เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : อพาร์ทเม้นท์ผีสิง

 

     "เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : อพาร์ทเม้นท์ผีสิง" เป็นเรื่องอ้างอิงจากเรื่องจริง โดยสมาชิกพันทิปหมายเลข 2299004 ขอขอบคุณประสบการณ์สยอง ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

เรื่องที่เราจะเล่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มีสถานที่นี้อยู่จริงๆ และเกิดขึ้นจากเราจริงๆ แต่ตัวละครถูกสมมติชื่อขึ้น เพื่อไม่ให้กระทบกับหลายๆอย่าง และเรื่องราวถูกปรับแต่งให้มีความตื่นเต้นจากเรื่องจริงเล้กน้อยเพื่ออรรถรสในการอ่านค่ะ

ตอนที่ 1
หลังจากเลิกงานแล้ว เรากับพี่ๆก็พากันไปกินเลี้ยงสังค์สรรค์ เนื่องจากการทำงานในช่วงนี้เราได้มาทำงานต่างสาขาที่ไกลจากสำนักงานใหญ่ ซึ่งทางทีมจะต้องมาซัพพอทงานในช่วงเริ่มเปิดสาขา และด้วยความตื่นตาตื่นใจกับสถานที่แปลกใหม่ ทุกๆเย็นจะชวนกันไปสังสรรค์เสมอ วันนี้ก็เช่นกัน จากทีมงานทั้งหมดประมาณสิบกว่าคนมีผู้หญิงอยู่ 4 คน รวมเราด้วย วันนั้นก็ดื่มกันนิดหน่อย พอกรึ่มๆ ในบรรดาผู้หญิง 4 คน จะมีแค่พี่ตาเท่ากันที่ไม่ได้ดื่มเหล้าด้วย พอดันเสร็จสรรพต้องกลับที่พัก พวกผู้ชายก็ต้องไปส่งทีมผู้หญิงก่อน เพราะใช้รถบริษัทคันเดียวกัน
ที่พักของทีมผุ้หญิง จะอยู่ในซอยของร้านอาหารชื่อดังย่านพระรามสอง (บ้านแพ้ว) เป็นอพาร์ทเม้นต์สภาพค่อนข้างใหม่ มีทั้งหมดสามชั้น ก่อนหน้านี้ มีทีมงานช่างผู้ชายอีกทีมที่อยู่ชั้นแรก แต่เมื่อหอพักในบริษัทสร้างเสร๋จก็ย้ายเข้าไปอยุ่ข้างใน ซึ่งจำนวนพนักงานที่ต้องอยู่มีมากกว่าจำนวนห้องที่มีในบริษัท ทำให้ทีมเราเสียสละอยู่ข้างนอกต่อ ความจริงคืออยู่ในหอพักนั้นอึดอัดกฏระเบียบเยอะ ออกไปไหนไม่ได้ แถมไม่มีรถบริษัทให้ใช้ ถ้าอยู่ข้างนอกจะสะดวกกว่า ดังนั้น พวกเราจึงอยู่ต่อที่อพาร์ทเมนต์แห่งนี้ โดยก่อนหน้านี้ เราอยู่ชั้นสาม ซึ่งเปิดให้ 3 ห้อง คือ ห้อง 305 306 และ 307 อยู่กันห้องละ 4-5 คน ซึ่งถือว่าแออัดมาก แต่ด้วยความที่บริษัทหาที่พักให้ไม่ได้เลยจำเป็นต้องอยู่ ทีนี้พอหอพักในบริษัทสร้างเสร็๋จทีมอื่นๆก็พากันย้ายไปอยู่ ก็เหลือทีมเราสี่คน ด้วยความที่ 4 คนอยู่ห้องเดียวก็จะอึดอัดเกินไป ห้องน้ำก็มีแค่ห้องเดียวต้องต่อคิวยาว จึงตัดสินใจ แยกกันอยู่เป็น 2 ห้อง คือ ห้อง 305 และ 307 เรายังอยู่ห้องเดิมคือห้อง 307 กับพี่พลอย ส่วนพี่ตากับพี่ภัทรย้ายไปห้อง 305 ความจริงแล้วเรื่องแปลกๆก็เกิดขึ้นกับเราบ่อยๆ แต่เราเองไม่ได้สนใจ เพราะกลับจากทำงานกว่าจะกินข้าวเสร็จกว่าจะได้พักก็ไม่ต่ำกว่า 4 ทุ่ม สักคืน เรื่องที่เกิดประจำคือ เวลาเราอาบน้ำก็จะได้ยินเสียงห้องข้างๆ คือห้อง 306 อาบด้วยทุกครั้ง มีเสียงเหมือนของตกลงพื้น เหมือนขวดแชมพูอะไรประมาณนี้ ตอนนั้นยังไม่คนพักที่ห้อง 306 ก็คิดในใจว่า ตลกดี ทำไมต้องมาอาบน้ำพร้อมกันทุกครั้ง โดยลืมคิดไปว่า ทีมที่อยู่ห้อง 306 นั้นเค้ากลับหลังเที่ยงคืนทุกวัน !!!

ตอนที่ 2
อีกสองวันจะต้องกลับสำนักงานใหญ่ ซึ่งหมายึงว่าเราต้องพักที่อพาร์ทเม้นแห่งนี้อีกสองคืน คืนแรกไม่ได้ออกไปสังค์สรรค์กันค่ะ ก็กลับหอพักประมาณ 4 ทุ่ม แต่ก็ไม่ลืมแวะเซเว่นซื้อเบียร์ติดไม้ติดมือกันมาด้วย แก้เครียด เราสี่คนเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจที่ยังไม่มีใครพูดออกมา เราเองก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกแปลกๆแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาเช่นกัน ต้นเหตุของเรื่องก็คือ ตอนกินข้าวกลางวัน มีพี่มงานช่าง มาถามพวกเราว่า พวกเราพักกันที่ไหน เราก็ตอบว่า "ก็อพาร์ทเม้นเดิมที่พวกพี่อยู่นั่นแหละค่ะ" (ทีมช่างทีมนี้ย้ายออกก่อนที่เราจะเข้าไป)  "ออๆ พักชั้นหนึ่งไม่มีอะไรหรอก" พวกเราก็มองหน้ากัน พี่ตาเลยบอกว่า "พวกหนูอยู่ชั้นสามค่ะ" คราวนี้ช่างคนที่ถามผงะเล็กน้อย แต่ก็ถามต่อ "พักห้องไหน" "307 ค่ะ" เราตอบอย่างรวดเร็ว คราวนี้ทีมช่างทำหันมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย เราเป็นคนที่เซ้นไวมากกับการจับผิด รู้ทันว่าห้องนั้นต้องมีอะไร และรู้ด้วยว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่  จนที่สุดพี่ช่างก็ตัดสินใจพูดออกมา "อยู่กันไปได้ยังไงวะ รู้มั้ยก่อนพวกพี่จะลงมาอยู่ชั้นหนึ่งพี่ก็อยู่ห้อง 307 นั่นแหละ" เราอ๋อในใจทันทีเพราะเห็นของใช้ของพวกผู้ชายหลงเหลืออยู่ในห้อง เช่น เสื้อคลุมที่อยู่ในตู้เสื้อผ้า "แล้วไงคะพี่" พี่ภัทรถามด้วยความสงสัย" "ก็เจอดีกันน่ะสิ ของกพวกพี่ยังเก็บมาไม่หมดเลย ไม่กล้าไปเอาด้วย กะว่าวันไหนบริษัทต้องไปเคลียร์ห้องจะให้เค้าเอามาให้ด้วย" ข้าวที่กินอยู่เริ่มกลืนยากขึ้นเรื่อยๆ จนเราทนไม่ไหว  วางช้อนแล้วทำท่าทางสนใจถามอย่างจริงจัง "เจอดียังไงคะพี่ อาบน้ำอยู่แล้วเหมือนห้อง 306 อาบด้วยแล้วทำของตกป่ะ " ทีมผู้หญิงมองหน้าเรา แค่เราไม่ได้สนใจ หันไปเอาคำตอบจากพี่ผู้ชาย "นั่นน่ะจิ๊บๆอีหนู ของพี่นี่มาทั้งตัว" พวกเราตาลุกวาว ตอนนี้แม้แต่แก้วน้ำยังไม่กล้าหยิบดื่ม

ตอนที่ 3
พี่ช่างเริ่มเล่า "ช่วงแรกๆที่พี่เข้ามาอยู่ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็ปกติกลับห้องก็อาบน้ำนอน จนมาวันหนึ่ง พี่ได้ยินเสียงของตกจากห้องข้างๆ ก็ห้อง 306 นั่นแหละ ตอนนั้นทีมผู้หญิงห้องนั้นยังไม่กลับ ตอนที่อาบน้ำ พี่จะมี

กะละมังสำหรับรองน้ำอาบ เพราะพี่ไม่ชอบใช้ฝักบัว แต่วันนั้นพี่เหนื่อยมาก เลยใช้ฝักบัว แรกๆตอนอาบพี่ก็ได้ยินเสียงน้ำจากห้องข้างๆด้วย แล้วเวลาอาบฝักบัวมันต้องยืนอาบ สบู่ย่าสระผมก็อาบไว้ที่ชั้นวางปกติ ไม่ได้เอา

ลงมาเหมือนตอนนั่งอาบ ทีนี้มือพี่ดันไปปัดโดนขวดแชมพูตก ก็ไม่มีอะไรก้มไปหยิบขึ้นมาปกติ สักพักได้ยินเสียงปึ้ง จากห้องข้างๆ เหมือนขวดแชมพูตก แต่ปัญหาคือพี่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีคนอยุ่แน่นอน เพราะตอนเดิน

ผ่านห้องยังล๊อกอยู่ แล้วมาถึงห้องพี่ก็เข้าไปอาบน้ำเลยเป็นคิวแรก ตอนนั้นพี่พยายามหลอกตัวเองว่าเป็นเสียงสะท้อน แต่รู้อยู่แล้วแหละว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะระยะเวลาห่างพอสมควร แล้วพี่ก็อาบน้ำเสร็๋จเพื่อนก็มาอาบ

ต่อ เราก็นอนปกติ คืนนั้นพี่ฝันไปว่า มีผู้ชายคนนึงเปิดประตูห้องเข้ามา เหตุการณ์เหมือนจริงมาก เพราะตอนที่เค้าเปิดเข้ามาก็ในฝันพี่ก็ยังเห็นเพื่อนๆกับพี่เองนอนมองเขาอยู่ แต่เหมือนผู้ชายคนนั้นมองไม่เห็นพวกเรา

(เราลืมบอกไปว่าที่ห้องนั้นมีเตียงขนาด 6 ฟุต อยุ่ด้วย) เพื่อนพี่สองคนนอนบนเตียง ส่วนพี่กับเพื่อนอีกคนนอนที่พื้น ผู้ชายคนนั้นก็เข้ามา เปิดตู้เสื้อผ้า หยิบผ้าเช็ดตัว ทำเหมือนคนเลิกจากงานปกติ แล้วก็เข้าไปอาบน้ำ

ระหว่างเขาอาบน้ำพี่ก็ได้ยินเสียงของตกตลอด พอเขาอาบน้ำเสร็จก็เดินออกมาจากห้องน้ำออกมาเปืดตู้เสื้อผ้าใส่ชุดนอน ทาแป้ง แล้วก็ขึ้นไปนอนบนเตียง หันหน้ามาทางพี่ เค้าเหมือนจ้องหน้าพี่นะ แต่พี่รู้สึกได้ว่าเค้ามอง

ไม่เห็นพี่ แล้วเค้าก็นอนมองมาทางพี่อยู่อย่างนั้น จนพี่สะดุ้งตื่น พี่ยังไม่กล้าเล่าให้เพื่อนฟัง กลัวว่าเพื่อนจะกลัวกันหมด แต่คืนต่อมานี่สิ" พี่ช่างหยุดเล่า พวกเรากลืนน้ำลาย พี่ภัทรน้ำตาตลอเบ้า ส่วนเราน่ะเหรอ หึหึ ถ้าเป็น

เรื่องจริง ก็เจอมาบ้างแล้วล่ะ

ตอนที่ 4
"พี่ตื่นไปทำงานตามปกติ คืนนี้กลับห้องดึกหน่อย ประมาณห้าทุ่มครึ่ง ก่อนเข้าห้องพี่เช็คประตูห้อง 306 อย่างละเอียดว่าไม่มีใครอยู่แน่นอน แต่คราวนี้พี่ให้เพื่อนอาบน้ำก่อน สักพักได้ยินเสียงของตก แล้วเพื่อนที่ก็ร้อง

โวยวายหัวเต็มไปด้วยแชมพูวิ่งออกจากห้องน้ำที่มีผ้าเช็ดตัวคลุมอยู่หมิ่นเหม่ จะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ (จังหวะนี้พี่คนที่ถูกพูดถึงกำลังนั่งหน้าแดงด้วยความอาย  พวกเราก็หลุดขำออกมาเล็๋กน้อย) แล้วมันก็โวยวายใช้ให้พี่

ออกไปดูว่าห้องข้างๆว่าพวกทีมผู้หญิงกลับมาหรือยัง พี่ก็ยืนยันว่าผ่านมาเมื่อกี้ห้องยังล๊อกอยู่ มันก็ไม่ยอมเชื่อ จะให้พี่ออกไปดูอีกท่าเดียว ก็ยอมไปดูแล้วยืนยันว่ายังไม่มา เท่านั้นแหละเพื่อนพี่กระโดดขึ้นเตียงทั้งที่ตัวเปียก

แชมพูเต็มหัว ที่จริงพี่รู้แล้วและว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่คิดว่าเพื่อนจะกลัวหนักขนาดนี้ สรุปคือมันไม่ยอมไปอาบน้ำต่อ แล้วก็เอาผ้าเช็ดตัวเช็ดแชมพูออก หัวจะเป็นสังคังรึป่าวก็ไม่รุ้ (sพวกเราและพี่ทีมช่างหัวเราะครืน พี่ที่

ถูกพูดถึงค้อนประหลับปะเหลือก) " "แล้วพี่เจออะไรคะ" พี่ภัทรกลัวไม่ได้ฟังต่อรีบถามอย่างไว "ก็ระหว่างที่สระผมอยู่ พี่ได้ยินเสียงห้องข้างๆอาบน้ำ แล้วทำของตก แล้วอยุ่ดีๆ ขวดแชมพูก็ตกลงมาน่ะสิ" พี่คนนั้นทำท่าขน

ลุก "อืม แล้วพวกเราที่เหลือก็ทยอยกันไปอาบน้ำ ส่วนไอ้เนี่ยก็คลุมโปงนอนนะตอนนั้นเลยทีเดียว พออาบน้ำเสร็จพวกเราก็๋ปิดไฟนอน ซึ่งนอนยังไงก็นอนไม่หลับ ต่างก็ยังคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ สักพักหางตาพี่เหลือบไป

เห็นเงาดำๆ ที่ปลายเท้า แต่ตอนนั้นพี่หันหลังให้ และพอดีกันกลับที่ไอ้เนี่ยเปิดผ้าห่มที่คลุมโปงออก สบตากับพี่พอดี (นึกภาพตามนะคะ ห้องน้ำจะต่อออกไปด้านหลัง ซึ่งจะต้องเปิดประตูหลังออกไปก่อน แล้วประตูก็มี

ผ้าม่านผืนใหญ่ๆ สีเขียวสว่าง เวลานอนเปิดพัดลมมันก็ปลิวๆหน่อย ประตูก็เป็นประตูกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่) ตอนนั้นพี่นอนหันหลังไปทางประตู ส่วนเพื่อนพี่พอเปิดผ้าห่มออกมันก็หันหน้ามาที่ประตูพอดี ตอนที่

พีมองหน้ามัน ปากมันเริ่มสั่น น้ำตามันเริ่มไหล ตัวสั่นไปทั้งตัว หางตาพี่ก็เห็นเงาดำๆ ที่ปลายเท้า แล้วด้วยสัญชาติญาณพี่ก็ค่อยๆกันไปดูตามเพื่อน สิ่งที่พี่เห็นคือสิ่งที่ทำให้พี่ต้องจดจำไปตลอดชีวิต ร่างสีดำทะมึน ที่มีแสง

จันทร์สาดส่องผ่านผ้าม่านสีเขียวสว่าง และเริ่มเห็นหน้าชัดขึ้นๆเรื่อย จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามแต่ แต่สิ่งที่พี่เห็นนั้นเป็นคนๆเดียวกันกลับที่พี่ฝันถึง ซึ่งตอนนี้เขาจ้องเขม็งไปที่เพื่อนพี่ที่นอนตัวสั่นอยู่บนเตียง แต่สายตานั้น

ไม่ได้แสดงอาการโกรธเกรี้ยวอะไรนะ แค่เหมือนสงสัย ว่าพวกเราเป็นใครมากกว่า" พี่ช่างหยุดเล่า แล้วหยิบน้ำขึ้นมากิน "แล้วพี่ทำไงต่อคะ" เราอยากรู้มาก "ก็ข่มตานอนทั้งอย่างนั้น ไม่กบ้าแม้จะหายใจแรง ไม่กล้าขยับ

นอนเหงื่อแตกกันทั้งคู่ แต่ดีนะมันไม่หันมาสบตาพี่ด้วย ไม่งั้นพี่คงสติแตก พอเช้ามาพวกพี่ก็เก็บลงมาเลย แต่ทางบริษัทหาที่พักให้ไม่ได้ พวกพี่ก็เลยต้องลงมาอยู่ชั้นหนึ่งน่ะแหละ" พี่ช่างเล่าจบ เราก็ถึงเวลาแยกย้ายกัน

ไปทำงานพอดี จนลืมๆเรื่องนี้ไป อีกอย่างก็ให้กำลังใจตัวเองว่าพี่เค้าอำเราเล่นๆ แค่นั้นเอง
แต่มันไม่ใช่ตามที่เราหวังน่ะสิ

ตอนที่ 5
ตัดภาพกลับมาที่พวกเราค่ะ พอพวกเราถึงห้องในคืนแรกจากสองคืนที่เหลือก่อนกลับสำนักงานใหญ่ เราก็ต่างพร้อมใจกันซื้อเบียร์คนละกระป๋องสองกระป๋อง จุดประสงค์คนอื่นเราไม่รู้ แต่ของเราคืออย่างนอกให้หลับ

สบาย  พอถึงห้องต่างคนต่างเข้าที่พัก พี่ตากับพี่ภัทรก็เข้าห้อง 305 ด้วยความสบายใจ แต่เรานี่สิต้องอยู่ห้อง 307 กับพี่พลอย ส่วนห้อง 306 ก็ไมม่มีกุญแจเข้า จะย้ายก็๋ไม่ได้ จะไปขออยู่ห้อง 305 ด้วยก็เกรงใจพี่ๆ เรากับพี่

พลอยเป็นเด็กทั้งคู่จึงจำใจจต้องดำเนินชีวิตต่อในห้องนั้น เรากับพี่พลอยก็นั่งกินเบียร์ย้อมใจกัน คุยเรื่องสัพเพเหระ แต่ในหัวเรานี่สิ คิดแต่เรื่องที่ได้ยินมา ด้วยความที่เรากับพี่พลอยนอนข้างล่างตั้งแต่แรก พอเหลือกัน

สองคน ก็ไม่มีใครขึ้นไปนอนบนเตียงอยู่ดี เตียงก็ว่างต่อไป ความกลัวเริ่มก่อตัวทีละนิดๆ แอลกอฮออร์ไม่ได้ช่วยอะไรพวกเราเลย สักพักเราตัดสินใจขอตัวไปอาบน้ำ ปกติเราจะเข้าไปถอดเสื้อผ้าหรือจัดการตัวเองในห้อง

น้ำออกมาพร้อมนอน แต่วันนี้เราทำทุกอย่างในห้องนอน เพื่อร่นระยะเวลาในการเข้าห้องน้ำในสั้นที่สุด พี่พลอยเองก็เหมือนจะเข้าใจ ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เราก็นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเข้าห้องน้ำ ระหว่างที่อาบน้ำอยู่นั้น ก็

เหมือนเดิมเลยรู้สึกตลอดเวลาว่ามีคนอาบน้ำอยู่ห้อง 306 เรานี่รีบอาบชนิดที่เรียกว่าวิ่งผ่านน้ำได้เลย จริงจิงไม่อยากจะอาบด้วยซ้ำ พอออกจากห้องน้ำ เราก็เห็นพี่พลอยกำลังขนกระเป๋าเดินทางขึ้นไปวางบนเตียง พร้อมเปิด

กระเป๋าทิ้งไว้ เหมือนจะเก็บหรือหยิบเสื้อผ้า ยังไม่ทันได้ถามอะไรพี่พลอยก็บอกว่า "น้อง ... ก็เอากระเป๋าขึ้นมาวางบนนี้ด้วยกันสิ เราจะได้นอนที่กว้างๆ " พร้อมยิ้มแหยๆ เรามองตาพี่พลอยอย่างรู้ใจ พี่พลอยคงกลัวว่าเตียงจะ

ว่างและจะมีใครบางคนมานอนอยู่ แต่เราน่ะสิไม่คิดอย่างนั้น ถ้าขนของทุกอย่างไปวางไว้บนเตียง พื้นที่รอบตัวเราก็โล่งพอที่จะให้มีคนมานอนข้างๆแบบไม่อึดอัด  ได้สองสามคนเชียว แต่เราก็จำเป็นต้องขนไปเพื่อความ

สบายใจของพี่พลอย หลังจากนั้นพี่พลอยก้ไปอาบน้ำ  ต้องขอบคุณแอลกอฮอร์จริงๆ ที่ทำให้เราหลับสบายได้อย่างรวดเร็วในคืนนี้ ซึ่งแตกต่างกับคืนสุดท้ายของที่นี่นิ่งนัก หึหึ

ตอนที่ 6
คืนสุดท้ายของการทำงานที่สมุทรสาคร เราก็มีงานเลี้ยงเล็กๆ แก้เหนื่อยจากที่อยู่ที่นี่มาเกือบเดือน โดยทำงานไม่มีวันหยุดเลย ปกติก็สังสรรค์กันทุกวัน แต่วันนี้พิเศษหน่อย เราลืมเรื่องอพาร์ทเม้นท์ไปเลย อีกอย่างก็คิดว่าคืนสุดท่ายคงไม่มีอะไรพรุ่งนี้ก็แยกย้ายกันกลับแล้ว เหตุการณ์กินเลี้ยงผ่านไปอย่างสนุกสนาน เผลอแป๊บเดียวห้าทุ่มครึ่งแล้ว (เราเข้าไปกินแถวมหาชัย ส่วนที่พักอยู่บ้านแพ้ว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที) ก็พากันแยกย้ายกับ ทีมผู้ชายก็ไปส่งทีมผู้หญิงปกติ พี่พลอยเมามาก ส่วนเราก็ค่อนข้างเมาแต่ก็พอรู้เรื่อง พี่พลอยคือน๊อกตั้งแต่อยู่บนรถ ส่วนพี่ภัทรเป็นนักดื่ม แค่นี้ไม่สามารถทำอะไรแกได้ พี่ตาก็เหมือนเดิม คือไม่แตะแอลกอฮอร์ เราลืมเรื่องในอพาร์ทเมนท์ มาถึงที่พักก็ตอน เที่ยงคืนตรงเป๊ะๆ เจ้าของอพาร์ทเม้นที่จะมาปิดประตูข้างหน้าก็แซวว่า แหม๋ มาตรงเวลาจังเลยนะครับ เพราะหอจะปิดตอนเที่ยงคืน อันนี้เราเพิ่งรู้ เพราะไม่เคยเข้าดึกขนาดนี้ มาถึงห้องพี่พลอยก็ล้มตัวนอนแล้วบอกเราไปอาบน้ำก่อน ตอนที่อาบน้ำก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง แล้วก็เหมือนพี่พลอยลุกไปเปิด สักพักประตูห้องก็ปิด แต่ไม่ได้ยินเสียงคนคุยอะไรกัน เราก็คิดในใจพี่พลอยคงไปหาพี่ภัทรกับพี่ตาที่ห้อง 305 ตอนนั้นก็ไม่ได้งอนอะไรที่พี่ทิ้งเราไว้คนเดียว เพราะมึนๆ จากฤทธ์แอลกอฮอร์ พออาบน้ำเสร็จก็ออกมาเจอพี่พลอยนั่งอยู่บนฟูก เราก็เลยถาม "เอ้า พี่พลอย เมื่อกี้ใครมาเคาะประตูเหรอ หนูนึกว่าพี่พลอยไปเล่นห้องนู้นซะอีก พี่พลอยบอก "พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครมาเคาะ แต่ไปเปิดก็ไม่มีใคร โทรไปถามพี่ภัทรก็ว่าไม่มีใครมา สงสัยเคาะผิดห้อง" เพราะชั้นที่เราอยู่นอกจาก 3 ห้อง ที่บริษัทเช่าให้พนักงานแล้ว ก็มีคนทำงานเข้าพักปกติอยู่ด้วย แต่ก็ต้องเดินผ่านห้องที่เราพักไป เพราะบันไดมีทางเดียว แต่เราก็ไม่เคยเจอนะ เพราะเค้าคงทำงานเวลาปกติ พอพี่พลอยเข้าไปอาบน้ำ เราก็ได้ยินเสียงเคาะห้อง ป๊อก ๆ ๆ 3 ครั้ง  แต่เราไม่เดินไปเปิด เพราะเริ่มกลัว ปกติหากเป็นพี่ภัทรกับพี่ตา เรามั่นใจว่า จะต้องเคาะรัวๆ แล้วก็ต้องเรียกด้วยแน่นอน แล้วก็หายไป จนพี่พลอยออกมาจากห้องน้ำ ตอนนั้นเรานั่งอยู่บนเตียง "ใครมาเคาะห้องอีกแล้วเหรอ " พอพี่พลอยพูดจบ ป๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะห้องก็ดังอีก คราวนี้เราหันไปมองหน้าพี่พลอยแบบไม่ได้นัดหมาย ความกลัวเข้าครอบงำอย่างรวดเร็ว ตอนนั่นคือไม่คิดถึงโจรหรือมนุษย์อะไรทั้งนั้น สัญชาติญาณบอกได้เลยว่ามันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต เรากระโดดลงจากเตียงไปนอนบนฟูก ส่วนพี่พลอยก็เขยิบฟูกมานอนใกล้เรา เรานอนติดกำแพงฝั่งห้องน้ำ ส่วนที่พลอยนอนติดฝั่งเตียง เรากับพี่พลอยหันหลังให้กัน ป๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นมา คารวนี้เรากับพี่พลอย นอนหงายหน้าตามองฝ้าอย่างไม่ได้นัดหมาย ไม่ถึง 10 วินาที ป๊อก ๆ ๆ คราวนี้เรากับพี่พลอยหันหน้าเข้าหากัน ความเมาหายไปตอนไหนไม่แน่ใจ แต่แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาดอย่างแน่นอน ป๊อก ๆ ๆ คราวนี้เรากับพี่พลอยนอนกอดกันเลยทีเดียว จนพี่พลอยทนไม่ไหว เริ่มร้องไห้ ส่วนเราก็น้ำตาคลอ ตัวสั่นไปหมด พี่พลอยตัดสินใจโทรหาพี่ภัทร พี่ภัทรรับสาย เราบอกว่า "ใครก็ไม่รู้ว่าเคาะห้อง"  แทนที่พี่ภัทรจะออกมาดูให้เรา แต่พี่ภัทรกับบอกให้เราสวดมนต์ เพิ่มความกลัวให้เราสองคนมากขึ้นไปอีก ป๊อก  ๆ ๆ เราไม่ยอมวางสายจากพี่ภัทร " พี่ภัทรมารับหน่อย หนูกลัว " พี่พลอยร้องไห้ บอกพี่ภัทรเดินมารับ แต่พี่ภัทรไม่มา พี่ภัทรเองก็กลัวเรื่องแบบนี้มาก เพราะเคยมีประสบการณ์ "พี่ภัทร หนูนึกบทสวดอะไรไม่ออกเลย" เราตะโกนบอกให้เสียงเข้าไปในโทรศัพท์พี่พลอย  "เอางี้ พลอยเปิดสปีกเกอร์โฟน เดี๋ยวพี่สวดมนต์ให้หัง" พี่พลอยรีบทำตาม เพราะรู้ว่ายังไงพี่ภัทรก็ไม่มารับแน่ (นึกภาพนะคะ ห้องห่างกันแค่ห้อง 306 กั้น มีระเบียงด้านหน้า แต่ไม่มีใครกล้าออกไป " ระหว่างนั้นเสียง ป๊อก ๆ ๆ ก็ดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ พี่ภัทรเริ่มสวดมนต์ เสียงนั่นเริ่มถี่กว่าเดิม กลายเป็๋น ป๊อก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ สม่ำเสมอไปแบบนี้ เรากับพี่พลอยนอนกอดกันหลับตาฟังเสียงสวดมนต์ของพี่ภัทร นานกว่า 20 นาที พี่ภัทรสวดอยู่อย่างนั้น แต่เสียงก็เคาะประตูก็ไม่หายไป

ตอน 7 (จบ)
พี่ตาที่ไม่ได้เมา และคิดว่าเด็กๆ อย่างพวกเราเมาแล้วหลอนไปเอง จึงบอกพี่ภัทรว่าจะเดินไปรับน้องๆมานอนห้องนี้เอง แต่พี่ภัทรไม่ยอมให้ออกจากห้อง "เอางี้ พลอย กับน้อง เปิดประตูแล้ววิ่งออกมา พี่จะคอยเปิดประตูห้องพี่ให้ แต่เปิดสปีกเกอร์โฟนไว้ พี่ภัทรยังสวดมนต์ให้ต่อ ก่อนพวกเราจะเปิดประตูห้อง 307 เสียงเคาะก็เงียบไปสักพักแล้ว จึงตัดสินใจจะเปิดออกไป พี่ภัทรก็บอกว่า "พี่บอกให้เปิดค่อยหมุนลูกบิดนะ"  บทสวดพี่ภัทรจากสปีกเกอร์โฟน เปลี่ยนเป็นบทท่องอะไรสักอย่าง ตอนนั้นเราจับได้ว่า ประมาณขอเจ้าที่เจ้าทางเปิดประตุทำนองนี้ เราไม่ลืมที่จะหยิบตีกตาออกไปด้วย (เป็นคนติดตุ๊กตา ต้องมีให้กอดตอนนอน) พอพี่ภัทรให้สัญญาณว่าเปิดได้ เรากับพี่พลอยวิ่งหน้าตั้ง แต่เวรของกรรม ตุ๊กตาเราหลุดมือ หล่นลงพื้นหน้าห้อง แต่ตัวเราวิ่งไปหยุดหน้าห้อง 305 แล้ว และกลัวเกินกว่าจะย้อนกลับไปเก็บจึงตัดสินใจทิ้งน้องหมีน้อยที่น่าสงสารไว้ตรงนั้น แต่เวรกรรมซัดซ้ำ แทนที่พี่ภัทรจะเปิดประตูรอ กลับกลายเป็นเราคต้องยืนรอหน้าห้อง และพี่ภัทรก็ท่องบทขอเปิดประตูก่อน เรากับพี่พลอยยืนตัวสั่นอยู่หน้าห้อง 305 อย่างนั้น ป๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังอีก คราวนี้แน่ใจเลยว่าไม่มีใครมาเคาะแกล้งแน่นอน ประตูถุกเคาะที่ห้อง 307 เรากับพี่พลอยมองไปแบบไม่ได้นัดหมาย หัวใจแทบหยุดเต้น เงาดำทะมีนเป็นรูปเป็นร่างลักษณะเหมือนคนแต่เป็นเพียงเหมือนแค่กลุ่มควัน เราก้าวขาไม่ออก ถ้าวิ่งคือต้องไปทางบันไดเท่านั้น เงานั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหาตรงที่เรายืนอยู่ อยู่ๆ ไฟก็ดับพรึ่บ และพอดีกับที่พี่ตาเปิดประตูห้อง พี่พลอยกับเรากระโจนเข้าห้อง ร้องไห้พูดไม่เป็นภาษาทันที พี่ภัทรนั่งสวดมนต์ไม่หยุด พี่ตาปิดประตูแล้วเดินไปนอนต่อ พี่ตานอนข้างล่างเตียง ตอนนี้บนเตียงมีสามคน คือ พี่ภัทร ที่กำลังสวดมนต์ และเรากับพี่พลอยที่นอนตัวสั่น เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เรากับพี่พลอยร้องไห้จนหลับไป พอตื่นเช้า เราก็ไปเก็บของออกมาทันที ส่วนน้องหมีที่หล่นอยู่หน้าห้องก็วางอยู่ในลักษณะเดิม และเราก็จำเป็นต้องเอามันกลับด้วย
ถ้าคิดภาพย้อนกลับ มันเหมือนหนังผีที่มีความตลก แต่ตอนนั้นเราตลกไม่ออกจริงๆคะ เรื่องนี้ถูกเล่าครั้งแล้วครั้งเล่า และทุกครั้งที่เล่า ก็จะมีเสียงหัวเราะจากคนฟัง  แหม๋ๆ ไม่เป็นตัวเองไม่รู้หรอกค่ะ เรานี่เข็ดสุดๆ พอต้องไปทำงานที่นั่นอีก ขอเด็ดขาดไม่เอาอพาร์ทเมนต์เดิม
และทุกๆ ครั้งที่ต้องไปทำงานต่างสาขา เราก็มีประสบการณ์แบบนี้เสมอ
หากกำลังใจมากพอ จะเอามาเล่าให้ฟังอีกนะคะ

เรื่องจากพันทิป เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : อพาร์ทเม้นท์ผีสิง

เรื่องโดย โดยสมาชิกพันทิปนาม มดตะนอยตัวน้อยนิด


ไม่มีความคิดเห็น