"ชายเร่ร่อน" ผู้ที่ปรากฏกายอย่างลึกลับในยามวิกาล และทำกิจวัตรที่แสนพิกลแปลกไปจากสามัญมนุษย์!!
เรื่องสั้นสยองขวัญจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 5509329 หรือในนามปากกา ธีร์ วรรณกร ผู้มีวรรณกรรมที่น่าประทับใจในงานเขียนของเขา ถือเป็นงานคุณภาพอีกชินหนึ่ง ขอขอบคุณเรื่องดีๆจาก ธีร์ วรรณกร ไว้ ฌ ที่นี้ด้วย
ชายเร่ร่อน
โดยธีร์ วรรณกร
หมู่บ้านที่ผมอาศัยอยู่นั้น เป็นชุมชนเล็กๆห่างไกลตัวอำเภอออกมาประมาณราวๆ10กิโลเมตร ไร่นาสาโทอุดมสมบูรณ์แลดูขจีอร่ามงามตา
ตัวบ้านเรือนปลูกติดกันเกือบจะยัดเยียด
ถนนทางสัญจรก็เป็นทางคอนกรีตมิได้ลาดยางมะตอยแต่อย่างใดตามงบประมาณที่ทางหลวงท่านจะจัดสรรให้ได้
ชาวบ้านที่นี่ทำมาหากินกันอย่างตามแบบฉบับวิถีชีวิตคนอีสานสมัยดั้งเดิมมิเคยเปลี่ยนแปลง
แม้ไฟฟ้าและสื่ออิเล็กทรอนิกส์รวมถึงเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายจะเข้ามาถึงแล้วก็ตาม พวกเขาเหล่านั้นก็ยังถือว่า น้ำ ดิน ฟ้า อากาศ
ยังคงเปรียบเสมือนสมบัติอันเป็นธรรมชาติทรัพย์ที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้เกิดก่อและดับไปตามวงจรชีวิตของสัตว์โลกเสมอมา
ช่างเป็นวิธีคิดและวิถีดำรงชีพที่สมถะและเรียบง่ายอย่างพอเพียงโดยแท้ ไม่ว่าจะเป็นการทำไร่นา จับปูปลาเขียดอึ่งในน้ำในหนองกิน
พืชหญ้าอาหารหาจากที่ไหนได้ก็นำมาประกอบเป็นเมนูเลิศรสอยู่มิได้ขาด
กลิ่นอายของโคลนตมตามก้อนดินจากรอยไถชโลมกายมาตั้งแต่เยาว์วัยจนถึงกาลแก่ชรา
เช่นไรก็เช่นเดิม ปลูกฝังคำสอน
การประพฤติตนมาแต่โบร่ำโบราณก็ยังคงมีอยู่
ทั้งความเชื่อ ความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาก็มิได้คลายความแน่นแฟ้นลงเลยแม้แต่น้อย
โอ้...ช่างเป็นวิถีชนที่หาดูและสัมผัสได้ยากเสียเหลือเกินในยุคที่เทคโนโลยีอันล้ำสมัยครองเมืองเช่นนี้...
ผมอาศัยอยู่ภายในบ้านหลังน้อยๆกับยายเพียงสองคนครับ
ซึ่งเมื่อพินิจแล้วก็ออกจะคล้ายๆกระท่อมปลายนาอยู่สักหน่อย เนื่องจากตัวบ้านยกถุนสูงจากพื้นไม่ถึงสองเมตร
หลังคามุงด้วยใบจาก ฝากระดานเรือนก็เป็นไม้เศษเหลือเก่าๆจากผู้ที่มีจิตใจอารีเขานำมาทำ
มาแปลงสร้างให้ กลายเป็นที่อยู่หลบแดดหลบฝนป้องกันแรงลมได้มาจนถึงทุกวันนี้
ผมช่วยงานบ้านของยายทุกอย่าง
ตั้งแต่กวาดบ้านถูเรือน ไปจนถึงขั้นซ่อมแซมหลายๆส่วนที่ผุพังของบ้านไปตามมีตามเกิด
แม้จะมีอายุได้เพียง12ขวบแต่ผมก็ขอบอกว่า
หัวใจและการกระทำของผมเป็นผู้ใหญ่เกินตัวและหนักหนากว่าเด็กทั่วๆไปที่รุ่นราวคราวเดียวกับผมเป็นอย่างมากครับ
ด้วยเพราะกำพร้าผู้ให้กำเนิดบังเกิดเกล้าทั้งสองท่านตั้งแต่ยังแบเบาะนอนร้องไห้จ้า ลืมตาดูโลกขึ้นมา ผู้เป็นพ่อก็ไร้ซึ่งความเป็นชาติชายชาตรี
ทำให้ผมเกิดมาในครรภ์ของแม่แล้วก็ตีจากไป จนสุดท้ายผู้เป็นมารดาของผมก็เสียใจผิดหวังมากเหลือล้น
ตัดสินใจจบชีวิตด้วยการแขวนคอทิ้งร่างตัวเองห้อยร่องแร่งกับกิ่งของต้นจันท์ ณ ป่าลึกท้ายหมู่บ้าน
ไปในที่สุด
และก็ฝากให้ผมต้องกลับกลายตกเป็นภาระเลี้ยงดูของยายไปอย่างน่าอนาถและเวทนาเป็นยิ่งนัก
แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่เสียใจหรอกครับ
ที่เกิดมาทั้งทีจะขัดสนไม่มีสิ่งใดๆที่ได้ดั่งหวังโดยฉับพลันเช่นเพื่อนๆคนอื่นเขา
แค่ผมมียาย อยู่กับยายเพียงสองคนในบ้านน้อยๆหลังนี้ก็สุขโขไร้ซึ่งคำพรรณนาเปรียบเปรยมากแล้วครับ
วันหนึ่งเป็นช่วงตอนที่โรงเรียนเลิกแล้วราวๆสี่โมงเย็นเห็นจะได้
ผมเดินเท้ากลับมาบ้านซึ่งไกลจากโรงเรียน เป็นระยะทาง3กิโลเมตร กับเพื่อนสนิทอีกสามคน ชื่อไอ้ต้อม ไอ้นก
และไอ้โก้ พวกเรารวมกันเป็นสี่คนเดินมาด้วยกันก็หยอกล้อเล่นกันตามประสาเด็กๆ
พูดคุยหัวร่อร่ากันเป็นธรรมดาจนเพลิน เดินมาถึงทางเข้าหมู่บ้านอย่างรวดเร็วแทบไม่รู้ตัว
พอนึกได้ดังนั้นก็แยกย้ายลากันกลับบ้านไปตามทางของตนดังเช่นเคยปฏิบัติ
ผมเองก็วิ่งหน้าตั้งกลับมาบ้านหายายอย่างลิงโลด เพราะวันนี้ผมงดข้าวมื้อกลางวันเพื่อจะเก็บเงิน30บาทที่ยายให้ไว้เมื่อตอนเช้า มาซื้อผัดหมี่ ส้มตำ และลูกชิ้นทอด
อันเป็นอาหารหน้าโรงเรียนยอดนิยมของที่นั่น ใส่ย่ามกลับมาบ้านหวังไว้ว่าจะมาทานเป็นมื้อเย็นกับยายที่บ้าน
ซึ่งพอเล่าให้ยายฟังท่านก็ลูบหัวผมแล้วเอ่ยออกมาอย่างเมตตาระคนเอ็นดูว่า....
“โถ...ไอ้หนู..หลานยาย...ไม่เห็นจำเป็นจะต้องอดข้าวเที่ยงแบบนี้ก็ได้นี่ลูก
อยากซื้ออะไรมากินกับยายก็มาขอใหม่ก็ได้ ยายมีเงิน วันนี้ไปรับจ้างตัดหญ้าหน้าบ้านลุงสรวงเขาให้ยายตั้ง300แน่ะ หนูมาขอเงินแล้วเดินไปตลาดไปเลือกซื้อมาทำกินกันเองที่บ้านจะไม่ดีกว่าเหรอลูก
ฮึ... ยายเป็นห่วงนะ เดี๋ยวอดข้าวแบบนี้บ่อยๆ จะเป็นโรคกระเพาะเอา
หนูจะปวดท้องไม่สบายเอานะลูก...”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะยาย หนูทนได้
หิวเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยง หนูกินข้าวกับยายอร่อยกว่ากินข้าวกับเพื่อนๆที่โรงเรียนเยอะเลย
เงิน30บาทที่ยายให้มา กับข้าวถุงละ10บาทหน้าโรงเรียนก็ได้เยอะกินอิ่มกันไปมื้อหนึ่งแล้ว
เงินที่ยายได้มาอีกตั้ง300บาท ยายเก็บไว้เถอะจ้ะ
เอาไว้ยายอยากได้อยากกินอะไรยายค่อยซื้อเอาก็แล้วกันจ้ะ
ยายอยากได้ยายหิวน่ะเรื่องใหญ่ หนูอยากได้ หนูหิวมันเรื่องเล็กๆจ้ะยาย
ไม่ต้องเป็นห่วงหนูหรอก” ผมตอบท่านเสียงใส
ในมื้อดังกล่าวนี้ผมอิ่มทั้งกายอิ่มทั้งใจเหลือที่จะบรรยายเลยละครับท่านที่เคารพ
เพราะมันมีความสุขอัดแน่นอยู่ภายในมาก่อนแล้ว
เราสองยายหลานกินไปก็คุยกันไปเป็นเรื่องปกติวิสัย ยายก็จะถามถึงเรื่องที่อยู่โรงเรียนว่าเป็นยังไงบ้างผมดื้อรึเปล่า
ครูด่าครูตีไหม ซึ่งผมก็ตอบตามความจริง
บางทีผมก็จะชอบเอาเรื่องตลกๆที่เกิดขึ้นภายในรั้วโรงเรียนมาเล่าให้ท่านฟัง
ท่านก็ขำและหัวเราะคล้อยตามไปด้วย
ในบางหนที่กับข้าว หรือเศษอาหารเลอะปากติดแก้มยาย ผมก็จะนำผ้าที่สะอาดเช็ดให้ท่าน
ท่านก็จะยิ้มตอบกลับผม นัยน์ตาที่ฝ้าฟางด้วยอายุนั้นก็จะมีแววของความปีติตื้นตันและเอ็นดูอยู่เป็นนิจ
พร้อมกันนั้นก็จะลูบหัวผมแล้วกล่าวคำๆนี้เตือนใจให้เสมอ
“เป็นคนดีของยายแบบนี้ให้ตลอดไปนะลูก...” เมื่อผมฟังแล้วมันก็รู้สึกจุกลึกๆอยู่ภายในใจทุกครั้ง
จะว่ารักก็รัก จะว่าสงสารก็สงสารท่านมากๆครับ
ด้วยเหตุนี้แหละครับผมจึงต้องรีบกลับบ้านมาดูแลยาย
ร่วมทานอาหารกับยายทุกครั้งอยู่ร่ำไป เพราะการกระทำดังกล่าวนี้
มันจะสื่อให้เห็นว่า “ผม” “จะเป็นคนดีของยายแบบนี้ตลอดไป....”
สัปดาห์หลังๆถัดมา ยายของผมเริ่มที่จะมีอาการเจ็บป่วยออดๆแอดๆเล็กๆน้อยๆให้เห็น
ไม่ว่าจะเป็นการไอ จาม เป็นหวัดคัดจมูกอยู่บ่อยๆ บางครั้งเวลากลางคืน ดึกๆดื่นๆท่านก็จะเพ้อบอกว่าหนาว
กายจะสั่นสะท้านราวกับเจ้าเข้า ผมก็ต้องหาผ้าห่มหนาๆมาคลุมทับให้
นำผ้าที่ชุบน้ำอุ่นๆมาประคบบ้าง แล้วก็สวมกอดท่านให้บรรเทาอาการนั้นลงไปบ้าง
เช่นนี้อยู่เกือบแทบทุกคืน และหนักที่สุดก็คือ
มีครั้งหนึ่งยายพาผมไปรับจ้างเกี่ยวหญ้าให้กับวัวของผู้ใหญ่บ้าน วันนั้นแดดร้อนจัดจนเหงื่อไหลโทรมกาย
ได้นั่งพักใช้หมวกพัดวีและจิบน้ำกันอยู่เป็นระยะๆ
และในขณะที่ยายท่านกำลังเดินตามหลังผมซึ่งเป็นคนเข็นรถเข็นขนหญ้าไปให้ตาผู้ใหญ่บ้านอยู่นั้นเอง
ยายก็พูดออกมาเบาๆว่ายายไม่ไหวแล้ว ยายเหนื่อย แล้วร่างของท่านก็ล้มฟุบคว่ำหน้าลงกับพื้นดินตรงนั้น ผมหันกลับไปพบก็ใจหายวาบรีบอุ้มเอาร่างของท่านไปหาที่ร่มๆเพื่อพักไว้ชั่วคราว
ซึ่งก็ไม่พ้นศาลาไม้ริมทางเก่าๆที่อยู่ในละแวกนั้น
จัดการปฐมพยาบาลท่านอยู่นานแก้ไขเท่าไหร่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าท่านจะดีขึ้น
ผมจึงตัดสินใจอุ้มยายหอบร่างอันผอมเล็กของท่านขึ้นอีกครั้งแล้วรีบวิ่งไปที่บ้านของตาผู้ใหญ่ในทันที
หนักไม่หนักไม่สนแล้วครับ รู้แต่ว่าอุ้มยายตัวปลิวเลย คิดแต่จะให้ยายหายอย่างเดียว.....
พอไปถึงตาผู้ใหญ่ก็ตกใจครับ
รีบให้คนใช้ของท่านขับรถพายายไปส่งโรงพยาบาลทันที
ซึ่งก็เป็นการดีครับที่ระหว่างการเดินทางนั้นยายผมก็มีอาการรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้ว
เพราะก่อนไปก็กรอกยาหอม รมยาดมกันเป็นการใหญ่มาก่อนแล้ว
ดังนั้นพอถึงมือแพทย์ยายก็ฟื้นตัวได้เร็วครับ และแน่นอนสำหรับค่ารักษาพยาบาลนั้น
ตาผู้ใหญ่เป็นผู้ชำระให้โดยทั้งหมดทั้งสิ้น
แต่ทว่านับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ยายก็ล้มหมอนนอนเสื่อไปเลยครับ กลายเป็นคนไข้ติดเตียงไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวก ทำท่าจะเซล้มอยู่ทุกการก้าวย่าง
จะไปเข้าห้องน้ำทีไม่ว่าจะอาบน้ำหรือถ่ายหนักถ่ายเบาผมก็ต้องพยุงไป
นับว่าเป็นการเพิ่มภาระสำหรับเด็กตัวเล็กๆอย่างผมขึ้นอีกหลายเท่า ใช่ครับ...ใครหลายๆคนที่เห็นอาจจะคิดแบบนั้น
แต่สำหรับผม ผมคิดอย่างเดียวครับว่า มันคือหน้าที่....
หน้าที่ที่หลานชายคนหนึ่งซึ่งเติบโตมาด้วยการอบรมเลี้ยงดูจากยายแต่ยังเป็นทารกแรกเกิดจะต้องกระทำ....กระทำด้วยหัวใจที่กตัญญูเพื่อทดแทนบุญคุณอันล้นพ้นของยายที่เปรียบเสมือนแม่บังเกิดเกล้าคนนี้อย่างไม่มีวันจะสิ้นสุดได้
แม้โชคชะตาจะอาภัพ
แต่ใจอย่าอับเฉาและเนรคุณตามเท่านั้นเป็นพอ...
ผมดูแลยายมาก็ร่วมเดือนเศษ รับจ้างทำงานเท่าที่ทำได้ทุกอย่างไม่เกียจคร้าน
หาเงินมาจุนเจือชีวิตอันยากไร้ภายในที่พักหลังกระติ๊ดนี้เพียงคนเดียวอย่างเลี่ยงไม่ได้
ยายเองนับวันอาการก็ยิ่งทรุดหนักลงไปเรื่อยๆ เนื้อตัวท่านคล้ำดำหมองหม่นไร้ราศี
ผอมแห้งแก้มตอบ ดวงตาเลื่อนลอย เหลือเพียงแต่หนังหุ้มกระดูก บางครั้งก็ขับถ่ายออกมาโดยฉับพลัน
แทบไม่รู้สึกตัว จนผมต้องอาบน้ำชำระร่างกาย และทำความสะอาดที่หลับที่นอนให้ใหม่อยู่บ่อยๆ
ป้อนข้าวป้อนน้ำให้ท่านทุกวันอย่างไม่รู้สึกเดียดฉันท์เลยสักนิด ก็แน่ละครับ....ยายของผมนี่..ผมไม่ดูแล
แล้วจะมีใครมาแยแสได้ดีเท่ากับผมนี้อีก....
ในวันที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปเป็นที่เรียบร้อย
มันคือช่วงหัวค่ำของวันที่แสนสงบสงัดกว่าคราที่เคยได้สัมผัส
แม้แต่เสียงจักจั่นเรไร หรือแมลงตามต้นไม้สักตัวก็หาได้ยินไม่
ผมซึ่งอ่อนเพลียมาจากโรงเรียน
เนื่องด้วยทำงานพิเศษเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพตนเองกับยายเช่นประจำทุกวัน
เดินเท้ามาตามหนทางปกติ อีกไม่กี่สิบเมตรก็จะถึงทางเข้าหมู่บ้าน จู่ๆในนาทีนั้น
สายตาของผมก็ได้ไปประสบพบกับสิ่งๆหนึ่งเข้า
ภาพที่ปรากฏทำให้หัวใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม อ้าปากค้าง ตัวสั่นระริก ดวงตาเบิกโพลงเพราะความเสียขวัญสุดขีด.!! เนื่องจากสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้น
มันเป็นเงาดำๆตะคุ่มๆของอะไรชนิดหนึ่งกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ๆ ใกล้....
และใกล้จนทุกอย่างชัดเจนมากขึ้น
แสงของหลอดไฟจากสองข้างทางส่องให้เห็นได้ว่า มันคือร่างอันสูงโย่งของชายชราผู้หนึ่งที่มีผ้าสีดำผืนใหญ่คลุมตั้งแต่ศีรษะไปจรดเท้าเบื้องล่าง
คล้ายๆว่าจะตั้งใจนุ่งห่มมาเช่นนั้นเลยเสียมากกว่า หน้าตาของแกดูซีดเผือดขาวราวกับกระดาษ
มือข้างซ้ายขัดหลัง ส่วนอีกข้างที่มีเล็บยาวแหลมดำดูน่าเกลียดน่ากลัวอย่างกับพ่อมดในหนังสือนิยายนั้น
ค้ำไม้ตะพดเดินลากเท้าเหมือนจงใจ เข้ามาหาผม ดัง ครืด... ครืด... ขอบตาที่ดำคล้ำราวกับไม่ใช่มนุษย์มนา
พร้อมดวงตาที่กลมโตโหลลึก สีแดงกล่ำจ้องเขม็งมาที่ผมอย่างเย็นชา
จนทำให้ขนลุกไปทั่วร่าง
ริมฝีที่เม้มเป็นเส้นตรงของแกแสดงให้เห็นถึงริ้วรอยของวัยที่เหี่ยวย่นหย่อนยานตามใบหน้า แต่แล้วเมื่อเดินมาไม่ทันจะได้หลายก้าวนัก...แกก็กลับหยุดกึกอยู่ตรงนั้นไปเสียดื้อๆ
ก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะอันเยือกเย็นออกมาสั้นๆ “หึๆๆ....!!” จากนั้นก็ค่อยๆเบี่ยงลำตัวไปทางด้านซ้ายอย่างช้าๆ
เดินตรงเข้าไปยังเขตป่าละเมาะข้างถนน พร้อมกับหายตัวกลมกลืนเข้าไปในความมืด ณ
สถานที่แห่งนั้น ยังเพียงความน่าขนพองสยองเกล้าไว้ให้ผู้พบเห็นแสนที่จะสะท้านสะเทือนใจอยู่เป็นที่สุด.....
ชั่วพริบตาเดียวในขณะที่ยืนตะลึงงันอยู่ สมองผมก็สั่งการให้ขาออกแรงส่งตัวเผ่นแน่บอออกไปจากที่นั่นอย่างไม่คิดชีวิต จนมาหยุดยืนที่หน้าบันไดไม้เก่าๆของกระต๊อบผมกับยายอย่างไม่รู้ตัว ผมแทบจะแหกปากตะโกนดังลั่นว่า ยายจ๋าช่วยหนูด้วยผีหลอก!! แต่ก็นึกได้ว่าบัดนี้ท่านมิได้แข็งแรงดังเดิมเสียแล้ว ท่านนอนป่วยอยู่ ไม่สามารถช่วยอะไรผมได้ จึงพยายามระงับสติอารมณ์มิให้พลุ่งพล่าน เตลิดเปิดเปิงไปมากกว่านี้ ตัดสินใจเดินขึ้นบันไดไปอย่างเงียบๆ พอไปถึงบนตัวบ้านก็พบว่ายายผมได้นอนหลับตาสนิทนิ่ง ส่งเพียงเสียงลมหายใจที่แผ่วเบาผ่านออกมาพอให้ได้ยินอยู่ดังนั้นเสียแล้ว ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ท่านไม่ตื่นตกใจเพราะท่าทีของผม เดี๋ยวจะเป็นการรบกวนเข้า แสงไฟจากหลอดตะเกียบเพียงดวงเดียวภายในที่พักยังคงเปิดให้สว่างไสวอยู่ ดังก่อนที่ผมจะกลับไปโรงเรียนเมื่อช่วงเที่ยง เพราะผมเองนี่แหละที่เปิดไว้ให้หลังจากขออนุญาตคุณครูกลับมาป้อนข้าวป้อนน้ำให้ยายที่บ้าน พร้อมกับผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำทำความสะอาดที่นอนให้ใหม่ แล้วจึงค่อยกลับไปโรงเรียน ผมปิดไฟล้มตัวลงนอน กระแซะกายเบียดตัวเองเข้าไปข้างๆยายแล้วสวมกอดตัวท่านแนบแน่น รำพึงทั้งน้ำตา
“ยายจ๋า...สักวันถ้าปาฏิหาริย์มีจริง หนูหวังว่ายายจะหายดีเป็นปกตินะจ๊ะ กลับมาเดินเหินได้ดังเดิม ใช้ชีวิต อบรมพร่ำสอนหนูให้เป็นคนดีเหมือนที่เคย หนูสัญญาจ้ะว่าหนูจะรักยาย และดูแลยาย เป็นคนดีของยายแบบนี้ตลอดไป...”
เอ่ยแล้วก็ซบหน้าลงกับร่างของยาย ก่อนที่ผมจะไม่รู้สติใดๆอีกทั้งสิ้น เนื่องจากอาการของความง่วงเหงาในนิทราครอบงำเข้ามาเสียแล้ว ตาผมเคลิ้มทำท่าจะปิดอยู่รอมร่อ ลมหายใจแผ่วเบาเข้าออกได้ระดับ จนสุดท้ายก็ผล็อยหลับคาชุดนักเรียนไปในที่สุดเพราะความอ่อนเพลียมาทั้งวัน.....
สายลมจากด้านนอกโชยพัดผ่านกระทบต้นไม้ใบหญ้าละแวกรอบๆตัวเรือนดังแกรกกราก แซกซาก... มันพัดผ่านเข้ามาภายในเพิงพักจนมุ้งเกือบจะปลิวเปิดขึ้นเพราะแรงลม ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นก็ทราบด้วยความรู้สึกของตนเองในทันทีว่าเป็นเวลาดึกมากแล้ว ไม่ได้การแน่....หากบรรยากาศภายนอกเป็นดังนี้ยายจะต้องสั่นสะท้านเพ้อพร่ำเพราะความเหน็บหนาวโดยแท้ ว่าแล้วก็จัดแจงนำผ้าห่มผืนหนาๆมาห่มคลุมให้กับยาย แล้วกอดท่านไว้อีกครั้ง
ในขณะที่จะข่มตาให้นอนหลับลงอีกนั้น พลันหูของผมเกิดได้ยินเสียงหมาหอนจากที่ไกลๆลอยมาตามกระแสลม มันดังโหยหวนยาวยานคางรับกันมาเป็นทอดๆใกล้เข้ามาๆ บาดลึกลงไปถึงทรวงในทำให้จิตเริ่มระส่ำระสาย ผมนึกกลัวหลับตาปี๋ซบหน้าเข้าหายายคลุมโปงแน่น แต่แล้วมันก็กลับมีเสียงที่คุ้นหูดังแทรกขึ้นมาสอดประสานกับเสียงพวกสุนัขที่หอนอยู่นั่น ท่านขอรับ... ผมจำได้ดี....
“ครืด....ครืด....”
ผมชักกระสับกระส่ายนึกร้อนรนในใจและห้วงความคิด มันถกถียงกันไปมา ใจหนึ่งก็อยากรู้อยากเห็นว่าเป็นจริงอย่างที่คิดหรือเปล่า ใจหนึ่งก็คัดค้านกลัวจนหัวหด ท้ายที่สุดความสงสัยใคร่รู้ก็กดทับความหวาดผวาจนจมลึก ผมอยากเห็นมันกับตาอีกครั้ง... จึงค่อยๆชันกายลุกขึ้นอย่างช้าๆเบากริบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เปิดผ้าห่มที่คลุมโปงปิดหน้าปิดตานั้นออก แล้วจับจ้องไปยังเบื้องนอกเพื่อหาเจ้าของต้นเสียงพิศวงที่เกิดขึ้น และแล้วความจริงทุกอย่างก็ปรากฏ มันแน่ซะแล้ว..แน่ชัดอย่างที่ผมคิดไว้แต่แรกจริงๆ เพราะสิ่งที่ผมพบเห็นมันคือตาลุงคนนั้นอีกแล้ว!!
แสงจากหลอดไฟริมทางเบื้องนอกสาดส่องให้เห็นว่าแกมาด้วยชุดผืนผ้าสีดำที่คลุมไปเกือบทั่วทั้งร่างดังเดิม ผิดกันก็แต่คราวนี้แกนำไม้ตะพดผูกคล้องสะพายเฉียงไว้ที่ด้านหลัง และบนบ่าอันกำยำของแกด้านขวาดันมีร่างของอะไรชนิดหนึ่งถูกแกแบกสั่นส่ายไปมากลอกหน้ากลอกตาอย่างเลื่อนลอยตามการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวของแกอยู่เสียด้วยนี่สิ.....
“คุณพระ..นั่นมันศพนี่!!!” ผมอุทานลั่นอยู่ภายในใจอย่างอกสั่นขวัญแขวนเป็นเหลือล้น
สิ่งที่ชายชราผู้ลึกลับกำลังแบกเดินมาตามทางคือศพของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง อยู่ในลักษณะท่าหงาย นอนพาดงอทอดตัวไปกับบ่าของแก หัวห้อยร่องแร่งแกว่งไปไกวมาชี้ลงสู่พื้น ดวงตาปูดโปน แข็งทื่อ ไร้สติหวาดเสียวว่าจะถลนออกมานอกเบ้า สองมือสองแขนก็ขยับไปตามแรงเหวี่ยงของผู้ที่เดินหาม มันช่างเป็นเหตุการณ์อันแสนจะสยดสยองใจต่อผู้ที่ได้พบเห็นยิ่งนัก มิหนำซ้ำเมื่อเดินแบกศพมาถึงหน้าบ้านซึ่งผมกับยายอยู่เป็นระยะทางห่างกันประมาณ16เมตร ลุงแกก็ดันหยุดเดินแล้วยืนนิ่งหันหน้ามามองภายในกระต๊อบ ซึ่งมิได้ทำอะไรเป็นที่กั้นมิดชิดไว้เลยแม้แต่สักนิด ผมเห็นดังนั้นก็ถึงกับใจหายวาบ... รู้สึกหนาวไขสันหลังขึ้นมาในทันใด เส้นขนทั่วกายนัดหมายกันให้ลุกตั้งขึ้น ตัวสั่นเทิ้ม จิตใจประหวั่นพรั่นพรึง ดวงตาก็ได้แต่จับจ้องภาพของชายชราผู้แบกร่างอสุภผู้นั้นราวกับต้องมนตร์สะกด
“หรือว่าแกจะเห็นเราจริงๆ...?” ผมสำลักออกมาภายในใจ ไม่ได้การละ...ถ้าหากจะเป็นเช่นนั้นจริงๆมีหวังเราไม่ปลอดภัยแน่ ในวินาทีนั้นผมตัดสินใจหลับตาสนิทไม่คิดจะมองสิ่งที่ปรากฏให้เห็นยังเบื้องหน้านั้นอีก ค่อยๆเอนกายลงนอนช้าๆ ความรู้สึกเหมือนใจกำลังจะขาด
“สาธุ...พ่อแก้วแม่แก้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงที่ลูกนับถือขอรับ ขอโปรดจงช่วยดลบันดาลให้ชายชราผู้มีวิสัยและการกระทำคล้ายปีศาจนั่น อย่าได้มารังควาญหรือปรากฏอยู่ที่หน้าบ้านของลูกนานนักเลย ให้แกจงไปให้พ้นๆเสีย ลูกเสียขวัญ... ลูกกลัวเหลือเกิน....”
สิ้นคำอธิฐานซึ่งความจริงแม้จะเอ่ยภายในจิตใต้สำนึกก็แทบจะฟังไม่ทราบศัพท์ของผมนั้น จะด้วยอะไรบันดลบันดาลตามที่กล่าววิงวอนขอก็มิทราบได้ เพราะหลังจากที่อธิษฐานจบ ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของแกค่อยๆเดินจากไปไกลๆทีละนิดๆ ดัง ครืด...ครืด.... พร้อมกับเสียงหมาหอนไล่หลังตามไปอย่างไม่มีท่าทีว่าจะลดละ และก็เหมือนกับว่าแกจะเลี่ยงตัวเข้าทางลัดซึ่งเป็นทางที่จะนำพาไปยังป่าช้าท้ายหมู่บ้านเสียด้วยนี่สิ มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกหวาดผวาเป็นการใหญ่ แม้ยายจะหลับไม่รู้เรื่องราวใดๆแล้วก็ตาม ผมก็ยังซุกหน้าเข้าหา กอดท่านแน่น และได้แต่ภาวนาว่า อย่าให้แกได้ย้อนกลับมาทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าต่อตาผมอีกเลย ตลอดไป... ไม่ว่าแกจะเป็นผีหรือคนจริงๆก็ตาม หวังว่านะ....
รุ่งเช้าผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่มึนงงเล็กน้อย จิตใจยังเต้นระทึกคงเป็นผลพวงจากเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผมได้พบ แต่ถึงกระนั้น ผมเองก็ยังคงปรนนิบัติดูแลยายของผมเป็นอย่างดีเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อป้อนข้าวป้อนน้ำจัดที่นอนหมอนมุ้งและทำความสะอาดอะไรต่างๆนาๆให้กับท่านเป็นที่เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ผมก็ฉวยกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายบอกลายายแล้วรีบแจ้นลงบันไดเรือนเดินไปโรงเรียนทันที....
พอมาถึงโรงเรียน ในคาบแรกขณะที่คุณครูท่านยังไม่มาเข้าสอน ผมกับสามเกลอแสนสนิทนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ที่มุมหลังห้องด้านหนึ่ง ผมเล่าถึงเรื่องของเหตุการณ์เมื่อคืนวานให้พวกมันได้ทราบ ซึ่งเมื่อต่างคนต่างได้ฟังก็มีอาการตาโตทำท่าทีขนลุกขนชันคล้อยตามไปด้วย
“ลักษณะของตาลุงคนนั้นที่แกบอก ฉันว่าฉันเคยเห็นผู้ใหญ่เขาคุยกันอยู่นา..โชค..” ไอ้นกพูดขึ้นหลังจากที่ผมเล่าจบไปได้ไม่นาน
“แกเป็นใครเหรอ.?” ผมถาม
“เห็นว่าเป็นคนเร่ร่อนพเนจรมาจากไหนนี่แหละ เข้ามาในหมู่บ้านเราก็ประมาณ2วันที่ผ่านมานี่เอง ที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งหรอก บางทีก็ชอบนอนอยู่ที่ศาลาการเปรียญของวัด ตามศาลาริมทางบ้าง แต่ที่แน่ๆนะตามที่ฉันได้ฟังมา เขาว่ากันว่าส่วนมากตอนกลางวันเช้าๆแบบนี้ไม่มีใครจะเห็นแกนักหรอก แกจะปรากฏตัวให้เห็นบ่อยๆเฉพาะตอนกลางคืน ไม่รู้เหมือนกันว่าแกชอบมาทำอะไรในเวลาแบบนั้น น่ากลัวจะตายไป... เออแล้วนี่แกไม่รู้ข่าวบ้างเลยรึไงวะโชคถึงได้เพิ่งมาถามพวกฉันน่ะ..?”
ครั้นได้ฟังสิ่งที่ไอ้นกมันเล่าผมก็ถึงบางอ้อในทันใด แต่ดูท่าว่าจะยังไม่มีใครทราบถึงพฤติกรรมของชายชราลึกลับนั่นได้ดีเท่ากับผมหรอก เพราะผมเห็นกับตามาแล้ว มันเป็นกิจที่ใครๆก็ไม่นึกไม่ฝันว่าผู้ที่เป็นมนุษย์ปกติธรรมดาทั่วไปเขาทำกันหรอกครับ...
“นี่พวกแก...” ผมเอ่ยแทรกความเงียบงันภายในกลุ่มขึ้นอย่างเรียบๆ
“พวกแกไม่รู้จริงๆใช่ไหมว่าตาลุงนั่นออกมาทำอะไรลับๆล่อๆเป็นปริศนาเวลาดึกๆดื่นๆน่ะ..?” ผมกล่าวขึ้นเป็นคำถามที่ทุกคนก็ตอบมาพร้อมกันว่า “ไม่รู้..” ซึ่งแน่นอนมันถึงเวลาแล้วที่ผมจะเล่าให้หมดเปลือกสิ้นสิ่งที่ค้างคาใจเสียที
“แกแบกศพไปป่าช้าในตอนกลางดึกว่ะ..!!” ถ้อยคำเฉลยของผมส่งผลทำให้พวกเพื่อนทั้งสามถึงกับสะดุ้งโหยงดวงตาเบิกโพลงด้วยอาการที่คาดไม่ถึง
“หา..อะไรนะโชค..แกแน่ใจนะ!!??” ไอ้ต้อมถามขึ้นตะกุกตะกักหน้าตาตื่น
“จริงๆเว้ย!! แน่ซะยิ่งกว่าแน่เสียอีก ฉันเห็นมากับตา แกแบกศพเดินหายเข้าไปตามทางลัดที่เป็นถนนไปป่าช้าท้ายหมู่บ้านเมื่อคืนนี้นี่เอง ศพน่ะฉันมองไม่ชัดเท่าไหร่หรอกว่าเป็นใคร เห็นเพียงว่าเป็นศพของผู้ชาย แต่ที่แน่ๆน่ากลัวยิ้มเลยแกเอ้ย พูดแล้วยังขนลุกอยู่เนี่ย.. คนปกติอะไรเขาทำกันแบบนั้นวะพวกแกคิดดู!!”
ผมพูดพร้อมกับยื่นแขนที่ขนลุกชูชันอย่างเด่นชัดให้พวกมันดู ทั้งสามสหายต่างฮือฮาตาลุกวาวไปตามๆกัน
“เอ๊ะเดี๋ยวนะ!! แกว่าลุงคนนั้นแบกศพผู้ชายคนหนึ่งไปอย่างนั้นเหรอวะโชค?” จู่ๆไอ้โก้ก็โพล่งคำถามยิงใส่ผมขึ้น
“ก็ใช่นะสิ...แต่ฉันมองไม่ออกว่าเป็นใคร รู้แต่ว่ามันเป็นซากศพที่น่ากลัวมาก..” ผมตอบ
“แต่เมื่อวานนี้เขาว่าทางคุ้มทิศใต้ของหมู่บ้านเรามีคนตายนะ!!” ถ้อยคำของไอ้โก้ทำเอาสะกิดใจผมแปลบปลาบพิลึก
“อะไรนะโก้..จริงเหรอวะ!!??” ผมครางอย่างไม่เคยนึกฝันอยู่ในที
“จริง...เขาว่าเป็นลุงศักดิ์ละ แกตายด้วยอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันเมื่อคืนวานนี้ ประมาณใกล้ๆจะเที่ยงคืน เขาเพิ่งเปิดเพลงธรณีกรรแสงเมื่อเช้าแกไม่ได้ยินเหรอวะ?”
“ไม่รู้เรื่องเลยว่ะโก้ ฉันมัวแต่ดูแลยาย อีกอย่างบ้านฉันก็อยู่คุ้มเหนือ เกือบๆจะท้ายที่สุด ลึกที่สุดในระยะทางเขตของคุ้มบ้าน และประกอบกับฉันยุ่งๆยากๆ อย่างนี้..ฉันจะเอาเวลาไหนไปสนใจเรื่องอื่นวะ..??!!”
“อ่าฮะ...เรื่องนี้ฉันก็เข้าใจดีและสงสารแกด้วยว่ะโชค แต่ไอ้เรื่องเมื่อคืนที่แกเล่ามาถ้าเป็นความจริงละก็ ไม่แน่นะลุงลึกลับคนนั้นที่แกว่า แบกศพไปทางลัดออกสู่ป่าช้านั่นน่ะ แกก็อาจจะไม่ใช่คนก็ได้นะโว้ย...!!!”
“ไม่ใช่คน....แล้วแกจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ..?” ผมถามต่อไปอีก ซึ่งมาถึงตอนนี้พวกเราทั้งสี่คนก็หน้านิ่วคิ้วขมวด ครุ่นคิดด้วยความหนักหน่วงและกังวลใจพอๆกัน
“ยมทูตหรือเปล่าวะ!!??” ไอ้ต้อมพูดฝ่าความเงียบขึ้น
“ยมทูตอะไรจะมาตอนเช้าให้เห็นแวบๆได้วะ?” ไอ้นกถามดักทันควัน
“แหม...ไอ้นก..ก็ยมทูตไม่ใช่ผีนี่นา ถึงสามารถปรากฏตัวให้คนเห็นตอนกลางวันหรือตอนเช้าได้ ถ้าเป็นผีก็ว่าไปอย่างสิ..!!!”
ไอ้โก้แย้งสวนมาอีกคน
“แต่เอ....ถ้าเป็นยมทูตจริงๆ ไหงไม่นุ่งโจงกระเบนสีแดงๆ ถือสามง่าม มีเขา หรือร่างกายกำยำสูงใหญ่แบบที่พวกผู้ใหญ่หรือคนเฒ่าคนแก่เขาเล่าให้ฟังล่ะ มันผิดกันกับที่ได้ยินได้ฟังมาอย่างมากเลยนะ ไหนจะรูปร่างผอมเกร็งกะหร่อง ตัวสูงๆโย่งๆ หน้าตอบ ตาดำคล้ำ ผิวซีดขาวอีก ยมทูตอะไรจะเป็นแบบนั้นวะ..?” ผมเป็นฝ่ายออกความเห็นบ้าง
“ก็ไม่แน่นะ...ที่เราฟังๆกันมาอาจจะผิดพลาดคาดเคลื่อนก็ได้ อีกอย่างจะว่าไปแล้ว ยมทูตก็คล้ายๆเทพเหมือนกันนะ ผิดแต่จะทำหน้าที่อยู่ในนรกเท่านั้นเองไม่ได้อยู่บนสวรรค์เหมือนกับพวกเทวดานางฟ้า จะเรียกเทพก็ไม่ค่อยจะเต็มปากนัก ยังไงก็เหอะ.... ฉันว่านะลุงแกน่าจะเป็นยมทูตที่จงใจแปลงกายให้คนเห็นเป็นลักษณะอย่างนั้นเพื่อมาทำหน้าที่รับวิญญาณคนไปได้อย่างสะดวกก็เป็นไปได้นะเว้ยพวกแก...” ไอ้ต้อมเสนอเหตุผลยาวเหยียดที่ค่อนข้างจะน่าเชื่อถือได้ตามประสาเด็กๆวัยอย่างเราๆ...
“เออ...ที่ไอ้ต้อมบอกมาก็น่าคิด น่าเป็นไปได้นะ ว่าแต่ว่า...ถ้าเป็นยมทูตแล้วทำไมต้องแบกศพไปป่าช้าด้วยวะไม่เข้าใจ?” ไอ้นกถามขึ้นอีกอย่างมิคลายสงสัย
“อ้าว..!! ป่าช้าก็อาจจะเป็นที่ ที่สามารถเชื่อมถึงกับปรโลกได้ง่ายดายกว่าที่อื่นๆมั้ง.. อีกอย่างที่ต้องแบกศพไปก็อาจจะเป็นเพราะว่า ลุงแก เอ้ย!! ยมทูตแกน่าจะจงใจลวงตาให้เห็นเป็นแบบนั้นมากกว่า เผื่อบางทีมนุษย์อย่างพวกเราจะเห็นเป็นแค่เงารางๆในความมืด จะได้ไม่สงสัยอะไรมากนัก แต่แกคงดันลืมไปอีกอย่างมั้งว่า...ยุคนี้สมัยนี้เขามีไฟฟ้าใช้กันแล้ว ถึงได้เดินผ่านเสาไฟริมทางให้ไอ้โชคมันเห็นน่ะ ฮ่ะๆ..!!” ไอ้โก้เสริมขึ้นพร้อมกับพูดติดตลกเล็กน้อย...
“แล้ว...ถ้าเกิดเป็นอย่างที่พวกเราสันนิษฐานมาจริงๆ พวกแกคิดว่า...ตาลุงยมทูตนั่นจะอยู่ที่หมู่บ้านของเราอีกนานมั้ยวะ?”
ผมก้มหน้าลงเอ่ยถามลอยๆขึ้นอย่างเศร้าสร้อยกังวลนักภายในน้ำเสียงและหัวใจแสนล้ำลึก...
“ไม่รู้ว่ะโชค เขาก็คงมาทำตามหน้าที่ของเขาแหละจะไปจะมาที่ไหน นานหรือไม่ก็สุดแต่หน้าที่ของเขาจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ ว่าแต่...ทำไมแกถึงถามพวกฉันอย่างนี้ละวะ?” ต้อมเป็นคนให้คำตอบสำหรับคำถามของผม พร้อมย้อนถามกลับมาเช่นกัน
“บอกไม่ถูกว่ะ... ก็ยายฉันป่วยอยู่นี่หว่า..ป่วยหนักซะด้วย.. ฉันก็กลัวว่าที่ฉันเห็นลุงแกทำพฤติกรรมแบบนี้อย่างชัดเจน และหนักหนากว่าใครเพื่อน นั่นอาจเป็นเพราะว่ามันเป็นสัญญาณของการ...เอ่อ...การที่จะจากไปของยายฉันรึเปล่านี่สิ..ฉันกลัวเหลือเกินว่ะเพื่อน...กลัวว่าจะเสียยายไป...” ผมตอบด้วยอาการที่กังวล และอยากจะร้องไห้จากใจจริง
ครั้นเพื่อนของผมได้ฟังเหตุผลที่ผมอธิบายออกจากความกลัดกลุ้มในหัวใจจบ พวกมันก็พลอยมีสีหน้าที่สลดลงบ้าง และต่างก็นิ่งเงียบงัน กอดอกหน้าเคร่งกันไปเป็นครู่ใหญ่...
“ไม่เอาน่า..โชค..เพื่อนเว้ย...ยังไงเสีย พวกฉันก็ยังอยู่ข้างแกเสมอ และภาวนาขอให้ยายของแกดีขึ้น หายจากโรคร้ายที่เป็นอยู่นี้เร็วๆนะเว้ย... อีกอย่าง... แกไม่ต้องกังวลไปหรอกว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น เพราะถึงยังไง เวลาคับขันหรือทุกยามที่มีปัญหาหนักๆจริงๆแล้ว ตาผู้ใหญ่บ้านแกก็รับอาสาดูแลอีกแรงทุกอย่างไม่ใช่เหรอ? ไม่ว่าจะเป็นค่าหยูกค่ายา ค่าน้ำค่าไฟ หรือแม้แต่ค่าเทอมของแกเองด้วย... ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก... ฉันว่า...แกกับยายมีผู้อุปถัมภ์ค้ำชูอยู่เบื้องหลังที่ประเสริฐแบบนี้ รับรอง..ไม่นานวันหรอกแกกับยายก็จะคืนกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไร้สิ่งเลวร้ายเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง และตลอดไป ฉันเชื่ออย่างนั้นนะ ทำใจให้สบายๆเข้าไว้ อย่าคิดอะไรมาก... และทำหน้าที่หลานที่ดีตอบแทนบุญคุณท่านต่อไปเถอะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม.. ฉันเชื่อว่าปาฏิหาริย์มีจริงสำหรับคนดีๆยอดกตัญญูอย่างแก..โชค..”
ไอ้ต้อมมิตรสนิทกล่าวให้กำลังใจต่อผมอย่างแน่วแน่ พร้อมกับยื่นมือมาตบที่ไหล่ผมหนักแน่นดังปึก!! ผมเองก็น้ำตาคลอรู้สึกตื้นตันเข้าไปอีก เมื่อมองไปเห็นเพื่อนอีกสองคนยิ้มส่งมาให้อย่างมีความหมายโดยนัย ที่พอมองสบตาเข้าก็รู้ทันทีว่าหมายถึงอะไรที่แอบแฝงอยู่ ผมช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ ในยามที่ต้องประสบปัญหาทุกอย่าง มีคนมารับอาสาดูแลและให้กำลังใจทุกครั้ง โอ..เพื่อนเอ๋ย... ตาผู้ใหญ่ขอรับ... ทุกคนช่างดีกับผมเหลือเกิน ผมไม่มีอะไรจะตอบแทนให้ได้นอกจากคำขอบคุณจากใจจริงเท่านั้นที่สามารถเอ่ยออกมาได้ในครานี้ ผมปลื้มปีติและตื้นตันซาบซึ้งในน้ำใจของทุกคนอย่างเหลือคณาจริงๆขอรับ......
**********
สายัณห์ค่ำลงหมู่สกุณาวิหคฟ้าบินกลับรังเห็นกันอยู่เนืองๆ ผมเองกลับมาที่บ้านก็ทำกิจวัตรทุกอย่างดังที่ได้เคยกล่าวไว้แล้วจนเสร็จสิ้น วันนี้เป็นวันที่ผมไม่ได้ไปหางานพิเศษทำเพราะต้องกลับมาป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ยากับยายกินให้ตรงเวลาตามที่คุณหมอสั่งไว้ จากคำแนะนำของตาผู้ใหญ่ซึ่งเป็นคนนำมาให้จากโรงพยาบาลที่ยายผมถูกส่งเข้ารักษาตัวเมื่อครั้งเกิดเหตุฯ อีกอย่างเงินค่าจ้างของผมก็ยังเหลือเฟือเยอะแยะ ประกอบกับเงินที่ตาผู้ใหญ่ให้มาอีก และยังไม่นับข้าวปลาอาหารที่ท่านเมตตาหาซื้อมาให้เสียมากมายจนแทบจะเหลือกินสำหรับผมกับยายเพียงสองคนก็ยังคงมีอยู่ ดังนี้แล้วผมจึงไม่ต้องทำอะไรให้เหนื่อยมากกว่าที่เคย เพียงแค่กลับมาดูแลยายให้ดีอย่างไม่ห่างเหินดังเดิมก็ถือว่าสุขเกินพอแล้วละครับ
แสงไฟจากหลอดตะเกียบที่ห้อยกับคานไม้ด้านบนของตัวกระท่อมภายใน สาดส่องให้ผมเห็นอะไรๆได้ชัดเจนขึ้นหลังจากที่ฟ้ามืดลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียงลมหายใจของยายที่ดังเรื่อยๆแผ่วๆได้ระดับยังคงได้ยินอยู่มิได้ขาด ผมนอนคว่ำเหยียดขายาวไปทางด้านหนึ่งตามแนวพื้นไม้ของบ้านไม่ให้ตรงกับที่ยายนอนอยู่ ตาก็มองไปที่หนังสือ มือเขียนสิ่งที่ครูสั่งลงไปในสมุดจดการบ้านอยู่ยิกๆ เสียงแมลงไพรรอบๆบริเวณร้องมาให้ได้สดับตามปกติวิสัย ผมรู้สึกอบอุ่นและสบายใจขึ้นมากเมื่อมีผู้คอยสอดส่องดูแลช่วยเหลืออยู่ไม่ห่างเช่นนี้ จึงทำการบ้านโดยไม่คิดพะวงอะไรให้หนักสมองจนเป็นเวลาดึกเท่าใดก็มิอาจไม่ทราบได้ พอหาวครั้งที่สิบนี้แหละกระมังก็เป็นอันว่าขีดเส้นใต้ทำงานเสร็จพอดี เลยตัดสินใจเก็บสมุดลงใส่ในกระเป๋า เตรียมตัวพร้อมที่จะเข้านอน พลางก็เปิดมุ้งขึ้นแทรกตัวเข้าไปด้านใน เอื้อมมือหมายจะปิดสวิตช์ไฟตรง
หัวฟูกที่นอน แต่ทว่า...!! ให้ตายลงเสียบัดนี้เถิดขอรับ..... “ยายของผมท่านหายตัวไปไหนเสียแล้ว..!!!”
ผมลนลานตาลีตาเหลือกออกมานอกมุ้งคล้ายคนบ้าคลั่ง ปากก็ส่งเสียงร้องเรียกหายายแทบจะแหบพร่า น้ำน้อยๆไหลย้อยออกจากดวงตาทั้งสองข้างโดยอัตโนมัติ ในวินาทีนั้นผมทำอะไรไม่ถูก ยายผมจะหายตัวไปได้อย่างไร? ความที่จะเคลื่อนไปโดยผมจะไม่รู้ตัวก็เป็นไปไม่ได้โดยแน่ เพราะขนาดจะเข้าห้องน้ำทีก็ต้องได้อุ้มพาไป จะมีเรี่ยวแรงจากไหนพาตัวหายไปได้เล่า? ในเสี้ยวของห้วงความคิดที่ถกเถียงกันอยู่นั้น แวบหนึ่งผมก็นึกขึ้นมาได้... ใช่..หรือว่าจะเป็น.....!!
มีสิ่งใดดลใจพาให้คิดไปดังนั้นก็มิอาจล่วงรู้ เพราะหลังจากที่สติมันสั่นกระดิ่งแจ้งเตือนความคิดขึ้นมา ผมก็มองออกไปยังเบื้องนอกของตัวเรือน ท่านขอรับ... ผมพบแล้ว... มันเป็นดั่งที่ใจผมถูกสั่งการให้คิดไปเช่นนั้นจริงๆ...
เพราะต่อหน้าผม ณ ขณะนี้.. ภายนอกกระท่อมหลังน้อยนั้น ห่างไปไม่เกินสิบเมตรกว่าๆ ผมเห็นร่างของชายชราชุดคลุมสีดำกลืนกลมอยู่ในความมืดของยามราตรีผู้เดิมคนเก่ากำลังเดินท่อมๆแบกร่างยายของผมไว้บนบ่าไปย่างช้าๆ พร้อมกับลากขาของแกไปกับพื้นดัง ครืด...ครืด... พอผมเห็นดังนั้นก็ร้อง “ไม่..!!!” สุดเสียงมิได้รีรออย่างใดทั้งสิ้น กระโจนลงจากกระท่อมรีบวิ่งตามชายลึกลับผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว..
“เอายายผมคืนมา...เอายายผมคืนมา... หยุดนะลุง หยุด!!” ผมตะโกนสั่งขึ้นพร้อมกับฟายน้ำตาเร่งฝีเท้าไปตามทาง แต่ก็ดูเหมือนว่า ตาลุงนั่นจะไม่ได้สนใจในสิ่งที่ผมโพล่งออกไปเลยแม้แต่น้อย แกเพียงแต่ชะงักพร้อมกับหันมามองแวบหนึ่งก่อนที่จะออกเดินมุ่งหน้าไปยังทางลัดไปป่าช้าท้ายหมู่บ้านต่อ..
ผมตัดสินใจทันควันกระโดดโผเข้าหา ล้มเกือบหน้าคว่ำ จับข้อเท้าข้างหนึ่งยุดแกไว้ แกหยุดการเดินกะทันหัน เหลียวกลับมามองสบตาผมโดยไม่ได้ปริปากพูดคำใด แต่แววตาอันเย็นชาเหี้ยมเกรียมดูน่าเกรงขามของลุงที่จ้องตอบสนองมานั้นช่างน่าสะพรึงระทวยจิตเสียนี่กะไร ผมพยายามยื้อไว้สุดแรงเกิด อ้อนวอนให้แกวางร่างยายผมลงแต่แกก็มิได้ใส่ใจ ซ้ำยังพยายามออกแรงฝืนจะเดินไปตามทางตามหน้าที่ของตนอีท่าเดียว จนท้ายที่สุดแรงเด็กหรือจะสู้แรงผู้ใหญ่ซึ่งเป็นอมนุษย์ ผมกระเด็นมือหลุดออกจากการรั้งข้อเท้าของแกตามแรงสะบัดอันหนักหน่วงนั้นจนร่างไถลเปื้อนฝุ่นไปกับดิน และแล้วแกก็ออกมุ่งหน้าต่อไป แต่ผมดูๆอย่างไรก็มิใช่การเดินลากเท้าตามปกติเหมือนที่เคยเห็นมา แต่ท่านขอรับ มันกลับเป็นการเคลื่อนที่ลอยไปกับอากาศขนานกับพื้นห่างไกลออกจากตัวผมไปอย่างเร็วไว จนต้องตกตะลึงตาค้าง ครั้นเมื่อพอตั้งสติกลับคืนมาได้ ผมเองก็รีบพยุงกายลุกขึ้น ออกตัววิ่งตามไปอย่างไม่ลดละ ทั้งๆที่ใจก็ทราบดีว่า ทางที่ตนกำลังจะตามชายชราไปนั้น มันคือป่าช้า อันเป็นสถานที่ที่ในยามวิกาลเช่นนี้ผู้คนทั่วไปเขาไม่กล้าที่จะเฉียดใกล้ย่างกรายเข้าไปกัน หากไม่มีความจำเป็น เพราะเกรงว่าร่างที่ถูกฝังดินกลบหน้านับร้อยๆนับพันๆร่างเหล่านั้น จะลุกผุดขึ้นมาจากหลุมแล้วหลอกหลอนให้สิ้นสติเอา แต่ก็ช่างสิ..ใครสนล่ะ!! ยายผมทั้งคน ผมจะต้องเอายายกลับคืนมาให้ได้ ไม่ยอมให้ร่างของยายต้องไปที่ไหนสักที่ตามสุดแต่ตาลุงนั่นจะประสงค์พาไปหรอก ยายจ๋า... “ยายจะตายไม่ได้นะ!!! หนูจะพายายกลับมาอยู่กับหนูดังเดิม!!”
ผมวิ่งตามร่างที่ลอยละลิ่วของลุงแกไปติดๆ ไม่สนว่าหมาจะหอนโหยหวนสักเพียงใด มันไม่มีผลต่อความรู้สึกในต่อมความกลัวของผมได้อีกแล้ว นกฮูกนกแสกจะร้องกรีดบาดลึกเข้าไปถึงทรวงมโนหนักหนาปานใดก็ตาม “ผี” จะน่ากลัวแค่ไหนก็ช่าง ผมไม่สนอีกแล้ว ขอแค่ผมนำพายายกลับคืนมาเท่านี้เป็นพอ!!
แมกไม้สูงลิบลิ่วดูทึบทึม แสงเดือนที่แผดประกายเจิดจ้าอยู่บนท้องฟ้าส่องลงมาให้อะไรๆเห็นแต่เพียงตะคุ่มๆรางๆไม่ชัดประจักษ์แจ้งนัก ผมวิ่งตามลุงยมทูตมาจนถึงที่หมายของแก จนกระทั่งได้ทราบทุกอย่างถึงขั้นถ่องแท้ ผมมองเห็นแกค่อยๆวางร่างอันนอนหลับตาสนิทนิ่งไม่ไหวติงของยายลงข้างๆหลุมที่ขุดไว้เตรียมพร้อม เป็นความกว้างและยาวพอดีกับตัวคนที่แกนำมา จากนั้นก็ค่อยๆพนมมือขึ้นกล่าวอะไรของแกพึมพำๆฟังไม่ได้ศัพท์อยู่ชั่วครู่ พลันก็ปรากฏมีแสงสีท่องส่องประกายอร่ามออกมาจากร่างกายของยายผมเจิดจ้าแผ่รัศมีไปทั่วบริเวณ และแล้วแกก็บรรจงอุ้มร่างยายของผมขึ้นพร้อมกับนำไปวางให้นอนทอดกายยาวลงในหลุมศพที่ถูกขุดเอาไว้ตรงนั้น ลำดับถัดมาก็นำจอบมาเกลี่ยดินกลบฝังร่างของยายผมทีละนิดๆด้วยอาการที่ใจเย็นเกินคาดสุดจะหยั่งรู้ได้ ผมร้อง “อย่า!!!” พร้อมกับโผล่พรวดตัวลอยออกจากโขดหินใหญ่ด้านหลังของแกอันเป็นที่ซ่อนห่างกันไม่เกิน2เมตร พร้อมกับผลักแกให้หลีกไปทางด้านหลังเต็มแรง ชายชราอุทานร้อง “โอ๊ะ!!” สีหน้าบ่งบอกว่าคาดไม่ถึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เซถลาไปแทบจะล้มลงทั้งยืน
ผมตรงรี่เข้านั่งคุกเข่าโน้มตัวลงตะกุยตะกายมวลดินที่ทับถมร่างยายไว้ขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ปากก็ร่ำร้องเรียกแต่ว่ายายจ๋าๆ อยู่แทบไม่รู้ความใดอีก ยังไม่ทันที่จะเอาดินออกจากร่างของยายได้สะดวกดี ในชั่วขณะนั้น ก็กลับรู้สึกถึงความเย็นเฉียบยะเยียบจับขั้วหัวใจ เมื่อรู้ว่าคล้ายกับมีมือใครคนหนึ่งมาสัมผัสที่ไหล่ พร้อมกับกระชากถูลู่ถูกังผมออกมาอย่างเต็มเหนี่ยว จนทำให้ร่างของผมต้องถูกลากไปตามแรงกระทำนั้น แน่นอนขอรับ.... ตาลุงยมทูตผู้น่าพิศวงนั่นเองที่เป็นคนลากผมออกมาให้ไกลจากหลุมศพนั่น แกมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เหนื่อยอ่อนพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ คล้ายรำคาญอยู่นิดๆ
“เจ้าหนูนี่...!!” มีเสียงแกรำพึงออกมาเบาๆทั้งที่ปากไม่ขยับเหมือนกับคนพูดปกติเลยสักนิด แต่เสียงที่เปล่งออกมานั้นมันก็ช่างก้องกังวานดูมีอำนาจบังคับจิตใต้สำนึกของผมอย่างไรพิลึก.. หลังจากนั้นแกก็เดินกลับไปเกลี่ยกลบดินเพื่อฝังร่างยายของผมต่อ...
มีหรือขอรับที่ผมจะทนดูภาพนั้นต่อหน้าต่อตาได้ถึงวินาที ทันกันนั้นผมก็กระโจนโผพรวดเข้าไปกอดรัดร่างแกรั้งแกไว้อีกอย่างสุดกำลัง ผมพยายามที่จะฉุดแกออกมาไม่ให้ไปยุ่งกับยายได้ แต่แกก็จับมือผมไว้แล้วก็คลายมันออกจากการกระชากกอดรัดนั้นได้เปรียบปอกกล้วยเข้าปากด้วยแรงอันมหาศาล
“ผมรู้นะว่าลุงเป็นใคร!! ลุงจะทำแบบนี้กับยายผมไม่ได้นะ ผมยังไม่อยากให้ยายจากผมไป..!!” ผมวิงวอนคร่ำครวญลั่นหวังให้แกปราณีและฟังคำขอร้องของผมบ้าง แต่แกก็กลับผลักให้ผมล้มลงจนก้นจ้ำเบ้ากระแทกกับพื้น ผมพยายามตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นแกก็เอามืออันเล็กเรียวเย็นเฉียบ มีเล็บที่ยาวโง้งดุจเล็บพญาเหยี่ยวนั่นมาดันศีรษะต้านแรงของผมไว้มิให้ฝืนแรงเสียดทานเข้าหาตัวแก และหลุมศพที่แกบรรจุร่างของยายไว้ได้โดยง่าย เพราะรู้อย่างแน่ชัดแล้วว่าผมเริ่มอ่อนแรง มิอาจทำอะไรไปได้มากกว่านี้....
“หนูเอ้ย...ทุกชีวิตมีเกิด ก็ย่อมต้องมีการดับสูญสิ้นไปเป็นธรรมดา ทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนมีอายุขัยของมัน แม้แต่ตึกที่ใหญ่โตมั่นคงแข็งแรงก็ย่อมมีวันที่เขาจะพังให้ล้มพินาศล่มลงได้ เช่นเดียวกันกับร่างกายและวิญญาณยายของเจ้า เจ้าถือเป็นผู้ที่มีจิตใจแสนกตัญญูและกล้าหาญมากนะที่กล้าตามข้ามาถึงที่นี่ได้ ปล่อยให้ข้าทำภารกิจตามหน้าที่ของข้าเถอะ ส่วนเจ้าเองก็กลับไปอยู่ ณ ที่ของเจ้าดังเดิมซะ อย่ามารบกวนข้าอีกเลย ในอนาคตกาลข้างหน้าจะมีผู้มาช่วยแก้ไขปัญหาและอุปการะเลี้ยงดูเจ้าเอง ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามกฎแห่งกรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสเอาไว้แล้วนั้นเถิด..กลับไป..จงกลับไปซะ!!”
ครั้นสิ้นประโยคอันกังวานยะเยือก เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจดลจิตใจของชายชราผู้เป็นทูตแห่งนรกภูมิตนดังกล่าวลงแล้ว ทันใดผมก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงและเบาวาบหวิวของร่างกายที่เกิดขึ้นกับตัวผม มันเสมือนล่องลอยไปในอากาศ วูบไปชั่วขณะก่อนที่ทุกอย่างจะทำให้ผมสามารถรับรู้ได้ว่า ผม..ได้กลับมาอยู่ ณ ตรงที่ ที่ควรอยู่แล้ว ตามคำบัญชาของตาลุงยมทูตเมื่อหยกๆที่ผ่านมา...
**********
ผมตื่นฟื้นกายขึ้นมาแทบจะทันทีหลังจากที่ได้สิ้นสุดความรู้สึกอันแปลกประหลาดนั้น รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นหลังจากที่คล้ายหลับฝันไปในภวังค์เสียตั้งนาน ผมฝันไปอย่างนั้นหรอกหรือนี่..? เฮ้อ...โล่งอกไปเสียที อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่ความจริง...
พอมองสำรวจไปรอบๆกายอีกครั้งก็พบว่า ผมยังนอนคว่ำหน้าอยู่กับสมุดจดการบ้านดังเช่นเดิมเหมือนเก่า มิได้ไปไหนอย่างในภาพฝันเมื่อครั้งนิทรานั้น เหงื่อก็ไม่ได้ไหลรินอาบทาบทากาย ฝุ่นดินก็มิได้เลอะเทอะเปรอะเปื้อนตัวเลยแม้แต่สักละอองเดียว
ผมไม่รู้ว่าจะเป็นเวลาดึกมากแค่ไหนแล้วสำหรับตอนนี้ ทราบแต่เพียงว่าผมง่วงเต็มทีอยากนอนจนแทบจะเปิดเปลือกตาไม่ขึ้น เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ค่อยๆพลิกตัวไปในท่าหงาย แล้วชันกายงอเข่าพยุงตัวในท่าครึ่งนั่งครึ่งนอนกำลังจะลุกขึ้น แต่แล้วก็ต้องชะงักกึก ตะลึงพรึงเพริด ตาค้างอ้าปากหวอไปอีก เมื่อได้ประสบพบกับภาพที่แลเห็นอยู่ต่อหน้า
“ยายจ๋า!!” ผมร้องอุทานลั่น
เจ้าของร่างซึ่งเป็นหญิงชราวัยเจ็ดสิบปลายๆ ผมหงอกขาวโพลนไปทั่วศีรษะ สวมเสื้อแขนยาวสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งบัดนี้เหลือเพียงครึ่งตัวเป็นท่อนบน ส่วนท่อนล่างอีกครึ่งที่เป็นผ้าซิ่นลายขิดสีแสด ซึ่งปกติจะยาวลงไปนั้น เห็นเพียงรางๆ และมันดูโปร่งใสไปกับทัศนียภาพรอบข้างทุกๆด้าน ท่านค่อยๆหันมายิ้มให้กับผมอย่างเศร้าๆ เป็นอาการที่เหมือนจะสั่งลาเป็นครั้งสุดท้ายโดยไม่ปริปากเอ่ยถ้อยคำใดๆออกมา ก่อนที่จะลอยละล่อง ลิ่วลู่ตามแรงเคลื่อนออกไปข้างนอกกระท่อมตัวเรือนอย่างช้าๆ แล้วจางหายลับวับไปกับความมืด ภายใต้การจับจ้องเหลียวมองตามไปจากสายตาคู่น้อยๆของผมซึ่งกำลังจะฝ้าฟางเพราะน้ำตาเริ่มล้นเอ่อคลอ...
“ไม่นะยายจ๋า ไม่!!!”
ผมแหกปากร้องลั่นออกมาด้วยความเสียใจเป็นที่สุด ทะลึ่งลุกพรวดพราดเปิดมุ้งเข้าไปดู ที่ๆยายเคยนอนอยู่ หวังว่าเมื่อตะกี้นั้นจะเป็นเพียงภาพลวงตา แต่แล้ว...มันก็ยิ่งทำให้ผมต้องร้องไห้คร่ำครวญด้วยความอาลัยขึ้นอีกเป็นร้อยเป็นพันเท่าทวีคูณ คุณยายสุดที่รักสุดเคารพสุดบูชาของผมท่านจากไปแล้ว....
จากไปอย่างไม่มีวันที่จะหวนคืนกลับได้อีก ร่างของท่านนอนหลับตานิ่งเป็นดุษณี กายอินทรีย์เย็นเฉียบแข็งทื่อ ไร้ซึ่งความรู้สึก ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ไร้แม้กระทั่งกระแสลมหายใจที่จะผ่านเข้าออกจากสังขารของท่านได้อีก ฝันร้ายที่สุดในชีวิตของผมมันเป็นจริงเสียแล้ว..ท่านที่เคารพ
“ยายจ๋าอย่าทิ้งหนูไป!!” คำนี้เท่านั้นที่ผมเปล่งออกมาได้ชัดเจนนอกจากเสียงครวญคร่ำร่ำไห้ต่างๆนาๆที่ฟังแทบไม่รู้ความหรือได้ศัพท์ ในขณะที่ประคองสวมกอดร่างอันไร้วิญญาณของอยายไว้อยู่...
ทุกท่านขอรับ..ทุกวันนี้แม้ยายผู้มีพระคุณของผมจะสิ้นบุญไปแล้ว ผมก็ยังใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ต่อไปมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้ ด้วยการอุปการะเลี้ยงดูของตาผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งท่านก็เมตตาอุ้มชูทุกด้านเป็นอย่างดี และก็ได้รับผมเป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา....
ผมไม่มีทางที่จะลืมเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับผมได้ และจะไม่มีทางลืมคุณยายของผม ตาผู้ใหญ่บ้าน และครอบครัวของท่านที่ได้อาทรรับเป็นภาระให้กับผมตลอดมา และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือบุญคุณ ที่ผมจะมิมีวันลืมเลือนเลยแม้แต่สักผงธุลีเดียว ตรงกันข้ามนี่จะเป็นสิ่งที่ผมจะต้องตอบแทนท่านๆเหล่านั้นให้ได้มากถึงที่สุดเท่าที่ความสามารถจะทำได้ในชาตินี้ และท้ายที่สุดที่ผมสาธกยกเอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมทั้งหมดทั้งมวลมาเล่าให้ท่านได้รับทราบไว้ ณ ที่นี้ ก็เพื่อเป็นการตอกย้ำและยืนยันว่า “ผีและวิญญาณ” นั้นมีอยู่จริง “ยมทูต” “นรก” “สวรรค์” สิ่งเหล่านี้ที่ถูกกล่าวถึงมีอยู่จริง
ทำความดีกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อสัตว์โลก หมั่นสร้างกุศลบำเพ็ญบารมีไว้เถิดขอรับ ผลที่ได้รับคุณๆท่านๆทุกคนจะคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน และจะส่งผลอันประเสริฐเลิศศรีแก่ชีวิตพร้อมกับครอบครัวของท่านไปอีก แสนสุดที่จะตราตรึง ตราบนานเท่านาน......
ลงชื่อ:ด.ช.โชค จิตภักดี
...จบ...
เรื่องจากพันทิป "ชายเร่ร่อน" ผู้ที่ปรากฏกายอย่างลึกลับในยามวิกาล และทำกิจวัตรที่แสนพิกลแปลกไปจากสามัญมนุษย์!!
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 5509329 หรือในนามปากกา ธีร์ วรรณกร
Post a Comment