เค้ามีอยู่จริง หรือแค่คิดไปเอง?


     เรื่องราวสุดหลอนจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 1865431 ผู้ฝากผลงานไว้มากมายกลับมาครั้งนี้ด้วยเรื่อง "เค้ามีอยู่จริง หรือแค่คิดไปเอง?" และแน่นอนเป็นเรื่องที่เธอประสบมาด้วยตัวเอง ขอขอบคุณประสบการณ์สยอง ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

     สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาเล่าประสบการณ์ที่เราเจอมาเรื่อยๆ ในบ้านหลังหนึ่งที่เราเช่าไว้เพื่อเปิดเป็นโรงเรียนสอนพิเศษค่ะ จริงๆเราเคยมีกระทู้ทำนองหลอนๆมาก่อนแล้ว ก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีก เป็นไปได้ไม่อยากจะเจอเลย และเช่นเคย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ
เข้าเรื่องเลยละกันค่ะ คือเรามีอาชีพเป็นคุณครูสอนพิเศษ ซึ่งตอนแรกเราก็สอนตามบ้านเด็กๆค่ะ ต่อมาเราอยากมีที่สอนเป็นหลักแหล่งเราจึงตัดสินใจจะเช่าห้องอาคารพาณิชย์ 2 ชั้นแห่งหนึ่งไว้เพื่อสอนพิเศษ กับเพื่อนของเราอีกคน แต่เราเป็นคนดำเนินเรื่อง เซ็นสัญญาเช่า และก่อนที่เราจะเซ็นสัญญา สิ่งหนึ่งที่เราถามเจ้าของบ้านก็คือ "บ้านหลังนี้ เคยมีคนตายมั้ย?"
เจ้าของบ้านก็ตอบว่า "บ้านหลังนี้แกเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง ไม่เคยมีคนตายแน่นอน"
เราก็เลยโอเค ตัดสินใจเช่า ซึ่งเช่าแบบเป็นรายปี ช่วงเดือนแรกก็จะเป็นการตกแต่งจากอาคารพาณิชย์ธรรมดาให้ดูเป็นมิตรกับเด็กๆ ซึ่งจริงๆ โรงเรียนเราก็ไม่ได้มีคนมาเรียนเยอะนัก อาศัยสอนเด็กส่วนตัวซะมากกว่า มีกลุ่มบ้างนิดหน่อย และอาศัยว่าหารค่าเช่ากับเพื่อน
พอตกแต่งเสร็จเรียบร้อย เราก็เริ่มมาใช้เวลาที่โรงเรียนมากขึ้น มาเตรียมการสอนบ้าง ทำความสะอาดโรงเรียนบ้าง
โรงเรียนเราจะเป็นแบบชิวๆ คือไม่มีคนเฝ้าเค้าเตอร์ คุณแม่นักเรียนมาส่งน้องแล้วเฝ้ารอรับกลับบ้าง ไปที่อื่นแล้วกลับมารับบ้าง ช่วงแรกๆก็ปกติดีค่ะ
แต่แล้วก็เริ่มมีเรื่องแปลกๆ
เหตุการณ์แรกที่ทำให้เราคิดมากเลยก็คือ วันหนึ่งเราก็ไปเตรียมการสอนตามปกติอยู่คนเดียว ช่วงบ่าย 2โมง (เพื่อนเราจะเข้ามาเฉพาะช่วงหลัง 4โมงเย็น และเสาร์-อาทิตย์) เราก็ปวดท้องเข้าห้องน้ำ ซึ่งห้องน้ำที่นี่จะอยู่ใต้บันไดพอดี พอนั่งๆอยู่ เราก็ได้ยินเสียงคนวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบนอย่างเร็วและดังมาก วินาทีแรกเราตกใจคิดว่าเป็นขโมย แต่คิดไปคิดมา เราล็อคประตูโรงเรียนไว้นี่ เราจึงรีบทำธุระให้เสร็จและออกมาจากห้องน้ำ พอออกมาก็ไปดูที่ประตูก่อนเลย ประตูก็ล็อคปกติ เราจึงตัดเรื่องขโมยไป แต่เปลี่ยนเป็นคิดว่าเป็นเพื่อนเราแน่ๆเลย เพราะตอนนั้นเราอยู่ที่ห้องรับแขกของโรงเรียน ซึ่งจะตรงกับห้องเรียนชั้นบนพอดี เราได้ยินเสียงเลื่อนเก้าอี้ดังเอี๊ยดๆ ซึ่งเก้าอี้นักเรียนของเราเป็นเก้าอี้ไม้  เราจึงไม่สนใจอะไร มั่นใจว่าเป็นเพื่อนคงมาเตรียมการสอน หรือจะให้เด็กเล่นกิจกรรมอะไรเลยมาเตรียมสถานที่ เราก็เตรียมนั่นนี่ไปเป็นปกติโดยได้ยินเสียงย่ำเท้าข้างบนเป็นระยะ สักพักก็ได้ยินเสียงคนไขประตู (โรงเรียนเราเป็นประตูกระจกบานเลื่อน ติดฟิล์มดำ โดยคนข้างในเห็นคนข้างนอก แต่คนข้างนอกจะไม่เห็นคนข้างใน) ตอนนั้นเรานั่งก้มหน้าตัดกระดาษอยู่ที่โต๊ะซึ่งหันหน้าไปทางประตูพอดี เราก็เงยหน้ามองว่าใครกัน
สิ่งที่เห็นคือ "เพื่อนของเราเอง" (สมมติว่าชื่อนา)
เราก็ใจล่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มเลย คิดในใจว่า "แล้วใครกันที่อยู่ข้างบนกับเรามาตลอด?"
เราไม่กล้าเล่าให้นาฟัง ว่าเราได้ยินอะไรมา หรือรู้สึกว่าใครอยู่ข้างบน กลัวว่าจะหลอนกันไปทั้งคู่
นาทำตัวปกติทุกอย่าง ทักทาย เม้ากันเป็นปกติ และไม่พูดเรื่องมาเตรียมตัวหรืออะไรเลย เราก็มั่นใจแล้วว่าคนข้างบนไม่ใช่นาแน่ๆแล้ว
พอตอนนาจะขึ้นไปชั้นบน เราก็ขอเดินตามไปด้วย โดยอ้างว่าจะไปหยิบหนังสือที่อยู่ในห้องเรียน(ที่นี่มีห้องเรียนทั้งหมด 3 ห้อง ชั้นบนด้านหน้า 1 ห้องใหญ่ซึ่งตรงกับห้องรับแขก ด้านหลัง 1 ห้องเล็ก และชั้นล่างด้านหลัง 1 ห้องใหญ่สำหรับเด็กเล็ก เรา 2 คนก็จะสลับห้องสอนกันไปมา ตามความเหมาะสมของจำนวนเด็กและอายุเด็ก)
จริงๆ เราตามขึ้นไปเพราะเผื่อเป็นขโมยขึ้นมาจะได้ช่วยกันทัน
แต่พอขึ้นไป ประตูห้องเรียนก็เปิดอ้าอยู่แล้วทั้ง 2 ห้อง พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ในห้องใหญ่มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของคน เราก็ชวนนาไปที่ห้องเล็กซึ่งอยู่ด้านหลัง ก็ไม่มีคนเช่นกัน
เราเริ่มใจคอไม่ดี ยิ่งชอบอ่านเรื่องลี้ลับและกลัวอยู่แล้วด้วย เราจึงหยิบหนังสือมั่วๆมาเล่มนึง เพราะบอกนาว่าจะมาเอาหนังสือ จึงรีบหยิบ รีบลงไปข้างล่าง และคิดว่าต่อจากนี้ไปเราจะอยู่ที่โรงเรียนคนเดียวได้ยังไง เราสอนก็เลิกดึกซะด้วย เป็นคนเปิดและปิดโรงเรียนทุกวัน
แต่ที่สงสัยกว่าคือ เค้ามาจากไหน เป็นใคร และทำไมเค้ามาอยู่ที่นี่ หรือว่าจริงๆเราหูฝาด คิดไปเองหมดเลย??
หลังจากวันนั้น เราก็ไม่กล้าขึ้นไปห้องเรียนชั้นบนคนเดียวอีกเลย เพราะกลัวว่าจะขึ้นไปเจอกับอะไร แต่เราก็มีไปปรึกษาคนอื่นๆ คนอื่นก็บอกว่า อาจจะเป็นเสียงจากบ้านข้างๆ เพราะตึกพวกนี้ติดกันหมดเสียงอาจจะก้องมา เราจึงเริ่มใจชื้น ว่าคงเป็นคนข้างบ้าน คิดในแง่ดีเอาไว้
เวลาผ่านไป เราก็มีได้ยินเสียงคนเลื่อนเก้าอี้เอี๊ยดๆบ้าง เสียงคนเดินบนบ้านบ้าง เสียงลูกแก้วตก แล้วก็เด้งต่อ แกก แกกๆๆ บ้าง แต่เราก็เข้าข้างตัวเองตลอดว่า คนข้างบ้าน ยังไงก็คนข้างบ้าน
จนวันหนึ่งที่เราสอนอยู่ชั้นบน เรากำลังหันหลังให้เด็กๆและเขียนกระดาน เด็กนักเรียนเงียบกริบ ทันใดนั้นก็มีเสียงมาจากข้างหลังกระดาน ซึ่งเราเข้าใจว่าเสียงคนข้างบ้านทุบกำแพงดัง ปัง ปังๆ เราสะดุ้งโหยงออกจากกระดานและมองหน้าเด็กนักเรียน
เรา : ได้ยินกันมั้ย?
เด็กนักเรียน ประสานเสียงกัน : ครับ/ค่ะ
เรา : ครูตกใจหมด เด็กข้างบ้านนี่ ซนจริง อย่าให้เจอนะ (เราก็พูดติดตลกไป)
และเราก็สอนตามปกติ แต่คิดในใจว่า ข้างบ้านนี่แปลกจริงๆ ชอบทำเสียงนั่นนี่ตลอด (โรงเรียนเรียนเราอยู่ตรงกลางระหว่างบ้าน 2 หลัง หลังหนึ่งเป็นคุณป้าค่อนข้างมีอายุ อยู่บ้านคนเดียว แกใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ชั้นล่างเพราะอายุเยอะแล้ว ส่วนอีกหลังเป็นบ้านเช่า มีเด็กอายุราวๆ 9 ขวบอยู่ด้วย แต่เสียงดังที่ว่า มาจากหลังบ้านเช่าชัวร์ๆ)
วันหนึ่ง เราได้ยินเสียงนักเรียนของนา คุยกับนาว่า
เด็ก : ครูครับ ช่วงนี้ผมซวยตลอดเลยครับ เจ็บตัวแทบทุกวัน ตั้งแต่วันที่ตกบันไดที่โรงเรียนครูวันนั้น จนวันนี้
นา : อ้าว ไปซุ่มซ่ามท่าไหนหละ?
เด็ก : ก็ไม่ทราบครับ อาทิตย์ก่อนเดินๆอยู่ที่นี่ก็ลื่นตกบันได อีกวันไปโรงเรียน เตะบอลก็โดนเตะอัดหน้า อีกวันก็สะดุดหินล้ม แล้วก็ชนนั่นนี่ตลอด วันนี้ก็ลื่นล้มที่โรงเรียน
นา : โห เจ็บตัวตลอดเลย
เพื่อนเด็ก : วันนั้นที่เค้าตกบันได เพราะเค้าแกล้งหลอกผีเพื่อนค่ะ สงสัยผีผลัก
นา : อย่าพูดแบบนั้นซิลูก ไม่ดีๆ
เด็ก : เราก็แกล้งบ่อยๆไม่เห็นเป็นไร
เพื่อนเด็ก : ก็บ่อยไง จนเค้าโกรธ
นา : ไม่เอาๆ ไม่ทะเลาะกัน แต่จริงๆ เรื่องแบบนี้ เค้าไม่พูดเล่นกันนะ อะ ยกมือไหว้ ขอโทษเค้าซะลูก
เด็ก : ขอโทษใครครับ
นา : ขอโทษใครก็ตามที่ลูกไปลบหลู่เค้า คนโบราณเค้าถือ
เด็กก็ยอมทำตาม และนาก็ให้เด็กมาไหว้เจ้าที่จีน ตี่จู่เอี๊ยะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของโรงเรียนด้วย
เราที่แอบฟังอยู่ก็รู้สึกแปลกๆ เด็กเค้าไม่ระวังตัว หรือมีใครไม่พอใจเค้าจริงๆกันแน่
จนเวลาผ่านไปอีกหลายวัน เราได้เจอเด็กคนนั้นที่โรงเรียน จึงเข้าไปถาม
เรา : ครูได้ข่าวว่าช่วงนี้หนูเจ็บตัวบ่อย ต้องระวังตัวนะลูก แล้วช่วงนี้ ดีขึ้นมั้ย?
เด็ก : ผมไม่เป็นไรแล้วครับ ไม่เจ็บตัวเลยครับ ตั้งแต่ครูนาให้ขอโทษคนที่ผมลบหลู่
เรา : อ่อ หรอครับ ครูว่า เพราะหนูระวังตัวขึ้นมั้งลูก ไม่เกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นมั้ง
เด็ก : คงงั้นมั้งครู แต่ผมก็ไม่แกล้งเพื่อนแล้วครับ ไม่กล้าหลอกผีแล้ว
แล้วเด็กก็ไปเรียนตามปกติ เราก็พยายามคิดในแง่ดี จริงๆลึกๆอยากถามนานะ ว่าทำไมนาให้เด็กขอขมา จริงๆแล้ว นาไปเจออะไรมาเหมือนเรารึเปล่า แต่เราก็ไม่กล้าถาม เพราะสัญญายังมีอีกหลายเดือน ถ้าหลอนจนสอนไม่ได้ ก็ขาดทุนเยอะอยู่ (ตอนนี้จริงๆสัญญาก็ยังอีกหลายเดือนนะ เล่าๆไปนี่ก็กลัวนะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนอีก)
จนเวลาผ่านมาเรื่อยๆ เราก็ยังได้ยินเสียงเหมือนเดิม เราก็อยากถามข้างบ้านให้รู้ดำรู้แดงเลย ว่ามีเก้าอี้ไม้มั้ย เพราะเสียงเอี๊ยดๆ มันคือเสียงเก้าอี้ไม้ เหมือนเวลานักเรียนเราเลื่อนเป๊ะๆ ถ้าข้างบ้านไม่มี ก็พอเดาออกว่ามันมาจากบนบ้านเรานี่เอง และอยากบอกเด็กว่า เลิกทุบกำแพง กับเล่นลูกแก้วซะที เราหลอน โดยเฉพาะตอนลูกแก้วกระทบพื้นดัง แกก แกกๆๆ แล้วค่อยๆเงียบไป แต่เราก็ไม่ทันได้ถาม เพราะมีบางอย่าง ทำให้เรามั่นใจซะก่อนว่า "มันมาจากบนบ้านเรานี่เอง!!!"

สิ่งที่ทำให้เรามั่นใจ ว่าเสียงไม่ได้มาจากที่ไหนไกล แต่เป็น "บนบ้านเราเอง" ก็คือ
เช้าวันหนึ่งเราก็มาเปิดโรงเรียนตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือ ข้างบ้านที่เราเข้าใจมาตลอดว่าเสียงมาจากเค้า ขึ้นป้ายว่า "ให้เช่า โทรติดต่อ 08x-xxxxxxxx" เรานี่ใจร่วงไปอยู่ตาตุ่ม
บ้านหลังนี้ เค้าออกไปตอนไหนเราก็ไม่รู้ เพราะเค้าเช่าเป็นที่อยู่อาศัย เค้ามักจะปิดประตู จนเราไม่รู้หรอกว่า เค้าอยู่หรือไม่อยู่ พอตอนเราปิดโรงเรียนช่วง 3 ทุ่ม แถวนั้นก็จะเงียบสงบเพราะมีเพียงโรงเรียนเราที่เดียว ที่เปิดดึกถึงขนาดนี้
บอกตามตรงว่าตกใจมากๆ ที่บ้านข้างๆตอนนี้ว่างเปล่า และเราไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเค้าออกกันไปตอนไหน และนานรึยัง จึงตัดสินใจติดต่อไปที่เบอร์โทรของเจ้าของตึก
เรา : สวัสดีค่ะ สอบถามเรื่องบ้านเช่าตรง......ค่ะ
เค้า : อ่อ ค่ะน้อง หลังนั้นพี่ไปติดป้ายเมื่อวานเอง น้องสนใจเช่าไปเปิดร้านอะไรคะ พี่รบกวนถามก่อน
เรา : ขอโทษนะคะพี่ คือหนูไม่ได้จะเช่าค่ะ หนูอยู่บ้านหลังติดกัน แต่แค่สงสัยว่า เค้า "ย้ายออกกันไปเมื่อไหร่คะ?"
เค้า : เอ น้องหลังไหนหรอคะ?
เรา : หลังที่เป็นโรงเรียนค่ะ
เค้า : เอ่อ จริงๆ ย้ายไปได้สักสัปดาห์นึงแล้วนา เห็นว่าจะไปอยู่บ้านแม่ของผู้ชายอะไรสักอย่าง ทำไมหรอ? เค้าติดเงินน้องหรอ?
เรา : อ่อ เปล่าค่ะ แค่เห็นเป็นคนบ้านใกล้ เค้าไป เราก็ใจหาย
เค้า : จ้า แต่ถ้าสนใจ ขยายโรงเรียน ดีเลยนะ ห้องติดกันเนี่ย เปิด 2 ห้องเลย
เรา : 55 คงเอาไว้ก่อนนะคะ แต่จะช่วยหาคนมาเช่าให้ค่ะ ขอบคุณนะพี่ ไม่รบกวนแล้วค่ะ

หลังจากวางโทรศัพท์ เราก็นั่งคิดๆๆๆ ว่าเสียงที่ได้ยิน คือเสียงเค้าเก็บของย้ายบ้านรึเปล่า?
แต่!! เค้าย้ายไปอาทิตย์นึงแล้ว แต่เรา ก็ยังได้ยินเสียงอยู่เลย สรุปนี่คืออะไรกันแน่
จนเรานั่งคิดๆไป ก็ได้ยินเสียงเก้าอี้ล้ม ปั้ง!
บอกตามตรงใจหล่นมาอยู่เท้าเลย ที่แน่ๆ ไม่มีใครอยู่บ้านข้างๆแล้ว แต่! ยังมีคุณป้าอีกคน
อาจจะเป็นแกก็ได้ เราก็เดินไปหน้าบ้านแกเลย เห็นแกนั่งดูทีวีอยู่ปกติ
เรา : ป้าขา พอดีหนูได้ยินเสียงเก้าอี้ล้ม ไม่ทราบว่า คุณป้าเป็นอะไรมั้ยคะ?
คุณป้า : เก้าอี้ล้มหรอลูก? ไม่มีนะคะ
เรา : เอ้า หรอคะ? เอ ป้าอยู่คนเดียวหรอคะ หรือว่าอยู่กับหลาน?
คุณป้า : คนเดียวแบบนี้แหละจ๊ะ นานๆทีจะมีลูกๆ หลานๆ มาเยี่ยมบ้าง
เรา : ค่ะป้า (ยิ้มหวาน)
คุณป้า : มันมีอะไรแปลกๆ ใช่มั้ยหละลูก?
เรา : คะ? อะไรนะคะ?
คุณป้า : เสียงแปลกๆ ใช่มั้ย?
พอได้ยินแบบนั้น ขนหัวเราลุกขึ้นมาเลย
เรา : ป้าคะ ขอเข้าไปในบ้านได้มั้ยคะ?
คุณป้า : เข้ามาซิลูกเข้ามา
เรา : ป้ารู้ได้ไงคะ
คุณป้า : โอย ป้าได้ยินจนชินแล้วลูก
เรา : มันมีมานานแล้วหรอคะ เสียงแบบว่า...ย่ำเท้า ทุบกำแพง
คุณป้า : เจ้าของบ้านเค้าสร้างไว้ แล้วก็ให้คนมาเช่า ก็คนมันมากหน้าหลายตานะ ตอนแรกก็ไม่มีอะไรหรอก จนเป็นเหมือนกลุ่มเด็กวัยรุ่น ไม่รู้มันทำอะไรกัน หลังจากนั้น ก็มีเสียงแปลกมาเรื่อยๆ ทำให้คนแถวนี้ เวลาจะให้ใครเช่า ก็ต้องถามๆกันก่อน ว่าจะเช่าไปทำอะไร
เรา : ป้า หนูกลัว
คุณป้า : ไม่เป็นไรนะลูก เรามาดี ก็หมั่นทำบุญและคิดถึงที่นี่
บอกตามตรงนะ แทบอยากจะอยู่กับคุณป้าจนกว่านาจะมาเลยด้วยซ้ำ แต่ก็เกรงใจแก และเราก็มีอะไรต้องทำ
เราก็ต้องทำใจดีสู้เสือและกลับเข้าไป บอกตามตรงว่า จนตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเค้าคือใคร และมาได้ยังไง และตอนนั้นเราก็ไม่ขึ้นไปดูเก้าอี้นะ ปล่อยไว้แบบนั้น เก็บของเท่าที่จำเป็น ไปนั่งที่ร้านกาแฟ และคิดๆๆว่าจะทำยังไงดี

เหตุการณ์นี้พึ่งเกิดขึ้นไม่นาน อย่างที่เราบอกไปแล้วก็คือ โรงเรียนของเราจะออกแนวชิวๆ ไม่มีคนนั่งเฝ้าเค้าเตอร์ จะอาศัยความไว้ใจและเข้าใจกันระหว่างผู้ปกครอง วันนั้นเราสอนเป็นคอร์สตัวต่อตัว ช่วงหนึ่งทุ่ม ส่วนนา ไม่สบายจึงแคนเซิ่ลคลาส จึงทำให้ทั้งโรงเรียน เหลือกันแค่เด็กนักเรียนกับเรา ส่วนผู้ปกครองน้อง เลือกที่จะไปทำธุระที่อื่นและค่อยวนกลับมารับน้อง
น้องคนนี้เป็นเด็กนักเรียนชายชั้น ป.4 ตั้งใจเรียนดีมาก เราก็สอนไปตามปกติที่ห้องเรียนชั้นล่าง ส่วนประตูหน้าก็ติดป้ายไว้ว่ากำลังสอนมีเรื่องติดต่อให้โทรหาและล็อคประตูเอาไว้
เมื่อสอนไปได้ซักพัก ก็เห็นน้องเหลือบมองที่ประตู ซึ่งจะเป็นประตูไม้ที่ครึ่งล่างเป็นไม่ทึบ ส่วนครึ่งบนจะมีกระจกขุ่นๆ 6 แผ่น มีไม้ขั้นตรงกลางระหว่างแต่ละแผ่น และขอบประตูเป็นไม้ ซึ่งจะทำให้สามารถมองเห็นข้างนอกได้ลางๆ แต่ด้วยที่ไฟข้างนอกค่อนข้างสว่าง หากใครมายืนตรงประตูก็จะเห็นเป็นเงาคนลางๆขึ้นมาได้ แต่ถ้ามายืนใกล้กระจกมากๆ ก็จะสามารถเห็นรายละเอียดได้ค่อนข้างชัด
น้องเหลือบไปประมาณ 2 รอบก่อนจะโพล่งขึ้นมาว่า "คุณพ่อ คุณพ่อแน่เลยครับคุณครู คงมาแอบดูผมเรียนแน่ๆเลย เดี๋ยวผมมาครับ"
และน้องทำท่าจะลุกวิ่งไปที่ประตู แต่เราดึงไว้ก่อน
บอกตามตรง ตอนนั้นรู้สึกค่อนข้างตกใจ เพราะเราล็อคประตูหน้าดีแล้ว และระหว่างจากห้องรับแขกมาถึงห้องเรียนจะต้องมีประตูกระจกบานเลื่อนอีกบานกั้นเอาไว้ก่อน เพื่อกันแอร์ออก และจะมีทางโล่งๆ ซึ่งซ้ายมือจะเป็นบันได และห้องน้ำใต้บันได แต่ถ้าเดินตรงมาก็จะคือห้องเรียนที่เราอยู่
ดังนั้น ถ้ามีใครเข้ามา เค้าจะต้องเปิดประตูเลื่อนด้านหน้าที่ล็อคอยู่ และประตูเลื่อนอีกบานก่อน ถึงจะมาถึงห้องเรียนได้ และประตูเราค่อนข้างฝืด หากมีใครเปิด จะมีเสียงคื๊ด คือเหล็กขูดกัน ซึ่งนี่ไม่มีเลย เงียบมากเหมือนข้างนอกไม่มีความเคลื่อนไหว
เราจึงถามเด็กว่า
เรา : ทำไมคิดว่าคุณพ่อมาครับลูก?
เด็ก : ก็ผมเห็นคน ยืนมองทะลุกระจกมาครับครู ก็ต้องพ่อซิครับ
เรารู้สึกหลอนขึ้นมาทันที เรารู้อยู่แก่ใจ ว่าที่นี่มันไม่มีใคร "นอกจากเราสองคน"
เรา : ตาฝาดมั้งครับลูก ไม่มีใครเข้ามาได้หรอกครับ ครูล็อคประตูไว้
เด็ก : ไม่จริงครับครู คุณพ่อต้องแอบมาดูผมแน่ๆ ผมเห็นคนมองอยู่ พ่อผมแน่
แล้วเด็กวิ่งพรวดไปเปิดประตู ประมาณว่าจะยืนยันคำพูดตัวเอง
เราก็วิ่งตามทันที ในใจก็กลัว กลัวว่าจะเจอใครเข้า เด็กก็เดินไปดูในห้องน้ำ เดินไปดูในห้องรับแขก ซึ่งก็ไม่พบใคร เด็กจึงย้อนกลับมา ทำท่าจะขึ้นบันไดไปชั้นบน แต่เราคว้ามือไว้ก่อน
เรา : บนนั้น ไม่มีใครครับลูก มืดตื๋อแบบนั้น คุณพ่อไม่ขึ้นไปหรอก
เด็ก : ครับครู พ่อ! พ่อ! ออกมาเลย ไม่ต้องแอบ
เงียบบ.... ไม่มีเสียงตอบรับ
เรา : เห็นมั้ย ครูบอกแล้ว
เด็ก : แต่ผมเห็นจริงๆนะครู
เรา : ครับลูกครูเชื่อ แต่สงสัยจะเป็นสติ้กเก้อการ์ตูนที่ครูติดไว้มั้งลูก ไปๆ ไปเรียนกันต่อนะครับ
เด็กก็เข้าไปเรียนแต่โดยดี แต่ตาก็ยังมองไปที่ประตู และทำหน้าคิด ก่อนจะบอกว่า
เด็ก : มันไม่ใช่สติ้กเก้อนะครับครู ไม่ใช่แน่ๆ
เรา : เงาสะท้อนมั้งลูก ไม่ต้องสนใจหรอกครับ เราเรียนกันนะ
จากนั้นเด็กก็ทำท่าคิด แต่ไม่รู้คิดสิ่งที่สอนหรืออะไรและก็พูดออกมาว่า
เด็ก : หรือ.....โรงเรียนครูมีผี?
เรา : เห้ย! พูดไปเรื่อย ไม่เอาๆ สติ้กเก้อนั่นแหละ เดี๋ยวครูเอาออก มาๆ สลับที่นั่งกัน หนูหันเข้าในห้อง ครูหันไปทางประตูเอง หนูจะได้ไม่ต้องมองนะลูก
แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปปกติ แต่เราก็ก้มหน้าก้มตาสอน ไม่มองไปที่ประตูอีกเลย บอกตรงๆว่า เราก็เคยรู้สึกว่ามีคนมอง
พอพ่อเด็กมารับ เด็กก็ยังไม่ยอมแพ้ มีถามพ่อว่าพ่อมารึเปล่า ก็ได้รับการยืนยันหนักแน่นว่าไม่ใช่พ่อ หลังจากวันนั้น ไม่รู้เด็กไปจินตนาการเพิ่มหรือว่าอะไร ก็เลยขอมาเรียนที่ห้องรับแขก บอกว่าไม่อยากเห็นคนมามองอีก เราก็ตามใจเค้านะ เพราะตรงห้องรับแขกก็มีโต๊ะที่สอนได้เหมือนกัน แต่แค่ไม่มีกระดาน ก็ต้องเปลี่ยนมาเขียนบนกระดาษ
แต่! หนูไม่รู้ซะแล้วลูก ห้องรับแขกนี่ตัวดีเลย เดี๋ยวได้ยินเสียงจากข้างบน ลูกจะวิ่งไปเรียนห้องข้างหลังไม่ทันนนน
ได้แต่คิดนะไม่ได้บอก เพราะมีคนเผ่นเพราะอยู่ที่ห้องรับแขกคนเดียวตอนดึกๆมาแล้ววว แต่เค้าไม่ได้บอกนะว่าเจออะไร แต่เราพอจะเดาได้จากคำพูดและสีหน้า แล้วจะมาเล่าให้ฟังค่ะ

เหตุการณ์วันนั้น เป็นคอร์สเรียนตัวต่อตัว(อีกแล้ว) แต่เป็นน้องผู้หญิงชั้น ป.3 และเหมือนเดิมค่ะ ไม่มีคนเฝ้าที่ห้องรับแขก แต่คุณแม่น้อง เลือกที่จะให้พี่เลี้ยงซึ่งเป็นชาวต่างชาติ(เพื่อนบ้านเรานี่เอง) มาเฝ้าน้องที่ห้องรับแขก เผื่อน้องต้องการอะไร หรืออยากจะเข้าห้องน้ำ
พี่เลี้ยงก็ค่อนข้างสบายค่ะ นั่งเฝ้า นอนเฝ้า คุยโทรศัพท์เฝ้าอยู่ในห้องรับแขก (ที่ทราบเพราะเวลานักเรียนออกไปเข้าห้องน้ำ มองไปก็จะเห็นเค้าทำอยู่แค่นี้)
เราก็สอนตามปกติจาก 19.30-21.00 (น้องมาเรียนค่อนข้างดึกเพราะเรียนอีกที่มาก่อน) บรรยากาศก็เงียบๆค่ะ เพราะดึกแล้ว ร้านค้าแถวนั้นก็ปิดหมด
เราเลือกที่จะสอนห้องข้างล่างค่ะเพราะไม่อยากไปข้างบน สถานการณ์โดยรวมสำหรับเรา ปกติมากค่ะ
จนกระทั่ง เราได้ยินเสียงครื๊ดด (เหล็กขูดเหล็ก เพราะประตูเลื่อนที่กั้นระหว่างห้องรับแขกกับทางเดินมาห้องเรียนมันฝืด) และได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำ ก็เข้าใจได้ว่า คุณพี่เลี้ยงมาเข้าห้องน้ำ (เรามากั้นห้องเรียนเพิ่มเอง ดังนั้นเสียงเลยได้ยินค่อนข้างชัดเพราะผนังไม้อัดบางมาก) เราก็พยายามไม่สนใจสอนต่อไป ซักพักก็เป็นเสียงคนวิ่งขึ้นบันไดตึงๆๆ ไม่นานก็เป็นเสียงคนวิ่งลงมาจากชั้นบน ตึงๆๆๆๆๆ (บรรไดติดกับผนังห้องที่กั้นใหม่เลยได้ยินค่อนข้างชัดเจน) บอกตามตรง ตกใจม๊ากกกกกกกกก คิดว่าโดนอีกแล้วซินะ คราวนี้แบบขึ้นลงกันเลยทีเดียว และ ไม่ทันขาดคำประตูห้องเรียนดัง ปังๆๆๆ เรานี่สะดุ้งเลย แต่พอมองผ่านกระจกขุ่นๆไปเห็นเงาคนยืนอยู่ ก็พอเดาได้ว่าคือคุณพี่เลี้ยง เราก็มองหน้านักเรียนและเดินไปเปิดประตู แบบกลัวๆกล้าๆ แถมจูงมือ นักเรียนมาด้วยยังไงก็ไม่รู้ตัว
เปิดมาก็เห็นพี่เลี้ยงยืนอยู่จริงๆ เค้าทำท่าทางลุกลี้ลุกลน
พี่เลี้ยง : คุครูคะ น้อ..
เค้าพูดยังไม่ทันจบ ก็หันมามองค้างที่นักเรียน และนิ่งไปเลย
เรา : อะไรนะคะ
พี่เลี้ยง : น้อเรียกล้าเสะรึยาคะ
เรา : อ่อ เกือบแล้วค่ะ
พี่เลี้ยง : ค่ะ
เรา : มีอะไรรึเปล่าคะ
พี่เลี้ยง : ม่ามีค่ะ ม่ามี
แล้วเค้าก็เดินจากไป ปล่อยเราให้ งง
เราก็ งงๆ และรู้ว่ามีอะไรแน่ เสียงวิ่งน่าจะเป็นเค้า แต่เค้าจะวิ่งขึ้นไปทำไม??
เราก็เก็บความอยากรู้ไว้และสอนต่อไปจนเสร็จ และก็ออกมาพร้อมกับเด็กนักเรียนมาที่ห้องรับแขก แต่พี่เลี้ยงกลับนั่งกำโทรศัพท์รออยู่นอกโรงเรียน เราจึงไปเปิดประตูและเชิญเค้าเข้ามา พอเค้าเห็นเราจึงเข้ามาข้างใน ใจลึกๆเราอยากถามนะ ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เรากลัวเด็กนักเรียนจะกลัว ก็ได้แต่สังเกตุพฤติกรรมของพี่เลี้ยง สักพักเค้าก็เริ่มคุยขึ้นมา
พี่เลี้ยง : คุแม่จะถือแล้วค่ะ
เด็ก : ค่ะ แต่ขอระบายสีรูปนี้ก่อนได้มั้ย ครูพึ่งให้รางวัลมา อยากเอาไปอวดคุณแม่
พี่เลี้ยง : ไม่อาวค่ะ เกะขอให้เรี่ยโร้ย พอคูแม่มาจะได้ปาเลอค่ะ
เด็ก : ทำไมหละ ก็อยากระบายอะ
เรา : เชื่อพี่นะคะ เดี๋ยวคุณแม่มา จะรอนานค่ะ ดึกแล้วลูก เก็บๆของนะคะ
เด็กก็มองพี่เลี้ยงแบบไม่พอใจ และหันมามองเราด้วย เราก็ยิ้มให้และบอกว่า"เก็บนะคะคนเก่ง" น้องจึงยอมเก็บ โดยพี่เลี้ยงรีบช่วยอย่างฉับไว
จากนั้นพี่เลี้ยงก็มองโทรศัพท์ มองเพดาน และมองเรา ก่อนจะพูดว่า
พี่เลี้ยง : คุครู ม่าด้านอที่นี่หรอคะ
เรา : ไม่ค่ะ ที่นี่ไว้สอนค่ะ (ยิ้ม) เดี๋ยวกลับไปนอนบ้านค่ะ
พี่เลี้ยง : คุครู อยู่โคเดียวหรอคะ
เรา : ปกติ มีเพื่อนอยู่ด้วยค่ะ แต่เค้ากลับไปแล้ว นี่รอน้องกลับก็ปิดโรงเรียนแล้วค่ะ
พี่เลี้ยง : คุครูเกะของรึยาคะ คุแม่น้อมา จะได้กะพ้อกา
เรา : เรียบร้อยแล้วค่ะ
พี่เลี้ยง : ง้า ไปข้าน่อกาค่ะ
เรา : ไม่เป็นไรค่ะ รอในนี้ดีกว่า เดี๋ยวยุงกัด
พี่เลี้ยง : ปา เถอะค่ะ ปาข้าน่อดีกว่า
พร้อมสบตาเราปิ๊งๆ เหมือนมีอะไร เราจึงทำตาม พร้อมปิดไฟเรียบร้อยและเดินออกไปรอคุณแม่นักเรียนหน้าโรงเรียนกัน
พี่เลี้ยง : คุครูเก่ นะคะ อยู่โคเดียวด้าดั้ว
เรา : เหอะๆ มันจำเป็นค่ะ (เลือกได้ก็ไม่อยากอยู่หรอกค่ะ <<< คิดแต่ไม่ได้พูด)
ทันใดนั้นรถคุณแม่ก็มา
พี่เลี้ยง : คุแม่มาแล้ว สหวะดีค่ะคุครู
เด็ก : สวัสดีค่ะ
ทั้งคู่ก็จากไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเราก็รีบเดินไปขึ้นรถตัวเองและกลับบ้าน แต่ใจก็ยังสงสัยว่าคุณพี่เลี้ยงเป็นอะไร วิ่งขึ้นไปทำไม และเจออะไรรึเปล่า
จนไปสืบมาได้ความว่า (เล่าในมุมมองคุณพี่เลี้ยงเน้นใจความหลักอยู่ครบ แต่เปลี่ยนภาษาให้เข้าใจง่าย)
จริงๆหนูเคยได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมา มาจากข้างบนสองสามครั้งแล้ว แต่หนูคิดว่าคุณครูนอนพักที่นี่ แล้วก็มีใครอยู่กับคุณครูด้วย เพราะคุณครูปิดโรงเรียนดึกมาก หนูเลยไม่ได้คิดอะไรตอนได้ยิน จนวันนั้น หนูไปเข้าห้องน้ำก็ได้ยินเสียงคุณครูพูดๆ และมีเสียงน้องตอบ หนูก็ดีใจที่น้องตั้งใจเรียน แต่พอกำลังใส่กางเกง หนูกลับได้ยินเสียงคนเคาะประตู กึกๆ กึกๆ ตอนแรกคิดว่าคุณครูหรือน้องจะรีบเข้าห้องน้ำ หนูเลยรีบเปิดออกมา แต่พอเปิดประตูออกมาก็ไม่เห็นมีใครเลย ตอนกำลังมองๆอยู่ ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งขึ้นบันไดไป เหมือนเค้ารอหนูอยู่แล้ว รอให้หนูหาเค้า แล้วเค้าค่อยวิ่งขึ้นไป เพราะเค้าวิ่งจากกลางๆบันไดข้างบนแล้ว ไม่ได้เริ่มวิ่งมาจากข้างล่าง หนูก็คิดอยู่ว่าใคร แล้วก็ได้ยินเสียงคุณครูพูดอยู่ในห้องเรียนอีก แต่ไม่ได้ยินเสียงน้อง ก็เลยตกใจคิดขึ้นมาว่าน้องมาขอครูเข้าห้องน้ำ แล้วแกล้งเคาะแล้ววิ่งไปแอบข้างบนรึเปล่า หนูตกใจมาก ไม่ทันได้ถามคุณครู หนูเลยรีบวิ่งตามขึ้นไปเพราะเป็นห่วงน้อง กลัวน้องเป็นอะไรไป จริงๆหนูยังคิดอยู่เลยว่าครูปล่อยน้องออกมาได้ไง แต่พอขึ้นไปนะครู ข้างบนนั้นมืดมากกกกก โชคดีหนูเอาโทรศัพท์ไปด้วยก็เลยเปิดไฟฉายที่มือถือแล้วก็ส่องไปรอบๆ ตอนนั้นมันเงียบมาก จนหนูได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง หนูเดินไปช้าๆจนไปถึงประตูห้องที่มันอยู่บนห้องรับแขกพอดี บังเอิญประตูมันเปิดอยู่ หนูก็เลยเดินไปส่องไฟดู แต่สิ่งที่เห็นหนูตกใจมากเลย เพราะมันเป็นห้องเรียน ไม่ได้เป็นห้องนอน หนูคิดว่าครูกับเพื่อนนอนกันบนนั้นมาตั้งนาน แล้วหนูก็ส่องไฟไปรอบๆห้อง เผื่อน้องจะอยู่ในนั้น แต่หนูไม่ได้เดินเข้าห้องไปนะคะ ยืนแค่ตรงประตู แล้วหนูก็รู้สึกเหมือนมีคนมองมาจากข้างๆทางด้านขวามือ หนูก็รีบหันไป แล้วก็เอาไฟฉายส่อง แต่ตรงนั้นเป็นที่โล่งๆ ไม่มีใครอยู่เลย และคงไม่มีใครเดินหนีจากตรงนั้นโดยหนูไม่รู้ได้ หนูเริ่มรู้สึกแปลกๆ หนูก็เลยส่องไฟไปรอบๆตัว หนูเริ่มกลัวเพราะมันมืดมากและรู้สึกเหมือนมีคนมองตลอดเวลา ขนนี่ลุกหมดเลย และหนูดูยังไงก็ไม่เห็นจะมีใครเลย อีกอย่างนะเด็กตัวเล็กๆก็คงไม่กล้าขึ้นมาหรอก มืดขนาดนั้น หนูเองยังกลัวเลย พอหนูคิดได้นะ หนูก็รีบวิ่งๆๆลงมาเลย แต่เพื่อความแน่ใจว่าน้องไม่ได้ไปไหน หนูเลยมาเคาะเรียกถามดู แต่จริงๆหนูอยากให้น้องอยู่ข้างบนมากกว่านะ เพราะอย่างน้อยน้องก็คือคนที่วิ่งขึ้นไป แต่พอคุณครูเปิดประตู หนูจะถามคุณครูว่า "น้องอยู่มั้ย" หนูถามยังไม่ทันจบ ก็เห็นน้องยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว หนูเลยแน่ใจว่าคนที่วิ่งขึ้นไปไม่ใช่น้องกับคุณครูแน่ๆ หนูคิดเลยว่าต้องเป็นอย่างอื่นที่อยู่ที่นี่แน่ๆเลย หนูไม่รู้จะทำยังไง ครูก็ยังสอนไม่เสร็จ หนูเลยหนีออกไปอยู่นอกโรงเรียน แล้วก็โทรตามคุณเค้า แล้วก็นั่งรอจนคุณครูออกมาตาม ถึงกล้าเข้ามาเพราะคนเยอะ หนูนี่อยากจะรีบกลับเร็วๆ ก็เลยชวนครูออกไปด้วยกัน

ตอนที่เราถามเรื่องนี้จากเค้า เค้าบอกว่าจริงๆกลัวที่นี่มาก แต่ก็ต้องมาเพราะเค้ามีหน้าที่เฝ้าน้อง แต่เค้าก็ไหว้และขอโทษใครก็ตามที่อยู่ที่นี่แล้ว เพราะเค้าก็ไม่รู้ว่าเค้าทำอะไรผิดรึเปล่า ส่วนเราก็ไม่กล้าบอกเค้าว่าเราก็ได้ยินมานานแล้ว กลัวว่าจะกลัวกันไปใหญ่ ก็ได้แต่บอกเค้าว่า เสียงคนข้างบ้าน ซึ่งจริงๆยังแปะป้ายให้เช่าอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่เค้าคงอ่านไม่ออกก็โชคดีไป
หลังจากรู้ความจริง ตอนนี้เราเลยผวาไปเลย หลอนว่ามีคนมอง สงสัยคิดมากไปเอง จินตนาการ อีกอย่างเราจึงบอกเค้าว่าแผงไฟอยู่ตรงไหน(ไม่ได้ขึ้นไปชี้นะ แค่ทำถ้าบอกตำแหน่ง เพราะเราก็ไม่กล้าขึ้นไป) คราวหน้าก็เปิดไฟเลย ไม่ต้องใช้ไฟฉาย แต่เค้าบอกว่าคงไม่กล้าขึ้นไปคนเดียวอีกแล้ว คงไม่มีคราวหน้า

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เรามีสอนนักเรียนกลุ่มหนึ่งเลิกตอน 18.00 และจะต้องสอนคอร์สตัวต่อตัวต่อตอน 19.00 ดังนั้นเราจึงมีเวลาว่าง 1 ชม. แต่ด้วยความที่เราค่อนข้างกลัวเพราะต้องอยู่คนเดียวในบรรยากาศเงียบสงัด เราจึงนั่งเสียบหูฟังเพลง และเล่นเกมไปด้วย แต่ก็มีบางวูบที่รู้สึกขนลุกและคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ หูและตาดูหน้าจออยู่ แต่จิตใจว่อกแวกไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ตลอดเวลา
จนสุดท้ายเราจึงตัดสินใจสวดแผ่เมตตาเพราะรู้สึกว่าแสดงถึงเจตนาที่ดีต่อเค้าและมันทำให้เราสบายใจขึ้น (ซึ่งจริงๆช่วงนี้เราจะสวดทุกวัน แต่จะเป็นช่วงก่อนนอน) เราก็สวดและแผ่ส่วนบุญไปให้ใครก็ตามที่อยู่ที่นี่ และเราก็รู้สึกสบายใจขึ้น จึงนั่งเล่นเกมต่อไป พอนั่งๆไปได้ซักพัก เราก็รู้สึกอึดอัดเหมือนมีคนมองดูเราอยู่ เราจึงเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ขึ้นมาและมองไปตรงที่ที่เรารู้สึกว่ามีสายตามองมา และด้วยที่ว่าหน้าโรงเรียนทั้งหมดของเราจะเป็นกระจกที่ติดฟิล์ม แต่จะเป็นฟิล์มแบบที่ทำให้ กลางวันข้างในเห็นข้างนอก ข้างนอกไม่เห็นข้างใน แต่กลางคืนข้างนอกเห็นข้างในชัดเพราะข้างในสว่างกว่า และข้างในก็ยังสามารถเห็นข้างนอกได้ลางๆ และก็ยังเห็นเงาสะท้อนในโรงเรียนเหมือนว่ากระจกเหล่านั้นเป็นกระจกเงาด้วยเช่นกัน
พอเราเงยขึ้นมาและมองไป ภาพที่เราเห็นคือ เงาสะท้อนของคน! อยู่ที่กระจกบานหน้าโรงเรียน ซึ่งนั่นหมายความว่า....เจ้าของเงาสะท้อนนั้นต้องยืนอยู่ในโรงเรียนและสะท้อนไป!
ตอนนั้นเรานั่งอยู่บริเวณโต๊ะยาว ที่ทำไว้เป็นเค้าเตอร์ติดต่อธุระ และเงานั้นอยู่ตรงประมาณปลายโต๊ะ ซึ่งห่างกับเราไปประมาณ หนึ่งช่วงแขนเท่านั้น! เราไม่กล้าจะหันไปมอง เพราะกลัวว่าจะเห็นเค้ายืนอยู่ และเราก็คิดถึงสิ่งที่พี่คนสนิทคนหนึ่งสอนไว้คือ "ถ้าเห็น ก็ทำเป็นไม่เห็น แล้วเค้าจะเลิกยุ่งเราเอง"
เราจึงหลับตาและลืมตาอีกที คราวนี้ ไม่เห็นเงาของใครอีกแล้ว เราจึงรีบถีบตัวออกจากบริเวณปลายโต๊ะ(เก้าอี้มีล้อ) และก้มหน้าคิดๆๆๆๆ ว่าใช่มั้ย หรือเพราะกลัวมากจนคิดไปเอง? หรือตาพร่าเพราะเล่นโทรศัพท์มาก?
เราจึงเงยหน้าขึ้นมองอีกทีทันใดนั้น เราก็เห็นเป็นเงาอีกเงาหนึ่ง แต่คราวนี้ เงานั้นยืนอยู่นอกโรงเรียน ตัวเล็กกว่าเงาเดิม ใส่เสื้อสีขาว (ซึ่งเราคิดไปเองว่ามันคือชุดนักเรียน) เราจึงเหลือบมองนาฬิกา มันก็ใกล้เวลาแล้ว ต้องเป็นนักเรียนแน่ๆ ในใจคิดแต่ว่า ดีใจจัง นักเรียนมาแล้ว เราไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว จะต้องรีบไปอยู่กับนักเรียนให้เร็วที่สุด ตัวเราก็ยืนขึ้นอย่างรวดเร็วและรีบไปที่ประตู(เดินผ่านจุดเกิดเหตุเมื่อกี้ไปแบบไม่กลัวเพราะคิดว่ามีพวกแล้ว)
แต่แปลกตรงที่ ทำไมวันนี้ น้องไม่เปิดประตูเข้ามา ปกติน้องต้องรีบมาหาเรา พอเรามองไปดีๆเงานั้นก็ยังยืนมองเราอยู่ แต่พอเราเข้าไปใกล้อีกนิด ก็เริ่มสังเกตได้อีกว่า
ทำไมน้องตัวสูงกว่าปกติ และผู้ปกครองไปไหน? ปกติน้องไม่เคยห่างจากผู้ปกครองเลย เราจึงหยุดเดิน และปิดไฟในโรงเรียน(สวิชไฟอยู่แถวๆประตู) เพราะถ้าปิดไฟในโรงเรียน ข้างนอกจะสว่างกว่า และทำให้เห็นข้างนอกได้ชัดเจน คือไม่รู้อะไรมาดลใจให้ทำอย่างนั้นนะ เพราะจริงๆ ความมืดมันแสนจะน่ากลัว
และบอกตามตรงว่าคิดผิดที่ทำลงไป เพราะพอปิดไฟ
"เด็กคนนั้น ไม่อยู่แล้ว!"
เรานี่รีบเปิดไฟแทบไม่ทันเลย แต่ก็คิดลึกๆว่า คนแถวนั้นเดินมาดูรึเปล่า จึงใจดีสู้เสือ เดินไปที่ประตู เปิดประตูออกไปมองเลย จะได้รู้ๆกันไปเลย ไม่งั้นก็จะค้างคา ถ้าเป็นคนขึ้นมา จะได้ไม่ต้องหลอน แต่ถ้าไม่ใช่ ก็แค่ต้องหลอนเพิ่ม (เคยด่าพวกนางเอกหนังผีนะ ว่าจะเดินไปทำไม???? เดี๋ยวก็เจอผี!!! แต่พอตัวเอง กลับทำแบบเค้าซะงั้น)
พอมองออกไป ซ้ายไม่มี ขวาไม่มี ประตูบ้านทุกหลังเป็นบานยืด งับปิดกันอย่างเรียบร้อย และกว่าจะถึงซอยหรือที่เป็บหลืบให้หลบได้ก็ค่อนข้างไกล และคนแถวนั้นก็ประหยัด ปิดไฟกันหมด เหลือเปิดกันอยู่แค่ประมาณ 3 หลัง
ตอนนั้นบอกตามตรงว่ากลัวมาก ชัดเจน!!!
ข้างในก็มี ข้างนอกก็น่าจะใช่!!
รีบวิ่งกลับเข้าไปในโรงเรียนอย่างไวและไปนั่งบนโซฟา มองซ้ายและมองขวา มองไปรอบๆ
จะทำยังไงดี จะต้องทำยังไง มันมากเกินไปแล้วใช่มั้ย เราจะไหวรึเปล่า มันใช่ใช่มั้ย มีกี่คนกันแน่ เสียสติอยู่ซักพัก จนมีเสียงเลื่อนประตูครื่น
"สวัสดีค่ะคุณครู" บอกตามตรงงง มันคือเสียงสวรรค์ ที่ทำให้รู้ว่าเราไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว
แต่ที่เด็ดกว่าคือ.....
"เมื่อกี้ คุณครูมองหาอะไรหน้าบ้านหรอคะ? แล้วปิดไฟทำไมคะ? หนูนั่งกินแซนวิชอยู่ในรถ ตกใจหมดเลยคิดว่าคุณครูจะกลับบ้าน แล้วอยู่ๆครูก็เปิดไฟอีก แล้วเดินมามองข้างบ้าน มีอะไรหรอคะ?"
เรา : เอ่อ....หนูมานานแล้วหรอลูก?
เด็ก : ใช่ค่ะ จอดรถอยู่ฝั่งนู้น แต่หิว เลยกินแซนวิชอยู่บนรถค่ะ พอเห็นครูปิดไฟ หนูรีบๆกินเลยค่ะ กลัวครูจะไป
แม่เด็ก : เห็นมั้ย แม่บอกแล้วว่าครูไม่ได้จะกลับบ้าน
เรา : พอดีเมื่อกี้ครูเห็นเหมือนเพื่อนเดินผ่านจ๊ะ ครูเลยจะวิ่งตาม หนูเห็นใครมั้ย?
เด็ก : ไม่มีนี่คะ เห็นแต่ครูนี่แหละค่ะ เอ..กับ เพื่อนครูมั้งคะ อยู่ตรงโต๊ะนั่นค่ะ
เรา : เพื่อน....ครูหรอคะ
เด็ก : ใช่ค่ะ แต่ไม่รู้ไปไหนแล้ว เห็นยืนอยู่ก่อนครูปิดไฟ พอเปิด ก็ไม่อยู่ละ เร็วจริงๆ
แม่เด็ก : เพ้อเจ้อแล้วลูก รีบๆ ดื่มน้ำค่ะลูก แล้วรีบไปเรียน เดี๋ยวคุณครูจะได้กลับบ้าน ดึกแล้วๆ
เด็ก : เห็นจริงๆค่ะ
แม่เด็ก : ไปเรียนๆ
เรา : ค่ะ มาเรียนกันค่ะ
ส่วนแม่นักเรียน เลือกที่จะไปทำธุระที่อื่นและค่อยกลับมารับน้อง แต่เราก็ยังอุ่นใจที่มีเด็กมาอยู่ด้วย
พอตอนเราสอนก็สอนไปแบบ คิดๆไปคือไม่น่าถามเด็กเลย เด็กต้องไม่โกหกใช่มั้ย? เด็กเห็นเพื่อนครู คือตำแหน่งเดียวกับที่เราเห็นเลยไง คือมันบังเอิญเกินไป
และพอเราสอนเสร็จ เราอ้างว่ามืดและดึกแล้ว จึงขอให้คุณแม่นักเรียนรอให้เราปิดโรงเรียนก่อนและกลับไปด้วยกัน ซึ่งท่านก็ยอมแต่โดยดี ถ้าเรายังต้องอยู่คนเดียวอีกในคืนนั้น เราคงไม่ไหว พูดจริงๆ
คือบอกตามตรงว่ากลัวมากกกก แต่ก็ยังต้องไปสอนอยู่ แต่จากวันนั้นจนวันนี้ ก็ยังไม่เจออะไรอีกเลยนะ เราไปทำบุญมาด้วย และขอให้ต่างคนต่างอยู่
เราก็มาคิดๆดู ไม่รู้เพราะเราแผ่เมตตารึเปล่า เพราะนั่นคือสิ่งเดียว ที่เราทำต่างออกไปจากทุกวัน และคิดว่าไม่นาน จะต้องทำบุญเลี้ยงพระ ก่อนหน้านี้ ไม่ขนาดนี้นะ หรือเพราะเราคิดมากไป จิตปรุงแต่งสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมารึเปล่า บอกตามตรงว่ากลัว ที่ไม่ได้มาเล่าเพราะส่วนนึงคือกลัว ตอนพิมพ์มันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกตอนนั้น และทุกวันนี้ ยังต้องอยู่ที่นั่นต่อไป คิดกี่ทีๆก็ยังกลัว

เรื่องส่วนของ นา เราว่าเค้าก็โดนค่อนข้างหนักค่ะ แต่ด้วยที่เรา 2 คนต่างกลัวว่าอีกคนจะกลัว เลยไม่ยอมคุยกันซักที และบางครั้งที่เค้าไม่มาสอน ก็เพราะเค้ากลัวนี่เอง แล้วเค้าก็ไม่บอกเราซะตั้งแต่ทีแรก

นักเรียนของนาส่วนใหญ่จะเป็นเด็กชั้นโตกว่าเรา และอาจเพราะความเห็นแก่ตัวของเรา ที่จับจองห้องข้างล่างตลอด จึงทำให้ นา ต้องไปสอนข้างบนเกือบตลอด จากแรกๆ นาก็เหมือนๆเรานี่แหละ ไม่ชัวร์ เอาหลักวิทยาศาสตร์มากลบเกลื่อน แต่สุดท้าย ก็โอนเอียงมาทางเรื่องลี้ลับ

เข้าเรื่องเลยค่ะ (เล่าในมุมมอง นา นะคะ จากที่ฟังเค้าเล่ามา)

ครั้งแรกเลยที่เค้ารู้สึกก็คือ ตอนที่ขึ้นไปเตรียมอุปกรณ์การสอนที่ห้องชั้นบนด้านหลัง(ห้องเล็ก)(เหตุการณ์เกิดหลังจากที่เราเปิดโรงเรียนกันไม่นาน) วันนั้นเตงอยู่ชั้นล่างแบบปกตินี่แหละ
ระหว่างที่ยืนหันหน้าเข้าหาโต๊ะวางของที่อยู่ติดกับกระดาน และหันหลังให้ประตู จู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินเข้าห้องมา(ทั้งๆที่ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตู) เค้าก็คิดว่าเป็นเตง ก็เลยทักไปทั้งๆที่ยังหันหลังอยู่ ว่าขึ้นมาเอาอะไร แต่กลับเงียบไม่มีเสียงตอบ เค้าถึงหันไปมอง แต่กลับไม่เห็นใคร แล้วตอนนั้นก็รู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอ แบบรู้สึกเสียวสันหลัง แล้วขนก็ลุกไปทั้งตัว ตอนนั้นรู้สึกแปลกมากๆ เพราะไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย เค้าก็เลยยืนลูบแขนตัวเอง มองขนแขนที่มันลุกขึ้นมา แล้วเค้าก็เห็นจากหางตาว่ามีคนมองมาจากมุมห้องเรียน (เค้ายืนอยู่มุมขวาสุดของห้อง แต่รู้สึกว่ามีคนมองมาจากมุมหลังห้องทางด้านซ้าย) เค้าก็รีบหันไปมองทันทีเลย แต่ก็เหมือนเดิม มันไม่มีใคร และไม่มีทางจะมีใคร เพราะยังไม่มีใครเปิดประตูเข้ามาเลยด้วยซ้ำ และห้องก็โล่งๆ ไม่มีที่ที่ใครจะแอบได้เลยเตงก็รู้ เค้าเลยคิดเข้าข้างตัวเองว่า คงเห็นถังขยะมุมห้องเป็นคน ทั้งๆที่มันสีขาวและใบเล็กมาก แต่ที่เค้าเห็นคือเงาดำๆ แถมวันนั้น เค้าก็มัดผม ไม่ใช่ปอยผมตัวเองแน่ๆ และไอความรู้สึกเสียวสันหลังและขนลุก ก็ยังมีอยู่ตลอด แต่เค้าก็คิดในแง่ดีว่าคงเพราะแอร์เย็น ก็เลยเตรียมอุปกรณ์ต่อ พออยู่ได้ซักพัก นักเรียนก็มา เค้าก็สอนตามปกติ แต่ก็มีขนลุกๆบ้าง ระแวงมองมุมหลังห้องบ้าง จนเค้าสอนเสร็จก็บอกให้นักเรียนลงบันไดไปก่อนและรอปิดไฟ พอเห็นว่านักเรียนเดินเลยบันไดช่วงแรกไป(บันไดจะเป็นแบบเดินตรงลงไปและมีเป็นที่โล่งๆแบบไม่มีขั้นบันไดแล้วนักเรียนก็ต้องเดินยูเทินนิดนึงเพื่อเดินลงไปที่บันไดอีกส่วนหนึ่งซึ่งก็ต้องเดินตรงลงไปต่ออีกช่วงนึงและบันไดส่วนนั้นก็จะติดกับห้องสอนด้านล่างพอดี) พอนักเรียนถึงบันไดส่วนที่สอง ที่พอมีแสงสว่างจากข้างล่างแล้ว เค้าก็เลยปิดไฟ แต่พอปิดปุ๊บเค้ากลับรู้สึกเหมือนมีคนมองมาจากความมืดตรงหน้าห้องสอนใหญ่ มือเค้าก็อัตโนมัติ เปิดไฟทันที แต่ก็ไม่เห็นอะไรและคิดว่าดีมากด้วยที่ไม่เห็นอะไร ตอนนั้นรู้สึกใจไม่ดีมากๆ จึงรีบปิดไฟและวิ่งลงไปชั้นล่างและไม่กล้ามองขึ้นไปข้างบนเลย แต่พอถึงปลายๆบันไดก็ต้องเดินเพราะกลัวเด็กนักเรียนจะเห็น ตอนนั้นเค้ารู้สึกไม่ดีเอามากๆเลย แต่ก็พยายามคิดว่าเพราะแปลกที่เลยอาจจะรู้สึกแปลกๆ และหวังว่ามันจะไม่มีอะไรอีกนับจากนี้
แต่นี่มันแค่เริ่มต้น....

หลังจากวันนั้น นา ก็ได้ไปทำบุญค่ะ ซึ่งก็ทำให้นา สบายใจขึ้น แต่นาก็บอกข้อมูลกับเราเพิ่มว่า เหมือนกับว่า นา จะสื่อสารกับเค้าได้ แบบว่าจูนกันติด เลยทำให้เห็นแว๊บๆ หรือสัมผัสได้บ่อยๆ (แบบว่าขนลุก หรือเย็นวาบๆ) ซึ่งปกติ นาไม่ได้เป็นคนมีเซ้นหรืออะไรทำนองนี้เลย
คือหลังจากเรามาจับเข่าคุยกัน เล่าเหตุการณ์ที่เจอมา นาก็หลุดเรื่องนั่นนี่มาเรื่อยๆ

เรื่องที่เราว่า เราฟังแล้วกลัวจนหลอนก็คือสาเหตุที่ นา เตือนนักเรียนให้ขอขมา เพราะหยอกเรื่องผีกันในโรงเรียน เราได้ฟังก็ต้องขนลุก และก็ขอขอบคุณที่เค้าเลือกสื่อสารกับนาเป็นหลัก ไม่ใช่เรา หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า นาไปเห็นเค้าเอง ทั้งๆที่เค้าก็ไม่เจตนา เราก็ไม่แน่ใจ หรือเค้าต้องการมาเตือน นี่ก็ไม่แน่อีก

เรื่องราววันนั้น (มุม นา นะคะ)

วันนั้นเค้าสอนเด็กนักเรียนชั้นโตมาหน่อย สมมติว่าคือกลุ่มน้องเอ เด็กกลุ่มนั้นเฟี้ยว พูดจาเสียงดัง ปากดีด้วย ไม่ค่อยกลัวอะไร ชอบแกล้งหลอกผีกันเอง แอบหลังประตูห้องแล้วแฮ่เพื่อนบ้าง หลบข้างบันไดแล้วแกล้งเพื่อนบ้าง วันนั้นเค้าก็สอนเด็กๆตามปกติที่ห้องสอนใหญ่ แต่น้องเอ ดันแกล้งเพื่อน ตอนนั้นเด็กๆนั่งทำแบบฝึกหัดกันอยู่ดีๆ น้องเอก็แกล้งทุบโต๊ะเสียงดัง แล้วทำเป็นกระตุก (ดูเด็กมันเล่นกัน) เค้าก็ตกใจหมดเลยตอนแรก คิดว่าผีเข้าจริง น้องทำตาโต ค้อนคนนั้นคนนี้ จนเพื่อนๆกลัวกันหมด วิ่งมารวมกันที่หน้าห้องกับเค้า แล้วน้องเค้าก็หัวเราะขึ้นมาแล้วก็ชี้พวกเพื่อนๆ
"5555 โดนหลอกหมดเลย" เด็กคนอื่นๆก็บ่นบ้าง เดินไปตีเอบ้าง
ส่วนเค้าเองก็บอกว่า "อย่าทำแบบนี้อีกมันไม่ดี ดึกแล้วด้วย คนโบราณเค้าถือ"
แต่ลึกๆเค้าก็โล่งใจขึ้นหน่อยว่าไม่ได้มีเรื่องลี้ลับเกิดขึ้น แต่พอหลังจากนั้นแป๊บนึงนี่ซิ ความรู้สึกเดิมกลับมาอีกแล้ว แต่คราวนี้รู้สึกที่แขนข้างซ้าย เย็นวาบ ขนลุก จนตัวเค้าสั่นไปทั้งตัว พวกเด็กๆก็หัวเราะกันใหญ่ คิดว่าเค้าจะแกล้งแบบน้องเอ เค้าก็ได้แต่ยิ้มๆแล้วสอนต่อ แต่ตอนช่วงหันหลังเขียนกระดานนี่สิ เค้ารู้สึกถึงสายตาจับจ้องอีกแล้ว แต่มันไม่ใช่สายตาของเด็กๆ มันรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ   เหมือนมีใครจ้องเขม็งมาที่เค้า จนเค้าต้องหันไปมอง และสิ่งที่เค้าเห็นก็คือ "เงาดำๆยืนอยู่หลังน้องเอ" แต่มันแค่พริบตาเดียวเท่านั้น เค้าก็ไม่แน่ใจ ว่าเค้าจินตนาการไปเองรึเปล่า แต่แถวนั้น ก็ไม่มีอะไรเป็นจุดจับสายตาเลย (ในห้องจะเป็นโต๊ะยาวสีขาว 2 ตัว กับเก้าอี้ไม้ โต๊ะจะพับเก็บได้ ขึ้นกับว่าจำนวนเด็กที่เรียน) น้องเอ นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างหลัง ทางด้านขวา แต่เงาดำๆที่เห็นคือเหมือนเค้ายืนซ้อนอยู่ด้านหลังน้องไป แต่มันพริบตาเดียวจริงๆ
เค้าพยายามตั้งสติ และคิดว่าคงคิดไปเองและสอนต่อไป แต่เค้าก็มีหลอนๆ หันไปมองเป็นระยะ แต่ก็ไม่มีอะไร จนสอนเสร็จ พวกเด็กๆก็จะรีบเก็บของและเตรียมตัววิ่งแข่งกันว่าใครจะไปถึงห้องชั้นล่างก่อนกัน แต่เค้ามีกฎว่า "ต้องรอออกพร้อมครู" เด็กๆก็ได้แต่ตั้งท่าและรอเค้า ปากก็บ่นว่าครูช้า และก่อนจะออกจากห้องเค้าก็ย้ำแล้วว่าห้ามวิ่ง ส่วนเค้าก็ตามเคยต้องปิดไฟก่อนถึงจะเดินลงบันไดไปได้
พอเปิดประตูปุ๊บ พวกเด็กๆก็วิ่งทางด้านซ้ายมือของเค้าออกไป (ประตูมันอ้าไปทางขวาเด็กเลยต้องออกทางซ้ายมือ) เค้าก็มองว่าเด็กออกไปครบแล้ว และมองไล่หลังพวกเด็กๆไป
เค้า : บอกว่าอย่าวิ่ง เดี๋ยวตกบันได

พูดไปเค้าก็เดินไป แต่แล้วเค้าก็รู้สึกเหมือนมีใครอีกคนวิ่งมาจากข้างหลังเค้าและวิ่งผ่านแขนซ้ายไป มันเย็นวาบแปลกๆ ตอนนั้นเค้าตกใจมาก เพราะ"เด็กทุกคนออกไปหมดแล้ว" และเห็นเหมือนเงาดำๆ แว๊บผ่านไปเร็วมาก แต่ที่เค้าตกใจที่สุด และไม่เชื่อสายตาตัวเอง และก็ยังไม่คิดว่าเป็นความจริงก็คือ
"เค้าเห็นเหมือนใครอีกคนปนอยู่ในกลุ่มเด็กๆ แต่เค้าไม่รู้จักคนคนนั้น และคนคนนั้นก็หยุดและหันมายิ้มให้เค้า และก็หายไป" เหตุการณ์มันเกิดขึ้นไวมาก ไวจริงๆ จนเค้าได้ยินเสียงเอ ร้องขึ้นมา
เอ : โอ้ย! เจ็บบ
บี : ครูคะ! เอ ตกบันไดค่ะ
เค้าตกใจมาก ตกใจกับสิ่งที่พึ่งเห็น และตกใจกับสถานการณ์ตรงหน้า
เค้า : เป็นอะไรมากมั้ย ครูบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าวิ่ง!
ไม่ทันขาดคำเค้าก็ลงมาถึงตัวเอ (ส่วนเราคุยกับแม่น้องนักเรียนอยู่ที่ห้องรับแขก นาเค้าบอกมา)
เอ : เจ็บครับครู
เค้า : บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าวิ่ง ถุงเท้าก็ไม่ถอด ไหนๆ ยืนได้มั้ย ตกกี่ขั้นเนี่ย หัวกระแทกมั้ย อะไรกระแทกพื้นบ้าง
ซี : ไม่กี่ขั้นครับครู มันสำออยครับ
ดี : สม ชอบแกล้งเพื่อน
เอ : เห้ย เดี๋ยวโดน พูดมาก
เค้า : พอๆ อย่าว่าเพื่อน เอ ก็พอๆ อะ เอ ยืนๆ ยืนไหวป่าว
เอ ยืนขึ้น แล้วก็กระโดดเขย่งๆขาเดียว 2 ที และก็ยืนตามปกติ
เอ : เจ็บนิดๆครับ หัวไม่โดนนะครู ตกลงมาท่าไหนจำไม่ได้อะ รู้แต่ว่าเจ็บเท้ากับแข้งเนี่ย
เค้า ก็ดูๆ ไม่มีเลือด มีแต่ถลอกๆ
เค้า : ไหวป่าว ต้องไปโรงบาลแล้วมั้งเนี่ย ตัดขาทิ้ง (หยอกๆ)
ซี : ดีๆ ตัดขาทิ้งจะได้ไม่ต้องแกล้งเพื่อน
เอ ทำท่าจะวิ่งใส่เพื่อน เค้าเลยกางแขนกันไว้
เค้า : เห้ย พอๆ ไปๆ พ่อ แม่ รอใหญ่แล้ว เอ ไหวนะ
เอ : สบายมากครู ชิวๆ
เค้า : ดีแล้ว ไปๆ กลับบ้านกัน

พอเลื่อนประตูเลื่อนไปถึงตรงห้องรับแขก เด็กๆก็บอกพ่อ แม่กันใหญ่ว่า เอ ตกบันได เอแกล้งเพื่อน เอ แกล้งผีหลอก (เราก็สงสัยว่าทำไมเราไม่ยักกะรู้เรื่อง นา ก็บอกว่าตอนนั้นเราเดินไปเม้ากับผู้ปกครองนักเรียนที่รถ เลยตกข่าว)

เค้ามัวตกใจเรื่องเอ ตกบันได จนลืมที่จะกลัวไปเลย จนเดินไปปิดประตูที่เชื่อมห้องรับแขกกับข้างหลังนั่นแหละ ถึงสังเกตุว่า เค้ายังไม่ได้ปิดไฟเลย และตาก็มองไปตรงจุดที่ "เห็นคนๆนั้น" จะเป็นไปได้มั้ยว่า คนๆนั้นมาให้เค้าเห็นจริงๆ หรือว่าเค้าเห็นเงาของบันไดแล้วจินตนาการไปเอง หรือจริงๆแล้ว เป็นนักเรียนสักคนนึงยิ้มให้เค้า  แต่เค้าเบลอ เลยเห็นว่าเป็นหน้าของคนอื่นที่ไม่รู้จัก บอกตามตรงว่าไม่รู้เลยจริงๆว่าคืออะไร
และวันนั้นเค้าก็ทำใจดีสู้เสือเดินขึ้นไปปิดไฟ บอกตามตรงว่าใจเต้นแบบสุดๆ กลัวว่าจะเห็นอะไร ไม่กล้ามองไปหน้าห้องเรียนด้วยซ้ำ ความรู้สึกเดิมๆ ที่เคยรู้สึกครั้งก่อนมันก็กลับเข้ามา พอปิดไฟได้ปุ๊บ เค้าก็รีบวิ่งๆๆๆ ลงมาแบบมองแต่ขั้นบันไดโดยใช้ไฟสลัวจากข้างล่างเป็นแสงสว่างนำทาง และพยายามไม่มองข้างๆเลย และก็โชคดีมากที่ไม่เห็นอะไร

หลังจากที่เค้าสัมผัสถึงสิ่งลี้ลับได้ในวันนั้น ก็ทำให้เค้าค่อนข้างหลอน และคิดมาก และเนื่องจากโม(สมมติว่าชื่อเรา)ยึดห้องสอนข้างล่าง และการสอนก็คืออาชีพของเค้า เค้าจึงยังต้องไปสอนที่นั่น และต้องไปสอนที่ชั้นบนเพียงลำพัง

วันหนึ่ง ด้วยความที่โมหลอนหนัก โมจึงไปแฝงตัวอยู่ที่ร้านกาแฟ ที่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก แต่โมไม่ได้บอกเค้าไว้ก่อน จึงทำให้เค้าต้องอยู่ที่โรงเรียนคนเดียว (ปกติเค้าไปจะต้องเจอโมเพราะโมไปสแตนบายอยู่ก่อนแล้ว)
เค้าจึงตัดสินใจโทรหาโม เพราะไม่รู้ว่าอยู่ซะที่ไหน
นา : เตง เค้ามาโรงเรียนแต่ประตูล็อค เตงไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนหรอ
โม : อื้อ โทษที เราออกมาซื้อโกโก้อะ เอามั้ยๆ เดี๋ยวซื้อไปฝาก
นา : ไม่เป็นไรๆ เอาเป็นว่า รีบกลับมานะ
โม : จ้าาาา มีไรรึเปล่า
นา : เปล่าๆ พอดีจะถามเรื่องค่าไฟ
โม : อื้อๆ เดี๋ยวรีบกลับๆ
(แต่จริงๆคือ วันนั้น เราไม่ได้รีบกลับไง นั่งเล่นเฟซ ดูนั่นนี่สบายใจเลย เพราะนักเรียนกลุ่มแรก ไปทัศนศึกษา เราก็เลยต้องรอสอนรอบต่อไป)

เค้าเลยล็อคประตูด้านหน้าไว้เพราะไม่มีใครอยู่ข้างล่าง และต้องขึ้นไปเตรียมอุปกรณ์การสอนที่ชั้นบน ซึ่งตอนนั้นท้องฟ้ายังคงสว่างอยู่ บรรยากาศจึงไม่น่ากลัวเท่าไหร่

ระหว่างที่เค้าเปิดแอร์ เตรียมการสอนอยู่ในห้อง ทุกอย่างก็ดูปกติดี เค้าพยายามไม่คิดอะไร เปิดเพลงฟังไปด้วย จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ พยายามไม่สร้างจินตภาพอะไรทั้งนั้น เพราะความคิดของเรา คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด

ทันใดนั้น เค้าก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ "นา.....นา" แต่มันกลับไม่ใช่เสียงที่เค้าคุ้นเคยเลย แต่เค้าก็คิดในแง่ดีว่า อาจจะเป็นผู้ปกครองนักเรียนที่มาส่งลูกเร็วกว่าปกติ แต่เพื่อความแน่ใจ เค้าจึงปิดเพลง และคอยตั้งใจฟัง แต่เสียงนั้นกลับเงียบไป เค้าจึงตั้งสติ และดูชื่อเพลงที่ฟังอยู่ และเซิชเนื้อเพลงในกูเกิ้ลและดูว่าเพลงนั้น มีท่อนไหนที่ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเสียงเรียกว่า นา ได้รึเปล่า

นาาา  นาาาาา ..... เสียงเรียกกลับมาอีกแล้ว แต่คราวนี้ชัดเจนว่า ไม่ได้มาจากในโทรศัพท์ แต่ต้องมีใครสักคนที่เรียกเค้าอยู่แน่ๆ

เค้าจึงรีบเดินไปที่ประตูเพราะกลัวว่าจะเป็นผู้ปกครองเด็ก แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตูเพราะเค้ากลับฉุกคิดขึ้นมาได้ก่อนว่ามันแปลกตรงที่ "เสียงมันดังมาจาก 'ข้างใน' โรงเรียน!!" ซึ่งเค้าก็ล็อคไว้ดีแล้ว เสียงมันฟังดูไม่ไกลนัก เพราะเค้าเปิดแอร์ เปิดเพลง ยังได้ยินเสียงได้
ตอนนั้น รีบปล่อยมือตัวเองออกจากลูกบิด มือเย็นเฉียบ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ความกลัวเข้ามาแทรก รู้ดีว่าส่งสัยจะโดนเข้าให้อีกแล้ว

เค้าจึงเดินถอยจากประตูและทรุดนั่งลงกับพื้น อยากจะร้องไห้มากเพราะกลัวไปหมด และก็ได้ยินเสียงเหมือนคนย่ำเท้า เดินตรงมาที่ห้อง แต่เสียงกลับหยุดไปก่อนที่หน้าประตู ตอนนั้นเค้าถามตัวเองว่า ไปทำอะไรผิดมารึเปล่า ทำไมถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ไปทำอะไรมา ลบหลู่ใครมา หรือไปทักใคร หรืออะไร???

นาาาาา!!! เสียงกลับมาอีกแล้ว มันเป็นเสียงของผู้ชาย แต่มันกลับกลายเป็นเสียงที่เกรี้ยวกราด ไม่ใช่เสียงเรียกแบบสั้นๆ ห้วนๆ เหมือนเก่า และที่สำคัญ มันชัดมาก ชัดเหมือนมาจากหลังประตูนี่เอง เหมือนแค่มีประตูกั้นนี่เอง

เค้าตกใจมากรีบถอยหลังออกจากบริเวณประตูแบบไถๆตัวไปกับพื้น เพราะไม่มีแรงจะลุกด้วยซ้ำ และเค้าก็ร้องไห้ และเริ่มตัดสินใจตะโกนออกไป แบบจริงๆนะ เค้าก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงทำแบบนั้นออกไป อะไรดลใจก็ไม่รู้

"มายุ่งกับหนูทำไม หนูไปทำอะไรให้ อยากได้อะไรก็บอกกันดีๆซิ มาทำแบบนี้ทำไม ต่างคนต่างอยู่ซิ หนูทำอะไรผิดหละ อะไรหละ หนูไม่รู้นี่ หนูไม่รู้อะไรเลย หนูขอโทษ หนูขอโทษ ฮือๆๆๆ"

และเค้าก็เริ่มร้องไห้หนักมาก ก่อนที่จะได้ยินเสียงทุบประตู ปังๆๆๆ เสียงเคาะกำแพงเหมือนเคาะอยู่รอบๆตัว เค้ายิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิมเพราะกลัวมากก ไม่รู้จะต้องเจออะไรอีก ท้องฟ้าก็มืดแล้ว โมก็ไม่รู้ไปไหน ไม่รู้เสียงดังอยู้นานแค่ไหน เค้าได้แต่ตะโกนว่า "หนูขอโทษ แล้วจะทำบุญไปให้" พูดซ้ำๆ จนเสียงพวกนั้นก็เงียบไป

ไม่รู้ว่าเค้านั่งก้มหน้าหลับตาร้องไห้อยู่นานแค่ไหน รู้สึกกลัวจับใจ ไม่กล้าลืมตาด้วยซ้ำ กลัวจะเจอใครมาอยู่ตรงหน้า จนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเค้าสะดุ้งสุดตัว และค่อยๆลืมตา และวิ่งไปที่โทรศัพท์ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนัก เป็นเบอร์ของผู้ปกครองเด็ก พวกเด็กๆคงมากันแล้ว เค้าจึงรีบทำตัวเองให้เป็นปกติ รับโทรศัพท์ และรีบแต่งหน้าเร็วๆ และทำใจกล้า เปิดประตูแต่ก็โชคดีที่ไม่เห็นอะไร พวกเค้าคงไปกันแล้ว จึงรีบวิ่งลงไปที่ชั้นล่าง และเปิดประตูให้เด็กๆและผู้ปกครองเข้ามา

ในระหว่างที่สอนอยู่นั้น เค้ารู้สึกอึดอัด อึดอัดแบบบอกไม่ถูก เหมือนมีคนมาอยู่ใกล้ๆ รู้สึกไม่ดีมากๆ แต่ก็ทนสอนจนเสร็จ และวันนี้ เค้าเลือกที่จะไม่ปิดไฟ และขอเดินลงไปพร้อมกับเด็กๆเลย เค้าไม่กล้าอยู่ข้างบนคนเดียว ไม่กล้าอยู่ในความมืด
แต่ตอนลงมา โมยังสอนไม่เสร็จ เค้าก็ตัดสินใจกลับบ้านก่อนเลย และทิ้งโน๊ตเอาไว้ และวันรุ่งขึ้น ก็ตัดสินใจไปทำบุญและลาสอน 1 วัน เพราะว่ากลัวมากจริงๆ ไม่กล้าไปที่โรงเรียน

วันที่เค้าลาสอน เค้าก็ได้แต่คิด คิดและคิด ว่าตัวเองไปทำอะไรมารึเปล่า ทำไมทุกอย่างถึงได้เป็นแบบนี้???

หลังจากวันนั้น นา ก็เริ่มตักบาตรทุกเช้าเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ใครก็ตามที่อยู่ในโรงเรียน และสวดชินบัญชร กับแผ่เมตตา (ส่วนตัวเราสวดชินบัญชรทุกคืนมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว พ่อบอกว่าจะมีเกราะแก้วรอบตัว ขนาดมีเกราะแล้วนะ ยังโดนเลย)

หลังจากนั้นมา ก็เหมือนว่าอะไรๆจะเริ่มดีขึ้น นา สบายใจขึ้นเพราะได้ทำบุญ จิตใจผ่องใส และคิดว่า ดวงวิญญานเหล่านั้นคงได้รับบุญและทราบถึงเจตนาดีจึงไม่มารังควานอีก แต่...มันก็ดีได้ไม่นานนัก

หลังจากที่เราสองคนได้จับเข่าคุยกันและคิดว่าจะทำบุญโรงเรียน รวมถึงปัดรังควาน (อารมณ์ว่าเชิญวิญญานออกไป) ความน่ากลัวจึงมาลงที่นาอีกครั้ง

มุมมองของนา

วันนั้นตาเค้าเจ็บมาก คงเพราะสอนเยอะ ใช้สายตามาก และใส่คอนแทคเป็นเวลานาน จึงต้องตัดสินใจใส่แว่นมาสอน ซึ่งปกติเค้าไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะสายตาเค้าสั้นมาก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแว่น ก็เหมือนคนตาบอดดีๆนี่เอง

ช่วงนั้น เค้าสบายใจขึ้นมาก จึงไม่ค่อยคิดอะไร และได้ระบายเรื่องราวให้โมฟังไปแล้ว และรู้ว่าเค้าไม่ได้รับรู้แค่คนเดียว เค้าจึงกล้าที่จะอยู่ในห้องเรียนชั้นบนคนเดียว แต่ก่อนจะเข้าห้องก็จะบอกกล่าวและขอใครก็ตามที่อยู่ในห้องนั้นก่อนเสมอ

ระหว่างที่เค้าเตรียมชีท นั่งทบทวนดูเรื่องที่จะสอน และก้มๆเงยๆอยู่นั้น เค้ามองลอดแว่นไปและเห็นเหมือนมีคนมายืนมองจากที่มุมห้องอีกแล้ว เหมือนเค้ายืนนิ่ง และจ้องอยู่อย่างนั้นทำให้เค้ารู้สึกอึดอัดแปลกๆ เค้าจึงเอานิ้วดันแว่นเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดขึ้น แต่ลึกๆก็ขอให้ไม่เห็นอะไร ขอแค่ตาฝาดหรือเป็นเงาของกรอบแว่นแค่นั้น และพอเค้าเลื่อนไว้ขึ้นไป และมองไปทางนั้น "ว่างเปล่า" ไม่มีอะไร มีก็เพียงแค่ถังขยะ ในใจก็พร่ำบอกว่า อย่ามาหลอกเค้าเลย เค้าทำบุญไปให้แล้วนะ อย่าทำอะไรเลย     และเค้าก็ถอดแว่นออกมาเช็ด เพราะมือดันไปโดนทำให้แว่นมัวถ้าต้องวิ่งหนีอะไร เดี๋ยวจะมองไม่ชัด และตอนที่เช็ดอยู่นั้น(เช็ดกับชายเสื้อ) ก็มองเห็นเป็นเงาลางๆของขาคน ยืนอยู่ตรงหน้าพอดี เค้าจึงรีบใส่แว่นกลับเข้าไปเหมือนเดิม และมองอีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นอะไร

ความกลัวจึงกลับขึ้นมาอีกครั้ง มันสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติ เค้าจึงคิดว่าลงไปอยู่กับโมน่าจะดีกว่า จึงรีบเดินกึ่งวิ่งลงไป แต่พอมาถึงชั้นล่าง กลับไม่เจอโม ในห้องเรียนชั้นล่าง ห้องน้ำ ห้องรับแขกก็ไม่มี สงสัยโมจะไปซื้อโกโก้กินอีกแล้ว เค้าจึงคิดว่านั่งรอโมและนักเรียนอยู่ในห้องรับแขกจะดีกว่า ปลอดภัยกว่า พอนั่งได้สักพักก็นึกได้ว่ามีชีทอยู่ชุดนึงที่เย็บผิดและต้องสลับหน้ากัน จึงกัดฟันกลับไปที่ห้องด้านบนและอีกอย่าง ใกล้เวลาสอนแล้ว เดี๋ยวนักเรียนมาจะทำไม่ทัน

แต่ระหว่างที่เดินขึ้นไปจนถึงบันไดขั้นสุดท้ายและเป็นทางเดินต่อไปยังห้องเรียน เค้าก็ได้ยินเสียงดัง

"แก็ง แก็ง แก็ง" เป็นเสียงเหมือนมีคนเอาไม้หรืออะไรสักอย่าง รูดกับราวบันไดตามหลังเค้าขึ้นมาแบบช้าๆ (ราวบันไดเหล็กที่เป็นซี่ๆ สี่เหลี่ยมไว้กันคนตก) ตอนนั้นความรู้สึกคือ เสียวสันหลัง และไม่คิดว่า โม จะทำอะไรแบบนี้ เสียงมันดังไม่มาก แต่รู้ว่ามันกำลังขึ้นมาเรื่อยๆ จนเค้าตัดสินใจวิ่งเข้าไปในห้องเรียนและปิดประตูเอาไว้ และนั่งหลับตา ก้มหน้า เพราะกลัวว่าหากลืมตาแล้วจะเจออะไรเข้า และตอนที่หลับตานั้น ไม่รู้ว่าเค้ากลัวจนจินตนาการไปเองหรือมันเกิดขึ้นจริง

เค้ารู้สึกว่าในห้องมีใครอยู่กับเค้าด้วย และที่สำคัญคือมีมากกว่า 1 คน เค้ารู้สึกว่ามีคนเดินผ่านไปทางด้านหน้า และมีอีกคนมาอยู่ใกล้ๆต้นคอ เหมือนคนคนนั้นมานั่งอยู่ข้างหลังเค้า ทั้งๆที่หลังเค้าก็ชนกำแพงแล้ว เค้าจึงขนลุกไปทั้งตัว และรู้สึกว่ามีอีกคนมานั่งอยู่ข้างๆและหันหน้ามาจ้องเค้าอยู่ (เค้านั่งชันเข่าและก้มหน้าอยู่กับพื้น) ในใจตอนนั้นได้แต่บอกเค้าว่าอย่าทำอะไรเค้าเลย เค้าไม่ได้มีเจตนาร้ายเลย เค้ามาอาศัยสอนหนังสือ เค้าทำบุญไปให้ก็ไม่เคยขาด และเค้าก็รู้สึกขึ้นมา มันรู้เองในใจ ไม่ได้ยินเป็นคำพูดแต่มันสัมผัสได้ว่า "ไม่ไป"

เค้าสัมผัสได้ถึงคำคำนี้ และคิดว่าที่เค้ามากัน ก็เพื่อจะสื่อสารกับเค้าว่า พวกเค้าจะไม่ไปจากที่นี่ เค้าจึงคิดในใจกลับไปว่า จะไม่ไล่พวกเค้าไป แต่พวกเราต่างคนต่างอยู่ได้มั้ย

และความรู้สึกอึดอัด และสิ่งต่างๆก็หายไป เหมือนเค้าต้องการมาบอกแค่นี้เท่านั้น

สรุปคือ เราต้องอยู่ร่วมกันแบบนี้ไปเรื่อยๆใช่มั้ย??

เรื่องจากพันทิป เค้ามีอยู่จริง หรือแค่คิดไปเอง?

เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 1865431

ไม่มีความคิดเห็น