ปลาไหลต้มเปรต


    ห่างหายไปนานกับเจ้าชายแห่งการเล่าเรื่องผีแห่งพันทิป  คุณ ลอยชาย กลับมาในเรื่อง "ปลาไหลต้มเปรต" อีกเรื่องหนึ่งสนุกมากๆ ฝากผลงานไว้มากมาย ขอขอบคุณเรื่องคุณภาพเสมอมาไว้ ณ ที่นี้ด้วย


สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็น
ที่ผมได้สัมผัสและยากจะอธิบายด้วย เหตุด้วยผล
มาเล่าให้เพื่อนๆพี่ๆ ได้ฟังกัน

เริ่มจากการแนะนำตัวของผมเองก่อนเลยแล้วกันครับ
คือ ผมทำงานเป็นเซลล์แมน
ด้วยอาชีพ ก็มักจะมีการเดินทางไปทำงานต่างถิ่นต่างจังหวัดอยู่เนืองๆ
ปีสองปีมานี่ มีเหตุการณ์ ประหลาดๆ เกิดขึ้นกับผม บ่อยๆ
จนผมเองพอจะสังเกตเห็นและอดคิดไม่ได้
ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเรื่องลี้ลับอะไรกันแน่

บ่อยครั้งที่ผมเดินทางไปต่างถิ่น แล้วแวะทานข้าวราดแกงข้างทาง
ตอนแรกคนก็เยอะเต็มร้านดีอยู่หรอก
พอผมเข้าไปนั่งทานข้าวไปได้สักพัก อยู่ๆ คนก็หายเกลี้ยงกันไปทั้งร้าน
หันไปมองรอบตัวอีกที ก็มักจะเจอบรรยากาศหวิวๆ วังเวงทุกที
ไม่ได้วังเวงเพราะกลัวผีนะครับ แต่วังเวงแบบว่า
"อ้าวไม่มีใครเข้าร้านบ้างเลยหรือวะ"
มองไปก็เห็นแต่แม่ค้า ทำหน้าเจื่อนๆ รอลูกค้า
แม้จะพยายามคิดในแง่ดี ว่า มันเป็นเรื่องบัญเอิญ
ที่เราเข้ามาในร้าน แล้วอาจจะตรงกับช่วงที่ลูกค้าท่านอื่นอิ่มพอดี
แต่ก็แปลกตรงที่ อะไรจะบังเอิญบ่อยขนาดนั้น

หรือเวลาที่ไปยืนรอคิว เข้าแถวซื้ออะไร
ตอนแรกก็เห็นคนเข้าคิวรอกันยาว พอผมเข้าไปยืนรอสักพัก
อยู่ๆคนที่ยืนรอคิวกันตรงนั้นก็เดินหายกันไปทีละคนสองคน
ไม่นานผมก็ได้คิวแรก โดยไม่รู้ตัว
หันไปมองรอบข้างอีกที ไม่มีคนอยู่แถวนั้นแล้ว "หายกันไปไหนหมดวะ"

บางทีผมไปเช่าห้องพักอยู่หลายวัน
ตอนแรกก็เห็นคนอื่นๆเดินผ่านไปผ่านมาในชั้นที่ผมพักอยู่พอสมควร
แต่อยู่ไปไม่นาน ก็รู้สึกว่าบรรยากาศชั้นที่ผมพัก มันเงียบเชียบยังไงพิกล
แทบไม่มีใครเดินผ่านไปผ่านมาเหมือนตอนแรกๆเลย
พอเริ่มสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถึงได้รู้ว่า ชั้นที่ผมอยู่ มีคนย้ายออกกันหมด
พอไปถามเจ้าของที่พัก
ว่าชั้นที่ผมอยู่ ทำไมไม่มีใครเลย  เจ้าของที่พักเขาก็บอกว่า
แปลกใจเหมือนกัน เพราะปกติ ห้องจะไม่เคยว่างแบบนี้
ซึ่งผมก็หาคำตอบอะไรไม่ได้มากนัก ได้แต่แปลกใจ

เหตุการณ์หลายๆเหตุการณ์ ทำนองแบบนี้หละครับ ที่มักจะเกิดขึ้นกับผมบ่อยๆ

แล้ววันหนึ่ง ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผม ต้องหันมาคิด
อย่างเอาจริงเอาจังกับเรื่องที่ผมเผชิญอยู่

ครั้งนั้น ที่ต่างจังหวัดเหมือนกัน
ผมรู้สึกไม่สบายนิดหน่อย
หลังเลิกงานช่วงเย็นๆ ผมก็เลยแวะไปหาหมอที่คลีนิก ใกล้ๆแถวที่พัก
ตอนแรกกะว่าจะซื้อยามากิน ที่ร้านขายยาปากซอย
แต่พอเดินมาเจอคลีนิก ก็เลยแวะเข้าไปดู
เห็นคนไข้นั่งรอหมอ กันพอสมควร
ก็ตัดสินใจทำบัตรกับคนที่นั่งอยู่ตรงเค้าน์เตอร์
พอสอบถามอาการเบื้องต้นแล้ว
เขาก็ให้ผมนั้ง รอคิว
ผมเดินไปนั่ง รอคิวข้างๆคนในนั้น
มีคนนั่งอยู่กับเก้าอี้พักบ้าง โซฟาบ้าง  ประมาณเจ็ดแปดคน
มีเด็กเล็กเด็กโตเล่นกันอยู่ในนั้นบ้าง
บรรยากาศก็ไม่เงียบเหงาดี ผมนั่งมองโน่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อย
อยู่ๆก็มีเสียงเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่แถวนั้นพูดขึ้น
"แม่ แม่ กลิ่นสาป อะไร"
ผมหันไปมอง สองแม่ลูกเขาคุยกัน แม่เขาเอาแมดที่ปิดจมูกออก
แล้วก็สูดอากาศเข้าไปเพื่อพิสูจน์กลิ่นที่ลูกเขาบอก
แล้วเขา ก็ส่ายหัวไปมา ทำนองที่ว่าไม่มีกลิ่นอะไร
นั่นหละครับ เหตุการณ์นั้นทำให้ผมคิดว่า
หรือกลิ่นตัวเราจะแรงขนาด คนรอบข้างรังเกียจ จนหนีหายกันหมด
คิดแล้วก็ พยายามดมตามเนื้อตามตัว แต่ก็ไม่ได้กลิ่นอะไร
นั่งรอสักพัก หมอก็มา
ผู้หญิงที่แต่งตัวเหมือนพยาบาลตรงเค้าน์เตอร์
ก็ขานชื่อ เรียกคนไข้ ให้เข้าไปพบหมอ
แต่รายแรก ไม่มีใครขานรับ พอรอสักพักไม่มา
พยาบาลก็เลย ข้ามไปเป็นคนถัดไป
แต่คนถัดไปเหมือนเขามีสายเข้า
เขาก็รับโทรศัพท์แล้วก็เดินออกจากคลีนิกไปเลย
พอผ่านไปอีกคน
ก็เหมือนลูกเล็กเขางอแงจะเข้าห้องน้ำก็เลยต้องพาไปเข้าห้องน้ำ
เลยต้องผ่านไปอีกคน ถึงมีคนขานรับ แล้วก็เข้าไปพบหมอ
ตอนนั้นเองที่ อยู่ๆ จากคนในคลีนิกดูคึกคัก
ก็เริ่มมีคนทยอยเดินออกจากคลีนิกกันทีละคนสองคน
แม้แต่เด็กที่ไปเข้าห้องน้ำ
พอออกมา ชุดเด็กก็เปียก แม่เขาเลยพาออกนอกคลีนิกไป
จนที่สุด ก็ไม่มีใครเหลือเลย มีผมนั่งรอหมออยู่คิวเดียวแล้ว
สักพัก พอคนไข้ออกมาจากห้องตรวจ
ผู้หญิงที่เค้าน์เตอร์ก็หันมาทางผม
แล้วก็สบตาผมเล็กน้อยก่อนจะบอกว่า เชิญเลยค่ะ
ผมก็เลยเข้าไปหาหมอ ผลักประตูเข้าไป
ประตูมันเป็นประตูบานสวิง ที่มันไม่ได้ปิดตรงด้านล่างอะครับ
คือด้านล่างมันจะเปิดโล่งขึ้นมาเลยเข่านิดหน่อย
ถ้ามองออกไปก็จะเห็นขาคนเดินอยู่ข้างนอกห้องได้
พอเข้าไปในห้อง
หมอก็ให้ผมไปนั่งข้างๆหมอ
หันข้างให้กับประตู
นั่งให้หมอตรวจร่างกายและประเมิณอาการอยู่พักหนึ่ง
หลังจากหมอถามโน่นถามนี่เสร็จ หมอ ก็เขียนใบสั่งยาให้
ตอนนั้นเอง ผมก็บังเอิญหันไปมอง ตรงช่องว่างด้านล่างของประตู
เห็นเหมือนขาคนกำลังเดินผ่านไป แล้วก็ทำอะไรตกสักอย่าง
เขาก็เลยก้มเก็บของ แล้วก็เดินผ่านไป
พอผมออกมาจากห้องตรวจ
เดินไปหา ผู้หญิงที่เค้าน์เตอร์
สีหน้าเขาซีดมาก เขาดูมีอาการแปลกๆ
พูดจาเหมือนคนจะร้องไห้ ลุกลี้ลุกลน
ตอบอะไรก็ตะกุกตะกัก มือไม้สั่น
จนผมต้องบอกให้เขาใจเย็นๆ
เพราะคิดว่าเขาคงพึ่งจะมาทำงานวันแรก เลยอาจจะมีอาการตื่นเต้นบ้าง
พอรับยาเสร็จ กำลังจะออกจากร้าน หันไปมองพยาบาลอีกที
ดูท่าทางเหมือนเขาอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่พูด
พอผลักประตู กำลังจะเดินออกจากร้าน
แล้วเสียงพยาบาลก็พูดขึ้นว่า
ชะ ช่วย เรียกคนที่คุณพามา กลับไปด้วยนะคะ

พอผมได้ยินดังนั้น ก็เลยรีบเข้าไปถามพยาบาลให้แน่ใจ
ว่าเห็นใครมากับผม
พยาบาลหน้าขาวซีด เส้นผมที่กลางกระหม่อม ค่อยๆฟูขึ้นทีละนิด
เหมือนมีลมมาพัดผมเธอปลิว แต่มันกลับตั้งค้างอยู่ในลักษณะชี้ขึ้นแล้วไม่ตกลงมา
ก่อนจะพูดว่า
"ในห้องตรวจ เห็นขาใครไม่รู้ ยืนอยู่หลังคุณ รองเท้าก็ไม่ใส่"
เท่านั้นหละครับ ขนหัวผมก็ลุกตั้งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แขนขาเย็นเฉียบขึ้นมาอย่างกระทันหัน
ร้อนๆหนาวๆ วูบๆวาบๆ ไปตามรอบๆตัว
จนทำให้ผมนึกอะไรขึ้นมาได้
แล้วก็รีบวิ่งออกมาจากคลีนิก กลับไปที่ห้องพักทันที

พอถึงห้อง บรรยากาศที่รู้ว่าชั้นที่ผมพักอยู่ ไม่มีคน เริ่มทำให้ผมหลอน
ผมรีบเปิดไฟในห้องทุกดวง เท่าที่มี
รีบโทรศัพท์หาเพื่อนคนหนึ่งทันที อย่างคนนึกอะไรไม่ออก
พอเพื่อนรับสาย
ผมแทบจะไม่อารัมภบทอะไรกับมัน
"เฮ้ย ! .. ม่ะ มัน ยังไม่ไปไหน ม่ะ ม่ะ มันยังอยู่"

แล้วเหตุการณ์เมื่อเจ็ด แปด ปี ก่อนก็เริ่มย้อนกลับมาในความทรงจำผมอีก
ราวกับว่ามันพึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

ตอนนั้น ผมพึ่งเรียนจบใหม่ๆ มันเป็นช่วงที่ผมกำลังรองานทำอยู่
ได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ต่างจังหวัด
เพื่อนมาชวนไปเที่ยวบ้านมัน บอกผมว่า เผื่อแยกย้ายกันไปหางานทำแล้ว
ติดต่อกันไม่ได้ จะได้แวะมาหามันที่บ้านได้

แต่บ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัด ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพไป ก็ไกลพอสมควรครับ
ชนิดที่ว่า ถ้าเริ่มเดินทางในช่วงหัวค่ำ หลับไปในรถ ตื่นมาอีกที ก็สว่างพอดี
ผมกับเพื่อนเดินทางโดย นั่งรถ ปรับอากาศ ที่มีให้บริการทั่วไป จากหมอชิต

ซักเกือบ หกโมงเช้า ก็มาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านที่เพื่อนอยู่
รถทัวร์จอดส่งให้เราลง ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน ที่ติดกับถนนใหญ่
แล้วเราก็ต้องนั่ง รถสามล้อสกายแลปเข้าไปในหมู่บ้านอีก ราวๆสี่ ถึง ห้ากิโล
นั่งมาได้สักสองสามโล ทางที่เคยลาดยางก็เริ่มเป็นทางฝุ่น
สองข้างทางเริ่มเป็นทุ่งนาหนาตามากขึ้น
อากาศยามเช้า รู้สึกเย็น หนาวๆ จนผมตัวสั่น

พอเริ่มเข้าตัวหมู่บ้าน ก็เริ่มมีถนนลาดยางขึ้นมาอีก
สามล้อเครื่องมาส่งเรากลางสีแยกหมู่บ้าน
เพื่อนบอกว่า
ไปตลาดกันก่อน  เดี๋ยวหาซื้ออะไรไปกินกัน
ผมกับเพื่อนพากันเดินไปตามถนน ที่มีคลองน้ำเล็กๆเลียบคู่ขนาดถนนนั้นไป
ถนนแทบไม่มีรถราสัญจรให้ขวักไขว่ เห็นมีคนปั่นจักรยานอยู่บ้าง ขับมอไซค์อยู่บ้าง
บ้านเรือนแถวนั้นปลูกติดๆกันเป็นร้านค้า ขายของเบ็ดเตล็ดเป็นทางยาวตามถนนที่เราเดินมา
ส่วนใหญ่กำลังเปิดประตู จัดร้านกัน
ดูๆไปก็เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่สงบเรียบร้อยดี
เดินมาได้สักพัก แล้วอยู่ๆตรงฝั่งคลองข้างหน้า  ห่างจากที่เราเดินไม่ไกล
ก็เริ่มเห็นผู้คนกลุ่มหนึ่งยืนดูอะไรกันอยู่
อยู่ข้างๆต้นฉำฉาต้นใหญ่ริมคลอง
ผมกับเพื่อนรีบพากันไปดู ว่าเขามุงอะไรกัน
พอไปถึงตรงต้นฉำฉา มองไปในคลอง เห็นริมคลองเป็นทางลาดลงไปสูงชันพอสมควร
น้ำในคลองไหลเชี่ยวดูน่ากลัว
เพราะตอนนั้นเป็นหน้าฝน น้ำคงมีมากตามฤดู

พอเริ่มเข้าไปใกล้ ก็เริ่มได้ยินคนพูดกัน
นี่เมื่อวาน เห็นนั่งกินเหล้ากันตรงสะพานโน้น
แล้วก็เริ่มได้ยินเสียง พูดจ้อกแจ้กจอแจกันขึ้น
ผมกับเพื่อนเบียดเข้าไปมุงดู เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ในคลอง ไม่ไกลจากริมฝั่งมากนัก
น้ำสูงเกือบเท่าเอว ตรงข้างๆผู้ชายคนนั้นมีรากต้นฉำฉายื่นลงไปในน้ำ
เขาพยายามเกาะอยู่กับรากต้นฉำฉาแล้วเดินลงไปในน้ำช้าๆ
ก่อนจะนั่งย่อตัวลงไปในน้ำ แล้วก็มุดหายลงไปไม่ไกลจากรากต้นฉำฉา
สักพักก็พุ่งพรวดขึ้นมา แล้วก็ตะโกนขึ้นมาว่า
"มันติด"
"เชือกมาหรือยัง"
แล้วก็เดินกลับขึ้นมาอยู่ตรงริมฝั่ง ขายังอยู่ในน้ำ
ไม่นาน ก็มีคนพูดว่า มาแล้วมาแล้ว
แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินลงไป พร้อมกับถือเชือกมัดหนึ่ง
พอได้เชือก ผู้ชายที่อยู่ในน้ำ ยืนคลี่เชือกให้ใช้งานได้สะดวกอยู่สักพัก
ก่อนที่ชายคนนั้นจะค่อยๆ เดินถือเชื่อกลงไปในน้ำ แล้วก็ มุดหายลงไป
ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่จับจ้องอยู่แทบไม่กระพริบ

ผมกับเพื่อนยืนดู แบบ งง ๆ ว่าเขาทำอะไรกัน
สักพัก ก็เริ่มเห็น อะไรขาวๆพลิ้วไหวอยู่ในน้ำ ค่อยๆลอยขึ้นมาข้างๆรากต้นฉำฉาใหญ่
คนก็เริ่มส่งเสียงฮือฮาขึ้นมากัน
จนกระทั่งสิ่งที่พลิ้วไหวอยู่ในน้ำโผล่ขึ้นมาจากน้ำ
คนก็ร้อง โฮ ขึ้น พร้อมกันปานนัดหมาย
มันเป็นช่วงแผ่นหลังของคน คว่ำหน้าอยู่ในน้ำ ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว

ชายคนแรกที่มุดหายไป พุ่งพรวดขึ้นมาจากน้ำ
แล้วรีบว่ายเข้ามาขึ้นฝั่ง เดินขึ้นมาพร้อมกับดึงเชือกที่ถืออยู่ในมือ
เสียงผู้คนเริ่มดังอื้ออึงขึ้น บางคนถึงกับกรีดร้องออกมา

ผมรู้สึกใจเต้นแรงทันที ที่เห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
ถัดจากแผ่นหลังที่ลอยเด่นขึ้นพ้นน้ำ ตามมาด้วยท้ายทอยและ ส่วนหัวทีมีผมดำๆ
คว่ำหน้าอยู่ในน้ำ ค่อยๆโผล่ขึ้นมาตามแรงดึง

เฮ้ย.. ศพ

ผมรีบเอามือปิดปากตัวเอง
เสียงเพื่อนผมดังมาจากข้างหลัง ด้วยท่าทีตกใจ
"ใครวะ"

ไม่นานร่างที่จมอยู่ในน้ำก็ถูกดึงขึ้นมาเกยฝั่ง อยู่ในสภาพคว่ำหน้า
แขน ขา ขาวซีด เหยียดตรง  อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขาสั้นสีเทา

ชายคนที่ตัวเปียก เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ค่อยๆจับไปตรงเสื้อศพ แถวๆไหล่
แล้วก็พลิกศพหงายหน้าขึ้นมา

คุณพระช่วย !!!

ภาพที่ผมเห็นมันแทบจะทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี
มันเป็นครั้งแรกในชีวิตผมเลยครับที่ได้เห็นคนตาย ในสภาพ แบบ ไม่ได้อยู่ในโลงศพ

ลักษณะศพ เป็นผู้ชาย หน้าขาวซีด ปากคล้ำจนดำ
ตรงรอบๆมือ เหมือนมีหนังลอกหลุดลุ่ยออกมาเป็นเส้นๆ
แล้วที่หน้าอก ก็เหมือนมีอะไรขยับไปมาอยู่ใต้เสื้อ

ชายตัวเปียกเอื้อมมือไปดึงกระดุมเสื้อที่หน้าอกศพ ฉีกออก
พอเสื้อฉีกออกเท่านั้นแหละ

ปลาน้อยใหญ่ก็เต้นพรวดออกมา  จากตรงหน้าอกศพ หลายสิบตัว
มีปูเล็กๆนับสิบตัว ไต่ออกมาจากข้างในตัวศพ
หน้าอกขาวซีด มีรอยแทะเนื้อหนังเปื่อยยุ่ย จนเห็นซีกโครง
แล้วที่ท้องศพก็มีปลาไหลตัวใหญ่ สาม สี่ ตัว เลื้อยไหลออกมา ปะปนไปกับพวกปลาเล็กปลาน้อย
ที่กระโดดออกมาจากร่างนั้น

ผมเห็นแล้วแทบจะหน้ามืดเป็นลมเลยครับ

เสียงเพื่อนผมพูดขึ้นอยู่ข้างหลัง
"ช่างตี๋"

แล้วเพื่อนก็พูดคุยไปมากับคนที่มายืนมุงกันอยู่แถวนั้น
จนผมเริ่มรู้สึกไม่ไหว เลยรีบชวนเพื่อน

"ไปเถอะว่ะ กูผะอืดผะอม"

พอเดินออกมาจากตรงนั้นได้สักพัก เพื่อนก็เล่าให้ฟังว่า
คนที่ตายคือช่างตี๋ เขาเป็นช่างซ่อมรถ
ชาวบ้านเล่าว่า เมื่อคืนเห็น กินเหล้ากันอยู่แถวๆสะพาน หน้าอู่ซ่อมรถ
พอดึกๆ บอกเพื่อนว่าจะไปฉี่
แล้วก็หายไปเลย

เพื่อนที่กินเหล้าด้วยกันสันนิฐานว่า
คงไปฉี่ใต้สะพานแล้วตกน้ำ
แล้วลอยมาติดใต้ราก ต้นฉำฉา

พอได้ฟังผมก็เลยพูดกับเพื่อนว่า
แจ็คพอตมาก
ดันมาเจอตอนเอาศพขึ้นพอดี โคตรติดตาเลย


เพื่อนก็พูดว่า
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อหละ
ที่นี่ เวลาถึงหน้าน้ำหลากทีไร มักจะมีคนจมน้ำตาย แบบนี้เสมอ
ไม่เด็กก็ผู้ใหญ่

ผมก็เลยพูดไปด้วยความสงสัย
มีงี้ด้วยหรือวะ

แล้วเพื่อนก็บอกว่า
มันเป็นความเชื่อของคนที่นี่น่ะ
ว่าเป็นเพราะ ผีฟ้า ผีปู่เจ้า มาเอาไปเป็นบริวาร

ผมได้แต่นิ่งฟัง นึกในใจ
ยุคนี้แล้ว ยังเชื่อเรื่องผีเรื่องสางกันอยู่อีกหรือวะ

แล้วเพื่อนมันก็ เหมือนรู้ เลยรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
ว่าแล้วมันก็พาผมไปตลาด หาซื้อของกินต่อ


หลังจากพากันเดินซื้อของกินในตลาดกันอยู่พักหนึ่ง
เพื่อนก็พานั่งวินมอไซค์ ไปที่บ้าน
รู้สึกว่า บ้านเพื่อนจะอยู่ห่างออกมา แทบจะอยู่ท้ายหมู่บ้าน

พอถึงบ้านเพื่อน
มีบ้านหลังอื่นๆ อยู่ในละแวกเดียวกันเยอะพอสมควร แต่ก็ไม่ถึงกะว่าเป็นบ้านติดๆกันมากนัก

สภาพบ้านเพื่อนเป็นบ้านไม้เก่าๆชั้นเดียว แต่เป็นบ้านหลังใหญ่พอสมควร
เพื่อนอาศัยอยู่กับพวกน้าๆ หลานๆ และยาย อยู่กันหลายคน ดูเป็นครอบครัวใหญ่เลยทีเดียว

หลังจากแนะนำตัวกับญาติๆเพื่อน ให้รู้จักกันแล้ว
ทานข้าวทานปลากันเสร็จ พวกน้าๆของเพื่อนก็แยกย้ายกันออกไปไร่ ไปนา
มีแค่น้าผู้หญิงกับ เด็กๆ อยู่กับยายที่บ้าน

พออาบน้ำอาบท่า จัดแจงเรื่องที่หลับที่นอนเสร็จ
เพื่อนมันก็บอกว่า

"พักเอาแรงก่อนเถอะวะ เดี๋ยวคืนนี้ ข้าจะพาไปเที่ยวงานวัด"

ช่วงเย็นๆ หลังจากได้พักสายตามาทั้งวัน
เพื่อนมัน ก็พาผมออกไปเดินเล่น แถวตลาดนัดตอนเย็น
มันเป็นตลาดเล็กๆ มีผัก มีเห็ด  วางขายแบกับดิน
บางเจ้าก็มีแคร่เตี้ยๆ นั่งขาย พวกของสด ของคาว
เดินๆดูไป คนก็หนาตาพอสมควรครับ  แต่ไม่ค่อยจะเห็นวัยรุ่นมาเดินกันนัก
ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใหญ่ วัยกลางคน หรือบางคนก็มากับลูกตัวเล็กๆ

พอพากันเดินดูโน่นดูนี่ได้สักพัก
เพื่อนก็พามาสั่งน้ำปั่นกินกัน
ช่วงที่กำลังยืนรอแม่ค้าทำน้ำปั่นให้
อยู่ๆก็มีเสียงดังมาจากข้างๆ

"เอาส้มปั่นแก้วหนึ่งค่ะ"

ตอนแรกก็ไม่ได้คิดไรครับ
พอเห็นว่ามีคนมาสั่งต่อ ผมเลยขยับไปยืนอีกฝั่งข้างๆเพื่อน
พอผมมองไปที่คนสั่งเท่านั้นแหละ
ตาผมค้างเลยครับ

"นั่นนางฟ้าใช่ไหม"
ผมนึกในใจ
เพราะหน้าตาผู้หญิงคนนั้นสวย ขาว น่ารักมาก
อายุ อานาม ผมว่าน่าจะรุ่นๆเดียวกันกับผม
แต่หน้าตาสวยใส แบบไม่ได้แต่งหน้า ดูน่ารักเป็นธรรมชาติมากๆ

ผมได้แต่จ้องมองหน้าเธอ แบบ แอบๆ มอง
เธอหันมาที ผมก็หลบตาเธอที
พอเธอเผลอ ผมก็จ้องมองไปอีก

จนแม่ค้ายื่นน้ำปั่นมาให้
ผมก็รีบรับ จ่ายเงิน แล้วก็มายืนอยู่ข้างๆ
ดูดน้ำปั่นไป มองหน้าผู้หญิงคนนั้นไป

สักพัก
เสียงเพื่อนก็ ดังขึ้นจากข้างหลังผม

"เฮ้ย.. เร็วๆ จะเดินต่อไหมวะ"

ผมตกใจ เหมือนหลุดออกมาจากพะวัง
รีบหันไปมองเพื่อน
เห็นแต่มันถือถุงน้ำปั่นเดินไปแล้ว

อ้าว.. นึกว่าเอ็ง ยังไม่ได้น้ำปั่น

เพื่อนก็หัวเราะ
"เปิ่น แล้วเอ็ง.."

ผู้หญิงคนนั้นหันมามองผม พร้อมกับหัวเราะ ยิ้มมุมปาก

ผมรู้สึกอายมาก รีบเดินตามเพื่อนไป
พอห่างมาได้สักพัก ผมก็ถามเพื่อน ว่า
รู้จักผู้หญิงคนนั้นไหม
เพื่อนบอกว่า "รู้จัก"
แล้วผมก็รีบถามต่อทันที
"เขามีแฟนยัง"
เพื่อนก็ตอบว่า
"ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ได้สนใจเขาขนาดนั้น
แต่เท่าที่เห็น ก็ไม่เคยเห็นเขาไปกับผู้ชายคนไหนนะ"

แล้วเพื่อนก็ถามผมกลับว่า
"ทำไมหรือ  ชอบเขาหรือไง"

ตอนนั้นผมรู้สึกว่าอายเพื่อนที่มันดันรู้ทันผม
ก็เลยรีบตอบไปว่า
"ปะ เปล่า  ถามเฉยๆ
หน้าตาก็งั้นๆแหละ ตัวก็ขาวซีดเกิน
ดูจืดๆไป "

แล้วก็ทำเป็นนิ่งๆกลบเกลื่อนอาการกระดี๊กระด๊า
เพื่อนก็พาเดินดูตลาดต่อ สักพัก ก็พากันกลับ

มาถึงบ้านเพื่อนก็เริ่มจะมืดค่ำแล้ว
เพื่อนกับหลานๆ จัดเตรียมของกิน ใส่จาน ชาม กันอยู่พักหนึ่ง
จนสักพัก ก็ยกอาหารมาวางกินกันที่ลานหน้าบ้าน
น้ากับยาย บอกให้เรากินกันก่อน เพราะว่า รอน้าๆคนอื่นกลับมากัน
ก็เลยมีแต่เด็กๆมานั่งกินข้าวเป็นเพื่อนเรา
แต่ก็แปลก ทำไมผมกลับรู้สึกไม่หิวเลย ทั้งๆที่ไม่ได้ทานข้าวเที่ยง
พึ่งมีแค่น้ำปั่นตกถึงท้องเท่านั้นเอง
สงสัยจะอิ่มน้ำปั่น
ก็เลยได้แต่นั่งมองดูเขาทานข้าวกัน ซะมากกว่า

พอเริ่มมืดค่ำ พวกน้าๆก็ทยอยกลับมาบ้าน
มีข้าวของติดไม้ติดมือมาพะรุงพะรัง
ตอนที่ผมอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำใกล้ๆครัว
ก็ได้ยินเสียงพวกน้าๆ ก่อไฟที่เตาถ่าน
บ้างก็เด็ดผัก บ้างก็หั่นอะไรเสียงดังที่เขียง

พอผมกับเพื่อน แต่งตัวกันเสร็จ
น้าที่พึ่งกลับมา ก็ถามว่าไม่ทานข้าวด้วยกันก่อนหรือ
เพื่อนก็บอกว่า "กินกันแล้ว"
แล้วมันก็บอกกับพวกน้าๆว่า
"เดี๋ยวจะพาเพื่อนไปเที่ยวงานวัดหน่อย อาจจะกลับดึกหน่อยนะ"
น้าก็บอกว่า
ไปกันก่อน เดี๋ยวสักพักจะพาเด็กๆตามไปดูงานวัดเหมือนกัน

พอทุกอย่างพร้อมแล้ว
เพื่อนมันก็พาผมออกจากบ้าน เดินไปตามถนน ที่มีไฟส่องถนน สลัวๆตามทาง
เดินมาได้สักพัก มันก็พาเลี้ยวเข้าตรอกเล็กๆ มืดๆ
แล้วก็ไปโผล่ตรงถนนในซอยอีกซอยหนึ่ง ก่อนจะเริ่มพาเข้าไปในตรอกเล็กๆอีก
คราวนี้ ในตรอกนั้น กลับไม่มีบ้านคนเท่าไหร่
พอเดินไปได้สักพัก ก็เริ่มมีต้นไม้หนาตามากขึ้น
ทางเดินข้างหน้าเริ่มเป็นหญ้ารกๆ ไม่มีไฟส่องถนน
พอต้นไม้สองข้างทางเริ่มเป็นต้นไม้สูงใหญ่
บรรยากาศก็เริ่มวังเวงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
รอบๆข้างเริ่มรู้สึกหนาวๆ เย็นๆ จนขนที่ท้ายทอยลุกซู่ แบบไม่รู้ตัว
ลมพัดมาเอื่อยๆ ทำให้ใบไม้เสียดสีกันดัง ซ่า ซ่า
เหมือนมีเสียงฝีเท้าใครเดินตามอยู่รอบๆ
ผมชักเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจยังไงพิกล
เลยถามเพื่อนไปว่า
ทำไมทางมันมืดแบบนี้วะ
เพื่อนก็บอกว่า
"ทางลัดหนะ  ถ้าไปตามถนน มันอ้อม "

แล้วมันก็ชี้ให้ดู ตรงข้างหน้า

"นั่นถึงตรงนั้นก็เป็นถนนแล้ว"

ผมมองไปข้างหน้า เห็นไกลริบๆ มีแสงไฟถนน ส่องอยู่
ผมเดินตามเพื่อนไป แล้วก็บ่นๆกะมัน
"พามาทาง อย่างกะป่าช้า"

เพื่อนก็ หัวเราะ หึ หึ
"ใช่ นี่มันเป็นป่าช้าเก่า"

"หนะ นั้นงัยกูว่าแล้ว  รีบๆเดินเลย"
ผมรีบพูดขึ้น พรางเดินตามเพื่อนไปอย่างไว

ผมกับเพื่อน ต่างพากันรีบเดินผ่านจุดตรงนั้นไป อย่างเงียบๆ
ไม่คุยอะไรกัน
จนได้ยินแต่เสียงเดินผ่านกอหญ้า ดัง ซวบ ซวบ
นี่มันเหมือนไม่ค่อยมีใครเดินผ่านทางนี้เท่าไหร่เลยนะ
หญ้าขึ้นสูงขนาดนี้ แล้วยังจะพามาทางนี้อีก
ได้แต่นึกในใจ

จนมาถึงจุดที่มืดที่สุด อยู่ๆลมก็พัดมาวูบหนึ่ง
พร้อมกับเสียง ดัง วี๊ด... เบาๆ ลอยมากับสายลม
แล้วอยู่ๆ เพื่อนก็ร้องขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
เฮ้ย  !  ผีหลอก
เท่านั้นแหละ ผมรีบกระโดดไปข้างหน้าเพื่อน
ใส่เกียร์หมา วิ่งจ้ำอ้าวแบบไม่คิดชีวิต
วิ่งมาได้ระยะหนึ่ง หันกลับไปดูข้างหลัง
เห็นแต่เพื่อนยืนหัวเราะ ตัวคด ตัวงอ อยู่กับที่

อ้าว ..

แล้วเพื่อนก็เดินมาด้วย หัวเราะมาด้วย
ตบไหล่ผมเบาๆ
"ไหนบอกไม่เชื่อเรื่องผี วิ่งก่อนเพื่อนเลยนะเอ็ง"
แล้วเพื่อนมันก็หัวเราะต่อ แบบหยุดไม่อยู่

"อ้าว.. ก็บรรยากาศมันชวนขนลุกขนาดนี้
ก็กลัวไว้ก่อนสิวะ"
ผมรีบ แก้ตัวไปแบบรู้สึกเสียฟอร์ม

เดินมาได้สักพัก พร้อมกับเสียงเพื่อนหัวเราะอยู่ข้างๆ
เราก็มาโผล่ ทะลุ ที่ถนนเล็กๆ
ตรงข้ามป่าที่เราพากันออกมา มีกองขยะกองใหญ่ๆอยู่ตรงนั้น
เพื่อนพาเลี้ยวไปทางขวามือ แล้วเดินตรงไป
ไม่นาน ก็เจอ ทางเข้าวัดใหญ่
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ ก็เริ่มได้ยินเสียง ดนตรี ของงานวัด ดังลั่นออกมา
ผู้คนเริ่มคับคั่ง เดินกันให้ขวักไขว่ บรรยากาศดูคึกคักดี
พอเข้าไปในงาน ก็เริ่มเห็นมหรสพต่างๆ ตั้งกันอยู่ ห่างๆ
กระจัดกระจาย ไปทั่วบริเวณวัด
มีปาลูกโป่ง สาวน้อยตกน้ำ ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน หนังกลางแปลง
ยิ่งเดินลึกเข้าไป ก็เจอ รถบั้ม เสียงเพลงก็เริ่มดังมากขึ้น
ผ่านจากรถบั้มไป ก็มี เวทีมวย แต่บนเวทียังไม่มีนักมวยขึ้นไป ถัดไปจากตรงนั้นก็มีเวทีลิเก
ผมกับเพื่อนค่อยๆเดินดูไปทีละอย่าง รู้สึกเพลินๆดี ผู้คนส่วนใหญ่จะมากันเป็นหมู่คณะ
ยิ้มแย้มแจ่มใส
จนสักพักใหญ่ๆก็มาถึงบริเวณเกือบข้างในสุด
รู้สึกตรงนี้จะมีวัยรุ่นยืนออกันเยอะพอสมควร
ดูเบียดเสียดกัน อย่างกะดูคอนเสิร์ต ผมกับเพื่อนก็เลย เบียดเข้าไปดูบ้าง
ปรากฏว่ามันเป็น เวทีรำวงครับ มองขึ้นไปบนเวที ไม่รู้ใครเป็นใครยืนเต้นกันอยู่บนเวทีเต็มไปหมด
มีสาวๆนุ่งกระโปรงสั้นๆ แต่งชุดแบบเดียวกัน สีสันต์ฉุดฉาด ยืนเต้นจับคู่กับพวกหนุ่มๆวัยรุ่น
พอเพื่อนเห็นสาวๆเต้นอยู่ มันก็ตะโกนถามผมว่า
"เอาซักรอบไหมเพื่อน"
ผมได้แต่หัวเราะ แล้วก็ยืนดูเขาเต้นกัน
จนสักพัก พอเพลงจบลง หมดรอบ
เพื่อนก็บอกว่า
"เจอแล้วคนที่ข้าเล็งไว้"
แล้วเพื่อนมันก็ไปซื้อบัตร ขึ้นไปเต้นรำวงกับสาว
ตอนนั้นผมยืนดูอยู่ตรงใกล้ๆหน้าเวที
อยู่ๆก็มีเหมือนแรงกระแทกมาจากข้างหลัง
จนผมเซไปด้านหน้า หันไปมองอีกที
มีคนเดินเอาไหล่มาเบียดผม แล้วก็เดินเข้าไปทางเวทีรำวง
ไม่มีการพูดว่าขอทาง หรือขอโทษอะไรทั้งสิ้น เดินผ่านไปเฉยๆไม่แคร์ใครรอบๆ
ผมรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที   นึกในใจ เด็กพวกนี้ มันไม่มีมารยาทเลย
พอผมทรงตัวกลับมายืนที่เดิม ก็มีแรงกระแทกมาชนผมเซอีก
ผมรีบหันไปมอง ครั้งที่สอง
ก็เห็นเป็นกลุ่มคนเดินเรียงแถวกันเข้ามา
ผมขยับตัวออกให้ห่างจาก พวกที่เดินมา
มองหน้าคนที่มาชนผมคนที่สอง
แล้วพวกที่เดินตามมาก็มีคนมองหน้าผมกลับ แบบไม่เป็นมิตร
ผมรีบหลบตา มองไปทางอื่น
สังเกตดู
พวกมันเป็นกลุ่มวัยรุ่นมากันไม่ต่ำกว่าสิบคน

ชักรู้สึกไม่ดีแล้ว เริ่มไม่สนุกแล้วสิ
พอพวกวัยรุ่นกลุ่มนั้นหายเข้าไปด้านหน้าเวทีสักพัก
รอจนหมดรอบ เพื่อนก็กลับลงมา
ผมก็เลยชวนเพื่อน ออกจาก เวทีตรงนั้น
บอกเพื่อนว่า ร้อน คนเยอะ
แต่ก็ไม่ได้เล่าเรื่องที่มีกลุ่มวัยรุ่นมาเบียดผมเซ ให้มันฟัง

เพื่อนก็บอกว่า ดีเหมือนกัน มันก็เหนื่อย ไปหาที่นั่งพักกันก่อนก็ดี

ผมกับเพื่อนเลยพากันเดินไปหาที่ ที่ไม่อึกทึกมากนัก
จนมาถึงอุโบสถใหญ่
เห็นคนเข้าไปไหว้พระใหญ่ ในอุโบสถ กันพอสมควร
ผมเลยชวนเพื่อนเข้าไปไหว้พระ
พอเข้าไปในอุโบสถ ข้างในเป็นแสงสลัว สลัว ไม่ได้เปิดไฟสว่างมากนัก
มีคนนั่งไหว้พระกันอยู่กับพื้นบ้าง บางคนก็นั่งเสี่ยงเซียมซีบ้าง
บางคนก็นั่ง อยู่นิ่งๆบ้าง
ผมค่อยๆเดินก้มเข้าไปนั่งอยู่แถวๆกลางโถง หน้าพระประธานองค์ใหญ่
ไม่รู้คิดยังไง พอไหว้พระเสร็จ ผมก็เริ่มขอพร
สาธุ ขอให้เจอน้องคนสวย คนนั้นอีกด้วยเถอะ

พอนึกในใจจบ
ผมก็ได้ยินเสียงดัง แกร๊ก
ลืมตา มองไป ก็เห็น ผู้หญิงอ้วนๆ กำลังหยิบไม้เซียมซีที่ตกพื้นมาดู
ดูเสร็จแล้วก็ เอามาใส่กระบอกเซียมซีแล้วตั้งไว้เหมือนเดิม
ก่อนจะกราบพระแล้วก็ลุกเดินไป
ตอนนั้นแหละ
อยู่ๆก็มีมือขาวๆ เรียวยาว ยื่นมามาจับกระบอกเซียมซี
ผมรีบมองตามมือนั่น
มือนั่นยกกระบอกเซียมซีมา จรดที่หน้าผาก

คุณพระช่วย

ใจผมเต้นแรงขึ้นมาทันที
ที่เห็นใบหน้าของผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆผม ไม่ไกล

นางฟ้า
น้องนางฟ้าคนนั้น

ผมอุทานขึ้นเบาๆอย่างลืมตัว

รีบลุกถอยหลังออกมา แล้วก็ดึงตัวเพื่อนให้ลุกตามมา

นั่น นั่น ผู้หญิงคนนั้น ที่เราเจอตอนซื้อน้ำปั่น เองจำได้ไหม

เพื่อนก็บอกว่า
"จำได้ "
"แล้วไง"
เพื่อนหันมาถามผมกลับ

ผมก็ยิ้มหน้าบาน แล้วความหน้าด้านก็เข้าครอบงำ

" เออ เออ ข้ายอมรับก็ได้ ว่าข้าชอบ "

แล้วผมก็บอกให้เพื่อนไปขอเบอร์ให้หน่อย
เพื่อนมันก็บอกว่า ให้ผมไปขอเอง
แต่หาโอกาสเหมาะๆค่อยเข้าไป

แล้วปฏิบัติการ ติดตามเป้าหมายก็เกิดขึ้นครับ
ไม่ว่าน้องเขาจะเดินไปไหน ผมกับเพื่อนก็พยายามเดินตามอยู่ห่างๆ
แบบไม่ให้น้องเขารู้ตัว

น้องเขามากับเด็กสองคน
พอผมเริ่มเห็นเด็กสองคนนั้นมัวแต่เล่นเกมส์ ตักปลาอยู่
ผมก็เลย ไปซื้อ ขนมสายไหม แล้วให้เขาทำเป็นช่อดอกใหญ่ๆ
แล้วก็จ้างให้เด็กแถวนั้น เอาไปให้

ผมกับเพื่อนแอบดูอยู่หลังพุ่มไม้
รู้สึกจะได้ผล เธอรับขนมสายไหม แล้วก็มองซ้ายมองขวาไปมา
เหมือนจะหาว่าใคร ซื้อให้เธอ
แต่เธอก็ไม่ได้กินสายไหมครับ เธอเอาให้เด็กสองคนนั้นกิน

ผมกับเพื่อนเดินตามเธอไปต่อ
จนมาหยุดอยู่ที่หน้าเวทีลิเก
สังเกตดูเธออยู่สักพัก  เหมือนเธอกำลังคุยกับใครอยู่ที่หน้าเวทีลิเก
แล้วก็ยืนอยู่ตรงนั้นนานพอสมควร
น่าจะเป็นญาติๆของเธอมั้ง

พอเพื่อนเห็นเธอยืนดูอยู่ตรงนั้นนานๆ
เพื่อนก็บอกว่า
"ตอนนี้หละเอ็ง"
"เข้าไปคุยเลย"

ผม ตอนนั้นรู้สึกกล้าๆกลัวๆ
แต่ก็พยายามจะเข้าไปให้ใกล้ๆเธอ
ค่อยๆขยับเข้าไปยืนใกล้ๆเธอ ทีละนิดทีละหน่อย
จนเกือบๆจะเข้าไปถึงตัวเธอ
อยู่ๆก็มีอะไรมาผลักให้ผม กระเด็นออกมาจากตรงนั้น
แล้วก็มีร่างชายวัยรุ่น มายืนอยู่แทนทีผม
ผมมองไป
มันก็มองหน้าผม แล้วก็ถามว่า
"มีปัญหา หรือ"

ผม งง มาก มันเรื่องอะไร
พยายามมองหาเพื่อนที่อยู่ด้านนอก
แล้วชายคนนั้นก็พูดขึ้นว่า
"ผู้หญิงกู อย่ามายุ่ง"

พอผมเริ่มรู้ว่า เจอตอเข้าให้แล้ว
ผมก็รีบ ถอยหลังจะเดินกลับไปหาเพื่อน
แต่ก็ไปชนกับวัยรุ่นที่อยู่ข้างหลังผม
ผมหันไปมอง ก็เห็นเป็นพวกวัยรุ่นที่มันเคยเดินเบียดผมหน้า เวทีรำวง
แล้วมันก็ผลักผมให้ไปชนกับคนที่มันมาหาเรื่องผม
ผมเซไปชนตามแรงผลัก แล้วไอ้คนที่ถูกชน มันก็จับคอเสื้อผมดึงอย่างแรง
แล้วก็พูดว่า อยากตายเหรอ
ตอนนั้นผมรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที รีบเอามือไปดันแถวๆลำตัวมันไว้
แล้ว วัยรุ่นที่อยู่ข้างหลังผม ก็มาล็อคคอผม
ผมถอยหลังไปตามแรงดึง พยายามทรงตัวไม่ให้ล้ม
ผู้คนรอบข้าง เริ่มถอยห่างเป็นวงกว้าง ร้องเอะอะกันขึ้น
แล้วอยู่ๆก็ได้ยินเสียง "ย๊ากๆ" มาอย่างแรง
มองไปอีกที เห็นแต่เพื่อนผมมันกระโดดมาแต่ไกลเลยครับ
ถีบเข้าหน้าไอ้คนที่มาหาเรื่องผมคนแรก จนกระเด็น
แล้วหลังจากนั้น ก็ชุลมุนกันไปมา ผมสาวหมัดใส่พวกวัยรุ่นที่เข้ามารุมจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
ทั้งหมัดทั้งเท้า ปลิวเข้ามาชกหน้า ชกลำตัวผม แทบจะหลบไม่ทัน
เพื่อนก็ทั้งถีบทั้งต่อย ร้องเสียงดังอยู่ข้างๆ
ผมถูกลัดคอ ให้ล้มลง แล้วพวกวัยรุ่นก็วิ่งเข้ามาเตะผมไปมา
เพื่อนผมก็เข้ามาช่วย เห็นพวกวัยรุ่นกระเด็นไปสองสามคน
ผมรีบลุกขึ้นมา
ได้ยินเสียงเหมือนไม่ไผ่แตกหัก พอมองไปที่เพื่อน
เห็นเพื่อนถูกไม้ไผ่เท่าบ้องข้าวหลามฟาดเข้ามาที่กลางแผ่นหลัง จนบ้องไม้ไผ่นั้นแตกกระเด็น
แต่เพื่อนผมมันก็ยังหันกลับไปสู้ต่อ

ผมรีบตั้งหลัก พยายามถีบพวกมัน เพื่อป้องกันตัว
แต่พวกมัน มากันเยอะขึ้น
จนดูท่าว่าจะสู้ไม่ได้ ผมก็เลยวิ่งหนี
พวกมันก็วิ่งตามผมมา
ตอนนั้นนึกอะไรไม่ออกเลย มันจวนตัวมากๆ
รีบวิ่งหนีให้ไวที่สุด ได้ยินแต่เสียงพวกมันร้องโหวกเหวกตามหลังมา
ผมวิ่งหนีออกมาจนถึงหน้าประตูวัด
แล้วก็รีบวิ่งไปตามถนนที่เป็นทางกลับบ้าน

จนมาเห็น กองขยะ ก็เลยจำได้ว่า ตรงป่าข้างๆ คือทางที่เราเคยมา
ผมก็เลยรีบวิ่งเข้าไปในป่าทันที
รีบหาที่มืดๆเข้าไปซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ ด้วยใจระทึก

จนสักพักใหญ่ๆ  ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีใครเดินมา
เป็นเสียงฝีเท้าคน หลายๆคน
ผมใจเต้นแรงมาก พยายามหมอบอยู่ตรงกอหญ้า ข้างๆต้นไม้
เสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา
แล้วก็เริ่มได้ยินเสียงคุยกัน
พอเดินผ่านมาตรงแถวๆข้างหน้าจุดที่ผมซ่อนอยู่
ก็ปรากฏว่า เป็นชาวบ้าน กับเด็กสองสามคน กำลังเดินกลับบ้านกัน
พอเขาเดินผ่านไป
ผมรู้สึกโล่งอก นึกว่าเป็นพวกนั้นตามมา
พอเห็นคนเดินผ่านไป ผมก็เลยเดินออกมายืนอยู่ข้างๆทางมืดๆ ในป่านั้น
มองคนกลุ่มนั้นกำลังเดินกันอยู่ ตามทาง
สักพักผมก็หันกลับไปดูตามทางเดินด้านหลังผม
อยู่ๆก็มีร่างคน เป็นเงาดำทะมึน ยืนนิ่ง อยู่ไม่ไหวติง
จนผมตกใจ ร้อง เชี้ย.. !  ออกมาอย่างลืมตัว
ก่อนจะมีเสียง เสียงหนึ่งดังขึ้น

"เออ  กูเอง"

พอได้ยินเสียงเพื่อนผมก็รู้สึกดีใจขึ้นมา
รีบตอบเพื่อนไปทันที
"โห เมื่อกี้ ใจหายแว๊บ เลย มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง"

พอมาหยุดอยู่ ต่อหน้ากัน
ทั้งผมทั้งเพื่อน ต่างก็พากันหัวเราะออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
5555555
"เออ ..  ตื่นเต้นดีหวะ"
ผมพูดไปพลางหัวเราะไปพลาง

แล้วผมกับเพื่อนก็พากันเดินกลับบ้าน
พอเดินไปได้สักพัก อยู่ๆก็มีเสียงหมาหอนขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

เฮ้ย.. ได้ยินไหม
ผมหยุดชะงัก ก่อนถามเพื่อน

เพื่อนก็บอกว่า ไม่มีอะไรหรอก ดึกแบบนี้ หมาก็หอนเป็นปกติหละ รีบๆเดินเถอะ

ผมกับเพื่อนรีบก้มหน้าก้มตาเดินต่อ จนมาถึงจุดมืดๆ ตรงที่เพื่อนมันแกล้งหลอกผี
อยู่ๆก็มีลมพัดแรงมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
จนผมรู้สึกหลอนขึ้นมาเลย
ผมชะงัก หยุดเดิน  พยายามมองไปข้างหน้า
พอผมหยุดเดินเท่านั้นแหละ ลมก็หยุดพัด หมาก็หยุดหอน
ความเงียบก็เข้าปกคลุม
สักพัก ก็ได้ยินเสียงดัง ตุ๊บ อยู่ข้างหลังผม
ผมกับเพื่อนหันไปมองด้านหลัง
อยู่ๆก็มีอะไรกลมๆดำๆกลิ้งออกมาจากริมทาง  แล้วก็มาหยุดตั้งอยู่ตรงที่เราเดินผ่านมา
เท่านั้นแหละ ไม่ทันรู้ว่าเป็นตัวอะไร
ผมออกสตาร์ท วิ่งสี่คูณร้อย อย่างไวเลยครับ
พลางร้องตะโกนไปตลอดทาง ไม่เป็นภาษา

วิ่งจนมาถึงหน้าบ้านเพื่อน
ทั้งหอบทั้งหืดจะกิน แทบจะเป็นลม
ผมทรุดลงนั่งกับถนน  ทั้งเหนื่อย ทั้งหอบ ทั้งขำ
นั่งหัวเราะอยู่กับเพื่อนสองคน เหมือนคนบ้า

เออ คราวหลัง ข้าไม่ไปแล้วนะทางนี้  โคตรหลอนเลย

พูดไปก็หอบไป

นั่งพักอยู่ครู่ใหญ่ ก็เลยพากันเดินเข้าบ้าน
พอเข้ามาในบ้าน ตอนแรกไฟหน้าบ้านก็ติดสว่างดีอยู่หรอก
พอพากันก้าวเท้าเข้าไปในบ้านเท่านั้นหละ ไฟก็กระพริบ กระพริบ
แล้วก็ดับไปเลย

อ้าว อะไรวะ พอเข้าบ้านก็ไฟดับอีก
วันนี้ทำไมมันซวยแบบนี้วะ
ผมเริ่มบ่น
ไม่รู้ว่าเพราะไม่ได้กินข้าวเย็น หรือเพราะผมโมโห
อยู่ๆท้องก็ร้องขึ้นมา
รู้สึกแสบท้องหิว ข้าวขึ้นมาอย่างแรง
เลยบอกเพื่อนไปว่า

เห้ย .. หิวข้าวว่ะ  มีอะไรกินไหม

เพื่อนก็บอกว่า ไม่แน่ใจ ต้องไปดูในครัว ไม่รู้ว่าน้าแบ่งกับข้าวไว้ให้หรือเปล่า

พอผมกับเพื่อนเดินเข้าไปในครัว
รู้สึกมันมืดมาก
เพื่อนก็เลยบอกให้ผมไปจุดตะเกียง ที่แขวนอยู่ข้างๆเสา ในครัว
ถามเพื่อนว่าไฟแช็คอยู่ไหน เพื่อนก็บอกว่าอยู่ข้างๆเตา
หาไฟแช็คไปมาอยู่พักหนึ่ง แล้วก็จุด ตะเกียงขึ้นมาได้
พอแสงตะเกียงสว่างขึ้น ผมก็ถือเอามาวางไว้ที่หลังตู้กับข้าว
เปิดตู้กับข้าวไปดูว่ามีอะไรกินไหม
รู้สึกจะมีถ้วยแกง กับจานผัดผักใส่อะไรสักอย่าง
ผมก็เลยยกมาวางไว้ตรงโต๊ะ ในครัว
แล้วก็ไปตักข้าวในหม้อหุงข้าวมานั่งกิน ที่โต๊ะ
เพื่อนมันก็นั่งดูผมกินอยู่ที่โต๊ะ
ผมเลยถามว่า ไม่กินด้วยกันหรือ
เพื่อนก็บอกว่า ไม่หิว
พอได้ข้าวมา ผมก็ตักน้ำแกงมาซดก่อนเลย
อืม อร่อยดี แต่เสียดาย หวะ  มันไม่ร้อน
พอเห็นว่าอร่อยผมก็ตักข้าวกินไปคำ ตักแกงกินไปคำ
จนพอเคี้ยวไปเคี้ยวมาแล้วรู้สึกเหมือนมีอะไรแข็งๆติดฟัน
เลยดึงออกมาดู มันเป็นเหมือนเกล็ดปลาครับ
ผมก็เลยถามเพื่อน ไป
ปลาอะไรวะ ทำไมเกล็ดมันแข็งๆ
เพื่อนก็บอกว่า ไม่รู้เหมือนกัน
ผมก็เลยลองเอาช้อนไปคนหาตัวปลา
พอตักเปลาขึ้นมาดู

"เฮ้ย.. ทำไมตัวมันยาวๆ"

พอดูดีๆ
"อ้าวปลาไหล"
"นี่ต้มปลาไหลหรือ"

ผมถามเพื่อนไป

เพื่อนมันก็ ไม่ตอบอะไร
ผมก็เลยลองตักเนื้อปลาไหลมากิน
พอเคี้ยวไปเคี้ยวมาสักพัก
รู้สึกเหมือนมีอะไรติดฟัน
เลยดึงออกมาดู

"เฮ้ย.. สะ สะ เส้นผม"

ผมรีบเดินไปที่ตู้กับข้าว เอาตะเกียงมาส่องดูที่โต๊ะ
พอส่องไปดูที่เกล็ดปลาที่ผมเอาวางไว้ข้างๆจานข้าว

เท่านั้นแหละ
ผมแทบจะอ้วกออกมาทันที

มันไม่ใช่เกล็ดปลาครับ มันเป็นเล็บคน

แล้วภาพศพที่จมน้ำ หน้าขาวซีด ที่มีปลาไหล เลื้อยออกมาจากท้อง ก็แว๊บขึ้นมาในหัวผมทันที

อ้วก..

ผมอ้วกแตก ออกมาข้างๆโต๊ะกับข้าว อย่างสุดฝืน ด้วยความผะอืดผะอม

"นี่ น้าเอ็ง ไปเอาปลาไหล มาจากที่ไหนวะ"

ผมรีบถามเพื่อนไป
ยังไม่ทันฟังเพื่อนตอบ ผมก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ เอานิ้วล้วงไปในลำคอ ก่อนจะอ้วก ออกมาอีก
เอาน้ำมา บ้วนปาก รีบแปลงฟันทันที

โอ๊ย ตาย ตาย ตาย
ตอนนั้นผม หมดเรี่ยวหมดแรงมาก ผะอืดผะอม ขมคอไปหมด
ผมนั่งยองๆก้มหน้าอยู่ข้างๆตุ่มในห้องน้ำ มืดๆ
เพื่อนก็เข้ามาปลอบ อยู่หน้าห้องน้ำ
ไม่เป็นไรหรอกน่า.. กินไปแค่นี้ไม่ตายหรอก

ผมก็ได้แต่โวยวายมันไป
ไอ้บ้า... โคตรสะอิดสะเอียนเลย

จนเริ่มปรับอารมณ์ได้สักพัก
เพื่อนมันก็บอกผมว่า
ล้างเนื้อล้างตัว เข้านอนเถอะ หวะ ดึกแล้ว
แล้วเพื่อนมันก็เดินเข้าไปนอนในห้องมัน
ส่วนผมพอล้างแขนล้างขาเสร็จ ก็ถือตะเกียงเข้าไปนอนในห้องที่เพื่อนมันเตรียมไว้ให้
พอดับตะเกียง หัวถึงหมอน อยู่ๆหมาก็หอนขึ้นมา จนผมขนลุกซู่ไปตามแผ่นหลัง
ได้แต่คิดในใจ
แล้วก็ พึมพำ เบาๆ
ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจกินนะ อย่ามาหาผมเลย

ว่าแล้วก็รีบคลุมโปงเลยครับ

ตื่นเช้ามา ได้ยินเสียงไก่ขัน จนทำให้ผมรู้สึกตัว
นอนงัวเงียไปมา แล้วอยู่ๆก็ได้ยินเสียง คน วิ่งตึงๆ กันอยู่หน้าบ้าน
แล้วก็ได้ยินเสียง คนพูดว่า เร็วๆ เร็วๆ
ฟังๆอยู่สักพัก เหมือนเขาเอะอะ อะไรกัน
ผมเลยลุกขึ้น เดินออกไปดู
เห็นคนยืนคุย อยู่หน้าบ้านเป็นกลุ่มใหญ่ เกือบๆสิบคน
หนึ่งในนั้น มีตำรวจยืนอยู่ด้วย
ผมค่อยๆเดินออกไปดูช้าๆ
สีหน้าคนที่คุยกันอยู่ตรงนั้น ดูไม่ค่อยดี
แล้วสักพัก น้าผู้หญิงของเพื่อนก็ทิ้งตัวลงกับพื้นดินหน้าบ้าน แล้วก็ร้องโวยวาย
"เฮ้ย.. เป็นอะไรกัน"
ผมเดินออกมาหยุดอยู่หน้าบ้าน
ทุกคนหันมามองผมเป็นตาเดียวกัน
แล้วทุกอย่างก็เงียบลง

"เกิดอะไรขึ้นครับ"

แล้วหลังจากนั้น ผมก็แทบจะเสียสติเลยครับ
เมื่อตำรวจแจ้งว่า
เพื่อนผมถูกกลุ่มวัยรุ่น ฟันคอขาด แล้วเอาศพไปทิ้งไว้ในป่าช้า

ผมได้แต่ อึ้ง จนทำอะไรไม่ถูก
ยืน งง อยู่แบบนั้น อย่างคนนึกอะไรไม่ออก
เสียงญาติเพื่อน ร้องไห้ ระงม ก่นด่าพวกวัยรุ่นที่มาทำร้ายเพื่อนผม
บางคนก็มาด่าผมด้วยที่ไม่ดูแลเพื่อน วิ่งหนีเอาตัวรอดคนเดียว
ผมได้แต่ยืนตัวชา ข้างในหัวมันตื้อไปหมด แทบจะไม่รับรู้อะไร
ขาไม่มีแรงเดิน เข่าอ่อนแทบยืนไม่ไหว

แล้วไม่นาน ญาติๆเพื่อนก็พากันไปดู ศพเพื่อนในป่า
ผมยอมรับเลยว่า ผมไม่กล้าไปครับ ไม่กล้าไปเห็นสภาพเพื่อนแบบนั้น
ขอร้องให้ตำรวจพาผมแยกไปให้การณ์ที่โรงพัก

ตลอดทางที่ถูกพาไปโรงพัก ผมคิดไปคิดมาหลายตลบ
จะเล่าความจริงดีหรือเปล่า แล้วเขาจะเชื่อผมกันไหม
คิดแล้วคิดอีก ผมก็ตัดสินใจว่า ไม่เล่าเรื่องเมื่อคืน ดีกว่า

ผมให้การณ์ไปว่า พอมีเรื่องกับกลุ่มวัยรุ่นกัน แล้วผมก็วิ่งหนีกลับบ้านคนเดียวเลย

แม้ตำรวจจะพยายาม เอาเหตุผลโน้นนี่นั่นมาถามผม
ว่าไม่ห่วงเพื่อนเลยหรือ
-ไม่คิดจะตามหาเพื่อนเลยหรือ ที่ยังไม่กลับถึงบ้าน
-กลับเข้าห้องนอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยหรือ

ผมได้แต่นิ่งเงียบ เพราะไม่รู้จะตอบยังไง
กับความจริงที่ พอบอกไปก็คงไม่มีใครเชื่อแน่นอน

หลังจากให้การณ์เสร็จ กลับมาที่บ้าน ผมได้แต่ไปขอโทษกับญาติๆเพื่อน
ที่ผมเป็นต้นเหตุให้เพื่อนเสียชีวิต
มันเป็นช่วงเวลาที่ ผ่านพ้นไปอย่างยากลำบาก สำหรับผมมาก

ช่วงสายๆ ตำรวจก็ตามจับคนที่ทำให้เพื่อนผมเสียชีวิตได้ครับ
เห็นตำรวจบอกว่า คนร้ายยังเมาหลับแอ๋ในบ้านอยู่เลย ตอนที่ไปจับกุม

ตอนนั้นผมสติหลุดมาก อยากจะไปเอาคืนให้เพื่อน
แต่ก็ถูก ญาติๆเพื่อนกันไว้ ไม่ให้เข้าไป ตอนที่คนร้ายมาขอขมา

มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีคนพาผมไปที่วัด
แล้วก็เจอโลงศพที่บรรจุร่างเพื่อนไว้ภายในเรียบร้อยแล้ว ตั้งอยู่กลางศาลา

ผมรู้สึกเสียใจและเป็นทุกข์มาก
ได้แต่คิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้เพื่อนต้องมาจบชีวิตลงแบบนี้
ตอนนั้นรู้สึกไม่มีกระจิตกระใจอยากทำอะไรเลย
ที่ทำได้ ก็... พยายามช่วยตามเพื่อนๆ ให้มางานศพมัน
แต่เพราะเป็นการเสียชีวิตแบบกระทันหันมาก เพื่อนๆหลายคนก็เลยติดธุระ ไม่สามารถเดินทางมาได้

คืนแรก ก็เลยยังไม่มีใครมาเท่าไหร่
วัดที่ตั้งศพเพื่อนเป็นวัดเล็กๆเก่าๆ ไม่ค่อยมีคนผ่านไปผ่านมามากนัก
แถวนี้ ญาติๆเขานิยมมานอน เฝ้าศพที่ศาลากันมากกว่า
พอดึกๆ ก็เริ่มมี วงไฮโล ของชาวบ้าน  มานั่งเล่นกัน
เป็นเพื่อนศพ พอให้คลายเหงาได้บ้าง

ผมไม่ได้กลับบ้านเปลี่ยนชุด นอนอยู่ที่ศาลาตั้งศพ นั้น จนถึงเช้า

คืนที่สอง
ช่วงสายๆ  หลังจากกลับไป อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนชุดแล้ว
ผมก็มาช่วยรับแขกที่ศาลาอีกที
จนกระทั่งช่วงเย็นๆ
เพื่อนผมก็ ขับรถมาจากกรุงเทพกัน
เดินทางมาด้วยกัน 4 คน
แล้วเพื่อนก็เอา ซอง ช่วยงานศพไปให้ญาติเพื่อนที่เสียชีวิต
เป็น เงินที่รวบรวมกันมา จากคนที่ไม่ได้มาด้วย เขาก็ฝากใส่ซองกันมาให้
หลังจากสวดอภิธรรมเสร็จ เกือบๆสองทุ่ม
เพื่อนๆมันก็อยากจะอาบน้ำ แต่มันไปดูห้องน้ำวัดแล้ว มันไม่สะดวก
ผมก็เลยพาพวกมันไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่บ้านเพื่อนคนที่เสียชีวิต

ขับรถมาถึงหน้าบ้าน ไฟหน้าบ้านไม่ได้เปิดไว้
ทำให้บรรยากาศตอนนั้นมืดมาก
ผมเดินเข้าไปเปิดไฟหน้าบ้าน แล้วไขกุญแจเข้าบ้าน ที่ประตูใหญ่ อย่างคุ้นเคย
เสียงเพื่อน เดินถือกระเป๋า คุยกันดังตามหลังผมมา
พอเข้าไปในบ้านได้ ก็พากันไปนั่งเตรียมตัวอาบน้ำกันอยู่ในครัว ตรงหน้าห้องน้ำ
แสงไฟในครัว มันสลัว สลัว เพราะเป็นหลอดไฟ ดวงเดียว ห้อยลงมาจากขื่อ
เพื่อนคนหนึ่ง พอมันหอบเสื้อผ้าได้ก็ รีบเข้าไปอาบน้ำก่อนเพื่อน
เพื่อนอีกสามคนที่เหลือก็นั่ง ค้นเสื้อผ้าในกระเป๋า เตรียมตัวอาบน้ำ
ค้นหาอะไรในกระเป๋ากันอยู่สักพัก
เพื่อนคนหนึ่งก็บอกว่า เฮ้ย มันลืมแปรงสีฟัน แถวนี้มีร้านขายของไหม
คุยกันไปคุยกันมา เพื่อนคนอื่นก็ ลืมโน้น ลืมนี่กัน ก็เลยจะไปร้านขายของกันหมด
ผมก็เลยบอกว่า
ลองขับรถไปหาดู แถวๆนี้น่าจะมี
แล้วไม่นาน เพื่อนมันก็หายไปซื้อของกันหมดครับ
ทิ้งให้ผมกับเพื่อนอีกคนที่กำลังอาบน้ำอยู่ อยู่ในบ้านเพียงสองคน

พอเพื่อนออกไปบรรยากาศก็เริ่มเงียบ
อยู่ๆก็มีแมวตัวหนึ่ง เดินเข้ามาตรงในครัว ผ่านหน้าผมไป
เดินไปทางตู้กับข้าว แล้วก็หยุดอยู่ตรงตู้กับข้าว
แล้วก็ร้อง แมว..
ก่อนที่มันจะ แหงนหน้าขึ้นไปดูที่ตู้กับข้าว
ผมเห็นดังนั้น ผมก็เดินไปหามัน

"หิ้วข้าวหรือ เหมียว"

มันก็มองหน้าผม

แล้วอยู่ๆผมก็นึกถึงเรื่องที่ เพื่อนผมเล่าให้ฟังว่า
มันเป็นคนชอบแมวมาก ที่บ้านมันเลี้ยงแมวไว้ตัวหนึ่งด้วย

พอนึกได้
ผมก็เลย รีบหาอะไรในตู้กับข้าว มาคลุกให้แมวกิน
โชคดีนะที่ ยังพอมีเศษอาหารเหลือๆอยู่บ้าง

พอผมเอาจานข้าวแมว วางลงให้แมวกิน
มันก็เดินมาดมๆ สักพัก มันก็เดินออกไป
ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ก็เลยเดินมานั่งเล่นที่เดิม

ได้ยินเสียงเพื่อนอาบน้ำ อยู่สักพัก ก่อนจะเงียบไป
แล้ว อยู่ๆแมวตัวเดิมก็เดินมาอีก
เดินผ่านหน้าผมไป แล้วก็ไปหยุดดมอยู่ที่จานข้าว ก่อนจะร้อง
"แมว"

แล้วมันก็เดินกลับไปทางเดิม
พอมันเดินผ่านมาข้างหน้าผม ผมก็เลยสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา

"แมวอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือวะ แล้วมันไปนอนอยู่ตรงไหน"

ว่าแล้วผมก็เลยค่อยๆ ย่องๆ เดินตามแมวไป
แมวมันก็พาผมออกไปตรง โถงหน้าบ้าน แล้วก็เลี้ยวไปทางห้องที่ผมนอน
ทางเดินตรงนั้น มีเพียงแสงจากห้องโถง ส่องไปเป็นแสง สลัว สลัว
ก่อนถึงห้องที่ผมพัก จะมีประตูห้องนอนเพื่อนอยู่ก่อนจะถึงอีกบาน
แล้วแมวมันก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องเพื่อน
นั่งลงแล้วมองขึ้นไปตรงลูกบิดประตู
ก่อนจะร้อง "แมว" ขึ้น

ผมได้แต่นึกในใจ มันคงคิดถึง เจ้านายมัน
กำลังจะเดินไปลูบหัวมัน

แล้วอยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงลูกบิดประตูลั่น ดัง "แกร๊ก"

จนผมชะงัก หยุดมองไปที่แมวตัวนั้น แทบจะกลั้นหายใจ
แล้วประตูห้องนั้นก็ค่อยๆเปิดแง้มออกมาช้าๆ
แอ๊ด...ด
ขนหัวผมลุกตั้ง  แขนขา เย็นเฉียบขึ้นมาอย่างกระทันหัน
ตัวเกร็งจนไม่กล้าขยับไปไหน ได้แต่จ้องไปที่แมวตัวนั้น
แล้วมันก็ค่อยๆเดินเข้าไปข้างในประตูห้องช้าๆ
สักพักก็ได้ยินเสียง แมว มันร้อง
" แมว  "
ดังออกมาจากในห้องอีก

"เฮ้ย..ใครอยู่ในห้องวะ"

สักพักก็เริ่มได้ยินเสียง ไม้พื้นกระดาน ในห้องลั่น เอี๊ยด เอี๊ยด
เหมือนคนกำลังเดินอยู่ในห้อง

ใจผมเริ่มเต้นแรง ค่อยๆเดินไปที่ประตูห้องเพื่อนที่เปิดแง้มอยู่
แล้วผมก็ย่อตัวลง นั่งขุกเข่า แล้วค่อยๆชะโงกหน้าเข้าไปตรงช่องประตูที่แง้มอยู่ช้าๆ
ภายในห้องมืดๆ มีเพียงแสงลอดเข้าไปตรงประตูที่แง้มอยู่
พอมองเข้าไปในห้อง ก็เห็นแมวตัวนั้น
นั่งอยู่ตรงปลายเตียง แล้วแหงนหน้ามองขึ้นไปบนเตียง
ผมก็เลยค่อยๆกวาดสายตามองขึ้นไปดูที่เตียง

อ้าย... เชี้ย..

ร่างเงาดำทะมึน ไม่มีหัว นั่งอยู่บนเตียง
หายวับทันที ที่ผมส่งเสียงร้องออกมา
ขนหัวผมลุกตั้ง ร้องโหวกเหวกไม่เป็นภาษา
พรางรีบลุก วิ่งออกไปหาเพื่อนที่ห้องน้ำอย่างไว

ผมวิ่งกระหืดกระหอบกลับเข้ามาในครัว
เฮ้ย... เฮ้ย...

ขณะเดียวกันก็เห็นเพื่อน วิ่งออกมาจากห้องน้ำ
"เป็นอะไรวะ แหกปากร้องทำไม"

เพื่อนรีบวิ่งมาหาผม ด้วยอาการหวาดผวา มองซ้ายมองขวาไปรอบๆตัว

"มีอะไรวะ"

ผมพยายามตั้งสติ
จะพูดยังไงดี ไม่ให้เพื่อนมันกลัว
เลยถามมันไปด้วยเสียงสั่นๆ ว่า

"คนเราตายกี่วันวะ ถึงจะรู้ว่าตัวเองตาย"

พอเพื่อนได้ยินเท่านั้นแหละ มันก็รีบกระโดดเอาตัวมาอยู่ใกล้ๆผม
แล้วพูดว่า
มะ มะ มันมาบ้านหรือวะ

พอผมพยักหน้า
มันก็ร้อง เฮ้ย.. อย่างตกใจ ก่อนจะร้องออกมา
กะกู ว่าแล้ว

แล้วก็รีบวิ่งออกไปทางหน้าบ้านทันที
ทิ้งให้ผม ยืนตัวเกร็ง จนก้าวขาไม่ออก

ชะ ชะ ช่วย กูด้วย ก้าว..ขา....ไม่ออก

พอสิ้นเสียงเพื่อน ที่ร้องโวยวาย วิ่งหายไปทางหน้าบ้านเท่านั้นแหละ
รอบๆข้างผมก็เย็นยะเยือกขึ้นมาทันที
ข้างหลังผมนี่ขนลุกขนพองไปหมด
พยายามจะก้าวขา แต่ก็ก้าวไม่ออก
มองไปทางโถงหน้าบ้าน ไฟมันเหมือนหรี่แสงลงได้เอง
ดูขมุกขมัว เป็นแสงสลัวสลัว
จนอดจินตนาการไม่ได้ว่า
อย่าให้ร่างดำทะมึนไม่มีหัว เดินออกมาจากช่องทางเดินตรงนั้นนะ
เจอแบบนั้น คงเป็นลมแน่ๆ

ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว จนผมต้องหลับตาปี๋ ร้องรั่นเสียงดังให้เพื่อนมาช่วย
ช่วยกูด้วย ช่วยกูด้วยเร็วๆ
สิ้นเสียงผมตะโกนไปสองสามครั้ง แล้วหูผมก็ได้ยินเสียง
ประตูห้องน้ำสังกะสี ค่อยๆแง้มเข้าไปปิดได้เองช้าๆ
แอ๊ด....
มองไป ก็เห็นประตูห้องน้ำที่ทำด้วยสังกะสี ปิดอยู่
แล้วก็เริ่มได้ยินเสียง เหมือนมี ของเหลวตกลงที่พื้นห้องน้ำ
ดัง แป๊ะ  แป๊ะ  ทิ้งช่วงห่างๆกัน
ก่อนที่เสียงนั้นจะดัง รัวๆขึ้น  แป๊ะแป๊ะ แป๊ะแป๊ะ ฯ
พอฟังดูแล้ว
มันไม่เหมือนเสียงจากน้ำที่ตกลงกระทบพื้นเลยครับ
มันคล้ายๆเสียงของเหลวข้นๆหนักๆ ตกลงบนพื้น
แล้วในหัวผมก็คิดไปถึง เลือดขึ้นมาเลยครับ
เสียงนั้นมันเหมือนเลือดที่หล่นจากที่สูงลงมากระทบพื้นมากกว่า
คล้ายกับเสียงของ เลือดที่ค่อยๆหยดจากคอวัว ตอนที่เขากำลังเอามีดเชือดคอวัว

ผมยืนตัวเกร็ง สงสัยว่ามันเสียงอะไร
พอแหงนคอมองขึ้นไปแถวๆบนหลังคาห้องน้ำเท่านั้นแหละ
คุณพระช่วย
ผมเห็นข้างหลังหัวคนผมดกดำมีแต่คอ ลอยติดอยู่บนหลังคา
เลือดไหลออกมาจากคอหยดลงพื้น แป๊ะแป๊ะ

ผมได้แต่ตะลึงจนตาค้าง  ขนหัวลุกซู่
รีบร้องตะโกนออกมาแทบไม่เป็นภาษา

อ้าย.. เชี้ย...

เร็วๆ  เร็วๆ โว้ย..

ผมยืนหลับตาร้องตะโกนอยู่อย่างนั้น แทบคลั่ง เสียสติ
สักพักก็เริ่มได้ยินเสียงเพื่อนผมเดินเข้ามากันตรงทางโถงหน้าบ้าน
พอรีบลืมตาหันไปมองหน้าบ้าน
ก็เจอเพื่อนพากันเดินเข้ามา สามคน
ผมก็รีบรนราน เร่งเพื่อน
เร็วๆ เร็วๆ พากูออกไปที
พะพากูไปที มะมะไม่ไหวแล้ว

เพื่อนผมสามคนรีบเข้าไปหอบเอากระเป๋าเสื้อผ้า
แล้วก็ลากตัวผมออกมาจากในครัว อย่างคนรีบเร่ง
ไม่มีใครถามอะไร เหมือนทุกคนรู้ว่า ผมเจอดีอะไรเข้าแล้ว


พอพากันไปที่รถ กำลังจะขึ้นรถ
ก็เห็นเพื่อนคนที่มันวิ่งออกมาก่อน นั่งตัวสั่นอยู่ในรถแล้ว
พอขึ้นรถกันครบทุกคน
อยู่ๆหมาก็หอนดังระงม ขึ้น

บรรยากาศเริ่มวังเวงขึ้นมาอีก
เพื่อนรีบขับรถออกทันทีหลังจากสตาร์ทติด
ขับมาได้สักพัก ในรถเงียบมากไม่มีใครกล้าพูดอะไร
พอทุกคนเริ่มมีสติ เพื่อนผมคนหนึ่งก็ถามผม ว่าเห็นอะไรมา
ผมก็บอกว่า
เห็นตัวมันอยู่ในห้องนอนมัน แต่หัวมันดันลอยอยู่ในห้องน้ำ
ทุกคนก็เหมือน อุทานขึ้นพร้อมกันเบาๆ
เชี้ย...

แล้วเพื่อนอีกคนก็หันไปถามเพื่อนผมคนที่วิ่งออกมาก่อน
ว่าเจออะไร
เพื่อนคนนั้นมันก็บอกว่า
ไม่เห็นอะไรหรอก มันกลัว ก็เลยรีบวิ่งออกมา
พอคุยกันไปคุยกันมา เพื่อนๆก็เลยบอกว่า
ผมอาจจะ คิดมาก พักผ่อนน้อย บวกกับเสียใจที่เพื่อนโดนฆ่าตาย
ก็เลย เห็นภาพหลอนไปเองก็ได้ เพราะว่าคนอื่นๆไม่มีใครเห็นอะไรเลย

ตอนนั้นพอได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้นผมก็ คิดว่า
เราคงหลอนไปเอง อย่างที่เพื่อนว่าแหละ

พอทุกอย่างเงียบ
เพื่อนผมมันก็ เปิดวิทยุในรถ สร้างบรรยากาศให้ดูครื้นเครง
ฟังไป ตอนแรกก็เป็นเพลงลุกทุ่ง
แล้วอยู่ๆ ก็กลายเป็นเสียงระนาดเชิด เหมือนเชิดลิเกกำลังเข้าหลังโรง
ดังขึ้นมา
ผมขนลุกซู่ขึ้นมาอีก ทันทีที่ได้ยิน เสียงนั้น
มันเป็นเสียงเหมือนระนาดเชิดหน้าเวทีลิเกวันนั้นเลย

ผมรีบบอกให้เพื่อน เปลี่ยนๆ เพราะเริ่มจะหลอนอีกแล้ว
เพื่อนมันก็เปลี่ยนไปช่องอื่น
เสียงเพลงสตริงก็ดังขึ้น
สักพัก ก็กลายมาเป็นเสียงขาดๆหายๆ แล้วก็มีเสียง
ระนาดเชิดแบบเดียวกันดังขึ้นมาอีก
ผมขนลุกไปตามแผ่นหลัง จนขนที่ท้ายทอยลุกตั้ง
เผลอพูดออกมา
เฮ้ย... อย่ามาหลอกพวกกูเลยเพื่อน

เพื่อนในรถได้ยินถึงกับ หันมามองผมพร้อมกันเป็นตาเดียว
แล้วก็ถามว่า มีอะไรวะ
ผมก็เลยบอกว่า

"เสียงระนาดที่พวกแกได้ยิน"
"มันเหมือนเสียงเดียวกันกับตอนที่มีเรื่องหน้าเวทีลิเก เลยหวะ"

เท่านั้นแหละ เพื่อนรีบปิดวิทยุ
เร่งเครื่องขับไปอย่างไว
พากันนั่งเงียบไปตลอดทาง ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีกเลย
จนกระทั่งถึงวัด
พวกเราก็รีบพากันไปจุดธูปบอกให้มันรู้ตัวว่ามัน เสียชีวิตแล้ว
อยู่กันคนละภพ อย่ามาหลอกมาหลอนกันอีกเลย แล้วจะทำบุญไปให้
แล้วคืนนั้นเราก็ไม่เจออะไรอีกเลยครับ
จนครบวันที่สาม ญาติๆเขาก็เอาศพเข้าเก็บไว้ในเบ้าเก็บศพ
รอเกือบๆสองปีถึงจะเอาร่างมาเผา ตามความเชื่อที่ว่า ผีตายโหง เขาจะไม่เผากัน
จะเก็บร่างไว้จนกระทั้งแห้งแล้วถึงจะเอามาเผา

หลังจาก เสร็จงานศพเพื่อนแล้ว
ผมก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติที่ กรุงเทพ
พยายาม ไม่ให้คิดมาก เพราะผมเริ่มมีอาการหลอน อย่างที่เพื่อนว่า

อย่างตอนที่ นั่งรถกลับมาด้วยกัน
ก็มีผมได้กลิ่นยาฉีดศพ ฟุ้งอยู่ในรถเพียงคนเดียว
เพื่อนๆไม่ได้กลิ่นกันเลย

ผมก็เลยกลัวว่า ถ้าเรา คิดมากไปมันอาจจะ เป็นประสาทก็ได้
เลยพยายามไม่คิดมาก

เจ็ดวัน หลังจากเพื่อนเสียชีวิต
ตอนนั้นผมอยู่คอนโด
ช่วงสองทุ่มกว่าๆ ผมกำลังเปิดกล้องคุยสไกด์กับเพื่อนคนหนึ่งในคอมพิวเตอร์
เธอเป็นเพื่อนสาวคนสนิทที่ผมกำลังคบหาดูใจกันอยู่ ก็เลยคุยกันนานหน่อย
จนเกือบๆสามทุ่ม ผมรู้สึกปวดเบาขึ้นมา ก็เลย บอกเพื่อนหญิงว่า  ไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวมา
ทำธุระเสร็จ ก็รีบออกมาคุยต่อ
พอมาดูหน้าจอ ก็ปรากฏว่า เพื่อนปิดสไกด์ไปแล้ว
ผมก็เลยโทรกลับไปใหม่ แต่เธอก็ไม่รับ
โทรไปอยู่หลายรอบ ก็ไม่รับอีก
จนเห็นสไกด์เธอขึ้น ออฟไลน์ไป ผมก็เลยเลิกโทร
สงสัยจะ ไปทำธุระ
สักพัก ผมก็ปิดไฟเข้านอน
นอนเล่นไปมาสักพักก็รู้สึกง่วงจนเกือบๆจะหลับ
กำลังสลึมสลือ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงเก้าอี้ที่โต๊ะคอมตรงปลายเตียงดัง
เอี๊ยดอ๊าด เอี๊ยดอ๊าด
เหมือนมีคนนั่งอยู่ที่เก้าอี้
ผมสะดุ้ง รีบผงกหัว มองไปทางปลายเตียง แล้วเสียงนั้นก็เงียบไป
ในห้องมืดมาก เห็นแค่เงาดำๆของ เก้าอี้กับโต๊ะคอมตรงข้างผนัง
ผมกรอกส่ายสายตาไปมา มองหาที่มาของเสียงนั่น
แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเคลือนไหว
สักพักก็ได้ยินเหมือนคน พิงพนักเก้าอี้ เอนไปข้างหลัง ช้าๆ  เสียงดัง แอ๊ด..
ผมขนลุกซู่ รีบเพ่งมองไปที่เก้าอี้
จนพอสายตาปรับชินในความมืด
อยู่ๆ เก้าอี้ ก็ค่อยๆเลื่อนถอยหลังออกมาจากตรงโต๊ะคอม ช้าๆ
จนมาหยุดอยู่กลางห้อง
ผมตกใจมาก ลุกขึ้นมานั่ง รีบถอยหลังไปพิงหัวเตียง แล้วก็เอื่อมมือไปเปิดไฟในห้องทันที
พอมองไปที่กลางห้อง ก็เห็นเก้าอี้สงบนิ่งอยู่กลางห้อง
ตอนนั้นใจผมเต้นแรงมาก เริ่มรู้สึก หนาวๆตามรอบๆตัวไปหมด
แล้วผมก็ค่อยๆลุกจากเตียงเดินไปดูตรงเก้าอี้
มองไปที่โต๊ะคอม
ได้แต่ งง  ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทำไมอยู่ๆเก้าอี้เลื่อนออกมาเองได้
พอเลื่อนเก้าอี้เข้าไปเก็บไว้ใต้โต๊ะแล้ว
ผมก็กลับมานอนต่อ
เปิดไฟทิ้งไว้ทั้งคืน จนกระทั่งเช้า
สายๆ ช่วงนั่งเล่นคอมอยู่
อยู่ๆ ก็มีข้อความในสไกด์เด้งขึ้นมา
จากคนที่ผมคุยด้วยเมื่อคืน
ว่า
อย่าเล่นแบบนี้อีกนะ ถ้าทำอีกจะไม่คุยด้วยแล้ว

ผมรู้สึก งง มาก ก็เลยรีบถามไป
ว่าทำไมถึงพูดแบบนั้น มีอะไร

เธอก็พิมพ์บอกมาประมาณว่า
ตอนที่ผมไปเข้าห้องน้ำ
อยู่ๆกล้องผม ก็ส่ายไปส่ายมา
แล้วพอกล้องกลับมาตั้งตรงเหมือนเดิม
เธอก็เห็น แต่ช่วงท่อนแขนของใครคนหนึ่งเดินผ่านกล้องไป
แต่แขนนั้นมีแต่เลือดเต็มไปหมด

พอได้ฟัง ผมก็ตกใจมาก
รีบพิมพ์ถามเธอไปว่า เห็นจริงหรือ ไม่ได้ตาฝาดนะ
เธอก็บอกว่า ยังจะมาถามอีก
แล้วเธอก็ต่อว่าผมใหญ่เลย ที่มาแกล้งแบบนี้
ซึ่งผมก็พยายามยืนยันไปกับเธอว่า ผมไม่รู้เรื่องเลย
ไม่ได้แกล้ง จริงๆ
จนที่สุดเธอก็งอนผมแล้วก็เงียบไป

โปรดติดตามตอนต่อไป  ศพหิ้วหัว

จากพันทิป ปลาไหลต้มเปรต
เรื่องโดย  LoyChinE FB ลอยชาย

ไม่มีความคิดเห็น