เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตายลูกโซ่
เรื่องเล่าจากซีรี่ย์ "เรื่องเล่าไม่ควรเล่า " ที่เคยฝากผลงานไว้ "อพาร์ทเม้นท์ผีสิง" โดยสมาชิกพันทิปนาม มดตะนอยตัวน้อยนิด กับเรื่องที่น่าสนใจมาก "ตายลูกโซ่" การตายต่อๆกัน ขอขอบคุณประสบการณ์สยอง ไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เราเป็นคนที่สนใจเรื่องลึกลับมาก โดยเฉพาะเรื่องผี และเป็นคนกลัวผีมากถึงขนาดเปิดไฟนอนเช่นกัน 555+
เรื่องที่เราจะเล่าต่อไปนี้เป็นเค้าโครงมาจากเรื่องจริง เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวเรา เรื่องค่อนข้างจะยาว เพราะมันเป็นเรื่องเล่าของการตายแบบลูกโซ่นั่นก็คือการตายต่อๆกัน
เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตายลูกโซ่ (1)
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ภาคใต้ค่ะ เม่นเป็นเพื่อนที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกับเรา อยู่ชั้นปีเดียวกัน แต่อยู่คนละห้อง ตอนนั้นเราอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตอนนั้นเราไม่รู้เลยว่าเรากับเม่นเป็นญาติกัน แต่เม่นมันรู้จักกับแม่เรา และมันเรียกแม่เราว่าพี่ ตามลำดับญาติของทางภาคใต้ แต่เม่นไม่เคยบอกเราว่ารู้จักพ่อแม่เรา และรู้ว่าเป็นญาติกันตามประสาคนขี้แกล้ง จนมาวันหนึ่ง เม่นไปที่บ้าน พ่อเราใช้ให้มันมากรีดยางให้ เพราะพ่อต้องไปธุระ เม่นเป็นคนขยันทำงานเก่ง แต่ตัวมันค่อนข้างช้า เกเร และเรียนได้ที่โหล่ของห้องบ๊วยอีกต่างหาก เม่นเป็นนักเลงประจำโรงเรียน เป็นเด็กเกเร ที่แกล้งเพื่อนทุกคน เราเองก็เกลียดเม่นมาก ด้วยความที่ไม่รู้ว่าเป็นญาติกันแต่แรก แต่เม่นไม่เคยแกล้งเรา จนมีคนคิดว่าเม่นชอบเรา แต่เม่นไม่เคยแสดงท่าทีว่าชอบเรา แต่คอยปกป้องเราจากหลายๆเหตุการณ์ เรามารู้ทีหลังว่า แม่เราฝากเราให้เม่นดูแล พอเรารู้ว่าเม่นเป็นญาติเรา เราก็เลยเลิกตั้งแง่กับเม่น และกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน พ่อของเม่นเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่เรา เป็นคนเฮฮา สนุกสนาน มีสังคม มีเพื่อนเยอะ แต่ก็ไปขัดขาเค้าไว้เยอะเหมือนกันด้วยความเป็นคนที่พูดจาโผงผางไม่เกรงใจใคร แต่กับเด็กๆแกใจดีเสมอ พ่อของเม่นชื่อตามี อายุก็ประมาณ 40 ปี พอๆกับแม่เรา เราเรียกตาตามที่แม่บอก เพราะแม่เรียกตามีว่าน้าทั้งๆที่อายุห่างกันไม่ถึง 5 ปี หมู่บ้านของเรากับเม่นห่างกันประมาณ 20 กว่ากิโล เป็นหมู่บ้านบนเขา แต่ถนนเส้นหลักที่ใช้กัน ก็มีสภาพดี เป็นถนนดำ 2 เลนเลยทีเดียว แตกต่างจากในซอยที่เป็นลูกรัง ดินแดง จะออกจากปากซอยทีลำบากมาก บางซอย ต้องใช้รถวิบากเท่านั้น
ช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าฝน ถนนค่อนข้างลื่น และหมู่บ้านก็อยู่บนเขา มีโค้งแบบทุกๆ 200 เมตร แต่ทางโค้งไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับคนที่ชินเส้นทาง วันนั้นฝนตกหนัก ตามีออกไปกินเหล้าสังสรรค์กับเพื่อน พอฝนเริ่มซาๆ ตามีก็ลุกออกจากวงเหล้าพร้อมบอกลาเพื่อนๆว่าจะกลับบ้านแล้วนะ และบอกเพื่อนๆว่า " เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเตรียมตัวไปบ้านกู เดี๋ยวกูมีเลี้ยงใหญ่ วันนี้ฝนตกเสียฤกษ์หมดอารมณ์กินเหล้า พรุ่งนี้ขอแก้มือเว่ย" เพื่อนๆเฮ ที่ตามีจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงเหล้า ตามีร่ำลาเพื่อนเสร็จก็จับมอเตอร์ไซด์วิบากคู่ใจสตาร์ทเสียงดังลั่นพร้อมหัวเราะชอบใจในเสียงรถเครื่องคนโก้ของแก "ไปแล้วเว่ย ไอ้ขาวมันพร้อมพากูกลับบ้านแล้วเว่ย" ตามีเรียกรถเครื่องแกว่าไอ้ขาวเพราะแกพ่นสีขาวทั้งคัน พอพูดเสร็จแกก็บิดเต็มที่ เพื่อนๆร้องตามหลังให้ระวังเพราะถนนมันลื่น แกไม่ได้หันกลับมา แต่ยกมือซ้ายขึ้นเชิงโบกมือบอกว่า สบายมาก
เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตายลูกโซ่ (2)
ตามีขับรถมาเรื่อยๆ ผ่านโค้งแล้วโค้งเล่า ฝนก็ยังตกปรอยไม่ขาดสาย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ต่ามีรู้สึกสะเทือนแม้จะไม่ได้สวมใส่หมวกกันน๊อก น้ำตาเปรอะหน้าบ้าง เข้าตาบ้าง แกก็กระพริบตาถี่เพื่อไล่น้ำฝนออก จากบ้านเพื่อนจนถึงบ้านแกระยะทางก็ประมาณ 5 กิโลเมตรและเป็นถนนดำทั้งเส้น ตามีขับรถด้วยความเร็ว เพราะแกเองก็ขาแว๊น ไม่แปลกใจนักที่เม่นมันถนัดนักเรื่องขับรถเร็ว จนบางทีก็เผลอแอบแช่งมันอยู่ในใจด้วยความรำคานเสียงรถของมันนั่นเอง ตอนนั้นก็เป็นเวลาประมาณเกือบสามทุ่ม ก็ถือว่ายังไม่ดึกมากนัก หากเป็นวันปกติที่ฝนไม่ตกก็คงจะเห็นชาวบ้านออกมากรีดยางบ้าง แต่วันนี้เงียบสงัด แถมไฟฟ้าก็ค
จะดีบ เพราะตามีเห็นบ้านที่ผ่านมาจุดเทียน บางบ้านก็มืดสนิท อาจเพราะเข้านอนกันไปแล้วนั่นเอง ก็เป็นภาพที่ชินตาอีกนั่นแหละสำหรับตามี ฝนตกทีไร ไฟดับทุกที พูดแล้วเราเองก็นึกงอนการไฟฟ้าอยู่ในใจ แต่จะทำยังไงได้ บ้านอยู่บนเขาซะขนาดนั้น
ตามีขับรถไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็ว เนื่องจากถนนโล่งไม่มีรถผ่าน โค้งสุดท้ายก่อนจะถึงบ้านตามีเพียงแค่ 200 เมตร แกเพิ่มความเร็วเพื่อที่จะให้พ้นโค้งท้าท้ายที่วัยรุ่นเรียกมันว่าโค้งปราบเซียน หากใครแว๊นผ่านโค้งนี้ได้ด้วยความเร็วสุดยอด ถือว่าเจ๋งจริง ตามีเองก็ทำสำเร็จมาหลายต่อหลายครั้ง เพราะแกไม่ยอมน้อยหน้าใครนั่นเอง ถึงจุดสุดท้ายก่อนพ้นทางโค้ง ล้อรถเครื่องคันโก้ของตามีสะบัดอย่างแรง ส่งผลให้รถล้มลากไปตามถนน เสียงดัง ครากกกกกกกกกกกกกก ร่างของตามียังคงจับแฮนด์รถแน่น อ่าจเป็นเพราะความตกใจ ปล่อยมือไม่ทัน หรือเพราะความห่วงว่ารถจะเป็นอะไรของตามีหรือไม่ ร่างของตามีถูกกระชากไปตามโค้งลาดชันตามรถของแก จนรถหยุด และร่างของตามีกระตุกแรงเพียงแค่ครั้งเดียว วิญญาณของแกก็ถูกกระชากออกจากร่างทันที ชาวบ้านในละแวกนั้นได้ยินเสียงดังก็ออกมาดู และต้องพบกับภาพอันน่าสยดสยอง เนื่องจากตามีตายคาที่ ตำรวจจึงต้องมาเก็บหลักฐานก่อน กว่าตำรวจจะมาก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง เพราะค่อนข้างไกลจากตัวอำเภอมาก ฝนก็ยังตกอยู่ตลอดเวลาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สภาพศพของตามี ดวงตาเบิกโพรง ร่างทั้งร่างเละเทะถลอกปอกเปิก และรถเครื่องทั้งคันทับร่างแกอยู่ ท่อไอเสียรถวางพาดอยูที่หน้าท้องตามี ชาวบ้านบอกว่า กลิ่นเหมือนเนื้อถูกย่าง เพราะท่อไอเสียมีความร้อนและสัมผัสกับเนื้อตามี ที่น่าสยดสยองไปกว่านั้น
เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตายลูกโซ่ (3)
เครื่องในของตามีไหลออกมากองข้างนอกจนเกือบหมด ตำรวจสันนิษฐานว่า เป็นเพราะแฮนด์รถทิ่มและกระชากจรทะลุเข้าไปก่อนที่รถจะหยุดสนิท ชาวบ้านต่างเวทนาตามียิ่งนัก
เพราะแกเป็นที่รักของชาวบ้าน ไม่ค่อยมีปัญหากับใคร และเฮฮาตามประสาแก
งานศพของตามีถูกจัดขึ้นที่บ้าน ซึ่งใช้เวลาจัดงานนานถึง 7 วัน เราเองก็ต้องไปช่วยงานแทบทุกวัน และบางวันก็ต้องนอนบ่านเพื่อนแถวนั้น เพราะพ่อกับแม่กลับก่อน เราต้องอยู่
ช่วยล้างจาน และมีเพื่อนๆ อยู่เยอะ เราจึงสนุกและไม่อยากจะกลับ ประมาณคืนที่สามของงานศพ ก็มีชาวบ้านจับกลุ่มคุยกันซึ่งเราได้ยินแว่วๆ ว่าเค้าว่ากันว่า คนที่ตายไปแล้ว 3
วันเค้าจะรู้ตัว แล้ววันนี้ก็วันที่ส่ามพอดี เรารีบกลับกันดีกว่า ปล่อยให้เด็กๆสาวๆ มันล้างกัน (พวกเรานั่นเอง) แล้วกลุ่มชาวบ้านก็กลับกัน เราก็หงุดหงิด ก็เดินไปบ่นกับเพื่อนๆ ว่า
เป็นผู้ใหญ่ยังไงให้เด็กๆทำงาน แล้วพวกเราเลยทำท่าเฉย ไม่ยอมไปล้างจาน ด้วยความหมั่นไส้ บวกกับความขี้เกียจ เพื่อนเราก็บ่นว่า ไอ้พวกมาเล่นไพ่เล่นไฮโล ก็ไม่เคยมาช่วยล้าง
มีแต่กินๆ กับสั่งให้เราเอานั่นเอานี่ไปให้ เราก็บ่นตามประสาเด็กกันไป สักพักเรานึกเรื่องที่ได้ยินมาขึ้นได้ จึงเล่าให้เพื่อนๆฟัง ชาวบ้านเค้าลือกันว่าคนที่ตายไป 3 วัน วิญญาณจะ
เพิ่งรู้ตัว และวันนี้ตามีตายวันที่ 3 พอดี อีกหลากหลายความเชื่อจากปากเด็กๆอย่างพวกเราต่างถกเถียงกัน สุดท้ายก็วกเข้าเรื่องผีจนได้ เล่าเรื่องผีในงานศพ
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ พวกเรานั่งจับกลุ่มเล่าเรื่องผี โดยเอาเก้าอี้มาล้อมวงกันข้างๆวงไฮโล สักพักเราได้ยินเสียงโวยวายขึ้นมาว่า " โอ๊ยยยย น้ามี ผมจะหมดตัวอยู่แล้ว มาตั้ง
ไกล พี่ให้ผมได้บ้างเถอะ" น้าวัตรนั่นเอง น้าวัตรเดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาร่วมงานศพตามี "ถ้าผมได้ทุนคืนนะ ผมจะเข้าไปนอนเป็นเพื่อนพี่เลย" น้าวิทย์หมายถึงเข้าไป
นอนในบ้านเป็นเพื่อนศพกับครอบครัวของผู้ตายนั่นเอง พรึ่บบบบ อยู่ก็ไฟดับทั้งงาน พวกเราร้องกรี๊ดลั่น เม่นเดินออกมาจากบ้าน พร้อมเทียนหลายสิบเล่ม จะว่าไปแล้วเราเองยัง
ไม่เคยเห็นเม่นร้องไห้จากการจากไปของพ่อมันเลย มันยังทำตัวปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แตกต่างกับแม่และพี่สาวสองคนที่ร้องไห้ปานจะขาดใจ แต่เราก็คิดไปว่ามันคงจะเป็น
ลูกชายคนเดียว แถมยังเหลือแค่มันที่เป็นผู้ชายในครอบครัวจึงต้องเข้มแข็งเพื่อแม่กับพี่สาว เม่นเดินแจกเทียนให้คนในงาน งานศพถูกให้ความสว่างโดยแสงเทียนเพิ่มความสยอง
เข้าไปอีกเท่าตัว ไฟดับนานมาก และรถไฟฟ้าก็ไม่มีวี่แววว่าจะมาถึงง่าย ตอนนี้พวกเราเข้ามาอยู่ในบ้านตรงที่ตั้งโลงศพ พวกเราตัดสินใจนอนระหว่างรอไฟมา สักพัก แก้วเพื่อน
ของเราก็บ่นขึ้นมา หนูตายหรือเปล่าวะ ทำไมมันเหม็นอย่างนี้ พร้อมเอามืออุดจมูก จากนั้นเราและทุกคนก็เออออตามแก้ว เพราะกลิ่นมันเหม็นแปลกๆจริงๆ ตอนนั้นเวลาก็ผ่านไป
ซํก 2 ชั่วโมงแล้ว อยู่เม่นก็เดินมาเคาะโลงศพตามี แล้วบอกว่า พ่อทนเอาหน่อยนะ เดี๋ยวก็หายร้อนแล้ว" พวกเราตาสว่างทันที กลิ่นที่เราเหม็นกันอยู่นั้น กลิ่นศพของตามีนี่เอง
เพราะไฟดับ โลงเย็นจึงไม่ทำงาน "รถไฟฟ้ามาแล้ว" เสียงชาวบ้านข้างนอกตะโกนเข้ามา แม่ของเม่นกุลีกุจอลุกออกไปดู "ทำไมมาช้าจัง" แม่ของเม่นส่งสำเนียงท้องถิ่นถามช่างไฟ
"ก็มัวแต่จอดรถรับลุงแกน่ะสิ เนี่ยตอนแรกลงไปถามแกก็นั่งตากฝนตัวสั่นอยู่ไม่พูดไม่จา กลิ่นเหล้าหึ่งเลย แกคงจะเมามาก พอบอกจะไปส่งบ้านก็ถึงยอมคุยด้วย แต่ผมเจอบ้าน
งานซะก่อน เลยให้แกรอก่อนซ่อมเสร็จถึงจะไปส่งแก" "เหรอแล้วบ้านแกอยู่ไหนล่ะ" "แกบอกอยู่แถวนี้นะ แกเหมือนเมามาก พูดไม่ได้ความหรอก เสื้อผ้าขากรุ่ยเหมือนคนบ้าเลย"
ช่างไฟบรรยาย "อ้าวแล้วไปรับแกมาจากไหนล่ะ ไม่บอกแกลงมากินข่าวก่อนล่ะ กว่าช่างจะทำไฟเสร็จ" แม่ของเม่นถามด้วยความหวังดี "เออ จริงด้วย ผมก็ลืมคิดไป เฮ่ยไปตาม
แกลงมาซิ" ช่างไฟบอกเพื่อนอีกคนไปตามลุงที่วาลงจากรถมากินข้าว สักพักเพื่อนก็เดินมาบอก "แกหายไปแล้วว่ะ ไปได้ไงวะ แกมีแรงเปิดประตูได้ไง เมาขนาดนั้น" ช่างไฟแอบ
แปลกใจ "พ่อ !!!" อยู่ๆ พี่มดพี่สาวของเม่นก็ตะโกนเรียกพ่อสุดเสียง พวกเราสะดุ้งวิ่งออกมาหน้าบ้าน ภาพทีเห็นคือ พี่มดล้มลงกับพื้นร้องไห้สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจ มารู้ที
หลังว่าพี่มดเห็นตามีอยู่หลังรถของช่างไฟนั่นเอง พอแกร้องเรียก ร่างของต่ามีก็ค่อยๆหายไป แต่ชาวบ้านลงความเห็นว่าพี่มดตาฝาด เพราะคนอยู่เยอะแยะไม่มีใครเห็น สรุปคือคืน
นั้นวงไพ่ วงไฮโลก็เลิกเล่น พวกเราเองก็แยกย้ายกันกลับ เราไปนอนบ้านเพื่อนก่อนกลับบ้านตอนเช้า หลังจากงานศพวันที่สาม วันต่อๆมากเหตุการณ์ก็ปกติ ก็มีบ้างที่เสียงชาว
บ้านบอกว่าเจอตามีนั่งหรือยืนอยู่ตรงทางโค้งนั่นเอง นี่แค่ศพแรกนะ !!!
เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตายลูกโซ่ (4)
หลังจากงานศพตามี่ผ่านไปได้ประมาณเดือนกว่า พวกเราก็ลืมทุกอย่างไปสนิท เม่นเองก็ยังเขกมะเหรกเกเรกับเพื่อนๆ เหมือนเดิม ไม่มีท่าท่างเศร้าสร้อยกับการสูญเสีย เราเองซะอีกที่ไม่กล้าสบตาเม่น เพราะสงสารมัน คิดไม่ออกว่าถ้าเป็นพ่อตัวเองจะเข้มแข็งได้แบบนี้มั้ย วันหนึ่งน้าสาวน้องของแม่เราโทรมา แม่เราพูดโทรศัพท์สักพักก็เข่าอ่อนล้มลงกับที่ แต่มือก็ยังถือโทรศัพท์อยู่ พ่อวิ่งม่าดูแม่ แม่พูดใส่โทรศัพท์ "เออๆ เดี๋ยวกูรีบไป" พอวางโทรศัพท์ได้ พ่อก็รีบถามแม่ว่าเป็นอะไร แม่ทำหน้าพูดไม่บอก บอกไม่ถูก "น้องวัตรตายแล้ว" เราขนลุกชัน นั่งอุ้มน้องสาววัย 2 ขวบ อยู่หน้าบ้าน ตอนนั้นเราคิดถึงแต่ น้องบ่าว และน้องฟ้า ลูกของน้าสาวกับ น้าวัตร ที่จะต้องกำพร้าพ่อ น้องฟ้าเองก็เพิ่งจะ 3 ขวบ ต้องมาสูญเสียพ่อเสียแล้ว แม่บอกพ่อช่วยเก็บของ ส่วนแม่ให้เราขับรถเครื่องพาไปบ้านยาย แม่เราขับรถเครื่องไม่เป็น บ้านยายห่างจากบ้านเราเพียงแค่ไม่ถึง 200 เมตร ปกติเราจะพากันเดินไป แต่วันนี้แม่คงไม่มีแรงจริงๆ แม่ไม่อุ้มน้องด้วยซ้ำ เราจึงให้น้องนั่งหน้ารถเครื่อง พอไปถึงบ้านยาย ยายกับลังนั่งผ่าลูกหมากอยู่ แม่เดินเข้าไปนั่งลงข้างๆยาย แล้วบอกยาย "แม่เหอ น้องวัตรตายเสียแล้ว น้องสาวโทรมาบอกนุ้ยเมื่อกี้" ยายเราร้อง โอ๊ยยยยย เสียงดัง พร้อมพูดจาไม่ได้ศัพท์ สักพักตั้งสติได้ ญาติทุกคนรู้ข่าว ก็พากันเก็บข้าวของเดินทางไปงานศพ พอไปถึงงาน น้าสาวนั่งสงบนิ่งอยู่หน้าโลงศพน้าวัตร ยายรีบเข้าไปกอดน้าสาว แม่เข้าไปปกอดน้องฟ้า น้องฟ้ามองทุกคนร้องไห้ตาแป๋วด้วยความไม่รู้อิโหน่อิแหน่ ทุกคนไหว้ศพน้าวัตร ก่อนนั่งพูดคุยให้กำลังใจน้าสาว ยายไล่น้าสาวไปกินข้าวกินปลา น้าสาวไม่ยอมไปท่าเดียว ยายจึงให้คนไปหาข้าวมาให้น้าสาวกินตรงนั้น "กินฮิดตะนุ้ย เดี๋ยวไม่มีแรงแลลูก" ยายบอกน้าสาวด้วยความเป็นห่วง น้าสาวจึงยอมกินข้าว ศพของน้าวัตรจัดงานเพียง 3 วันเท่านั้น เพราะได้วันเผาพอดี เราเองก็แอบดีใจที่เผาไว ทำให้ไม่ต้องขาดเรียนนาน ในวันเผา ตอนที่ยกศพขึ้นไปบนเมรุให้ทุกคนวางดอกไม้จันทร์ อยู่ๆ น้องฟ้าก็ชี้ไปที่ข้างเมรุแล้วร้องเรียก "พ่อๆๆ" แล้วหัวเราะ พวกเราทุกคนขนลุกเกรียว "ไปตะวัตรเหอ ไม่ต้องห่วงลูก แม่แลให้" ยายเราพูดขึ้นมา เหมือนบอกให้น้าตรไม่ต้องห่วงอะไร สักพักน้องฟ้าวิ่งขึ้นไปบนเมรุ น้าสาววิ่งตาม "เอาพัดให้พ่อน้องที พ่อร้อน " น้องฟ้าตะโกนลั่น "เอาพ่อน้องออกมา อย่าให้พ่อนอนในนั้น พ่อร้อน" แล้วน้องฟ้าก็ร้องไห้งอแง พยายามทำท่าเหมือนจะแงะโลงศพ น้าสาวร้องไห้หมดแรงเป็นลม ชาวบ้านมาช่วยกันประคอง ตอนเผา น้องบ่าวลูกชายน้าสาวที่อายุประมาณ 12 ขวบ ก็ร้องไห้ตีอกชกตัวร้องไห้ "เอาพ่อกูคืนมา เอาพ่อกูคืนมา" ร้องอยู่อย่างนั้น เป็นภาพที่น่าเวทนาสำหรับคนที่พบเห็นยิ่งนัก เราเองก็ยังจำภาพนั้นได้ดีเลยทีเดียว น้าสาวเล่าว่าที่น้าวัตรตายเพราะ ....
เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตายลูกโซ่ (5)
น้าสาวกับน้าวัตรมีอาชีพทำนากุ้ง เพราะบ้านน้าวัตรอยู่ใกล้ชายทะเล ที่จริงแล้ว ตายาย ของเราก็เป็นคนที่นี่ แต่ต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่บ้านปัจจุบัน แต่ตอนเด็กๆ แม่เราเกิดและเติบโตที่นี่ เราเองก็มาเที่ยวค่อนข้างบ่อย น้าวัตรมีบ่อกุ้งหลายบ่อ ทุกๆคืนน้าวัตรกับน้าสาวจะต้องไปเปิดเครื่องปั่นกังหัน (อันนี้เราไม่แน่ใจว่าเค้าเรียกอะไรค่ะ สำหรับคนเลี้ยงกุ้ง เรารู้แต่มันเป็นไฟฟ้าที่อยู่ใกล้น้ำ) มีคืนนึงน้าสาวบ่นปวดหัวตั้งแต่หัวค่ำ พอตกดึกน้าวัตรจะออกไปเปิดเครื่อง น้าสาวก็ลุกจะไปด้วยเหมือนทุกวัน แต่น้าวัตรบอก "น้องไม่ต้องไปหรอก พี่ไปเอง ดูแลลูกอยู่นี่แหละ เดี๋ยวลูกร้อง" ด้วยความที่ปวดหัวอยู่แล้ว น้าสาวจึงไม่ปฏิเสธน้าวัตร ล้มตัวลงนอนต่อ และหลับไปทันที น้าวัตรออกไปแล้ว น้าสาวหลับสนิมเพราะฤทธิ์ยา และสะดุ้งตื่นตอนตีสาม น้าวัตรยังไม่กลับมา น้าสาวก็คิดไปต่างๆนานา ด้วยความที่น้าวัตรเป็นคนเจ้าชู้ น้าสาวคิดว่าน้าวัตรออกไปทำอะไรไม่ดี แล้วก็โมโห น้าสาวถือมีดพกแล้วเดินออกไป ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าน้าวัตรอยู่ไหนด้วยซ้ำ คิดแต่ว่าถ้าเจออยู่กับผู้หญิงต้องตายไปข้างนึง น้าสาวภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่คิด เพราะน้าสาวเราเป็นคนใจร้อนและเด็ดขาดมาก น้าสาวเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงบ่อกุ้ง หม้อไฟคาดที่หัว สาดไฟไปมา แต่ก็ยังไม่พบน้าวัตร น้าสาวจึงตัดสินใจไปรอที่บ้าน กลับมาจะถามได้ถามไถ่ว่าไปไหนมา แต่น้าสาวเอะใจที่ไม่เป็นกังหันปั่นอยู่ ทั้งๆที่น้าวัตรบอกจะออกมาเปิดเครื่อง พาลโกรธเข้าไปใหญ่ ด้วยความเป็นห่วงกุ้ง น้าสาวจึงเดินไปที่เครื่อง แล้วต้องตกใจที่เห็นรองเท้าแตะหน้าวัตร อยู่ริมบ่อ น้าสาวใจไม่ดี พยายามส่องไฟหาน้าวัตร ว่าไปนั่ง หรือนอนเป็นลมเป็นแล้งอยู่ตรงไหน ทันที่ที่น้าสาวสาดไฟไปที่บ่อกุ้ง น้าสาวเป็นรองเท้าอีกข้างของน้าวัตรลอยน้ำอยู่ และเมื่อส่องไฟมาที่ริมบ่อก็เห็นรอยคนลื่นตกลงไปในบ่อ หัวใจน้าสาวเหมือนถูกทุบอย่างแรง ตัวสั่น มือสั่นไปหมด ไม่กล้าคิดว่าผัวของตัวเองตกลงไปในบ่อ น้าสาวตั้งสติ วิ่งกลับเข้าบ้าน ตะโกนเรียกพ่อแม่น้าวัตรให้ออกมาดู พอถึงบ่อกุ้ง พ่อน้าวัตรรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เครื่องนั่นเอง มันถูกเปิดไว้ แต่ไม่มีไฟฟ้าแล้ว เพราะคงเกิดการช๊อตขึ้น พ่อน้าวัตรรีบไปเกณฑ์ชาวบ้านมาช่วย และไม่ลืมที่จะปิดคัทเอาท์เพื่อปิดไฟ แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าลงไปในบ่อ เพราะกลัวมีกระแสไฟฟ้าหลงเหลืออยู่ ทุกคนรอจนถึงสว่าง น้าสาวกับแม่น้าวัตรร้องไห้เป็นลมแล้วเป็นลมอีก พอสว่างทุกคนก็ช่วยกันงมร่างของน้าวัตรขึ้นมา ตอนนั้นเองน้องฟ้าวิ่งมาพอดี พ่อน้าวัตรตกใจที่เห็นน้องฟ้ามาถึงบ่อกุ้ง มองหาน้องบ่าวก็ไม่มีเพราะน้องบ่าวไปนอนในเมืองกับญาติ "น้องฟ้ามาได้ยังไงลูก" พ่อน้าวัตรถามหลานสาว "พ่อมาส่ง น้องร้อง ร้องตื่นมาหาใครไม่เจอ พ่อเลยมาส่ง" ทุกคนเงียบกริบ น้าสาวปล่อยโฮ เป็นลมล้มพับ น้าวัตรคงเป็นห่วงน้องฟ้า เพราะไม่มีใครอยู่บ้าน พอจัดงานศพเสร็จ น้าสาวก็ตัดสินใจพาน้องบ่าวและน้องฟ้ามาอยู่บ้านยาย แต่ด้วยความที่ไม่ถูกกับน้องชายคนเล็กที่อยู่กับยายก็ทะเลาะกันเป็นประจำ เพราะความแรงของทั้งคู่ น้าสาวจึงตัดสินใจใช้เงินเก็บก้อนสุดท้ายไปทำบ้านหลังเล็กๆ ที่ก่ออิฐก่อปูนขึ้นเป็นห้องนอนสองห้อง มีห้องครัว ห้องน้ำ พอได้อยู่อาศัยแค่นั้น น้าสาวนอนกับน้องฟ้า ส่วนน้องบ่าวจะนอนคนเดียว หลังจากน้าวัตรตาย น้าสาวก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตีลูกเป็นประจำบางทีแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ยายได้แต่สงสารก็ไปเอามาเลี้ยง แต่น้องฟ้าก็คิดถึงแม่ไม่ยอมอยู่บ้านยาย น้องบ่าวสงสารน้อง ก็ให้น้องมานอนกับตนที่ห้องจะได้ไม่ถูกแม่ตี น้องฟ้าไม่งอแงเลยเวลานอนกับน้องบ่าว แถมตื่นเช้ามา ก็คุยเสียงแจ๋วให้ชาวบ้านที่แวะมาหาฟังว่า พ่อมานอนด้วย เล่านิทานให้ฟังด้วย น้องบ่าวก็เริ่มกลัว แต่ก็ได้ยินเสียงน้องคุยกับใครประจำเวลาแต่ตนไม่สนใจคิดว่าน้องละเมอ แต่พอน้องฟ้าบอกว่าพ่อมาหาตลอด น้องบ่าวก็กลัวและไปนอนบ้านเพื่อนจนกลายเป็นเด็กเกเรเสียคนไม่ยอมกลับบ้าน น้าสาวเองก็ไม่เอาใคร ไม่สนใจลูก ปล่อยตัวเละเทะ ในใจก็โกรธน้าวัตรตลอดว่าทิ้งให้ตนมาลำบากอยู่คนเดียว น้องบ่าวไม่อยู่บ้าน น้าสาวก็ไม่ยอมให้น้องฟ้านอนด้วย แต่น้องฟ้าก็ไม่งอแง น้องฟ้าก็นอนคนเดียวที่ห้องน้องบ่าว น้าสาวก็ได้ยินเสียงลูกคุยกับใครอยู่เป็นประจำ เรื่องราวผ่านไปอย่างนี้เรื่อยๆ น้าวัตรตายไม่ถึงห้าเดือน น้าสาวก็มีสามีใหม่ และเอาเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยตอนกลางคืน โดยแอบเข้ามา ไม่ให้ชาวบ้านรู้เพราะกลัวเป็นขี้ปาก แฟนใหม่น้าสาวจะเข้ามาทางหน้าต่างห้องน้าสาวทุกๆวัน มีวันหนึ่ง น้าสาวได้ยินเสียงโวยวายจากห้องน้องฟ้า แฟนใหม่นั่นเอง โวยวายเสียงดังว่า "ผีไอ้วัตร ผีไอ้วัตร กูไปแล้ว อย่าทำๆๆ " แล้ววิ่งออกจากห้องน้องฟ้า น้าสาวตกใจ ชาวบ้านแถวนั้นตื่นมาดูกันหมด และรู้ทันทีว่าแฟนใหม่น้าสาวต้องไปทำอะไรมิดีมิร้ายน้องฟ้าแน่นอน น้าวัตรถึงออกมาจัดการ ยายรู้เรื่องเข้า สั่งให้น้าสาวเลิกคบ น้าสาวไม่เลิก และไม่เชื่อว่าแฟนใหม่ตัวเองจะทำร้ายน้องฟ้า ยายเห็นลูกหลงผู้ชายจนโงหัวไม่ขึ้น จึงขอน้องฟ้ามาเลี้ยงเอง น้าสาวก็ไม่สนใจ แต่น้องฟ้าว่า "ถ้าน้องฟ้าไป ใครจะอยู่กับแม่ แล้วถ้าน้องฟ้าไปอยู่บ้านแม่เฒ่า พ่อก็จะไม่ได้มาอีก พ่อจะไปทำงานไกลๆ " ยายสงสารน้องฟ้าจับใจ "งั้นน้องฟ้าไปถามพ่อนะ ว่าจะให้น้องฟ้าไปไหม" น้องฟ้าพยักหน้า วันต่อมาน้องฟ้าบอกยายว่า "พ่อให้น้องฟ้าไปอยู่กับยาย พ่อทำงานเสร็จจะซื้อขนมมาฝากเยอะๆ" น้องฟ้ายิ้มหวาน
น้าวัตรคือศพที่สอง
เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตายลูกโซ่ (6)
จริงๆแล้ว หากใครอ่าน คงจะคุ้นชื่อน้าวัตรอยู่บ้าง น้าวัตรก็คนเดียวกับที่เล่นไฮโลในงานศพตามีไงคะ จำได้หรือยัง ป่านนี้ได้ไปนอนเป็นเพื่อนตามีสมใจ
"ยายเสิด ยายเสิด" ทวดน้อมถึ่งเดินกึ่งวิ่ง มาบ้านยายเรา ตอนนั้นเราเลี้ยงน้องอยู่ที่บ้านเรา "พรือน้าน้อม" ทวดน้อมอายุเท่าๆกับยายเราคือประมาณ 70 ปี (เรียกตามศักดิ์อีกนั่นแหละ) ทวดน้อมทำสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดี (อยากได้อรรถรสอ่านเป็นภาษาใต้นะคะ อิอิ) "เมื่อกี้นี้ พี่จันทร์ เล่าให้ฉันฟังว่า ไอ้มีกับไอ้วัตรมันมาชวนไปดูบ้านมัน บ้านมันอยู่ที่ต้นมะขามหน้าบ้านไอ้มีนั่นแหละ แล้วไอ้วัตร ไอ้มีมันก็ชวนพี่จันทร์อยู่ด้วย แต่พี่จันทร์บอกว่าจะไปบอกเมียก่อน" ทวดจันทร์คือสามีของทวดน้อม ทวดจันทร์อายุประมาณ 90 ปี ทวดจันทร์แก่มากจนเดินไม่ได้แล้ว แต่แกไม่ได้ป่วยอะไร แค่ช่วยเหลือตัวเองลำบากเพราะโรคชรา แกตื่นมาเล่าให้ทวดน้อมฟังเรื่องที่ฝันเมื่อคืน ว่าตามีกับน้าวัตรมาชวนแกไปดูบ้านของทั้งสองคน ทวดจันทร์บอกว่าบ้านอยู่ในต้นมะขามหน้าบ้านตามี พอเข้าไปแล้วหลังใหญ่สวยงามมาก จนแกอยากจะเข้าไปอยู่ และน้าวัตรกับตามีก็ชวนแกให้อยู่ด้วยกัน แต่ทวดจันทร์อยากบอกทวดน้อมก่อน ทวดน้อมที่ตอนนี้สีหน้าไม่ค่อยดีนัก เราเองเริ่มปะติดปะต่อเรื่องได้ คิดแล้วก็ขนลุก ตามีตายไม่ถึงเดือน น้าวัตรก็มาตาย แถมตายโหงเหมือนกันอีก ในใจก็นึกถึงน้าวัตรตอนที่อยู่งานศพตามี เพราะนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอน้าวัตร แล้วก็อดนึกถึงคำพูดของแกไม่ได้ที่ว่าถ้าได้ทุนคืนจะไปนอนเป็นเพื่อนศพตามี "ทำพรือล่ะทีนี้ ฉันไม่รู้จะทำพรือแล้ว ฉันยังไม่อยากให้แกตาย แก่แล้วยังจะมาพาแกไปทำไม เดี๋ยวแกก็ตายเอง" ทวดน้อมตัดพ้อตามีกับน้าวัตรเพราะมั่นใจว่าทั้งสองจะมาเอาไปอยู่ด้วย ยายเราตัดสินใจโทรหาเมียตามี และแม่น้าวัตร เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทั้งสองฟัง แล้วให้ต่างคนต่างไปจุดธูปบอกว่าอย่าเอาทวดจันทร์ไปเลย ทวดจันทร์แก่แล้ว ให้อยู่กับลูกกับหลานเถอะ ทวดน้อมคลายความกังวลไปได้บ้าง แต่แกก็ต้องคอยระวังตลอด และดูแลทวดจันทร์อย่างดี ชาวบ้านและญาติๆที่รู้ข่าว ต่างพากันหวาดกลัว ว่าตามีกัยบน้าวัตรจะมาพาใครตายตามไปอีก เพราะชาวบ้านเชื่อว่าการตายติดๆกันแบบนี้ เป็นเรื่องไม่ดี และหากตายไม่ครบสามคน ก็จะตัดโซ่การตายไม่ขาด แต่หากศพที่สามตายแล้วยังมีศพที่สี่อีก ก็ต้องรอไปจนครบเจ็ดศพ ถึงจะหมดโซ่การตาย
เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตายลูกโซ่ (7)
รถห้าหกคันวิ่งผ่านหน้าบ้านด้วยความเร็ว ทั้งๆที่ปกติแล้วถนนแถวบ้านรถขับเร็วไม่ได้เลย รถวิ่งมาจากบนเขา ซึ่งเป็นทางที่ขึ้นไปยังน้ำตก และหากข้ามเขานี้ไปก็จะเขตจังหวัดอีกจังหวัดหนึ่ง แต่หนทางลำบากถึงขนาดที่ว่ารถธรรมดาไม่สามารถวิ่งได้ เราเองเวลาไปเที่ยวน้ำตกบนเขา ก็เกิดอุบัติเหตุบ่อย เนื่องจากมีเนินสูงๆหลายเนิน จนเป็นเรื่องฮาๆ ไปแล้ว เพราะเราล้มกันไม่เจ็บ เพราะต้องขับช้าๆอยู่แล้ว รถกระบะโฟรวิลและกระบะธรรมดาหลายคัน วิ่งแบบไม่เกรงใจหลุมบ่อ ตามถนนเลย เราสะดุดตรงรถกระบะคันนึง ที่มีคนนั่งหลังรถ 4-5 คน ทุกคนนั่งล้อมวง นั่งลงเลยบ้าน ยังยองๆบ้าง บ้านเราอยู่ฝั่งคนขับของรถนะคะ มองออกมาจะเห็นด้านข้าง แล้วรถที่มีคนนั่งๆ อยู่นั้น เราสังเกตุเห็นขาคนโผล่ออกมา กระบะคันนั้นไม่ได้ปิดฝาท้าย ลักษณะคือคนนอนอยู่กลางวงแล้วขาพาดออกมาถึงฝาท้ายรถ ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายสอง บ่ายสี่โมง ป้าเราโทรมาบอกให้พ่อไปขนเต้นท์ โต๊ะ เก้าอี้ และเครื่องจัดงานไปตั้งงานศพ (บ้านป้ามีอุปกรณ์พวกนี้ให้เช่า เวลามีงานแต่ง งานบวช งานศพ ก็เช่าได้) พ่อเราก็ยังไม่ได้ถามว่างานใคร เพราะงานศพบนเขานี้ก็มีแค่ป้าเราที่เหมาจัดงาน พ่อบอกให้เราเลี้ยงน้อง ตอนนั้นแม่ไปผ่าลูกหมากที่บ้านยาย เราก็เลี้ยงน้องไป จนค่ำ ก็ยังไม่เห็นใครกลับมา แล้วน้องก็ร้องหาแม่แล้ว เราเองก็หิวข้าว แทบจะร้องไห้ตามน้อง เราอุ้มน้องอายุ 2 ขวบกว่า เดินฝ่าความมืดไปหาแม่ที่บ้านยาย ที่ห่างออกไปไม่ถึง 500 เมตร เพราะพ่อเอามอเตอร์ไซด์ไปจึงจำเป็นต้องเดิน ระหว่างทางที่เดินน้องเราอยู่ดีดีก็หัวเราะ และทำท่าเหมือนเล่นจ๊ะเอ๋กับใครอยู่ (เหมือนเวลาเราหยอกเด็กอ่ะค่ะ อุ้มน้องพลาดบ่า พอเด็กหันหน้ามาเราก็จะเอ๋ เด็กก็จะรีบหันไปซบไหล่คนอุ้ม) เรานี่ขนลุกเลยค่ะ แต่ก็ไม่ได้ถามน้องได้แต่พยายามเดินให้ถึงบ้านยายเร็วๆ พอใกล้ถึงบ้านยาย เราเจอยายจูงมือน้องฟ้าเดินออกมาหน้าบ้านพอดี "อ้าว แม่เฒ่ากำลังจะไปบ้านน้อง แม่น้องไปงานศพ ดึกๆนู่นและจะกลับ" "ใครตายอ่ะแม่เฒ่า" เราถามทันที เพราะถ้าแม่ไปด้วย ต้องเป็นญาติแน่ๆ เพราะปกติถ้าแค่ขนของไปงาน แม่จะไม่ต้องไป แต่ตอนเก็บของแม่จะไปช่วยเช็คถ้วยจานแก้วช้อน เท่านั้น "น้าพล พ่อน้องกบ บ้านอยู่ควนตาโสนั่น" (คนใต้จะเรียกเนินว่าควน คนอีสานจะเรียกค้อย 555 เกิดมาเป็นลูกครึ่งอีสานใต้แบบเรานี่ได้เปรียบนะ ได้ทุกภาษา) เราก็รู้จักลุงพล ในฐานะคนซอยเดียวกัน และก็รู้จักน้องกบ รุ่นน้องที่โรงเรียน ซึ่งเป็นน้องเราหนึ่งปี ตอนนี้น้องกบอยู่ ม.1 เราอยู่ ม.2 เราหิวข้าวไม่สนใจอะไรทั้งนั้น พายายเดินกลับบ้านเรา ยายเข้าไปทำกับข้าว เราเลี้ยงน้องฟ้าและน้องเรา อยู่น้องเราก็พูดขึ้นว่า "พ่อน้องฟ้ากลับยัง " (น้องฟ้าอายุมากกว่าน้องเราหนึ่งปี แต่เป็นลูกน้องของแม่ น้องฟ้าต้องเรียกน้องเราว่าพี่ ตามศักดิ์อีกนั่นแหละ) "ฮั่นล่ะ เดินไปไหนแล้วไม่รู้" น้องฟ้าทำท่าส่องไปหน้าบ้านเรา เหมือนมองหาใครอยู่ เราขนหัวลุก และคิดไปว่า หรือตอนที่เราเดินไปบ้านยาย น้าวัตรจะมาหยอกน้องเรา แค่คิดถึงเรื่องตอนนั้นเราก็ขนแขนพร้อมใจกันแสตนอัพแล้ว
เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตายลูกโซ่ (8)
ประมาณ 5 ทุ่ม พ่อกับแม่ก็กลับมา เรายังไม่นอน เพราะมัวแต่อ่านหนังสือนิยายอยู่ แต่ได้ยินเสียงพ่อแม่ คุยกับยาย ที่เตรียมตัวจะอุ้มน้องฟ้ากลับ
บ้าน "เค้าว่าน้องวัตรกับน้ามี มาเอาพี่พลไป" ได้ยินแม่พูดกับยาย "คนมันถึงที่ จะไปโทษผีโทษคนตายไปแล้วมันได้ด้วยเหรอ" พ่อไม่เคยเชื่อเรื่อง
พวกนี้ "มันก็ไม่แน่หรอกเอง (แม่เรียกพ่อว่าเอง มาจาก ตัวเอง อ่ะแหละ แต่เรียกสั้นตามภาษาใต้) วันนั้นก็มาชวนตาจันทร์ไปอยู่ด้วย แต่ยายน้อม
แกก็ไปทำบุญให้ ขอกันยกใหญ่ ว่าอย่าเพิ่งเอาตาจันทร์ไป แกแก่แล้ว ให้แกตายเอง" "แม่ว่าถ้ามันมาเอาไปจริง ก็ขอให้จบที่ศพไอ้พลเถอะ อย่า
ให้มีศพต่อไปเลย ไอ้มีนี่ก็ญาติแม่ ไอ้วัตรก็ลูกขายแถมยังเป็นญาติเมียไอ้มีอีก ส่วนไอ้พลนี่แม่ก็เห็นตั้งแต่มันเกิดคนซอยเดียวกัน แต่มันก็ญาติไอ้
วัตรโดยตรงเลย" ยายเรียงลำดับญาติ เราเริ่มปะติดปะต่อเรื่อง "คนในงานพูดกันตอนพี่พลตาย แกตายตาไม่หลับนะ และไม่ได้ตายคาที่ด้วย" แล้ว
แม่ก็เล่าเหตุการณ์ที่ลุงพลตาย ลุงพลมีอาชีพทำสวนยางพาราเหมือนชาวบ้านปกติ แต่แกมีเครื่องตัดไม้ และมีพวกพ้องเยอะ ว่างๆตอนกลางวันที่
ไม่ได้กรีดยาง ก็มักจะมีคนจ้างวานแกให้ไปตัดไม้ยางให้ (ไม้ยางจะขายได้ราคามาก เมื่อมีอายุสัก 15 ปี น้ำยางเริ่มหมด คนก็จะตัดไม้ยางไปขาย)
วันนั้นลุงพลไปตัดไม้ยางบนเขา ข้างน้ำตก อยู่ๆ แกตัดไม้ยาง แล้วไม่ทันระวัง ต้นยางพาราขนาดใหญ่ล้มทับแก แกกระโดดหลบ แต่ก็ไม่ทัน ไม้
ยางกระแทกตัวแกอย่างแรง ลุงพลไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ แต่แกยังหายใจอยู่ พวกพ้องพากันตกใจ รีบเคลื่อนย้ายลุงพลขึ้นรถไปโรงพยาบาล อาจ
จะเป็นเพราะการเคลื่อนย้ายที่ไม่ถูกวิธี แต่ถ้าจะรอหมอหรือรถ 1669 สมัยนั้นก็กว่าจะเข้ามาถึง ใช้เวลามากกว่า 2 ชั่วโมงแน่ๆ พรรคพวกลุงพลจึง
ยกร่างแก ที่นอนตาค้าง หายใจรวยริน ขึ้นท้ายรถกระบะไปส่งโรงพยาบาล นั้นหมายความว่ารถที่ผ่านหน้าเราวันนี้ที่ขับกันเร็วๆ ก็เป็นรถที่พาลุง
พลไปส่งโรงพยาบาลนั่นเอง
เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตายลูกโซ่ (9) ตอนจบ
ลุงพลเป็นศพที่สามค่ะ ทุกคนต่างก็หวังว่าให้เป็นศพสุดท้าย เพราะระยะเวลาไม่ถึงปี มีเครือญาติกันเองตายไปสามคน ถือว่าไม่น้อยนะคะ แถม
แต่ละคนก็ตายโหงทั้งนั่น เรื่องหลอนของลุงพลเราไม่ค่อยรู้หรอกค่ะ เพราะไม่ได้สนิทด้วยขนาดนั้น เป็นแค่ญาติห่างๆ แต่ก็ได้ยินแค่ชาวบ้านเล่าว่า
วันที่เผาลุงพล ไม่มีใครเรียกแกไปวัด ไม่มีใครเรียกออกจากบ้านเลย อาจจะลืม หรือเร่งรีบ หรือเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ พอเผาเสร็จกลับมา มี
รองเท้าลุงพลวางอยู่หน้าบ้าน ทั้งๆที่ลูกๆ ก็เก็บเข้าที่แล้ว แต่ก็คิดว่าคงจะมีใครเอามาใส่ แต่พอเปิดประตูเข้าใจก็เห็นเก้าอี้โยกที่แกชอบนั่งดูทีวี
โยกอยู่ ที่แรกเห็นข้างหลัง คิดว่าเป็นแมวกระโดดขึ้นไปนั่ง แต่พอเดินไปดูแล้วก็ไม่มีอะไรเลย แล้วเก้าอี้ก็หยุดโยกไปเอง เหตุการณ์เก้าอี้โยกเกิด
อีกหลายครั้ง จนเมียลุงพลต้องเอาไปถวายวัดเลยล่ะค่ะ
ผ่านไปสองปี จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ก็ได้ย้ายมาเรียนที่อิสาน ก็ลืมเรื่องพวกนั้นไปเลย แล้วก็ไม่ได้ข่าวใครตายอีก จนมาวันหนึ่ง ตอนที่
เราเรียนอยู่ เพื่อนเราที่อยู่ใต้โทรมาเล่าให้ฟังว่า พี่นน รุ่นพี่ที่โรงเรียน ที่บ้านใกล้ตามี และเป็นหลานตามี โดนเพื่อนแทงตายที่หลังโรงเรียน พี่นนกับ
เราสนิทกันมากค่ะ เพราะแกเป็นแฟนของเพื่อนเรา เรายังเคยขับรถมอเตอร์ไซด์คันโปรดของแกไปล้ม แกไม่ว่าอะไรสักคำ ทั้งๆที่รถแกก็ถลอกปอก
เปิ เราเองก็ได้มาหลายแผล พี่นนเป็นนักเลงค่ะ อยู่แก๊งเดียวกันกับไอ้เม่นน่ะแหละ เกเร ไม่ค่อยเรียน พอย้ายไปเรียนที่ใหม่ จนจะจบ ม.6 ก็โดน
แทงตายซะก่อน เรื่องนี้เราก็สลดใจมากพอแล้วนะคะ คิดถึงวันที่แกเอาขนมมาให้กิน พาไปเที่ยวน้ำตก ดูแลเราเหมือนน้องสาวคนนึง
หลังจากพี่นนเสียได้ไม่นาน เพื่อนเราก็จะแต่งงาน เจ้าบ่าว เจ้าสาวเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกันทั้งคู่ แต่เราสนิทกับนัดที่เป็นเจ้าบ่าวมากกว่า เพราะ
อยู่ห้องเดียวกัน และอยู่แก๊งเดียวกับเม่น มันโทรมาบอกเรา เราก็เออ จริงเหรอ ดีใจด้วยนะ แล้วเราก็ลืมๆ ไป วันหนึ่งเราฝันเห็นตามี กับเม่น มาหา
เราที่บ้านย่า ในฝันเรารู้นะคะว่าตามีตายแล้ว แต่แกมาแบบปกติเราก็เลยเฉยๆ ชวนสองคนพ่อลูกนั่ง เราก็ตามว่าสบายดีมั้ย แล้วก็คุยกับตามีหลาย
เรื่อง เหมือนแกมีชีวิตอยู่ แต่ที่จริงตอนแกมีชีวิตเราก็ไม่เคยนั่งคุบยกับแกแบบนี้เลยนะคะ ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น เราสังเกตุว่าตลอดเวลาที่คุย
เม่นที่นั่งตรงกลางระหว่างเรากับตามีเอาแต่ก้มหน้า ยิ้มเศร้า ในฝันเราก็คิดว่า เม่นมันคงเศร้าที่พ่อมันตาย ก็งงๆไป ทำไมสองคนนี้มาด้วยกันได้
พอตื่นมาเราก็เลยโทรไปเล่าให้แม่ฟัง แม่เราก็พูดไปหัวเราะไป "เม่นมันคิดถึงน้องมั้ง" เราก็ถามแม่ว่ามีเบอร์เม่นมั้ย ไม่ต้องโทรไปหรอก โทรไป
มันก็ไม่รับ เราก็งงที่แม่พูด แล้วก็รู้สึกแปลก ๆ เราเลยตัดสินใจโทรไปหานัด เพราะจำได้ว่าตอนนัดแต่งงานนัดบอกว่าเม่นจะมางานแต่งนัดด้วย
"ไอ้เม่นมันตายแล้ว ตายเพราะจะมางานแต่งนัดน่ะแหละ" เราตกใจมาก ช๊อก ทำไรไม่ถูก แล้วนัดก็เล่าให้ฟัง เม่นโทรหานัดตลอด เพราะคืนก่อน
แต่งงานจะมีกินเลี้ยงกันเฉพาะเพื่อนๆ ก็เหมือนปาร์ตี้สละโสดแหละ ตอนนั้นเม่นไปทำงานอยู่กับญาติในเมือง (เพื่อนผู้ชายส่วนใหญ่เรียนกันแค่ ม
.3 ) ตอนนัดแต่งงาน เม่นมันดีใจมาก มันสัญญากับนัดว่ามันต้องมาให้ได้ มันจะออกจากเมืองตั้งแต่ 6 โมงเย็น เพื่อมาปาร์ตี้ แต่ติดที่มีงานด่วน มัน
โทรหานัดทุกแทบทุกชั่วโมง ว่าอย่าโกรธมัน มันกำลังจะไป อาจจะดึกหน่อย แต่ยังไงก็สัญญาว่าจะไปให้ได้ ด้วยความที่เริ่มดึก นัดเริ่มเป็นห่วง
เพราะหากเม่นจะมาก็ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง แถมทางเปลี่ยว อันตราย ประมาณ 3 ทุ่ม นัดจึงจะโทรบอกเม่นว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยมาตอนเข้าพิธีเลยก็ได้
ดึกมากแล้ว แล้วตอนเย็นพรุ่งนี้เดี๋ยวเลี้ยงอีกที แต่โทรยังไงก็ไม่ติด แต่ก็ไม่คิดอะไร คิดว่าเม่นคงแบตหมด พอตอนเช้าก็ยังไม่เห็นเม่นมา แต่นัดก็
ไม่ได้เอะใจอะไรมาก เพราะตื่นเต้นกับการเข้าพิธี ตกเย็นนัดพยายามโทรหาเม่นอีกครั้งเพื่อมากินเลี้ยงงานเย็น แต่ก็โทรไม่ติด จนกระทั่งเพื่อน
ของนัดขี่มอไซด์มาที่บ้านนัด แล้วบอกว่า เม่นถูกรถสิบล้อชนตายคาที่ ตอนนี้แม่เม่นกำลังจะเอาศพมาที่บ้าน และงานแต่งก็เศร้าลงไปทันที นัด
พยายามข่มน้ำตาเพราะวันนี้เป็นวันมงคล แต่กลับต้องสูญเสียเพื่อน ส่วนเพื่อนในแก๊งก็ต้องแอบขอตัวออกมาร้องไห้กันนอกงานเลยทีเดียว ตอนนัด
เล่าให้เราฟัง เราก็ห้ามน้ำตาไม่อยู่เหมือนกัน ก็โทรไปหาแม่ว่าทำไมไม่บอกเราเรื่องเม่น แม่เลยบอกว่า นึกว่าไม่สนิทกันขนาดนั้น แถมเราชอบ
บ่นให้ฟังว่าไม่ชอบเม่นอยู่บ่อยๆ ตอนที่ไม่รู้ว่าเม่นเป็นญาติเรา
เรื่องพี่นนกับเม่น อาจไม่เกี่ยวกับการตายลูกโซ่นะคะ แต่ก็เป็นคนใกล้ตัวเรา แถมยังเป็นเครือญาติกันอีก เราอยากเล่าให้ฟังเฉยๆ ค่ะ แหะๆ เพราะ
ไหนๆ เปิดตอนมาก็มีเม่นแล้ว ที่จริงอยากจะบรรยายความเป็นเม่นให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่มันจะผิดประเด็นไป แค่นี้ก็นอกเรื่องแล้ว 555
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ ^_^
เรื่องจากพันทิป เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตายลูกโซ่
เรื่องโดย โดยสมาชิกพันทิปนาม มดตะนอยตัวน้อยนิด
เรื่องโดย โดยสมาชิกพันทิปนาม มดตะนอยตัวน้อยนิด
Post a Comment