เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตามกลับบ้าน


     "ตามกลับบ้าน" เรื่องราวลี้ลับจาก ที่สร้างจากเรื่องจริง จากสมาชิกพันทิปนาม มดตะนอยตัวน้อยนิด ผู้สร้างซีรี่ย์ "เรื่องเล่าไม่ควรเล่า" ได้ยังฝากผลงานไว้มากมาย ขอขอบคุณประสบการณ์สยอง ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ฟังจากชื่อเรื่องแล้วก็พอจะเดาๆออกใช่มั้ยคะ ว่ามีอะไรตามพวกเราอยู่
แต่งจากสถานการณ์และสถานที่ที่เคยไป ตัวละครมีชีวิตแต่ไม่ขอใช้ชื่อจริง การเดินทางมีจริง แต่เรื่องผีเป็นเรื่องแต่ง แหะๆ
ส่วนที่เล่าเรื่องนิสัยตัวละคร เรื่องจริงล้วนๆค่ะ
ความน่ารักจะผสมกับความน่ากลัว จะลงตัวแบบไหนน๊าาา

เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตามกลับบ้าน (1)
คราวนี้ทีมเราได้ไปทำงานที่เชียงใหม่ค่ะ เป็นอะไรที่สุดยอดมาก เชียงใหม่คือเมืองในฝัน พวกเราไปอยู่เชียงใหม่ประมาณครึ่งเดือน ช่วงมกราคม 2559 ที่ผ่านมานี่เองค่ะ ตอนขาไป เราไปเครื่องบินนะคะ แต่ขากลับเราอยากเที่ยวเชียงใหม่กัน เพราะตั้งแต่มาทำงานก็ไม่มีวันหยุด ได้เที่ยวก็แค่ตอนเย็นเท่านั้น ทีนี้มีพี่คนนึงที่แกมีกำหนดกลับพร้อมพวกเรา แล้วแกมีรถที่พอจะขนๆพวกเรากลับไปด้วยได้ พวกเราก็เลยงอแงขอกลับด้ย และวางแผนไปเที่ยวกันซะเลย ทีมเราก็มีพี่ตาที่จะกลับพร้อมเรา ส่วนพี่ภัทรต้องอยู่ต่อ เนื่องจากพื้นที่ที่แกรับผิดชอบยังไม่เรียบร้อย ส่วนพี่พลอยกลับไปก่อนแล้วเพราะมีงานด่วนที่สำนักงานใหญ่ ทีนี้ก็เหลือเรากับพี่ตา แล้วก็น้องใหม่ๆ น้องใหม่ที่ Gen เดียวกับเรา เราสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว เพราะบ้าๆบ๊องๆ เหมือนกัน ส่วนพี่ตาเราก็ยกให้เป็นหัวโจกเพราะแกอายุเยอะสุด แต่มีความง๊องแง๊งน่ารักไปกับพวกเราได้ ทริปนี้สนุกแน่นอนค่ะ พวกเรานี่ถึงกับนอนไม่หลับเลยนะคะ ตื่นเต้นๆ จะได้เที่ยวเชียงใหม่
ถึงวันเดินทาง เรากับผู้ร่วมทริปก็แต่งตัวสวยเดินนวยนาดเรียกเรตติ้งกันในบริษัทสักพัก ก็แหม๋ ตั้งแต่ทำงานมาก็มีแต่ชุดยูนิฟอร์ม แถมต้องรวบผมในเน็ตโชว์หัวเถิกอีก อีกอย่างใส่ยูนิฟอร์มทีไรก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นแม่บ้านทุกที พอถึงวันจะไป ก็ต้องให้พนักงานชื่นชมความงามที่มีอยู่บ้าง (มโน) ของสาวๆจากสำนักงานใหญ่กันสักนิด พวกเราไม่อยากเสียเวลาเดินทางมากเพราะตอนนั้นก็ใกล้เที่ยงแล้ว ก็เลยพากันซื้อมาม่ากิน กินง่ายเพราะเงินหมด 555+ แล้วก็รอพี่ยะผู้ชายหน้าหนวดแต่กลัวเมีย ผู้ชายคนเดียวของทริป และพ่วงตำแหน่งคนขับรถโดยปริยาย เราไปกันห้าคน ก็มีพี่ยะ เรา พี่ตา หมวย ลูกพลับ ที่ทำงานที่เชียงใหม่อยู่ติดกับเขตลำพูนค่ะ เรามีเวลาสองคืนในการเที่ยว แล้วที่เราวางแผนกันว่าจะไปกันคืนนี้ก็คือ ดอยสุเทพ ขึ้นไปดูดาวตก วันนั้นมีฝนดาวตกครั้งใหญ่พอดิบพอดี แล้วแม่นางลูกพลับจอมเพ้อฝัน ก็พยายามโน้มน้าวจิตใจให้ทุกคนอยากไปดูด้วย ส่วนเราน่ะเหรอคะ ไม่มีโมเม้นอะไรแบบนี้หรอก มีอยู่อย่างเดียวกลัวผี แหะๆ ดอยสุเทพไม่ไกลเมืองเชียงใหม่ เราก็ใช้เวลาเดินทางไม่นาน ดังนั้นเราจึงไปหาที่พักในตัวเมืองก่อน เพราะเพิ่งจะบ่ายๆ ก็ไปได้โรงแรมเล็กๆในเมืองแหละค่ะ ก็สบายกระเป๋าไปหน่อย แทนที่เราจะรีบขึ้นดอย แต่ด้วยความที่เมื่อคืนพี่ยะเคลียร์งานจนถึงตีสองเราจึงสงสารคนขับรถของเรา ก็เลยให้นอนพัก แล้วกะว่าเย็นๆค่อยไปทีเดียวเลย พวกเราก็หลับเป็นลูกหมากันในโรงแรมนั้นแหละค่ะ เราเปิด 2 ห้อง เป็นเตียงคู่ พี่ยะนอนห้องนึง เราสี่คนนอนห้องนึง ตอนเปิดบอกทางโรงแรมว่าแบ่งนอนห้องละสองคนกับสามคนเดี๋ยวเค้าไม่ให้เข้า เพราะที่จริงเค้าพักได้ไม่เกินสองคน เพราะความเพลียจากการทำงานต่อเนื่องแบบไม่มีวันหยุดเป็นเวลาครึ่งเดือน แถมเลิกงานหลังสามทุ่มทุกวัน (งานที่แสนจะโหดร้าย ทำกับพนักงานตาดำๆ) เราก็หลับกันเรียกว่าตายกันไปข้างนึงเลยล่ะค่ะ ตื่นอีกทีก็เกือบทุ่ม พี่ยะมาเคาะห้อง หมวยงัวเงียลุกขึ้นไปเปิด เราก็ดึงผ้าห่มมาคลุมโปง อารมณ์อยากนอนต่อ "พวกคุณเมิงจะนอนกันถึงเช้าใช่มั้ยครับ ผมจะได้กลับห้องไปนอนต่อ" พี่ยะถามประชด "ได้เหรอป๋า โอเค ฝันดีนะคะ " เราแง้มผ้าห่มนิดนึง ส่งเสียงอู้อี้ แล้วคลุมโปงต่อ อึบบบ "โอ๊ยยยยยย " เราร้องลั่น เพราะรู้สึกว่ามีควายทั้งตัวมากระโดดทับ "อีห่าพลับบบ " ลูกพลับนั่นเองกระโดดทับเรา เอ่อจริงๆแล้วพวกเราอายุยี่สิบสี่กันแล้วอ่ะค่ะ แต่ทำตัวไม่ค่อยเหมือนคนอายุยี่สิบสี่เท่าไหร่ เราหายอยากนอนต่อเป็นปลิดทิ้ง แล้วทุกคนก็ออกเดินทาง พี่ยะเปิดเพลงตลอดทาง เปิดทุกแนว พี่ตานั่งหน้า เรา หมวย แล้วก็ลูกพลับนั่งเบาะหลัง เรานั่งติดหน้าต่างฝั่งซ้าย ลูกพลับนั่งติดหน้าต่างฝั่งขวา หมวยนั่งตรงกลาง ลูกพลับที่ร้องเพลงไม่เคยถูกคีย์ร้องเพลงประสานเสียงเพลงที่พี่ยะเปิดตลอดทาง
ทางขึ้นดอยมืดมาก พี่ยะขับรถเฟี้ยวฟ้าวมะพร้าวอ่อนมากค่ะ เปิดหน้าต่าง แหกปากร้องเพลง หัวเราะกันสนุก เพราะไม่มีรถสวนสักคัน ก็แหม๋สองทุ่มแล้วเนาะ เราผ่านจุดชมวิวหลายจุด ไปถึงโค้งๆนึง โอ้วโหวว คนเป็นร้อยเลยค่ะ มารอดูดาวตก แต่ด้วยความที่พวกเราต้องการความเป็นส่วนตัว ที่คิดว่าจะมีในที่สาธารณะแบบนี้ เราจึงตัดสินใจขับขึ้นไปอีก แต่คราวนี้พี่ยะเบาเสียงเพลงลง เพราะจะเข้าเขตวัด

เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตามกลับบ้าน (2)
"ป๋าาา ตดเหรอ" อยู่ๆลูกพลับก็พูดขึ้น เพราะนางได้กลิ่นแปลกๆ ในรถ "เออ ป๋าา หรือป๋าถอดรองเท้า" หมวยสำทับอีกคน เรารู้ว่าทั้งสองคนล้อพี่ยะเล่น ไม่ได้คิดว่ากลิ่นจะมาจากพี่ยะจริงๆ " ปิดกระจำเร็ว" พี่ตาบอกทุกคนปิดกระจก พวกเราได้กลิ่นแปลกๆ จะเหม็นเน่าก็ไม่เหม็น มันเหม็นแปลกๆ แบบไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนจริงๆค่ะ บรรยายไม่ถูก ไม่ได้เหม็นรุนแรง แต่ก็สร้างความรำคานให้เราได้พอสมควร เรานั่งน้ำตาคลอ เราเป็นคนชอบฟังชอบอ่านเรื่องผีอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้พูดอะไร สุดท้ายก็ขับไปจนถึงวัดที่ต้องเดินขึ้นบันได แต่ไม่มีคนเลย มืดมาก พวกเราก็ไม่กล้าเดินขึ้นไปค่ะ ก็เลยตัดสินใจอีกครั้งที่จะกลับลงมาที่จุดชมวิวที่คนเยอะๆ น่ะแหละค่ะ ซึ่งก็ไม่ไกลเท่าไหร่ ระหว่างเราทุกคนก็พูดพร่ำไปเรื่อย ตามประสาพวกพูดมาก แล้วก็ลืมเรื่องกลิ่นนั่นไป ไปถึงจุดชมวิว มันคุ้มมากค่ะ จุดนี้มองลงไปเห็นตัวเมืองเชียงใหม่ทั้งเมือง ไม่รู้ใครเคยไปแล้วคิดเหมือนเราไหม เราเป็นเมืองทั้งเมืองเป็นรูปทรงเหมือนรูปหัวใจ สวยจนต้องร้อง หูยยยย หูยยย หลายครั้งเลยล่ะค่ะ คนอื่นเอาเสื่อเอาหมอน เอาผ้าห่มไปนอนดูดาวตก พวกเราไม่ได้เตรียมอะไรไปเลย ของทุกอย่างก็อยู่ในกระเป๋าที่โรงแรมหมด เรียกว่ามาตัวเปล่า ก็เลยนอนลงกับพื้นถนนนั่นแหละค่ะ หนาวก็หนาว ลูกพลับก็ยังเพ้อของมันต่อไป เหมือนมันเป็นนางเอกละครน้ำเน่าที่มานั่งดูดาวตกอ่ะแหละค่ะ โชคดีที่พี่ตาหิว เราเลยรอดจากการตากลมดูดาวกันต่อ เรากะจะไปหาอะไรกินที่ถนนคนเดิน หรือท่าแพของเชียงใหม่น่ะค่ะ ขาลง เรานึกบ้าอะไรก็ไม่รู้ อยู่ก็ชวนคุยเรื่องผี ในใจก็นึกสนุกแหละค่ะ เพราะบรรยากาศมันได้ ถามว่ากลัวมั้ย กลัวนะ แต่ก็อยู่ในรถแล้วคนเยอะขนาดนี้ ผีไม่น่าจะมีที่นั่งได้ ถ้าไม่เกาะหลังคา "เราเคยฟังเดอะชีอกเรื่องนึง ที่มีกลุ่มวัยรุ่นจากลำปาง ขับรถขึ้นดอยมาเที่ยวเล่น แต่ไม่ได้บอกว่าดอยไหน" เราเริ่มเรื่อง ทุกคนเงียบเหมือนโดนสะกด พี่ยะเบาเสียงเพลง "เรื่องไรวะ" พี่ยะถาม "ไม่เอา อย่าเล่า เรากลัว" พี่ตาทำน้ำเสียงกลัวสุดขีด เรายิ่งอยากแกล้งเข้าไปใหญ่ " ก็เรื่องที่มีวัยรุ่นกับเพื่อนมาเที่ยวดอย แล้วนึกอยากกินเหล้าต้องลงไปซื้อข้างล่าง เพราะบนดอยไม่มีเหล้าขาย แต่จากที่มันเล่านะ เราว่ามันเหมือนดอยนี้เลยอ่ะ เพราะทางโค้งเยอะ ไม่มีร้านขายเหล้าเปิดตอนกลางคืน แถมมันบอกว่าอยู่ไม่ไกลจากเมืองเชียงใหม่"  นาทีนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่ามีดอยอื่นที่ใกล้อีกมั้ย แต่เราก็บิ๊วให้เข้ากับสถานที่ด้วยความสนุกปาก แต่ตัวเองก็กลัวผีจนขึ้นสมอง "มีคนอาสาลงไปซื้อเล่าสองคน ระหว่างทางขากลับ เจอผู้หญิงโบกรถอยู่ตรงทางโค้ง ขอไปด้วย แต่สองคนนั้นไม่ให้ไปด้วย ก็เลยโกรธและปรากฏตัวให้คนซ้อนเห็นทุกๆโค้งเลยนะ " มาเล่ามาถึงคนนี้เราเริ่มน้ำตาคลอ เวลาฟังหรือเล่าเรื่องผีเราชอบน้ำตาคลอ "เหรอ สวยมั้ยวะ " พี่ยะคิดว่าเราแต่งเรื่องขึ้น เพื่อหลอกทุกคน เราก็ขำๆ ไป "สวยสิพี่ แต่เสียดายเค้าท้องอยู่ด้วย" เราบอกพี่ยะ "ไอ้ยะ งั้นกูไม่เอาแระ " พวกเราหัวเราะกับคำตอบของพี่ยะ "ผีนะป๋า ป๋าจะเอายังไง" อันนี้พี่ตาพูดติดเรท 18+ "นั่นสิป๋า เราสัมผัสตัวเค้าไม่ได้" หมวยเสริม "ไม่เป็นไรนะป๋า ถึงจะท้องแต่ก็ท้องอ่อนๆ ยังทำได้อยู่" ลูกพลับพูดจบเราพากันหัวเราะครืน "เอางี้ป๋า เดี๋ยวถ้าเจอป๋าจอดรถรับเลย เดี๋ยวเราให้มานั่งข้างหน้ากับพี่ตา" เราพูดสนุกปาก พี่ตาสะดุ้งโหยง "เอาไปนั่งหลังกับพวกนายนู่น เรามีพระนะ" พี่ตายกพระที่วางหน้ารถพี่ยะขึ้น แต่ถึงทางโค้งพี่ตาไม่ทันระวัง วางพระไม่ดี พระเลยหล่นลงตรงคันเกียร์รถ "เฮ่ย พระร่วง" หมวยพูดล้อ หัวเราะเสียงดัง "ตายห่า พระรอดแล้ว เราจะรอดมั้ยนี่" พี่ยะพูดเสียงเครียด ทั้งรถเงียบกริบ "งั้นถ้ามาจริงๆ ไปนั่งข้างอีพลับก็แล้วกันนะ เราอ้วน นั่งฝั่งเราจะอึดอัด" พอเราพูดจบ ลูกพลับก็กระโดดเบียดหมวยทันที "อีห่ามด ปากหรือดากหมาวะ ที่พูด ถ้ามาก็ให้ไปนั่งตักพี่ยะนู่น เด็กพี่ยะ"  ลูกพลับโบ้ยให้พี่ยะ พวกเราพูดเล่นกันสนุกปากก็จริง แต่ก็กลัวกันทุกคน พี่ยะเปิดเพลงเสียงดังเมื่อพวกเราเริ่มเล่นใหญ่กันมากขึ้น และเปิดกระจกสูบบุหรี่ "พี่จะเปิดทำไมเนี่ย เดี๋ยวก็เข้ามาจริงๆหรอก" พี่ตาพูดไปตามองไปที่พี่กระจกด้านพี่ยะ ตอนนั้นเรารู้สึกขนลุกขึ้นมาเฉยๆ แต่ก็คงเป็นเพราะอากาศหนาวมากกว่า "ถ้าขึ้นมาก็ไปนั่งหลังเบาะหลังแล้วกัน จะได้ไม่เบียดใคร" พี่ยะยังเล่นต่อ พวกเรานี่สิ ขนลุกกันเป็นแถบๆ ตอนนั้นเราอยากลงจากดอยให้ได้เร็วๆ เพราะเริ่มกลัวขึ้นมา และรู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว

เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตามกลับบ้าน (3)
เรามาถึงถนนคนเดินก็เกือบสี่ทุ่ม ร้านค้าก็เริ่มเก็บของแล้ว คือมันใหญ่จริงๆ เดินจนเหนื่อย จนท้ายไม่ได้ซื้ออะไรเลย และหิวข้าว ไปเจอร้านส้มตำ กับปลาเผาอยู่ในซอกๆนึงซึ่งพอจะได้กินประทังชีวิต คือเค้ามีแต่จาน

โฟม ช้อนโฟม ให้ แต่ก็มีโต๊ะให้นั่งค่ะ แล้วอีกอย่างร้านเค้าจะปิดแล้ว พวกเราก็สั่งส้มตำ สั่งปลาเผา สั่งมาเยอะเลยล่ะค่ะ ร้านนี้มีแกงเห็ดด้วยนะ ถูกใจคนห่างบ้านมานานเลยล่ะค่ะ ทีนี้เราก็ซื้อน้ำอัดลมขวดใหญ่มากินกัน

จึงขอซื้อน้ำแข็งจากร้านส้มตำ พอดีแกเก็บของจะหมดแล้วรอแต่เก็บโต๊ะที่เรานั่ง แกเลยยกให้ฟรี แต่ปัญหาคือเราไม่มีแก้ว จึงขอแก้วแก แกเอาแก้วพลาสติกใช้แล้วทิ้งมา 6 ใบ เราก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าแกคงหยิบๆมา

อาจไม่ได้นับ เราก็กล่าวขอบคุณ สักพัก แกก็ไปลากเก้าอี้มาให้อีกตัวนึง บอกว่าจะได้นั่งพอกัน พวกเรามองหน้ากัน เรามากันห้าคน และตอนนี้ทุกคนมีเก้าอี้เป็นของตัวเอง แล้วตัวที่หกคืออะไร พวกเราเริ่มรู้สึกไม่ดี ก็

พากันรีบกินรีบกลับโรงแรม พอถึงโรงแรม ลูกพลับก็พูดหยอกๆ ว่า "เราเสียสละไปนอนกับพี่ยะเอง" ด้วยความที่เราทุกคนรู้ว่าพี่ยะเป็นคนกลัวเมียเลยหาเรื่องหยอกแก "ไม่ได้ แล้วเด็กพี่ยะจะนอนไหน" หมวยพูดเอาฮา

แต่พวกเราเริ่มไม่ฮา "เด็กๆ ไปนอน ใครเป็นผู้หญิงก็ต้องนอนห้องนี้ อย่าไปนอนกับผู้ชาย" พี่ตาพูดขัดพร้อมลากพวกเราเข้าห้อง พวกเราก็พากันอาบน้ำ เตรียมนอน เรานอนเตียงเดียวกับลูกพลับและนอนฝั่งห้องน้ำ เรา

เป็นคนที่เข้าห้องน้ำกลางคืนบ่อยมาก เพราะมีโรคประจำตัวคือกระเพราะปัสสาวะอักเสบ ไม่อยากเป็นอีก เลยไม่อยากกลั้นฉี่จนเช้า เพราะงั้นเวลาไปนอนไหน เราถามหาห้องน้ำก่อนเลย เรานอนหลับไปได้สักพัก ลูก

พลับก็สะกิดเรา "เมิง เข้าห้องน้ำทำไมไม่ปิดน้ำวะ " "กูยังไม่เข้าเลยนะ พี่ตาป่าว" เรากับลูกพลับหันไปดูที่เตียง ก็ปรากฏว่าพี่ตากับหมวยก็นอนอยู่ที่เตียงปกติ ก็คิดว่าคงเป็นสองคนนั้นแหละที่เข้าห้องน้ำ  เราเลยลุกไป

ปิดน้ำ ถือโอกาสฉี่ไปด้วย แล้วก็กลับมานอนต่อ เราได้ยินเสียงเหมือนมีคนเข้าห้องน้ำ หันไป ลูกพลับยังอยู่ก็สบายใจ งั้นคงเป็นเตียงนู้น อยู่ๆ ลูกพลับก็ลืมตาขึ้น แล้วก็พูด "หลายรอบแล้วนะเมิง" "อะไรวะ " เราก็งง

"คนเข้าห้องน้ำไง" เราเริ่มเอะใจ ลุกขึ้นชะโงกข้ามตัวลูกพลับดูเตียงสองคนนั้นนอนอยู่ปกติ  แล้วใครล่ะที่เข้าห้องน้ำ ลืมบอกไปว่าไฟห้องน้ำเราเปิดเอาไว้ทั้งคืน เพราะห้องจะได้ไม่มืดมาก "ป่ะ ไปดูกัน" ลูกพลับ

ชวนเรา "อีห่าาา ถ้าไม่ใช่คนล่ะ" เราเริ่มกลัว เสียงน่ำจากชักโครกยังไม่หยุดไหล "กูว่าชักโครกค้างเฉยๆ ไปดูกัน" ลูกพลับฉุดแขนเราไม่ทันได้ปฏิเสธ พอเข้าไปในห้องน้ำ ทุกอย่างกลับปกติ ชักโครกไม่ได้มีน้ำไหลอะไร

เรากับลูกพลับพร้อมใจกันวิ่งกระโดดขึ้นเตียงทันที แล้วเราก็นอนต่อถึงเช้า ตอนนั้นก็ยังไม่คิดว่าผีอะไรเพราะอยู่กันเยอะ คิดว่าหลอนกันไปเองมากกว่า วันต่อมา เราจะไปเที่ยวต่อ ก็คือ จะขึ้นไปกางเต้นท์นอนที่ดอย

อนทนนท์ เราเช็คเอ้าออกประมาณ 10.00 น. แล้วก็ไปหาอะไรกินที่เซเว่น ต่างคนต่างกิน พอเสร็จก็เดินทางต่อ "ไง หลับสบายดีกันมั้ย" ระหว่างเดินทางพี่ยะก็ถามพวกเรา  "สบายสุดๆ เลยป๋าขา " หมวยตอบเสียงร่าเริง

"หลับแบบยาววววว" พี่ตาลากเสียง เรากับลูกพลับมองหน้ากัน คราวนี้เราเปลี่ยนที่กับหมวยมานั่งตรงกลาง "พี่ตากับหมวย อ่ะหลับสบายจริงๆ แต่เรากับพลับลุกเข้าห้องน่ำทั้งคืนเลย" เราพูดขึ้น "อ้าว ท้องเสียเหรอ เรา

ไม่เป็นไรเลย" พี่ตาคิดว่าเราโดนส้มตำทำพิษ "ส้มตำไรล่ะเจ้ ลุกขึ้นปิดน้ำในห้องน้ำอ่ะดิ แมร่ง เปิดทั้งคืน" พลับบอก "จะเข้าอะไรนักหนาไม่รู้ คนจะหลับจะนอน มาด้วยแล้วยังมาสร้างความลำบากให้อีก "  เราพูดถึง

บุคคลที่หก เพราะเชื่อว่ามีจริง เราเองก็คนมีเซ้นส์ ถ้าฟังจากเรื่องเล่า เราจะมีอาการกลัวมากกกก แต่ถ้าได้เจอกับตัวเอง มันก็เหมือนไม่ค่อยกลัวอะไร  ออกแนวรำคานมากกว่า แต่จะรู้ว่ามีหรือไม่มีแค่นั้น พี่ยะ หมวย พี่ตา

งงกับสิ่งที่เราพูด แต่ยังไม่ทันได้คุยไรกันต่อ เราก็ตื่นตาตื่นใจกับวิวบนดอยอินทนนท์ พร้อมเรื่องเล่าสนุกสนานกันอีกมากมาย เราเที่ยวกันจนค่ำ ก็เริ่มหาที่พัก ตัดสินใจพักในเขตอุทยานกางเต้นท์นอนที่ป่าต้นสน ฤดุ

ท่องเที่ยวคนเยอะมาก สตอเบอรี่หวานฉ่ำ พูดแล้วก็น่ำลายไหล อาหารเย็นของเราก็คือหมูกระทะ เราเช่าเต้นท์สองหลัง ให้พี่ยะนอนหลังนึง เราสี่คนนอนอีกหลังนึง เราก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ เตรียมมากินหมูกระทะ

หน้าเต้นท์ พอดีมีช่องระหว่างเต้นท์เรากับเต้นท์พี่ยะ ก็เลยนั่งกินกันตรงนั้นได้พอดี อย่าพูดให้พูดถึงตอนอาบน้ำเลยค่ะ อุณภมิยอดดอย ตอนนั้น -2 องศา แต่ก็ต้องอาบ เพราะตะลอนกันมาทั้งวัน น้ำอุ่นไม่มี ความรู้สึก

เหมือนอาบน้ำแข็ง เราไปอาบทีละสองคน แล้วก็มาตั้งวงกินหมูกระทะกัน พออิ่มแล้วก็ยังไม่มีใครอยากนอน เพราะเพิ่งสามทุ่มกว่า ก็พากันนั่งคุยกันเรื่อยๆ ดึกๆมา ก็เริ่มเล่าเรื่องผี มันใช่เวลามั้ย

เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตามกลับบ้าน (4)
ประมาณห้าทุ่มเราแยกย้ายกันไปนอน สีหน้าพี่ยะไม่ค่อยดี พวกเราเข้าไปนอนเบียดกันในเต้นท์ เราฝันไปว่า มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย มายืนเรียกเราอยู่ที่หน้าเต้นท์ "น้องคะ น้องคะ" เราเปิดเต๊นท์ออกไป ผู้หญิงคนนั้นแต่งชุดลายพราง เหมือนเจ้าหน้าที่อุทยาน "น้องผ่านเพชรบูรณ์ใช่มั้ยคะ พอดีมีคนเค้าจะขอกลับบ้านด้วย " เราก็งง พี่เค้ารู้ได้ยังไง แต่ในฝันเราตอบพี่เค้าไป "ได้เลยค่ะพี่ แต่รถมันเต็มนะ อาจจะต้องนั่งหลังเบาะตรงที่เก็บกระเป๋า " เราบอกไป "เค้าบอกว่าเค้าเข้ารถไม่ได้ค่ะ" "ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ เข้าได้เลย พี่ยะไม่ว่าหรอก เดี๋ยวหนูบอกพี่ยะให้" ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้เรา แล้วเราก็หลับไปอีกนานแค่ไหนไม่รู้ เราได้ยินเสียงพี่ยะเรียกพวกเรา อยู่ข้างๆเต๊นท์ พอดีเราปวดฉี่เราเลยปลุกหมวยให้พาไปห้องน้ำ "อ้าว พี่ยะ นอนไม่หลับเหรอ " พี่ยะพยักหน้า "เออ พวกหนูจะไปห้องน้ำ พี่ไปด้วยมั้ย" พี่ยะก็เดินไปเป็นเพื่อนพวกเราเข้าห้องน้ำ แต่พี่ยะไม่ได้เข้า ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำหญิง เสร็จธุระเราก็เดินกลับเต๊นท์ ไฟจากอุทยานทำให้เรามองเห็นอะไรค่อนข้างชัด ก่อนจะถึงเต๊นท์ เรามองไปที่เต๊นท์พี่ยะ เห็นเป็นเงาเหมือนผู้หญิงผมยาม นั่งกอดเข่าอยู่ในเต๊นท์ เราก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมพี่ยะนอนไม่หลับ "พี่ยะ ให้พวกหนูสองคนไปนอนเป็นเพื่อนมั้ย" เราถามไป  พี่ยะมองหน้าเรานึกว่าพูดเล่น "หนูเห็นแล้ว " เราหมายถึงเห็นสิ่งที่พี่ยะกลัว หมวยยืนงง ตอนนั้นเราคิดโมโหที่เค้ามาก่อกวน แต่ก็แอบกลัวนิดๆ "โอเค หนูไม่ไปนอนเต๊นท์พี่แล้ว" "เฮ่ยยย" พี่ยะร้อง "555 พี่มานอนเต๊นท์หนูแทน ไปเอาถุงนอนมาไป " เราบอกพี่ยะไปเอาถุงนอนพี่เต๊นท์ "พี่ไม่หนาว พี่นอนได้" พี่ยะรีบชวนเราเข้าเต๊นท์นอน เรานึกในใจไม่หนาวเหรอ ตอนนี้อุณหภูมิติดลบสี่องศา เราเข้าไปนอนเบียดกันในเต๊นท์ พี่ตาตกใจเห็นพี่ยะเข้ามาด้วย เราเลยบอกไปว่าพรุ่งนี้ค่อยเล่า นอนไปได้สักพัก เรารู้สึกได้เลยว่าพี่ยะนอนไม่หลับ อาจเพราะหนาวหรืออึดอัด เต๊นท์เดียวนอนห้าคน อบอุ่นกำลังดี พรึ่บบบ เสียงเหมือนใครเอาน้ำสักถังมาสาดที่เต๊นท์ ทุกคนสะดุ้งตื่น พี่ตาถามว่าใครทำอะไร เราใช้ให้พี่ยะออกไปดูแต่พี่ยะไม่กล้า สักพัก เราเห็นเงาเหมือนคนเดินรอบๆเต๊นท์ เรากระซิบคุยกันเหมือนกลัวว่าคนข้างนอกจะได้ยิน เพราะคิดว่าอาจเป็นเจ้าหน้าที่ แต่ในใจเรารู้กันแล้วว่าไม่ใช่ เจ้าหน้าคงไม่มาเดินรอบเต๊นท์เป็นสิบๆรอบแบบนี้ พวกเราเริ่มเหงื่อแตกด้วยความกลัวหรือเพราะเราร้อนที่นอนเบียดกัน  เราเริ่มสวดมนต์ในใจ แต่ตอนนั้นนึกบทสวดอะไรไม่ออกนอกจากท่องนะโมอยู่อย่างนั้น สักพักเงานั้นเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเต๊นท์ด้านที่พี่ยะนอนอยู่ เราเบียดไปอีกฝั่ง ตอนนี้ทุกคนเหงื่อซึมเต็มมือ สี่สาวนอนจับมือกันแน่น พี่ยะเบียดมาฝั่งเราเต็มที่ ทำเหมือนท่าเป็นตัวอะไรจริงๆ จะหลบพ้นอย่างนั้นแหละ แล้วอยู่ดีๆ เงานั้นก็หายไป พอตีสี่คนเริ่มออกมาเพื่อที่จะไปสัมผัสอากาศตอนเช้าบนยอดดอย พวกเราก็ออกไปล้างหน้าแปรงฟันเก็บของทันที แล้วเราก็ขึ้นเที่ยวบนดอย หาอะไรกิน เสร็จแล้วก็เตรียมเดินทางกลับ พอลงจากดอยได้ เราก็ต่างพากันถามว่าเกิดอะไรขึ้น พี่ยะเล่าให้ฟังว่า ตอนที่แกนอนอยู่ อยู่ดีก็เหมือนมีน้ำตาใส่หน้าแก พอแกลืมตาขึ้น แกก็เห็นหน้าผู้หญิงคนนึง แต่เห็นเพียงเสี้ยววินาที แล้วก็แว๊บหายไปเลย แกเลยต้องมาเรียกเราที่เต๊นท์ และหากเราไม่ชวนนอนด้วยเมื่อคืน แกก็กะจะไม่นอนอีกแล้ว กะว่าจะไปอยู่กับเจ้าหน้าที่ที่หน้าป้อมซะเลย แต่เรายังไม่เล่าความฝันของเราให้ใครฟังนะคะ กลัวทุกคนจะกลัวกันมากไปกว่านี้ พวกเราคุยกันเรื่องเงาที่เดินรอบเต๊นท์เมื่อคืน ก็ต่างลงมติกันว่า ไม่ใช่คนแน่ๆ แต่ที่เราสงสัยคือ เค้ามาจากไหน เพราะเราคิดว่าเค้าตามเราตั้งนานแล้ว เพราะตอนไปกินข้าวที่ถนนคนเดินก็มีแก้วน้ำหกแก้ว กับเรื่องเก้าอี้ตัวที่หก เราเริ่มปะติดปะต่อเรื่องเข้ากับที่เราฝันเมื่อคืนที่มีผู้หญิงแต่งตัวเหมือนเจ้าหน้าที่อุทยานมาบอกว่ามีคนขอกลับด้วย แล้วเรายังใจดีให้เค้าขึ้นรถด้วยอีกนะ แถมจัดที่นั่งให้เสร็จสรรพ

เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตามกลับบ้าน (5) ตอนจบ
เราเก็บเรื่องความฝันไว้ในใจ พยายามหลอกตัวเองว่าคิดไปเอง พี่ยะจอดรถบ่อยมาก เพราะแกเพลียจากการที่ไม่ค่อยได้นอน แถมต้องขับรถแทบทั้งวัน เราเดินทางกันอย่างช้าๆ ไปถึงช่วงเพชรบูรณ์ประมาณทุ่มกว่าแล้ว เพราะเราแวะกินข้าวที่พิษณุโลกด้วย ทางเริ่มน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ใครเคยเทียวทางนั้นน่าจะรู้ดีนะคะ ทั้งมืดทั้งโค้ง ผิดกับการเดินทางกลางวันมากทีเดียว ตอนนั้นเรามัวแต่มองหาปั๊มผีสิงห์ที่เป็นเรื่องเล่าโด่งดังของทางเส้นนี้ แต่ก็ไม่เจอหรอกค่ะ สักพักเรากำลังผ่านสะพาน สะพานหนึ่ง เป็นสะพานข้ามภูเขา จากเขาลูกหนึ่งไปอีกลูกหนึ่ง ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าสะพานนั้นมีที่มายังไง แต่พี่ยะบอกพวกเราว่า อย่าหันไปข้างหลังนะ เรานี่ไวกว่าลิงค่ะ หันพรึ่บทันที และเราต้องตะลึงกับสิ่งที่เห็น เราเห็นผู้หญิงชุดขาวยืนโบกมืออยู่กลางสะพาน ตอนนั้นไม่คิดว่าเป็นคนแน่นอนค่ะ แต่อะไรก็ไม่รู้ทำให้เรามองจ้องอยู่แบบนั้น มันเหมือนโดนสะกด นางยังยืนโบกมืออยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน สักพักเราตั้งสติได้ หันกลับมาข้างหน้า "กูบอกแล้วใช่มั้ย ไม่ให้หันไป" พี่ยะพูดเสียงเรียบ เราทุกคนเงียบกริบ หลังจากกลับถึงบ้านของแต่ละคนแล้ว เราก็หยุดต่อกันอีกคนละวัน พอไปทำงาน เราก็เลยไปเล่าเรื่องที่เราฝันให้ทุกคนฟังพี่ยะบอกว่า พี่ยะฝันเมื่อคืน ว่ามีคนมาขอบคุณที่ให้ติดรถกลับบ้านด้วย ต่อไปนี้ ถ้าจะไปไหนคงไม่กล้าเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นแล้วล่ะค่ะ ไม่เจอหน้าจะจะ แต่ก็สัมผัสได้ได้

เรื่องจากพันทิป เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ตามกลับบ้าน

เรื่องโดย โดยสมาชิกพันทิปนาม มดตะนอยตัวน้อยนิด

ไม่มีความคิดเห็น