ประสบการณ์สยองขวัญ....จากโคราช ถึง นครปฐม


     เรื่องเล่าประสบการณ์สยองขวัญจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 1865431 สนุกและน่าติดตามมาก เรื่องนี้ค่อนข้างยาวเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราไปติดตามกันเลย  ขอขอบคุณประสบการณ์สยอง ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

คือ จริงๆไปแอบเล่าไว้ในกระทู้ที่เราตามอ่าน เรื่องเล่าจากประสบการณ์กับบ้านพักสยองขวัญ และมีเพื่อนบางคนบอกให้ตั้งกระทู้  เราเลยเนรเทศตัวเองมาตรงนี้นะคะ
แอบเขิล ต้องมีตัวละครในเหตุการณ์มาอ่านเจอชัวร์  และรู้ว่าเราคือใครชัวร์
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เรื่องส่วนใหญ่มาจากการบอกเล่าของเพื่อนๆและน้องๆนะคะ

สวัสดีค่ะ เห็นช่วงนี้คนแชร์เรื่องสยองขวัญกันเยอะ เราขอแชร์ประสบการณ์บ้างนะคะ
ขอเกริ่นว่าเรื่องที่จะเล่า เกิดขึ้นตอนเราอยู่ ม.5 ค่ะ และมีคนอยู่ในเหตุการณ์หลายคนมากค่ะ บางเหตุการณ์เราไม่ได้เจอกับตัวนะคะ แต่เป็นเรื่องที่รวบรวมมาจากหลายๆคน
ขอเดาว่าเล่าไป น่าจะมีพวกเพื่อนหรือรุ่นน้องหลายๆคนที่เจอเหตุการณ์เดียวกันมาอ่านเจอ ยังไงทักทายเค้าด้วยนะ
เริ่มเลยแล้วกันนะคะ เรื่องมีอยู่ว่า ทางโรงเรียนของเรามีการจัดให้นักเรียนไปต่างจังหวัด โดยอ้างชื่อว่าเข้าค่ายวิชาการ (จริงๆ ก็เหมือนให้ไปเที่ยวนี่แหละค่ะ) โดยการไปครั้งนี้จะมีเพียงแค่ห้องโครงการวิทยาศาสตร์ ชั้น ม.4 และ ม.5 โดยเราเป็นพี่ ม.5 ค่ะ โดยชั้นปีละ 2 ห้องค่ะ เพราะห้องโครงการวิทย์ มี 2 ห้องจาก 12 ห้อง เด็กนักเรียนจึงมีประมาณ 200 คน ห้องละ 40-50 คน
คือ คนร่วมชะตากรรม 200 คน!! และเป็นเด็กสายวิทย์!! แต่ดันเจอเรื่องเหนือธรรมชาติ!!!
วันแรกพวกเรานั่งรถทัวร์ 2 คัน คันละชั้นปี จากจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ ตรงดิ่งไปโคราชค่ะ คือนั่งนานมากกกกกกก พอไปถึงโคราช เราก็ทำการไปสักการะย่าโมกันค่ะ ทุกอย่างปกติดี เด็กเยอะ (ก็พวกเราทั้งนั้น) และจึงเดินทางไปที่ปราสาทหินพิมาย และเรื่องแปลกๆ เกิดตรงนี้แหละค่ะ
ระหว่างพวกเรากำลังเดินทางไปฟาร์มโชคชัยกัน คุณครูบนรถก็ประกาศว่า รถของน้องคัน ม.4 ต้องวนกลับไปที่ปราสาทนะ พวกเราจะไปชมฟาร์มกันก่อน
มาทราบทีหลังคือ มีน้องผู้หญิง สมมติว่าชื่อ บัว (ตัวหลักเลยค่ะคนนี้) ลืมกระเป๋าสตางค์และมือถือเอาไว้ที่ปราสาท โดยที่ไม่รู้ว่าลืมไว้ที่ไหนนะคะ จึงให้เพื่อนโทรเข้าไปที่เบอร์ของตัวเอง และมีผู้หญิงแก่ๆรับ และบอกว่าให้มารับที่ปราสาท พอพวกน้องๆไปถึงก็ขอบคุณคุณป้ายกใหญ่และถามว่าเจอที่ไหน
คุณป้าตอบว่า "เจอในปราสาทหลังในสุด" โดยมือถือวางอยู่บนกระเป๋าสตางค์อย่างเป็นระเบียบ
แต่!! น้องเค้าไปไม่ถึงปราสาทหลังนั้น! แล้วกระเป๋าและมือถือ เข้าไปได้ยังไง??
หลังจากนั้นรถคัน ม.4 ก็ขับตามไปฟาร์มโชคชัย แต่ ประสบอุบัติเหตุชนกับรถขนส้ม!! ไม่มีใครเป็นอะไรเลยค่ะ แค่ตกใจ
กลับมาที่พวกเรา พี่ๆ ม.5 เที่ยวฟาร์มสบายใจ มารู้เรื่องอีกทีคือตอนขึ้นรถ คุณครูก็บ่นๆว่า คัน ม.4 ทำไมเรื่องเยอะจัง แต่ยังงง มันยังไม่หมดดดดดด
ที่เหลือเหตุการณ์ปกติ ขอข้ามนะ

วันต่อมา นี่แหละพีคสุดๆๆๆๆๆๆๆๆ
เราก็ไปที่นั่นที่นี่ จนจุดหมายปลายทางคือ จ.นครปฐม เราก็ไปไหว้องค์พระปฐมเจดีย์ ชื่นชมความยิ่งใหญ่ เดินเล่นกัน ปกติดี
แต่!!! ฝั่งน้อง ม.4 นี่ซิ ดันไปเดินวนรอบโบสถ์ผิดด้าน วนแบบวนเมรุซะงั้น และอะไรแปลกๆก็เริ่มจากนั้นเป็นต้นมา หรือก่อนแล้วตั้งแต่เมื่อวานก็ไม่แน่ใจ
จากปากน้อง ม.4 คุณน้องบัว คนเมื่อวาน รู้สึกเหมือนมีคนกระชากผม คือหัวหงายเงิบเลย ยางที่ผูกผมไว้ ก็เลื่อนมาอยู่ที่ปลายผม จึงหันมาถามเพื่อนว่าใครแกล้ง แต่ "ไม่มีใครทำ" ทุกคนก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ เพราะเห็นกันหลายคนว่าน้องหงายเงิบเหมือนคนดึงจริงๆ และยาง เลื่อนลงมาอยู่ปลายผมจริง
หลังจากนั้น น้องบัวก็ขึ้นรถไป แต่เพื่อนยังยืนเม้ากันอยู่ข้างล่างรถ และน้องบัวก็ลงมาถามเพื่อนๆว่า "เรียกเราหรอ?" เพื่อนๆก็มองหน้ากัน "คือไม่มีใครเรียกน้องเค้า!!" หลังจากนั้น น้องก็ได้ยินคนเรียกบนรถอยู่บ่อยๆ แต่เพื่อนกลัวน้องกลัว จึงบอกว่าเพื่อนเรียกเอง

จากนั้นจึงเดินทางไปยังที่พัก โรงแรมแห่งหนึ่ง มีหลายตึก มีชื่อเสียงในจังหวัดนครปฐม และเรื่องต่างๆก็เกิดที่ โรงแรมนี้ค่ะ
ต่อ ตอนเข้าพักโรงแรม ทางโรงแรมจะมีตึกหลัก และตึกย่อย พวกเราทั้งคณะได้พักกันที่ตึกย่อยซึ่งเป็นตึกลานจอดรถ พวกเราก็เข้าพักกันตามปกติ
เอาจากมุมที่เราประสบเองก่อนนะคะ
ก็ตามประสาเด็กค่ะ ก็ตรวจเช็คว่าอยู่ข้างห้องใครบ้าง ตรงข้ามห้องใคร ข้างห้องเราซึ่งเป็นห้องริมสุดคือห้องของคุณครูค่ะ ห้องตรงข้ามเป็นเด็กห้องเรา ส่วนห้องอีกข้างเป็นเด็กอีกห้องค่ะ
เราก็เดินไปเล่นไพ่ห้องตรงข้ามค่ะ (แต่ละห้องพัก 4 คน) รวมกันอยู่ 8 คน ก็เล่นได้สักพักจนถึง 2 ทุ่มกว่าๆ เพื่อนร่วมห้องเรา สมมติว่าชื่อ กิง ก่อง แก้ว นะคะ กิง กับ ก่อง ตัวมักติดกันค่ะ จึงขอไปอาบน้ำคู่กันก่อน ส่วนเรากับแก้ว รออาบกะ 2
ไม่ถึงสิบนาที นาง 2 คนก็เดินกลับมาพร้อมบอกว่า "เอาไงดี น้ำไม่ไหล อาบน้ำไม่ได้อะ"
เราเลยให้เพื่อนห้องเล่นไพ่ลองเปิดน้ำ น้ำก็ไม่ไหลค่ะ คราวนี้ก็เริ่มมีเพื่อนคนอื่นๆเดินมาเคาะห้องถาม ก็ได้ความว่า "น้ำไม่ไหลทั้งตึก"
สักพักก็มีคนมาเคาะประตูอีก เพื่อนก็ไปเปิด ปรากฎว่า คุณครู (ขอเปลี่ยนเป็น อาจารย์ หรือ จารย์นะคะ ค่อยสมจริง)
อาจารย์ยืนหน้าห้อง วงแตกซิคะ วงไพ่แตก รีบแยกย้ายกลับห้องค่ะ
น้ำก็ไม่มีให้อาบ ก็นั่งดูทีวีกันค่ะ ทีวีนี่ก็สูงเกิ๊นน แบบอยู่บนเพดาน แล้วมีโครงเหล็กล็อคไว้ ดูก็แสนลำบาก ทันใดนั้น เสียงเคาะห้องค่ะ
เราก็เดินไปเปิด เพื่อนที่อยู่อีกฟากของตึกที่พัก ซึ่งห้องอยู่แถบน้อง ม.4
ขอเพิ่มเติมนิดนึงนะคะ ตึกเป็นแบบ ถ้าเดินออกจากลิฟท์ ทางซ้ายก็จะมีห้องๆๆๆ เดินทางขวาก็จะมีห้องๆๆๆ แล้วก็มีห้องตรงข้ามกัน
กลับมาที่เจอเพื่อนค่ะ นางก็พูดว่า
"น้องบัวโดนผีเข้า อาจารย์สอ กำลังไล่"
ได้ยินก็ตกใจค่ะ พวกเพื่อนที่เหลือก็ได้ยิน วิ่งมาที่ประตู ก็ถามเหมือนนกแตกรัง "เห้ย จริงหรอ?" "น้องอยู่ห้องไหน?"
ทันใดนั้นห้องตรงข้ามก็เปิดออก แล้วโพล่งว่า " รู้เรื่องน้องผีเข้ารึยัง?"
พวกเราก็แทบรวมร่างค่ะ อยู่ใกล้กัน และตัดสินใจว่า ไปอยู่รวมกับห้องตรงข้ามดีกว่า 8 คนดีกว่า 4 คน

เพื่อนที่มาแจ้งข่าว อยู่สักพักก็กลับห้องค่ะ พวกเรา 8 คนก็คิดว่าทำไงดี นอนยังไง น้ำก็ไม่ได้อาบ จะนั่งทั้งคืนไม่น่าไหว หรือเบียดกัน
กิง กับ ก่อง ก็โพล่งว่า "เรา 2 คน กลับห้องนะ เราว่านอน 8 คนไม่ไหวอะ"
เรากับแก้ว ก็มองหน้ากัน แต่เราคิดในใจนะ "มุงจะไปกันทำไม รวมกันก็ดีอยู่แล้วววว" แต่ก็นะ เพื่อน จะให้ไปอยู่กันแค่ 2 คน เราก็ว่าไม่น่าจะโอเค เรากับแก้วก็พยักหน้ากัน
"เออ เราก็กลับด้วย อยู่ 4 ดีกว่า 2"
เราก็กลับห้องกัน น้ำก็ยังไม่มา อาบน้ำไม่ได้ ผีก็กลัว ก็เลยเล่นไพ่กัน คุยกัน สักพัก กิงก็ขอตัวไปคุยโทรศัพท์กับแฟนตรงมุมหน้าห้อง ตรงข้ามห้องน้ำ หัวพิงประตูห้องเลย
เราเองพึ่งถอยโทรศัพท์มาใหม่ เลยปิดเครื่องชาจไว้ แก้วก็ปิดเครื่องเพราะไม่รู้จะเปิดทำไม ก่องนี่ปิดเครื่องเก็บคนแรกเลย
เราก็เลยบอกเพื่อนๆว่า "สวดมนต์กันมั้ย ไม่นอนก็สวดไว้ก่อน" คือตัวเราสวดชินบัญชรทุกวันมาตั้งแต่ ป.4 แล้ว พ่อบังคับ (ตอนสวดครั้งแรกต้องจุดธูป วันพฤหัส และหันหน้าทางวัดระฆังด้วยนะ พ่อจัดเต็ม)
เราก็สวดเสียงดังเลย เผื่อเพื่อนๆด้วย เพราะเราเชื่อว่าคาถาชินบัญชรคุ้มครองได้ เป็นครอบแก้ว (พ่อบอกมา)
สวดเสร็จ ก็นั่งคุยกันต่อ สักพักก็ล้มตัวลงนอน ตอนนั้นประมาณเที่ยงคืน ทันใดนั้น "น้ำไหล" ก่อง แก้ว ก็แสดงเจตนารมณ์ว่า "ไม่อาบแล้วนะ นอนเลยนะ" เราก็เออ เอาด้วย รีบๆนอน จะได้เช้า ทีวีก็เปิดช่องเพลงไว้
นอนแป๊บนึงใกล้ๆจะหลับ ก็ได้ยินเสียงกิง ซึ่งคุยโทรศัพท์อยู่ เสียงแบบแตกตื่นมากๆๆๆๆ เรานี่หลุดจากภวังค์เลย
"เค้าย้ายกันไปหมดแล้ว ย้ายหมดแล้ว" เราก็รู้สึก งงๆ "ย้ายอะไร?" สักพัก ก็เห็น กิง วิ่งไปวิ่งมา หยิบนู่นนี่ ก่องก็เก็บของใส่กระเป๋า เราเลยรู้สึกตัวว่า "เห้ย ต้องลุกแล้ว เก็บของ" แก้วที่ดู งง ที่สุดก็หยิบแว่นมาใส่ แล้วถามว่า "อะไรกัน?"
เราก็ตอบว่า "ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าต้องเก็บของ"
กิง จึงบอกว่า "รีบเก็บของ คนอื่นเค้าย้ายห้องกันหมดแล้ว!"
บอกตามตรงว่าตอนนั้นเก็บของแบบ งง มาก และ งง ว่าจะย้ายไปไหน
พอเปิดประตูออกมา ห้องตรงข้ามเปิดประตูทิ้งไว้ เราจึงมองเข้าไปข้างใน "ไม่มีใครอยู่เลยสักคน"
ตอนนั้นคิดว่า ไม่เป็นไร ห้องอื่นๆ คงมีเพื่อนที่รอย้ายห้องเหมือนกัน
แต่ไม่ใช่เลย!! ด้วยความที่ว่า ห้องเราเป็นห้องรองสุดท้าย เราจึงต้องเดินผ่านทุกๆห้อง กว่าจะไปถึงลิฟท์
วินาทีนั้น มองห้องถัดมา ผ้าปูที่นอนกระจาย อีกห้องก็สภาพเหมือนกัน และทุกห้อง "ไม่มีคนอยู่เลย"
เราก็เริ่มใจคอไม่ดี จากที่ลากกระเป๋า ตอนนี้เปลี่ยนเป็น หิ้วหูกระเป๋าวิ่งตรงไปยังลิฟท์ไม่คิดชีวิต

พอถึงในลิฟท์ก็ตรวจเช็คสมาชิกว่า ครบ 4 คนมั้ย ก็ครบค่ะ ก็มองหน้ากัน
พอลิฟท์ลงมาอีกชั้น ก็เจอพี่ผู้ชายคนนึงเดินเข้ามาในลิฟท์ พร้อมพวกกุญแจพวงใหญ่ เค้าก็มองพวกเรากัน เพราะนี่ก็ ตี 1 แล้ว แต่มีเด็กผู้หญิง 4 คน สีหน้าไม่ดีพร้อมกระเป๋าเดินทางอยู่ในลิฟท์
พี่เค้าจึงถามว่า "มาจากไหนกันเนี่ยน้อง?"
"มาจากห้องพักค่ะ จะย้ายห้อง" เราตอบ
"เอ้า มากับทีมโรงเรียนหรอ?" พี่เค้าทำท่าตกใจ
ลิฟท์ถึงข้างล่างพอดี พวกเราก็เดินมาพร้อมกัน
"ดีเลยพี่ พี่รู้ใช่มั้ยว่าเค้าไปไหนกัน?"
"รู้ซิ ก็เนี่ย พี่ตามมาตราจเช็คความเรียบร้อย กำลังจะตัดไฟแต่ละชั้น เพราะมีแต่พวกน้องพัก ถ้าออกหมดจะตัดไฟแล้ว"
วินาทีนั้นคือ ตกใจมากกก ถ้าพี่ตัดไฟ แล้วเราค้างในนั้น คงหลอนน่าดู (แต่พอโตมา ก็มานั่งคิดนะว่า เวลาทั้งชั้นไม่มีคนพัก โรงแรมเค้าตัดไฟจริงหรอ)
เราก็มองหน้าพี่เค้า ขอบคุณเค้า แล้วก็รีบเดินไปตึกหลัก
บอกตามตรง คนที่ตกใจสุดคือรีเซปชั่น
"พวกหนูมากับคณะโรงเรียนค่ะ เห็นบอกว่าย้ายห้อง เค้าย้ายไปไหนกันคะ?" กิงถาม
"น้องไปอยู่ไหนมาคะ เค้าย้ายกันเป็นชั่วโมงแล้วนะ?" รีเซปชั่นบอก
"อยู่ในห้องมาค่ะ พอดีพึ่งรู้จากเพื่อน" เราตอบ
"งั้น ห้องนี้ค่ะ ไปทางนี้"
บอกตามตรง ตอนนี้ยังจำไม่ได้เลย ว่าเราไปถึงห้องนั้นได้ยังไง รู้แค่ว่าเกาะๆกันเดินตามทาง จนไปเจอห้องตัวเอง แต่ก็ไม่กล้าพักนะคะ หลอนแปลกๆ ตึกนี้ น่ากลัวกว่าตึกเดิมอีก
จึงตัดสินใจว่าจะไปนอนห้องเพื่อนที่เคยอยู่ตรงข้ามกันเมื่อตึกเก่า ก็โทรหาเค้า เค้าก็บอกเลขห้อง พอไปถึง เค้าก็เปิดรับเราเลย คือต่างคนต่างกลัววว
พอมาอยู่กันครบ ปลอดภัยในห้อง เราจึงถามกิงว่า "รู้ได้ไงว่าเค้าย้ายห้องกัน?"

คำบอกเล่าจากปากกิง
พวกเราฟัง ก็ตกใจนะ คือกิง ยืนอยู่ที่ประตูห้องตลอด คุยกับแฟน แต่กลับไม่ได้ยินเสียงนอกห้องเลย กิงบอกว่าเงียบสนิท ปกติดี แต่เพื่อนคนอื่นๆ ที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์อพยพบอกว่า "เสียงดังโวยวาย วิ่งหนีตายยังกับตึกจะถล่ม"
จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังหาคำตอบไม่ได้นะ ว่าทำไมมีแต่ห้องเราที่ไม่รู้เรื่อง ทั้งๆที่กิงยืนหน้าประตู และมีเพื่อนผู้ชายรับอาสาเคาะบอกทุกห้อง
บางคนก็บอกว่า เพราะเราดันไปสวดชินบัญชร เค้าเลยแกล้ง บางคนก็บอกว่า เพราะชินบัญชรเลยได้ออกมา อันนี้โปรดใช้วิจารณญาณนะคะ
ต่อๆ กิงบอกว่า จริงๆคุยกับแฟน และทะเลาะกัน คิดว่าจะปิดมือถือหนี แต่แฟนก็พูดดักว่าอย่าปิดมือถือหนีนะ ก็ง้อๆกันอะนะ กิงเลยไม่ปิด ซึ่งก็ต้อง"ขอบคุณแฟนกิงมา ณ ที่นี้"
เพราะ!!! ถ้ากิงปิด ติดในตึกแน่ๆๆๆจ้า เพราะปิดมือถือกันทุกคน มีมือถือกิงเครื่องเดียวที่ยังเปิด
เพื่อนห้องตรงข้ามก็โทรไล่ทุกคน จนมาโทรติดที่เครื่องกิง และถามว่า "พักห้องไหน?"
พอกิงได้ยิน ก็ งง จึงตอบว่า "ก็ห้องตรงข้ามกันไง ลืมหรอ?"
ปลายสายก็ตอบกลับว่า "ตรงข้ามห้องเราเป็นลิฟท์"
กิงจึงถามซ้ำ เพราะคิดว่าอำ จึงได้ความว่า เค้าย้ายห้องกัน ได้ห้องใหม่กันไปหมดแล้ว กิงจึงรู้ตัวว่า งานเข้า เรายังไม่ย้าย จึงตื่นตระหนกบอกเพื่อน ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
คืนนั้น เราก็หลอนกันเอง นอนรวม 8 คนในห้องเล็กๆ มีม่านสีแดง พรมแดง เรานี่จินตนาการล้ำเลิศ คิดว่าสีเหมือนเลือด
ด้วยความที่เตียงไม่พอสำหรับ 8 คนจึงต้องมีคนเสียสละนอนพื้น แต่ตัวเรา นอนเตียงข้างๆเพื่อนคนนึง ซึ่งนอนกำรูปคุณย่าที่เค้าใช้แควนคอแน่น และบอกว่า "ขอให้คุณย่า คุ้มครองทุกคน"
ลึกๆ เราก็ขอบคุณนะ แต่ย่าก็อย่ามาให้เห็นนะ เรามองรูปย่า ซึ่งเป็นสีขาวดำในมือเพื่อน ก็หลอนอีก รูปคนแก่ ก็น่ากลัวไปอีกแบบ
บอกตามตรง คืนนั้นไม่ได้นอนเลย รอแค่ว่า เมื่อไหร่จะเช้า อยากไปจากที่นี่
จริงๆพวกเราไม่มีใครเจอสักคนนะ มีก็แค่เรื่องแปลกๆและหลอนเอง
แต่!!! น้อง ม.4 นี่ซิ มันส์ๆทั้งนั้นจ้าาาาา

วันรุ่งขึ้น ทุกชั้นปีต้องลงมาทานอาหารเช้าในห้องอาหารของ โรงแรมพร้อมกัน พวกเพื่อนๆก็ชี้ให้ดูน้องบัว
น้องเค้าดูหน้าเศร้าๆและเดินกอดตุ๊กตา โดยมีเพื่อนๆเดินอยู่ข้างๆ
"น้องโดนผีเข้าจริงหรอ?"เราถามกลุ่มเพื่อนๆ
"เห็นว่าจริงนะ อาจารย์สอ เป็นคนไปไล่" เพื่อนคนนึงบอก
พวกเราก็เข้าประจำรถ มุ่งลงใต้สู่จังหวัดบ้านเกิด ก็มีคุยๆ ถามๆเรื่องนี้กันบ้าง แต่เพราะไม่ได้นอนทั้งคืน จึงหลับยาวววววจนถึง โรงเรียน
วันรุ่งขึ้น ทุกคนก็รวมตัวกันเม้า ว่าใครเจออะไรกันบ้าง ได้ความว่า
อาจารย์สอ สอนวิชาเคมี แต่แกมีเซนต์ด้านนี้ แกสัมผัสได้มาตั้งแต่โคราชแล้วว่ามีอะไรแปลกๆ เพราะแกตั้งขวดน้ำกับสับปะรดไว้ แต่เหมือนมีคนปัดให้ล้มถึง 3 ครั้ง
พอมาถึงที่โรงแรม มีคนบอกแกว่า มีเด็กโดนผีเข้า แกจึงไม่แปลกใจและเป็นคนไปเจรจา
อาจารย์บอกว่าน้องก้มหน้า มองแกตาขวาง แกถามว่าเป็นใคร มาทำอะไร น้องก็ได้แต่มอง แล้วบอกว่า "อย่ามายุ่งกับกู"
(เหมือนพวกพลอตแต่งเนอะ ผีทั่วไปต้องพูดประโยคนี้ แต่นี่อาจารย์กับผู้เห็นเหตุการณ์บอกมา)
อาจารย์จึงเอาสร้อยพระจะไปคล้องคอ น้องก็มองตาขวางสุดๆ และเหมือนจะไม่ยอม แต่สุดท้ายอาจารย์ก็เอาพระคล้องคอให้น้องสำเร็จและน้องก็นิ่งไป และเป็นปกติ

ส่วนอาจารย์วิชาอังกฤษซึ่งออกค่ายมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ก็มาถามพวกเราว่า "ใครไปลบหลู่ หรือไปทำอะไรไม่ดีไว้รึเปล่า ครูไปพักที่นี่กี่ที ไม่เคยมีเรื่อง"
"แล้วรู้มั้ย พอพวกเรายกขโยงออกจากโรงแรม น้ำไหลเลยนะ ทุกห้องเลย ทางโรงแรมยัง งง เพราะปกติ โรงแรมเค้าไม่เคยน้ำไม่ไหล แล้วไม่ไหลแต่ตึกเรา"
เรื่องนี้ เรา 4 ชีวิต ยืนยันกับทุกคนได้ว่าจริง เพราะตอนเที่ยงคืนน้ำไหลแรงจริงๆ แต่พวกเราตัดสินใจไม่อาบน้ำ
แต่แปลกจริงๆนะ พอย้ายออกกัน น้ำไหลซะงั้น!!

แต่!! เรื่องฮาก็เกิดนะ มีอาจารย์ฝึกสอน ซึ่งแกคงกลัวพวกเรา งมงาย มาบอกว่าน้องเป็น "ฮีสทีเรีย" เลยมีอาการกรี๊ดๆๆ (คนนี้ก็อยู่ในเหตุการณ์ มาเล่าเพิ่มว่าน้องกรี๊ดๆ แต่อาจารย์ ไม่ได้พูดว่าน้องกรี๊ดนะ) แต่ก็มีน้องๆ ม.4 บางคนบอกว่าได้ยินเสียงกรี๊ดดดดดด เคยกลับไปถามอาจารย์ แกก็ไม่เล่าเพิ่ม เหมือนแกไม่อยากให้เด็กพูดถึงเรื่องนี้แล้ว
ปล.ฮีสทีเรีย กับผีเข้า มันไม่น่าใช่เรื่องเดียวกันนะ นั่นมันโรคติดผู้ชาย คือ งง มากว่าอาจารย์ฝึกสอนพูดได้ไง

เข้าเรื่องๆ
คืนนั้น มีน้องผู้ชาย ม.4 กลุ่มนึงไปเซเว่น ตอนขาไป ก็ปกติดี แต่ขากลับ ลิฟท์ดันไปจอดชั้นลานจอดรถซึ่ง ไม่ได้มีใครกด พอเปิดไป ชั้นนั้นมืดมากก มีไฟสลัวๆ มีรถจอดอยู่ไม่กี่คัน น้องที่มีสติก็รีบกดปิดๆๆๆ แล้วลิฟท์ก็เปิดอีก คราวนี้เจอ ผู้ชายใส่เสื้อสีขาว ผมขาวว ยืนอยู่ตรงทางเดินมืดๆ ซึ่งตอนแรกไม่เห็นนะ
น้องๆ ที่ขึ้นลงลิฟท์วันนั้น เจอคุณลุงคนนี้กันหลายคนเลย และสืบทราบมาว่า "แกเป็นเจ้าที่" แกคงมาเตือนพวกเด็กๆ เพราะพวกน้องๆ เสียงดังกันมากกกก
เรื่องลิฟท์นี่ โดนกันเยอะนะ
อีกพวกนึงก็ ลิฟท์ไล่จอดทีละชั้น ทีละชั้น จนเปิดมาเจอคุณลุงเสื้อขาวผมขาวนี่เข้าให้อีกกลุ่ม

และมีน้อง 2 คน จะลงลิฟท์ด้วยกัน พอเดินเข้าไป ลิฟท์ร้อง แบบว่าเสียงน้ำหนักเกิน ทั้งๆที่น้องอยู่กัน 2 คน น้องก็ไม่รอจ้า เผ่นออกจากลิฟท์ และวิ่งลงบันไดกันไปเลย

น้องที่คิดว่าโดนหนักสุดแล้ว น่าจะเป็นน้องผู้ชายคนนึง น้องเค้านั่งอยู่บนโซฟาในห้องคนเดียว ส่วนเพื่อนคนอื่นลงไปซื้อขนม พอเพื่อนกลับเข้าห้องมาเท่านั้นแหละ
เห็นเป็นผู้หญิงใส่ชุดสีแดง นอนอยู่บนตักน้องเค้า!!
เพื่อนก็ดี๊ดีค่ะ เห็นแบบนั้น ก็เดินออกจากห้องแล้วไปสิงสถิตอยู่ห้องเพื่อนคนอื่นแทน โดยไม่บอกน้องคนนั้นนะคะ พึ่งมาเล่ากันตอนเช้า

ส่วนน้องบัว จนทุกวันนี้ ยังเป็นปริศนา ว่าน้องไปทำอะไรมา และเหตุการณ์ต่างๆ จริงๆแล้วเริ่มจากที่ไหน
ตอนน้องกลับมาเรียน ก็ปกติดีทุกอย่าง ไม่มีอาการอะไรเลยค่ะ เสียงคนเรียกชื่อน้องก็ไม่ได้ยินแล้ว

ส่วนเราก็แอดมิชชั่นติดที่มหาลัยแห่งหนึ่ง ในนครปฐมนี่แหละค่ะ ผ่านโรงแรมนี้ทุกครั้งรู้สึกแปลกๆทุกครั้ง และยืนยันเสมอมาว่า จะไม่มีทางพักโรงแรมนี้อีก จนสุดท้าย!! ช่วงรับปริญญา ให้เพื่อนจองโรงแรมให้ แต่ลืมบอกว่าไม่เอาโรงแรมนี้ แจ็คพอตจ้าาาา โรงแรมเดิมเต็มๆ แต่ดีหน่อย ไม่ใช่ตึกลานจอดรถ
แต่จนแล้วจนรอด ก็เจออีกจนได้!! แต่ก็ไม่ใช่เราอีกตามเคย ขอเดาว่า พระที่ห้อยคอ และบทสวดชินบัญชร คุ้มครองค่ะ

วันซ้อมรับปริญญาวันแรก เพื่อนที่นอนห้องเดียวกับเรามาถามค่ะ "เมื่อคืน เจออะไรมั้ย?" พร้อมทำสีหน้าอยากรู้
เราก็ตอบกลับไปว่า "ไม่นะ แกเจอหรอ"
เพื่อนก็นิ่งไป เหมือนคิดๆอะไร แล้วก็บอกว่า "ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร" แต่สีหน้าคือ มีสุดๆๆๆๆๆ
พอบ่ายๆ เราก็ถามอีกนะ ว่ามีอะไรที่ห้องรึเปล่า เพื่อนก็ยืนยันแบบเดิมค่ะ แต่เรารู้เลยว่ามีแน่ๆๆๆๆๆ
ไม่บอกให้เรารู้เลยย เราจะได้ระวังตัวไง
3 ทุ่มนิดๆ เราก็นะ อยากรู้ไม่ดูเวลา
"สรุป มีอะไรปะเนี่ย?"
เพื่อน "อยากรู้ใช่ปะ เออ กรุเล่า"
ในใจคือ กลางวันไม่บอก แต่เผือกบอกกลางคืนนนน
เพื่อนบอกว่า ต้องตื่นไปแต่งหน้าตอนตี 4 ครึ่ง แต่ก่อนนาฬิกาปลุกจะดัง กลับได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ เรียกจนเพื่อนแน่ใจว่าเรียกตัวเอง จึงตื่นมาดู โดยคิดว่าเราเรียก แต่หันมากลับเห็นเราหลับสนิท และนาฬิกาปลุกก็ดัง คือเพื่อนตื่นก่อนนาฬิกาแป๊บเดียว
แต่เพื่อนบอกว่า เค้าคงมาดี เค้าเรียกเราไปแต่งหน้า ไคลแมกซ์คือ
"แต่ถ้าไม่เชื่อ ถามพี่เอกนาฏศิลป์ ห้องตรงข้ามได้นะ พี่เค้าพากุมารมาด้วย กุมารพี่เค้าก็บอกว่ามี"
คือ ได้ยินแบบนั้นแทบทรุด
ในห้องนี้มี และห้องตรงข้ามก็มีคนพกกุมารมา
เราอาบน้ำไม่เป็นสุขเลย อาบๆไป ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะ วิ่งเล่น ทั้งๆที่เราอยู่ห้องริมสุด แถวๆนั้น ก็นักศึกษาทั้งชั้น

ส่วนเพื่อนห้องข้างๆ ก็บอกว่านอนไม่หลับ ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินทั้งคืน

คือเราก็ยังยืนยันนะ ว่าเราคงไม่กลับไปพักกกอีกกกก

ปล.เรื่องในรั้วมหาลัยเราก็มีเยอะนะ มหากาพย์เลย ถ้าอยากฟัง จะมาเล่าให้ฟังงอีกนะ

ปล.2 เพิ่มเติมเรื่องผู้หญิงชุดแดง คือไม่คอนเฟิร์มนะคะ แต่มีคนบอกว่า ผู้หญิงคนนั้นทำงานเป็นสาวในร้านอาบอบนวดแถวๆนั้น และมาเสียชีวิตที่โรงแรมแห่งนี้

ขอแอบต่อเรื่องมหาลัยนิดนึง ไหนๆก็นครปฐมเหมือนกัน
มหาลัยของเรานั้นติดกับวังและสถานที่ของมหาลัย ก็คือวังเก่านั่นเอง
ตั้งแต่วันรับน้อง ก็จะมีพวกรุ่นพี่มาเล่าถึงตำนาน และความลี้ลับของมหาลัย แต่เรื่องพวกนั้นล้วนเป็นเรื่องที่คนเล่าต่อๆกันมา เราก็ไม่รู้ว่าจริงรึเปล่า
แต่เรื่องต่อไปนี้ เราอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น เราจึงมั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง และเล่าให้คนอื่นฟังต่อได้
ที่มหาลัยของเราจะมีสระแห่งนึง โดยก็มีตำนานอีกตามเคยว่า เป็นที่เอาศพมาถ่วงน้ำบ้าง ที่ที่นางรำไม่สมหวังมาจบชีวิตลงที่นี้บ้าง และบนสระแห่งนี้ก็จะมีสะพานไม่พาดผ่าน
ตอนแรกๆ เราก็กลัว ไม่ค่อยกล้ามานั่งเล่นดึกๆเพราะกลัวพวกตำนาน แต่อยู่ๆไปก็ชิน ก็มานั่งเล่น มาดื่มตามประสาเด็กมหาลัย
และเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในวันนี้
เรากับเพื่อนๆ ก็นั่งที่สะพานตามปกติ และก็จะมีเด็กรุ่นน้อง รุ่นพี่ เด็กคณะอื่นนั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเป็นจุดๆบนสะพาน ก็มีพวกรุ่นพี่คุยกันสนุกสนานเสียงดัง รุ่นน้องเหมือนมีจัดวันเกิด เราก็ไม่สนใจ จนน้องพวกนั้น กระโดดน้ำลงไปในสระ ตู๊ม!!
คือเราตกใจมากว่า กล้าได้ไง มืดก็มืด แถมมีตำนานอีก ลงกันไปทำไม
และเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นจนได้!!

เรากับเพื่อนก็นั่งดื่ม นั่งคุยกันเฮฮาปกติ สักพักน้องคนนึงก็ขึ้นจากน้ำ แต่ด้วยความที่นั่งห่างกันไกล เราก็ไม่สนใจ
สักพัก ได้ยินเสียงโดดน้ำลงไปอีกและคนเริ่มมามุงกันที่สะพาน เราก็รู้ได้เลยว่า คงมีเรื่องไม่ดีแล้ว
พี่คนนึงที่คณะเรา ก็ลงไปงมหาน้อง ลงไปไม่นาน พี่เค้าก็ขึ้นมา และทำสีหน้าไม่ดีเอามากๆ และบอกว่าไม่เจอน้อง ยังไงคงต้องเรียกกู้ภัยแล้ว พวกเราหากันเองคงไม่เจอ และพี่เค้าก็ขอตัวกลับเลย
คนอื่นๆก็เข้าใจนะ พี่เค้าคงหนาว คงไปเปลี่ยนเสื้อ หรือคงเสียใจหาน้องไม่เจอ (น้องที่จมอยู่คนละคณะ พี่คนนี้แค่พลเมืองดี)
มาทราบวันรุ่งขึ้นว่า!!
ตอนที่พี่เค้าดำลงไป ลืมตาในน้ำก็เห็นเป็นเหมือนรากต้นไม้ มีอะไรดำๆในนั้น และพอว่ายไปสักพัก มองไปรอบตัว พี่เค้าเห็นคนเป็นเงาดำๆ ไม่เห็นรายละเอียดหน้าตา แต่ที่เห็นชัดคือ "ดวงตาเหล่านั้น จ้องมาที่พี่คนนี้!!"
พี่เห็นท่าไม่ดีก็ขึ้นมาจากน้ำ ชอตที่ขึ้นมา ก็มองไปที่ริมสระ มีเงาดำๆจำนวนมาก นั่งยองๆมองพี่เค้าอยู่ พี่เค้าได้สติก็ขึ้นจากน้ำและขอตัวกลับเลย

ส่วนเพื่อนน้องคนที่ไปว่ายด้วยกัน (เพื่อนที่คณะเดียวกับน้องเล่าให้ฟัง)
บอกว่า วันนั้นเป็นวันเกิดของน้องคนที่เสีย พอกรึ่มๆได้ที่ ก็ชวนเพื่อนโดดน้ำตามประสาเด็กผู้ชาย แต่น้องคนที่เสียบอกว่า ไม่เอา ไม่อยากลงน้ำ เพื่อนก็เลยไม่ว่าอะไร จะไปชวนคนอื่น แต่แล้วก็ได้ยินเสียง ตู๊ม!! น้องคนนั้นโดดลงไปซะงั้น เพื่อนคนนี้เลยโดดตามและว่ายกันไป พอถึงจุดที่ว่าไกลแล้วจึงส่งสัญญาณบอกให้ว่ายกลับ น้องคนนั้นก็ว่ายกลับ แต่พอหันไปอีกที น้องคนนั้น ไม่ได้ว่ายตามมาแล้ว!
เพื่อนก็ตกใจมากรีบบอกให้พวกพี่ๆช่วย ให้ช่วยกันหา แต่ก็ไม่เจอ จึงต้องใช้บริการกู้ภัย
ตอนกู้ภัยมาถึง เราจึงชวนเพื่อนๆกลับ เพราะดูท่าไม่ดีแล้ว ดึกมากด้วย และถ้าเอาศพขึ้นมา เราคงหลอนหนัก เราก็เดินทางกลับ แต่ก็มีเพื่อนที่คณะบางคนยังอยู่ดูเหตุการณ์จนจบ และมาเล่าให้เราฟังค่ะ
กู้ภัยมาถึง ก็ลงงมหาน้อง งมจนทั่ว เพราะจริงๆแล้ว สระก็ไม่ได้ใหญ่มากและเป็นสระปิด งมอยู่นาน งมเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนมีพี่คณะเรา (อีกแล้ว) บอกว่า "คงต้องไปขอศาลคณะแล้วแหละ" เพราะบริเวณนั้นอยู่ใกล้กับตึกคณะเรา และศาลคณะเรามาก และศาลคณะเราเป็นศาลเก่าแก่ดั้งเดิม พี่ๆจึงไปไหว้ขอกัน
และได้ผลจริงๆ!!

พอพวกพี่ๆไหว้กันเสร็จ ก็เดินออกจากบริเวณศาลเพื่อจะกลับไปยังที่เกิดเหตุ ซึ่งจากตรงนั้น สามารถมองเห็นได้ พี่เค้าก็มองๆไป และสุดท้ายก็สะดุดตรงที่ เห็นมีคนนั่งอยู่บนกังหัน เอ เรียกว่ากังหันรึเปล่า เป็นเหมือนที่ตีน้ำเพื่อให้น้ำมีอ็อกซิเจนอ่ะค่ะ เรากับเพื่อนๆเรียกว่ากังหันชัยพัฒนา
พอพี่เค้าเห็นคนนั่งอยู่ ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นวิญญาณน้อง จึงบอกกับกู้ภัยว่า ให้ไปงมแถวๆนั้นใหม่ "แล้วก็เจอจริงๆ"
ก็นำศพน้องขึ้นมาอย่างง่ายดาย แต่เรื่องที่สยองกว่าคือเรื่องต่อจากนี้ค่ะ!!

ด้วยที่วันเกิดเหตุคือวันเกิดน้องด้วย ทุกคนก็พูดไปต่างๆนานาว่ามันน่าจะมีอะไร
และเมื่อคนปั่นจักรยานผ่านแถวๆนั้น ก็มักจะเห็นน้องนั่งอยู่บนกังหันค่ะ
ช่วงนั้น สะพานนี่โล่งเลย ไม่มีใครกล้าไปนั่ง
ต่อมา พ่อ-แม่ของน้องจึงนำพราหมณ์มาทำพิธีเชิญวิญญาณน้องกลับบ้าน
แต่ทุกคนก็ต้องขนลุกกับสิ่งที่พราหมณ์พูด!!!

พราหมณ์บอกกับพ่อ-แม่ของน้องว่า
"น้องคงกลับบ้านไม่ได้ คงต้องอยู่ที่นี่"
พ่อ-แม่ของน้องก็ไม่เข้าใจ ว่ามันมีอะไร ทำไมถึงจะเชิญกลับไปไม่ได้
พราหมณ์จึงแจ้งว่า
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
"น้องเคยสัญญากับผู้หญิงคนนึงที่วังแห่งนี้ไว้ว่า 'จะอยู่ด้วยกันตลอดไป' แต่ตัวน้องเค้าเองหนีไปเกิด พอได้กลับมาที่นี่อีก ผู้หญิงคนนั้นจึงขอทวงสัญญา และให้น้องอยู่ด้วยกันซะที่นี่"
คุณพ่อ-แม่น้อง ทำยังไงต่อไป เราก็ไม่ทราบนะคะ และอีกอย่างคือ ตอนพบศพน้อง กางเกงยีนส์ของน้อง ถลกมาอยู่ตรงข้อเท้า เหมือนมีคนดึงกางเกงน้องไว้ค่ะ
เค้าก็เลยเชื่อกันว่า ผู้หญิงคนนั้นคงดลใจให้น้องลงไป และไม่ได้กลับขึ้นมาอีก และวิญญาณก็ได้อยู่คู่กันค่ะ

จริงๆหลังจากน้องเสีย ช่วง 3 วันแรก น้องยังไปหาเพื่อนๆอยู่เลยค่ะ เด็กๆหลอนกันใหญ่โต!!!
เดี๋ยวมาเล่าต่อค่ะ

หลังจากน้องเสียชีวิต เพื่อนของน้องซึ่งเป็นรูมเมทกัน ก็ต้องอยู่ที่หอเพียงคนเดียว คืนหนึ่งน้องเค้ากลับไปที่ห้อง พอเปิดห้องปุ๊บ
เห็นเลยค่ะ เห็นน้องคนที่เสียนั่งก้มหน้าอยู่ที่ปลายเตียง น้องก็ตกใจปิดประตู แล้วก็เปิดไปดูอีกทีเพื่อความมั่น คราวนี้เปิดไป
"น้องไม่อยู่แล้ว"
เพื่อนก็สบายใจ คิดว่าหลอนไปเอง
แต่พอทำอะไรเสร็จไปนั่งที่เตียง "ปลายเตียงเปียกน้ำ"
น้องเค้าเลยมั่นใจว่า เพื่อนคงมาหาจริงๆ

ส่วนน้องๆหอใน(ชาย) ก็โดนกันใช่ย่อย น้องเค้าคงอยากไปเยี่ยมเพื่อน ประกอบกับ น้ำจากสระที่น้องจม ก็มีปลายทางอยู่บริเวณนั้น
น้องจึงไปปรากฎตัวให้เพื่อนๆเห็น จนน้องๆหอใน ถึงขั้นต้องลงมานอนรวมตัวกันล่างหอกันเลยทีเดียว ลงมากันเยอะมากเพราะกลัวน้อง

ส่วนตัวเรา ก็เจอเรื่องแปลกๆ แต่เราคิดว่าอาจเกี่ยว หรือไม่เกี่ยว
หลังจากได้ยินเรื่องนั้น เรื่องนี้ถี่เข้า เราก็เริ่มหลอน เพราะเราอยู่ในเหตุการณ์ แถมสอดรู้สอดเห็นถามคนนั้นคนนี้ให้เล่าให้ฟัง ประกอบกับมั่นใจว่าน้องคงยังอยู่ใน มหาลัย
เช้าวันหนึ่ง เรานอนๆอยู่ในหอ ก็ได้ยินเสียงนกร้องจิ๊บๆ เราก็ไม่สนใจ สักพักได้ยินเสียง"พรึ่บ"
คือหอเราลมดี เราจึงเปิดประตูหลังห้องไว้ และปิดไว้แต่มุ้งลวด
เสียงนั้นคือเสียงมุ้งลวดเปิด แล้วก็มีนกกระจิบ 2 ตัวบินเข้ามาในห้อง ตอนนั้นสลึมสลือ ก็ลืมตามามอง นกก็เหมือนบินคุยกัน วนไปวนมา
เราก็แอบรำคาญว่า เข้ามาร้องทำไมจะนอน แป๊บนึง ก็ได้ยินเสียง "พรึ่บ" แล้วเสียงนกก็เงียบไป
พอได้สติ เราก็มานั่งคิด นกผลักมุ้งลอดเปิดได้ยังไง? เพราะมันมีเหมือนที่ยึดเอาไว้ ซึ่งต้องใช้แรงผลักถึงเปิดออก
และมันบินออกไป แถมประตูปิดกลับมาแบบเดิมได้ยังไง?
จนถึงตอนนี้ เราแอบคิดนะ ว่านกคือ 2 คนนั้นรึเปล่า เค้าได้อยู่ด้วยกันแล้วรึเปล่า แล้วคือเราอยากรู้มาก เค้าเลยมาให้เห็นรึเปล่า

เรื่องนี้จบตรงนี้นะคะ แต่ยังมีอีกเรื่องที่ลึกลับเหมือนกัน
เรื่องโรงละครเก่า ที่ถูกทุบ แต่!! ตอนจะทุบนี่ซิ เกิดเหตุการณ์ประหลาด!!

โรงละคร ขอเอ่ยชื่อเลยละกันนะคะ
โรงละครทรงพล ตั้งอยู่ใกล้ๆกับลานทรงพล ซึ่งเชื่อกันว่าคือลานประหาร
โปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟัง เรื่องนี้ อาจารย์ผู้อยู่ในเหตุการณ์ และรุ่นน้อง ร่วมเล่าให้ฟังค่ะ
โรงละครนี้ บอกตามตรงว่าเราเคยเข้าไปแค่ครั้งเดียว และตอนเข้าไป รุ่นพี่จะให้จุดธูปไหว้ก่อนเข้าค่ะ ซึ่งวันนั้นที่เข้าไป เมื่อตอนเราอยู่ปี 1 ก็มีพี่เชียร์คนนึง เห็นเหมือนมีคนยืนอยู่หลังฉากสีขาวๆในโรงละคร แต่ยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงมากๆ พี่เค้าจึงถามว่า การแสดงเนี่ย มีต่อตัวอะไรแบบนี้มั้ย? แต่ก็ได้คำตอบว่าไม่มี เราเป็นรุ่นน้อง พอทราบเรื่องนี้ เราก็ค่อนข้างกลัวโรงละครนี้นะคะ
แต่อยู่ๆไปก็ชิน เริ่มไม่คิดอะไร เดินผ่านลานทรงพลนี่วันละหลายๆรอบเลย แต่มาวันหนึ่ง ก็ได้มีข่าวว่า จะมีการทุบโรงละคร เพื่อสร้างเป็นตึกใหม่ พวกอาจารย์และน้องๆ เพื่อนๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรงละคร ก็เข้าไปร่วมทำพิธีกัน รวมถึงอาจารย์และน้องคนที่มาเล่าด้วย
น้องบอกว่า ก่อนเข้าไป อาจารย์ที่สอนเอกละคร (ถ้าจำไม่ผิด) บอกกับนักศึกษาว่า "ถ้าเกิดอะไรขึ้น ปล่อยไปตามสบายนะลูก อย่าฝืน"
ตอนแรก น้องก็ไม่เข้าใจ แต่พอได้ร่วมพิธีเท่านั้น เข้าใจแจ่มแจ้งค่า!!

เรื่องน้องที่จมน้ำเสียชีวิต เรามั่นใจว่า คงมีหลายๆคนที่อ่านกระทู้นี้ และอยู่ในช่วงเหตุการณ์นั้น
ถ้าใครมีข้อมูลเพิ่มเติม หรือทราบเรื่องราวลึกซึ้งกว่าเรา เสริมได้เลยนะคะ เพราะอย่างที่แจ้งไปแล้ว หลายๆเรื่อง (เกือบทั้งหมด)
คนอื่นเล่ามาให้เราฟังอีกทีค่ะ เราแค่มีส่วนร่วมเล็กๆๆๆๆๆ ถ้าข้อมูลผิดพลาดขอโทษด้วยนะคะ
บางคนถ้ารู้สึกว่าไม่เชื่อ ก็ถือเป็นความบันเทิงนะคะ ถือว่าเป็นตำนานในรั้งมหาลัยไปนะคะ จุ๊ฟๆ

วันที่ทำพิธี ก็มีทั้งนักศึกษาและคณาจารย์ร่วมพิธี และระหว่างที่ทำพิธีไปสักพัก ก็ได้เริ่มมีนักศึกษาลุกขึ้นมารำบ้าง ร้องเพลงไทยเดิมบ้าง บางคนก็สั่น บางคนก็ทำท่าทางแปลกๆ บางคนน้องผู้ชายถึงขั้นต้องวิ่งเข้าไปจับไว้ เพราะน้องดิ้นซะจนกระโปรงพลีตเปิด
คนที่รำ ก็รำสวยซะทุกคนอึ้ง อาจารย์บอกว่า เกิดมา ไม่เคยเห็นใครรำสวยและอ่อนช้อยขนาดนี้
คนที่ร้องเพลง ก็ร้องไพเราะ ถูกอักขระ และสำเนียงจับได้ว่าเหมือนคนโบราณ คนฟังก็รู้สึกขนลุกไปหมด ทั้งๆที่เพลงนั้นไพเราะจับใจ และที่แปลกคือน้องไม่ได้เรียนสายเกี่ยวกับขับร้องเลย แต่ก็พอเดาได้เนอะว่าไม่ใช่น้องร้อง

แต่แล้วก็มีน้องคนนึง พูดขึ้นมาว่า
"จักทำอะไร ทำไมไม่บอกกันก่อน"
อาจารย์จับสัญญาณได้ว่า คงไม่ใช่นักศึกษาแน่ จึงถามผู้หญิงคนนั้นว่า"เป็นใคร และต้องการอะไร หรือมีอะไรให้ช่วยหรือไม่"
ได้ความว่า ผู้หญิงคนนี้บอกชื่อ-นามสกุล (เค้าบอกชื่อจริงๆเลยค่ะ บอกตามตรง เราจำไม่ได้แล้ว ขอโทษด้วยนะ) เป็นนางรำในวังของรัชกาลที่ 6 และอาศัยอยู่ที่นี่มาเนิ่นนาน จนมาถึงวันนี้ เห็นว่ามีคนมาทำพิธีกันจึงรู้ว่า พวกตนจะไม่มีที่อยู่ จึงมาทักบอกเพื่อให้หาที่อยู่ให้ใหม่
"พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า ที่แห่งนี้หาที่อยู่ยากยิ่งนัก แม้แต่ตามต้นไม้ ก็มีผู้จับจองแน่นขนัดไปหมด หากเจ้าทุบที่นี่แล้วไซร้พวกเราทั้งหมดที่อยู่ในที่แห่งนี้ซึ่งก็แออัดมากแล้ว จักไปอยู่ที่ใดกัน หากเจ้าจักทุบที่นี่ เจ้าต้องหาที่อยู่ใหม่ให้พวกเราเสียก่อน"
(ไม่ทราบคำพูดที่แน่นอนนะคะ แต่รายละเอียดประมาณนี้ เราเลยเพิ่มอรรถรสด้วยการพิมพ์เป็นสำนวนโบราณ คงไม่ว่ากัน)
ที่หลอนคือ เค้าบอกว่าบนต้นไม้ ไม่มีที่ให้อยู่แล้ว มีวิญญาณอยู่เต็มไปหมด รวมถึงในโรงละครทรงพลนี้ด้วย!!

หลังจากนั้น อาจารย์ก็เจรจากับผู้หญิงคนนั้นจนตกลงกันได้ว่า จะเชิญวิญญาณเหล่านั้นไปอยู่ในห้องห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องโล่งๆ ผู้คนไม่พลุกพล่าน มีกำแพงสีขาวนวลๆ และใกล้ๆกัน มีบันไดสวยงาม

หลังจากนั้นก็มีการทำพิธีต่อจนเสร็จ แต่เราไม่ทราบรายละเอียดเพิ่มเติม เพราะคนที่เล่า ล้วนเล่าแต่จุดพีคของเรื่องเท่านั้น แต่เห็นว่าทุกอย่างกลับสู้เหตุการณ์ปกติดี

ส่วนชื่อของผู้หญิงคนนั้น ได้มีรุ่นน้องไปสืบหาในพระราชวังสนามจันทร์ และมีชื่อของผู้หญิงคนนั้นอยู่จริงๆ!! เพราะสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการใช้นามสกุลกันแล้ว จึงมั่นใจมากว่า ชื่อ นามสกุลที่ผู้หญิงคนนั้นให้ เป็นเค้าแน่ๆ
เค้ามีตัวตนอยู่จริงๆ!!

เรื่องโรงละครทรงพล ก็จบเพียงเท่านี้ค่ะ

แถลงการณ์ค่ะ
1.เรื่องที่ไปประสบมาตอน ม.5 ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง แต่ที่มีคนสังเกตุเรื่องรถทัวร์นั้น บอกตามตรงว่าจำจำนวนคันไม่ได้ค่ะ ความทรงจำคือรู้ว่ามีคันรุ่นน้อง และคันเรา แต่เราลืมเด็กอีกห้องที่ไปด้วย ที่ท้วงเรื่องจำนวนรถ เราคงจำผิดจริงค่ะ สรุปรถไป 4 คันค่ะ คันละ 2 ชั้นปี ขอบคุณค่ะ
2.เรื่องน้องจมน้ำ เป็นเรื่องแต่งค่ะ แต่ เบสออนทรูสตอรี่ เพื่ออรรถรส คือจริงๆตั้งกระทู้ไม่คิดว่าคนจะมาสนใจอ่านค่ะ ขอโทษด้วย
แต่เหตุการณ์วันนั้น มีคนเสียจริง และทุกอย่างที่เราเล่า เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ค่ะ แต่เป็นเพื่อนที่คณะ และเราเอาเรื่องมาปะติดปะต่อ เรียบเรียงใหม่เอง
จริงๅน้องไม่ได้ดื่มค่ะ และไม่ได้โดดจากสะพาน น้องโดดจากศาลา และกางเกงอยู่ครบ ไม่ถลกอยู่ที่ข้อเท้า(มีคนบอกมา ซึ่งจริงๆเราก็ฟังเค้ามาว่าถลก)
ส่วนเรื่องที่ไปขอศาล คือศาลคณะอักษรค่ะ รุ่นพี่อักษรบอกมาค่ะ และเชื่อมาตลอดว่าจริง
และเรื่องพี่ผู้ชายอักษรลงไปงม และเจอเงาดำๆ เราก็ได้ยินมาอย่างนั้นจริงๆค่ะ และเชื่อมาตลอดว่าจริง ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้เช่นกัน
เรื่องน้องนั่งบนกังหัน และไปหาเพื่อน ไปหาเด็กหอใน ก็ยืนยันว่าได้ยินมาจากปากพวกรุ่นน้องผู้ชายค่ะ
แต่งอย่างเดียวคือตอนเริ่มเรื่องจนถึงเหตุการณ์เสียชีวิตค่ะ หลังจากนั้นยำๆเอาเรื่องที่เคยได้ยินมาและเชื่อว่าจริงมาตลอดมาเล่าค่ะ
ขอโทษทุกท่านค่ะที่แอบแต่งเอาอรรถรส
3.โรงละครทรงพล ไม่แต่งเพิ่มค่ะ ถอดมาจากที่อาจารย์และน้องเล่ามาล้วนๆค่ะ และเชื่อมาตลอดว่าจริง

ขอโทษและขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

พอดีมีคนขอให้เล่าเพิ่มค่ะ ทั้งๆที่กระทู้นี้ ก็ปาไป 3 เรื่องแล้ว ไหนๆก็ไหนๆ ขอแชร์ประสบการณ์หอในนะคะ เหมือนเดิมค่ะ เป็นแค่ประสบการณ์หลอนๆนะคะ ใครคาดหวังผีแบบแลบลิ้น ยกหัวใส่ผ่าน เรื่องนี้ไม่มีนะคะ
มาเริ่มกันเลยค่ะ
แก๊งค์ของเรา มีกันอยู่ 6 คนค่ะ 3 คนอยู่หอใน 3 คนอยู่หอนอก และคนละหอคนละห้อง แต่เนื่องด้วยหอในอยู่ใน ม.และใกล้กับโรงอาหารแห่งหนึ่ง ช่วงปี 1 พวกเราจึงชอบมาแฝงตัวกันอยู่ในหอใน (เพื่อนอยู่หอในแค่ปีเดียว)
คุณป้าคุมหอนี้ จากที่คนอื่นๆบอกมาคือ แกเคร่งกฎระเบียบและโหดที่สุดแล้ว เวลาเรากับเพื่อนๆเดินเข้าไป แกก็จะจ้องหน้าและบอกว่า 3 คนนี้ไม่ได้อยู่หอนี้ แต่พอหลังๆ แกก็เริ่มชิน แต่เราก็ต้องกลับไปนอนที่หอนะ ตามกฎของหอ แต่เราจำแบบเป๊ะๆไม่ได้ อาจจะนอนได้แต่ต้องทำเรื่อง
มีวันหนึ่งช่วงสอบ และกำลังจะจบปี 1 แต่เรายังไม่เคยมีประสบการณ์นอนหอในเลย และเพื่อน 3 คนย้ายออกแน่ เราว่าช่วงนี้แหละ เหมาะที่สุดแล้วที่จะมาลองสักครั้ง และครั้งเดียว ก็เจอดีได้นะคะ

วันนั้นที่จะเข้าไปนอนหอใน บอกตามตรงว่ากลัวป้ามากกว่าผี และลืมเรื่องผีไปสนิท ในใจคิดแค่ว่า นอนสักครั้งจะได้เอาไปเล่าให้ลูกให้หลานฟังได้
พวกเราต้องวางแผนกันว่าจะเข้าไปยังไงให้ป้าไม่รู้ และก็ค้นพบหนทาง หอในแห่งนี้ จะเป็นหอ 2 หอติดกัน โดยมีห้องน้ำของทั้ง 2 หอเป็นตัวขั้นกลาง (จากบนหอนะคะ) หลังห้องน้ำจะชนกัน และฝ้าเพดานเป็นแบบเปิดโล่ง คือถ้าเราคุยกันหอฝั่งนี้ คนอยู่ในห้องน้ำอีกฝั่งก็ได้ยินด้วย
เราก็ให้เพื่อน 2 คนที่อยู่หอใน ถือกระเป๋า(ที่ใส่เสื้อผ้ากับเครื่องใช้ส่วนตัวมา) ถือไปรอที่ห้องตามปกติ ส่วนคนที่อยู่หอในคนที่ 3 เดินไปเป็นเพื่อนเรา กับเพื่อนอีกคน ไปที่อีกหอนึงที่ติดกัน โดยคนคุมหอนั้นปล่อยให้เราเดินเข้ามาแบบชิวๆ แต่เราก็ตื่นเต้นนะ กลัวโดนจับได้ สรุปวันนี้จะนอนกัน 5 คน อีกคนในแก๊งค์ไม่ได้มาร่วมกระบวนการ
เราใช้วิธีปีนตรงอ่างล่างหน้าซึ่งมีช่องที่คนพอผ่านไปได้ ปีนค่อนข้างลำบากนิดนึง แต่เราก็ไม่ย่อท้อ (ไม่แน่ใจนะคะว่าปัจจุบันหอในเป็นยังไง ยังมีรูอยู่มั้ย)
ตอนปีนคนในหอก็มองนะ แต่คงเพราะความคะนอง ทำไปได้ไงยังไม่เข้าใจตัวเอง และเราก็ปีนโผล่มาอีกหอสำเร็จ ส่วนเพื่อนอีกคนก็ปีนตามมาติดๆ โดยมีเพื่อน 2 คนที่มาก่อนแล้วมายืนรออยู่
เพื่อนคนที่เป็นเด็กหอในคนที่ 3 ก็ปีนตามมาอีกคน คือจริงๆไม่ต้องปีน เดินไปขึ้นหอสวยๆก็ได้ แต่นะไหนๆก็ไหนๆ
เราก็ดี๊ด๊าดีใจ ทำสำเร็จ ได้นอนหอในแล้ว
ก็เริ่มด้วยการไปเข้าห้องที่คุ้นเคย นั่งกินขนม เม้ามอยด์ ตั้งท่าจะอ่านหนังสือ แต่ก็ไม่อ่านนะ และก็มีเพื่อนคนนึงบอกว่า "อาบน้ำกันมั้ย"
หอในนี่เป็นหอเก่านะคะ ยังไม่มีห้องน้ำในตัว ในห้องเป็นพัดลม เรากับเพื่อนอีก 2 คน ก็นำหน้าไปอาบกันก่อน
รู้สึกเหมือนมาเข้าค่ายค่ะ (น้ำในหออุ่นมากกก ทั้งๆที่เราคิดว่าจะเย็นเพราะไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น หรือเค้ามีตรงไหนเราก็ไม่รู้นะ)
น้ำอุ่นๆ ก็อาบเพลินเลยค่ะ เพื่อนก็อาบห้องใกล้ๆกัน มีเรากัน 3 ห้อง แต่เรามัวสระผม เลยช้ากว่าคนอื่นๆ เพื่อนก็ตะโกน ขอตัวไปห้องทีละคน
เพื่อนเรานุ่งผ้าถุง และไปแต่งตัวที่ห้องเพราะเค้าเป็นเด็กหอใน ทำกันจนชิน ส่วนเราใช้วิธีพาดเสื้อผ้าไว้รอใส่ในห้อง เราเขิน
พอเพื่อนไปหมด ก็เราอยู่เพียงลำพัง สักพัก ก็ได้ยินเสียงคนเดินมา (ใส่รองเท้าแตะ) เราก็คิดว่าเพื่อนที่เหลือ ก็ตะโกนเรียกชื่อเพื่อน
เงียบค่ะ ไม่มีเสียงตอบ เราก็ "อ่อ สงสัยคนอื่น ชั้นนี้มีหลายคน"
เราก็ตะโกนไป "ขอโทษค่ะ คิดว่าเพื่อน"
เสียงก็ยังเงียบ แต่เป็นเสียงเดินเข้ามาที่ห้องน้ำข้างๆแทน เสียงปิดประตู และมีเสียงเปิดน้ำ
ตอนนั้นเราถึงขั้นตอนแต่งตัวแล้วค่ะ และเราใช้สบู่ร่วมกับเพื่อน เพื่อนก็ตั้งสบู่ไว้ระหว่างห้องน้ำ 2 ห้อง เราใช้คนสุดท้าย ก็ต้องเป็นคนเก็บค่ะ แล้วยังกะพลอตหนังผี เอื้อมมือไปหยิบแล้วขวดสบู่ตกแปะ ไปห้องข้างๆที่มีคนอยู่
"ขอโทษค่ะ"
เสียงก็เงียบ ไม่ตอบรับ เสียงน้ำก็ค่อยๆเบาลง แล้วก็หยุด
"หยิบสบู่ให้หน่อยได้มั้ยคะ?"
เงียบอีก เราก็เปิดประตู
คือตกใจสุดขีด!!
ห้องข้างๆไม่มีคนค่ะ หรือเค้าไปตอนไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูด้วยซ้ำ
เราก็แบบ เดินเข้าไปหยิบขวดสบู่ ห้องก็ไม่มีไอร้อนของคนเวลาอาบน้ำเสร็จนะคะ
แต่เราก็หลอกตัวเองว่า
"เค้าคงรีบไปอ่านหนังสือน่า"
แล้วเพื่อนก็โผล่มาค่ะ เราสะดุ้งสุดตัว เพื่อนก็สะดุ้ง ถามว่าเป็นอะไร เราก็บอกว่าเปล่าๆ รีบอาบนะ จะได้ไปอ่านหนังสือ

แล้วเราก็ไปนั่งหลอนอยู่ในห้องกับเพื่อน อีก 2 คน แต่เราไม่เล่าอะไรนะ ก็นั่งเป่าผมกับพัดลมตั้งพื้นที่เพื่อนเอามาไว้ในหอ

เราก็นั่งคิดๆๆๆๆ แต่ก็คิดไม่ออก ว่าจะเป็นไปได้ยังไง
แล้วคืนนี้"จะรอดมั้ย?"

พอเพื่อนๆอาบน้ำกันเสร็จ เราก็อยู่กันพร้อมหน้า 5 คน เนื่องด้วยวิชาที่จะสอบเป็นวิชาเรียนรวม เราเลยอาสาอ่านให้เพื่อนๆฟัง เพื่อนๆก็นั่งฟังแบบตั้งอกตั้งใจ แต่ก็มีกินขนม และนอนกับพื้นไปด้วย โดยเรานั่งขัดสมาธิบนเตียง
เราก้มหน้าก้มตาอ่านสักพัก ก็ได้ยินคนพูดว่า "หยุด" แต่เบาๆนะ
เราก็เงยหน้าบอกเพื่อนว่า "เอาให้จบหน้านี้ก่อน"
เพื่อนก็มองหน้าเราแบบ งงๆนะ เรามารู้ทีหลังว่า วันนั้น ไม่ได้มีใครบอกให้เราหยุด เพื่อนยัง งง ว่าเราพูดขึ้นมาทำไม
พออ่านจบหน้า เราก็หยุดอ่าน และถามลอยๆว่า "จะอ่านแทนหรอ?" เพราะเราไม่รู้ว่าใครที่บอกให้หยุด และแปลกใจมากว่า ทำไมเราไม่เอะใจสักนิด "ว่านั่นไม่ใช่เสียงเพื่อน"
เพื่อนก็ส่ายหัว และบอกให้เราอ่านต่อ
เราก็ งง ว่า "แล้วจะให้หยุดทำไม"
ดีนะที่ตอนนั้นไม่ถามว่าใครพูด ถ้ารู้ว่าเพื่อนไม่ได้พูด คงเผ่นตั้งแต่ตอนนั้น
อ่านสักพัก พวกเราก็ไม่ไหวกันแล้ว เลยตัดสินใจว่านอนก่อนดีกว่า เพราะจริงๆ พรุ่งนี้ก็ยังไม่ได้สอบ เราก็ไปแปรงฟัน และเข้าห้องน้ำพร้อมเพื่อนๆ โดยไม่ห่างจากกันเลย ยังแอบหลอนๆอยู่
และพอถึงเวลานอน เราเป็นผู้มาเยือน เลยต้องนอนที่พื้น แต่ก็มีเหมือนถุงนอนมาปูนะคะ เพราะพวกเพื่อนๆชอบนั่งเล่นที่พื้นกันอยู่แล้ว
นอนไปแป๊บนึง เราก็ได้กลิ่นขี้หมูค่ะ แต่มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพื่อนๆบอกว่าขี้หมูมักจะมาราวๆตี 2 (ตอนเราไปอ่านหนังสือโต้รุ่งที่ตึกมัณฑนศิลป์ เราก็เคยได้กลิ่นมาแล้ว)
เราก็คิดว่า เผลอแป๊บเดียว ตี 2 แล้ว
พอนอนสักพัก กลิ่นมาอีกแล้ว แต่คราวนี้ กลิ่นหอมๆค่ะ หอมจนฉุน มั่นใจว่าไม่ใช่ขี้หมู เราก็แบบว่า กลิ่นอะไร แรงมากกก ก็เริ่มคิดๆแล้วว่า "หรือจะโดน!!!"

ปกติเราเป็นคนสวดมนต์ทุกวัน แต่วันนั้นมนต์ก็ไม่ได้สวด เพราะพวกรุ่นพี่เล่าๆประวัติไว้ว่าสวดแล้วเค้าไม่ชอบ บวกกับเรายัง ปี 1 เชื่อหมดแหละก็เลยไม่สวดซะเลย (แต่ตอนนี้ก็มีบางเรื่องที่เชื่อ บางเรื่องที่ไม่เชื่อ)
สักพัก ได้ยินเสียงเพื่อนขยับตัวแรงๆ เราก็คิดว่า เออ มันคงได้กลิ่นเหมือนเรา
เราก็ยกหัวขึ้นมามองว่าคนไหน
(เรานอนพื้นคนเดียวค่ะ เพื่อนอีกคนไปนอนเบียดกับเพื่อนบนเตียง เราเป็นคนนอนดิ้นเลยต้องแยกตัว)
แต่เราสายตาสั้นค่ะ 500 แว่นก็ไม่ได้ใส่ ก็เห็นเป็นเงาๆ บนเตียงชั้น 2 เหมือนคนลุกขึ้นมานั่ง เราก็รู้ตัวละ ว่าเพื่อนคนไหน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเค้าเห็นเรามั้ย เพราะเรามองไม่ชัด ไม่รู้องศาหัวเค้าหันทางไหน
เราก็อุ่นใจ ว่ายังมีเพื่อนตื่นอยู่ เราก็ล้มตัวลงนอน
แล้วก็ได้ยินเสียงเหมือนคนขยับตัวจากเตียงแต่เบามาก ตอนนั้นเดาว่าคนบนชั้น 2 นั่นแหละ และตามด้วยเสียงเดินบนพื้นเบาๆ ตึก ตึก ตึก เราก็คิดว่าเพื่อนเดินไปห้องน้ำ ก็ไม่ได้สนใจ นอนหลับตา และใจชื้นเพราะยังมีคนตื่นเป็นเพื่อนเรา
แต่เสียงนั้นเดินเลยเราไป เหมือนไปที่ประตู และก็หยุด ไม่มีเสียงเปิดประตู และไม่มีเสียงเดินกลับไปที่เตียง
ตอนแรก เรารอลุ้นว่าให้มีเสียงเทน้ำดื่ม หรือรื้อหาของอะไรก็ได้ ที่แสดงให้รู้ว่าเป็นเพื่อนเราเดินไปและทำภารกิจในห้อง จึงไม่เปิดประตูเพื่อไปห้องน้ำ หรือถ้ามันเปลี่ยนใจไม่ไป ก็ขอให้เดินกลับมา
แต่เปล่าเลย เสียงหยุดลงตรงนั้น และไม่มีเสียงอะไรเพิ่มเติม เราก็หลับตาปี๋ ภาพหนังผีที่เคยดูเข้ามาในหัว
รู้แค่ว่า ถ้าลืมตา เค้ามายืนที่ปลายเท้าแน่ ถ้าร้ายแรง คงมานั่งทับอก เราเลยตัดสินใจนอนตะแคง แบบว่าคิดไปเองว่าผีจะอำไม่ได้ เราก็นอนตะแคงค้างอยู่แบบนั้น นอนฟังเสียงรอบๆ แต่ทุกอย่างเงียบ ดูปกติดี ได้ยินก็แต่เพียงเสียงพัดลม เราก็กลั้นใจนอน และพูดในใจว่า
"ถ้าหนูลบหลู่ หรือทำตัวไม่ดี พูดจาไม่ดี เข้ามาที่แห่งนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต หนูขอโทษ อย่ามาให้หนูเห็น สัมผัส หรือได้กลิ่นอีกเลยนะคะ หนูขอโทษค่ะ ขอให้บุญบารมีที่หนูทำมาคุ้มครองหนูด้วย"
แล้วเราก็หลับตาปี๋ เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ แล้วเราก็หลับไป มารู้ตัวอีกทีก็ตอนเช้าแล้ว
พอตื่นมาเห็นแสงสว่าง บอกตามตรงว่าดีใจมากกกกกกก รู้สึกใจชื้น และกระโดดขึ้นไปนอนบนเตียงกับเพื่อน และรอๆๆ รอจนกว่าพวกเพื่อนๆจะตื่น พอตื่นก็ไปแปรงฟัน ล้างหน้าพร้อมเพื่อน แต่ขอไม่อาบน้ำ โดยบอกเพื่อนว่า จะกลับไปอาบที่หอ แต่จริงๆคือ กลัวจะโดนอีกรอบ
พอเดินลงจากหอกัน ตอนนั้นก็สายแล้ว เราก็ลืมกลัวคุณป้าเฝ้าหอไปเลย มัวแต่คิดเรื่องเมื่อคืน
พอพ้นจากอาณาเขตหอมาได้ ก็ยิงคำถามใส่คนที่นอนเตียงบนว่าได้กลิ่นอะไรมั้ยเมื่อคืน และลุกขึ้นมานั่งทำไม เพื่อนก็บอกว่าเปล่า และเราก็ถามคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครได้กลิ่น เพื่อนก็บอกว่าคงกลิ่นขี้หมู แต่เรารู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่ และถามต่อว่ามีใครลุกไปห้องน้ำมั้ย ทุกคนก็ยืนยันว่า"ไม่"
แต่ก็คิดในแง่ดี ว่าเพื่อนคงละเมอลุกขึ้นมานั่ง
และปลอบใจตัวเองว่าคงเป็นเสียงห้องข้างๆเดิน แล้วเราเผลอได้ยิน
ปัจจุบันก็ยังไม่รู้นะว่าเสียงใคร

จริงๆ เราอาจหลอนมโนไปเองทั้งหมดก็ได้เพราะบรรยากาศได้ หรืออาจเป็นห้องข้างๆ อันนี้ไม่รู้จริงๆ
แต่ถ้าเป็นสิ่งเล้นลับ คงเป็นเพราะเราเข้าไปแบบผิดๆ ไม่ได้รับอนุญาต แอบปีนเข้าไปด้วยความคะนอง

ปล.ประสบการณ์ส่วนบุคคล มาเล่าสู่กันฟัง ถ้าท่านใดไม่เชื่อ ถือว่าอ่านเพื่อความบันเทิงนะคะ

เรื่องเกิดขึ้นเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมานี้เองค่ะ เรากับพี่สาว เพื่อนพี่สาว และแฟนของเพื่อนพี่สาวไปเที่ยวทะเลกันที่ จ.ภูเก็ต
เราออกเดินทางกันสายๆเพราะจังหวัดที่เราอยู่ ก็ไม่ไกลจากภูเก็ตมากนัก ตอนไปถึงก็เป็นช่วงบ่ายๆ วันแรกเรากะจะกินบรรยากาศแบบวัยสาว เที่ยวดึกๆ (ดูฝรั่งหล่อๆ ล่ำๆ) ที่หาดป่าตอง จึงพักกันแถวหาดป่าตองเลยค่ะ
โรงแรมที่พักดูดี กว้างใหญ่ ข้างล่างมีนวดสปา ข้างๆกันมีร้านนั่งดื่มแบบโล่งๆ เดินไปไม่ไกลก็จะเจอห้างจังสีลอน และหากข้ามถนน เดินไปนิดนึงก็จะเป็นทางเดินลงหาด
เราพักกัน 2 ห้องค่ะ เรากับพี่สาว เพื่อนพี่สาวกับแฟน ห้องดูดีเลยหละค่ะ พื้นปูเป็นกระเบื้องไม่ใช่พรมจึงรู้สึกไม่อับ ห้องน้ำใหญ่โต เตียงใหญ่คิงส์ไซส์ แต่เสียอย่างเดียว รูปลั๊กมีแค่รูเดียวที่ว่าง และอีกรูคือรูที่เสียบทีวีอยู่
พอเข้าห้องได้ เราก็นัดแนะกันว่าจะนอนพักแป๊บนึง ชาร์จแบตโทรศัพท์หน่อย และจะไปเดินเล่นที่ชายหาด แอร์ในห้องค่อนข้างร้อน เพราะเป็นแอร์แบบที่แผงควบคุมแอร์ติดกับผนัง และใช้วิธีบิดองศาเพื่อให้เย็นขึ้น (พึ่งทราบจากพนักงานทีหลังว่าเราปรับสุดเกิน เครื่องเลยหยุดทำงาน งี้ก็มีด้วย)
พี่สาวเราชาร์จรูที่ว่างอยู่ ส่วนเราดึงปลั๊กทีวีออกและชาร์จของเรา และก็ยืนเล่นไลน์ เปิดเฟซเช็คอินนั่นนี่ว่ามาถึงแล้ว
ไม่นาน เพื่อนพี่สาว ก็มาเคาะประตู พอเราไปเปิดก็บอกว่า "แฟนพี่ แม่มนอนไปละ" และบ่นว่าแอร์ร้อน ของน้องร้อนมั้ย เราก็บอกว่าก็ร้อนนะ ควรจะเย็นกว่านี้ ระหว่างนั้นพี่เค้าก็เดิน และก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่หน้าโต๊ะทำงาน และพี่เค้าก็บ่นนั่นนี่ เม้ามอยด์กับพี่สาวเรา
ตอนนี้ตำแหน่งก็คือ พี่สาวเรานั่งอยู่ริมสุด ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์บนเก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้งที่ไม่มีพนักพิง และเงยหน้ามาบ้างประปราย
เพื่อนพี่สาวนั่งตรงกลางบนเก้าอี้มีพนัก (โต๊ะทำงาน กับโต๊ะเครื่องแป้งติดกัน) และก้มเล่นโทรศัพท์ และเงยบ้างเช่นกัน เพื่อเม้าให้ได้อรรถรส
เรายืนหลังพิงกำแพง ก้มเล่นมือถือเหมือนกัน แต่ไม่เงย เพราะไม่ค่อยได้สนทนากับเค้า ก็แค่ฟังๆ
สักพัก ก็ได้ยินเพื่อนพี่สาวบอกว่า "นี่ๆ มาดูนี่ซิ เนี่ย สวนน้ำที่เราจะไปเที่ยวพรุ่งนี้ ก็ดูเหมือนใหญ่นะ แต่สู้ไอสวนน้ำหัวหินไม่ได้ ทริปหน้าเนอะ"
เราก็ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่อไป เพราะเม้าติดพันกับเพื่อน
ส่วนพี่สาวเราก็ดูไม่สนใจเพราะเราไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากนาง (นางบอกว่า เงยมามองแว่บนึง)
แล้วเพื่อนพี่สาว (เริ่มขี้เกียจพิมพ์ สมมติว่าชื่อ ณี)
พี่ณีก็สะดุ้ง แล้วหันมาถามเราว่า "นี่น้องปุ้ม(สมมติว่าเราชื่อปุ้ม) เมื่อกี้ ได้มายืนข้างๆพี่มั้ย?"
เราก็ละหน้าจากโทรศัพท์ "ไม่นะ ก็ยืนตรงเนี้ย หน้ายังไม่เงยด้วยซ้ำ"
พี่ณี "เอาจริงๆนะน้อง? หรือว่ามุง?" และหันไปทางพี่สาวเรา (สมมติว่าชื่อแป้น)
พี่แป้น "กุเปล่า กุแชทเฟซอยู่ แต่ตอนกุเงยไปมอง กุเห็นน่าจะปุ้มอะ ยืนอยู่ข้างมุง"
เรา "เห้ย! เปล่านะ ยืนอยู่แต่ตรงนี้"
พี่ณี "เนี่ย เมื่อกี้เหมือนเดินมานะ แล้วมายืนตรงซ้ายมือพี่เนี่ย แล้วก็ชะโงกหัวมามองในมือถือ" พร้อมทำท่าทางประกอบ
เรา "ไม่เล่นนะพี่ ปุ้มยืนตรงนี้ไม่ขยับตัวเลยจริงๆ"
และเราทั้ง 3 คนก็มองหน้ากัน แบบรู้ตัวว่า อาจจะเจอตั้งแต่เริ่ม
จริงๆ พี่ณี เป็นคนมีเซนส์อ่อนๆ พี่เค้ามักจะเห็นหรือรู้สึกได้เป็นปกติอยู่แล้ว แต่!! นางพึ่งมาเฉลยเราตอนระหว่างนั่งรถกลับบ้าน
พี่แป้น จึงยิงคำถามต่อไป "ตอน สึนามิ ยิ้มซัดไปไกลแค่ไหนวะ?"
พี่ณี "ไม่รู้ว่าไกลแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ที่ป่าตองคนตายเกลื่อน"
เรา "นี่ หาดป่าตองไม่ใช่หรอพี่?"
พี่ณี "ก็ใช่ไงคะ น้องปุ้ม" (พี่เค้าจะพูดเพราะมากกับเรา แต่มุงกุ กับพี่เรานะคะ)
เรา "เอ่อ เราออกไปหาของกินหรืออะไรข้างนอกมั้ยพี่?"
พี่ณี "แฟนพี่มันยังนอนอยู่เลย สงสัยเมื่อกี้พี่เบลอ ช่างเถอะๆ ไม่มีไรหรอกน่า"
เราก็เริ่มรู้สึกไม่ดีละ แต่ดีนะเราไม่เห็น เราก็พยายามไม่คิด คิดว่าพี่เค้าคงเบลอและเล่นโทรศัพท์ต่อ แต่คราวนี้เสียงเม้าเงียบๆไป พวกพี่ๆบอกทีหลังว่า หาข้อมูลสึนามิกันอยู่ และไลน์หากัน ไม่เรียกแบบโจ๋งครึ่มแล้ว เดี๋ยวจะมีคนอื่นมาดูแทน
สักพัก เราก็ไปถอดคอนแทคพักสายตา เพราะคืนนี้คงอีกยาวไกล และก็ขอตัวไปนอน แต่นอนแบบไม่ห่มผ้านะคะ นอนบนผ้าห่มที่ดึงตึงๆ
และเราก็ฝันไป คือค่อนข้างคิดว่าฝันนะ

แต่คิดไปคิดมา ก็ไม่ฝันนะ แต่เหมือนปลอบใจตัวเองว่าฝัน เออ สับสนๆ
เอาเป็นว่า อ่านดูละกันนะ
ตอนเรานอน นอนได้สักพักนึง ก็รู้สึกเหมือนมีความเคลื่อนไหวในห้อง คือมีใครสักคนเดิน (ถึงไม่เห็น แต่เจนสัมผัสได้ค่ะ)
บอกก่อนคือเรานอนฝั่งขวาของเตียง และหัวเตียงจะมีโต๊ะเล็กๆ และโคมไฟ และถัดจากเตียงเราไปทางขวานิดนึง จะเป็นผนังห้องน้ำและมีระยะห่างระหว่างเตียงกับผนังห้องน้ำประมาณเท่ากับคนยืนชิดเตียงและยื่นแขนขวาไปที่ผนังห้องน้ำ ดังนั้นเตียงกับช่องว่างนั้นจึงห่างกันไม่มาก หากมีคนเดินมาใกล้ๆ เราจะมีความรู้สึกได้
เรานอนตะแคงขวา หันหน้าไปทางโคมไฟ และก็รู้สึกว่าคนที่เดิน เดินมาข้างๆเตียงฝั่งเรา (วันนั้นเราเอาเป้ใส่เสื้อผ้าวางที่พื้นข้างเตียง)
และเราก็รู้สึกเหมือนมีคนมายืน แบบยืนบังแสงจากโคมไฟ ประมาณว่า ถึงเราหลับตาเราก็ยังเห็นความสว่างในความมืด แต่นี่อยู่ดีๆก็มืด
เราคิดว่าพี่สาวคงมาเอาของในเป้ จึงหันหนีตะแคงไปอีกฝั่ง ทั้งๆที่หลับตา และก็รู้สึกเหมือนคนคนนั้นยืนค้างอยู่อย่างนั้น เราจึงพูดว่า "จะหยิบอะไรก็หยิบดิ ยืนอยู่ได้"
และก็รู้สึกแบบ ไอคนนั้นเหมือนก้าว หรือกระโดดหรืออะไรก็ไม่รู้ คือมันเร็วมากกกกก มาบนเตียงข้างเรา แบบรู้สึกเหมือนคนข้ามเรามาขึ้นเตียงอะค่ะ เราก็แบบ ลืมตาเลย เพราะคิดว่าพี่แกล้ง คือจะนอนก็ไปขึ้นอีกทางซิ ทางฝั่งตัวเองไรงี้ มาข้ามเราทำไม
เราก็แบบหงุดหงิดเลย กะว่าจะด่า
พอลืมตาเท่านั้นแหละ ข้างเตียงว่างเปล่า เตียงยังตึงเป๊ะ เหมือนไม่เคยสัมผัสมือชายใดมาก่อน เราก็แบบ ลุกพรึ่บจากเตียงเลย ลุกขึ้นมานั่งและแบบเห็นเงาลางๆดำๆในกระจกแบบ มั่นใจนะว่า ไม่ใช่เงาเรา แต่แบบแว๊บเดียวแล้วหายเลย เงานั้นเหมือนยืนอยู่บนเตียง คือเห็นแบบเป็นเงาดำ ยาวๆ (เรานอนปลายเท้าตรงกับกระจกโต๊ะเครื่องแป้งเลย)
พี่ณีกับพี่แป้น ซึ่งนั่งตำแหน่งเดิม คือเราเห็นทุกคนแบบลางๆนะ ไม่ได้ใส่แว่น แต่จำรูปร่างได้
พี่ณี "เป็นไรน้อง ฝันร้ายหรอ เห็นละเมอบ่นพึมพำ"
เรา "เมื่อกี้ มีใครเดินมาตรงนี้มั้ย?" พร้อมชี้ตำแหน่ง
พี่แป้น "ไม่ พวกชั้นก็นั่งกันตรงเนี่ย ทำไม แกมีไร?"
เรา "เอ่อ เปล่า แล้วๆ ชั้นนอนไปนานมั้ย?"
คือเราต้องการคำณวนว่าระยะเวลาที่เรานอน เป็นไปได้มั้ยที่จะฝัน
พี่แป้น "ไม่รู้หวะ ครึ่งชั่วโมงได้มั้ง แต่ไม่ถึง ชม. อะ"
เรานั่งตั้งสติ และบอกกับตัวเองว่ามันคือความฝัน เราหลอนไปเองจากที่พี่ณีพูดเรื่องเงา จริงๆคงไม่มีอะไร
จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เข้าใจ แต่ความรู้สึกนั้นชัดมาก ชัดแบบเหมือนเราตื่นมีสติ จนตอนนี้ ก็ยังจำความรู้สึกนั้นได้

ปล.เรารู้สึกโชคดีนะ เจอแต่เสียงตลอด ไม่เคยเห็นกับตา แต่เป็นไปได้ ขอไม่เอาแล้วนะคะ

ย้ำอีกครั้ง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟัง(อ่าน)
แต่นี่ยังไม่จบ ยังไม่ถึงตอนกลางคืนเลยยยย หึหึ

ระหว่างที่เรานั่งตั้งสติ พวกพี่ๆก็คงเห็นแล้วว่ามีอะไรแปลกๆ
พี่ณี "เอ้อ เรายังไม่กินข้าวเที่ยงกันเลย กินกันแต่ขนม พี่ว่า พี่ไปปลุกแฟนพี่ดีกว่า เราไปหาอะไรกินกันเนอะ แล้วไปถ่ายรูปแถวหาดกัน"
เรา "ดีค่ะพี่ หนูหิวพอดี" จริงๆคืออยากออกจากห้องเต็มที
พี่แป้น "เออๆ มุงไปปลุกแฟนไป กุแต่งหน้าเพิ่มก่อน 15 นาทีเจอกันห้อง กุ"
แล้วพี่ณี ก็เดินกลับห้องไป ส่วนเราก็อยู่กับพี่สาว
พี่แป้น "แก อย่าพึ่งเล่านะ" พี่สาวเรารีบห้าม
เรา "เออๆ ชั้นไปใส่คอนแทคก่อน แต่แกมาด้วยได้ปะ นะๆ"
จากเราไม่ค่อยพูดจากันดีๆ เพราะอายุไล่เลี่ยกัน กัดกันตลอด คราวนี้เราถึงขั้นพูดจาดีๆ ทำตัวน่ารัก พูดจาดี
พี่แป้น "เออๆ ทำหยั่งกับห้องน้ำอยู่ไกล ไปๆชั้นจะฉี่พอดี"
แล้วเรา 2 พี่น้องก็ไปห้องน้ำพร้อมกัน จากนั้นก็ออกมาแต่งหน้า และเราก็คิดถึงความรู้สึกนั้นไปด้วย ว่ามันฝันหรือจริง สักพักพี่ณีกับแฟนก็มาเคาะประตู เราถึงขั้นกรี๊ด เพราะตกใจ พี่สาวเราก็ตกใจไปด้วย
พี่แป้น "แม่ม กรี๊ดทำไม ตกใจหมด" บ่นไป นางก็เดินไปเปิดประตู
พี่ณี "เสร็จกันยังสาวๆ ไปกินกันๆ"
พี่ณีพยายามทำให้ร่าเริง เพื่อลดความกลัวของเรา และพวกเราก็ไปหาของกินกันในจังซีลอนและไปถ่ายรูปที่ชายหาด เดินเล่นกันจนฟ้าเริ่มมืด เราก็ตกลงกันว่าจะกลับไปพักที่ห้องกันก่อนเพราะคืนนี้ยังอีกยาวไกล และค่อยออกมาท่องราตรีตอน 4 ทุ่ม
พอไปถึงห้อง เราก็พยายามไม่คิดอะไร มีหวาดระแวงอยู่บ้าง แต่ทุกอย่างก็ดูปกติดี เราอาบน้ำ แต่งหน้าใหม่ ดูทีวี และพร้อมไปท่องราตรี สักพักพี่ณีกับแฟนก็มา
พวกเราเดินกันไป ไม่ถึง 5 นาที ก็ถึงบริเวณทางลงหาด (มีป้าย Patong Beach ใหญ่ๆ) ซึ่ง 2 ข้างทางมีร้านมากมาย หลายสไตล์ ฝรั่งดิ้นกันเมามันส์อยู่ในนั้น บอกตามตรงกลางคืนต่างจากเมื่อบ่ายมาก เราเดินกันไปจนเกือบสุดทาง และเดินกลับมาอีกรอบ เพื่อเลือกร้านที่โดนๆ (ถ้าใครคิดไม่ออก อารมณ์คล้ายๆข้าวสารค่ะ) มีทั้งคาบาเล่ย์ สาวรัสเซีย คนรูดเสา มากมายไปหมด เราจึงตัดใจเลือกร้านที่คิดว่าเพลงโดนที่สุด ซึ่งเป็นร้านดนตรีสดร้านหนึ่ง เพลงที่ร้องเป็นเพลงสากลแนวสนุกสนาน เราจึงตกลงเข้าไปในร้านนี้
เรานั่งกันตรงกลางพอดี ตรงกับเวที แต่เป็นแถวที่ 3 ซึ่งถัดจากทางเดิน (ถ้าหันหน้าเข้าร้าน และยืนอยู่ตรงทางเดินกลางร้าน เวทีจะอยู่ซ้ายมือ หน้าเวทีมีโต๊ะ 2 แถว และเว้นเป็นทางเดิน ถัดไปทางขวามือ มีโต๊ะอีก 2 แถวและหลังสุดเป็นโซนโซฟา)
พี่แป้น และพี่ณีนั่งหันหน้าทางเวที เรานั่งหันหน้าออกทางหน้าร้าน และเวทีอยู่ทางขวามือ ส่วนแฟนพี่ณีนั่งตรงข้ามกับเรา (แฟนพี่ณีเป็นผู้ชายนิ่งๆ พูดน้อย อะไรก็ได้ และมีหน้าที่ขับรถ พี่เค้าจึงไม่ค่อยจะมีบทบาท)
เราสั่งเบียร์มาหนึ่งทาวเวอร์ และดื่มกันอย่างเมามัน นักร้องบนเวที 4 คนก็ร้องเพลงได้ยอดเยี่ยม สนุกสนานซะจนฝรั่งในร้านลุกขึ้นเต้น โยกกัน ดิ้นกันมันส์ เราก็นั่งเต้นบนเก้าอี้อย่างสนุกสนาน แต่สิ่งที่เราสังเกตุได้คือ พี่ณีนิ่งมาก นิ่งซะจนเราตกใจ ตอนแรกเค้าก็ยังโยกๆอยู่เลย แต่นี่นิ่งขณะที่ทุกคนสนุกซะขนาดนี้ เราก็คอยเอนเตอร์เทนพี่เค้า จับมือยกไม้ยกมือพี่เค้า แต่พี่เค้าก็ยังนิ่งและบอกเราว่า "น้องสนุกเลย ไม่ต้องห่วงพี่ พี่แค่เพลียๆ" แล้วนางก็หลับตา แล้วเหมือนนอนหลับ คือเรานี่ งง คนอะไรหลับในผับ
เราเลยรู้สึกว่าพี่เค้าดูแปลกๆ แปลกผิดปกติ เราจึงไลน์บอกพี่สาวเราว่า ให้รีบดื่มๆให้หมดทาวเวอร์แล้วกลับกันดีกว่า และเราก็ส่งมือถือเราที่มีข้อความนั้นให้แฟนของพี่ณีอ่าน
พวกเรานั่งกันสักพักก็ชวนกันกลับไปที่ห้อง ก่อนถึงห้องก็แวะเซเว่น ตอนอยู่ในเซเว่น พี่ณีก็ดูปกติ ดูไม่เพลีย แต่เราก็ไม่คิดอะไรมากเพราะเรารู้สึกมึนๆ เพราะดันดื่มเบียร์เร็วและเยอะ พอไปถึงห้องก็รีบทำธุระอาบน้ำนั่นนี่และเข้านอน
แต่ก็ขอบคุณฤทธิ์แอลกอฮอล์นะ ที่ทำให้เราหลับซะลืมผี

แต่ความจริงที่พี่เค้ามาเล่าระหว่างทางกลับบ้านนี่ซิที่ทำให้เราตกใจ (พี่ณีมีจรรยาบรรณในการเจอผีมากนะคะ พอเราหลุดจากจุดนั้นมาไกลถึงค่อยเล่า ยิ้ม )
โปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟัง(อ่าน)
พี่ณีบอกว่า ระหว่างทางที่เดินไป ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนมากมาย เพลงจะดัง บรรยากาศจะสนุก แต่พี่ณีสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าของที่บริเวณนั้น รู้สึกว่ามีคนเจ็บปวด และได้ยินเสียงคนร้องไห้ระงม ปนมากับเสียงเพลง พี่ณีจึงรู้สึกหดหู่ แต่แกก็พยายามจะทำตัวให้สนุกปกติ (พี่ณีแกมีเซนส์เรื่องนี้ค่ะ)
แต่จุดพีคเลยก็คือ ตอนที่นั่งอยู่ในร้าน พอนั่งได้สักพัก แกก็มองนั่นมองนี่ เพราะในร้านมีแต่ฝรั่ง และพี่ณีแกเห็นคนคนนึงยืนอยู่(แกมองจากรูปร่าง ประเมิณว่าเป็นฝรั่ง) ฝรั่งคนนั้นยืนปะปนอยู่กับคนอื่นๆ แต่แปลกตรงที่เค้ายืนนิ่งๆ ไม่โยกไปตามเพลงแบบคนอื่นๆและยืนก้มหน้า แต่พี่ณีก็ไม่ได้สนใจและหันไปมองเวที แต่สักพักก็รู้สึกเหมือนมีคนจ้องมาที่แก แกจึงหันไปตามทางนั้น และสิ่งที่เห็นคือ ฝรั่งคนเดิมแต่คราวนี้เค้าหันหน้ามาและยืนจ้องพี่ณีจากระยะไกล พี่ณีจึงรู้สึกแปลกๆและสัมผัสได้ว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติแกจึงนิ่งไป และช็อตสุดท้ายเด็ดสุดคือ "พี่ณีเห็นฝรั่งคนนั้นมายืนอยู่มุมโต๊ะ ข้างๆเรา!!" แต่เค้ามาในสภาพที่โอเคนะ แต่แค่ดูซีดๆ พี่ณีบอกว่า ซีดเหมือนคนจมน้ำและโชคดี ที่เห็นแค่คนเดียวไม่มากันหลายคน (ดีนะเราไม่สัมผัสได้ ไม่งั้นคงวิ่ง และผีก็มายังกับพลอตหนังผี ค่อยๆขยับมา ดีนะไม่ขยับมาไวๆตามจังหวะไฟในผับ)
เค้ามายืนมองพี่ณี จนพี่ณีตัดสินใจแกล้งหลับกลางผับที่ผู้คนโหวกเหวกโวยวาย โดยบอกกับเราว่าเค้าเพลีย เราก็สงสัยอยู่แล้วว่า ทำไมพี่เค้ามานั่งหลับ ทั้งๆที่จริงๆ พี่เค้าเป็นคนจัดทริป และบอกว่าจะมาปล่อยแก่ด้วยการแด๊นซ์กระจายที่นี่
(หลังจากเราปลุกพี่เค้าจากการแกล้งหลับ พี่เค้าลืมตามา ก็ไม่เจอฝรั่งคนนั้นแล้ว)
หลังจากเราดื่มกันเสร็จและกลับห้อง เราปกติสุขดี แต่พี่ณีนี่ซิ!!!

ปล.พี่ณีสอนทริคการเจอผีมาว่า ให้แกล้งทำเป็นไม่เห็น ไม่กรี๊ด ไม่โวยวาย ทำเหมือนเค้าเป็นอากาศธาตุ และเค้าจะเลิกสนใจเราไปเอง แต่เราไม่รู้ว่าจริงมั้ยนะ ยังไม่เคยลอง ใครเคย บอกด้วยนะว่าได้ผลมั้ย

ต่อจากนี้ไปโปรดใช้วิจารณญาณอย่างหนักหน่วงนะคะ ความเชื่อส่วนบุคคล ผู้ประสบไม่มีพยานแวดล้อม
อะ มาเริ่มกันเลยค่ะ
ในขณะที่เรากับพี่สาวหลับสนิทตลอดคืน พี่ณีนี่ซิ ต้องเผชิญกับเรื่องลี้ลับเพียงลำพัง เพราะแฟนพี่เค้า สมมติว่าชื่อปุ๊ ก็หลับสนิทไม่แพ้เรา
คืนนั้นพอพี่ณีทำธุระทุกอย่างเสร็จ ก็เตรียมตัวเข้านอน แต่แล้วก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตู "ปัง ปัง ปัง"
พี่ณีคิดว่า เป็นเราหรือไม่ก็พี่สาวคงมายืมอะไร จึงเดินไปเปิด แต่พอไปเปิด ก็เจอแต่ความว่างเปล่า แต่พี่ณีก็คิดในแง่ดีว่า คงจะเป็นห้องตรงข้ามหละมั้ง จึงปิดประตูและจะเดินไปที่เตียง แต่ยังก้าวไม่ทันถึงเตียง "ปัง ปัง ปัง" เสียงเคาะมาอีกแล้ว ทำซะเอาพี่ณีสะดุ้ง แต่คราวนี้ พี่ณีไม่ไปเปิดทันที แต่มองผ่านตาแมว ที่ประตู แต่ก็ไม่เห็นใครเหมือนเดิม
พี่ณีเริ่มสัมผัสได้ว่ามีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นอีกแล้ว จึงรีบกลับไปที่เตียงเพื่อจะสวดมนต์นอน ระหว่างนั่งสวดอยู่ ก็รู้สึกเหมือนมีคนมานั่งอยู่ข้างๆ และสวดตามพี่ณี แต่เป็นเสียงเบาๆ งึมงำๆ เหมือนเสียงกระซิบ
พอพี่ณีสวดเสร็จ ก็ลืมตาและมองสำรวจโดยรอบ ขนแขนลุกไปหมดเพราะกลัวจะเห็นอะไร แต่ก็ไม่เจอใคร จึงรีบล้มตัวลงนอน และไม่นานก็มาอีกแล้ว ปัง ปัง ปัง แต่คราวนี้ กลับไม่ใช่เสียงประตูห้อง แต่เป็น"ประตูห้องน้ำ!!"
พี่ณี ใช้แนวคิดที่ว่า ทำเป็นไม่สนใจ เดี๋ยวเค้าก็ไปเอง จึงทำเป็นไม่ได้ยินและนอนต่อไป แต่พอนอนได้สักพัก เสียงก็มาอีก ปัง ปัง ปัง ดังอยู่หลายครั้งจนพี่ณีคิดว่า เฉยๆคงใช้ไม่ได้ในกรณีนี้
พี่ณีจึงบอกว่า "ต่างคนต่างอยู่นะ แล้วพรุ่งนี้จะทำบุญไปให้" พอสิ้นเสียง ก็มีเสียง "ปังๆๆๆ" ติดต่อกันรัวๆและทุกอย่างก็เงียบไป พี่ณีจึงคิดว่า นั่นคงเป็นสัญญานว่า เค้ารับรู้แล้ว
พี่ณีจึงนอนต่อ พี่ณีนอนค่อนข้างห่างจากพี่ปุ๊เพราะทั้งคู่ตัวค่อนข้างใหญ่ น้ำหนักรวมกันก็ร่วม 200 กิโล และอีกอย่าง แอร์ในห้องก็ร้อนมากกก ร้อนซะจนพี่ณีไม่อยากจะห่มผ้าด้วยซ้ำ
พอนอนไปได้สักพัก พี่ณีก็เริ่มรู้สึกอึดอัด เหมือนมีคนมานอนเบียดข้างๆ แต่ความรู้สึกคือ เหมือนคนๆนั้นไม่ได้เบียดมาจากข้างในผ้าห่มที่นอนร่วมกัน แต่เบียดมาจากข้างนอกผ้าห่มเพราะผ้าห่มยิ่งแนบชิดตัวพี่ณี แต่พี่ณีก็พยายามคิดว่า คงเป็นพี่ปุ๊ที่รู้สึกร้อนมากซะจนเลิกห่มผ้าแล้วมานอนบนผ้าแทน แต่แล้วพี่ณีก็ต้องรู้สึกตกใจมาก!!!!!

พี่ณีรู้สึกว่าอึดอัดมาก อากาศก็ร้อน แถมแฟนยังมานอนเบียดอีก พี่ณีจึงตัดสินใจที่จะผลักพี่ปุ๊ให้ขยับออกไป ทั้งๆที่หลับตาอยู่อย่างนั้น แต่พอสัมผัสกับร่างที่นอนอยู่ข้างตัว พี่ณีก็ถึงกับต้องรีบลืมตาขึ้นมาทันที เพราะร่างนั้นเย็นเฉียบ เย็นซะจน พี่ณีขนลุกและใจตกไปอยู่ที่ปลายเท้าทันที และรีบชักมือกลับ(พี่ณีเปิดไฟห้องน้ำทิ้งไว้ จึงมีไฟสลัวๆอยู่บ้าง)
พอลืมตาอัตโนมัติ ภาพที่เห็นก็คือ ชายคนเดิมในผับ นอนนิ่งหน้ามองมาที่พี่ณี พี่ณีก็ไม่เข้าใจ ว่าเค้าตามมาได้ยังไง และตามมาทำไม และไม่รู้ว่า เค้าใช่คนเดียวกับคนที่มาเคาะประตูมั้ย แต่คาดว่ามีสิทธิสูง เพราะพี่ณีดันไปเปิดประตูในตอนแรก เค้าคงเข้ามาตอนนั้น (ข้อสันนิษฐานจากพี่ณี)
พี่ณี ตะลึงกับภาพที่เห็น จะแกล้งทำเป็นไม่เห็น มันก็ไม่ได้แล้ว เพราะสัมผัสร่างเค้า และลืมตาตะลึงงันไปแล้ว พี่ณีจึงตัดสินใจสวดมนต์ สวดแบบตะกุกตะกัก สวดทุกบทที่คิดขึ้นได้ แต่เค้าก็ยังนิ่งเหมือนเดิม ไม่รู้เพราะเค้าฟังไม่เข้าใจรึเปล่า และพี่ณีก็ไม่ทราบวิธีไล่ผีฝรั่งจริงๆ ต้องใช้ไม้กางเขนหรือกระเทียมหรืออะไรรึเปล่า และถ้าบอกว่าจะตักบาตรไปให้ ผีศาสนาคริสต์ จะเข้าใจมั้ยและอยากรับรึเปล่า พี่ณีบอกว่าในหัวประมวลผลเร็วมาก คิดนั่นคิดนี่เยอะไปหมด เพื่อพยายามหาทางเอาตัวรอด แต่เค้าก็นิ่งอยู่แบบนั้น ไม่แลบลิ้น ไม่ขยับตัว เอาแต่นอนตะแคงสบตากัน หลับตา ลืมตา หลายรอบก็ไม่หายไปสักที
(บอกตามตรงนะ ตอนเราฟังพี่เค้าเล่า เราออกแนวขำมากกว่า ขำในความลนลานของพี่เค้า และตัวเราก็คิดภาพตัวเองที่เจอผีฝรั่งไม่ออกนะ ว่าจะเจรจากับเค้ายังไงดี เราไม่รู้จะเอาอะไรไปต่อรอง บุญหรอ ตักบาตรหรอ ผีฝรั่งมันจะรู้จักมั้ยอะ แต่ถ้าเราอยู่สถานการณ์นั้น เราก็คงขำไม่ออกเหมือนกัน)
อะ ต่อๆๆ
พี่ณีบอกว่า สุดท้ายก็ตัดสินใจ พูดภาษาอังกฤษซะเลย ภาษาสากลสุดแล้ว ฝรั่งมันคงเข้าใจ
พี่ณี "go go I don't let you stay here!"
แต่ เค้าก็ยังนิ่ง
พี่ณี "what do you want??"เค้าก็นิ่ง
พี่ณีเลยถือคติว่า "มุงไม่ไป กุไปเอง"

พี่ณีจึงลุกจากเตียงแต่ตาก็มองเค้านะ เตรียมจะวิ่งไปห้องเรา (ดีนะไม่มาห้องเรา เพราะเราหลับลืมโลกทั้งพี่ทั้งน้อง) คือพี่ณีกะจะทิ้งแฟนเลย เพราะเอาแต่นอนไม่รู้เรื่อง แต่พอพี่ณีคิดอีกทีว่าถ้าออกไปแล้วเจอเพิ่มจะทำยังไง หรือถ้าเราไม่เปิดประตู จะทำยังไง
พี่ณีจึงตัดสินใจจะอยู่ในห้อง แต่อ้อมไปทางเตียงฝั่งแฟนแทน (พี่ณีนอนตำแหน่งเดียวกับเราค่ะ ถ้าอ่านกระทู้ก่อนหน้าคงนึกออก)
แต่พอพี่ณีกำลังเดิน เค้าก็หายไป อยู่ๆก็หายไปเลย พี่ณีจึงรีบเบียดแฟนให้ไปกลางเตียง และตัวเองนอนที่แฟนแทน พอมองรอบๆว่าไม่มีเค้าแน่ๆแล้ว จึงรีบเปิดไฟทั้งห้อง(แผงไฟอยู่ตั้งหน้าห้องน้ำ ใจกล้ามาก) และปลุกแฟน แต่คือพี่เค้าดื่มค่อนข้างเยอะและคงเพลีย พี่เค้าแค่บ่นงึมงำๆ และโผกอดพี่ณีและนอนไปเลย พี่ณีก็รู้สึกแบบ ไม่ช่วยกันเลยปลุกไม่ตื่นจึงสะบัดแขนแฟนออก และพี่ณีก็ไม่รู้จะทำยังไง จะบอกพวกเราก็คงหลอนกันตายและก็ไม่รู้เราจะตื่นมั้ย (รู้นิสัยกันดี) พี่ณีจึงต้องช่วยเหลือตัวเองด้วยการหาบทสวดเป็นภาษาอังกฤษมาสวด (วันทา มารีอา เวอชั่นอังกฤษ) พี่ณีบอกว่า สวดหลายครั้ง จนจำได้เลยด้วยซ้ำ สักพักก็รู้สึกล้า เหนื่อย จึงดึงแขนแฟนมาโอบตัวเองไว้เพื่อความอุ่นใจ ทั้งๆที่อากาศก็ร้อนเหลือเกิน และไม่นานพี่ณีก็หลับไป มาตื่นอีกทีก็ตอนพี่แป้นโทรหาตอนเช้า
แต่เช่นเคย พี่เค้าก็ไม่เล่าว่าตัวเองเจออะไรมา พึ่งมาบอกกันก็ตอนอยู่บนรถขากลับบ้าน(น่ารักที่สุด)

เช้าวันนั้น วนกลับมาที่มุมมองเรานะคะ
เรากับพี่แป้น ก็ตื่นกันเพราะนาฬิกาปลุก พี่แป้นก็โทรไปปลุกพี่ณี และนัดแนะกันว่าจะเจอกันที่ลอบบี้ รร เพื่อกินอาหารเช้ากี่โมง และเราจะต้องไปสวนน้ำกันซึ่งต้องเดินทางเกือบ 45 นาที จะออกกันกี่โมง พอคุยกันเสร็จ ต่างคนก็ต่างทำธุระ ไม่นานพี่ณีกับพี่ปุ๊ก็มา แต่เรานี่ซิ ยังไม่เสร็จธุระเลย จึงให้พี่แป้น ลงไปพร้อมพี่ณีและพี่ปุ๊ก่อน ส่วนตัวเราก็อยู่จัดการธุระตัวเอง และก็มาอีกแล้วค่ะ
"ปัง ปัง ปัง" เราจึง เดินไปเปิดประตู เพราะคิดว่าพี่แป้นคงลืมอะไร (บอกตรงๆ ตอนนั้นลืมเรื่องผีไปแล้ว) พอเปิด ไม่มีใคร ก็มองไปห้องข้างๆ กะว่าอาจจะเสียงสะท้อนจากห้องอื่น แต่ข้างห้องทั้ง 2 ไม่มีใครเลย
เราก็คิดเลยทันที ว่างานเข้าแล้ว แก้มยังไม่ปัด  ปากยังไม่ทา อายไลเนอร์ยังไม่กรีด รีบออกจากห้องเลยค่ะ จริงๆออกไปก็กลัวเจอนะ แต่คิดว่า ตายดาบหน้าละกัน
ก็รีบวิ่งไปกดลิฟท์และมองรอบๆตัว โอเค ไม่มีใคร พอลิฟท์มา บอกตามตรง ตอนลิฟท์เปิด ระทึกมาก คิดในใจ ว่าอย่ามีอะไร อย่ามีใครนะ
พอเปิดมาก็ไม่มีค่ะ ก็โล่งอก พอเดินเข้าลิฟท์ก็ กดปิดๆๆๆๆ รัวๆค่ะ จังหวะนั้นคือถ้ามีใครตะโกนแทรกมาให้รอนี่ ก็เสียมารยาทแล้วค่ะ ยอมปิดลิฟท์ให้เค้าด่า
ตอนอยู่ในลิฟท์ เวลาแค่แป๊บเดียว แต่บอกตามตรง รู้สึกว่ามันนานมากก และภาวนาตลอดว่า อย่ามีใครกดระหว่างชั้นนะ และก็รอดมาด้วยดี
เราก็บอกพวกพี่ๆว่าเรากลัว ไม่กล้าอยู่คนเดียว สุดท้ายพอกินเสร็จเราก็ค่อยจัดการธุระ เช็คเอ้า และพร้อมจะไปสวนน้ำ
คืนที่ 2 เราจะไปนอนในเมืองกันค่ะ ไม่วกกลับมาป่าตองแล้ว บอกตามตรง โล่งมากกกกกกก
แต่ รร อีกที่จะมีอะไรมั้ยนะ???

เราพิมพ์เสร็จมาตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ไม่กล้าโพสต์ เพราะหากบรรยายถึงสถานที่ตั้งและสภาพแวดล้อมของ รร แล้ว อาจจะส่งผลกระทบต่อเจ้าของ รร ได้ค่ะ และจริงๆแล้ว พี่ณีไม่ได้เจอใน รร โดยตรงแต่เจอบริเวณนอก รร ค่ะ แต่ก็คงส่งผลกระทบต่อ รร อยู่ดีเพราะมันมีคีย์เวิร์ดบางอย่างอยู่ เอาเป็นว่า รร ดีมาก สวย กว้าง เจ้าของนิสัยดีค่ะ
ขอเล่าสั้นๆแค่ว่า
เราเข้าพักกันที่ รร แห่งหนึ่งและตกลงกันว่าจะออกไปดื่มกันที่ร้านที่มีชื่อแห่งหนึ่ง แต่พอโทรไปที่ร้านร้านกลับมีคอนเสิร์ตของนักร้องตลกใส่แว่นคนหนึ่ง จึงทำให้เราต้องเปลี่ยนเป้าหมายแต่ร้านที่เราไปก็สนุกดีค่ะ ระหว่างที่อยู่ในร้านพี่ณีดื่มน้อยสุดแกจึงอาสาเป็นคนขับ และพอเราขับรถใกล้จะถึงหน้า รร พี่ณีแกก็เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งนั่งบ้างยืนบ้างอยู่แถวๆริมถนนขอบทาง แกจึงตบไฟสูงใส่ แต่คนพวกนั้นดูไม่สนใจแกเลย ส่วนพวกเรา ก็งงกัน และถามพี่ณีว่า ตบไฟสูงทำไม ทั้งๆที่ตรงนั้นมันไม่มีอะไรเลย
เหมือนเดิมค่ะ พี่ณีเห็นในสิ่งที่พวกเราไม่เห็น แต่พี่ณีบอกว่า คนพวกนั้นเค้าคงอยู่แถวนั้นกันอยู่แล้ว พี่ณีคงบังเอิญไปเห็นเค้าเข้าเอง
ส่วนสาเหตุที่ทำให้พี่ณีมั่นใจว่าเค้าอยู่ตรงนั้นอยู่แล้วมันปรากฎให้เห็นตอนเช้าค่ะ ขอไม่เล่ารายละเอียดนะคะ
ปล.ขอ งด ดราม่าเรื่องประมาณว่าคิดพลอตต่อไม่ถูกหรืออะไรทำนองนี้นะคะ

แต่จะขอชดเชยความผิดครั้งนี้ที่เล่าแบบกั๊กๆ ด้วยการเล่าเหตุการณ์ที่ไปเจอใน โรงพยาบาลแทนนะคะ

เรื่องต่อไปนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ
ขอเท้าความถึงสาเหตุของการต้องไปโผล่ตึกอุบัติเหตุกลางดึกก่อนนะคะ
คือวันนั้นเราทำความสะอาดห้องน้ำในโรงเรียนที่เราสอนพิเศษ และบังเอิญเจอแมลงสาป 2 ตัว(ฟังดูไร้สาระนะคะ) เราจึงไล่มันด้วยน้ำ มันก็ไม่ยอมไป ยิ่งฉีดใส่มันยิ่งวิ่งพล่าน คือเราเป็นคนที่กลัวแมลงสาปมากๆๆๆ เราทำอะไรไม่ถูก ตีก็กลัวมันจะไต่กลับขึ้นมากับอุปกรณ์ที่ตี เราก็เริ่มเครียด เราไม่รู้จะทำยังไงดี และแล้วเราก็เหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่ง มันคือ "วิกซอล" เราจึงตัดสินใจคร่าชีวิตมันด้วย วิกซอล บอกตามตรง ภาพมันชักแหงกๆ หนวดขยับไปมา และค่อยๆหยุดนิ่ง ยังติดตาเราอยู่เลย เราก็คิดว่ามันคงแสบและทรมานมากซินะ
มาถึงตรงนี้บางคนคงสงสัยว่าเล่าทำไม คือมันความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ อันที่จริง เราเชื่อของเราอยู่คนเดียว คนอื่นบอกว่าเราเพ้อเจ้อ
ต่อนะคะ
พอเราสอนเสร็จ เราก็กลับมาเล่าเหตุการณ์ให้ที่บ้านฟัง ทุกคนลงความเห็นว่าเราโหดเหี้ยมเกินไป ตีมัน มันยังจะทรมานน้อยกว่า จึงให้เราแผ่เมตตาให้มัน เราก็เริ่มกลัวบาป ก็แผ่ไปหลายรอบมากกกก แผ่ๆไป ก็แอบมีคิดนะว่า จะมีวิญญาณอย่างอื่นที่ไม่ใช่แมลงสาปมารับด้วยมั้ย คือเวลาอ่านเรื่องผี คนชอบบอกว่าเวลาแผ่ จะมีคนมารับ เราก็คิดไปเรื่อยแต่เราก็แผ่ไป พอจบส่วนนี้เราก็ดูละครและข่าว ทำตัวปกติทุกอย่าง จนถึงตอนอาบน้ำ อยู่ดีๆ น้ำกระเด็นเข้าตา แต่เรากลับรู้สึกแสบมาก แสบแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เราจึงรีบเอาน้ำล้างตา มันพอทุเลาลงบ้าง แต่เราก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไร ก็เลยอาบน้ำต่อจนเสร็จ แต่ตอนเดินผ่านกระจกก็คิดว่า เอาวะ ดูหน่อยละกันว่าตาเป็นอะไรรึเปล่า
ปรากฎว่า "ตาขาวแดงก่ำ ขึ้นเป็นเส้นเลือด เนื้อตรงตาขาวบวมออกมาเหมือนเป็นวุ้นๆ เวลากลอกตาจนลูกตาชิดขอบเปลือกตาด้านข้าง เนื้อตาขาวจะนูนออกมา ซึ่งเราไม่เคยเป็นมาก่อน"
เรารู้เลยว่าคงไม่ดีแล้ว ต้องไป โรงบาลแน่ๆ และอีกใจก็คิดถึง"แมลงสาป" เราราดวิกซอลบนหัวมันด้านหน้าเลย มันก็คงแสบตาแบบนี้
เราก็คิดของเราไปเองว่าบาปกรรมชัวร์ ซึ่งคนอื่นๆบอกว่าเราเพ้อเจ้อ มันคืออุบัติเหตุและเพราะเราสะเพร่าตังหาก
เราก็ต้องให้พี่แป้น ขับรถไปให้เพราะตาข้างนึงเจ็บ แถมสายตาเรายังจะสั้นอีก ใส่แว่นก็ดูไม่ค่อยชัดแบบตาเดียว บอกตามตรงว่าเราคือคนตาบอดดีๆนี่เอง
พอไปถึง รพ เอกชนแห่งหนึ่ง เราก็ได้ที่จอดไกลลิบ พี่แป้นก็ไม่คิดจะปล่อยเราลงก่อน เพราะมันกลัวผีในรพ เพราะตอนไปก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว
เราก็เดินผ่านตึกหลักของ รพ ไป ตึกนั้นเงียบมาก ไม่เห็นใครเลย (ข้างบนเป็นห้องพักผู้ป่วย) และเดินเชื่อมไปทางหน้าสุดของ รพ ที่เป็นตึกอุบัติเหตุ (ตอนนั้น บริเวณที่รับคนไข้ปกติตอนกลางวันปิดหมดแล้ว มันเหลือแต่แบบว่าคลีนิกนอกเวลา ที่รองรับเคสฉุกเฉิน)
เราก็เดินไปแจ้งชื่อเพราะมีประวัติอยู่แล้ว พยาบาลก็นำไปรอแพทย์ที่หน้าห้องตรวจ เพราะเคสตา ไม่ต้องนอนรอแพทย์ที่เตียงฉุกเฉิน พยาบาลก็สอบถามสาเหตุ เราก็ตอบ งงๆ ว่าน่าจะเป็นที่ล้างเครื่องสำอาง ลึกๆเกือบตอบว่าวิกซอล หลังจากนั้นก็วัดความดัน วัดอุณหภูมิร่างกาย ช่างน้ำหนัก และจากนั้นก็นั่งรอพบแพทย์ที่หน้าห้อง
คือถ้าจำไม่ผิด ห้องตรวจมีทั้งหมด 3 ห้อง(เรามองตรงไปห้องที่เรารอหมอ และเห็นห้องทางซ้าย 1 ห้องแน่ๆ ทางขวา 1 ห้องแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าเลยทางขวาไปยังมีอีกห้องมั้ย)
เรานั่งๆอยู่ ก็พยายามเช็คตาตัวเอง ว่ามองเห็นมั้ย บอกตามตรงว่ากลัวตาบอด
เราก็ใส่แว่น และกลอกตาไปมา มองนั่น มองนี่ และเราก็เห็นความเคลื่อนไหวในห้องตรวจทางซ้ายมือเรา(ห้องนั้นมืด เหมือนปิดไฟ) เราเห็นมีอะไรขาวๆผ่านกระจก (กระจกหน้าห้องหมอจะเล็กๆ มัวๆ) เราก็เลยหยุด แล้วก็พยายามมอง
และเราก็เห็นอะไรบางอย่างลางๆ ค่อยๆโผล่มาที่กระจก พอเราพยายามมองดีๆ มันคือหน้าคน แบบเป็นหน้าคนเลย เหมือนเค้าเกาะกระจกอยู่ แล้วมองออกมาข้างนอก (พิมพ์ๆนี่ขนลุกนะ นึกภาพวันนั้นออกเลย)
เราสะดุ้งเฮือกและคิดว่า "อีพยาบาล ไหวมั้ย ถ้าอยากรู้ว่าคนไข้เยอะมั้ย มุงก็ออกมาดูซิ มาเกาะทำไม"
และพอเรามองกลับไปอีกทีหน้านั้นก็หายไปแล้ว แต่เราก็ไม่คิดอะไร พอรอได้สักพักเราจึงเดินไปถามพยาบาลว่า หลายคิวมั้ย เพราะคือเรากลัวเราตาบอด กลัวถ้าร้ายแรง เจอหมอช้าตาจะเป็นหนัก
พยาบาลจึงตอบว่า "อีกคนเดียวค่ะ พอดีวันนี้มีคุณหมอแค่ท่านเดียว คุณหมออีกท่านมีธุระด่วน กลับไปเมื่อกี้เองค่ะ ขอโทษด้วยค่ะ"
พอเค้าพูดจบ ตาเราก็เหลือบอัตโนมัติเลย
เรา "แล้ว...ไม่ทราบว่า มีคุณพยาบาล อยู่ในห้องตรวจนั้นมั้ยคะ?"
เราก็ใช้ตาเหลือบไป พยาบาลก็หันหลังไปมองตามสายตาเรา
พยาบาล "อ่อ ไม่มีค่ะ คุณหมอท่านออกไปแล้ว พยาบาลก็ออกมาแล้วค่ะ"
เรา "ขอบคุณค่ะ"
คือ ช๊อตนั้น ตกใจมากกกก ถ้าเค้ามาฟังหัวใจ หรือวัดความดันค่าคงกระฉูด ใจเต้นรัวมากกก
สรุป คนที่เห็นเค้าไม่ใช่พยาบาลหรอ?
เราก็กลับมานั่งที่ พี่แป้นก็บอกเราว่า ให้อยู่เฉยๆ อย่าทำตัววุ่นวาย เป็นคนป่วยให้ทำตัวน่าสงสาร นั่งนิ่งๆ
เรานี่อยากจะเล่าพี่แป้นใจจะขาด แต่ก็ได้แต่ พยายามไม่มองเข้าไปในห้องนั้น
จริงๆ เราก็ไม่แน่ใจว่าเพราะเราแผ่เมตตาไปรึเปล่านะ และเค้าสัมผัสได้รึเปล่าว่าเรามีรัศมีของบุญ อันนี้วามคิดของเราเองนะ
ปล.ยังงค่ะ มันยังงไม่จบบบ

เรานั่งซักพัก ก็ถูกเรียกตัวเข้าไปตรวจ
คุณหมอก็ถาม ว่าเราโดนอะไรมา เราก็บอกว่าคงแพ้พวกที่เช็ดเครื่องสำอาง ทั้งๆที่จริงๆ มันเข้าตาเราหลายครั้ง ไม่เคยเป็นอะไร พึ่งมาแพ้เอาวันนี้
คุณหมอก็ให้ถอดแว่น แล้วก็แหกตาเราดู เอาไฟส่อง ให้กลอกตาไปมา ถามว่ายังมองเห็นมั้ย คือคุณหมอแกเป็นแค่หมอเวร ไม่ใช่จักษุแพทย์ แกก็ตรวจคร่าวๆว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่อาการแพ้ธรรมดา เลยทำให้บริเวณที่แพ้เกิดอาการบวมแดง หยอดตาทุกๆ 4 ชม ก็คงหาย วันต่อไปค่อยหยอดทุกๆ 6 ชม ถ้ารู้สึกว่าดีให้เลิกใช้ยาเพราะมันเป็นสเตียรอยด์ แต่ยังไงเราก็ต้องกลับมาพบจักษุแพทย์วันจันทร์(เราโดนคืนวันอาทิตย์)
จากนั้นเราก็ต้องไปนั่งรอต่อเพื่อล้างตาในห้องฉุกเฉิน (แต่แยกเป็นอีกห้อง มีประตูปิด แต่เค้าไม่ปิด) ด้วยการที่ให้พยาบาลเอาถุงติดสกอตเทปแปะข้างตา และให้พยาบาลถ่างตา และฉีดน้ำเกลือใส่ตาจนหมดขวด ขณะฉีดน้ำเกลือ ก็ต้องกลอกตาไปมาไปด้วย แต่พยาบาลจะหยุดให้เป็นระยะ
และอีตอนกลอกตานี่ซิ กลอกตาซ้าย(ข้างที่เป็น) อีตาขวาก็ต้องกลอกตามไปด้วย(ตาขวาเห็นปกติ แต่ลางๆเพราะไม่มีแว่น) เราก็กลอกไปมา กะให้เค้าล้างให้มันหมดๆ
แต่หางตา เราก็เห็นเหมือนมีคนยืนอยู่ปลายเท้า กลอกไปเห็นรอบแรกไม่มั่นใจ เราก็กลอกไป กลอกกลับอีกรอบ คราวนี้เห็นเลย "เป็นเงาๆ ดำๆ" เรานี่แบบสะดุ้ง จนพยาบาลตกใจ คิดว่าเราเจ็บหรืออะไร คือตรงที่เรานอน เค้าให้เราหันหัวออกทางทางเดิน เพราะพยาบาลจะต้องมายืนข้างหัวเรา ปลายเท้าจึงเป็นด้านกำแพง เราก็ถามเลยเพื่อความชัวร์
เรา "พี่คะ เมื่อกี้ มีคนยืนตรงนั้นมั้ย?" พร้อมชี้ไป
พยาบาล "ไม่มีนะคะ มีอะไรรึเปล่าคะ?"
เรา "เปล่าค่ะ ตาฝาดค่ะ ล้างต่อเลยพี่ อยากกลับบ้าน"
บอกตามตรงนะ ไม่รู้เราคิดมากจนมโนมั้ย หรือเค้ามาจริงก็ไม่รู้นะ ยังหลอนจนถึงตอนนี้

พออีตอนเสร็จทุกอย่างแล้วนี่ซิ พี่แป้นดันหิวเลยเดินกันไปที่เซเว่นหน้าโรงบาลที่อยู่ไม่ไกลนัก เราก็มีที่ปิดตาข้างนึง และใส่แว่นทับไว้เพื่อให้ตาอีกข้างมองเห็น
เราก็ซื้อไอติมมากิน เพราะก็หิวเหมือนกันและก็เดินกินไประหว่างทาง (เดินทางเดินที่มา) สักพักได้ยินเสียงพี่แป้นเรียก บอกว่าจะทิ้งซองไอติมก่อน (ตอนนั้นเลยตึกอุบัติเหตุมานิดนึง เป็นทางเชื่อมไปตึกหลัก)
พอดีเจอถังขยะ พี่แป้นก็เหยียบให้ฝาเปิด และทิ้งขยะไป แต่มันดันโดนขอบถังและขยะตกพื้น พี่แป้นก็มองหน้าเรา ถามว่าเอาไงดี สกปรกอะ ตกพื้นแล้วด้วย แถมโดนถังขยะในโรงบาลด้วย มีเชื้อโรคมั้ยไม่รู้(บ้านเราโรคจิต กลัวโรงบาลค่ะ)
พี่แป้นก็มองรอบๆ และทำเหมือนจะเดินจากไป แต่เราเห็นพี่ผู้ชายคนนึงยืนมองอยู่
เรา "แก เก็บดิ พี่เค้ามองอยู่ ดูเป็นคนไม่ดี"
พี่แป้นมองดูรอบๆ
พี่แป้น "แกอย่าบ้า แม่มตรงนี้ไม่มีใครเลย"
เราหันไปมองทางมุมเดิม ก็ยังเห็นพี่ผู้ชายคนนึงยืนอยู่อยู่ดี แต่เห็นรายละเอียดไม่ชัด เพราะเหลือตาเดียว
เรา "แก...ไม่เห็นจริงๆใช่มั้ย" และเราก็เดินไปใกล้พี่แป้นอย่างไว
พี่แป้น "แก อย่าเล่นนะเว้ย!"
เราก็หันไปมองซ้ำ คราวนี้ไม่มีแล้ว ซึ่งตรงนั้นเป็นที่ที่ไม่มีมุมให้คนหลบได้เลยแล้วเค้ามาไง ไปไง เราก็หลอนละเพราะเราต้องเดินผ่านทางนั้น เราก็ตัดสินใจ จับมือพี่แป้นข้างนึง อีกข้างถือไอติม นิ้วชี้กับโป้ง อีก 3 นิ้วที่เหลือ เอาดันแว่นไว้ไม่ให้หล่นเวลาวิ่ง และโกยค่ะ วิ่งแบบเสียสติให้พ้นตรงนั้น
วิ่งบ้าบอกัน 2 คนจนเข้าตึกหลักได้ และเดินๆกึ่งวิ่งไปลานจอดรถ

บอกตามตรง ไม่กล้าเหลือบมองอะไรเลย ค่อนข้างผวา ตาก็มีข้างเดียวยังจะไปเห็น เราก็รีบให้พี่แป้นขับตรงดิ่งกลับบ้านเลย ระหว่างทางก็หลับตา พอถึงหน้าบ้านโล่งอกมาก
พอเดินเข้ารั้วบ้าน ก็รีบไหว้บอกเจ้าที่ว่า อย่าให้ใครหรืออะไรก็ตามเข้าบ้านได้ และให้คุ้มครองเราด้วย
พอถึงในบ้านเราก็จะไปหาน้ำกิน และประตูครัวซึ่งเป็นประตูบานเลื่อนไม้ เราก็เลื่อนเปิดและเดินเข้าครัว พอตอนเดินออกจากครัวเลื่อนปิด ก็มีอะไรไม่รู้ดิ้นๆหล่นลงมา พอเรามองตามไป มันคือ จิ้งจกโดนประตูเลื่อนทับ ตัวม้วนหักรวมกันตกอยู่ที่พื้น เรานี่แบบใจคอไม่ดีเลย จะฆ่าสัตว์ซ้ำซ้อนอะไรขนาดนี้ ยืนไหว้ๆ ขอโทษจิ้งจกอยู่นาน เลยไปปลุกพ่อว่าให้เก็บศพมันเถอะ มันหลอน และกลัวคนเหยียบ
วันนั้นก็เลยขอไปนอนห้องพี่แป้นเพราะรู้สึกไม่ไหวแล้ว และวันรุ่งขึ้นก็ไปถวายสังฆทานทั้งตาข้างเดียวงั้นเลย อุทิศผลบุญให้ทั้งแมลงสาป จิ้งจกและคนที่โรงพยาบาล จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ไม่เห็นอะไรแล้วนะ ก็ไม่ฆ่าสัตว์แล้วด้วย
แต่คนเจอต่อไป ดันเป็นคุณพี่แป้น

เรื่องจากพันทิป ประสบการณ์สยองขวัญ....จากโคราช ถึง นครปฐม

เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 1865431

ไม่มีความคิดเห็น