองที่ปลูกรอบสระน้ำไว้แน่น ร่างกายซีดเผืด และที่สำคัญ ไม่ปรากฏรอยเลือดในบริที่ผมศพ ส่วนช่วงขาทั้งสองข้างนั้น เนื้อขาดวิ่นเหลือแต่กระดู กางเกงถูกฉีกเป็นริ้วๆ สภาพไม่ต่างจากปลาปิรันย่ารุมกิน เป็นภาพที่ดูแล้วน่าสยดสยองยิ่งนัก
(เห็นรูปแล้ว ใครคิดเห็นยังไงบ้าง) หมอเจี๊ยบส่งข้อความถาม ไม่มีการตอบจากทั้งภูและผู้กองต้อม และพอดาวทำใจได้จึงส่งข้อความตอบกลับ
(สภาพศพมันดูแปลกๆนะคะ ถ้าถูกกิน ถูกกินจากตัวอะไร เลือดหายไปไหน แล้วก่อนตายเค้าทำแบบนั้นทำไม) ดาวส่งข้อความไป ซักพักภูก็ตอบกลับมา
(ผมว่าน่าจะโดนอะไรที่อยู่หรือสิงในสระน้ำนั่นกิน)ภูตั้งข้อสังเกตุ ซึ่งมันตรงใจกับทั้งหมอเจี๊ยบและดาว
(แล้วเรื่องเด็กผู้หยิงที่โดนผีหลอกนั่นล่ะจะว่าไง)ผู้กองต้องตั้งข้อสงสัย ซึ่งตรงนี้ทุกคนลงความเห็นว่า ต้องรอฟังจากปากเจ้าตัวเท่านั้น
(พี่ต้อม ไว้เย็นนี้ขอผมยืมชุดดำน้ำของพี่นะ ผมจะลงไปดู) ภูตอบ ผู้กองต้อมส่งสติ๊กเกอร์รูปเครื่องหมายคำถาม
(ถ้าสระนั่นมีอะไรจริง ผมต้องลงไปดูด้วยตัวเอง ถ้ามันเป็นปีศาจ ผมจะไม่เป็นอะไร) ภูตอบข้อสงสัย
(แล้วนายจะรู้ได้ไงว่ามันเป็นปีศาจ) ดาวถามบ้าง
(ปกติในอาณาเขตเช่นสระน้ำ จะต้องมีสื่ออย่างเช่น ศพหรือสิ่งของ หรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับผู้ตาย จะเป็นตัวยึดโยงวิญญาณกับอาณาเขตอย่างเช่นสระน้ำไว้ ซึ่งถ้าเราผมว่ามีอะไรอยู่ก้นสระ ก็น่าจะยืนยันได้ว่าเป็นฝีมือของวิญญาณ) หมอเจี๊ยบตอบ คราวนี้ผู้กองต้อมส่งสติ๊กเกอร์รูปคนปรบมือ
(แต่ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันรึเปล่า แต่ตั้งแต่หนูเข้ามาเรียนตอนม.1 หนูก็ได้ยินเรื่อง7เรื่องลึกลับของโรงเรียนค่ะ สระน้ำกลางโรงเรียนก็เป็นหนึ่งในนั้น) คราวนี้ทั้งภู หมอเจี๊ยบและผู้กองต้อมต่างส่งสติ๊กเกอร์รูปคนตกใจมา
ทางด้านผู้กองต้อมขณะที่กำลังคุยในไลนืกลุ่มอยู่นั้นก็มีโทรศัพท์ดังเข้ามาว่า เด็กผู้หญิงคนนั้น ได้สติและเริ่มให้การได้แล้ว
.................................................................
เย็นวันนั้น ผู้กองต้อมรุดไปที่โรงพยาบาลที่อุ๊เด็กสาวโชคร้ายพักรักษาตัวอยู่โดยมีหมอเจี๊ยบแฟนสาวไปด้วย ส่วนอีกด้านที่โรงเรียนหลังจากที่ นักเรียนทยอยกลับกันหมด ภู ดาว ครูพิลาวรรณ และผอ. กับลังเตรียมตัวที่จะลงสำรวจสระน้ำกลางโรงเรียน
บนฝั่ง ฝ่าย ผอ.จัดแจงเอาโต๊ะตัวใหญ่มาตั้ง โดยดาวกำลังจัดเตรียมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆโดยมีครูพิลาวรรณเป็นลูกมือ
"อุปกรณ์ต่างๆเรียบร้อยดีมั้ย" ภูถามดาวขณะที่กำลังแต่งตัว ดาวยกมือทำสัญลักษณ์โอเคจากนั้นก้ไปเซตค่าต่างๆต่อ เนื่องจากเวลาในการสำรวจนั้นเย็นแล้ว ภูก็ต้องติดไฟฉายและกล้องเข้าไปด้วยเพื่อที่ว่าดาวที่อยู่บนฝั่งจะเห็นภาพต่างๆผ่านกล้องด้วย
"นี่อิงดาวมันจะได้เรื่องจริงๆเหรอ"ผอ.ถามด้วยความกระวนกระวาย แต่ดาวก็ตอบด้วยน้ำเสียงที่นิ่งอย่างมืออาชีพ
"ตามทฤษฏี ถ้าเราเจอสิ่งเชื่อมโยงอย่างเช่นสิ่งของ หรือซากศพก็น่าจะอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ค่ะ"
"ถ้าเรื่องนั้น จากโรงเรียนก็มีการขุดลอกสระมาโดยตลอด ถ้ามันมีจริงๆเราน่าจะเจอก่อนหน้านี้แล้วล่ะมั้ง" ครูพิลาวรรณถามด้วยความสงสัย
"นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งครับ ผมก็คิดไว้แล้วว่ามันไม่น่าง่ายขนาดนั้น ผมก็อยากลงไปดูสภาพของสระด้วย ผมยังติดใจในเรื่อง7เรื่องลึกลับของโรงเรียนที่เกี่ยวกับสระครับ" จากนั้นภูก็ลงไปในสระน้ำ สระน้ำเป็นสระที่ลึกประมาณเมตรครึ่ง รูปร่างเกือบจะเป็นสี่เหลี่ยมจัตตุรัส ด้านละเกือบยี่สิบเมตร พื้นสระเป็นดินโคลนมีพืชน้ำขึ้นประปราย แต่ที่น่าแปลกคือ ไม่มีสัตว์น้ำอยู่เลย ไม่ว่าจะปลาหรือกบเขียด ซึ่งตรงกับเรื่องเล่าที่ว่า สระนี้ถ้าเลี้ยงปลา ปลาจะหายไป
"ภูลองมาดูตรงที่เกิดเหตุหน่อยดิ" ดาวบอกภุ หลังจากที่เห็นจุดหน้าลงสัยผ่านจอ
เป็นรอยเท้าที่เหยียบลงบนโคลน จากตรงเกือบๆกลางสระ มุ่งหน้าไปตรงฝั่ง ซึ่งมันก็คือรอยเท้าของผู้เคราะห์ร้าย
..................................................................
"สวัสดีครับ" ผู้กองต้อมกล่าวทักทายพ่อแม่ของอุ๊ที่เฝ้าลูกอยู่ในห้องผู้ป่วย โดยอุ๊ที่อาการดีขึ้น กำลังนั่งเอนบนเตียงเหมือนกำลังรอผู้กองต้อมกับหมอเจี๊ยบอยู่
"ระวังหน่อยคะ อุ๊เค้ายังไม่รู้ว่าเอิร์นเค้าเสียแล้ว"แม่ของอุ๊มากระซิบหมอเจี๊ยบ
ผู้กองต้อมลากเก้าอี้มาสองตัวมาข้างๆเตียง แต่หมอเจี๊ยบเลือกที่จะยืนคุยมากกว่าเพราะถ้านั่งเก้าอี้มันจะเตี้ยเกินไป
"น้องอุ๊หมอของถามเรื่องที่เกิดหน่อยได้มั้ยคะ" หมอเจี๊ยบเปิดประเด็นทันที และอุ๊ก็พยักหน้าตอบรับ
"วันนั้นเกิดอะไรขึ้นเหรอ"ผู้กองต้อมถามตัดหน้า อุ๊นิ่งเงียบไปซักพัก ก่อนที่เธอจะถามคำถามกลับทั้งน้ำตา
"พี่เอิร์นตายแล้วใช่มั้ยคะ"คำถามนี้ทำให้ทุกคนอึ้ง เพราะไม่มีใครบอกเธอเลยว่าแฟนของเธอเสียชีวิตแล้ว
"อีฝันค่ะวันที่อุ๊สลบอยู่ พี่เอิร์นมาหาอุ๊เค้ามาบอกลามันน่ากลับมา ขาของพี่เอิร์นมันเป็นเศษเนื้อกับกระดูก พี่เอิร์นค่อยๆคลานมาหา พี่เอิร์นดูทรมานมาก อุ๊กลัว อุ๊สงสารพี่เอิร์น" จากนั้นอุ๊ก็ปล่อยโฮออกมา จนพ่อแม่ต้องเข้ามาปลอบ
"ที่เค้าฝันตรงกับสภาพศพผู้เสียชีวิตเลย ตัวเองว่าเค้าจะเป้นผู้สัมผัสวิญญาณหรือเปล่า"ผู้กองต้อมกระซิบหมอเจี๊ยบ
"ไม่นะ แค่วิญญาณเข้าฝัน คนธรรมดาก็เห็นได้"หมอเจี๊ยบกระซิบตอบ
......................................
ทางฝั่งโรงเรียน ภูกับดาวช่วยกันเก็บของ ภาพวีดีโอทั้งหมดได้ถูกบันทึกไว้ ซึ่งเมื่อ ผอ.เห็นแบบนั้นถึงกับนั่งไม่ติด ตอนภูเพิ่งขึ้นมาได้ตรงไปขอร้องอ้อนวอนให้ช่วยจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ซึ่งภูก็ได้ขอข้อแลกเปลี่ยนคือ เสาร์หน้า ขอให้สูบน้ำออกจากสระจากนั้น ภูกะว่าจะลองขุดเพิ่มเติม วึ่งผอ.ก็ตกลงแต่มีข้อแม้ว่าต้องขุดด้วยแรงคนเท่านั้น
"อิงดาวครูขอถามอะไรหน่อยสิ"ครุพิลาวรรณ จู่ๆก็ถามอิงดาว
"มีอะไรเหรอคะครู"ดาวรีบผละจากการเก็บของ
"เธอว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับ7เรื่องลึกลับหรือเปล่า"ครูพิลาวรรณถามด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสู้ดี
"หนูก็ไม่แน่ใจนะคะ แล้วอีกอย่างหนูก็รู้แค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้น อย่างสระที่ไม่มีปลา ห้องเรียนเที่ยงคืน พิธีกรรมต่ออายุ แล้วก็เรื่อง7เรื่องลึกลับที่มี6เรื่อง" คำตอบของดาวทำให้ครูพิลาวรรณเผลอยิ้มที่มุมปาก
"หรือว่าคุณครุพิลาวรรณจะรู้จัก7เรื่องลึกลับด้วยครับ" ภูที่เพิ่งเปลี่ยนชุดเสร็จเดินเข้ามาถาม
"ค่ะ ก่อนอื่นดิฉันขอแนะนำตัวอีกทีนะคะ ดิฉันชื่อ พิลาวรรณ นรินทร์ปกเกล้า เป็นศิษย์เก่าแล้วก็เป็นทายาทของเจ้าของที่ดินเดิมของโรงเรียนนี้ค่ะ"
"นรินทร์ปกเกล้า นามสกุลเหมือนชื่อโรงเรียนเลยนะคะ" ดาวถามด้วยความแปลกใจ
"ใช่แล้วล่ะ เจ้าของที่ดินเดิมคือ คุณหลวงนรินทร์ปกเกล้า เป็นทวดของครูเอง ท่านได้มอบที่ดินนี้สร้างโรเรียนน่ะ ทางรัฐบาลในสมัยนั้นเลยตั้งชื่อโรงเรียนว่านรินทร์ปกเกล้าเพื่อเป็นเกียรติให้ท่าน" ภูพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
"แล้ว7เรื่องลึกลับที่ว่ามีอะไรบ้างล่ะครับ" ภูถามครูพิลาวรรณอีกครั้ง
"7เรื่องลึกลับน่ะ ถ้าเป็นนักเรียนจะรู้แค่6เรื่องอย่างที่อิงดาวว่านั่นแหละ แต่เรื่องที่7 มีแต่ครูเท่านั้นที่รู้ค่ะ"ครูพิลาวรรณตอบ ขณะที่ฟ้าได้มืดแล้ว บรรยากาศก็กลับดูเงียบงัน
"เรื่องแรก สระน้ำนี้ที่ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย ก้ได้เอาปลามาปล่อยมาปล่อยไว้ แต่มันก็ค่อยๆหายไปจนไม่เหลือซักตัว เรื่องที่สองห้องเรียนในตึกเรียนที่ตอนกลางคืน มีมีวิญญาณมานั่งเรียนในห้อง เรื่องที่สาม การทำตุ๊กตาสำหรับนักเรียนม.ปลาย ไว้เป็นตัวแทนสำหรับให้เด็กม.6อยู่รอดปลอดภัย เรื่องที่สี่วิญญาณชุดไทยที่ตึกรับรอง เรื่องที่ห้า ต้นไทยผีสิงหลังโรงเรียน เรื่องที่หก วิญญาณในห้องนาฏศิลป์ ส่วนเรื่องที่เจ็ด มันเป็นเหมือนข้อบังคับของครูทุกคน คือห้ามใครนอนในโรงเรียนเด็ดขาด"
ดาวรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว เมื่อได้ยินที่ครูพิลาวรรณบอก โดยเฉพาะเรื่องที่สาม เธอไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่เด้กม.ปลายๆทำๆกันมาจะเป็น7เรื่องลึกลับของโรงเรียน
เมื่อเก็บของกันเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ ผอ.เรียบบึ่งรถกลับโดยทันที ส่วน ดาว ภู และครูพิลาวรรณได้เดินไปยังหน้าโรงเรียนด้วยกัน
"คุณภูคะ เรื่องที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวกับ7เรื่องลึกลับหรือเปล่าคะ"จู่ๆครูพิลาวรรณก็ถาม
"เรื่องเล่ามันก้เป็นแค่เรื่องเล่าครับ แต่บางเรื่องมันก็มีเค้าความจริงอยู่เหมือนกัน สมมตินะว่าถ้า มีคนแอบมาจับปลากันจนปลาหมด ถ้ามีคนคิดประเพณีแปลกๆให้เด้กม.ปลายทำต่อๆกันมาจนหาต้นตอไม่ได้ หรือเป็นแค่เรื่องแต่งจากสิ่งต่างๆที่ดูน่ากลัวอย่างห้องเรียน ตึกเก่า ต้นไม้ หรือห้องดนตรีไทย มันก้เป็นไปได้ไม่ใช่เหรอครับ"ภูพูดเหมือนกับเรื่องเล่าเป็นเรื่องเหลวไหล
"นี่ถ้ามันไม่จริงแล้วที่ครุพิลาวรรณบอกว่าห้ามใครมานอนในโรงเรียนล่ะนายจะว่าไง"ดาวแย้ง ภูเงียบไปพักนึง จากนั้นก็ถามดาวกลับ
"เรื่องนั้นเธอก็ต้องพิสูจน์สิว่ามันเป็นเรื่องจริง" คำพูดของภูทำให้ครูพิลาวรรณสงสัย แต่ดาวก็รู้อยู่แล้วว่าภูหมายถึงอะไร จนเธอเก็บความกลัวไม่อยู่จนแสดงออกมาทางแววตา
เสียงโทรศัพท์เครื่องภูดังขึ้น เขารับในทันที
"ภูนักเรียนคนนั้นให้การมาแล้วนะ เค้าโดนผีหลอกที่ตึกเรียนจริงๆ" เสียงหมอเจี๊ยบที่ปลายสายพูด มันทำให้ภูเริ่มคิดขึ้นมาในใจว่า
7เรื่องลึกลับอาจจะเป็นเรื่องจริง
..................................................
ช่วงค่ำ ทั้งสี่คนได้นัดกันมาที่บ้านของดาว เนื่องจากคำให้การของ อุ๊เด็กสาวผู้โชคร้าย และร่องรอยในสระน้ำที่คาดว่าเป็นของเอิร์นหนุ่มนักศึกษาผู้ตาย และเนื่องจากดาวเป็นนักเรียน ทุกคนเลยนัดกันมาคุยกันที่บ้านดาว ซึ่งหมอเจี๊ยบก็มีบ่นๆบ้างเพราะบ้านไกล และที่พิเศษก็คือวันนี้คุณพ่อของดาวอยู่บ้านด้วยทำให้ทุกคนล้อมวงกันทานอาหารฝีมือคุณพ่อของดาว
"นี่แกงอะไรเหรอคะคุณพ่ออร่อยเชียว"หมอเจี๊ยบซดน้ำแกงแบบไม่เหลือมาดคุณหมอ
"แกงชะอมครับคุณหมอ ผมลงมือตำน้ำพริกเองเลยนะ ส่วนชะอมก็เด็ดจากของที่บ้านมาเลย กำลังอ่อนๆทานง่ายครับ"คุณพ่อกำลังอวดอาหารฝีมือตัวเองที่ทำอาหารเหนือให้แขกครั้งแรก
"คือคุณพ่อเค้าเป็นคนเหนือน่ะค่ะ ที่บ้านก็ปลูกผักสำหรับอาหารเหนือไว้เยอะแยะ ถ้าวันไหนคุณพ่อเข้าครัวก็จะเป็นอาหารเหนือทั้งนั้นค่ะ" ดาวก็พลอยอวดฝีมือคุณพ่อด้วย
"เป็นแกงที่แปลกนะครับใส่กากหมูชิ้นใหญ่ๆด้วย"ว่าแล้วผู้กองต้อมก็ตักเข้าปาก
"เค้าเรียกว่าแคบหมูครับ ปกติผมก็ไม่ค่อยใส่หรอกเพราะที่นี่แพง แต่เห็นว่ามีแขกมาบ้านก็เลยใส่ซักหน่อย ทุกทีก็ใส่แต่เฉพาะปลาแห้งน่ะครับ"พ่อดาวอธิบาย
ทุกคนทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย อาจจะมีเว้นบ้างก็คือภูที่เผลอทานน้ำพริกปลาร้าเข้าไปโดยคิดว่าเป็นน้ำพริกหนุ่ม ทำให้หมอเจี๊ยบถึงกับหัวเราะจนสำลักเพราะรู้ว่าภูไม่ชอบปลาร้าอย่างสุดๆ ในขณะที่หมอเจี๊ยบฟาดเรียบแทบจะเลียจาน ส่วนผู้กองต้อมกับพ่อดาวก็คุยกันอย่างออกรสเพราะเป็นคนชอบทำอาหารเหมือนกัน ซึ่งต่างจากหมอเจี๊ยบลิบลับเพราะอาหารเพียงอย่างเดียวที่เธอทำได้คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบลวกน้ำร้อน
....................................................
หลักจากทานข้าวกันเสร็จ พ่อของดาวก็ยังล้างจานให้อีก แม้ว่าคนอื่นจะช่วยก็ไม่ยอมซ้ำยังขอบคุณที่ช่วยดูแลลูกสาวเค้าเสียอีก จนดาวต้องปล่อยให้คุณพ่อล้างจานไป ซึ่งฟังจากที่คุณพ่อฮัมเพลงลูกทุ่งไปด้วย ก็พอรู้ว่าแกคงมีความสุขที่มีคนมาทานอาหารด้วย
"เอาล่ะมาเข้าเรื่องเลยดีกว่า"ภูเอ่ยปากขณะที่ทุกคนกำลังนั่งรออาหารย่อย ส่วนหมอเจี๊ยบถึงกับนอนแบบเป็นปลาแห้งเลยทีเดียว
"มีอะไรก็ว่ามาดิ"ผู้กองต้อมกำลังแคะฟันอยู่
"อย่างน้อยก็รักษามารยาทก้ดีนะครับ"ภูเอ็ด
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คนกันเองทั้งนั้น"ดาวตอบด้วยรอยยิ้ม เพราะนานๆทีจะมีคนมาเที่ยวบ้านที่ปกติมีแต่เธอกับพ่ออยู่สองคน จากนั้นก็มีเสียงสนับสนุนจากหมอเจี๊ยบที่นอนอืดอยู่บนพื้น
"แต่อย่างหมอเจี๊ยบก็ไม่ไหวนะคะ สวยขนาดนั้นแท้ๆ"ดาวหยอกหมอแก้มแกมหัวเราะเมื่อเห็นสาวสวย ดูดีทุกกระเบียดนอนอืดเป็นปลาตาย หลังจากที่ "สวาปาม"อาหารเหนือฝีมือพ่อของดาวจนลุกไม่ไหว
"ไม่เปนไรหรอกน่าคนกันเองทั้งนั้น ไม่เห็นต้องทำสวยไปเจอใครเลย เนอะ" ตรงคำว่าเนอะหมอเจี๊ยบก็หันไปเนอะใส่ผู้กองต้อมแฟนตัวเอง
"แต่ย่าเอ็ดไปนะ พ่อแม่ของฉันก็ไม่เคยเห็นเจี๊ยบเค้าในสภาพนี้เหมือนกัน"ผู้กองต้อมแอบกระซิบให้ทุกคนได้ยิน
"อะแฮ่ม" ภูกระแอมอีกครั้ง คราวนี้ทุกคนก็เงียบ ส่วนหมอเจี๊ยบก็เปลี่ยนจากนอนเป็นลุกขึ้นมานั่ง
"วันนี้ผมไปสำรวจที่สระน้ำกับดาว ก้เห็นภาพรอยเท้าใต้สระน้ำ ก็อันที่ส่งไปในไลน์นั่นแหละ ใครคิดว่าไงบ้าง" ทุกคนก็กดมือถือตัวเองเช็ควีดีโอที่ภูส่งมา
"ถ้าอย่างที่นายว่า ทำไมผู้ตายต้องลงไปในสระด้วย"ผู้กองต้อมตั้งข้อสังเกต
"ตรงนั้นยังไม่รู้ แต่จากคำให้การของอุ๊ เธอคุยโทรศัพท์กับเสียงปริศนาที่เธอเข้าใจว่าเป็นผู้ตาย แต่ก่อนที่เธอจะสลบไปเธอรู้ตัวว่าโดนหลอก ตรงจุดนั้นผู้ตายก็หายไปเหลือแต่โทรศัพท์ที่กำลังโทรอยู่" หมอเจี๊ยบอธิบาย
"งั้นก็หมายความเค้าหายไปช่วงที่พี่อุ๊ขึ้นตึกใช่มั้ยคะ"ดาวถาม
"มันก็ใช่ แต่เราก็เดาไม่ได้ว่าเค้าตายยังไง ไปทำอะไรตรงนั้น ส่วนช่วงเวลาการตาย พี่เจี๊ยบเคยบอกว่าน่าจะประมาณช่วงเที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง ซึ่งหมายความว่า เค้ายังมีชีวิตในช่วงที่แฟนเค้าสลบ เป็นเวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ"ภูพยายามประติดประต่อเรื่องจากทั้งสองฝั่ง
"เดี๋ยวนะ จำ7เรื่องลึกลับที่นายโทรบอกฉันได้รึเปล่า ที่บอกว่าสระน้ำกลางโรงเรียนเมื่อเอาปลาไปปล่อย มันจะหายไปน่ะ นายคิดว่ามันจะเกี่ยวกันรึเปล่าภู"ผู้กองต้อมคิดขึ้นมาได้
"แต่เราก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ไม่ใช่เหรอคะว่า7เรื่องลึกลับเป็นเรื่องจริง"ดาวแย้งผู้กองต้อมขึ้นมา ทำให้หมอเจี๊ยบต้องเสริม
"มันก็จริงนะ ต่อให้มันเป็นเรื่องจริง แต่เราก็ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ให้พ่อแม่เค้าเห็นว่ามันมีผีจริงๆ""คำผู้ของหมอเจี๊ยบทำให้ทุกคนคิดหนัก แต่หลังจากเงียบไปซักพักภูก็พูดขึ้นมา
"เสาร์นี้ผมขอ ผอ.ให้ขุดลอกสระครับ เผื่อเราจะเจอหลักฐานการเชื่อมโยงการมีอยู่ของวิญญาณในสระได้"
"งั้นหลังจากนั้นถ้าเราลองเอาปลาไปปล่อยล่ะคะ" ดาวปิ๊งไอเดียขึ้น ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย
"งั้นไว้ฉันจัดการเอง วันเสาร์ฉันจะหาซื้อปลาไปปล่อยดู"ผู้กองต้อมรับอาสา
"แล้วเราก็ซ่อนกล้องไว้รอบสระเพื่อดูว่าปลาหายไปยังไง จากนั้นเราค่อยมานับจำนวนปลาอีกที"หมอเจี๊ยบเสริม
"งั้นเป็นอันตกลงตามนี้นะ แล้วเรื่องที่เกิดบนตึกเรียนล่ะจะว่าไง"ภูเปิดอีกประเด็นขึ้นมา
"ตรงนั้นแค่ใช้เทปที่เก็บไว้ของโรงเรียนก็น่าจะพอนะ"
"แต่ยังไงเราก็น่าจะเอาอุปกรณืของเราไปเสริมนะคะ อย่างพวกเครื่องวัดเสียง ตัววัดความร้อนอะไรพวกนี้น่ะ "ดาวเสริมหมอเจี๊ยบแต่ก้ถูกภูแย้งขึ้นมาอีก
"ถ้าจะทำแบบนั้น เดี๋ยวนักเรียนแตกตื่นพอดี อีกอย่างถ้าจะตรวจสอบ เราใช้ตัวล่อจะดีกว่านะ" คราวนี้ดาวหันไปมองหน้าหมอเจี๊ยบ เพราะทั้งคู่เป็นผู้สัมผัสวิญญาณ
"เราจะไม่ใช่ผู้สัมผัสวิญญาณหรอก เหยื่อเป็นคนธรรมดาเพราะฉะนั้นเราจะใช้คนธรรมดาเป็นตัวล่อ" พอภูพูดจบ ทุกคนก็หันมามองหน้าผู้กองต้อม
"ไม่นะ พวกนายก็รู้ว่าฉันช่วยไม่ได้จริงๆ" แต่ทั้งภูและหมอเจี๊ยบยังคงทำหน้าตาจริงจัง แม้จะเห็นหน้าผู้กองต้อมว่ากลัวแค่ไหน หนำซ้ำหมอเจี๊ยบยังบอกว่า ถ้าไม่ทำเจอดีแน่ ทำให้ผู้กองต้อมหน้าจ๋อยไปตามระเบียบ"
"อีตานี่น่ะ เป็นตำรวจซะเปล่าแต่กลัวผีขึ้นสมอง"หมอเจี๊ยบแอบกระซิบดาว
"แหมก็ผู้ร้ายมันไม่ใช่ผีนี่นา"ผุ้กองต้อมแอบได้ยิน มีแต่ภูที่แอบหัวเราะเพราะเค้าก้เป็นอีกคนที่รู้ว่าผู้กองต้อมกลัวผีแค่ไหน ดดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ทำให้ได้มารู้จักกับภู
"งั้นตกลงตามนี้ ส่วน7เรื่องสยองขวัญ ดาวเธอก้ลองไปถามเพื่อนนักเรียนดูนะเผื่อจะมีข้อมูลเพิ่ม แล้วฉันจะลองไปดูสถานที่จริงอีกทีก็แล้วกัน"
พอการนัดแนะปรึกษาหารือจบลงทุกคนก็ลาพ่อของดาวกลับ ยกเว้นหมอเจี๊ยบที่ยืนกรานหนักแน่น(และแน่นท้อง)ว่าคืนนี้เธอจะขอค้างที่นี่แม้ว่าเธอจะต้องไปทำงานตอนเช้าก็ตาม ซึ่งแม้แฟนของเธอก็ยังต้องปล่อยเลยตามเลย
คืนนั้นหมอเจี๊ยบขอยืมเสื้อพอของดาวใส่เพราะชุดของเธอเน่ามาก แต่ดาวก็ให้ด้วยความเต็มใจ ซึ่งหมอเจี๊ยบใส่ชุดนอนของดาวได้ เพราะทั้งคู่ตัวพอๆกัน แม้ชุดมันจะคับตรงหน้าอกบ้างก็ตาม
"ดาว พี่มีเรื่องจะบอกน่ะ คือพี่ไม่ได้เล่าให้พวกนั้นฟัง"หมอเจี๊ยบเอ่ยปากคุยกับดาวที่นอนอยู่ข้างๆกัน
"เรื่องอะไรเหรอคะ"ดาวถาม
"ตอนที่ผ่าศพผู้ตาย พี่อยู่ในห้องคนเดียว แต่พี่ไม่รับรู้ถึงเค้าเลย"คำพูดนี้ทำให้ดาวแปลกใจเพราะเข้าใจถึงความสามารถของหมอเจี๊ยบ
"ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าวิญญาณผู้ตาย ก็ไม่ได้ติดมากับศพสินะคะ แต่ถ้าที่พี่อุ๊เค้าฝันถึงแฟนเป็นวิญญาณแฟนเค้ามาเข้าฝันจริง แล้วตอนนี้วิญญาณเค้าไปไหน" ไม่มีคำตอบจากหมอเจี๊ยบ แต่เะอก้กลับพูดอีกเรื่องหนึ่งต่อ
"ไม่รู้ว่าพวกเธอจะสังเกตหรือเปล่า แต่พี่ว่าภูคงไม่น่าพลาดนะ รอบเท้าก้นสระ มันมีแต่รอยเดินออกสระใช่มั้ยล่ะ"ดาวถึงกับหยิบมือถือขึ้นมาดูอีกครั้ง
"แสดงว่า ถ้าตอนไปกลางสระผู้ตายว่ายน้ำไป แต่ทำไมตอนกลับต้องเดินด้วยล่ะ ในเมื่อถ้าว่ายน้ำไปได้ว่ายกลับจะง่ายกว่า เพราะพื้นสระมีแต่โคลน" จากนั้นหมอเจี๊ยบก็ขอตัวนอน ข้อสังเกตของหมอเจี๊ยบทำให้ดาวเก็บไปคิดจนหลับไปโดยไม่รู้ตัว
.............................................................
"ที่นี่ที่ไหนน่ะ โรงเรียนเหรอ" ตึกเรียนที่มืดมิด มลเด็กสาวยืนอยู่คนเดียว เบื้องหลังมีนักเรียนหญิงอีกคนหนึ่งมายืนใกล้ๆโดยที่เธอไม่รู้ตัว
"มล...มล...."นักเรียนหญิงคนนั้นเรียกเธอ จนมลต้องหันไป
"กุ๋ก..กุ๋กกู๋เหรอ"มลเรียกชื่อนักเรียนหญิงคนนั้น เหมือนว่าเธอจะรู้จักกัน
"มล....ฝากเตือนดาวด้วย.....ระวังตัวให้ดี........ดาว ตกอยู่ในอันตราย"สิ้นเสียง มลก็ตกใจตื่นเหงื่อแตก แม้ในห้องจะเปิดแอร์เย็นก็ตาม
................................................
เช้าตรู่เวลาหกโมง ดาวตื่นขึ้นมาอย่างสดใส แต่คนข้างๆเธอกลับนอนสิ้นสภาพ ทั้งๆที่เธอต้องไปทำงาน
"พี่เจี๊ยบค่ะตื่นได้แล้วค่ะ" ไม่มีสัญยาณตอบรับจากหมอที่นอนอุตุ
"พี่เจี๊ยบเช้าแล้วนะคะ เดี๋ยวก็ไปทำงานไม่ทันหรอก" ดาวยังไม่ละความพยายาม แต่จากสภาพที่หมอเจี๊ยบนอนน้ำลายไหลยืด ก็สงสัยจะหนักเอาการ
"พี่เจี๊ยบขอโทษนะคะ" ดาวดึงผ้าห่มและดันหลังหมอเจี๊ยบขึ้นมานั่ง ซึ่งมันก็ได้ผลแต่เธอยังคงสลึมสลือ
"เช้าเหรอ ไม่เหนเช้าเลย"หมอเจี๊ยบพูดเสียงยานๆแบบมึนๆ ก่อนจะหันซ้ายหันขวา จากนั้นก็ล้มตัวนอนต่อ
แต่ดาวดึงหมอนออกอย่างรวดเร็ว เมื่อหัวลงผิดท่า หมอเจี๊ยบก็ตื่นทันที
"แหะๆดาวพี่ขอโทษด้วยนะ"หมอเจี๊ยบที่ได้สติกำลังเกาหัวอย่างเขินอาย
"เร็วๆเถอะค่ะ เดี๋ยวก็ไปทำงานไม่ทันกันพอดี"ดาวเร่ง
"แล้วก็ชุดทำงานพี่เจี๊ยบเมื่อคืนดาวแอบซักไว้ให้แล้วนะคะ ตอนนี้น่าจะพอใส่ได้อยู่" ดาวลุกไปหยิบชุดมาให้
"ขอบใจน้าาา" หมอเจี๊ยบมองดาวด้วยตาเยิ้มๆ
ดาวอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปโรงเรียน แต่หมอเจี๊ยบกลับเปลี่ยนชุดทั้งๆอย่างงั้นเลย ดาวรู้สึกแปลกๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะเกรงใจและส่วนหนึ่งก็พอจะเข้าใจว่าหมอเจี๊ยบเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว
สำหรับอาหารเช้า ดาวต้มโจ๊กสำเร็จรูปให้ เพราะขืนให้เธอหรือพ่อทำ มีหวังหมอเจี๊ยบมัวแต่กินจนไปทำงานสายเป็นแน่ จนเวลาล่วงมาเกือบจะเจ็ดโมงเช้า ดาวก้ได้เวลาไปโรงเรียนส่วนหมอเจี๊ยบก็กำลังจะไปทำงาน วึ่งไม่รู้ว่าจะไปทันหรือเปล่า
"ดาวอยู่ลืมเรื่องที่พี่เล่าให้ฟังนะ ลองเอาไปคิดดูละกัน เผื่อจะเจอเบาะแสอะไร" ดาวรับปากจากนั้นหมอเจี๊ยบก็รีบบึ้งรถเก๋งคันงานไปทำงาน ส่วนดาวก็ขี่จักรยานคันเก่งไปโรงเรียน
(รอยเท้าในน้ำยังงั้นเหรอ)ดาวยังคิดถึงข้อสังเกตที่หมอเจี๊ยบบอกให้เมื่อคืน ขณะปั่นไปโรงเรียน
(แล้วถ้าเค้าว่ายน้ำเป็นมันก็พอจะเป็นไปได้นะ แต่ถ้าไม่ มันก็น่าแปลกอยู่) ขณะกำลังปั่น ดาวเหลือบไปเห็นป้ายศาลเจ้าพ่อไทรเพชร ศาลประจำหมู่บ้านหักลงมา
(สงสัยจะเก่าแล้วมั้ง ไว้ตอนเย็นค่อยไปบอกให้พ่อมาซ่อมดีกว่า) ดาวรีบปั่นไปโรงเรียน
.............................................
"ดาว ฉันขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ" มลเดินมาหาดาวในชั่วโมงโฮมรูม มลมีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ จนเช้านี้มิ้นทักเธอมาหลายครั้งแล้วแต่เธอก็บอกว่าไม่มีอะไร
"มีอะไรเหรอมล สีหน้าไม่ค่อยดีเลย" แม้แต่ดาวก็สังเกตได้เช่นกัน
"ดาว ถ้าฉันเล่าให้แกฟัง แกอย่าหาว่าฉันเพี้ยนนะ" เมื่อดูจากสีหน้า ดาวก้เออออตาม ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากให้มลสบายใจขึ้นมาบ้าง
"เมื่อคืนฉันฝันล่ะแก ในฝันฉันเห็นกุ๋กกู๋" มลเล่าด้วยน้ำเสียงหวั่นๆว่าดาวจะไม่เชื่อ แต่ดาวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหลุดขำมลแต่อย่างใด
"กุ๋กกู๋ไหนแก" ดาวงง จนมลต้องอธิบายว่ากุ๋กกู๋คือ ตุ๊กตาที่ มลต้องเอากลับบ้านด้วยเมื่อคืน
"มลแกฝันเห็นตุ๊กตาเหลือ" ดาวถาม จนมลต้องบอกให้เบาเสียงลง
"ไม่ใช่ตุ๊กตาแก เห็นเป็นคนแบบเรานี่แหละ"มลยืนยัน จนดาวเชื่อว่ามันคือเรื่องจริงเมื่อสังเกตจากท่าทางเพื่อนของเธอ
"แล้วแกจำหน้ากุ๋กกู๋ได้รึเปล่า" ดาวถาม แต่มลก้ได้แต่ส่ายหน้า เธอบอกว่าในฝันได้เห็นหน้ากุ๋กกู๋แต่ก็จำหน้าตาไม่ได้
"เอาเถอะๆแล้ว กุ๋กกู๋ทำอะไรแกรึเปล่า"ดาวถามมลด้วยความเป็นห่วงเพราะคิดว่าเมื่อคืนมลน่าจะโดนหนัก แต่เปล่าเลย มลได้แต่ส่ายหน้า เธอเอามือสองข้างจับที่ไหล่ของดาว
"กุ๋กกู๋มาบอกฉัน ให้เตือนเธอ ว่าเธอกำลังมีอันตราย ให้เธอระวังตัวด้วย"คำพูดของมลทำให้ดาวอึ้งและสงสัยว่า ถ้าในฝันเป็นกุ๋กกู๋จริงๆ ทำไมถึงไม่มาบอกเธอเองทำไมถึงต้องบอกผ่านมลด้วย และที่สำคัญ เธอกำลังคิดว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรึเปล่า
"ไม่ต้องห่วงหรอกมล ฉันจะระวังตัวนะ แล้วก็....ขอบคุณนะกุ๋กกู๋ที่ฝากมาบอก"ดาวกล่าวขอบคุณขึ้นมาลอยๆเพราะตอนนี้กุ๋กกู๋ต้องไปอยู่กับห้องอื่น ดาวพยายามยิ้มให้มลสบายใจ แต่ในใจเธอก็ยังคงคิด
......................................................
ช่วงสายๆนักเรียนทุกคนกำลังเรียนหนังสืออยู่ ภูก็มาที่โรงเรียน ดูเหมือนว่าเขานัดเจอกับครูพิลาวรรณ
"สวัสดีค่ะ คุณภู" ครูพิลาวรรณทักทาย แต่ภูดูท่าทางรีบๆ
"สวัสดีครับครูพิลาวรรณไม่ทราบว่าตอนนี้ครูพอจะสะดวกมั้ยครับ" ภูถาม และครูพิลาวรรณก็ตอบรับว่าไม่มีปัญหาอะไร
อันที่จริงตอนเช้าภูได้โทรไปนัดครูพิลาวรรณไว้ว่า เค้าจะขอมาสำรวจโรงเรียนโดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับ7เรื่องลึกลับ ซึ่งครูพิลาวรรณก็เห็นด้วยและให้ความร่วมมือ เพราะเธอก็อยากให้ปัญหานี้ยุติเหมือนกัน
"แล้วเราจะไปจุดไหนก่อนดีคะ"ครูพิลาวรรณถาม ภูก็หยิบสมุดจดเล่มเล็กๆออกมาเพื่อดูข้อมูลที่จดไว้
"ผมว่าไปดูต้นไทรหลังโรงเรียนก่อนดีกว่าครับ ส่วนที่อื่นผมว่าไม่น่าจะสะดวกเท่าไหร่ เพราะว่าเด็กๆน่าจะยังเรียนกันอยู่น่ะครับ" ซึ่งครูพิลาวรรณก็เห็นด้วย จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปหลังโรงเรียน
ต้นไทรใหญ่หลังโรงเรียน อยู่เลยโซนเกษตรของโรงเรียนไป บรรยากาศรอบๆค่อนข้างเงียบทำให้แม้เป็นตอนกลางวัน นักเรียนยังกลัวจนไม่กล้าเข้ามา บางคนบอกว่า ถ้ามาเรียนเกษตรช่วงเย็นๆบางวันที่มืดเร็ว รากอากาศของต้นไทรมันเหมือนเป็นเชือกที่ห้อยร่างไร้วิญญาณของคนหลายคนเอาไว้ มันอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือภาพหลอนจากแสงและเงา ประกอบกับความกลัวของนักเรียนก็ได้
รอบๆต้นไทย เศษกิ่งไม้ ใบไม้ตกอยู่ทั่วไป เหมือนขาดการเอาใจใส่ บางทีอาจจะเพราะว่ากลัว จนแม้แต่นักการก็เลยไม่เข้ามาจัดการ จนหญ้าขึ้นรก ซึ่ง อาจจะมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอ หรือแมลงมีพิษอื่นๆอยู่ก็ได้
"หญ้ารกจังเลยนะครับ"ภูพูดกับครูพิลาวรรณถึงสภาพแวดล้อมรอบๆ
"ทุกคนในโรงเรียนนี้กลัวหมดแหละค่ะ แต่ตรต้นไทรนี้หนักหน่อยที่ว่ามันค่อนข้างแยกจากส่วนอื่นๆแล้วนักเรียนก็ไม่กล้าเข้ามา ก็เลยขาดการดูแลอย่างที่เห็น"แม้จะรู้สึกอายอยู่บ้างที่ให้คนนอกมาเห็นโรงเรียนในสภาพนี้แต่เธอก็คิดว่าภูเข้าใจ
"ขอผมเข้าไปดูใกล้ๆได้มั้ยครับ" ภูขออนุญาต ซึ่งครูพิลาวรรณก็ไม่ได้ว่าอะไร
"ค่ะ ยังไงก็ระวังด้วยนะคะ"ครูพิลาวรรณยืนดูอยู่ห่างๆ
ภูเดินเข้าไปดูใกล้ๆอย่างระวัดระวัง แม้เค้าไม่จำเป็นต้องระวังเรื่องสิ่งเร้นลับ แต่เรื่องงูและสัตว์มีพิษเป็นอะไรที่เค้าไม่สามารถป้องกันได้ ทำให้ภูค่อนข้างระวังตัวพอสมควร
ต้นไทรมีขนาดใหญ่น่าจะหลายคนโอบอายุคงไม่ต่ำกว่าร้อยปี แผ่กิ่งก้านไปอย่างขาดคนดูแล และรากอากาศที่ห้อยลงมาเต็มต้น คไม่แปลกที่จะทำให้คนกลัว แต่ภูก็สะดุดตากับสิ่งๆหนึ่ เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ภูพบว่ามันคือตะปู ตะปูหัวบานๆแบบตะปูโบราณถูกตอกกับลำต้นเกือบสิบเล่ม จะภูต้องเรียกครูพิลาวรรณเข้ามาดูและถ่ายรูปเก็บเอาไว้
"นี่มันอะไรกันคะคุณภู"ครูพิลาวรรณมองด้วยความประหลาดใจ เมื่อพบว่าต้นไทรใหญ่ถูกตอกตะปุหลายเล่ม
"น่าจะเป็นการสะกดวิญญาณครับ" ภูตอบ ซึ่งมันทำให้ครูพิลาวรรณจู่ๆก็รู้สึกขนลุก
"สะกดวิญญาณ ไม่คิดว่าเรื่องเล่าจะเป็นเรื่องจริง"ครูพิลาวรรณรู้สึกกลัว จนค่อยๆก้าวขาออกห่างจากต้นไทรโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ภูยังถ่ายรูปอยู่
"มันก็ไม่แน่หรอกครับ ส่วนหนึ่งมันคือความเชื่อ จะจริงรึเปล่ามันก็ยากจะพิสูจย์ครับ แต่ในหลายประเทศหลายวัฒนธรรม ความหมายของตะปูจะถูกตีความคล้ายๆกัน นั่นคือตะปูใช้สำหรับการตรึง หรือการสะกดครับ" ภูพูดในขณะที่ถ่ายรูปไปด้วย ครูพิลาวรรณก็ได้แต่พยักหน้าอยู่ห่างๆ
พอถ่ายรูปเร็วครูพิลาวรรณก็ชวนภูกลับ ภูจึงกลับแต่โดยดี เพราะว่าช่วงเที่ยงเค้ากับดาวจะต้องไปคุยกับ ผอ.เรื่องการเอาปลามาปล่อยนั่นเอง
"คุณภูว่ามันแปลกๆรึเปล่าคะ"จู่ๆครูพิลาวรรณก็ถามขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินกลับซึ่งห่างจากบริเวณต้นไทรพอสมควร
"อะไรเหรอครับ" ภูถาม เขาสังเกตสีหน้าของครูสาวว่ายังคงกลัว เขาเลยต้องระวังคำพูดเป็นพิเศษ
"ดิฉันไม่ได้ยินเสียงนก หรือเสียงแมลงเลย ทั้งๆที่เมื่อกี้ที่ต้นไทรมันรกขนาดนั้นแท้ๆ คุรภูว่ามันแปลกๆรึเปล่าคะ"คำถามของครูพิลาวรรณทำให้ภูฉุกคิด แต่เขาก้ได้ตอบเธอไปว่าเธอคงคิดมากไปเอง ทั้งสองคนเดินห่างจากต้นไทรเรื่อยๆ แม้ภูจะไม่รู้สึก แต่ครูพิลาวรรณก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีใครมองเธออยู่จากที่ไกลๆ จนเธอกลัวที่จะหันกลับไปมอง.....ยังต้นไทร
........................................................
"ประกาศ....ประกาศ ของเชิญ นางสาวอิงดาว อินทดำรงค์ ที่ห้องผู้อำนวยการโรงเรียนตอนนี้ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ" เสียงประกาศตอนพักเที่ยงตามตัวดาวให้ไปหา ผอ.ที่ห้อง ดังมาจากลำโพงบนตึก จากจึงขอตัวแยกจาก มลและมิ้น และระหว่างที่ทั้งสามคนก้าวลงบันได
ดาวสะดุดล้มจนตกบันได ทำให้มลและมิ้นร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ โดยเฉพาะมล เพราะก่อนหน้านี้.....
กุ๋กกู๋มาเตือนเธอ ให้บอกดาวให้ระวังตัว
....................................
ภูกับครูพิลาวรรณรีบมาที่ห้องพยาบาล หลังจากที่ดาวส่งไลน์ไปหาภูว่าเธอตกบันได
"ดาวเธอเป็นยังไงบ้าง"ภูวิ่งมาหาดาวที่ห้องพยาบาล โดยมีครูดาวตามมาข้างหลัง เขาหอบหายใจแรกแสดงให้เห็นว่าเขาวิ่งมาจากตึกรับรองมาจนถึงตึกเรียนเลยทีเดียว
"ก็ไม่เป็นอะไรหรอกว่าแต่นายรีบวิ่งมามีอะไรรึเปล่า"ดาวที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงตอบชายหนุ่ม ความจริงเธอก็แอบดีใจเหมือนกันที่เขารีบมาหาเธอทันทีเพียงแค่ส่งไลน์ไปว่าตกบันได
"ฉันตกใจแทบแย่ มีอย่างที่ไหนส่งไลน์มาบอกว่าตกบันได ฉันก็นึกว่าเธอเป็นอะไรมากกว่านี้ซะอีก"ภูว่าดาวแก้เขิน แต่เหมือนหญิงสาวจะเดาทางออกเะอเลยแอบหัวเราะเบาๆ
"จริงๆฉันแค่จะบอกว่า คงไปคุยกับ ผอ.ไม่ได้เพราะตกบันไดนี่แหละ ดูดิแค่เข่าปูดเองไม่มีอะไรมาก ว่าแต่เหอะ ไม่ไปคุยกับ ผอ.เหรอ" ถึงเธอพูดไปแบบนั้นแต่ลึกๆเธอก็แอบกังวลเพราะว่าการที่เธอบาดเจ็บที่เข่ามันจะส่งผลต่อการเป็นนักวิ่งตัวแทนโรงเรียนของดาว
"คุณภูเค้าเลื่อนคุยกับครูใหญ่แล้วล่ะจ้ะ" ครูพิลาวรรณที่เพิ่งเดินมาถึงพูด จนดาวรู้สึกว่าเธอทำให้เสียงานรึเปล่านะ
"ดาวชะเง้อมองหา มลกับมิ้นจากที่เตียงเพื่อดูว่าเพื่อนทั้งสองคนอยู่ใกล้ๆหรือเปล่า แต่พอเห็นว่าเพื่อกำลังนั่งคุยกับอาจารย์พยาบาลอยู่ที่โต๊ะด้านหน้า เธอจึงรู้สึกโล่งอก
"นี่ๆ เดี๋ยวฉันมีเรื่องจะคุยกับนายทางไลน์ก็แล้วกัน แต่ก่อนอื่นฉันอยากให้นายดูอะไรหน่อย"ดาวเรียกภูเข้ามาใกล้ๆ โดยมีครูพิลาวรรณมองอยู่ห่างๆ
ภาพที่เห็นทำให้ภูแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะดาวส่ายหน้าเหมือนไม่ให้พูด เธอรูดถุงเท้าข้างขวาของเธอลงทำให้เห็นรอยแดงรูปมือที่เหมือนว่าจะจับข้อเท้าเธออย่างแรงจนเป็นรอย ซึ่งคงไม่ต้องบอกอะไรแล้วว่าดาวตกบันไดเพราะอะไร
ครูพิลาวรรณเมื่อเห็นแบบนั้น ดูเหมือนว่าเธอจะคิดอะไรบางอย่าง แต่ก็พยายามเก็บมันไว้ในใจ เธอเดินไปหาครูพยาบาลเพื่อถามอาการดาวเพิ่มเติม โดยปล่อยให้ภูและดาวอยู่ด้วยกันตามลำพัง
"เจ็บรึเปล่า" ภูถามเบาๆ ซึ่งดาวฟังไม่ค่อยถนัด จนเค้าต้องถามซ้ำ ซึ่งดาวก็แอบพอใจที่เค้าถามเธอเพราะความเป็นห่วง แต่...
"ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง ไอ้รอยแดงๆนั่นน่ะ เธอรู้สึกเจ็บหรือเปล่า" เสียงเพล้งเหมือนกระจกแตกก้องอยู่ในหัว ดาวนึกว่าภูจะห่วงว่าเธอเจ็บจากการตกบันได ที่ไหนได้กลับถามถึงรอยแดงๆตรงข้อเท้า
"ไม่อะ ทำไมเหรอ" ดาวตอบแอบฉุนหน่อย แต่ภูก็ยังคงนิ่ง
"งั้นเหรอ งั้นไว้ฉันจะเล่าในไลน์ละกัน ในไลนืกลุ่มนะให้สองคนนั้นรู้ด้วย) ว่าแต่ภูก็ถ่ายรูปรอยแดงๆตรงข้อเท้าดาวเก็บไว้
......................................................
ในตอนเย็นหลังเลิกเรียน ภูจัดแจงไปส่งดาวเพราะดูจากสภาพเธอคงปั่นจักรยานกลับบ้านไม่ไหวแน่ โดยมีครูพิลาวรรณไปด้วย ทำให้บทสนทนาในรถมีแต่อาการของดาวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหลังจากที่ภูกลับไปแล้ว ครูพิลาวรรณจึงประสานกับอาจารย์พละในฐานะโค๊ชของดาวให้พาตัวดาวไปตรวจที่โรงพยาบาล ซึ่งยังดีที่อาการบาดเจ็บไม่ไปถึงกระดูก ทำให้แต่ละคนโล่งใจไปตามๆกัน และอีกผลหนึ่งที่บทสนทนาไม่มีเรื่องอื่นก็เพราะดาวรู้สึกอึดอัดที่ครูพิลาวรรณนั่งมาด้วย ทำให้เธอจะปรึกษาอะไรกับภูไม่ค่อยถนัดนัก เพราะเธอรู้สึกว่าครูพิลาวรรณเป็นคนนอกอยู่ดี
พอภูมาส่งดาวที่บ้าน หมอเจี๊ยบกับผู้กองต้อมก็ยืนรอดาวอยู่หน้าบ้าน เมื่อสังเกตจากหน้าผู้กอง ดาวก็เดาได้ว่า คนอย่างหมอเจี๊ยบคงไปยืมกุญแจบ้านจากพ่อมาเปิดบ้านเองก็เป็นได้
"พี่ต้อมพี่เจี๊ยบฝากดูดาวด้วยนะครับ" ภูตะโกนผ่านกระจกรถจากนั้นก็รีบขับรถออกไปเลย ทำให้ดาวดูไม่ค่อยสบอารมย์เท่าไหร่ แม้ว่าเธอจะรู้ว่าภูกับครูพิลาวรรณต้องไปหา ผอ.ที่บ้าน
ดาวที่ใช้ไม้ค้ำรีบเดินเข้าบ้านโดยมีผู้กองต้อมช่วยประคอง
.....................................................
บ้านของผอ.หรือจะพูดให้ถูกกว่านั้นต้องบอกว่าคฤหาสน์ขนาดย่อมๆของ ผอ.อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่ อันที่จริงเนื่องจากที่ภูเลื่อนนัด ผอ.เมื่อตอนกลางวัน ผอ.เลยนัดภูมาคุยที่บ้านตอนเย็นหลังเลิกเรียนแทน ซึ่งก็ตามแบบฉบับเจ้าบ้านที่ดี พอรู้ว่าภูมาถึง ผอ.ก็มารอรับภูอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน จากนั้นก็พาทั้งสองเข้าไปที่ห้องรับแขก ภูหยิบกระเป๋าเอกสารลงมา ส่วนครูพิลาวรรณนั้นรู้สึกหวาดๆเนื่องจากความใหญ่โตของบ้าน
"เชิญครับ"ผอ.พูดเชิญทั้งสองนั่งที่ชุดรับแขกหลุยส์ราคาแพงของตัวเอง ดูท่าทางเหมือนผอ.จะเบ่งหน่อยๆ แต่ภูก็ไม่ได้สนใจอะไร เขาวากระป๋าลงข้างๆตัวจากนั้นก็เปิดประเด็นทันที
"ผอ.ครับ เพื่อการสืบสวนผมคิดว่าผมต้องทำอะไรเพิ่มซักอย่างสองอย่างไม่ทราบว่า ผอ.เห็นเป็นยังไง" ภูถาม ขณะที่ครูพิลาวรรณได้แต่นั่งนิ่งไม่พูดอะไร
"อย่างสองอย่างที่ว่าของคุณน่ะคืออะไรเหรอ"ผอ.ถามกลับ ด้วยคำพูดและน้ำเสียงเหมือนเค้าจะดูข่มๆภูอยู่ จนแม้แต่ครุพิลาวรรณสังเกตได้
"คือวันที่เราลอกสระกัน ผมอยากลองเอาปลาไปล่อยครับ แล้วก็ผมอยากซ่อนกล้องและไมค์ไว้ในสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับ7เรื่องลึกลับ ไม่ทราบว่าผอ.เห็นว่าไงบ้างครับ" วึ่งจากข้อเสนอของภู ผอ.คิดอยู่ไม่นาน จากนั้นจึงโยนไปให้ครูพิลาวรรณที่นั่งเงียบดูแลแทน
"ไอ้ผมก้ไม่ค่อยรู้อะไรมากหรอกนะเรื่อง7เรื่องลึกลับที่ว่าเนี้ย ผมก็รับตำแหน่งที่โรงเรียนนี้แค่ห้าหกปีเอง ยังไงก็ฝากลูกหม้ออย่างครูพิลาวรรณก็แล้วกัน"เมื่อถุกโยนมาแบบนี้ ทำให้ครุพิลาวรรณพยายามจะแย้ง แต่ผอ.ก็โบกมือ เหมือนกับว่าไม่ต้อง ทำให้ครูพิลาวรรณต้องนิ่งเหมือนจำยอม
ซึ่งดูภูจะเหมือนพอใจในคำตอบของผอ.ไม่น้อย เขายิ้มที่มุมปากก่อนจะลาผอ.กลับ
"บ้านสวยเหมือนกันนะครับผอ." ภูเอ่ยถึงเรื่องบ้าน ซึ่งผอ.ก็ดูเหมือนจะเอาเรื่องบ้านมาข่มภูอยู่เหมือนกัน
"ก็น้ำพักน้ำแรงของผมล่ะนะ ถือว่าเป็นของขวัญวัยใกล้เกษียณ" ผอ.พูดพร้อมหัวเราะชอบใจ ซึ่งภูก้ได้แต่ยิ้มและพูดเออออตาม ซึ่งมีแต่ครูพิลาวรรณที่เริ่มใจคอไม่ดีเลยแอบสะกิดให้ภูกลับ
ทั้งคู่ลา ผอ.จากนั้นภูก็ขับรถออกไป วันนี้เขาต้องไปส่งครูพิลาวรรณที่ห้างเพราะว่าครูพิลาวรรณจอดรถไว้ตรงนั้นเพราะเะอไม่กล้าที่จะจอดไว้ในโรงเรียนเพราะไม่รู้ว่าจะเสร็จธุระดึกหรือเปล่า
"เมื่อกี้ดูครูไม่ค่อยพูดเลยนะครับ" ภูเปิดประเด็นถามทันที ซึ่งเหมือนครูพิลาวรรณจะบ่ายเบี่ยง แต่ภูกว่าตะล่อมถามจนเธอเผลอหลุดปากออกมาได้
"คืออันที่จริงเหมือน ผอ.ดูจะไม่ค่อยพอใจพวกคุณภูซักเท่าไหร่นะคะ ผอ.เลยส่งดิฉันมาจับตาดูพวกคุณ"ครูพิลาวรรณก้มหน้าก้มตาตอบเหมือนไม่กล้าสู้หน้า
"คงเพราะเรื่องวันนั้นสินะครับ"เรื่องวันนั้นหมายถึงเรื่องที่ภูบีบครูใหญ่เรื่องคดีนั่นเอง ซึ่งครูพิลาวรรณก้ได้แต่พยักหน้า
"ดิฉันน่ะ จากที่ได้คุยกับพวกคุณ ก็พอจะรู้ว่าพวกคุณไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่ผอ.ก็เป็นผู้บังคับบัญชาของดิฉัน ดิฉันเลยเหมือนจะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกน่ะค่ะ" เรื่องนี้ภูก็พอทราบ เขาจึงไม่อยากเอ่ยอะไรอีก
.............................................
"ตกลงว่าผีสินะ"หมอเจี๊ยบถามดามขณะที่กำลังทานข้าวด้วยกันอยู่ วันนี้หมอเจี๊ยบซื้อของมามากมาย โดยมีผู้กองต้อมเป็นพ่อครัว วันนี้พ่อของดาวต้องอยู่ยามยันเช้า และดาวก็ขาเจ็บทำให้ผู้กองต้อมต้องทำแทน
"ก็คงงั้นแหละค่ะ ยิ่งยัยมลเค้าเตือนมาแบบนั้นด้วย พวกพี่ๆว่าจะเกี่ยวกับกุ๋กกู๋มั้ยคะ"ดาวถามทั้งสอง ซึ่งทั้งคู่ก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วหลังจากที่คุยในไลน์
"มันก็พูดยากยิ่งเป็นตุ๊กตาแบบเนี้ย มันเหนี่ยวนำให้วิญญาณมาสิงง่ายๆด้วยสิ"หมอเจี๊ยบตอบ ซึ่งดูเหมือนว่าผู้กองต้อมจะไม่ค่อยถนัดเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ไม่เหมือนหมอเจี๊ยบกับภู ซึ่งเขาถนัดเรื่องสืบสวน และรวบรวมหลักฐานแบบตำรวจมากกว่า
"แล้วดาวรู้รึเปล่าล่ะว่าพวกตุ๊กตาเหมือนคนเนี้ยเดิมทีมันไม่ใช่ของเล่นนะ แต่เดิมมันเป็นสื่อวิญยาณเอาไว้แทนคน อยากตุ๊กตาเสียกบาลก็ใช่"หมอเจี๊ยบตอบทั้งๆที่ข้าวเต็มปาก
"แล้วทำไมเขาต้องมาเตือนด้วยล่ะคะ"ดาวถาม
"บางที่ตุ๊กตากุ๋กกู๋คงรู้อะไรมั้งว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับดาวเลยฝากเพื่อนมาเตือน"ผู้กองต้อมตอบ ซึ่งจากประสบการณ์ตำรวจเขาสามารถตอบเรื่องนี้ได้
"และที่ไม่ได้มาบอกตรงๆอย่างแรกคือไม่สามารถบอกเธอตรงๆได้ ไม่ก็เพิ่งทราบว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น" คำพูดของผู้กองต้อมทำให้ดาวคิดหนักว่าเพราะอะไรกันแน่
"แล้วรอยตรงข้อเท้าเธอน่ะ มันปรากฏการณ์วิญญาณชัดๆ ซึ่งไม่ใช่อุบัติเหตุแน่นอน ดังนั้นกุ๋กกู๋คือคนแรกที่เราต้องเอามาสอบสวนใช่มั้ยล่ะ"หมอเจี๊ยบตอบพลางสะกิดไปที่แฟนของเธอ
"คงตลกพิลึกนะเอาตุ๊กตามาสอบสวนน่ะ"ผู้กองต้อมเหมือนจะเอือมแฟนของตัวเองเหมือนกัน
"มันก็ไม่แน่นะคะ ถ้าหนูถามกุ๋กกู๋ในฝันได้ หรือให้ดีที่สุดให้หนูไปนอนที่ตึกเรียนจะได้รู้ว่าวิญญาณในนั้นคืออะไรและต้องการอะไรกันแน่" ความคิดของดาวทำให้ทุกคนเงียบ โดยเฉพาะหมอเจี๊ยบเพราะรู้ความสามารถของดาวและรู้ว่าในสถานการณ์แบบนั้น มันอันตรายเพียงใด
ทันใดนั้นมีข้อความ SMS ส่งมาที่มือถือของผู้กองต้อม
"ปลากินเหยื่อแล้ว รอแค่กระตุก" เมื่ออ่านข้อความผู้กองต้อมก็ยิ้มออกมาทันที
..................................................
เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นอีกวันที่หมอเจี๊ยบมาค้างบ้านดาว และจริงๆก็คงจะต้องค้างจนหมดสัปดาห์ เพราะเหตุผลที่เธอไม่สามารถบอกใครได้แม้แต่แฟนขอเธอ นั่นคือ
เธออยู่บ้านคนเดียว
เนื่องจากพ่อกับแม่ของหมอเจี๊ยบไปทัศนาจรกับคนในชุมชน กว่าจะกลับก็ตั้งอาทิตย์หนึ่ง เธอเลยมาขออยู่กับดาวที่บ้านจนกว่าพ่อแม่ของเธอจะกลับ
"ไม่บอกผู้กองเรื่องอยู่บ้านคนเดียวจะดีเหรอครับครับคุรหมอ" พ่อดาวถามขึ้นเมื่อทั้งสามกำลังทานข้าวเช้า
"ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อหนูไม่อยากให้พวกเค้าเป็นห่วง"หมอเจี๊ยบทานขระที่ข้าวเต็มปาก จากนั้นก็ทานเอาๆ
"พี่เจี๊ยบคะ วันนี้เราต้องไปติดกล้องจริงๆเหรอ" ดาวถาม หลังจากที่เมื่อคืนภูส่งแผนมาทางไลน์ ซึ่งทั้งสามคนก็เห็นด้วยเพียงแต่ การจะติดตั้งที่ไหน ยังไงบ้างนั้น ภูขอเวลาวางแผนก่อน
"ใช่แล้ว แต่เห็นว่าต้องใช้ของเยอะ ภูเค้าเลยต้องไปหามาเพิ่มน่ะ แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร"หมอเจี๊ยบตอบเหมือนไม่กังวลอะไร จะมีก็แต่ดาวที่ดูจะกังวลมากเป็นพิเศษ
"ว่าแต่พ่อคะ รู้สึกว่าป้ายตรงศาลต้นไทรจะหักนะคะ เมื่อวานหนูก็ลืมบอกไป" เหมือนพ่อดาวจะรู้แล้ว แต่มันก็เป็นเรื่องใหญ่เพราะก็มีชาวบ้านบางคนอาจจะมองเป็นเรื่องของอาเพศ ซึ่งต้องนัดประชุมกันภายหลัง
........................................
"ดาวแกเป็นไงบ้าง" มลรีบเข้ามาถามอาการดาวทันทีที่เธอมาถึงห้อง ซึ่งโชคดีที่ดาวไม่ได้เป็นอะไรมาก เพราะวันนี้เธอไม่ต้องใช้ไม้ค้ำแล้วเพียงแต่ยังเดินไม่ค่อยถนัดนัก
"ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ว่าแต่แกเถอะ ดูสีหน้าไม่ดีตั้งแต่เมื่อวานแล้ว" ดาวถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเธอเห็นว่าสีหน้าของเพื่อนดูไม่ค่อยสดใสเหมือนเคย
"ดาว ฉันเป็นห่วงแกมาเลยรู้มั้ย" มลโผเข้าไปกอดโดยที่ดาวไม่ทันตั้งแต่ แต่เนื่องจากที่มลตัวเล็กกว่า ดาวจึงยังพอรับการโผกอดของมลไหว
มลเหมือนจะร้องไห้ มือของหนึ่งของดาวค่อยๆลูบหัวของเพื่อนเพื่อปลอบใจ พร้อมกับบอกว่าตัวเองไม่เป็นไรแล้ว แต่....
มิ้นที่เห็นเหตุการณืทั้งหมดยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ก่อนที่จะเข้ามาในห้องเรียนเพื่อทักทายเพื่อนทั้งสองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"หวัดดี ดาว หวัดดีมล" มิ้นทักทาย มลรีบผละออกจากดาวแล้วเช็ดนั้นตาตัวเอง
"มลแกร้องไห้ทำไมน่ะ"มิ้นถาม เมื่อเห็นใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตาของเพื่อน
"มิ้น ขอโทษนะที่ฉันไม่ได้บอกแก" มลเล่าเรื่องทั้งหมดให้มิ้นฟัง เหมือนมิ้นจะดูตกใจอยู่บ้าง จากนั้นมิ้นก็มาถามอาการดาวซะยกใหญ่ จนดาวต้องเขกหัวมิ้นเบาๆ
"เห็นมั้ยฉันไม่เป็นอะไร พวกแกสองคนไม่ต้องห่วงหรอก"รอยยิ้มของดาวทำให้มลและมิ้นดูสบายใจขึ้น โดยเฉพาะมลเหมือนเธอจะยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
หลังจากคาบเรียนช่วงเช้าผ่านไป ดาวจึงได้เวลานั่งคุยกับมลดีๆช่วงทานข้าวกลางวัน
"ตกลงที่แกฝันว่ากุ๋กกู๋มาบอกแกว่าจะเกิดเรื่องกับดาวนี่จริงๆใช่มั้ย" มิ้นถามย้ำมลอีกครั้ง เพราะเธอคิดว่าเธอคงฝันไปยังงั้นเพราะเป็นห่วงเพื่อน แต่มลก็ยืนยันว่าเธอฝันแบบนั้นจริงๆ
"แล้วทำไมกุ๋กกู๋ต้องมาบอกแกด้วยล่ะ ทำไมไม่มาบอกฉันตรงๆเลย" ดาวถาม แต่ก็โดนมลสวนว่า เธอจะรู้มั้ยว่าทำไม
"แล้วพวกแกเชื่อรึเปล่าว่ากุ๋กกู๋มีจริง"จู่ๆดาวก็ถามขึ้นมาทำให้วงสนทนาเงียบไปครู่หนึ่งความลังเล ความกลัวเริ่มแสดงให้เห็นบนใบหน้าเพื่อนทั้งสอง และแม้ว่ามิ้นอยากจะตอบเชิงปัดว่าดาวคิดมาก แต่เมื่อดูจากท่าทางจริงจังของมล มันทำให้มิ้นเริ่มที่จะคล้อยตาม
แม้ไม่มีคำตอบ แต่จากการที่การสนทนานั้นเริ่มเงียบจากนั้นก็ตามมาด้วยการเปลี่ยนเรื่องคุย ทำให้ดาวคิดว่าเรื่องนี้น่าจะจริง เพียงแต่เะอก็ยังไม่รู้เหตุผลของกุ๋กกู๋อยู่ดี และเมื่อวงสนทนาเปลี่ยนเรื่องคุย ดาวก็ต้องจำยอมคุยตามไปด้วย เพราะไม่อยากให้เพื่อนยิ่งเป็นห่วงจนนำไปสู่การสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นในโรงเรียน
............................................
หลังเลิกเรียนเมื่อทุกคนกลับกันหมดแล้ว ภู ดาว หมอเจี๊ยบ ผู้กองต้อม และครูพิลาวรรณ ได้มารวมกันที่หน้าโรงเรียน ภูเตรียมอุปกรณ์มาพร้อม และแผนการที่จะติดกล้องในที่ต่างๆ ซึ่งทั้งห้าคนจะต้องไปพร้อมกัน เพราะไม่แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากสิ่งลี้ลับในโรงเรียนหรือไม่ ดังนั้นหากทุกคนเกาะกลุ่มไปกับภูน่าจะดีกว่า
"นี่ภู จะติดอะไรนักหนาตั้งเจ็ดที่เลยเหรอ แล้วโรงอาหารก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องลึกลับซักหน่อยแล้วจะไปติดทำไม"ผู้กองต้อมบ่น ซึ่งดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะลงพื้นที่ทำให้เหนื่อยมาทั้งวัน ในขณะที่ผู้หญิงสามคนที่เหลือไม่ปริปากซักคำ
"เอาน่าพี่ ผมรู้ว่าพี่กลัวผี แต่มากับผมไม่มีอะไรหรอกเชื่อดิ"ภูเปิดเผยเหตุผลที่แท้จริงของผู้กองต้อมออกมาทำให้หมอเจี๊ยบหลุดขำ
"เอาน่าๆ ว่าแต่ตั้งเจ็ดที่ แล้วนายจะติดตั้งยังไงกันล่ะ" หมอเจี๊ยบถามภู เพราะดูจากสภาพคงจะลำบาก เพราะจากสถานที่ มันไกลกันแล้วไหนจะต้องซ่อนกล้องอีก คงไม่ง่ายที่จะติดตั้งแล้วลากสายไปทั้งโรงเรียน
ภูเดินไปที่รถพร้อมกับหยิบกล้องวีดีโอขนาดเล็กออกมา เป็นแบบที่มีหน่วยความจำและแบตเตอรี่ในตัว
"ผมซื้อมาสิบกว่าตัว แบตเตอรี่และหน่วยความจำถ่ายได้ติดต่อกัน 24ชั่วโมง สามารถสั่งงานผ่านมือถือและดูภาพได้ทั้งย้อนหลังและRealtime จากกล้องทุกตัว เป็นไงแค่นี้พอไหวมั้ย" ภูพูดอวดสรรพคุณ ทุกคนถึงกับอึ้ง แต่ผู้กองต้อมถึงกับหน้าเสีย เขาจึงไปล้อคคอภูมากระซิบ
"ภู แกหมดไปเท่าไหร่วะ"ผู้กองต้อมกระซิบ เพราะเขาเคยสัญญาว่าเขาจะเป็นสปอนเซอร์ทั้งหมดในงานนนี้
"พี่ไม่ต้องห่วงหรอก งานนี้ไม่ถึงล้านหรอกครับ" ภูกระซิบตอบแกมหยอก แต่ผู้กองต้อมก็พอจะประเมินราคาได้ว่าหนักอยู่
แต่ทันใดนั้นรถคันหนึ่งก็ขับเข้ามาจอดใกล้ รถเก๋งยุโรปคันใหญ่สีดำ มีคนขับรถเดินลงมาเปิดประตูให้ผู้เป็นเจ้านาย พ่อกับแม่ของเอิร์นผู้ตายเดินลงมาจากรถ ฝ่ายพ่อมีท่าทางโกรธส่วนแม้เหมือนจะเกรงๆสามีของเธอ
ผู้เป็นพ่อเดินปรี่เข้ามา แม้ครูพิลาวรรณที่เห็นเหตุการณ์จะเข้ามาทักทายแต่ก็ไม่สนใจ เขาเดินมาหาภุพร้อมกับกระชากคอเสื้ออย่างแรง
"ไหนแกบอกว่าจะสืบเรื่องลูกฉันไง แล้วนี่แกกำลังทำอะไรอยู่หะ" ผู้เป็นพ่อพูดด้วยน้ำเสียงโกรธฝ่ายแม้ได้แต่ยืนอยู่ห่างๆส่วนครุพิลาวรรณพยายามเข้ามาห้าม
"ผมก็กำลังหาหลักฐานอยุ่นี่ไง" ภูพูดด้วยเสียงเรียบเฉยๆแต่สีหน้าจริงจัง ทั้งสองจ้องตากันก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะปล่อยมือจากคอเสื้อภู
"ไหนลองพูดซิว่านายกำลังทำอะไรอยู่กันแน่" ผู้เป็นพ่อยืนกอดอกรอฟังอย่างตั้งใจ ส่วนผู้เป็นแม่นั้นก็รอฟังอยู่ห่างๆ
"ผมแยกสืบเรื่องนี้เป็นสามส่วน ส่วนแรกคือการตายของลุกชายคุณที่สระน้ำ ส่วนที่สองคือการที่แฟนของผู้ตายถูกผีหลอกที่ตึกเรียน และส่วนที่สามคือคือเรื่องเล่าที่ว่า7เรื่องลึกลับของโรงเรียน ซึ่งผมตั้งข้อสังเกตว่าทั้งสามส่วนนั้นเกี่ยวข้องกัน"ภูอธิบาย ซึ่งผู้เป็นพ่อนั้นเมื่อได้ฟังก็มีท่าทางอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
"แล้วคุณว่าทั้งสามส่วนที่ว่ามามันเกี่ยวข้องกันยังไง" ผู้เป็นพ่อถาม เมื่อฟังจากการพูดที่นุ่มขึ้นทำให้ทุกคนโล่งอก
"ตรงนี้แหละครับที่ผมกำลังหาหลักฐานอยู่ แต่ก่อนอื่นผมของถามคุณซักสองเรื่องได้มั้ย" ผู้เป็นพ่อพยักหน้า
"เรื่องแรกทำไมพวกคุณถึงรู้ว่าพวกผมจะทำอะไรกัน"ภูถาม แต่ผู้เป็นพ่อเหมือนไม่อยากพูด จนผู้เป็นแม่ต้องตอบแทน
"ผอ.ค่ะ ผอ.บอกเรา สามีฉันก็เลยคิดว่าพวกคุณกำลังทำเหมือนเป็นเรื่องเล่นจึงโกรธก็เลยพากันมาที่นี่แหละ"
เมื่อได้ฟังครูพิลาวรรณถึงกับตกใจที่ ผอ.ไปบอกพ่อแม่ของผู้ตายแบบนั้น แต่จากสีหน้าและท่าทางของภูกับผู้กองต้อมเหมือนจะไม่ตกใจอะไร
"ตรงนี้สำคัญมากนะครับเพราะเกี่ยวกับลุกชายคุณ ไม่ทราบว่าผู้ตายว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า" คำถามของภูทำให้ดาวและหมอเจี๊ยบประหลาดใจเพราะภูนั้นคิดเหมือนกับเธอทั้งสองคน และเป็นคำถามที่น่าจะไขไปสู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้
"ไม่ครับ ลูกผมว่ายน้ำไม่เป้น" คำตอบของพ่อ ทำให้ปริศนานั้นค่อยๆเผยบางอย่างออกมา ความคิดของคนทั้งสามไปในทิศทางเดียวกันหลังจากได้ฟังคำตอบ
เมื่อว่ายน้ำไม่เป็น แล้วจู่ๆรอยเท้าของผู้ตายไปโผล่จากตรงกลางสระได้อย่างไร
..............................................................
หลังจากการพูดคุยกับพ่อแม่ของเอิร์นชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้าย เมื่อเข้าใจกันแล้ว พ่อกับแม่ของเอิร์นก็ขอตัวกลับ และยังบอกว่าวันเสาร์พวกเขาจะมาช่วยภูลอกสระด้วย หลังจากที่ภูบอกแผนในวันเสาร์ไป
เมื่อรถยนต์ของพ่อแม่ของเอิร์นลับตาไป ทั้งห้าคนจึงเดินเข้าไปในเขตโรงเรียน ขณะที่ยาม ที่อยู่ที่ป้อมหน้าประตุโรงเรียนปฏิเสธที่จะเข้าไปด้วย แต่ก็ยังดีที่เขายังให้กุญแจที่เปิดอาคารต่างๆในโรงเรียนไว้ให้ เพราะสถานที่ที่จะติดตั้งกล้องบางที่จะต้องขึ้นตึกไป
ในเอกสารที่ภูแจก สถานที่ทั้งเจ็ดที่จะต้องติดตั้งกล้องประกอบด้วย สระน้ำกลางโรงเรียน ตึกเรียน ต้นไทรหลังโรงเรียน ตึกรับรอง ตึกนาฏศิลป์ และอีกสองแห่งที่ภูเพิ่มขึ้นมาคือ โรงอาหาร และอาคารเรียนอื่นๆ
"นี่ภูเราต้องเอาไปติดเยอะขนาดนี้เลยเหรอ"หมอเจี๊ยบบ่นเมื่อเห็นรายชื่อสถานที่ที่ต้องติด แม้ไม่มีคำตอบแต่หมอเจี๊ยบก็รู้ว่าภูเอาจริง
"และที่สำคัญเราต้องเดินไปเพราะฉะนั้นทุกคนก็ช่วยๆกันแบกของด้วยนะ" พอภุพุดจบเสียงหาก็มาจากหมอเจี๊ยบกับผู้กองต้อม พร้อมกับคำบ่นต่างๆนานา
"นี่นายจะบ้าไปแล้วเหรอ ดาวเค้าขายังไม่ดีเลยนะ จะให้เดินไปยังไง" ผู้กองต้อมเอาอาการของดาวมาอ้าง แต่ดาวก็บอกว่าถ้าไม่วิ่งก็ไม่เป็นไร ทำให้ผู้กองต้อมกับหมอเจี๊ยบผิดหวัง
"คุรภูคะ ทำไมถึงต้องเดินไปด้วยล่ะคะ" ครูพิลาวรรณถามขณะที่กำลังดูรายชื่ออย่างละเอียดอีกที
"เพราะผมอยากซึมซับบรรยากาศของโรงเรียนนี้ทั้งหมดครับ และผมก็อยากรู้อะไรบางอย่างด้วย"คำพูดของภูยิ่งทำให้ครูพิลาวรรณงง ในขระที่คนอื่นไม่มีใครยืนฟังซักคน ทั้งสาม เดินไปที่รถหยิบถุงใส่กล้องแล้วเดินบ่นเข้าโรงเรียนไปก่อน แต่ก็เดินไปไม่ห่างเท่าไหร่ เพราะรู้ดีว่าเพื่อความปลอดภัย จะต้องอยู่ใกล้ๆภูไว้
"ไม่นึกว่า ผอ.จะบอกพ่อแม่ของผู้เสียชีวิตนะคะว่าเราทำอะไรกันอยู่" ครูพิลาวรรณพูดกับภูขณะที่ไปของถุงใส่กล้อง
"บางทีเค้าอาจจะกลัวว่าผมจะหลอกเอาเงินเค้าหรือทำอะไรเล่นก็ได้มั้งครับ" ภูตอบแล้วหันมายิ้มให้ ซึ่งทำให้ครูพิลาวรรณโล่งใจไปได้บ้าง เพราะลึกๆเธอก็คิดว่า ผอ.ดูแปลกๆไปสำหรับเรื่องนี้เหมือนๆกัน
ทั้งหา้คนเดินเข้าไปในโรงเรียนวึ่งที่แรกที่จะไปติดตั้งกล้องก็คือสระน้ำกลางโรงเรียน บรรยากาศยังคงเงียบเชียบ ไม่มีอะไรผิดปกติบางทีก็อาจจะเป็นเพราะมีภูอยู่ด้วยก็เป็นได้ ทั้งห้าคนใช้เวลาติดตั้งไม่นานนัก เพราะมีต้นไม้อยู่รอบๆทำให้ไม่ต้องติดตั้งอุปกรณืหรือจัดแจงซ่อนกล้องเพิ่มเติม และเมื่อติดตั้งและดูมุมกล้องจากโทรศัพท์เสร็จ จากนั้นภูก็ย้ายไปติดตั้งยังอาคารต่างๆ เริ่มจาก โรงอาหาร อาคารเรียนอื่นๆ ห้องนาฏศิลป์ ตึกรับรอง ต้นไทรหลังโรงเรียน จากนั้นค่อยมาที่ตึกเรียน
..............................................
ที่โรงอาหารส่วนที่เปป็นที่นั่งทานข้าว ภูเลือกติดตั้งกล้องไว้สองตัว เพื่อดูมุมกว้างๆของสภาพในโรงอาหารจากนั้นก็เดินไปที่ ส่วนร้านค้า ด้านหลังร้านค้า ไม่ค่อยสะอาดซักเท่าไหร่ เพราะเศษอาหารที่เหลือจากการล้างาน หรือน้ำซักล้างอะไรต่อมิอะไร พวกร้านค้าก็พากันทิ้งยังร่องระบายน้ำหลังโรงเรียนหมด จนเกิดกลิ่นเหม็นที่ทำให้ทุกคนพากันอุดจมูก
"ไม่นึกเลยนะว่าเบื้องหลังโรงอาหารของเรามันจะสกปรกแบบนี้" ดาวบ่นขึ้นมา เพราะเธอไม่คิดว่าอาหารที่สะอาด ดูน่าทานที่เธอกินประจำ พวกแม่ค้า จะทำสกปรกแบบนี้
"ครูว่าหลังจากนี้ต้องแจ้งให้ทางโรงเรียนจัดการอะไรซักอย่างแล้วล่ะ เพราะครูก็เพิ่งมาเห็นเหมือนเธอนี่แหละ"ครูพิลาวรรณบอก แต่ภูก้ห้ามไว้
"ยังไม่ต้องหรอกครับ ผมอยากให้เสร็จเรื่องนี้ก่อน" จากนั้นภุก็ไปติดกล้องเพื่อดูภาพด้านหลังร้านค้า วึ่งคำพูดของภูทำให้หมอเจี๊ยบสังเกตอะไรบางอย่างเหมือนกัน
จากนั้น ทั้งห้าคนก็ไปติดกล้องภายในอาคารเรียนอื่นๆ ซึ่งเป็นอาคารเรียนสำหรับการเรียนวิชาต่างๆ ซึ่งแยกออกมาจากตัวตึกเรียน อาคารบางหลังเป็นอาคารเรียนเก่าตั้งแต่สมัยสร้างโรงเรียนครั้งแรกๆด้วยซ้ำไป
จากอาคารเรียนอื่นๆก็ไปตึกนาฏศิลป์ ที่อยู่ใกล้ๆกัน แม้จะเรียกว่าตึกนาฏศิลป์ แต่ก็เป็นเรือนไทย ที่จำลองไว้ มีห้องเก็บอุปกรณ์อย่างพวกเครื่องดนตรีไทย ชุดสำหรับฟ้อนรำต่างๆ และห้องครูที่เอาไว้เก็บโขนครู ชุดครู และเครื่องดนตรีครู ไว้บูชา ซึ่งภูเลือกที่จะติดกล้องในห้องนี้เป็นพิเศษ คือติดกล้องไว้ภายในห้อง เลย ส่วนกล้องอื่นๆและไมค์ ก็ติดตรงบริเวณเรือนเท่านั้น
"นี่นายติดแบบนี้จะดีเหรอ เดี๋ยวครูนาฏศิลป์จะโกรธเอานะ"ดาวถาม เพราะเธอก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน
"เธอเคยสงสัยรึเปล่าว่าทำไมถึงมีแต่ดนตรีไทย รำไทยที่มีครู ขณะที่พวกบัลเล่ หรือดนตรีสากล ไม่เห็นจะมีครูเลย" ภูพูดแค่นี้ทำให้ดาวกลัวว่าครูจะมาหักคอที่ไปลบหลู่จริง
"เอาล่ะ รีบลงไปเถอะ" หมอเจี๊ยบชวนทุกคนลงจากเรือนเมื่อติดกล้องเสร็จ
"พี่เจี๊ยบคะ ทำไมภุถึงพูดออกมาแบบนั้น" ดาวที่เป็นกังวลกระซิบถามหมอเจี๊ยบ
"ก็เพราะว่าครูเป็นแค่วัฒนธรรมความเชื่อยังไงล่ะ ก็อย่างที่ภูบอกแหละ ไม่เห็นมีผีบัลเล่ หรือผีวงออเคสตร้าเลยไม่ใช่เหรอ" แม้หมอเจี๊ยบจะพูดแบบนั้นดาวก็ยังคงไม่สบายใจอยู่ดี
จากนั้นก็ย้านไปที่ตึกรับรองต่อ ตึกรับรองเป็นตึกเก่า ที่สร้างมาสมัยก่อสร้างโรงเรียน มีสองชั้น ชั้นล่างถูกจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ และชั้นบนเป็นห้องผู้บริหาร รวมไปถึงห้องผอ. สาเหตุที่เรียกว่าตึกรับรองก็เพราะสมัยก่อนตึกนี้ถูกใช้เป็นอาคารรับรองคนใหญ่คนโตเวลามาเยี่ยมโรงเรียน
"ครูพิลาวรรณครับ ตึกนี้ผมขอติดกล้องทุกห้องเลยได้หรือเปล่าครับ"ภูถาม แต่เหมือนครูพิลาวรรณจะอ้ำอึ้ง
"ผมเข้าใจนะครับว่าเป็นห้องผู้บริหาร แต่พวกเอกสารสำคัญเราไม่ยุ่งหรอก ผมเป็นตำรวจผมเข้าใจ"ผู้กองต้อมก็ยืนยันอีกเสียง จนครูพิลาวรรณต้องยอม และเข้าไปเปิดห้องทุกห้อง ภูและผู้กองต้อมช่วยติดตั้งกล้องและไมค์ไว้ทุกห้อง พร้อมกับซ่อนไว้อย่างดี
"คุณครูคะแล้วที่ว่าเจอวิญยาณชุดไทยนี่มันยังไงเหรอ ในเมื่อเป็นห้องผู้บริหารแล้วก็ไม่มีใครเข้ามาอยู่แล้ว"หมอเจี๊ยบถาม เพราะมันออกจะแปลกๆไปหน่อยที่ว่าไม่มีเหตุผลที่ใครจะเข้ามาเจออะไรในตึกที่สำคัญของโณงเรียนแบบนี้
"เห็นว่าสมัยก่อน ตึกนี้จะให้แขกมานอนค้างด้วยน่ะค่ะ แล้วก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เป็นบ้านพักประจำตำแหน่งของครูใหญ่ด้วย ถ้าจะเห็นผีชุดไทยก็คงมาจากตรงนั้นแหละค่ะ" ครูพิลาวรรณตอบ ซึ่งเมื่อได้ยินคำว่าผีทำให้ดาวถึงกับขนลุก
"เอาล่ะเรียบร้อยแล้วครับ งั้นเราไปที่ต้นไทยกันเลย" ผู้กองต้อมพูด และเมื่อเก็บของเสร็จ ทุกคนออกจากตึก ครูพิลาวรรณสำรวจความเรียบร้อย ว่าปิดมิดชิดและไม่มีอะไรเสียหายแล้ว จึงออกจากตึกไป
"นายว่าไม่มีจับได้ใช่มั้ย"ผู้กองต้อมแอบกระซิบภู
"ถึงจับได้เราก็บอกไปว่าเราเอาไว้จับผีก็แล้วกัน อีกอย่างดูจากท่าทีแล้ว ผมว่าเค้าไม่รู้หรอกว่าเราซ่อนกล้องไว้"ภูกระซิบตอบ
"งั้นก็เหลือแค่ให้ทุกอย่างคลี่คลายแล้วเราก็กระตุกเบ็ดสินะ" ทั้งห้าคนกำลังเดินไปที่ต้นทรหลังโรงเรียน ในตอนกลางคืนที่เงียบเชียบ ไม่มีแม้แต่เสียงนกและแมลง
...........................................................
ต้นไทรหลังโรงเรียน สถานที่ต่อไปที่พวกภูจะต้องไปติดตั้งกล้อง วึ่งอยู่ด้านหลังแปลงเกษตร บริเวรณรอบๆต้นไทรมีหญ้าขึ้นสูงเพราะขาดคนดูแล เนื่องจากเรื่องเล่าที่น่ากลัวจนแม้แต่นักการของโรงเรียนยังขยาด และประกอบกับต้นไทรอยู่ด้านหลังโรงเรียนติดกับรั้วซึ่งไม่ได้เป็นทางผ่านไปยังอาคารอื่นๆ ทำให้แม้ไม่มีใครมาดูแลก็ไม่มีใครว่า แต่สิ่งน่ากลัวสำหรับต้นไทรตอนนี้ไม่ใช่ผี แต่เป็น
งู
บริเวณแปลงเกษตรทั้งห้าคนยืนปรึกษากันเรื่องการจะไปติดกล้องบริเวณต้นไทร แต่เพราะหย้าที่รก ทำให้มันเสี่ยงจากการที่โดนงูหรือสัตว์มีพิษกัด
"ฉันว่าเราติดกล้องอยู่ห่างๆดีกว่ามั้ย รู้สึกว่าการจะเข้าไปมันไม่ปลอดภัยเท่าไหร่" ดาวเสนอความคิด อันที่จริงเธอก็กลัวงูแบบสุดๆ
"ใช่แล้วล่ะค่ะ ถ้าเกิดโดนงูกัดขึ้นมามันจะแย่เอานะคะ" ครูพิลาวรรณเสริมอีกเสียง เพราะเธอเคยมาตอนกลางวัน ซึ่งมันก็ดูไม่ปลอดภัยจริงๆ
"ไม่เป็นไรครับ ผมไปเอง" ภูอาสา แต่ผู้กองต้อมพยายามรั้งเอาไว้
"ภูมันอันตรายนะ อย่าไปเลย" แต่ผู้กองต้อมก้โดนภูสวนซะทันควัน
"ไม่เป็นไรหรอกพี่ ผมไปแค่นี้เองผีไม่หลอกหรอก" ว่าแล้วภูก็หิ้วถุงกล้องเดินไปทันที ซึ่งหมอเจี๊ยบก็แอบขำอยู่
แต่เมื่อภูเดินเข้าไปในพงหย้าซักพัก ทั้งสี่คนที่เหลือก้เหมือนจะขำไม่ออก ลมเย็นยะเยือกพัดมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จนทั้งให้หนาวไปจนถึงสันหลัง ทั้งสี่ต่างจับมือกันแน่น โดยเฉพาะผุ้กองต้อมที่จับมือแฟนตัวเองแน่นมากจนหมอเจี๊ยบต้องทุบเพื่อให้ปล่อยมือ
ครุพิลาวรรณพยายามฉายไปไปที่ภู ไม่ใช่เพราะเธอยากช่วยให้ภูทำงานง่ายขึ้น แต่เป็นเพราะถ้าเธอเห็นภู เธอจะอุ่นใจมากกว่านี้
"พี่เจี๊ยบรู้สึกรึเปล่าคะ"ดาวกระวิบหมอเจี๊ยบที่ยืนเบียดกันอยู่ใกล้ๆ แม้จะไม่เห็นอะไร แต่ผู้สัมผัสวิญญาณอย่างดาวและหมอเจี๊ยบ ก็รู้สึกได้เป็นอย่างดี ความรู้สึกอึดอัด เย็นวาบเป็นระยะ นั้นคือปรากฏการทางวิญญาณที่เกิดขึ้นขณะนี้
"ภู อย่าไปแตะตะปูตรงต้นไม้นะ" หมอเจี๊ยบตะโกน วึ่งภูก็ตะโกนตอบว่ารู้แล้ว
นั่นเพราะหมอเจี๊ยบรู้ดีว่าการตอกตะปูบนต้นไม้นั้นคือพิธีกรรมสะกดวิญญาณแน่ๆ และหากภูไปแตะโดนเข้า นั่นหมายถึงวิญญาณจะถูกปลดปล่อย ซึ่งอันที่จริงมันก็ดี แต่ ในตอนกลางคืนและบรรยากาศน่ากลัวแบบนี้ มันค่อนข้างเสี่ยงว่าถ้าทำไปมันจะปลดปล่อยวิญญาณแบบไหนออกมา
เวลาของทั้งสี่ที่ยืนชิดกันดูเหมือนจะผ่านไปนาน ซึ่งจริงๆแล้ว เวลาก็ผ่านไปไม่กี่นาที ภูเดินออกมาจากบริเวณต้นไทร บรรยากาศน่ากลัวนั้นค่อยๆหายไปเมื่อภูเข้ามาใกล้
"ทำไมนายไปนานนักวะ" ผู้กองต้อมบ่นออกมาในขณะที่เมื่อซักครู่ยังยืนตัวสั่นอยู่
"นานที่ไหนกันพี่ ผมติดแป็บเดียวเอง ไม่ต้องซ่อนอะไรมาก ตั้งๆไว้แล้วก็เดินออกมาเลย" มันก็จริงอย่างที่ภูว่า แต่ด้วยบรรยากาศน่ากลัว ทำให้เวลาของทั้งสี่คนนั้นเหมือนจะผ่านไปนาน
"นี่เมื่อกี้ฉันกับพี่เจี๊ยบรู้สึกอะไรแปลกๆด้วยล่ะ" ดาวบอกภู โดยที่หมอเจี๊ยบก็พยักหน้ายืนยัน
"ตอนที่คุณภูเดินออกไป จู่ๆฉันก็รู้สึกเย็นวาบแปลกๆเหมือนกัน" ครูพิลาวรรณบอกคล้ายๆกับดาว
"ภูนายว่ามันจะเหมือนตอนที่นายเล่าให้ฉันฟังตอนที่นายไปรายการล่าผีหรือเปล่า"ผู้กองต้อมที่นึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องที่ภูเลยสมัครไปรายการล่าผี ที่บ้านทรงไทยอยุธยา แต่พอเข้าไป ทางทีมงานที่อยู่ด้านนอกถึงกับแตกกระเจิง ซึ่งเหตุการณ์ในตอนนั้นทำให้ภูได้รู้จักกับเจ ดาราหนุ่มสุดฮต จนทำให้ภูมักจะได้รับงานทนายในวงการบันเทิงอยู่บ่อยๆ
"น่าจะนะ แต่ยังดีที่พวกพี่ไม่เจอเป็นตัวเป็นตนเหมือนอย่างนั้น แต่ผมว่ามีเรื่องน่าแปลกกว่าอยู่นะ"
"เรื่องอะไรของแก" ผู้กองต้อมถาม
"ไว้ผมจะเล่าให้ฟังละกัน รีบไปเถอะ เดี๋ยวเราต้องไปที่สุดท้ายอยุ่" ทั้งห้าคนเดินย้อนไปยังตึกเรียน แต่ก็มีบางสิ่งที่ภูสะดุดตามที่บริเวณแปลงเกษตร ภูจึงถามครูพิลาวรรณ
"คุณครูพิลาวรรณครับ ที่โรงเรียนนี้มีบ่อน้ำด้วยเหรอ"ภูถามเมื่อเห็นบ่อน้ำที่อยู่ข้างๆเรือนเพาะชำ
"ค่ะ เห็นว่าขุดเอาไว้ตอนสร้างโรงเรียนตั้งแต่แรกๆเลย เห็นว่าโรงเรียนต้องใช้น้ำจากบ่อนี้อยู่พักใหญ่เลยล่ะค่ะ กว่าจะมีประปา ตอนหลังเลยติดเครื่องสูบน้ำเอาไว้สำหรับใช้ในแปลงเกษตรอย่างเดียว"ครูพิลาวรรณอธิบาย
ภูพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ ดาวสงสัยว่าภูจะถามเรื่องบ่อน้ำทำไม เธอจึงพยายามคิดตามเพราะสิ่งไหนที่ภูสนใจ มันจะต้องเกี่ยวข้องกับคดีแทบทุกครั้ง
...................................................
ตึกเรียน เป็นอาคารคอนกรีตสูงสามชั้น เป็นอาคาร ที่เป็นห้องเรียนของชั้นม.ปลาย โดยที่ชั้น1จะเป็นของม.4 ชั้น2 สำหรับ ม.5 และชั้น3 สำหรับ ม.6 และตำนี้เป็นตึกที่เกิดเหตุที่อุ๊ เด้กนักเรียนม.6ผู้โชคร้ายถูกผีหลอกจนสลบไป
ภูสังเกตุรูปร่างของอาคาร จึงเข้าใจว่า อุ๊นั้นขึ้นไปยังชั้น2ได้อย่างไร นั่นเป็นเพราะ อาคารชั้นแรกนั้นอยู่ต่ำกว่าระดับถนนลาดยางตรงหน้าอาคาร และยังมีแปลงดอกไม้ประดับด้านนหน้าที่มีขอบคอนกรีตอยู่สูงขึ้นมาอีก ซึ่งหากเป็นไปตามคำให้การ หากอุ๊ขี่คอแฟนหนุ่มผู้โชคร้ายของเธอ ก็สามารถปีนขึ้นชั้น2ได้ไม่ยาก แต่วันนี้พวกภูจะไม่ขึ้นไปแบบนั้นเพราะครูพิลาวรรณมีกุญแจเปิดอาคาร
"ก่อนอื่นเราจะติดกล้องตรงบริเวณระเบียง ชั้น2และชั้น3 ด้านละตัว จากนั้นเราจะเอากล้องไปซ่อนไว้ที่ห้องที่เด็กคนนั้นไปเอาสมุดก็แล้วกัน" เมื่อภูชี้แจงแผน ทุกคนก็เกาะกลุ่มไปติดกล้องตามนั้น
จนมาถึงห้องที่เกิดเหตุ ห้อง601 ซึ่งเป็นห้องเรียนของอุ๊เด้กสาวผู้เคราะร้าย และเนื่องจากเป็นห้องเรียนที่โล่ง การซ่อนกล้องจึงเป็นปัญหาขึ้นมา แต่ครูพิลาวรรณก็อาสาเอากล้องไปซ่อนให้ ที่โต๊ะครูประจำชั้นมีด้านหนึ่งมีรูที่เกิดจากตาไม้ ซึ่งน่าจะพอที่จะจะเอากล้องไปซ่อนไว้ได้ โดยไม่มีใครเห็น โดยที่ครูพิลาวรรณขอลองเข้าไปติดกล้องในห้องคนเดียว โดยที่พวกภูนั้นรออยู่ข้างนอก
ครุพิลาวรรณเดินเข้ามาในห้องเพื่อที่จะเปิดไฟ เมื่อเธกำลังยื่นมือไปเปิดสวิสต์ เธอก็รู้สึกเหมือนว่าสัมผัสอะไรบ้างอย่าง ที่เหมือนมือคน จนเเธอชักมือกลับด้วยความตกใจ และร้องอุทานออกมา
"มีอะไรเหรอครับ"ผู้กองต้อมรีบวิ่งมาดู แต่ครุพิลาวรรณก็ตอบไปว่าไม่มีอะไร จากนั้นเธอก็เปิดไฟ จนไฟสว่างทั่วทั้งห้อง
"วรรณ...วรรณ...." เสียงเรียกเบาๆเหมือนกระซิบข้างหู ที่ครูพิลาวรรณได้ยินขณะที่กำลังติดกล้องที่โต๊ะครู แต่เธอก้ไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่าน่าจะเป็นหูแว่ว อีกอย่างคงเป็นเพราะบรรยากาศที่ดูไม่น่ากลัวเหมือนตอนที่รอภูอยู่ตรงแปลงเกษตรใกล้ต้นไทร ทำให้เธอไม่คิดอะไร และเมื่อติดตั้งเสร็จ เธอจึงปิดไฟ และเดินออกมา ภูกำลังเช็คมุมกล้องอยู่ ก็ชมครูพิลาวรรณว่าเป็นมุมที่ดี
ทั้งห้าคนเดินลงมาจากตึก ไม่มีเหตุการณือะไรเกิดขึ้นเหมือนบริเวณต้นไทร โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูพิลาวรรณ ที่เหมือนจะลืม เหตุการณืในห้องเรียนตอนที่เธอไปเปิดไฟ เธอคิดแต่เพียงว่าเธอคงกลัวเกินไป
เมื่อลงจากตึก ครูพิลาวรรณก็ปิดล็อคประตูเหล็กม้วนที่ปิดทางขึ้นตึกไว้ จากนั้นทั้งห้าจึงเดินกลับไปยังหน้าโรงเรียน โดยไม่มีใครรู้สึกตัวเลยว่า
มีร่างๆหนึ่งเฝ้ามองพวกเขาจากบนชั้น3หน้าหน้อง 601
...............................................
เช้าวันเสาร์ ซึ่งก้ผ่านไปหลายวันตั้งแต่มีการติดตั้งกล้องในโรงเรียน ภู ดาว หมอเจี๊ยบ ผู้กองต้อม ครูพิลาวรรณ และพ่อแม่ของเหยื่อผู้เสียชีวิต ได้พาคนมาช่วยในการขุดลอกสระครั้งนี้ ซึ่งแต่ละคนหวังว่าจะเจออะไรบ้าง
การขุดลอกเริ่มจากดูดน้ำออกมาจากสระมาเก็บไว้ที่รถสูบน้ำ จนสระนั้นแห่ง ซึ่งเป็นไปตามคาด พื้นสระที่เป็นดินโคลน มีรอยเท้าผู้ตายปรากฏอยู่ ทำให้แม่ของผู้ตายถึงกับร้องไห้และเป็นลม วึ่งก่อนจะเริ่มขุดลอก ดาวก้ได้ถ่ายภาพและวีดีโอไว้เป็นหลักฐาน ชั้นโคลนนั้นมีความหนาประมาณครึ่งไม้บรรทัด และส่วนที่ลึกลงไปกว่านั้นเป็นชั้นดินเดิมของสระ
ประมาณแปดโมงเช้าเป็นเวลาเริ่มขุดสระ ทุกคนช่วยกันแบบกจอบคนละเล่มเพื่อขุด และภุได้บอกว่า หากเจอสิ่งของอะไรให้บอกด้วย เผื่อว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น
การขุดดำเนินไปจนถึงช่วงบ่ายแก่ๆจึงเสร็จ แต่นอกจากโคลนที่ขุดขึ้นมาได้แล้ว ก็ไม่มีหลักฐานอะไรพอที่จะบอกได้ว่าเกิดอะไรกับสระนี้อยู่เลย จนทำให้พ่อแม่ผู้ตายต้องผิดหวังไปตามๆกัน
"คุณภูขอบคุณมากนะครับที่ช่วยเรื่องลูกชายผม ตอนนี้ผมก้พอทำใจได้บ้างแล้วล่ะครับ" พ่อผู้ตายพูดกับภูอย่างคนปลงตก แต่ว่า...
"มันก็ไม่แน่หรอกครับ จริงๆผมก็อยากพิสูจย์เรื่องที่ว่ามีปลาหายไปด้วย แล้ววันนั้น ที่พวกผมมาตั้งกล้องไว้ก็เจอเบาะแสหลายอย่างเลย ถ้าคุณพ่อสนใจก็มาดุด้วยกันก้ได้นะครับ" เมื่อภูพูดจบคุณพ่อก็เริ่มมีหวังขึ้น และหลังจากที่ปล่อยน้ำลงไปที่สระและมีการปล่อยปลาลงไปตามแผน ภูก็ได้นัดคุณพ่อผู้ตายมายังที่บ้านของดาว ที่ถูกใช้เป็นฐานหลักช่วยคราวนั่นเอง
................................
ส่วนห้องนั่งเล่นของบ้านดาว มีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์วางอยู่มากมาย ฝาผนังด้านหนึ่งมีจอสำหรับฉายโปรเจคเตอร์ห้อยอยู่ ซึ่งมันถุกใช้สำหรับรับข้อมูลภาพและเสียงจากจุดตั้งกล้องในโรงเรียน
"จากภาพที่พวกผมได้ติดกล้องไว้จำนวนเจ็ดแห่งด้วยกันประกอบด้วย บริเวรณสระน้ำ โรงอาหาร อาคารเรียนอื่น ตึกรับรอง ห้องนาฏศิลป์ บริเวรณต้นไทรและตึกเรียน ซึ่งผมได้ทำการวิเคราะห์ จากภาพและเสียงที่ได้ในแต่ละคืนผมอยากให้ทั้งคุรพ่อคุณแม่ และครูพิลาวรรณได้ดูนะครับว่าเกิดอะไรขึ้น" เมื่อภุพูดจบ เขาจึงได้ ดาวเปิดไฟลืวีดีโอที่ตัดต่อไว้ เรียงตามสถานที่ต่างๆ
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ภาพและเสียงที่ได้จากบริเวณสระน้ำ โรงอาหาร อาคารอื่น ตึกรับรอง ห้องนาฏศิลป์ และบริเวณต้นไทร ไม่มีอะไรผิดปกติเลย ไม่มีการเคลื่อนไว้ของอะไร ทั้งจากสิ่งมีชีวิตหรือแม้แต่สิ่งไม่มีชีวิต จนพ่อของผู้ตายเริ่มหงุดหงิด
"นี่คุณให้ผมมาดูอะไรเนี้ย ไม่เห็นมีอะไรที่จะบอกว่าลุกชายผมเป็นอะไรไปเลยไม่ใช่เหรอไง" พ่อผู้ตายพูดออกมาอย่างฉุนเฉียว จนภูต้องบอกให้ใจเย็นๆ
"เดี๋ยวก่อนสิครับยังขาดอีกที่หนึ่ง"ว่าแล้วภูก็ส่งสัญญาณให้ดาว เปิดภาพจากตึกเรียน และสิ่งที่ได้เห็นก็ทำให้ทุกคนที่ดูต้องขนลุก แม้แต่ดาว หมอเจี๊ยบและภุกองต้อมที่ได้เห้นภาพนี้มาก่อนแล้วก็ตาม
ภาพเงาสีดำเดินผ่านไปตามระเบียงทางเดินของตึกเรียน เสียงประหลาดที่แทรกเข้ามาเป็นระยะ โต๊ะเก้าอี้ที่ขยับเองของห้อง 601 และมีเงาดำรุปร่างมนุษย์เดินไปเดินมาในห้องนั้นอีกด้วย ส่วนเสียงประหลาดที่ แทรกเข้ามาเป็นระยะๆ แม้เสียงจะเบา แต่ด้วยเทคโนโลยี ทำให้เสียงนั้นถูกขยาย มันเป็นเสียงกรีดร้อง เสียงร้องไห้ และเสียงขอความช่วยเหลือ และที่สำคัญ ภาพต่างๆเสียงต่างๆ มันเหมือนเดิม เป็นเหมือนกันซ้ำๆในทุกคืน
เมื่อดูจบ พ่อแม่ของผู้ตายและครูพิลาวรรณถึงกับพูดอะไรไม่ออก จนทำให้แต่ละคนขนลุกโดยไม่รู้ตัว
"จากหลักฐานที่ได้ ทุกคนก็พอจะรู้แล้วใช่มั้ยครับว่าเกิดอะไรขึ้น" ทุกคนพูดไม่ออก เมื่อภาพที่เห็นมันเด่นชัดขนาดนั้น
"นี่หมายความว่าทุกวันนี้เรากำลังเรียนที่ตึกผีสิงอย่างนั้นเหรอคะ" ครูพิลาวรรณถามด้วยความกลัว ภูก้ได้แต่พยักหน้ารับ
"หมายความว่าผีพวกนี้ใช่มั้ยที่มันฆ่าลูกผม" พ่อผู้ตายถามแต่คราวนี้ภูปฏิเสธ
"เปล่าครับ ที่พวกเราเห็นนั้น พวกเราถุกแหกตาต่างหาก" ภูตอบไปแบบนั้น ทำให้ครุพิลาวรรณเผลอหลุดปากว่าแหกตายังไงออกมาโดยไม่รู้ตัว
"เดี๋ยวดิฉันจะอธิบายต่อเองนะคะ"คราวนี้หมอเจี๊ยบรับหน้าที่ต่อ
"จากหลักฐานที่เกิดขึ้น เราสรุปได้ว่า โรงเรียนนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนคือส่วนตึกเรียนที่เราเห็นปรากฏการณ์ทางวิญญาณ และส่วนอื่นๆที่เราไม่เจออะไรเลย ในขณะที่ตอนเกิดเหตุ จะเกิดทั้งในตึกเรียนสำหรับกรณีที่อุ๊ แฟนสาวถุกผีหลอก และส่วนอื่นเช่นสระน้ำที่เอิร์นแฟนหนุ่มผู้ตายเสียชีวิต ซึ่งตรงนี้มันขัดกับหลักฐานว่า เราไม่เจอปรากฏการณ์ทางวิญญาณใดๆในส่วนอื่นเลย ในขณะที่ ที่ตึกเรียนนั้น มันดูจงใจเกินไป" พอหมอเจี๊ยบพูดจบก้เกิดคำถามขึ้นจากพ่อผู้ตาย
"หรือว่านี่จะเกิดจากฝีมือคนเหรอครับ" แต่หมอเจี๊ยบก้ปฏิเสธอีกและยืนยันว่าเป็นฝีมือวิญญาณแน่นอน
"ที่ตึกเรียนนั้น ปรากฏการณืวิญยาณนั้นมันดูจงใจเกินไป เหมือนวิญญาณเหล่านั้นเค้ารู้ว่าเรากำลังดูอยู่ และพยายามแสดงให้เรารู้ว่าเค้ามีตัวตนและต้องการแสดงให้เราเห็น สังเกตจากเสียงที่บอกว่าช่วยด้วย เหรือแม้แต่เงาที่เดินผ่านไปเฉยๆซึ่งขัดกับข้อเท็จจริงที่ว่า มันเป็นห้องเรียนในตอนกลางคืน วึ่งปกติ กิจกรรมทางวิญญาณจะเป็นไปในลักษณะเดิมซ้ำๆ และปรากฏการณืจะไม่เกิดบ่อยขนาดนี้ เพราะวิญญาณเองก็ต้องใช้พลังงานอย่างมากในการทำให้เกิดปรากฏการณ์ทางวิญญาณขึ้น นี่จึงแสดงใให้เห็นว่าวิญญาณเหล่านั้นกำลังเรียกร้องความสนใจจากพวกเรา"และเมื่อหมอเจี๊ยบพูดจบ ความสงสัยต่อไปก้พุ่งไปที่ส่วนอื่นของโรงเรียน ที่ไม่เกิดเหตุการณ์อะไรเลย
"ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าจริงๆแล้วโรงเรียนนี้ถุกแบ่งออกเป็นสองเขตคือ ส่วนตึกเรียน และส่วนอื่นๆ ซึ่งจากทฤษฏีนี้มันก็อธิบายได้ว่าทำไม ถ้าจะฆ่ากันถึงมีแต่ฝ่ายชายที่อยู่ด้านนอกตึกเท่านั้นที่รับเคราะห์ ส่วนฝ่ายหญิงในตึกกลับแค่ถูกหลอกและสลบไปเฉยๆมิหนำซ้ำยังโทรไปขอความช่วยเหลือให้อีกต่างหาก" ถึงตอนนี้ทุกคนก็เริ่มคล้อยตามเหตุผลนี้มากขึ้น
"หมายความว่าที่มันฆ่าลุกผมและที่หลอกหนูอุ๊ก็คนละฝ่ายกันเหรอครับ" พ่อของผู้ตายถาม
"ใช่ค่ะ และเหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ตัวด้วยว่าเรากำลังดูอยู่ เลยไม่แสดงปรากฏการณ์ทางวิญญาณใดๆเลย ซึ่งผิดกับฝ่ายวิญญาณในตึกเรียนค่ะ" คราวนี้เรื่องก็ไขปริศนาไปได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหตุการที่ผ่านมา แต่ภุก็ยังออกมาเสริมอีกว่า
"แต่พวกนั้นก็พลาดอย่างหนึ่ง ที่มันทิ้งร้องรอยอย่างมโหฬาร นั่นคือในส่วนอื่นของโรงเรียน เราไม่เห็นร่อรอย การปรากฏตัวหรือแม้แต่เสียงของสัตว์ใดๆเลยในโรงเรียน นั่นหมายความว่า ไม่ใช่แค่ปลาในสระ แต่สัตว์อื่นๆอย่างนก หรือหนูก็ไม่มีให้เห็น แม้แต่หลังร้านค้าโรงอาหารที่สกปรกขนาดนั้นยังไม่มีหนูโผล่มาซักตัว หรือแม้แต่เสียงนกตอนกลางคืนก็ยังไม่มีผ่าน ทุกคนไม่คิดว่ามันจะไม่แปลกเหรอครับ" เรื่องที่ภูพูดออกไปนั้นไม่ได้เตรียมกับทีมงามของเขาไว้ ทำให้ดาว หมอเจี๊ยบและผู้กองต้อม ต้องไล่ดูภาพย้อนไป และมันก็จริงตามนั้น
ซึ่งหมายความว่าผู้ตายที่รอแฟนอยู่ด้านล่างก็คือเหยื่อของอสุรกายตัวจริง และฝ่ายหยิงกลับเป็นฝ่ายที่ถูกปกป้องไว้จากอสุรกายภายนอกตึก และข้อสมมติฐานของภุก็ทำให้ดาวซึ่งเป็นนักเรียน และครูพิลาวรรณถึงกับกลัวเมื่อได้ทราบ และเมื่อภูย้ำอีกครังว่าวิญยาณที่กินสิ่งมีชีวิต และถึงกับฆ่าคนเพื่อกินนั้น ไม่ใช่วิญยาณธรรมดา แต่มันเป็น
อสุรกาย....
..........................................
ติดตามตอนต่อไป พิธีกรรมสยองขวัญ ตอน 2
หากใครพลาด ซี่ซั่น 1เหงา
Post a Comment