สิ่งลี้ลับในหอพัก "มหาวิทยาลัยชื่อดังย่านบางเขน"


      เรื่อง  สิ่งลี้ลับในหอพัก"มหาวิทยาลัยชื่อดังย่านบางเขน" จากสมาชิกพันทิปนามว่า นำชวด นอกจากเรื่องดังกล่าวแล้วยังมีเรื่องราวอีก 2-3 เรื่อง สนุกและน่าติดตามมาก

ขอมาแชร์ประสบการ์ณบ้างนะครับ

เราเองก็เคยร่ำเรียนเพียรศึกษาอยู่ ณ "มหาลัยชื่อดังย่านบางเขน" เช่นเดียวกับ จขกท. "สิ่งลี้ลับในมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านบางเขน"
(แต่ไม่รู้ว่าจะใช่ที่เดียวกันหรือเปล่านะ เราอยู่คณะที่เรียนเกี่ยวกับ "กุ้ง หอย ปู ปลา" น้ำเต้าเสือไก่...ไม่เกี่ยว ^^ )

เรื่องที่เราจะมาเล่านั้นหาใช่จะเกี่ยวกับคณะเราไม่ (เพราะอะไรเดี๋ยวมาอธิบายตอนหลัง)
เอาเรื่องที่ชัดๆก่อนเลยดีกว่า ชัดที่สุดเท่าที่จะชัดได้ ชัดจน...ช่วงนั้น เราเชื่อเรื่องนี้เอามากๆ

คือเรื่องมีอยู่ว่า..."เราอาศัยอยู่ในหอในของมหาลัยคับ"

มหาลัยชื่อดังย่านบางเขนที่เราเรียนนั้น มีหอในให้กับนิสิตนักศึกษาที่บ้านไกล ต่างจังหวัด (แต่ต้องได้รับการคัดเลือกนะ จับฉลากเอาจร้า)
ซึ่งถูกและสะดวกสบายพอสมควรนะ ถ้าไม่นับรวมการที่จะต้องอยู่อาศัยร่วมกับผู้อื่นอีก และเรื่อง "กิจกรรมสันทนาการ" ที่มีประประเพณี
แต่นั้นก็ไม่ได้สร้างความลำบากในการตัดสินใจที่จะเลือกเข้าอยู่ในหอของมหาลัยเลย จนกระทั่งทุกอย่างกำลังจะผ่านไปด้วยดี...

ขอเกริ่นก่อนครับ หอที่เราอยู่ มีลักษณะเป็นตึกแฟด แยกออกมาจากหอในตึกอื่นๆ
ตึกที่เราอยู่นั้น ด้านระเบียงห้องจะติดสวนต้นไม้รกๆ มองออกไปสามารถเห็นศาลเจ้าที่พวกเรานับถือ (และมักจะมีคนไปบนนู้นนี่บ่อยๆ)
ส่วนอีกฝั่ง จะมองเห็นอีกตึกที่เป็นแฟดกัน ไม่ใกล้มาก(กลางคืนมองไม่เห็นคนอย่างชัดเจอ)
แต่ก็ไม่ไกลจนสังเกตุเห็นการเคลื่อนไหวของคนที่อยู่อีกตึกได้
ห้องเราเลขสวยครับ ลงท้ายด้วยเลข 13 มองผ่านหลังห้องเห็น "ศาลเจ้า" มองผ่านหน้าห้องเจอ "ห้องน้ำ"
คือเจอห้องน้ำเป็ฯอย่างนี้ทุกห้องเลขคี่ ที่ประตู้ห้อง จะตรงกับประตูห้องน้ำ
แต่มีไม่กี่ห้องหรอกที่ ถ้าอยู่ในห้องน้ำ เปิดประตู้หน้าห้องและหลังห้องไว้ แล้วจะมองเห็นศาลเจ้า  -.-
(อันนี้ตามหลังฮวงจุ่ย ถือว่า อัปมงคลนะ เท่าที่เคยมีคนบอก ถูกผิด ขออภัย)

ต่อไปนี้ผมจะเรียกหอในมหาลัยว่า "ตึก"  และเพื่อน พี่ น้อง ที่หอในมหาลัย จะเรียกว่า "เพื่อนตึก พี่ตึก น้องตึก" นะครับ

ไม่รอช้า มาเริ่มที่เรื่องที่ 1 กันเรย !!
...เรื่องนี้ขอบอกว่าเกิดขึ้นหลังสุด แต่เบาๆชิวๆสุด เลยขอเอามาเป็นปฐมบทแระกันนะครับ
เรากับเพื่อนเรา ครั้งหนึ่งก็เกิดอารมณ์อยากกินลมชมวิว ก็ได้พากันขึ้นไปบทดาดฟ้าตึก ซึ่งวิวจะสวย แล้วลมจะพัดเย็นสบายมากครับ
แต่แอบหน้ากลัว เพราะมองด้างหนึ่งก็จะเห็นดาดฟ้าของอีกตึก ซึ่งไม่มีไฟ อาศัยไฟสลั่ว และแสงสะท้อนจากป้ายไฟของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในระแวกนั้น (ป้ายไฟใหญ่มาก ใกล้กันมาก และแสงสว่างมากครับ)
อีกด้านหนึ่ง จะเห็นเป็นผืนใบไม้ของต้นไม้ที่อยู่ข้างล่าง (ปรายยอดของต้นไม้อ่ะ แต่มาต่อๆกันหน่าๆกลายเป็นเหมือนสนามหญ้า)
ฝั่งสนามหญ้านั้นหลอนไป เราเลยมานั่งแล้วมองไปอีกฝั่งหนึ่งกัน
ระหว่างที่พูดคุยกันไปมานั้น หนึ่งในกลุ่มเพื่อน ซึ่งได้รับการขนานนามว่าจิตอ่อน และมีเซ้นส์รุนแรงพอตัว ก็ได้ทำท่าทีแปลกๆ
พวกเราเข้าใจตรงกันว่า มันคงไปเห็นไปเจออะไรเข้าให้แล้วแหละ เพราะที่ตึกของเรา เรื่องเล่าก็มีพอตัว
แต่ที่แปลกไปคือ สายตามันดูตกใจ มันไม่ใช่หวาดกลัวหรือหวาดระแวง !!
เราเองซึ่งเป็นคนปากไวโดยธรรมชาติ ถามออกไปโดยความยังคิด "เมิงเป็น Here อะไรว่ะ ตกใจไรเมิงงงง" ??

"ตรูเห็นคนกระโดดตึกหว่ะ"  !!!

เห้ยยยย !! ขำป่าว พวกเราถามอย่างพร้อมเพรียง ถ้ามีเหตุการ์ณนั้นเกิดขึ้นจริงๆ คนข้างล้างคงแตกตื่นกันบ้างแล้ว
แต่คำตอบที่พวกผมได้รับจากเพื่อนคนนั้น ทำให้พวกผมต้องสงบปากสงบคำแล้วกลับไปห้องของตัวเอง

"ตรูเห็นเค้าโดดมาหลายรอบแระ ไม่เชื่อพวกคุณเมิงงลองมองไปที่ดาดฟ้าตึกนู้นสิ"  ไว้กว่าความคิดก็คือสายตาของพวกเรา...

เงาดำๆจากมุมตึก ลักษณะจ้องมองมาที่กลุ่มเรา หลังจากนั้นร่างนั้นก็ร่วงลงสู้พื้นสูงราวตึก 6 ชั้นได้ !!!

ปล(สำหรับเรื่องแรก). ไปกันประมาณเที่ยงคืน จำนวน 6 ชีวิต พบเห็นเป็นเสียงเดียวกัน 4 ชีวิต เพราะอีกสองชีวิตไม่ได้มองไปยังจุดนั้น
...จอบอเรื่องที่แรก


เรื่องที่สองนี้ขอบอกก่อนว่า จะอ่านเอาสนุกก็ได้นะ เพราะมันเป็นเรื่องของความเชื่อ และอย่ามาจับผิดหรือมาม่าใส่กันเลย
เราคิดมาเล่าสิ่งที่เราสัมผัสได้เฉยๆ และมันก็อาจจะเป็นแค่ฝัน เราคิดไปเอง หรือมันไม่เกิดขึ้นจริง...ก็เป็นด้ายยยยยย

อย่าเสียเวลา !!
ตามที่ได้เล่าลักษณะสันฐานของห้องที่เราอยู่ไปในขั้นต้นแล้ว คงพอนึกภาพออกกันมั่งเนอะ แต่คงไม่ชัดเจนเท่า "ภาพคุณย่า" ที่อยู่ในห้องเรา !!

คือห้องเราจะมีภาพวาดคนแก่เพศหญิงอยู่ภาพหนึ่งครับ เป็นภาพวาดด้วยดินสอไม้ หญิงชราคนนั้นคงมีอายุร่วมราวๆ 80+ ได้
แต่ทั้งหมดนี้มันอาจจะเป็นงานศิลปะของรุ่นพี่ที่เรียนสถาปัถ หรือพวกศายศิลป์ก็ได้ แต่แกคงเป็นคนตลกมาก
ที่ใต้ภาพหญิงชราคนนั้น พี่เขาเขียน...

ชื่อ คุณย่าทวด........................
ชาตะ ... ...... ...
มรณะ ... ...... ...

คงพอนึกภาพกันออกเนอะว่ามันเป็นยังไง ...ใครนึกไม่ออก มันคือ "ภาพที่ใช้ตั้งไว้หน้าศพในงานศพ" ไงครับ

ผมถูกหลอกให้เปิดดูภาพโดยรุ่นที่ที่อยู่อาศัยร่วมห้องเดียวกัน "ถ้าวันไหนไม่มีคนอยู่ห้องให้เปิดดูภาพบนหลังตู้เสื้อผ้าด้วยนะ"
เราก็เด็กน้อยหอยสังข์เหลือเกิ๊น ไม่เอ๊ะใจอะไรเล๊ย วันนั้นเป็นวันเสาร์ตอนเย็น ที่ทุกคนมักกลับบ้าน หรือไปไหนต่อไหนกัน
ไม่มีคนอยู่ห้อง เราก็นึกถึงคำของรุ่นพี่ได้ ก็จัดแจง  เอาเก้าอี้มา ปีนขึ้น เอื้อมไปหลังตู้ หยิบรูปมา เปิดดู ...*-* (อึ้ง)

แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นครับ  จนผ่านมาได้สักสองถึงสามอาทิตย์ที่เราเข้าอยู่

วันนั้นผมได้เข้าร่วมกิจกรรมกับทางตึก ก่อนหน้านี้ก็ที่คณะ จึงทำให้เหนื่อยล้า เลยจะเข้านอนไว้กว่า พี่ร่วมห้องท่านอื่นๆ
แต่กำลังจะคล้อยหลับได้นั้น ผมมีความรู้สึกเหมือนมีคนมากระตูกแขน เขย่าๆ ผมก็ลืมตาขึ้น เห็นเป็นหน้าชายแก่ ยืนจ้องผมในระยะประชิด
(เตียงที่นอนเป็นเตียง 2 ชั้น ผมนอนเตียงบนครับ)
แต่ด้วยความยังสะลึมสะลือ ผมก็ขยี้ตา แล้วมองอีกที ภาพเหมือนคนๆนั้น วิ่งออกไปที่ระเบียง พร้อมกับที่พี่ห้องของผมเปิดประตูเข้ามา

ผมก็งงๆ มึนๆแล้วนอนต่อไปครับ

อืมลืมบอกว่าวันนั้นรุ่นพี่ที่ตึกพาไปไหว้ "ศาลตายาย" ที่ผมเกริ่นให้ฟังไปก่อนหน้านี้มาครับ

เบรคแปบ สาวที่กำลังแอ๊วๆกันอยู่เลิกงานแระ เด่วไปรับไปทานข้าวก่อย ค่ำๆ ดึกๆจะมาต่อให้นะ มีไม่กี่เรื่อง

"เป็นอะไรหรือเปล่าเรา" ?  คือคำถามจากพี่ห้องที่ไถ่ถามน้องห้องที่สะดุงตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนงง
"เปล่าครับ"  ^^  น้องใหม่ของห้องตอบแบบงง แล้วเอนตัวลงนอนต่อ

พี่ห้องผมปิดไฟในห้อง พร้อมเปิดไฟอ่านหนังสือไว้ที่โต๊ะของตัวเอง ทำให้ในห้องค่อยข้างมืดสนิท จะสว่างก็แค่ใต้โคมไฟอ่านหนังสือ และบริเวณใกล้เคียง
ผมนอนต่อได้เพียงไม่กี่อึดใจ เหตุการณ์เดิมก็เกิดขึ้นกับผมอีก คราวนี้ผมค่อนข้างมีสติกว่ารอบแรก ทำให้รีบตื่นลืมตามองดูว่าใครมาเขย่าแขน
ภาพเดิม แต่ชัดว่า แต่คราวนี้แปลกกว่าเดิน เพราะหลังจากที่ผมได้เผชิญหน้ากับคุณลุง (ดูมีอายุแต่ไม่ถึงกับแก่)
ผมก็ขยับตัวไม่ได้เลยครับ มองเห็นทุกอย่าง รับรู้ทุกสิ่ง เพียงแต่ขยับร่างกายตามที่ต้องการไม่ได้เลย
ต่างจากลุง ที่พยายามดึงแขนของผม...ไม่นะ ภาพที่เห็น ณ ตอนนั้น คือแขนของผมกำลังแยกออกจากกัน !

อธิบายคือ เรากำลังโดนผู้ชายคนนี้ "ดึงวิญญาณ" คงไม่มีคำไหนอธิบายภาพที่เห็น ณ ตอนนั้นได้ดีมากกว่านี้
เราพยายามขยับร่างกาย พยายามส่งเสียง แต่ทุกการกระทำนั้นเป็นศูนย์ ทุกบทคาถาที่เคยรู้ ทุกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ
ผมท่องออกมา (แบบไม่มีเสียง) ผมนึกถึง...จนกระทั่งเวลาผ่านไปช่วงอึดใจ ผมก็เริ่มขยับร่างกายได้

ลุกขึ้นอย่างเร็ว ตื่นตกใจอยู่เพียงชั่วขณะ ภาพที่เห็นคือ "พี่ห้องกำลังนั่งสวดมนต์" อยู่บนเตียงอีกฝั่ง  ??

เหตุการณ์ในคืนนั้นจบลง ที่ผมลุกมาแล้วก็สวดมนต์ตามพี่ห้อง แล้วก็นอนหลับไป

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้น และหลังจากนั้นอีกสองสามอาทิตย์ได้ ..ถึงจะมีบ้าง ก้เบาบาง ไม่หนักเท่าครั้งแรก
(เช้ามาผมไม่ได้ถามพี่ห้องนะครับ เพราะพี่เขาออกไปเรียนก่อน และหลังจากนั้นผมก็ลืมๆไป และช่วงนั้น น้องห้องกับพี่ห้องยังไม่สามารถคุยกันได้มากนัก เพราะยัง "ไม่ผ่านโปร" ! เลยทำให้ผมไม่ได้ถามไถ่ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่ห้องตัวเอง หรือใครแต่อย่างใด)

และจุดพีคของเรื่องราวก็เกิดขึ้น
เหตุการณ์ช่วงแรกของค่ำคืนนั้นเริ่มขึ้นคล้ายกับคืนก่อนที่โดนมา รู้สึกของการสั่นไหวที่ต้นแขน รู้สึกถึงใครบางคนกำลังยืนอยู่ใกล้ๆ
แต่ครั้งนี้ไม่ไหวจริง ทั้งเหนื่อยกาย เหนื่อยใจ จากกิจกรรมสันทนาการของตึก บวกกับช่วงนั้น กำลังคิดถึงบ้านอย่างหนัก
กะว่าคราวนี้ ขอคุยให้รู้เรื่องเหอะ ว่าจะเอาอะไร ?
ตัดสินใจได้ดังนั้น พยายามรวบรวมสติ ตั้งจิต อธิฐาน (แต่ไม่หันไปมองหน้านะ หลับตาอยู่)

"ลุงครับ ถ้าผมไม่ทำอะไรไม่ดีให้ ผมขอโทษนะครับ หรือหากเราเป็นเจ้ากรรมนายเวรกัน ก็ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกันเถอะครับ เดี๋ยวทำบุญให้"
เนื่อหาที่พยายามสื่อสารถึงลุงจากผม

"ป่าว แค่มาเล่นด้วยเฉยๆ เห็นว่าเป็นคนอารมณ์ดี"  ...ลุงตอบ...

"ไปเล่นใกล้ๆ"  ...ใครตอบไม่รู้ รู้แค่เพียงเป็นเสียงคล้ายๆกับย่าของเรา...เสียงแบบ  "หญิงชรา"  !!

ผมลืมตา หันไปมองลุง (คิดในใจลุงเป็นเพศไหนกันแน่) แต่ถามที่เห็นอย่างเลือนลางคือเหมือน ลุงวิ่งออกจากห้อง ออกไปทางระเบียงหลังห้องไป

พร้อมเสียงหัวเราะ ฮี่ ฮี่ ฮี่ ๆๆๆ  (เสียงผู้หญิงเสียงสูง)   ....

ณ ตอนนี้เราพลิกตัวนอนราบหงายหน้า หลังจากที่ตะแคงเพื่อพยายามมองหาลุง ในใจมีแต่คำถาม "มันเกิดอะไรขึ้นว่ะเนี้ย" ?

...ด้วยความเหนื่อย เครียด และสบสันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผันแปรไปเป็นความโมโห เพราะไม่เข้าใจ ว่าตนนั้นผิดอะไร...

เราเริ่มหงุดหงิดกับสิ่งที่เกิด เลยคิดในใจ
"มาเล่นอะไรกัน คนจะนอน เราก็จ่ายค่าห้องอยู่ ทำความสะอาด ไม่ได้พังข้าวของ ไม่ลบหลู่อะไร ทำไมต้องมาหลอกมาแกล้งกันด้วย" !!
แม้จะไม่กลัวเรื่องพวกนี้ แต่ก็ไม่เคยคิดลบหลู่ลองของครับ เพราะในช่วงนั้น เราก็เชื่อเรื่องเหนือคำอธิบายเหล่านี้อยู่
(แอบเชื่อว่าตนมีองค์ มีความสามารถพิเศษทางด้านนี้ซ่ะด้วย ไว้มาเล่าในช่วงท้ายนะ)

เราพยายามจะนอนต่อ ไม่อะไร เพราะตอนนั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่ก็นอน สวดมนต์ในใจก่อนนอนหลับ (ตอนนั้นสะลึมสะลือมาก)
แต่ไม่เพียงแต่เรื่องราวจะหยุดลง ผมกลับได้ยินคำท้าทาย "ท่องได้แค่นี้เองหรอ?" เสียงเป็นของหญิงชรา !!
เสียงท้าทายมาพร้อมกับเสียงสวดมนต์ตามที่เราสวด...  (นึกภาพเวลาเราสวดมนต์หมู่ แต่นี่คือเสียงเราในความคิดพร้อมเสียงของหญิงชรา)

ณ ตอนนั้น สติสตังเริ่มหลุดลอย แต่แล้วสติก็กลับมา เมื่อเรารู้สึกตัวหนักอึ้งไปหมด หนักแบบอึดอัด ไม่เหมือนมีคนมาทับ
แต่เหมือนแรงจากอากาศมันกดร่างเราไปทั่วร่าง รู้สึกว่าเหงือออกเยอะมาก ขยับตัวไม่ได้ ร้องเสียงไม่ออก ทันใดนั้น..."ฮี่ ฮี่ ฮี่"
เสียงมาอีกแล้ว เราพยายามดิ้น ในความมืดที่มีแสงไฟสลั่วๆจากทางเดินลอดเข้ามา เรามองเห็นทุกการกระทำของตัวเอง
พยายามดิ้นๆๆๆๆ แต่ดิ้นได้แค่เงา เหมือนร่างยังอยู่กับที่ แต่อีกร่างพอจะขยับแขนขาได้..."ฮี่ ฮี่ ฮี่"

หญิงชราส่งเสียงร้อง ในขณะที่เจ้าหล่อนกำลังก้างเท้าขึ้นเหยียบย่ำตามร่างของเราขึ้นมาจากเหยียบขา ท้อง และมาหยุดนิ่งที่หน้าอก
เธอก้มหน้ามองเรา เราก็ลืมตาจดจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ ...เธอช่างคล้ายกับภาพที่ผมเคยเห็น
ใช่แล้วครับ เธอคือ "คุณย่าในภาพที่อยู่ในห้องของเรา"

เธอจ้องมองลงมาส่งความรู้สึกเหยียดหยามปนสนุก เราได้แต่ภาวนา
"ผมขอโทษหากทำอะไรล่วงเกินไป ผมขออโหสิกรรม ท่าานเป็นใคร อยากให้ทำอะไรให้ หรือไม่อยากให้ทำอะไร"
เราภาวนาในใจ (เพราะร้องไปเสียงก็ไม่ออกมาอยู่ดี)

"ฮี่ ฮี่ ฮี่"  นั้นคือเสียงที่ผมจำได้ เราไม่รู้จะอธิบายมันอย่างไร ให้อัดเสียงให้ฟังก็คงไม่เหมือน แต่ ณ ตอนนั้นเราแน่นอกมาก
มันหนัก มันหายใจไม่ออก แต่แล้วความรู้สึกที่สัมผัสได้คือ เหมือนมีบางอย่าง กำลังพยายามรัดคอเราอยู่
เรานึกถึงทุกสิ่งอย่าง สร้อยพระเราก็แขวนอยู่ข้างๆ พระเอย เทพเอย อาจารย์ที่เราเคยไปรับของมาเอย ไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย

"ของพวกนี้ช่วยอะไรเอ็งไม่ได้หรอก"  หญิงชรากล่าวก้องในหัวของเรา

แต่แล้วสิ่งใดๆคงไม่ศักดิ์สิทธิ์เกินกว่า "คุณบิดามารดา" สำหรับลูกอย่างเรา เรานึกถึงพ่อแม่ ด้วยความกลัวสุดขีด
หลังจากนั้นทุกอาการก็ดีขึ้น เราหลุดจากพันธนาการที่หาคำตอบไม่ได้ ...ไม่จบเพียงแค่นั้น "วัยรุ่นมันใจขึ้น" !!

เราลุกขึ้น หายใจหอบๆ หยิบสร้อยพระที่ห้อยอยู่หัวเตียงมาคล้องคอพร้อมพนมมือขึ้นเรียกสติให้กลับมา
ลงจากเตียงไปเปิดไฟในห้อง พี่ห้องก็ไม่มีใครอยู่ ณ ตอนนั้นเราจำเวลาไม่ได้ แต่เกือบทุกห้องคงหลับกันหมดแล้ว
เราเดินแล้วพูดออกจากปากว่า "ไหนๆ ไปทางไหนแระ ทั้งลุง ทั้งคุณย่า อะไรกันนักหน่า" เดินหาเป็นคนบ้าอยู่นาน
จนได้สติจริงๆ แล้วก็กลับมานอน ไม่พบเจออะไร ไม่โดนอะไร
(ตอนนั้นหงุดหงิดจริงๆ ด้วยความเครียดหลายๆอย่าง)

จนมาวันหนึ่งหลังจากวันนั้นไม่กี่วัน
สมาชิกห้องอยู่เกือบครบ พี่ห้องที่ไม่ค่อยจะได้เจอกันก็กลับมา เหมือนเดิม ที่ทุกอย่างก่อนหน้าดำเนินมาคล้ายๆกัน
เหนื่อย ง่วง ล้า เครียด !!    ...และแล้วเหตุการณ์ดั่งคืนก่อนก็กลับคืนมา
แต่หนนี้เรารู้ทัน เราสวดมนต์ และห้อยพระ เผื่อโดนจะได้ผ่อนหนักให้เป็นเบา  และก็ตามคาด "มันมากันอีกแล้ว"

ทุกอย่างเกิดขึ้นเหมือนเดิม เริ่งจากดึงแขน เราสะดุงตื่น คิดว่าพี่ห้องแกล้ง เพราะไฟในห้องก็ยังปิดไม่หมด ปิดแค่ฝั่งที่เรานอน
พี่ห้องคนหนึ่ง นั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือใส่หูฟัง อีกคนอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำข้างนอกห้อง  "อ่าว ไม่มีใครแกล้งตรูหรอฟร๊ะ"
ใจคิดอยากให้เหตุการณ์นี้คือการกลั่นแกล้ง แต่มันไม่ใช่ เมื่อเราล้มตัวลงนอนอีกครั้ง หนนี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง ส่งเสียง "ฮี่ ฮี่ ฮี่"
เพียงครั้งเดียวก็มาเหยียบอกเลย

เราเห็นทุกการกระทำในห้อง พี่ห้องเดินกลับมาหลังจากอาบน้ำเสร็จ แต่งตัว เตรียมเข้านอน พี่ห้องอีกคนออกไปอาบน้ำ
แต่ไม่มีใครสังเกตุเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเรา
สุดท้ายก็หลุดด้วย "พระคุณพ่อพระคุณแม่" อีกครั้ง คราวนี้เรารีบลุก แล้วลงจากเตียง เดินหา
(หาอะไรฟร๊ะ ทุกวันนี้ก็กลับมาถามตัวเองอยู่เหมือนกัน)

พอเดินจนสติมา (อาจจะเดินหาจติก็ได้) ก็กลับมาห้อง พี่ห้องคนที่ไม่ค่อยอยู่ห้องก็ถามเราว่า "เป็นอะไรหรือเปล่า" ?
"เหมือนโดนผีหลอกพี่ แต่มันกึ่งหลับกึ่งตื่นพี่" เราตอบ
"อืม เค้าคงมาทักทายมั่ง สวดมนต์ก่อนนอนดิ" พี่ห้องตอบ
กำ...ที่นี่เค้าทักทายกันแปลกๆเนอะ พี่ห้องไม่ได้ถามอะไรมาก เราก็ไม่รู้จะเล่าให้เขาฟังอย่างไร ก็ไม่ค่อยเจอกันบ่อย เล่าไปเดี๋ยวหาว่าเยอะอีก

เราก็กลับมานอนคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พยายามนึกว่า เราทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า แล้วตาก็เหลือบไปเห็นพี่ห้องนั่งสวดมนต์อยู่
แล้วเราก็เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็เช้า

หลังจากเหตุการณ์นั้น เราได้ไปไหว้ศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ และนำพวกมาลัยมามาไห้วรูปคุณย่าในห้อง
เราก็ไม่ได้พบเจอกับเหล่าท่านผู้สูงอายุอีกแล้ว มีบ้างก็หางตาที่เหลือไปเห็นเวลานั่งเล่นคอมอยู่ดึกๆ

แต่ที่ต้องเจอต่อไปคือ..."หญิงคนงาน ที่มักมาชวนเราไปกระโดดตึก" !!


คงต้องพอแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวขอไปทำอย่างอื่นก่อน ไม่ต้องรอนะ แต่จะมาตอนไหนตอบไม่ได้ อิอิ

ปล. เดี๋ยวในตอนท้ายจะมีคำอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมด และการวิเคราะห์แบบบัณฑิต ป.ตรี มาให้อ่านกันนะ

ปล2. เมื่อหลังกิจกรรมสันทนาการที่ตึกได้สิ้นสุดลง เราได้คุยกับพี่ห้องคนแรก ที่เราเจอเหตุการณ์แล้วตื่นมาเจอพี่เขากำลังสวดมนต์อยู่นั้น
        ได้มาคุยกันภายหลัง แล้วพี่เค้าบอกว่า "ก็วันนั้นพี่เห็นเงาดำๆมายืนอยู่ข้างเตียงเรา พี่เลยสวดมนต์

เรื่องต่อไปนี้...เป็นความฝันส่วนบุคคลที่สมจริงเอามากๆ  มากเสียจน...ต้องเข้าวัดทำบุญชุดใหญ่

ขอมาเคลียร์เรื่องเก่าก่อนนะครับ

เริ่มจากการได้ไปพูดคุยกับพี่ห้องที่แก่สุด (คนที่เราเจอครั้งสุดท้าย แล้วเค้าบอกว่า "เค้าคงมาทักทาย")
เราก็มีโอกาศได้พูดคุยกับพี่เขา พี่เขาเล่าว่า สมัยปี 1 เขาก็จะเจอเหมือนกัน (พี่คนอื่นที่เหลือบอกไม่เคยเจอ)
ทำให้เขาต้องสวดมนต์ก่อนนอนมาตลอด (ซึ่งหลังๆมาพอไม่เจอเราก็ไม่ค่อยสวดเท่าไหร่ อิอิ)
เขาเล่าว่า พี่ๆที่เคยอาศัยในห้องนี้ก็มีเจอมั่ง ไม่เจอมั่ง แต่คนที่เปิดดูรูปอ่ะ มักจะเจอ คนที่ไม่ดูก็มักจะไม่เจอ
ซึ่งคนที่บอกให้เราดูรูปอ่ะ เขาไม่เคยเปิดดูครับ (อ้าววว พี่ ไมทำงี้)

จากที่พยายามสืบประวัติมา รูปของคุณย่านั้น ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน และก็ไม่รู้ว่าใครเอามันเข้ามา กระโดฉีกแข่งฉีกขา เค้าเรียกสกาหรือว่าเร็กเก้ (อันหนังนี้ไม่เกี่ยวนะ 5555+)
ไม่มีใครทราบประวัติจริงๆครับ แต่เคยมีรุ่นพี่ท่านหนึ่งได้เล่าว่า ก็อยู่มาวันนึง ก็มีคนไปเจอว่ารูปนั้นได้มาอยู่ห้องนี้ พี่แกก็ไม่ได้สนใจอะไร
จนวันหนึ่งมีคนมาเปิดดูเยอะขึ้น แล้วเริ่มมีเหตุการณ์มีคนพบเจอคุณย่า จนกระทั่งมีคนย้ายรูปไปไว้ที่ห้องพระ (ใต้ตึกเราจะมีห้องพระอยู่)
แล้วเกิดเหตุการณ์ประหลาดๆมากมาย จนชาวตึกเริ่มหวาดกลัว ทั้งมาให้เจอ มาหลอก มาแกล้ง หลายเสียง เริ่มหนาหู
เลยทำให้มีคนพยายามเอารูปออกไปไว้ที่อื่น (ที่อื่นในที่นี้ไม่รู้ที่ไหน และไม่รู้ว่าใครทำ หรือเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนสมัยไหน ก็ไม่มีใครรู้)
พอมีคนเอารูปไปไว้ที่อื่น ที่ไม่ใช่ในตึก ทำให้ทั้งตึกโดนกันมากขึ้น จนต้องนำรูปกลับมาไว้ ณ ห้องเดิม แล้วเรื่องก็เบาลง
(ตรงนี้ฟังจากการเล่าต่อๆมาอีกที เนื้อหาเลยไม่ละเอียด ไม่รู้ที่มาที่ไป และไม่ทราบข้อเท็จจริง)
แต่ที่แน่ๆ คุณย่า ตามในรูป วันมรณะนั้น เป็นปีที่ตึกยังไม่ได้สร้าง...จบ

ในช่วงเวลาหนึ่ง ตอนนั้นเราน่าจะปี 2 ได้ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรามักจะฝันบ่อยๆ ซึ่งปกติเป็นคนฝันไม่บ่อย ถึงฝันไปก็ตื่นมาจำไม่ได้
(ไม่งั้นคงถูกหวยไปหลายงวดแระ)
แต่ช่วงนั้นฝัน ฝันถึงเรื่องราวเดิมๆ ซ้ำๆจนเริ่มจำได้...

...เหตุการณ์ในฝันมักจะวนๆซ้ำเดิม คือเราเดินตามผูหญิงคนหนึ่งเดินไปมาภายในบริเวณตึก
หญิงคนนั้นเป็นหญิงวัยรุ่นๆ คือไม่แก่ ไม่วัยรุ่น แต่งตัวมอซอ คล้ายๆคนงาน แม่บ้าน หรือคนทำงาน
เหตุการณ์เริ่มต่อยอด ฝันครั้งหนึ่งก็เริ่มมีเหตุการณ์เพิ่มเติมเข้ามาเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนเริ่มจับจุดได้ว่า เธอน่าจะเสียชีวิต ณ ที่แห่งนี้

ตึกของเราเป็นตึกชาย คงยากนักที่จะมีหญิงสาวเข้ามา แล้วมาเสียชีวิตในที่แห่งนี้ หรือใครจะบ้านำพาเธอมาฆาตกรรม
หรือเธอเองที่เลือกสถานที่แห่งนี้เป็นที่จบชีวิตความเป็นมนุษย์ของเธอเอง ??
ความฝันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนไม่ใช่ฝัน

จนถึงเหตุการณ์ที่คงเป็นจุดสิ้นสุดของความฝันวนเวียนในครั้งนี้...

วันนั้นเป็นวันที่แสนเหนื่อยล้าของวัน เพราะเรากลับห้องมาดึกมาก จำไม่ได้ว่าไปทำไรมา ไม่เล่นไพ่ ก็ซ้อมดนตรี แต่ที่แน่ๆไม่ได้เมากลับมา
(เพราะถ้าเมากลับมา คงนอนเป็นตาย 5555+)

ผมฝันถึงเธออีกครั้ง และคราวนี้ มันเหมือนจริงมาก ในดึกคืนนั้น ผมได้ยินเสียงหญิงสาวร้องเรียก "คุณๆ คุณ... ตื่นเถอะ ไปกับฉันหน่อยนะ"
มันกึ่งฝันกึ่งจริงครับ ผมสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมอง เห็นเงาหญิงสาวอยู่หน้ากระจกบานเกล็ดหน้าห้อง
"คุณๆ คุณตื่นมาแล้วไปกับฉันหน่อย"  เสียงเธอร้องเรียกหาผมอีกครั้ง พร้องเสียงเคาะห้อง
ใจหนึ่งผมคิดว่านี่คือฝันเลยจะตามไป แต่อีกใจหนึ่ง...มันก็สมจริงเหลือเกิน ราวกับเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง

ผมยังนอนอยู่ แต่ส่งเสียงตอบกลับไปที่เธอ "เธอเป็นใคร แล้วจะพาไปไหน" ?  ผมถามอย่างฉงน
"เธอก็ออกมาก่อนสิ แล้วเราจะเล่าให้ฟัง"  เธอตอบกลับมา น้ำเสียงฟังดูเป็นมิตร
เราชั่งใจ คิดว่านี่คงเป็นฝัน แต่เป็นฝันที่สติสัมปชัญชัดเจนมาก เราคิดไตร่ตรอง ว่านี่เกิดอะไรขึ้น
แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เราตัดสินใจที่จะออกไปหาเธอ เราลุกขึ้นจากเตียงในความมืด ก้าวลงจากเตียง
แล้วหันกลับไปที่เตียงก่อนจะเดินออกไปพบเธอ แต่เราต้องหยุดชะงัก เพราะเราเห็นตัวของเรายังนอนอยู่ตรงที่เดิม !!

หรือนี่คือที่เขาเรียกว่าวิญญาณออกจากร่าง ยังไม่ทันอะไร เรารีบกลับขึ้นเตียง นอนที่เดิม เพื่อหวังจะเข้าร่าง
(ตอนนั้นภาพมันชัดเจนมาก มากเกินฝัน)
"ผมไม่ออกไปแล้ว ไม่ออกไป คุณไปที่อื่นเถอะ"  เรานอนลงแล้วตอบเธอกลับไป
"เราไม่ทำอะไรเธอหรอก มากับเราหน่อยนะ"  เสียงรบเร้าจากเธอเพื่อให้ผมออกไป
ผมลุกขึ้นนั่ง พร้อมคิดในใจว่า นี่คือฝันอยู่ใช่ไหม ? แต่ความคิดก็หยุดแค่นั้น เมื่อสายตาผมมองไปที่หมอน

"ผมเห็นตัวเองยังนอนอยู่เลย"     หรือนี่เราจะกลับเข้าร่างไม่ได้แล้ว !!
เอาว่ะเป็นไงเป็นกัน ออกไปเจอซักที ถ้านี่คือสุดท้ายของชีวิตแล้ว ถ้าจะไม่ได้กลับไปในโลกของความจริงแล้ว นี่อาจจะเป็นกรรมของเรา !!

ตัดสินใจเดินไปเปิดประตูห้อง เธอคนนั้นยืนหันหลังมุ่งหน้าเดินไปในความมืด ผมเดินตามเธออย่างไม่ได้ถามอะไร
เดินไปเรื่อยๆ ผมเริ่มสังเกตุว่า นี่มันไม่ใช่ตึกที่ผมอยู่ เอ๊ะ !!  นี่แหละตึกที่ผมอยู่ แต่มันไม่ได้อยู่ในสภาพที่ผมเคยอยู่
สภาพมันคือตอนที่ตึกยังส้รางไม่เสร็จ ไม่ก็ร้างไปแล้ว *-*
แต่ผมก็เดินตามเทอไป ขึ้นไปชั้นที่อยู่สูงกว่า เดินออกไปที่ระเบียง มันไม่ใช่ชั้นดาดฟ้า แต่มันเป็นระเบียงของชั้นใดชั้นหนึ่งในตึก
มันอยู่สูงกว่าชั้นที่ผมอยู่ เราเดินไปจนถึงระเบียง ไม่มีที่กัน เป็นชานปูนเรียบๆยื่นออกไป

"กระโดนลงไปกันเถอะ" คำพูดหลังจากที่เธอหยุดเดินอยู่ตรงขอบระเบียง
"ไม่อ่ะ เรายังไม่อยากตาย"  (แม้จะแค่ในฝันก็เถอะ หรือความจริงว่ะ ?)  สิ้นความคิดของผม เธอก็ก้าวขากระโดดลงไป !!

.................................ชีวิตนี้ก็ไม่เคยเห็นใครมากระโดดตึกต่อหน้ามาก่อน อารมณ์มันบอกไม่ถูกจริงๆ อธิบายไม่ได้
ทรุดตัวลง เขยิบเข้าไปมองลงดูข้างล่าง เธอนอนแน่นิ่งจมกองเลือด ...เธอตายแล้ว

"ชีวิตมีค่า อย่าทำเหมือนกับฉันนะ"  เสียงของเธอดังขึ้นอีกครั้ง ข้างหลังของผม ซึ่งคราวนี้สภาพของเธอไม่ใช่สภาพก่อนหน้าที่ผมเห็น
มันเป็นสภาพหลังจากที่เธอกระโดดลงไปแล้ว ....
"อย่านะ อย่าทำแบบฉัน ฉันต้องมาทำแบบนี้ซ้ำๆ ทุกวันเลย"  เธอร้องไห้ แล้วกระโดดลงไปอีกครั้ง

ผมได้แต่มอง ตกใจ แล้วสติก็กลับมาอีกครั้ง...เมื่อผมยืนอยู่หน้าห้องของตัวเอง ในร่างและในสภาพของความเป็นจริง !!


เปิดประตูเดินเข้าห้อง เปิดไฟ กลับไปที่เตียง ผมไม่เห็นตัวเองนอนอยู่แล้ว ครุ่นคิดว่านี่ยังเป็นฝันอยู่ไหม
รวบรวมสติและความกล้า เดินออกไปนอกห้อง ไปที่ระเบียน (ชั้นของผมอยู่ชั้น 2) มองไปยังจุดที่เธอตกลงมา
ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ สภาพภายในตึก คือปัจจุบันที่ผมอาศัย ผ้าที่ตากไว้ตรงระเบียงเมื่อตอนเย็นก็ยังแขวนอยู่
เดินไปอ่างล้างหน้า เปิกก๊อกน้ำ ล้างหน้าสัมผัสความเย็น "นี่เรายังไม่ตายใช่ป่าวว่ะ" ?
กลับมาที่เตียง คว้าพระมาใส่ สวดมนต์ แผ่เมตตาให้แก่เธอคนนั้น แล้วนอนหลับไป ตื่นมาอีกวัน ก็คือความจริง...เมื่อคืนแค่ฝันไป

...แล้วผมก็ไม่เคยพอเจอเธออีก ทั้งในความฝัน และความฝันที่เสมือนจริง

หลังจากวันนั้นเราก็ไปทำบุญให้เธอด้วยครับ เราไม่รู้จะให้ชื่อเธอว่าอะไรตอนไปทำบุญ เลยให้พระท่านเรียกแทนเธอว่า "พี่หญิง"

จบหมดแล้วครับ เรื่องราว ที่เคยพบผ่านในหอพักนิสิตนักศึกษาใน "มหาลังชื่อดังย่านบางเขน"

เรื่องอื่น ก็ยังมีประปราย แต่ไม่ชัดเจนเท่านี้ เลยไม่อยากเล่า และเรื่องเล่าที่ผ่านปากคนอื่นมาก็ไม่อยากจะเล่าอีก
แต่เรื่องราวอื่นๆที่เราเคยพบผ่าน ที่ชัดเจน ทั้งก่อนเข้ามาเรียน และหลังจากที่จบเรียนก็ยังมี ไว้มีโอกาศคงได้มาเล่าสู่กันฟัง

แต่เดี๋ยวก่อน...ใครที่ติดตาม หรือสงสัยในสิ่งที่เราเล่ามา ขอให้ตามติดต่อนะ เดี๋ยวเราจะมาอธิบายถึงที่มาที่ไปของสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง

รับรองว่า "ความคิด หรือความเชื่อในเรื่องเหล่านี้ คุณอาจจะเข้าใจ เปลี่ยนไป หรือชัดเจนมากยิ่งขึ้น"

ขอบคุณที่ติดตามกัน ขอบคุณที่อ่าน
ขออภัยหากเล่าไม่สนุก ขออภัยหากใช้ภาษาผิดไปบ้าง (แต่ก็เพื่ออรรถรส และบางคำเราก็ผิดจริงๆ ^^)

และขอย้ำอีกครั้ง เรื่องนี้เป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา พยานหลักฐานที่มีก็มาจากเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันบ้าง
และเหตุการณ์ที่พบพร้อมกับคนอื่นมันก็ไม่ชัดเจนบ้าง (มีคำอธิบายแน่นอน สาวกวิทยาศาสรต์ ที่ต้องการหาคำตอบเดี๋ยวได้รู้แน่)

ย้ำจริงๆจังๆ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และกรุณาใช้ถ่อยคำที่สุภาพในการติชม

หากใครไม่เชื่อ ก็ขอให้ปิดไป หาอ่านอย่างอื่นที่ท่านสนใจ หากท่านสนใจก็อย่างมงายจนหวาดกลัว
จขกท. ไม่ได้มีเจตนาในการหลอกลวงให้งมงานแต่อย่างใด เพียงแค่มาเกริ่นเล่าประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่พบเจอให้ได้อ่านกัน
เดี๋ยวจะมานำเสนอสิ่งที่เป็นแรงบรรดานใจในการเอาเรื่องเหล่านี้มาเล่าสู้กันฟัง ให้ได้เข้าใจกันถ่วนหน้า

เราจะทำตามสัญญา...ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วเรื่องผีที่งดงามจะคืนกลับมา 5555+

ฝันดีราตรีสวัสดิ์พี่น้องชาวไทย แต่ !!  ใครไม่มาอ่านต่อ ระวัง พรุ่งนี้คุณจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่องงงงงงงง กับเรื่องผี สามร้อยหกสิบองศาาาา !!

...เรื่องราวต่อไปนี้มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อส่วนบุคคล เด็กน้อยหอยสังฆ์ควรมีผู้ใหญ่ให้คำแนะนำ
ส่วนผู้ใหญ่อย่างเราๆ ก็ควรอ่านอย่างมีวิจารณญาณ และ....(เล่าเหอะเนอะ)

         หลังจากที่เราสำเร็จการศึกษาจาก "มหาลัยชื่อดังย่านบางเขน" แล้วเราก็ได้งานแรกในรั่วมหาลัยกับหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่ง
เป็นเหตุให้มีความจำเป็นให้ต้องเก็บหมอนเก็บเสื่อย้ายไปอยู่ ณ หอนอก โชคดีที่เรามีพี่ที่สนิทอยู่คนหนึ่งที่เขาอยู่หอใกล้กับมหาลัย
แถมยังใหล้กับที่ทำงาน ประมาณว่า เดินออกจากหอ เลี้ยวซ้ายอีกประมาณ 10 เมตร ข้ามถนน ถึงประตูมหาลัยแระ
เดินต่ออีกไม่กถึงเมื่อยก็ถึงที่ทำงาน   ซึ่งหอนี้เราก็มักจะไปมั่วสุมติววิชาหลักทางสถิติกันบ่อยๆกับเพื่อนๆพี่ๆอยู่แล้ว
ประจวบเหมากับมีคนจะย้ายออก เราเลยไปติดต่อขอย้ายเข้า (งงม่ะ ? คือเราจะย้ายเข้าได้ ก็ต่อเมื่อมีคนย้ายออก เพราะก่อนหน้านี้ห้องมันเต็ม
เอ๊ะ !! ตรูว่าตรูงงอยู่เพียงลำพัง"ที่ตรงกลางทาง"แล้วแหละ *-*)

การย้ายของเข้าเป็นไปตามปกติ ไม่ได้มีเหตุอันใด ห้องไม่ได้เก่ามาก แต่มีช่องให้แสงเข้าน้อย
ถ้าวันไหนวันหยุด สามารถนอนได้ทั้งวัน เพราะไม่สว่าง แถมไม่ร้อนมาก ผมย้ายของเสร็จ ก็จัดข้าวของนู้นนี่ไปจนเกือบเย็น
ก็นึกขึ้นได้ว่า "นี่เราจะต้องบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางก่อนหรือเปล่าว่ะ ?" ไม่ทันสิ้นสุดความคิดดี ...กริ๊งๆๆๆๆ แม่ก็โทรเข้ามา
"เป็นไงบ้างลูก หอใหม่ ดีมั้ย"  แม่ถามลูกด้วยความห่วงใย
"ก็โอนะแม่ มีพี่อยู่ มีเพื่อนอยู่ ใกล้ที่ทำงาน มีร้านข้าวหน้าหอ ใกล้ทางไปไหนมาไหนสะดวก"  เราก็ บราๆๆๆๆ เม้าท์มอยด์ประสาแม่ลูก
แต่ก่อนที่แม่จะวางสายไปนั้น

"แล้วเอาดอกไม้ธูปเทียนไปจุดบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางยัง" ??

อืม เราเองก็มั่วแต่จัดข้าวของให้เข้าที่เข้าทางซ่ะเพลินเลย อย่าว่าแต่ไหว้ศาลอะไรเลย ข้าวก็ยังมิทันได้กิน
เลยกะว่าจะออกไปหาอะไรทานก่อน แล้วค่อยซื้อดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้ศาล แต่เวลาก็พาเข้าไปใกล้พลบค่ำแล้ว ณ ตอนนั้น
ทำให้เราต้องกลับมาไหว้เจ้าที่เจ้าทางตอนหัวค่ำ แต่เรื่องมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น...เราหาศาลเจ้าที่ไม่เจอ ?
เดินหารอบๆหอไม่เจอครับ เลยคิดว่าศาลเจ้าที่จะอยู่บนดาดฟ้าหรือเปล่า เลยไปถามพี่ที่เขาอยู่มาก่อน
ก็ได้คำตอบว่าหอนี้ไม่มีศาลเจ้าที่ มีแต่ศาลจีน ที่อยู่ในห้องสำนักงาน ซึ่ง ณ เวลานั้นก็พาไปสองทุ่มกว่าแล้ว
สำนักงานก็ปิดไปแล้ว จะเค้าะให้คนเฝ้าหอออกมาเปิดประตู แล้วเราเข้าไปจุดธูปจุดเทียนนี่ก็กระไรอยู่

สุดท้ายก็คือ มาจุดธูปเทียนหน้าหอพัก บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ว่าเราจะขอเข้ามาอาศัยที่นี่
แล้วนำธูปเทียนไปปักไว้ในกระถามต้นไม้หน้าหอพัก แล้วเอาดอกไม้ไปไว้ที่หัวนอน

คืนแรกนั้นผ่านไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น .

คือต้องบอกก่อนว่า งานที่เราทำอยู่ ณ ตอนนั้น เป็นงานแนวสำรวจ เลยทำให้มีออกไปเก็บข้อมูล ตจว. บ่อย และไปทีก็หลายวัน
จะกลับมาห้องก็แค่เย็นศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ วงจรมันก็เลยเป็น ศุกร์เมา เสาร์แฮงค์ อาทิตย์ถอน จันทร์มึน  5555+
ก็ตามประสาเนอะ ไปอยู่บ้านนอกคอกนา ทำงานมาเหนื่อยๆ ก็ต้องพักผ่อนกันมั่ง บ้างก็แช่อยู่ห้องจนไม่ได้ไปไหนทำอะไร
กินๆนอนๆ จนมาสะดุดตาเข้ากับพวงมาลัยที่แห้งเหี่ยว..."เออ เราลืมเปลี่ยนพวงมาลัยนี่หว่า" ว่าแล้วก็เอาซากพวงนั้นไปทิ้ง แล้วกลับมาดูซีรี่ย์ต่อ

ปกติไม่ใช่คนที่จะไหว้พระวันศีลอะไรอยู่แล้ว พวงมาลัยนี่ นานๆจะซื้อที และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของประสบการณ์หลอนครั้งใหม่

...ที่มาพร้อมกับกลิ่นหอมดอกมะลิ และ "ผู้หญิงชุดขาวผมยาวเปียกน้ำ"

(เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ผมเข้าอยู่หอพักแห่งนี้เป็นสัปดารห์ที่2)

...ในช่วงสายของวันเสาร์ เราตื่นมาพร้อมความงุนงงตามประสาคนยังไม่อยากตื่นแต่ดันปวดฉี่
เราลุกเดินจะไปเข้าห้องน้ำที่ท้ายห้อง "เห้ยยยยยย" เสียงร้องตกใจของคนงุนงงที่ลื่นเกือบล้มหัวฟาดพื้น
"เมื่อคืนฝนตกหรอว่ะ หรือน้ำยาแอร์ไหล"  ?  นั้นคือการสันนิฐานของบัณฑิตที่มีวุฒิวิทยาศาสตร์บัณฑิต

วันหยุดทั้งที่ก็เก็บห้องทำความสะอาด ซักผ้า ตามประสา ทำนู้นทำนี่เสร็ดก็จวนเวลาใกล้ค่ำ
เราอาบน้ำแต่ตัว เพราะมีนัดไปสังสรรค์กับชาวคณะตามประสา...อีกแล้ว  ก่อนออกห้องเราก็ไม่ลืมที่จะเอาขยะลงไปทิ้ง
และที่ไม่ลืมก็คือ เอาซากของอดีตพวงมาลัยไปทิ้ง (มันเหี่ยวจนแห้งเลย)
ปาร์ตี้จบลง จนกลับมาถึงห้องก็พาเวลาไปถึงตี 2 ของวันใหม่ได้ (วันนั้นกลับไวเพราะอะไรสักอย่าง ปกติกลับทีก็แสงพระอาทิตย์เริ่มมาแระ)
ถึงห้องก็จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้า เปิดพัดลมล้มตัวลงนอน คืนนี้ไม่ร้อนมาก แอร์ไม่ต้อง

ในความมือสลั่วภายในห้องนั้น จู่ๆเราก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อของตัวเราเอง  "A" !!  (ให้ A แทนนามสมมุติของเรานะ)
เราตกใจเพียงเล็กน้อยเพราะอาจการสมองทำงานช้าจากผลของน้ำเก๊กฮวยที่ดื่นไปจำนวนไม่น้อย ...ไม่สนใจนอนต่อ
"A" เสียงนั้นเรียกผมอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้มันดัง และชัดเจนกว่าครั้งก่อน
"A" อีกครั้งที่ผมได้ยินเสียงนั้น และทำให้ผมรู้ถึงที่มาของจุดกำเนิดของเสียง...เสียงนั้นดังมาจากบริเวณหลังห้อง (หน้าห้องน้ำ)
เราลืมตาขึ้นเพื่อมองไปยังต้นเสียง ..."ตรูเมาป่าวว่ะ" ?

ในความมืดนั้น มีเงาดำๆ รูปร่างคล้ายมนุษย์ยื่นอยู่ จำนวน 1 ตนถ้วน !!

ก็นั่นแหละฮ่ะ เราคงดื่นเยอะไปเลยหลอนก็เป็นด้ายยยย  แต่จะหลอนก็แค่สายตาที่มองเห็นภาพแปลกๆก็พอมั่ง
"กลิ่นดอกมะลิ"  มันมาจากไหนฟร่ะ ?  ใจยังคงสงสัยถึงที่มาของกลิ่นและเงาประหลาดนั้นได้ไม่นานนัก
"A" !! ...เธอเรียกผมครั้งนี้ ทำให้เราทั้งคู่ต้อง "เผชิญหน้ากัน" ทำไมเราถึงบอกได้เผชิญหน้ากันงั้นหรอ

ก็เพราะตอนนี้เธอมายื่นชิดติดปรายเตียงของเราแล้ว  ณ ที่ตรงนั้นจะมีแสงสลั่วๆจากข้างนอกห้องพาดผ่านมาพอดี
ทำให้เราได้มองเห็นรูปร่างของเธอ "ผู้หญิงผมยาวปิดใบหน้า สวมชุดยาวสีขาว ตัวเปียกน้ำ"
(ที่บอกว่าตัวเปียกน้ำนั่นเพราะอะไร ตอนหลังๆมีคำอธิบาย)

ณ ตอนนั้นความรู้สึกไม่ได้หวาดกลัวอะไรมากครับ เพราะเท่าที่โดนมาก็เริ่มระอาแล้ว แต่แค่สงสัยมากกว่า
"เธอคือใคร เธอมาทำไม หรือเราไปทำอะไรให้เธอ"   ??
คนเมาจำนวน 1 หน่วยถ้วน กำลังนอนเผชิญหน้ากับ หญิงสาวคอสเพลย์ผีจูออนจำนวน 1 หน่วยที่กำลังยื่นจ้องหน้าอยู่
แต่แล้วเดทแรกของเราสองก็ต้องจบลง เมื่อเธอได้ลืมตาสีแดงก่ำให้เราได้เห็น !!
...การสบตากันครั้งแรกของเรานั้นจบลงอย่ารวดเร็ว เพราะ...จะรออะไรหล่ะ หลับตานอนคลุมโปงสิครับ *-*

ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปได้อย่างได้ อาจเพราะฤทธิ์ของสุรา...
และคงเพราะฤทธิ์ของสุราเช่นกัน ที่ทำให้เราทำน้ำหกไว้บริเวณเดิม ที่เคยเกือบลื้นหัวแตกมาแล้ว

อาการมึนงงยังคงอยู่ เราหาผ้ามาเช็ดน้ำ แล้วลงไปซื้อข้าวหน้าหอพักขึ้นมาทาน สติเริ่มกลับคืน..."เมื่อคืนตรูฝันไปใช่มั้ย"  ?
คำถามนี้ทำให้ผมต้องไปชะเง้อมองผ่านหน้าต่างว่าเมื่อคืนฝนตกหรือไม่ ...ไม่ตกนะ !
(เพราะหากวันไหนฝนตกแรงๆ น้ำจะสาดเข้าบานเกร็ด แล้วไหลมาเลอะพื้นบริเวณใกล้ๆกัน แต่พนังห้องจะมีรอยคราบน้ำไหนอยู่)
อืมมมมม... หรือน้ำยาแอร์หยด ? ...เมื่อคืนนอนไม่ได้เปิดแอร์นี่หว่า และมันก็ไม่เคยหยดด้วย !!
อ่าาาาาา... หรือเมาแล้วฉี่ผิดที่ฟร๊ะ ? ...ไปเอาผ้าที่เช็ดน้ำนั้นมาดม ไม่มีกลิ่งของแอมโมเนีย (จมูกดีนะขอบอก)

เราไม่ได้หาคำตอบกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมาเลย เพราะคิดว่าคงเพราะดื่ม...

...และผมก็ต้องนำเรื่องราวนั้นกลับมาคิดใหม่ เมื่อเธอมาเรียกร้องบางสิ่ง ในคืนก่อนวันพระ

บางทีการนั่งครุ่นคิดอะไรบางเรื่องอย่างตั้งใจ มันก็เป็นการฆ่าเวลาที่ดีอย่างหนึ่งเหมือนกันนะครับ
เราใช้เวลาทั้งบ่ายจวนเย็น ในการพยายามหาคำตอบของเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ตกลงฝัน เมา เพ้อ หรืออะไร ก่อไผ่ ตะไบ กรรไกร หรือยังไง (..เมิงไหวป่าวไอ่ชาย)
แต่การค้นหานั้นก็ต้องหยุดลงเมื่อหางตาเหลือบไปเห็น...ตะกร้าผ้าที่อักแน่น ฟ๊ากกกกกก "ลืมซักผ้า"  !!

นี่ก็เย็นวันอาทิตย์เข้าให้แล้ว คงได้นอนดึกตื่นเช้าไปทำงานอีกวันแน่ พอนึกได้แบบนั้นเราก็จัดแจงจะเอาผ้าลงไปซักกับเครื่องหยอดเหรียญ
และอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องซักมือ
กว่าจะตากผ้าเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่ม แหม่ๆ ดึกๆเวลานี้ ทำนู้นทำนี่จะเหนื่อยขนาดนี้ ...ข้าวมันไก่เจ้ผอมสิครับรอไรหล่ะ !!
ผมก็ไปเคาะห้องพี่ที่สนิทกันชวนแกไป เพราะแกชอบทานข้าวดึกๆเหมือนกัน เราออกไปกินมาเสร็จสรรพ ก็จวนจะเที่ยงคืน
ผมก็รีบกลับมา อาบน้ำ เตรียมชุดทำงาน จะนอน พรุ่งนี้ไม่ต้องตื่นเช้า เพราะไม่ได้ออกไป ตจว. สบายๆหลับเวลานี้ ...ตี 2  -_-
(ก็มีเอ้อละเหยลอยชายไปกับเฟสบุ๊คมั่ง ยูทูปมั่งแหละน๊า เนอะๆ)

ก็ดึกพอสมควรแก่เวลานอน ที่มีภาระต้องตื่นตอน 7 โมงเช้า...แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอเวทนาเราไม่ !!!

กำลังจะคล้อยหลับได้ กลิ่นหอมรันจวนใจของดอกมะลิก็โชยมาเตะจมูกเรา ...ห๊ะ !! อะไรอีกว่ะ ?
ครั้งนี้สติดีกว่าเมื่อวาน มาๆ เป็นไงเป็นกัน ต้องรู้ให้ได้ว่าเธอคือใคร ต้องการอะไร ..."A"  !!  เสียงเรีกที่เพิ่งคุ้นเคย
ก็นั่นแหละฮ่ะทั่นผู้โชมมมม  แบบเดิม  เหมือนเดิม เพียงแต่คืนนี้ เราไม่เมา เราไม่เหนื่อย เราไม่เมื่อย และเราคงไม่ได้นอนนนนน

หากใครจะบอกว่าทำไมไม่หนีไปอยู่ห้องพี่ หรือส่งเสียงเรียกให้ใครช่วย ???
(อ่านถึงตรงนี้หลายคนคงคิดว่า "เมิงจะบอกว่าโดนอำขยับไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ย ?")
ใช่ครับ ! ไม่เถียงว่าโดนอำจริงๆ แต่เป็นการอำที่ไม่อึดอัด ไม่หนัก แค่ไม่ไหนไม่ได้ พูดได้เบาๆ
ครั้งนี้เธอไม่ได้โชว์สกิลตาแดงแต่อย่างใด เธอมาแบบสุภาพชน แต่ยูนิฟอร์มเดิม ยืนโพสท่าเดิมๆ (ชุดขาว ผมบังหน้า)

"แอนชอบดอกไม้ แอนชอบกลิ่นหอมมมมม..."  นั่นคือคำพูดอื่นที่ผมได้ยินจากปากของเทอ ก่อนเธอจะลับหายไป...ในความมืด

#เธอชื่อแอน

เช้าวันนี้ช่างเป็นเช้าที่น่าเบื่อ ก็มันเช้าแห่งวันทำงานหนิเนอะ "เช้าวันจันทร์" ที่ใครๆต่างหดหู่เมื่อได้ยินชื่อของมัน
เราเองก็เช่นกัน มันมึนๆ ง่วงๆ เหมือนนอนไม่พอ (ก็เล่นนอนซ่ะดึก แถมยังต้องเจอ...)
และวันจันทร์วันนั้นก็ผ่านพ้นไปอย่างหน่วงๆ หลังเลิกงานเราเดินไปยัง "แยกชื่อดังย่านบางเขน" ใกล้กับมหาลัย
เพื่อหาอะไรกินรองท้อง และจับจ่ายใช้สอยต่างๆนาๆ แต่ของกินของใช้ก็ซื้อมาแล้ว ความรู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่าง
ก่อนจะเดินข้ามแยกเพื่อกลับหอนั้น ก็มองไปเห็นแผงขายพวกมาลัย พร้อมโฆษณาติดลังกระดาษว่า  "วันนี้วันพระ"  !!

"ป้าจ๋า ผมเอาอันที่มีดอกมะลิเยอะๆครับ"  20 บาทจ่ายให้ป้าไป

เดินกลับห้อง เจอพี่ที่สนิทเพิ่งจะกลับมาถึงเหมือนกัน
"เห้ย A คืนนี้เดี๋ยวหาหนังดูแล้วจิบเบียร์เบาๆห้องพี่กันม่ะ"  พี่ B ยื่นข้อเสนอให้ผม (ขอใช้ B แทนชื่อรุ่นพี่นะครับ)
"เอาดิพี่ สัก 2 ทุ่มนะ ตอนนี้ขอกลับไปนอนก่อน เพลียๆ"  ผมตอบรับพร้อมบอกกำหนดเวลา

ผมกลับมาห้อง จัดแจงเอาของว่า เปลี่ยนชุดเป็นชุดลำรอง (กางเกงในตัวเดียว...ก็อยู่คนเดียวนิ) เตรียมตัวจะล้มตัวเอนกายงีบพักสักแปบ
แต่ก็เอะใจ "เออหว่ะ เราซื้อพวงมาลัยมานี่หว่า"  หลังจากนั้นผมก็นำพวงมาลัยมาพนมมือไหว้
"ถ้าพี่ชอบผมก็จะซื้อมาเปลี่ยนบ่อยๆนะ จะมาก็มาดีๆถ้าอยากได้อะไรก็บอกดีๆนะ"  แล้วนำไปแขวนไว้มุมหัวนอน

เราสะดุงตื่นมาก็เกือบจะสองทุ่มแล้ว เลยลุกไปเข้าห้องน้ำ ล้างเนื้อล้างตัว เพราะนอนตอนเย็นเหงือมันออกเยอะ
เรากับพี่ B ออกไปหาไรกิน กลับมาก็เกือบสามทุ่ม และที่ขาดไปไม่ได้เลย คือเบียร์เย็นๆจำนวนหนึ่งพอให้ดูหนังอย่างสนุกและผ่อนคลาย
หนังเรื่องแรกจบไป แต่เจ้ากรรมเบียร์ยังเหลือ เราหาอะไรดูกันไปพักหนึ่ง พี่ B คุยโทรศัพท์กับแฟน เราก็เลยเผลอหลับไป

"ตื่นกลับไปนอนที่ห้องเถอะ"  เสียงที่เราจำได้มันดังอยู่ข้างหู แต่ฝั่งนั้นมันจะมีคนมาอยู่ได้ไง ในเมื่อเรานอนชิดฝั่งที่ติดกับกำแพง !!
"นี่แอนเอง ตื่นไปนอนดีๆที่ห้อง" เราสะดุงตื่น หันหัวไปตามต้นเสียง แอนยื่นหน้าออกมาจากผนังห้องแบบกึ่งใบหน้า !!!
ด้วยความตกใจ เราสะดุงผลักตัวเองลุกขึ้นจากท่านอนเป็นท่านั่ง "เป็นไรว่ะ ?" พี่ B ถามด้วยความห่วงใย
เราเบลอๆ "ป่าวพี่ ฝันหน่ะ" เราตอบด้วยอาการง่วง "สัตว์ นี่เมิงงงงหลับลึกขนาดนั้น 5555+"  พี่ B ขำใส่
เราพาตัวเองกลับไปห้อง อาบน้ำ แล้วนอน...ก่อนนอนก็คิดว่านั่นคง ...ฝันไป

เรื่องราวผ่านไปได้อาทิตย์กว่าๆ ไม่เจอ ไม่ได้ยิน และพื้นห้องไม่ได้เปียงน้ำ นอกจากวันที่ฝนตกหนักๆ ก้มีบ้าง
แต่มันคนละจุดกับที่ แอนมักจะยืนอยู่...และเหตุการณ์ที่ทำให้เราได้ทำความรู้จักกับแอนอย่างจริงจังก็เดินทางมาถึง...

จบจากเรื่อง "เธอชื่อแอน" แล้ว ก็ยังมีอีก 1 เรื่องใหญ่
เป็นเรื่องสมัยที่ยังเรียน แล้วได้รับโอกาศได้ไปฝึกงาน ณ หน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งในภาคกลาง
(จังหวัดที่เคยมีคนจังหวัดนี้เป็นอดีตนายกที่โด่งดังเรื่องการบริหารบ้านเกิดเมืองนอนตัวเองให้เจริญ และเอกลักษณ์ของคนที่นี่เค้าจะ "พูดเหน่อ" )
เหตุการ์ณโดยคร่าวๆคือ..."พวกเขามาจัดหนักในคืนสุดท้ายของการฝึกงาน" กับสถานที่ฝึกงานที่อยู่ใกล้กับจุดที่มีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง
และบ้านพัก ที่ดูน่าจะสะดวกสบายที่สุด แต่ไม่มีพนักงานคนไหนมาอาศัย

และอีก 1 เรื่องเล็ก อันนี้จะย้อนไปในวัยเด็ก และน่าจะเป็นจุดเริ่มต้น ครั้งแรก ที่ได้สัมผัสกับเรื่องราวที่อธิบายไม่ได้
กับการเจอเหตุการ์ณประหลาดใน โรงแรมต่างจังหวัด โดยมีพยานผู้ประสบเหตุเดียวกัน ...พร้อมเงื่อนงำของการฆาตกรรม


หลังจากนั้นจะเป็นการอธิบายหลักการและเหตุผล ที่มาที่ไปของเหตุการ์ณทั้งหมด "รับรอง มุมมองของเรื่องสยองขวัญของคุณจะเปลี่ยนไป"
อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ อยากให้คนที่มาอ่านได้อะไรมากกว่าความบันเทิงจริมๆ

นำชวดขอคอนเฟิร์ม

เราออกจากร้านเที่ยวย้านวิภาวดีมา ก็ตี 4 กว่าๆได้ เดินกลับหอตัวคนเดียว ติส...เพราะคืนนี้ "เราเลิกกับแฟน"
ก็จัดมาเต็มพอสมควรครับ แถมอารมณ์ฉุนเฉียวนิดนึง (ตามประสาเนอะ)
กลับเข้าห้อง ก็เปลี่ยนชุด ล้างตัว เพราะแดนซ์มาเต็มมาก (จากโซนเกษตรนวมินไปต่อวิภาวดี อิอิ) กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตี 5 กว่า
ฟ้าเริ่มสลั่วๆ รีบนอนก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น แต่แล้วฝันนั้นก็สลายหายไปในพริบตาาาาาาา...กลิ่นมะลิที่รุนแรงแสนยานุภาพเตะเข้าจมูกอย่างหนัก

"มาอีกแล้วหรอแอน นี่จะเช้าแล้วนะ"  ? คำถามในหัวของคนที่สติถูกลบเลือนไปด้วยน้ำเก๊กฮวย

ณ มุมเดิมที่ธอมักจะยืนอยู่ แต่ครานี้เธอไม่ได้ยืนอยู่เฉยๆ ร่างของเธอค่อยๆขยับใกล้เข้า...ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
จนมาหยุดอยู่ที่มุมเตียงนอน ...ครั้งนี้เราอึดอัดครับ เหมือนเธอกำลังจะพยายามสื่อสารอะไรบางอย่าง  แต่หนนี้ เราจะไม่ทน !!
ด้วยความที่อารมณ์เสียอยู่แล้วเป็นทุน แถมยังสติสตังไม่ครบถ้วน เลยทำให้แอนต้องโดนผมด่า !!

"Eผี Here มาหลอกมาหลอนตรูทำไม ตรูไปทำอะไรให้ ค่าห้องตรูก็จ่าย เมิงมาอาศัยอยู่ช่วยเหลืออะไรตรูมั้ย ? หวยก็ไม่ให้ซักงวด" หึ๊ย !!

ก็นั้นแหละครับคุณผู้อ่าน จริงๆด่าไปเยอะกว่านี้ เพราะหาที่ระบายอารมณ์อยู่ แต่กับผี ผีคงไม่เข้าใจ  ?
เธอก้มลงมองเรา หน้าเชงอเข้ามาหาตัวเรา แถมยังโชว์ทักษะแอร์โรไดนามิก "เธอลอยตัวขึ้นหัวเกือบชนเพดาน"
หยดน้ำจากปรายผมของเธอ หยดลงมาเราสัมผัสได้เพราะมันเย็นเป็นจุดๆบริเวณขาของเรา
ผมยังไม่หยุดระบายอารมณ์ใส่เธอ เพราะตั้งแต่มาอยู่แล้วรู้ว่ามีเธออยู่ด้วย เวลาจะทำบุญผมก็คิดถึงเธอตลอด
มันเลยเป็นเหตุให้น่าโมโห ทำดีให้ก็แล้ว อยากได้อะไรก็ทำให้แล้ว...เอ๊ะ ผมไม่ได้เปลี่ยนพวงมาลัยมานานเท่าไหร่แล้วนะ ?

วินาทีนั้นน้ำตาแห่งความโศกก็เริ่มไหลออกมา เพราะหวนคิดถึง... ผมเลิกที่จะสนใจแอน แต่แล้วแอนก็ทำให้ผู้ได้รู้ว่า "เธอมาดี".
คุณเคยถูกกอดกันบ้างไหม ? กอดจากคนที่เป็นห่วงเรา รู้สึกดี หวังดีต่อเรา ...เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ แม้ว่าเรายังมองเห็นเธอลางๆอยู่
แต่ความรู้สึกที่ส่งผ่านมา มันอบอุ่น ผ่อนคลาย  แล้วเราก็เผลอหลับไป...

เช้านี้ไม่มีกอนน้ำที่พื้นห้องอีกแล้ว แต่มันย้ายมาเปียกที่บริเวณปลายเตียงและส่วนปลายของผ้าปูที่นอน
และก็ตามเดิมที่วันนี้เราต้องทำความสะอาด จัดเก็บห้อง แบบเหงาๆ แต่ก็รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เหมือนได้รับการปลอบใจจากใครสักคน
เราซื้อพวงมาลัยมาเปลี่ยนให้แอนใหม่ พร้อมจุดธูปขอโทษเธอที่ผมว่าร้ายเธอไป ..และขอร้องเธอว่า...

"หากวันไหน จะมาพบมาเจอ ขอได้ไหมเธอ อย่าเลยอย่ามาให้เห็น...ขอไปเจอในจฝันพอนะแอน"

เหมือนเธอเข้าใจในสิ่งที่เราสื่อสาร คืนนี้เราเจอกันในฝัน...ฝันที่ทำให้ผมรู้เรื่องราวของเธอ

ในฝันนั้นก็เหมือนกับทุกครั้งที่เราเจอกัน แต่ครั้งนี้ตัวของเธอแห้งสนิท ไม่ได้ตัวชุ่มน้ำแบบที่เคยเจอ แต่มันคือฝัน
"เธอเป็นไคร และทำไมเราถึงเจอกัน"  คำถามแรกที่ผมถามเธอ เรานั่งอยู่ขอบเตียงข้างๆกัน แล้วคุยกัน...
เธอบอกเราว่าเธออยู่ที่นี่ เธอชื่อแอน (บอกทำไมรู้อยู่แล้ว)  เธอเสียชีวิตที่นี่ ด้วยโรคประจำตัว และเธอยังไปไหนไม่ได้ (เหตุผลไม่ได้บอก)
เราไม่ได้เซ้าซี้อะไรเธอมากนัก ใบหน้าของเธอเราเห็นไม่ชัดเจน เพราะก็ไม่กล้ามองตรงๆ (กลัวแม้กระทั่งในฝัน)
ความรู้สึกในฝันนั้น เหมือนเธอเหงา คงอยากหาเพื่อน (แต่ช่วยไปหาเพื่อนที่เป็นผีด้วยกันได้ป่ะ)
เราไม่ได้คุยอะไรกันมาก ...แล้วซักพักเธอก็ร้องไห้เบาๆ T.T เรารู้สึกสงสารเธอ ปนกับความไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิด

"แอนหันมากอดผม"
ผมก็ได้แต่บอกกับเธอว่าจะทำบุญไปให้นะ แต่ไม่ขอเจอ ขาดเหลืออะไรในฝันเท่านั้น เราไม่ได้กลัว
แต่เราเกรงว่าเราจะบ้าเอาถ้าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟัง

...แล้วทุกสิ่งก็หายไป รู้ตัวอีกทีก็ได้เวลาไปทำงานแล้ว และหลังจากนั้น เรากับแอน ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย...


อาจจะมีบางที่หางตาเหลือบไปเห็น แต่ก็ไม่ชัดเจนมากนัก มีบ้างที่ตื่นมากลางดึกแล้วเห็นคล้ายๆเงาดำๆบริเวณที่เธอเคยยืน
แต่ไม่มีเจอแบบเต็ม full HD ไม่มีกลิ่นแรงๆ...แต่ถ้าก่อนวันพระ หรือพวงเก่าแห้งเหี่ยวก็มีได้กลิ่นเบาๆ


ขอให้แอนไปสู่สุขตินะ และขอให้แอนได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดี และขอให้อโหสิกรรมให้ซึ่งกันและกัน


...ลาก่อยนะแอน
นำชวด


…เคยสงสัยกันไหมว่า “ณ อีกโลกที่พวกเขาอยู่กัน มันเป็นอย่างไร ?”

เราสงสัยในคำถามคาใจมายังปัจจุบัน แต่มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งในชีวิตที่ทำให้เราไม่อยากจะสงสัยในความเป็นอยู่ของพวกเขา เพราะสิ่งที่พวกเขาทำ มันช่างไม่น่าให้อภัยเสียเหลือเกิน…

“มันคงเป็นความสนุกของพวกเขา ที่ได้หลอกเล่นสนุกกับเรา”  !!!

เมื่อเราเราเรียนอยู่ปี 3 เทอม 1 เราและพองเพื่อนจำนวนหนึ่งลงความเห็นกันว่า…
“ปิดเทอมนี้เราไปหาที่ฝึกงานกันมั้ย ?”
และนั้นคือจุดเริ่มต้นของ “การฝึกงานที่แสนสนุก…ที่ชวนขนหัวลุกแบบหลอนๆ”
สถานที่ฝึกงานพร้อม พวกเราพร้อม ใจพร้อม กายพร้อม เราทำได้ !! ไป !! ไปฝึกงานกานนนนน

นั่งรถออกจากเมืองกรุงกันในช่วงเช้าของวัน และไปถึงสถานที่ฝึกงานในเวลาใกล้เที่ยง
แต่วันนี้ไม่ใช่วันที่เราจะเริ่มฝึกงานกันครับ เราเดินทางไปกันวันอาทิตย์ ทำให้คืนนี้เราต้องไปพักกันบ้านเพื่อนที่มีพื้นเพเป็นคนจังหวัดนี้ และที่บ้านญาติอยู่ใกล้ๆกับที่ฝึกงานของเรา พรุ่งนี้เช้าค่อยเจอกัน !!
ก่อนจะเข้าเรื่อง ขอเม้าท์มอยส์หน่อยนะ รถตู้ไปต่างจังหวันนี่พอเค้าเข้าตัวจังหวัดปุ๊บ พี่คนขับแกเล่นแวะรับคนตามใจเลยเนอะ แบบพวกนั่งข้ามอำเภอไรงี้ เราเพิ่งเคยเห็นการยืนบนรถโดยสารก็แค่รถเมย์ในกรุงเทพ แต่ไม่คิดว่านี่เราจะได้มาเห็นตั๋วยืนในรถตู้ และที่น่าอึ้งไปกว่านั้น …นี่มัน 20 กว่าชีวิตแล้วนะ ที่อัดแน่นกันอยู่ใน “รถตู้” คันนี้ !!  (ฟ๊ากกกกก พี่แกคิดว่าตัวเองขับร ปอ.39 อยู่หรอไง ห๊ะ !!)


นอกเรื่องไปนิดเข้าเรื่องกันดีกว่าเรา เอ้าๆ มาๆ ปูเสื่อนั่ง ปุดหมุดอ่านกันได้เรยยยยยย

ถึงที่ฝึกงาน บรรยากาศดีเยี่ยม กว้างขวาง ช่วงนั้นเป็นหน้าฝน ราวๆเดือนตุลาได้มั่ง  (ปีน้ำท้วมด้วย)
เจ้าหน้าที่ประจำสถานที่นั้นก็พาพวกเราไปประชุม พูดคุยกันและอธิบายว่าต้องทำอะไรยังไงบ้าง
เสร็จสรรพก็พาไปดูบ้านพัก บ้านพักหลังนี้ อยู่ใกล้กับสำนักงาน (ก่อนมาเรากลัวกันว่าจะต้องได้พักในบ้านหลังไกลๆ ที่ใครไม่อยากอยู่)
แต่กลับได้บ้านหลังที่ไปไหนมาไหนในศูนย์ที่เนราฝึกงานกันได้สะดวกสบาย เป็นบ้านไม้เดี่ยว 2 ชั้นใต้ถุนสูง
ขึ้นไปบนบ้าน มี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ห้องนอนถูกขั้นกลางด้วยโถงกลางบ้าน

สมาชิกฝึกงานเราประกอบไปด้วย ผู้หญิง 3 ผู้ชายแท้ 2 และชายเทียมอีก 1 หน่วยถ้วน
เราสำรวจที่พักกันหลังจากพี่ที่จะดูแลพวกเราจากไป ขึ้นบันใดบ้านไปเปิดมาขวามือเป็นห้องนอน เดินไปเป็นโถงกลางบ้าน
เลยไปซ้ายมือเป็นห้องน้ำ ขวามือเป็นอีกห้องนอน ห้องน้ำโอเค…โอเค๊ ต้องทำความสะอาดกันยกใหญ่
จริงๆก็ต้องทำความสะอาดบ้านกันทั้งหลังแหละ เพราะสภาพเหมือนไม่มีคนมาอยู่นานมากแล้ว
เราใช้เวลากันค่อนวันในการทำความสะอาดบ้าน พอทำความสะอาดเสร็จก็จวนใกล้ค่ำ เราเริ่มจัดที่นอนกันก่อนที่จะกินข้าว
ผู้หญิงก็ไปจัดห้องผู้หญิง ผู้ชายก็กำลังจัดที่นอนกันอยู่กลางบ้าน บริเวณโถง ที่คั่นระหว่าง 2 ห้องนอน

อ่าว งง กันหล่ะสิ ไม่ผิดครับ เหล่าชาย 3 ชีวิต ไม่ได้นอนในห้องนอนห้องนั้นครับ !

เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนแรกที่ขึ้นมาดูบ้านนั้น พอเราและเพื่อนได้เข้มาสำรวจห้องนอนนี้ เราทั้งสามลงความเห็นกันว่า “เรานอนข้างนอกกันเถอะ”
เหตุผล 1 แรกครั้งที่เข้ามาดูห้องนั้น มันรู้สึกห้องนี้อับและอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก  (คนคอนเฟิร์มคือเพื่อนชายเทียมของเรา ที่ขอไม่นอนห้องนี้)
เหตุผล 2 หน้าต่างอีกฝั่งอยู่ทิศตะวันตกพอดี ซึ่งมันจะเก็บความร้อนในตอนเย็น ทำให้ช่วงค่ำหรือกลางคืนยังร้อนอยู่ (อ้างอิงจากห้องเราที่บ้าน)
เราใช้ห้องนั้นเป็นห้องเก็บของ เสื้อผ้า แต่มานอนข้างนอกครับ เพราะห้องนั้นรู้สึกแย่จริงๆ

เสร็จกินการทานข้าวและทำธุระส่วนตัว เราก็เริ่มเข้านอนกันกันแต่หัวค่ำ เพราะพรุ่งนี้เราต้องเริ่มงานกันแล้ว
…ฝันดีราตรีสวัสดิ์ ณ เวลาเกือบเที่ยงคืน !!
ด้วยความที่เอาคอมไปด้วย และเพื่อนก็มีซีรี่ย์เกาหลีเยอะ ก็เลยเป็นติ่งโคเรียกันพักใหญ่เลย อิอิ

“เมื่อคืน เมิงได้ยินเสียงคนเดินในห้องนั้นป่าวว่ะ”  ??  เพื่อนคนหนึ่งถามผมในเช้าของอีกวัน…

…เพื่อนถามคำถามที่มันช่างชวนคิดจริงๆ เพราะเรานอนติดผนังห้องนั้น และไม่มีใครลุกมากลางดึกแล้วเข้าไปห้องนั้นด้วย และที่สำคัญที่สุด เราเองก็ได้ยิน “เสียงคนเดินอยู่ในห้องนั้นเหมือนกัน”  !!

ความฉงนปนสงสัยในครั้งนี้จบลงด้วยคำว่า “หูฟาดไปกันเอง”
อืม…หูฟาดก็หูฟาดว่ะ เอ้า ตั้งใจฝึกงานสิรออะไรหล่ะ
การฝึกงานได้เริ่มต้นขึ้น กิจวัตรประจำวันของเราก็คือ การเลี้ยงปลาม้า ทั้งอนุบาลลูกปลา ทำไร้นางฟ้าเป็นอาหารให้ลูกปลา เปลี่ยนน้ำ ล้างบ่อ ล้างบ่อกรองน้ำ อื่นๆอีกมากมาย
รวมถึง…เอากระสอบทรายไปกั้นน้ำท้วม !
เพราะช่วงท้ายของการฝึกงาน มวลน้ำได้เดินทางมาถึงสถานที่ฝึกงานของเราครับ !!
ดังนั้นงานส่วนใหญ่ของการฝึกงานของเราเลยเป็นการกรอกทรายเข้ากระสอบ และขนไปกันรอบๆที่ฝึกงาน

นอกเรื่องอีกช่วง
ที่ฝึกงานเรามีจระเข้ด้วยนะ แถมช่วงนั้นจระเข้หนีน้ำท่วมมาอาศัยร่วมอีก ทำให้ไอ้เข้เต็มไปหมดเบย
หน้าที่อีกอันคือ เอาน้ำเกลือไปฉีดไอ่เข้…เพราะปริงมันมาเกาะ
ที่อยากเล่าก็คือ “ไอ่เข้ ไม่กินกบครับท่านผู้อ่านนนน”  ผมตื่นเต้นมากที่ได้รู้ เพราะอะไรหน่ะหรอ เพราะข้างบ่อไอ่เข้คือบ่อกบ แล้วไอ่กบก็กระโดดข้ามมาอาศัยร่วมกับไอ่เข้แถมยังโชว์เหนือ โดยการขึ้นไปอยู่บนหัวไอ่เข้ เย็สสสสสสสสสเข้ กบ

การฝึกงานของแกงค์เราก็ดำเนินไปตามปกติ ในช่วงกลางวัน ซึ่งในช่วงกลางคืนก็…
เช้ามาก็มีเพื่อนมาคุยเรื่องได้ยินเสียงคนเดินในบ้านอยู่บ้าง แต่เราไม่ได้สนใจอะไรกันมาก จนกระทั่ง…

ในระหว่างฝึกงาน วันนั้นผมกำลังคุยอยู่กับพี่เจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนนึง ระหว่างที่เรากำลังสนทนากันอยู่นั้น พี่เขาก็ถามขึ้นว่า…
“แหม่ วันก่อนแฟนมาเยี่ยมหรอ พี่เห็นนะ”
“แฟนไหนพี่ ไม่มี ที่อยู่อะเพื่อนกันทั้งนั้น”  ผมตอบเพราะคิดว่าพี่เขาคงเข้าใจผิด
“ป่าวนะ ไม่ใช่ผู้หญิงในกลุ่มที่มาด้วย พี่ไม่คุ้นหน้า เห็นมาช่วยเราตากผ้าเมื่อวันก่อน” คำอธิบายจากพี่เขา
“…เอิ้มส์พี่ ผมตากผ้าคนเดียวมาตลอดนะ ไม่มีใครช่วย แถมไม่ได้พาใครเข้ามาด้วยพี่” เรายืนยังในสิ่งที่ไม่ได้ทำ
“แต่พี่เห็นจริงนะ พี่นึกว่าเรามแฟนอยู่แถวนี้ซ่ะอีก เห็นมายืนช่วยเราตากผ้าทุกครั้งเลย” พี่เขายืนยันในสิ่งทีเห็น
“………………”  เรางง เงียบ และการสนทาของเราก็หยุดลงแค่นั้น

ความสงสัยเกิดขึ้นในห่วงของความคิด เฝ้าสงสัยถึงสิ่งที่พี่คนนั้นบอกกับเรา แต่เราก็เลิกคิดไป  เพราะคิดว่าพี่เขาคงตาฝาด เห็นเป็นเพื่อนเราแหละมั่ง…จนกระทั่ง เพื่อนเราเล่าให้ฟังว่า…

“เมื่อคืนกูฝันเห็นผู้หญิงคนนึงอยู่ตรงระเบียงบ้านอ่ะ”


ส่วนเสริม…
…วันนึงที่เราออกจากศูนย์ไปข้ามถนนไปร้านค้าของชำฝั่งตรข้ามศูนย์ เพื่อซื้อเบียร์จิบคลายเหนื่อย
“ไอ้หนุ่ม จะข้ามมาฝั่งนี้ ดูรถดูราดีๆนะ ค่ำๆดึกอย่าข้ามมาเลยนะ”  …เจ้าของร้านชวนเราคุย
“ทำไมหรอครับ ?”  เพราะอะไรอยากรู้เราจึงถามกลับ
“อ๋อ ตรงนี้มันเกิดอุบัติเหตุบ่อย ถนนมันใหญ่ พวกรถมันวิ่งเร็ว และก็มันเป็นทางโค้ง รมมาไว้มักมองไม่เห็น ขนาดกลางวันแสกๆยังชนกันได้เลย แถมบางคนบอกว่าไม่เห็นคนข้ามบ้างแหละ ไอ่คนที่โดนชน ก็ชอบบอกว่าไม่เห็นรถบ้างแหละ”  ลุงเจ้าของร้านอธิบาย
“อ่าว ทางก็ไม่มืดนะลุง แถมโค้งก็ไม่ได้เอียงมาก น่าจะมองเห็นชัดนะ”  เราก็โต้แยงตามสิ่งที่เห็น
“เชื่อลุงเหอะ ตามกันมาก็เยอะแล้ว พวกรถบรรทุกที่ลงข้างทางอ่ะ มันบอกว่า เห็นคนยืนอยู่กลางถนน เลยหักรถหลบก็มี …มันอาจจะเพราะเหตุผลอื่น”  ลุงเตือนด้วยความหวังดี

เราได้แต่ตอบไปว่า “ขอบคุณครับลุง” พร้อมกับ “เอาเบียร์มาอีกป๋องนะ เดี๋ยวผมก็กลับแล้ว”  อิอิ


คืนนี้พอแค่นี้ก่อนเนอะ เพราะพรุ่งนี้คือ “วันจันทร์ ที่น่าเบื่อ” รีบไปนอนดีฟ่า
เอ้าๆ ละครจบแล้ว แยกย้ายไปนอนกันจร้าเด็กๆ

ณ ตอนนั้น เราก็เป็นเหมือนใครหลายคนในที่นี้ ที่ต่างมีความเชื่อในสิ่งลี้ลับที่แตกต่างกันออกไป
แต่กระนั้น ไม่ว่าเราจะมีความเชื่อต่างกันแค่ไหน แต่เราก็กลัวในสิ่งนั้นๆเหมือนกัน
หลากหลายความเชื่อ ไม่ว่าจะทับทางเจ้าที่ ทางสามแพรง ทางผีผ่าน หรืออื่นๆ
มักเป็น 1 ให้เหตุผลทำให้สถานที่แห่งนั้นมีเรื่องราวแปลกประหลาดอยู่ซ้ำๆ
และเราว่า “บ้านพักฝึกงาน” ของพวกเราในคราวนี้ก็เช่นกัน

นานวันไปของการฝึกงานของเรา ก็ได้สร้างความสนิทสนมกับพี่ๆเจ้าหน้าที่หลายๆท่าน ทำให้พวกเรากล้าที่จะพูดคุย
ไถ่ถามถึงสิ่งที่อยากรู้กันมากขึ้น ทั้งเรื่องงาน เรื่องอื่นๆ ร่วมถึงเรื่องของที่มาของเหตุการณ์แปลกๆที่เกิดกับเราในบ้านหลังนั้น

นานเท่าไหร่แล้วนะที่เราไม่ได้เจอประสบการณ์แปลกๆแบบนี้ นับตั้งแต่เรื่องราวของเราในตึก นี่จะเป็นอีกครั้งหรอ
แล้วคราวนี้พวกเขาคือใคร ? พวกเค้าต้องการอะไร ?

“เราไม่รู้ว่าเรามาอยู่ ณ จุดนี้ได้อย่างไร จุดที่เรา...โดนผีอำอีกแล้ววววววววววว”  !!

ในคืนที่ร้อนระอุ แม้พวกเราจะมีพัดลมประจำกายกันคนละ 1 ตัว แต่มันก็ไม่เพียงพอต่อความร้อนในคืนนั้น
แต่นั้นมันก็ไม่ใช่สาเหตุหลักนักหากพัดลมตัวของผมมันจะทำงานตามปกติ  “ทำไมวันนี้มันตัดไปเองว่ะ” ?
คืนนี้พัดลมเจ้ากรรมมันน่าจะอยากมีเรื่องกับเราแล้วแหละ ใช้มาหลายวันไม่มีปัญหา
วันนี้ร้อนตับแตก เอ็งจะมาพังเอาดื้อๆเลยรึอ !
คืนนั้นเราต้องตื่นมาจากความร้อนเพื่อลุกมากดปุ่มเปิดสวิทซ์พัดลมอยู่หลายหน แต่อี่นังแฟนเจ้ากรรมก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัว
เกิดอยากลาออกจากการเป็นพัดลม เด้งสวิทซ์ขึ้นเองเฉยๆ
จนเรารู้สึกหงุดหงิด ทั้งหาอะไรมายัดปุ่มไม่ให้มันเด้งเองก็แล้ว ขยับปลั๊กไฟก็แล้ว มันก็ยังเป็นอยู่แบบเดิม
จนผมเริ่มเกิดอาการหงุดหงิด ง่วงก็ง่วง ร้อนก็ร้อน และด้วยพัดลมจะพังก็ไม่พังไปเลย บวกกับปากที่พล่อยอยู่พอประมาณ
เป็นเหตุให้พลั้งพลาดหลุดคำสบถออกไป “ผีที่ไหนมาแกล้งครูป่าวว่ะ แม่มมมมมมันร้อนนะเว้ย คนจะนอน”  0.0
ก็นั่นแหละฮ่ะ คือครั้งสุดท้ายที่เราได้ลุกมาเปิดพัดลมเอง...

กำลังจะคล้อยหลับได้ เราได้ยินเสียงคนคุยกัน เป็นเสียงของชายวัยกลางคนสองคนยืนคุยกัน
สติยังไม่ได้ไตร่ตรองดีนัก สายตาก็ลืมขึ้นมาเห็นกลุ่มเงาสองกลุ่มคล้ายมนุษย์อยู่ปลายเท้าของตนเอง
“Shipหายแล้วไง นี่ฝันอีกแล้วหรอ”  ปลอบตัวเองไป 1 ดอก
“เอ้า นั่นไง มันตื่นแล้ว”  เสียงหนึ่งจากกลุ่มเงาทั้งสองนั้นส่งออกมา
“เออ ตื่นก็ดี ทีหลังอย่ามาทำห้องคนอื่นรกสิ ข้าวของวางดีๆหน่อย”  อีกเสียงจากสองเงานั้นพูดเสริม
“...ความฝันจริงๆแหละ เพราะตอนนี้ แน่นอก ขยับไม่ได้ พูดเสียงไม่ออก...อีกแล้ว”

เวลาชั่วครู่อาการก็ดีขึ้น เราลุกขึ้นจากเตียงนอน เหงื่อท่วมตัว ด้วยที่ยังเชื่อว่าฝันเลยกำลังจะเอื้อมไปเปิดพัดลมที่หยุดทำงานอยู่
แต่เจ้าพัดลมก็ใจดี เปิดทำงานด้วยระบบอัตโนมัตซ่ะงั้น  -_-“

เรื่องราวของคืนนั้นก็จบลงตรงที่เช้าวันต่อมา “เราขอบตาดำ”  แต่ยังไม่วายครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้ยินเมื่อคืน
เลยเดินไปยังห้องนอนอีกห้อง ที่เราใช้เป็นห้องเก็บของ เราว่าของกันระเกะระกะจริงๆ โดยเฉพาะตัวเราเอง
ที่เอากุงเกงในไปแขวนตากไว้กับมุ้งลวดหน้าต่าง  *-*
เราเลยนำข่าวนี้ไปบอกเพื่อน “เมิงๆๆ ของห้องนู้นเราเก็บกันดีๆหน่อยมั้ย เขามาเข้าฝันกูว่าเขาไม่ชอบอ่ะ”
ด้วยความที่พรรคพวกเราเป็นคนเข้าใจเรื่องพวกนี้ง่ายๆ เพราะมันกลัวกัน เลยยอมทำทุกอย่างเพื่อจะให้ไม่เจอ
เลยไม่มีใครสงสัยอะไร จะมีก็เรานี่แหละ เพราะคนมันเซอร์ติสอะนะ ฮิปสเตอร์ใครเค้าเก็บของดีๆกันห๊ะ !!
(แต่ก็เก็บเป็นระเบียบขึ้นมาหน่อยนึงนะ)

เรื่องราวก็ดำเนินต่อไป ดำเนินบ่อยๆ กับเหตุการณ์ซ้ำๆเดิม ที่เราจะต้องรู้สึกอึดอัดในกลางดึก แล้วตื่นมาเจอคน(มั่ง) ยืนคุยกันอยู่ปลายเท้า
จนมีคืนหนึ่ง เราตื่นขึ้นมา หยิบหนังสือสวดมนต์ที่มักจะพกติดตัวเวลาไปไหนมาไหนไกลๆแล้วต้องค้างแรม
เราก็สวดมนต์ไป เพื่อนก็หลับหมดสติไป 1 อีก 1 หนีกลับไปนอนบ้านญาติ
บทสวดก็ดำเนินไปในความมืด (อย่างงว่ามองเห็นได้ไง หัวเตียงเป็นหน้าต่าง คืนนั้นพระจันส่องลงมาพอดี)
และบทสวดก็ดำเนินไปพร้อมกับ เสียงบทสวดอีกเสียงหนึ่ง...
เราเริ่มท่องผิดท่องถูกเพราะความกลัว และเสียงนั้นก็แลดูจะชอบใจที่เรากระสับกระส่ายแบบนี้
เหมือนจะสาแก่ใจได้สมอารมณ์หมายแล้ว ...”ท่องแบบนี้อย่าท่องเลย ฮ่ะๆๆฉ่าๆๆๆ”  และแล้วทุกอย่างก็จบลง...จบลงไปอีกคืน

ก่อนจะไปถึงจุดสุดยอดกัน มาถึงจุดบิ้วอารมณ์กันอีกสักนิดดีกว่า
กาลครั้งหนึ่งของการฝึกงานในครั้งนี้ เราได้ก่ออาชญากรรมครั้งใหญ่อยู่ครั้งหนึ่ง โดยการ “โดดฝึกงานไปเที่ยวกลางคืนฮ่ะ” *-*
ก็นะ มาถึงถิ่นแล้ว จะไม่เที่ยวให้ถึงที่หน่อยหรอ แถมรุ่นพี่ที่สนิทๆกันเขาก็อยู่ใกล้ๆนี่เอง
โทรคุยกันเสร็จสรรพ  นัดเวลากันเรียบร้อย ถึงเวลาปุ๊บ รถมารับปั๊บ

(แต่ก่อนไป เราได้เพิ่มข้อหาให้ตัวเองด้วยอีก 1 กระธง คือการติดสินบนเจ้าพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ประตูทางเข้าหน่วยงาน
ด้วยกระทิงแดง 1 ขวด และกาแฟเย็น 1 กระป๋อง แถมยังแอบขอให้เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยบอกให้เขาอย่านำเรื่องนี้ขึ้นรายงานต่อผู้บังคับบัญชา และขอให้เขาอย่าล๊อกประตูทางเข้าเล็ก เพราะเราคงจะกลับมาดึกหน่อย แต่ไม่เกินเที่ยงคืนหรอกครับ หุหุ)

เราได้ไปท่องเที่ยวในตัวเมืองยามวิกาลครับ พี่เราก็พาไปยังร้านชื่อดังของจังหวัดนี้ ไปกันหลายที่เลย
เพราะถือว่าพาเรามาเปิดหูเปิดตา เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ และทริปตลอนยามวิกาลของเราก็ไปจบลงที่ร้านบะหมี่ร้านหนึ่ง
และเวลา ณ ตอนนั้นก็ 01.30 น.  โดยประมาณ!!
กว่าเราจะถึงประตูทางเข้าที่ฝึกงานเราก็ปาเข้าไปตี 2 กว่าแล้ว โอเคครับ ไม่เป็นไร ลูกผู้ชายกล้าทำกล้ารับ
แต่อย่างน้อยเราติดสินบนเจ้าพนักงานไว้แล้ว เขาคงมีความเห็นใจลดหย่อนโทษให้ หรืออาจจะเรียกใต้โต๊ะเพิ่มเราก็คงต้องยอม

ประตูใหญ่ล็อกแน่นสนิท ถือว่าปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมเลยนะคุณลุง
ประตูเล็กก็เช่นกัน “ล็อกแน่นสนิท”  เห้ย !!!  ลุงงงงงงงงงงงง  ...ไหงงี้อ่ะ ?
หรือเพราะเรากลับผิดว่าตามที่ทำสัญญานัดหมายกันไว้ ลุงคิดว่าเรากลับมาแล้ว อาจจะมาล็อกไว้ก็ได้
แต่ไม่เป็นไรป้อมยามอยู่หลังรั้วนิดเดียวเอง ตะโกนเรียกลุงที่อยู่ข้างในก็ได้
“ลุง ลุง ! ลูงงงง” !!  เรียกอยู่หลายครั้ง ไม่มีเสียงคนตอบรับ แต่เอ๊ะ หรือลุงจะไปเข้าห้องน้ำ เพราะเสียงวิทยุก็เปิดอยู่
รอแปบนึงก็ได้......หลายแปบผ่านไปไว้เหมือนโกหก ยุงเอย ง่วงอีก ไม่ไหวแระ ลองเอาก้องหินปาไปที่ป้อมดูซิ
หินหลายลูกได้ถูกส่งผ่านแรงเหวี่ยงที่ได้องศาไปกระทบกับตัวป้อมยามหลายครั้ง พร้อมกับเสียงเรียก “ลุงๆๆ”
แต่ก็หามีวี่แววของการตอบกลับ จะโทรปลุกเพื่อนก็เกรงใจ แถมโทรไปตอนนี้ มันต้องยกโขยงกันมาแน่
เดี๋ยวเสียงดัง คนอื่นจะรู้เข้าอีก ครั้นจะปาหินแรงๆให้กระจดแตก เดี๋ยวลุงก็จะได้เลือดเอา
เอาไงดีว่ะ !!  เอ้า  !!   ... “ปีนรั่วแม่มมม”  !! ...จบเกม

ข้ามมาได้ เราเดินไปดูลุงซะหน่อย ห่วงว่าจะเป็นอะไรหรือเปล่า พอเข้าไปใกล้เท่านั้นแหละ เสียงวิทยุที่เราได้ยิน
มันเป็นเสียงหายใจและเสียงกรนของลุงนี่เองงงงงงงง  (คิดถึงเสียงจากรายการทีวีแชมป์เปี้ยนไว้นะ)
โถ่ๆๆๆๆๆ  ลุงงงงงง  ทั้งกระทิงแดง ทั้งกาแฟ มันทำอะไรต่อความง่วงของลุงไม่ได้เลยช่ายยยม่ายยยยย !! *-*

เรื่องการแอบหนีไปเสเพลของเราในครั้งนี้ คงจะมีแต่เราที่มีความสุขอยู่ฝ่ายเดียว เพราะเพื่อนๆที่อยู่บ้านมันคงไม่สนุกด้วย
ในเช้าของอีกวัน ที่เราก็แฮงค์พอตัว เพราะนอนน้อย

เพื่อน ญ1 : เมื่อคืนเมิงกลับมากี่โมง ?
เรา : ก็เข้าบ้านได้ก็ตี สองกว่าแล้วมั่ง
เพื่อน ญ1 : อ่าวไม่ได้กลับมาตอนเที่ยงคืนหรอ ?
เรา : ป่าว เที่ยงคืนยังไม่ออกจากร้านเลย
เพื่อน ญ1 : แต่กุได้ยินเสียงคนเดินไปมา เข้าห้องน้ำบ้าง เดินกลางบ้านบาง เห็นเงาลอดรูใต้ประตูห้องด้วยนะ
(เราเปิดไฟห้องน้ำกันทิ้งไว้ และประตูห้องน้ำ กับประตูห้องนอนหญิงตรงกัน)
เรา : ม่ายอ่ะ เมิงดูเวลาผิดมั่ง แล้วก็ก็เข้าห้องน้ำรอบเดียวก็มาล้มตัวลงนอนเป็นตายแล้ว
เพื่อน ญ1 : แต่กูยังไม่นอน กูดูโทรศัพท์อยู่ กูเห็นจริงๆนะ ใช่มั้ยเมิง เมิงก็ยังไม่นอน เมิงได้ยินคนเดินมั้ย ?
เพื่อน ญ2 : ...อืม กูได้ยิน แต่กูไม่พูด เมิงหยุดพูดเหอะ
เรา เพื่อน ญ1 และเพื่อน ญ2 :  ................................
เพื่อน ช1 : เมื่อคืนกูฝันเห็นมีผู้หญิงเดินไปมาอยู่ในบ้านหว่ะ !!
เรา เพื่อน ญ1 เพื่อน ญ2 และเพื่อน ช1 :  .....................................................................


จะจบแล้วจร้า พักเดี๋ยวนึงนะคร้าบบบบบ


-------------------------------------------------

อีกเรื่อ ต้องขอย้ำอีกทีว่าเป็นครั้งแรก ของจุดเริ่มต้นประสบการณ์สยองในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะค่อนข้างชัด และมีที่มา
และขอบอกเลยว่า อีกเรื่องจะมาพร้อมสรุปเหตุการณ์นะ คงต้องใช้เวลาสักพักเหมือนกัน เพื่อให้กระทู้นี้มีสาระบ้างไรบ้าง
เอ้า ! อย่ามัวแต่พิรี่พิไร มาต่อกันให้หมดเรื่องหมดราวของเรื่องนี้กัน.... ไป !



....หลายครั้ง เราก็ได้แต่เฝ้าถามตัวเองว่า "สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเรามันคือความจริง หรือแค่ฝันไป" ?
ครั้งนี้ก็เช่นกันที่ทำให้เราต้องตั้งคำถามเหล่านั้นให้กับตัวเอง...และมันทำให้เราได้เรียนรู้ความจริงที่ว่า "เราไม่จำเป็นต้องพูดในทุกสิ่งที่เราสัมผัสได้"

เรื่องราวต่อไปนี้ เราเองก็ไม่ได้เล่าสู่ให้เพื่อนที่ไปฝึกงานด้วยกันฟังจนหมด อาจจะเล่าแค่ประปราย
อาจจะเพราะว่า สิ่งที่เราเจอ เราอาจจะเพ้อฝัน หรือแค่คิดไปเอง แต่นั้นก็คือความทรงจำของเราที่เกิดขึ้น ณ เวลาที่ได้อยู่ที่นั่น

ครั้งเมื่อเราออกไปที่ระเบียงหน้าบ้าน เพื่อจะตากผ้าต่อจากเพื่อนหญิงอีกคนหนึ่ง ผมพบหญิงสาวคนหนึ่งยื่นอยู่ตรงหัวกระไดบ้านเราไม่รู้ว่าเธอคือเราไม่รู้ว่าเธอคือใคร แต่ที่รู้ได้แน่ชัดเลยคือ เธอคงไม่ใช่มนุษย์แบบเราๆ ...แค่อาจจะเคย
เรายืนอึ้ง หลับตา ลืมตาขึ้นมาเธอก็ได้หายไปแล้ว เราอาจจะตาฝาด แต่เราก็ต้องตากผ้าให้เสร็จเพียงลำพัง และมองพี่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งปั่นจักรยานผ่านไปพร้อมยิ้มให้เรา
(หากอ่านมาแต่ก่อนหน้าคงหาจุดเชื่อมโยงกันได้เนอะ)

แต่นั้นก็ไม่ได้สร้างความหลอนให้เราเท่าไหร่ เพราะเราคิดว่า หากสิ่งใดไม่ทำร้ายเรา สิ่งนั้นไม่ว่าจะเป็นอะไร เราก็ไม่เห็นต้องไปเกรงกลัว
แต่ไอ่สิ่งที่มันมาก่อความลำคาญให้เรานี่สิ "เอาไงกับมันดีว่ะ" ?

เรื่องราวของสองหนุ่มที่เราที่เรามักตื่นมาเจอนั้น ก็ช่างเล็กน้อย หากแต่เราอาจจะไปทำอะไรให้ทั้งสองไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ทั้งสองเลยมอบบทเรียนให้กับเราซะอย่างเข้มข้น !

ในดึกคืนสุดท้ายของการฝึกงาน ค่ำคืนสุท้ายที่เราจะได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ ...การเลี้ยงส่งได้เริ่มต้นขึ้น

แต่ก่อนอื่น ก่อนที่จะไปดราม่าหลอนสยองขนหัวลุกกันทั่วหน้า  ช่วงนี้ขอบขอบคุณผู้มีอุปการะคุณก่อนแระกัน
ขอบคุณพี่ๆเจ้าหน้าที่ศูนย...ทุกคน ที่ได้มอบความรู้ สั่งสอบประสบการณ์ ถ่ายทอดวิชาให้แก่เราและชาวคณะ
ทั้งเรื่องในสายการงาน ทั้งเรื่องการใช้ชีวิต และอื่นๆที่ได้มอบให้ ไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียวส้มตำไก่ย่าง และการช่วยเหลืออื่นๆ
ขอบคุณเพื่อนๆที่ไปร่วมชะตากรรมด้วยกันทุกคน ที่ทนและรับอารมณ์อันแปรปรวนของเราได้ อินดี้ไปหน่อย "แต่กูก็รักพวกเมิงทุกคนนะ รู้ยัง"
...หมดช่วงขายสปอนเซอร์

...ในดึกคืนสุดท้ายของการฝึกงาน ค่ำคืนสุท้ายที่เราจะได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ ...การเลี้ยงส่งได้เริ่มต้นขึ้น...

คืนนี้อาจจะเพราะความที่ปากไว้ของเราเองที่ไปท้าทายสิ่งที่ไม่ควรไปล้อเล่น
"เห้ยไอ่น้อง คืนนี้คืนสุดท้าย ระวัง "เค้า" จะมาจัดส่งท้ายให้เอ็งนะเว้ย 5555+"  พี่ที่ช่วยดูแลเราพูดขึ้นหลังปาร์ตี้ส้มตำไก่ย่างเลี้ยงส่งจบลง
"เอาเลยพี่ อยากคุยด้วยอยู่พอดี 5555+"  ปากเก่งแต่กับผีแหละเรา เหอะๆ ไม่น่าเลยตรู

เราปาร์ตี้กันในช่วงเที่ยง และบ่ายพี่ๆก็ปล่อยให้เรากลับไปจัดเก็บข้าวของ พร้อมทำความสะอาดบ้านและบริเวณโดยรอบอีกครั้ง
เราไม่ได้ทำความสะอาดหรือเก็บของเท่าที่ควร เพราะพรุ่งนี้คนที่จะมารับเรากลับมาตั้งบ่ายแหน่ะ
เลยทำให้เราปาร์ตี้กันเองส่งท้ายนิดหน่อย ทำสุกกี้กินกัน (ป่าวว่ะจำไม่ถนัด) แต่ที่จำได้คือคืนนั้นเราดื่มกันนิดหน่อย (นิดหน่อยจริมๆนะ!)
และความหฤหรรก็ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อทุกคนเริ่มแยกย้ายกันไปนอน...

เราน่าจะนอนเป็นคนสุดท้าย เพราะซื้อไอเทมสำหรับปาร์ตี้มาเยอะสุด แถมยังมีออกไปสูบบุหรี่มองดูบรรยากาศส่งท้ายก่อนจากลา
และก็กลับมานอน...

...นอนไปได้ยังไม่ทันไรก็เริ่มด้วยความฝัน ฝันที่ยังจำได้ เธอเรียกผมออกไปพบเจอกัน
ในฝัน เธอยืนเรียกชื่อเราจากนอกประตูบ้าน และเราก็ตามออกไปหาเธอโดยไม่ระแวงอะไร เธอพาเราเดินไปรอบๆบ้าน และพามาส่งที่หน้าประตูบ้าน
ในฝัน เราจำได้ว่าเราล้มตัวลงนอน และเราก็ต้องตื่น !! ...เพราะความรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกมันมาอีกแล้ว !!

เราขยับตัวไม่ได้ ชายสองคนยืนจ้องมองเราอยู่ แล้วเขาทั้งคู่ก็หายไป
เราสะดุงตื่นด้วยความตกใจ อาจจะดื่มไปพอประมาณ แต่ก็ใช่ถึงขั้นขาดสติจนไม่รับรู้ และไตรตรองอะไรไม่ได้
เราหยิบหนังสือสวดมนต์คู่การ (ที่ได้มาจากอาจารย์ท่านหนึ่ง) ขึ้นมาสวด นำสร้อยพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พกพามาด้วยขึ้นมาประดับกาย
แต่แล้ว พวกเขาก็มาสวดร่วมกับเรา ก่อนจะนำพาเราไปในมิติของพวกเขา...

"ท่องมนต์แค่นี้ ไปเล่นด้วยกันดีกว่า"   นั้นคือคำกล่าวที่เราจำได้ ก่อนที่เราจะไม่สามารถควบคุมร่างกาย หรืออาจแค่สติของเราได้

เราออกมายื่นอยู่นอกบ้านพร้อมชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่ง พวกเขาพูดคุยกับเรา และชี้ให้เรามองไปยังที่เกิดเหตุ
เล่าถึงเหตุการณืที่แต่ละคนประสบพบเจอมาก่อนที่จะมาเป็นสัมพเวสี
ใช่ครับ พวกเขาไม่มช่คน พวกเขาต่างเล่าถึงจุกจบของชีวิตความเป็นมนุษย์ของตนเอง ในจุดที่เหมือนกัน ในต้นเหตุเดียวกัน
"ความประมาท"  ที่ทำให้พวกเขามาเป็นแบบนี้ แถมยังทิ้งท้ายด้วยว่า...

"ไม่มีอะไรช่วยเอ็งได้ นอกจากสติและปัญญาของตัวเอง" !!

ชายคนหนึ่งในกลุ่มว่าไว้ พร้อมบอกต่อ..."เข้ามาอยู่ในโลกของพวกกูแล้ว อยู่ด้วยกันเถอะ เมิงจะออกไปไง"  ?

คำว่านึกถึง "พ่อแก้วแม่แก้ว" คงต้องนำมาใช้ในเหตุการณ์นี้จริงๆ เพราะเผลอแปบเดียว เราออกมายืนอยู่ข้างถนนนอกสถานที่ฝึกงานแล้ว
แต่ก็ไม่วายที่จะไว้ลายสบถ... "พวกเมิงเป็นใคร ตรูไปทำอะไรให้ จะมาเอาตรูไปอยู่ด้วย เดี๋ยวตรูจะสาปแช่งให้ไม่ได้ผุดได้เกิดเลย"
เท่านั้นแหละครับ กลุ่มคนเหล่านั้นได้แปรสภาพไปเป็นรูปแบบ...ที่เขาก่อนจะตาย   "คำว่าสยองคงน้อยไป"
สำหรับจินตนาการในตอนนั้น (สำหรับคนที่ไม่เชื่อนะ) สยองในแบบที่ แม้จะดูหนังผีมามากมาย ยังไม่น่ากลัวเท่านี้ เพียงแต่...

"ไอ่หนุ่ม ! ไอ้หนุ่ม กลับมาบ้านเรา..."  เสียงชองชายสองคนที่เรามักได้ยินเขาคุยกันอยู่ในบ้านดังขึ้น

เราวิ่ง วิ่งอย่างสุดชีวิตเท่าที่จะวิ่งได้มายังบ้านของเรา ตามหลังคือเสียงหัวเราะสะใจในสิ่งที่พวกเขาๆได้ทำ
เธอคนนั้นก็ยังยืนอยู่ตรงระเบียงบ้าน

...ภาพตัดไป เราตื่นขึ้นบนที่นอนของตัวเองในบ้านอีกครับ พร้อมกับชายสองคนที่ยืนอยู่ (ยังไม่หมดอีกหรอว่ะ?).
"เอ็งอย่าไปเล่นกับพวกแม่มมมม อีกนะ มันไม่ใช่คนดี"

นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่เราจะตื่นขึ้นอีกครั้งด้วนเหงือที่ชุมตัว และอาการงุนงงกับเหตุการณ์ที่ได้ฝันไป...หรอ ?

เช้ามาที่เราตื่นนอน เพื่อนๆต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน "เมื่อคืนนอนไม่หลับเลย เหมือนมีใครมาทำอะไรในบ้านเต็มไปหมด"  !!


เราแยกย้ายกันกลับที่พักหลังจากเช้านั้น...และมวลมหาประชาชนน้ำก็ได้เิดทางมาถึง กทม. ในคืนนั้น ที่ผมนั่งรถกลับบ้านนอกไปแล้ว

...the end

...นำชวด

-----------------------------------------------

...โรงพยาบาลแห่งนี้ เป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดที่เราจะท่องเที่ยวในวันถัดไป
คณะทัวร์ต้องมาส่งเราหาหมอ เพราะเรามีทั้งอาการอาเจียน และไข้ขึ้นสูง
การดำเนินการของโรงพยาบาลก็ดำเนินไปตามปกติ รอคิว ทำประหวัด วัดไข้ สอบถามอาการเบื่องต้น และนำไปสู่การรักษา
เราถูกนำตัวไปที่ห้องฉุกเฉินเพื่อทำการฉีดยา ขอบอกว่าครั้งนั้น เราเพลียมาก เพราะไม่ได้ทานอะไร ทานไปก็อ้วกออก แถมมีไข้
หมดลงความเห็นให้ยาลดไข้แก่เรา ระหว่างเตรียมการฉีดยา หมอและพยาบาลก็พูดคุยกันตามปกติ
แล้วพยาบาลก็เดินออกจากห้องไปด้วยธุระจำเป็นบางอย่าง (เราสังเกตุได้ถึงความวุ่นวายหลังฉากกันในห้องฉุกเฉิน)
หมอลงมือแทงเข็มลงไปบนเนื้อสะโพกของเรา ...เพียงชั่วครู่ที่หมอกำลังบรรจงกดเข็มลงไป  "คุณหมดค่ะ มานี่ด่วนค่ะ"  !!
เสียงตะโกนจากหลังฉากกัน หมอรีบปล่อยมือและหันกลับไป เดินไปยังที่มาของเสียง
หลายครั้งที่เราถูกฉีดยา หลังก็ฉีด หมอหรือพยาบาลต้องนำสำลีมากดไปบริเวณที่ฉีบ เป็นสัญญาบอกว่าการฉีดยาได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
แต่เอ๊ะ !! คราวนี้ทำไมหมดไม่เช็ดตูดให้เรานะ ? หันกลับไปมองยังบริเวณจุดเกิดเหตุที่ตูดตัวเอง...

"หมออออออ !! หมอลืมเอาเข็มออก แถมยายังฉีดออกไม่หมดเลยยยยยย"  !!

ชั่วอึดใจในความตกใจ พยาบาลวัยกลางคนได้เดินเข้ามา แล้วจับเข็มขึ้นเพื่อนำยาเข้าสู่ร่างกายเราจะหมดเข็ม นำสำลีมากด แล้วถูๆๆ *-*
เสร็จสิ้นกระบวนการรักษา !  (ฟ๊ากกกกกกก เมิงลืมกันอย่างนี้เลยหรอ !!)

(ขอบ่นนิดนะ หากชีวิตของเราในชาติที่แล้วมีจริง เราคงเคยไปเผาโรงบาลหรือฆ่าหมอพยาบาลตายแน่ๆ ชาตินี้ข้องเกี่ยวกันที่ไร บรรลัยเกิดทุกที)
-_-


มาเข้าเรื่องกันต่อ...
...หลังจากออกจากโรงพยาบาลและพ้นจากหมอใจดำอำมหิต ทางครอบครัวก็ได้เดินทางไปหาที่พักค้างแรมสำหรับคืนนี้
คาดว่าทางจังหวัดคงได้รับการตอบรับจากคณะทัวร์รับปริญญาครอบครัวอื่นเช่นกัน ทำให้หาโรงแรมกันได้ลำบากยากเข็น
จนกระทั่งเรามาพบโรงแรมแห่งหนึ่ง เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างเก่า (เหมือนเรื่องอื่นๆเนอะ)
เก่ายังไง ก็มันเก่าอ่ะ การปูพื้นกระเบื้องยังเป็นสไตล์กระเบื้งแผ่นเล็กๆอยู่เลย ลิฟท์ยังไม่มี คือบอกได้ว่าเก่า
และที่สำคัญ เหลือห้องอยู่ 3 ห้อง สองห้องแรกติดกัน อยู่ชั้น 3 อีกห้องอยู่ชั้น 5 แถมเป็นห้องเล็ก
ห้องเล็กไม่เพียงพอต่อพวกเรา (ตั้งใจจะเปิด 2 ห้อง แยกชายหญิง) จะเปิด 3 ห้อง ก็เกินงบ (ครอบครัวค่อนข้างตระหนี่เล็กน้อย)
แต่ทางพนักงานโรงแรมพยายามขยั้นขยอให้เราไปใช้ห้องชั้น 5 ทั้งๆที่เราต้องการห้องใหญ่ที่ติดกัน

"ห้องมันเก่าครับ ห้องนั้นไม่ได้ใช้มานานแล้ว แม่บ้านก็ไม่ได้ทำความสะอาด เพราะทีวีมันเสีย นู้นนี่ บลาๆๆๆ"
หลากหลายเหตุผลที่พยายามยกให้ฟัง แต่ทางเราก็ยังยืนยันที่จะพักห้องใกล้ๆกัน (เป็นไง เข้าเค้าตามที่เคยได้ฟังกันมามั่งมั้ย?)
จนแล้วจนรอดพนักงานก็เลยยอม ยอมพาพวกเราขึ้นไปดูห้องก่อน ว่ารับได้ไหม

เพียงเปิดห้องมา กลิ่นฝุ่นกระแทกหน้าคนป่วยสติเลือนลางอย่างเรามากๆ สภาพห้องถ้าไม่นับเรื่องกลิ่นอับถือว่าอยู่ในสภาพเรียบร้อยตามมาตรฐานห้องพักของโรงแรมทั่วไป เพียงแต่คงไม่มีคนเข้ามาใช้บริการห้องนี้นานแล้ว
ญาติผู้ใหญ่ของเราทำหน้าตาแปลกๆกัน โดยเฉพาะลุงคนโต ที่แสดงสีหน้าไม่ค่อยพอใจกับห้องนี้ (ลุงคนนี้ค่อนข้างจะมีเซ็นต์ครับ)
ส่วนทางฝ่ายหญิงยิ่งแล้วใหญ่ พอขึ้นมาดูสภาพโรงแรมภายในแล้ว ก็ยืนยังว่า ถ้าไม่ได้ห้องติดกันไม่ยอม ฝ่ายชายจึงจำใจยอม
โดยพนักงานก็ต้องจำใจเหมือนกัน (ทำไมไม่ย้ายโรงแรม ก็อย่างที่บอก ทุกคนเหนื่อย และก็ดึกมามากแล้ว)

ลุงเราขอไม้กวาดและไม้ถูพื้นจากพนักงาน เพื่อขอทำความสะอาดห้องเอง เวลาก็จวนไปดึกมากพอแล้ว เลยจะช่วยกันทำเอง
เราไปรออยู่อีกห้อง จนเสร็จสิ้นการทำความสะอาด เราจึงได้เข้าไปในห้องนั้น
อาการของเราดีขึ้น ตัวไม่ร้อน แต่มีอาการเพลีย และคงมึนฤรธิ์ยา
เรานอนพักรออาบน้ำ มองเห็นว่าลุงคนโต กำลังยืนสวดมนต์อยู่หน้าทีวีที่แขวนลงมาจากเพดาน แล้วนำสร้อยวัด (พระหลายองค์ เลยเรียกว่าวัดเลยแระกัน) ไปห้อยกับที่แขวนทีวี

ถึงคิวเราอาบน้ำ เราอาบน้ำแบบมึนๆ แต่อยากให้ตัวสดชื่นขึ้นเลยจำเป็นต้องอาบ เสียงลุงข้างนอกคุยกันเสียงดังพอที่เราจะรู้เรื่อง
"ไอ่ห้องนี้มันต้องมีอะไรแน่ๆ เข้ามาแล้วรู้สึกไม่ได้เลย" ...

เราชำระร่างกายจนเสร็จ กำลังจะป้วนปาก ขณะที่จะก้มลงไปนั้น ในกระจกเรามองเห็นญิงสาวผมยาว ยืนหันหลังให้กับกระจกอยู่
ภาพเห็นด้วยสายตา แต่สติคงพิจารณาช้าไปหน่อย เพราะป้วนปากเสร็จเราถึงจะตกใจ หันกลับไป พอแต่ผ้าเช็ดตัวที่ห้องอยู่
อืม...อาจจะตาฟาด...

เราอาบน้ำเสร็จสรรพ เตรียมตัวเข้านอน ลุงคนนึงหลับไปแล้ว ที่เหลือกำลังจะหลับตาม และลุงคนโตกำลังจะเข้าไปอาบน้ำต่อ
ช่วงเวลาที่กำลังจะคล้อยหลับไป เสียงลุงคนโตเปิดประตูห้องน้ำก็ทำให้เราลืมตาไปมองยังต้นเสียง
ลุงไม่ได้ออกมาจากห้องน้ำเพียงลำพัง ในห้องน้ำ มีหญิงสาวอีกคนยืนอยู่ แต่ด้วยความเบลอของสติ ไม่คิดสนใจนอนต่อไป...

...จนเช้า เสียงคนคุยกันปลุกเราตื่น ลุกคนนึงกำลังบ่นให้ทุกคนฟังเกี่ยวกับความฝันของตน เล่าไว้ว่า...
"เมื่อคืนฝัน ฝันว่ามีผู้หญิงชวนไปเข้าห้องน้ำ ชวนไปทำทะลึง ผู้หญิงผมยาว"  ลุงคนนั้นเล่าความฝันของตน
"อืม มันออกมาไม่ได้ เห็ฯมันอยู่ในห้องน้ำตอนที่เราเข้ามาแล้ว เลยเอาพระมาห้อยไว้"  ลุงคนโตพูดเสริม

ด้วยความที่อาการดีขึ้นจากการรับยา สติเริ่มมาปัญญาเริ่มเกิด  "เมื่อคืนกูเจอผีนี่หว่า"  !!!

หลังจากเล่าให้ลุงๆป้าๆฟัง ท่านก็บอกว่า เราป่วย จิตเราคงอ่อน เลยทำให้เห็น ดีนะมันไม่ทำอะไร
และหลังจากเหตุการณ์นั้น ลุงก็มาเล่าให้ฟังว่า ตอนจ่ายเงินได้คุยกับเจ้าของโรงแรม เจ้าของโดรงแรมตกใจ ที่เราเปิดใช้ห้องนั้น
เพราะห้องนั้นปิดมาซักระยะแล้ว เพราะเคยมีเหตุการณ์ที่มีคนลวงเมียน้อยมาฆ่าเพื่อปิดปาก แต่ก็นานมาก จนเปิดใช้
แล้วมีลูกค้าบ่นว่าเจอผี เลยปิดใช้ไป ......เนื่อเรื่องคุ้นๆมั้ย (แต่ไม่ได้แต่งนะ นี่คือภาพจากความทรงจำจริงๆ)

จบแล้วครับ สำหรับเรื่องราวประสบการณ์สยองขวัญที่เคยพบผ่านมาในชีวิตก่อนหน้านี้

-------------------------------------

สวัสดีอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง อมยิ้ม01


ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม ที่อ่าน ทุกๆคนเลยนะครับ ทั้งที่ชอบอ่านเรื่องราวเหล่านี้อยู่แล้ว หรือตามๆกันมาอ่านเอาความสยอง
ก่อนตั้งกระทู้นี้ เราเองก็บ้าหาอ่านเรื่องราวแนวนี้มาพักใหญ่ๆแล้ว และก็ชั่งใจอยู่นานว่าจะถ่ายทอดเรื่องราวของตนเองบ้างดีหรือไม่
เหตุที่ต้องชั่งใจเพราะ ปัจจุบันกับตอนนั้น ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เราค่อนข้างต่างกันมาก
และ ณ ตอนนี้เราก็พยายามหาเหตุผลมาตอบสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราได้แล้วพอสมควร เพราะอะไรเราจึงต้องหาเหตุผลมาอ้างแทนมัน
ทั่งที่เราจะเชื่อว่าเพราะ "ผี วิญญาณ หรืออะไรก็แล้วแต่" ที่เราพบเจอว่ามันมีจริงก็ได้ แต่หาก มันยังมีข้องสงสัยตามสไตล์เด็กขี้สงสัยไงว่า...

"ทำไมผีต้องมาตอนเราสติไม่ครบ ทำไมเราไม่สามารถคุยกับผีได้อย่างจริงๆจังๆ ทำไมเขาไม่มาคุยกับเราดีๆ"  และอื่นๆมากมายหลายคำถาม
เช่น "พวกเขากินอยู่นอนยังไง พวกเขาใช้ชีวิตกันยังไง แก่เฒ่ากันบ้างมั้ย แล้วจุดจบของพวกเขาจะเป็นอย่างไร"  ??

มันก็น่าคิดนะ ว่าทำไมคนอื่นไม่พบเจออย่างที่เราเจอมั่ง (จะได้เข้าใจความรู้สึก ณ ตอนนั้น)
และมันก็น่าคิดว่าทำไมบางคนถึงพบเจอ เจอแล้วเจออีก หรือไม่เจออีกเลยเหมือนเรา

เราไม่ได้จะพยายามบอกว่า "ผีไม่มีจริง"  เราเชื่อว่ามันต้องมีแหละ ไม่งั้นคนทั่วโลกไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับปรากฏการณ์แนวๆนี้กันหมดหรอก
หรือแค่เพราะมันเป็นจินตนาการที่เรายังไม่เข้าใจมัน ทำให้เรายังยอมรับการมีตัวตนของมันไม่ได้

เราเคยหลงในอุดมคติที่เชื่อเรื่องเหล่านี้อยู่นาน เลยเถิดไปจนถึงคิดว่า "ตนมีพลังที่จะสื่อสารและรับรู้พูดคุยได้" แต่นั้นมันก็แค่ช่วงเวลาหนึ่ง
ที่ความรู้ และปัญญาไม่มากพอ เราสงสัยในความเป็นผีหลายๆอย่าง

สงสัยว่าเจ้ากรรมนายเวร ทำไมต้องจองกรรมจองเวรกัน หากสัจธรรมมันคือ หากอีกฝ่ายเคยกระทำต่ออีกฝ่าย มันต้องเอาคืน งี้หรอ ?
สงสัยว่าทำไมต้องหลอก ต้องหวงที่ หวงสมบัติ ทั้งที่เป็นผี ใช้ชีวิตอยู่ก็นาน ทำไมไม่รู้จักปล่อยวาง หรือเวลาในโลกนั้นจะหยุดลงหลังจากตายไป ?
สงสัยว่าผูกมัดตัวเองอยู่กับสิ่งที่คิดก่อนตาย ทั้งๆที่ถ้าเป็นผี จากที่เคยได้ยิน มันจะไปไหนมาไหนก็ได้หนิ ?

หรือเพราะจากเหตุผลที่พอจะรวบรวมได้...
พวกเขามีพลังไม่มากพอ บุญน้อยเกินไป บาปกรรมยังมี ทำให้สื่อออกมาได้แค่นั้น ?


คือมันก็น่าคิดนะ โดยเฉพาะกับคนที่เชื่อ และกลัวเรื่องราวเหล่านี้

เอาหล่ะเรื่องนี้พับเก็บไปเถอะ สิ่งที่อยากบอกก็คือ...

"ไม่ว่าคุณจะเชื่อว่าอย่างไร ไม่ว่าคุณจะเกรงกลัวผีแค่ไหน แล้ววันหนึ่งคุณมีเหตุจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่าง แล้วเรื่องราวเหล่านี้กลายเป็นอุปสรรค์ของการดำเนินการสิ่งนั้น คุณครวต้องคิดใหม่แล้วแหละ"  ...ดั่งเช่นตัวอย่างที่เราได้นำเสนอในข้างต้น

เราไม่ได้โกหกเรื่องแต่งเรื่องขึ้นมาแต่อย่างไร อาจจะมีเพิ่มเติมทักษะทางภาษาและลีลาในการเล่าเรื่องอรรถรสในการอ่านบ้าง
แต่เนื้อเรื่อง และภาพเหตุการนี้ เคยเกิดขึ้นจริง แม้จะแค่กับตัวเราเพียงคนเดียวก็เถอะ

มาๆ มาหาเหตุผล และวอเคราะห์กันเป็นฉาก เพื่อลดปริมาณความกลัวที่มีอยู่ในสมองกัน

ก่อนอื่นมาเกริ่นนำกันก่อน ถึงที่มาที่ไปของการให้เหตุผล มันเกิดจากความอยากรู้อยากเห็น อยากจะทำความเข้าใจว่า
"เราสื่อสารกับพวกเขาได้จริงๆหรอ ?"  ทำให้เราศึกษาเรื่องราวพวกนี้อยู่มาก มากพอที่จะไปเปิดสำนักช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผีได้เลยแหละ
แต่ก็และด้วยเรียนสายวิทยาศาสตร์มา ทำให้ได้ใช้หลักการ การหาคำตอบ เข้ามาช่วย ตั้งคำถาม หาข้อมูล ศึกษา ทดลอง แล้วสรุปผล

มันก็มีมากมายหลายอย่างวิธี แต่เราก็ไม่ว่างมากพอที่จะไปทดลองลุยบ้านผี  ไม่กล้ามากพอที่จะไปลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์(ที่คนจำนวนไม่น้อยนับถือ)
ก็ได้แต่รอวันเวลาที่จะพบเจอ พอได้พบเจอ (หลังจากเรื่อง "แอน") เราก็พยายามเพ่งเล็ง พยายามคิด มองให้เห็นรูปร่างที่แท้จริง
ไม่ใช่แค่ว่ารู้สึกว่าเป็นรูปร่างนั้น พอยิ่งมองยิ่งคิด
...การที่เราพยายามพิจารณาอะไรสักอย่าง อย่างตั้งใจ ลบความกลัวออกไปเพื่อให้มีสมาธิกับสิ่งนั้น  สติเราจะเกิดครับ
เรื่องคงมาจากการที่เราไปบวช หนึ่งในเหตุผลคือ "อยากรู้ว่าผีมีจริงไหม" ??
และคิดว่าบรรยากาศของสถานที่บวชของเราคงเหมาะแก่การค้นหาคำตอยนั้น

ปุจฉา : "หลวงลุงครับ ผีมีจริงไหม หลวงลุกเคยเจอป่าว" ?  พระหนุ่มถามด้วยความสงสัยไคร่รู้
วิสัจฉนา : "ใช้สติที่เกิดจากสมาธิไตร่ตรองดูสิ ถามแบบนี้ เคยเจอหรอ " ?  พระพี่เลี้ยงของเราตอบพร้อมคำถาม
"มันก็ไม่มั่นใจครับ เหมือนจะเจอ แต่มันไม่ชัดเจน และควบคุมไม่ได้ คุบกับเขาไม่รู้เรื่องอะ"  เราสรุปเรื่องราวโดยย่อให้พระท่านฟัง พร้อมแสดงทัศนคติที่เป็นเหตุทำให้อยากรู้คำตอบของเรื่องราว
"หลวงลุกก็เจอมาเยอะนะ คนที่มาที่นี่ หลายคนก็บอกว่าหนีผี หนีเจ้ากรรมนายเวร บ้างก็ดีกลับไป บ้างก็หนักกว่าเก่า เอาเป็นว่าลองฝึกสมาธิให้ดีๆก่อน ค่อยๆคิด ค่อยๆนึก"  หลวงลุงตอบ...

เราไม่ได้จะเยินยอปอปั่นตัวเอง ว่าเจริญด้วยปัญญาและสมาธิอะไรหรอกนะ แต่ด้วย ณ ตอนนั้น วันที่อยู่เป็ฯสายวิปัสนา
หนึ่งในกิจของสงค์คือต้องวิปัสนากรรมฐาน เราได้รับคำแนะนำจากหลวงลุงว่า สมาธิที่แท้จริงมันทั้งน่ากลัวและดีนะ
เราผู้ซึ่งขี้สงสัยอยู่แล้ว ยิ่งพูดแบบนี้ ยิ่งไปกันใหญ่ "เอาว่ะ ลองดู แม้จะเมื่อยตูดปวดขาก็ตาม"

...สมองของมนุษย์เราเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มากกว่าที่เราเคยคิดจริงๆ เราไม่แปลกใจเลยที่จะมีคนคิดมากจนฆ่าตัวตาย
หรือคิดมากจนติดอยู่ในวังวนจนเป็นบ้าไป เราไม่มีทางเข้าใจถึงที่มาของอารมณ์ที่เป็นเหตุของพวกเขาเหล่านั้น
แต่เรารู้ว่า เพราะสมอง พร้อมภูมิต้านทานทางปัญญาของคนเรานี่แหละ ที่เป็นเหตุ

เราเคยอ่านงานวิจัยเกี่ยวกับสมองมากมาย ว่าทุกสิ่งที่เราเคยเห็นผ่านม่านตา เคยคิดในห้วงคำนึง ทุกสิ่งอย่าง ทั้งที่เราตั้งใจและไม่ได้สนใจ
มันมีการจดบันทึกไว้ทั้งหมด เพียงแต่เราไม่ได้นำมันมาใช้ และไม่ได้ใส่ใจมัน หรือกระทั่งเราเองไปบอกว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งไม่น่าสนใจ
สมองของเรามันจดจำ ตามคำสั่ง และนำมาใช้งานตามคำสั่ง
ทำไมบางคนอ่านหนังสือเท่ากัน แต่กลับจำ และนำมาเล่าได้ต่างกัน
ทำไมบางคนเห็นเหตุการณ์เหมือนกัน แต่กลับสร้างความรู้สึกคนละแบบกัน
นั่นคือผมของการทำงานของสมอง ที่ผ่านจิตใต้สำนึกที่ถูกขัดเกลาและปลูกฝั่งมาด้วยสิ่งแวดล้อม

เอาหล่ะ อธิบายเชิงวิชาการมันน่าเบื่อ มาดูตัวอย่างผ่านสิ่งที่เราค้นเจอมาดีกว่า...
ต้องยอมรับว่าก่อนบวช จิตใจเราไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะเพิ่งตกงาน และโดนกดดันจากหลายๆสิ่ง ทั้งครอบครัว สังคมรอบข้าง
ทำให้สมาธิในตอนนั้นพาเราไปพบกับ ความอิจฉา เคียดแค้น ดูหมิ่น ความหวัง และความรัก
เราไม่รู้ว่าเรานั่งไปนานเท่าไหร่ แรกๆก็ "พุทธเข้า โทออก" แต่ความคิดเหล่านี้มาได้อย่างไรก็ไม่รู้ และมันพาเราต่อไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด
เรื่องที่ไม่เคยคิดจะจำ ก็ดันนึกขึ้นได้ ทุกเรื่องที่เป็นเหตุทำให้คิดมาก ก็ปรากฏวนเวียนซ้ำๆ
และเรื่องเหล่านั้นก็ผสมผสาน สร้างเป็นจินตนาการของอนาคต ..."เราร้องไห้ออกมา"

แรกๆควบคุมไม่ได้เพราะยังกังวน และคิดมากอยู่ แต่พอด้วยความที่บวช มันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เริ่มปลง และเลิกคิดเรื่องราวเหล่านั้น
และเราใช้สมาธิในการหาคำตอบเรื่องผี
เราพยายามนึกถึงทุกเหตุการณ์ที่พบเจอ มันกลับมา ความทรงจำพร้อมด้วยความรู้สึก ณ ตอนนั้น ขนลุกหวาดกลัว
แต่ครั้งนี้เปลี่ยนไป เพราะเราใช้ความทรงจำ ไม่ใช่จินตนาการแบบตอนนั้น มันทำให้เห็นรายละเอียดว่า ..."ก็ไม่เคยเห็นจะๆว่าเป็นผีหนิ"

มันก็แค่ความรู้สึกพาไป ประกอบกับความทรงจำที่มี ปลุงแต่งด้วยความกลัว สติก็หายไปเพราะความเชื่อ
ทำให้สิ่งที่รู้สึกคือ "เราเจอผี"  มาๆ เอาจากเรื่องที่เล่าๆไปนี่แหละ

1. ในเหตุการณ์อย่างที่เราและเพื่อนพบคนกระโดดลงจากตึกข้างเคียง
เราว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างจะมีที่มาที่ไป เพราะเพื่อนอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวนี้มาก่อน พร้อมด้วยแสงไฟจากป้ายโฆษณาที่เราเล่าไว้
และด้วยความสามารถของสมอง ทำให้เราอาจจะสร้างภาพลวงที่เป็นจริงขึ้นมาในจิตเพื่อคิดเห็นเห็นว่ามีเงาดำๆกระโดดลงจากตึก
2. เรื่องคุณย่า อันนี้ค่อนข้างหนัก เพราะมันมีอาการ "ผีอำ" ด้วย แต่บอกไว้ก่อนเลยว่า ถ้าเราไม่ได้ไปฟังเรื่องของเจ้าที่(ศาล)
และไม่ไปเปิดดูรูป คงไม่ได้เจอกับคุณย่าแล้ว
3. เรื่องที่ฝึกงาน และแอน เราว่าอันนี้มันฝันและเพ้อนะ เพราะทุกครั้ง มักมาจากการพักผ่อนน้อยบ้างแหละ เมาบ้างแหละ โมโหขาดสติบ้างแหละ

บวกกับการที่ชอบดูหนังแนวนี้ อ่านเรื่องราวแนวนี้ ดูรายการนมอวดผีงี้ และด้วยวุฒิภาวะยังไม่พองี้
นา่จะเป็นสาเหตุนะ เพราะพอโตมาทุกวันนี้ เห็นเงาดำ เราหยุด ดูดีๆ เออ มันก็เงานี่หว่า คืออาจจะเพราะความกลัวมันน้อยลง
ด้วยที่ดูหนังบ่อย ในหนังสยองกว่าที่เคยเจอมา มันก็เลยคิดว่า ถ้าเจอจริงๆมันจะสยอง หน้าเละเลือดสาดแบบนั้นมั้ยว่ะ (แอบซาดิส)

จากจุดนี้ เราแค่อยากจะสื่อว่า "หากเจอ ลองพยายามลบความกลัว และลืมว่ามันเป็นผีไปก่อน มองให้ดีดิ ว่ามันเป็นเงาของอะไร หรือแสงสะท้อนของอะไร เลิกคิดถึงเรื่องหนังผีที่เคยดูมาก่อน"

หลายครั้งในทุกวันนี้ที่เราตื่นมากลางดึก แล้วพบว่า เอ๊ะ นั่นใครนั่งอยู่ปรายเตียง พยายามมอง คิด มันก็ขยับนิดๆ เริ่มกลัว เอาใหม่ ไม่หลับตา จ้องดูยิ้ม จะโดนผีหน้าเละเลือดสาดหลอกเอาก็วันนี้แหละ ขอของจริงไปเลย ...อ่าวกรรม เงาพัดลม หรืออื่นๆ

แต่หลายคนคงแครงใจว่า "แล้วผีอำหล่ะ"  !!

อันนี้ มีให้อ่านกันมากมายครับ เรื่องระยะของการนอนหลับ ลองไปอ่านดู ทุกวันนี้บางครั้งเราก็เป็นนะ วิธีแก้ก็ง่ายๆครับ
ทำสมาธิ ตั้งจิตขยับที่ละส่วนดู แต่ระหว่างนั้นอย่าคิดเรื่องผีนะ เพราะระยะที่สติเราตื่น แต่ร่างการยังไม่ตื่นนั้น การทำงานของระบบประสาทยังไม่ฟื้น แถมฮอร์โมนบางอย่างที่ทำงานระหว่างช่วงที่หลับกับตื่นก็ไม่นิ่ง ถ้าคิดไปเรื่อย คราวนี้คุณก็คงโดนผีอำแบบทุกทีแหละ

มันเป็นเรื่องของสติทั้งนั้น ณ ทุกวันนี้ที่เราคิดนะ แต่เหตุการณ์อื่นๆ ที่มันหาคำตอบไม่ได้นั้น ก็ปล่อยไว้แบบนั้นแหละ
เพราะมันไม่ได้ทำอันตรายกับเรา ไม่ได้เสียทรัพย์ ไม่ได้เจ็บป่วยไข้อะไร

จริงอยากจะอธิบายให้ดีกว่านี้ แต่มันก็เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของเราเอง เอาเป็นว่า เรื่องผีที่ผ่านมาอ่านเอาสนุกพอเนอะ
และว่างๆหากจะคิดมาก ก็เอาไปพิจารณาดูว่า ตรงไหนมันหาคำตอบได้ ไอ่นำชวดมันดูหนังเรื่องนี้มาแน่ๆ ไอ่นำชวดมันต้องดูคุณริวทำเลยคิดว่าเขามายืนจ้องหน้าแน่ๆ อะไรก็แล้วแต่จะจินตนาการกันเลยครับผม

แต่ที่แน่ๆ เราขอเตือนนะ ก่อนจะกลัวอะไรสักอย่าง คิดหาเหตุผลด้านอื่นกันมั่ง ไม่ใช่จะโทษผีเพียงอย่างเดียว
ผีอาจจะมีจริง และหากมีจริง ผมว่าก็ไม่แปลกที่ผีชอบหลอกคน เพราะบางที่คนก็ชอบไปโทษผี ทั้งๆที่ผีก็ไม่ได้ทำอะไร
โค้งร้อยศพ ก็โทษผี ทั้งๆที่ ทางมันมืด ทางมันไม่ดี
ทำมาค้าขายไม่ขึ้นก็โทษเจ้าที่เจ้าทาง ต้องไปเสียเงินสร้างศาลทำพิธี โดยที่วิธีการขายของตนไม่ดี
อื่นๆมากมาย เก้ารอก้าว (หาปุ่มพิมพ์ไม่เจอ เข้าใจนะ)

อะไรที่ทำแล้วสบายใจก็ทำไป แต่ก็หัดให้เหตุผลอย่างอื่นกับมันมั่ง อะไรที่ทำแล้วไม่ดี ก็ลองมองที่ตนเองก่อน ก่อนจะไปโทษคนอื่น

อีกเรื่องนะ อันนี้ส่วนตัวนะ อะไรที่มันพิสูจน์ไม่ได้ แล้วเห็นเขาทำกันแล้วมันดี ก็อย่าไปหลงงมงายจนเสียเงินเสียทองโดยใช้เหตุ
ก่อนจะมองว่าเขาไปรับอะไรมา ไปทำอะไรมา ลองหัดมองหลังจากนั้นมั่ง ว่าเขาทำอะไร ทำแบบไหน แล้วทำให้มันเกิดความเปลี่ยนแปลง

"ความเชื่อมันไม่ผิด แต่ถ้าเอาความเชื่อไปใช้ในทางที่ผิด มันก็ผิดอยู่ดี"

เขาถูกหาว่าเป็นปอบ ก็ไปไล่เขา ไปเผาเขา ทั้งที่เขาอาจจะรักสันโดด ชอบใช้ชีวิตกลางคือ และชอบทานอาหารดิบก็ได้

หรือเขาบอกว่าเรากำลังดวงตก ทำมาค้าไม่ขึ้น ก็อย่าเพิ่งไปจ่ายตังเสริมดวงเสริมบารมี ลองหันมองดูวิธีการที่เราทำมาก่อนหน้า หาดูที่เขาทำกันมันแล้วดีดูก่อน เปลี่ยบเทียบกันดูดีๆ ว่าเพราะอะไร เขาถึงได้ดี แล้วเราทำไม่ได้ดีแบบเขา

"เป้าหมายนั้นสำคัญ แต่วิธีการก็ต้องดีด้วย"

เขาบอกว่าเจ้ากรรมนายเวรตามนะ ระวังอุบัติเหตุ ก็ให้ตั้งสติให้ดีเวลาจะทำอะไร ไม่ใช่ว่ามัวแต่เหม่อลอย กังวนมองซ้ายมองขวาหาเจ้ากรรมนายเวร จนลืมมองว่าเรากำลังขับรถอยู่ หรือทำอะไรอยู่

1. อย่าติดสบายโดนการเอาแต่โทษสิ่งอื่น แล้วไม่มองดูตนเอง
2. อย่าขี้เกียดหาเหตุผล ที่มาที่ไปของความผิดพลาด แล้วเอาแต่ไปโทษกรรมเวรผีสางนางไม้
และที่สำคัญที่สุด อย่าเลยนะอย่า และนี่แหละคือสิ่งที่ต้องการของเรา...

อย่าไปปลูกฝั่งความเชื่อที่ไม่มีเหตุ ความเชื่อที่เห็นแก่ตัว ดังข้อ 1 ข้อ 2 นั้นให้กับใคร
อมยิ้ม17

ใครจะเชื่อแบบไหนก็เชื่อไป แต่กรุณาเชื่ออย่างมีวิจารณญาณ และถ่ายทอดแต่ความจริงที่มีเหตุผลอ้างอิ้ง
แม้ความจริงนั้นจะน่าเหลือเชื่อ ก็ควรให้เหตุผลที่น่าฟังหลายๆด้านไว้ด้วย  !!

ก่อนจากกัน...
...ไม่รู้ว่าได้อะไรกันไปมั่ง อ่านเอาสนุกเราก็ดีใจที่ท่านมาอ่าน อ่านแล้วได้ข้อคิดเราก็ดีใจที่ท่านได้คิด
อ่านแล้วคิดและนำไปใช้อย่างถูกกาลเทศะ (ย้ำนะ "ถูกกาลเทศะ" โตแล้วควรเข้าใจจุดนี้นะ) เรายิ่งดีใจใหญ่เลย
เพราะเราคิดว่าไม่มี "ความเชื่อ" ไหนที่ผิด มันอยู่ที่ใครจะเข้าใจแบบไหนมากกว่า เชื่อแล้วไม่เดือดร้อนใคร(รวมทั้งตัวเอง) ก็เชื่อไปเหอะ
แต่เราแค่ไม่ชอบ "ไอ่พวกที่หากินกับความเชื่อ" !!!
เอาแต่พองาม ให้คนที่ทุกข์ได้ผ่อนคลายและสบายใจก็พอ ไม่ใช่เอาซ่ะกะรวยไปยังรุ่นลูกหลาน
จะโทษผู้หากินแบบนี้อย่างเดียวก็ไม่ได้ "ไม่มีคนซื้อก็ไม่มีคนขาย" ขอความกรุณา "เชื่อกันอย่างมีสติครับ"
จ่ายตั้งไปแล้วมันคุ้มมั้ย ? ตั้งเอาไปทำอย่างอื่นจะดีมั้ย ? บอกว่าจะได้บุญสร้างโบถสร้างวิหารมันจะได้จริงๆมั้ย ?
หรือจะเอาเงินนี้ไปช่วยเหลือคนที่ขาดแคลนจริงๆจะดีกว่ามั้ย ?  ...คิดสิคิด ใช้หัวของคุณคิดนะ ไม่ใช่ใช้หัวนมคิด  อิอิ

ไม่ได้โลกสวยนะ แต่บางอย่างมันก็เกินทนเห็น  หึ๊ย !!

และไม่ได้จะขวางโลกนะ แต่บางสิ่งมันก็เกินไป๊ ...เนอะว่ามั้ย ??

แค่คิด ชีวิตก็เปลี่ยน


ความต่างไม่ได้สร้างสิ่งใหม่เสมอฉันใด ความต่างก็ไม่จำเป็ฯต้องสร้างความแตกแยกฉันนั้น

...นำชวด...

--------------------

เรื่องจากพันทิป สิ่งลี้ลับในหอพัก "มหาวิทยาลัยชื่อดังย่านบางเขน"
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปนามว่า นำชวด

ไม่มีความคิดเห็น