ศพหิ้วหัว



  "ศพหิ้วหัว" ตอนต่อจาก "ปลาไหลต้มเปรต"  โดยคุณ ลอยชาย เจ้าชายแห่งการเล่าเรื่องผีแห่งพันทิปฝากผลงานไว้มากมาย ขอขอบคุณเรื่องคุณภาพเสมอมาไว้ ณ ที่นี้ด้วย

วันที่สิบหลังจากเพื่อนเสีย
หลังจากได้ยินเรื่องที่เพื่อนหญิงคนนั้นเล่าให้ฟัง
ผมก็รู้สึกระแวงอะไรบางสิ่งในห้องอยู่เหมือนกัน
แต่ก็พยายามไม่คิดอะไร
พอผ่านมาหลายวันแล้ว ก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต
ผมก็เลยคลายความวิตกลงได้บ้าง

จนกระทั่ง ช่วงเย็น
เพื่อนโทรมาชวนให้ไปหาที่ห้องมัน
เพื่อนผมมันเช่าคอนโดอยู่ตึกฝั่งตรงข้ามกับตึกผมนี่เอง
มันบอกให้ผมรีบไปหามันที่ห้อง เพราะกำลังสังสรรค์กันอยู่
ผมรับปากเพื่อนไป
แต่ก็นั่งทำอะไรอยู่ในห้องสักพัก จนมืดค่ำ
เลยเปิดไฟในห้องทิ้งไว้ ก่อนจะไปหาเพื่อนตามที่นัด

พอผมไปถึงห้องเพื่อน ก็เห็นเพื่อนๆ อยู่ในห้องกัน เจ็ด แปด คน
กำลังนั่งกินข้าวกินเหล้ากันอยู่หน้าทีวี
ผมก็เข้าไปนั่งดื่มนั่งกินกันตามประสาการพบปะกัน
จนผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เพื่อนบางคนก็ขอตัวกลับก่อน
ในห้องตอนนั้น เลยเหลืออยู่4คนรวมทั้งผม
พอเพื่อนกลับไปไม่นาน อยู่ๆฟ้าก็ดังครืนๆ แว่วๆ เหมือนฝนจะตก
นั่งกินกันไปอีกสักพัก คราวนี้ก็ได้ยินเสียงฟ้าร้อง ดังขึ้นอย่างแรง
จนเพื่อนผมคนหนึ่งมันเดินไปดูตรง หน้าต่างที่ระเบียง
ผมมองไป เห็นแต่เพื่อนมัน มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็แหงนหน้ามองฟ้า
อืม สงสัยฝนจะตกหนัก
ผมได้ยินเพื่อนพึมพำ
แล้วผมก็หันกลับมาดูทีวีต่อ ไม่ได้ใส่ใจอะไร
สักพัก เพื่อน มันก็ เรียกชื่อผม
"เฮ้ย.. ใครอยู่ในห้องเอ็งวะ"

ผมรีบหันไปมองเพื่อนคนนั้น  ทำหน้า งง อยู่แป๊บหนึ่ง
"เอ็งอำหรือเปล่านี่"

พรางรีบลุกขึ้นไปหาเพื่อนที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง
พอเดินไปถึง เพื่อนก็บอกว่า
"เมื่อกี้ มองไปที่หน้าต่างห้องเอ็ง เห็นเงาคนเดินผ่านที่ผ้าม่านด้วย"

ผมก็เลย รีบมองไปที่หน้าต่างห้องผมตามที่เพื่อนบอก
เพ่งมองไปที่ผ้าม่านอย่างจดจ่อ
จนสักพักหนึ่ง ก็ไม่เห็นเงาอะไรเดินผ่านมา อย่างที่เพื่อนบอกเลย
ผมก็เลยพูดกับเพื่อนไปว่า
"เอ็ง อย่ามาอำ แบบนี้"
เพื่อนก็บอกว่า เห็นจริงๆ ไม่ได้อำ
แต่พอไม่เห็นอะไร มันก็พูดว่า สงสัยมันตาฝาดไปเอง

พอมานั่งกินอะไรกันต่อไม่นาน ฝนก็ตกมาห่าใหญ่
ตกหนักมาก จนกระทั่งไฟดับไปทั้งคอนโด
พอเริ่มมืด เพื่อนก็หาเทียนมาจุด
ปรากฏว่า ไม่มีเทียน
ผมกับเพื่อนอีกคนก็เลยอาสาลงไปซื้อเทียนที่ร้านค้าด้านล่างคอนโดให้
พอพากันเดินลงบันไดไป  เพื่อนผมมันก็พูดกับผมขึ้นมาว่า
"เอ้ย นี่เอ็ง  ข้าว่า ข้าไม่ได้ตาฝาดนะ "
"เอ็งซ่อนผู้หญิงไว้ในห้องใช้ไหม ถึงไม่กล้าบอกว่ามีใครอยู่ในห้อง"
"อะ อะ ข้ารู้ทันนะโว้ย"

พอเพื่อนพูดจบผมก็สะดุ้งเล็กน้อย
แล้วก็บอกปัดเพื่อนไป  ว่าไม่มีใครอยู่ในห้องจริงๆ
แล้วก็บอกเพื่อนว่า
"แล้วถ้ามีจริง   ข้าจะปิดพวกเอ็งทำไมวะ ข้าก็พามาด้วยแล้วสิ"
"เอ็งตาฝาดแล้ว"

หลังจากซื้อเทียนได้แล้ว
ก็พากันเดินกลับขึ้นมา
เดินขึ้นมาได้ครึ่งทาง อยู่ๆไฟก็ติดพอดี

"อ้าวไฟมาแล้ว"
เสียงเพื่อนที่เดินมาด้วยกันพูดขึ้น
สักพัก ก็มาถึงห้อง
เปิดประตูเข้าไป
มองไปที่หน้าทีวีไม่เจอเพื่อน
พอหันกลับมาจะปิดประตู
เห็นเพื่อนสองคนนั่งตัวชิดกัน หลังพิงผนังกำแพงห้องอยู่
พอผมเห็นก็ตกใจเล็กน้อย
"อ้าว.. มานั่งทำไรอยู่นี่วะ"

มองไป ก็เห็นแขนกับมือมันสั่นๆ ทั้งสองคน
ก็เลยรีบถาม
"เป็นไร วะ  มือไม้สั่น"

เพื่อนมันก็รีบลุกขึ้น แล้วก็ตอบว่า
"ปะ ปะเปล่า ไม่มีอะไร  นั่งเล่นเฉยๆ"
สองคนรีบพูดพร้อมกันปานนัดหมาย

พอพากันมานั่งกินอะไรกันต่อ แถวหน้าทีวี
ผมก็เห็นเพื่อนสองคนนั้น มันมีอาการแปลกๆ
เหมือนมันอยากจะพูดอะไร แต่มันก็ไม่พูด
แล้วก็ดู เงียบๆ กว่าก่อนหน้าที่ไฟจะดับ
หรือว่ามันเมาแล้ว เลยเงียบๆ ก็ไม่รู้

พอดึกมากแล้วผมก็เลยขอตัวกลับห้อง
พอกำลังจะเดินออกจากห้อง
อยู่ๆ เพื่อนในห้องสองคนมันก็ร้องเรียกชื่อผมขึ้นมาพร้อมกัน
จนผมชะงัก หันกลับไปมอง
"ทำไมวะ เรียกซะตกอกตกใจ"

เพื่อนมันก็ทำหน้าเจื่อนๆ หน้าตาลอกแลก แล้วก็พูดว่า
"ปะ ปะ เปล่า  แค่จะบอกว่า โชคดีนะ"

เสียงเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น ก่อนจะโบกมือให้ แบบเขินๆ
ผมก็ได้แต่ เดินออกมาแบบ งงๆ
อะไรของมัน มีบ๊าย บาย ด้วย
พอมาถึงห้อง อาบน้ำ นั่งดูทีวีสักพัก ผมก็เข้านอน
พอปิดไฟ นอนเล่นไปมาสักพักผมก็หลับไป
มารู้สึกตัวอีกที ตอนได้ยินเสียงฝนตก ฟ้าร้อง
เสียงลอดเข้ามาในห้องเบาๆ
พอลืมตามองไปทางหน้าต่างก็เห็นแต่แสงฟ้าแลบ
ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้อง เหมือนไฟจากแฟลชถ่ายรูป
ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็เลยพลิกตัวนอนตะแคลง หันข้างไปอีกฝั่ง
กำลังจะเคลิ้มๆ หลับ อยู่ๆก็รู้สึก เหมือนมีมือใครเย็นๆมาจับตรงไหล่ผม
จนไหล่ผมเย็นเฉียบขึ้นมา ปานเอาน้ำแข็งทั้งก้อนมาวางทับ
ผมสะดุ้งตกใจ รีบหันหลังกลับไปมองว่ามือใครมาจับไหล่ผม
แต่ก็เจอเพียงความว่างเปล่าในความมืด
เฮ้ย...
ขนหัวผมลุกซู่ขึ้นมา ตัวชา ไปถึงตาตุ่ม
ผมรีบเอามือมาจับตรงไหล่ข้างที่ผมรู้สึกเย็น
ความรู้สึกว่าถูกมือใครมาจับ ยังคงอยู่ และรู้สึกได้อย่างชัดเจน
ผมรีบดึงผ้ามาคลุมจนถึงคอ นอนหงาย มองเพดาน
เริ่มคิดมาก จนนอนไม่หลับ
เมื่อกี้ เราฝันหรือเปล่าวะ หรือว่ารู้สึกไปเอง
ทำไม มันรู้สึกเหมือนจริงมาก
ผ่านไปเกือบสิบนาที ผมก็นอนไม่หลับได้แต่ นอนกระสับกระส่ายไปมา
จนเริ่มรู้สึกปวดเบา ผมก็เลยลุกขึ้นมานั่งจะไปเข้าห้องน้ำ
ผมไม่ได้เปิดไฟในห้อง
ลุกเดินไปหน้าห้องน้ำแบบมืดๆ แล้วก็เปิดไฟในห้องน้ำ
พอเข้าไปทำธุระเสร็จ กดชักโครกน้ำลง แล้วก็เดินมาล้างมือ ที่หน้ากระจก
ล้างมือเสร็จ ก็ยืนส่องกระจกดูหน้าตัวเองอยู่ในห้องน้ำเงียบๆ
สักพัก อยู่ๆก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อผมดังแว่วเข้ามาในห้องน้ำ
ทำให้ผมรีบ ขานรับ
"เออ ข้าอยู่นี่ "

พอนึกขึ้นได้ว่า ผมอยู่คนเดียว เท่านั้นแหละ
ตัวผมก็นิ่ง เกร็ง ขึ้นมาทันที
"คะ คะ ใคร เรียก วะ"

พอนิ่ง บรรยากาศก็เงียบ มาก
ใจผมต้นแรง จนมือสั่นไปหมด
ค่อยๆหันข้าง  เดินออกไปที่หน้าประตูห้องน้ำ ด้วยความสงสัย
พอเดินออกมาอยู่ตรงหน้าห้องน้ำ
แสงไฟจากห้องน้ำลอดช่องประตูออกมาเล็กน้อย
ทำให้ในห้องไม่มืดมากนัก
แต่บรรยากาศก็ทำให้ผมรู้สึก เสียวไปตามแผ่นหลังวูบวาบ
ผมค่อยๆชำเลืองมองไปทางเตียงนอนช้าๆ
พอมองไปในที่ที่มีแสงสลัว สลัว ก็ทำให้หัวใจผมเริ่มเต้นแรงจนผิดจังหวะ
ผมกวาดสายตา มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นมีอะไร
แต่ก็ยังไม่คลายความหวาดระแวง เลยรีบเดินไปเปิดไฟในห้อง
พอเดินจากหน้าห้องน้ำมา กำลังจะถึงปลายเตียง
อยู่ๆหางตาผม ก็รู้สึกว่ามีอะไรเคลื่อนไหว อยู่ตรงพื้น แถวๆโต๊ะคอม
ผมก็เลยรีบหันไปดู
พอมองไปที่พื้น ก็เห็นเหมือนตัวอะไรเป็นเงาดำๆ ตะคุ่มตะคุ่ม คล้ายหนูตัวใหญ่
จนผมต้องเพ่งมองให้ดี
พอจ้องไปดูดีๆเท่านั้นแหละ
ขนแขนผมก็ลุกซู่ รอบตัวเย็นเฉียบขึ้นมาอย่างกระทันหัน
มันเป็นเท้าของคนวางอยู่ตรงมุมมืดๆหน้าโต๊ะคอม
ผมค่อยๆมองตามเท้านั้นขึ้นไปตามลำแข้งดำๆนั้น ช้าๆ
เห็นเป็นร่างดำทะมึนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ หันมาทางผม
แล้วเสียงพนักเก้าอี้ก็ดัง แอ๊ด.. ขึ้น
พร้อมๆกับ สายตาผม ที่รีบจ้องไปดูตรงใบหน้า ว่าเป็นใครมานั่งอยู่ตรงนั้น
แล้วผมก็ ผวาขึ้นสุดขีดครับ
ร่างดำทะมึนนั้น มีแค่คอ ตั้งอยู่บนไหล่ กว้างๆ
ไม่มีหัว นั่งนิ่งตัวตั้งตรงอยู่ที่เก้าอี้

เท่านั้นแหละ ขนหัวผมก็ลุกตั้ง สติแทบไม่อยู่กับตัว
ร้องเสียงดังลั่น อย่างคนเก็บอาการไม่อยู่
รีบกระโจนไปที่ประตูห้องอย่างไว
"ผะ ผะ ผี หัวขาด"
เสียงประตูปิดดัง ปั้ง! แว่วตามหลังฝีเท้าผมมาติดๆ
ผมรีบวิ่งไปหาเพื่อนที่อยู่คอนโดอีกฝั่งทันที

พอถึงหน้าประตู ก็รีบเคาะประตูเสียงดัง
สักพักเพื่อนมันก็ งวงเงีย  มาเปิดประตูให้
ผมรีบ พรวดพราด เข้าไปในห้องอย่างไว
จนเพื่อนมันทำหน้า งงๆ
"เป็นไรวะ มาเรียกแบบนี้ "
"โวยวาย เสียงดัง เดี๋ยวข้างห้องก็ด่าพอดี"

พอผมเข้าไปในห้องได้ ก็รีบบอกเพื่อนทันทีว่าผมเจอผีหลอก
แล้วก็รีบเล่าให้เพื่อนฟัง พอเพื่อนได้ฟังว่าผมโดนผีหลอก
เพื่อนสองคนมันก็เลย เล่าบางอย่างให้ผมฟัง
ว่า....
ตอนที่ไฟดับ แล้วผมลงไปซื้อเทียนกับเพื่อนอีกคน
เพื่อนสองคนที่รออยู่ในห้อง ก็ พากันไปยืนดูบรรยากาศฝนพรำที่หน้าต่าง
แล้วอยู่ๆไฟก็มา  พอยืนคุยอะไรกันไปมาอยู่ที่หน้าต่างสักพัก
ก็พากันมองไปที่ ห้องผมโดยบังเอิญ

แล้วเพื่อนมันก็เล่าว่า
พอมองไปที่หน้าต่าง
อยู่ๆก็เห็นเป็นเงาคนโผล่มาที่ผ้าม่าน
เป็นร่างสูงใหญ่ แต่เงานั้น มันไม่มีหัว

พอเห็นแบบนั้น เพื่อนสองคนนั้นก็เลย พากันถอยกรูไปนั่งหลบ ตัวสั่นอยู่ข้างๆประตู
อย่างที่ผมเห็นตอนนั้น

ผมก็เลยรีบ ด่าเพื่อนไป
ว่าทำไมไม่ยอมบอกแต่แรก
ตื่นเช้ามา ผมกับเพื่อนๆ ก็พากันไปทำบุญที่วัด
แล้วก็แวะไปหา อาจารย์ที่ท่านเก่งเรื่อง นั่งทางใน ให้ดูเรื่องที่พวกผมเจอให้หน่อย
เพื่อนบอกว่า แม่ของมันแนะนำให้ไปดูกับอาจารย์ท่านนี้
พอ อาจารย์นั่งทางในดูสักพัก
ท่านก็บอกว่า เป็นวิญญาณของเพื่อนผมคนนั้น ที่ตามผมมา
แล้วท่านอาจารย์ ก็บอกว่า
ต้องทำพิธีให้เขา หมดห่วง  ให้ไปผุดไปเกิด
พออาจารย์บอกแบบนั้น พวกเราก็เลย ให้อาจารย์ทำพิธีให้
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา  ผมก็ไม่เห็นวิญญาณของเพื่อนอีกเลย
หลังจากภาพความทรงจำทุกอย่างกลับคืนมา หลอกหลอนผมอีก

ผมได้แต่ถือโทรศัพท์ มือสั่น เล่าเรื่องที่พึ่งเจอ พยาบาลทัก ให้เพื่อนฟัง
เสียงเพื่อน พูดตอบกลับมาทันที ที่ผมเล่าจบ
ใช่มันจริงหรือวะ ผ่านมาตั้ง เจ็ด แปด ปีแล้วนะ โว้ย
คุยไปคุยมา กับเพื่อนอยู่สักพัก ก็สรุปไม่ได้ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมคืออะไรกันแน่
เพื่อนมันก็เลยแนะนำให้ผมไปหาวัด ลองไปปรึกษากับพระดู เผื่อท่านช่วยได้
เช้าวันต่อมา แม้จะยังรู้สึกไม่สบายอยู่ อาการไอก็กำเริบหนักกว่าวันก่อน
แต่ผมก็พยายาม ไปหาวัดสักที่ ที่พอจะจัดการกับเรื่องนี้ได้
จนขับรถมาถึงวัดแห่งหนึ่ง แถวๆที่ผมพัก พอได้เข้าไปคุยกับเจ้าอาวาสแล้ว
ท่านก็แนะนำให้ผมไป ที่วัดแห่งหนึ่งครับ
ผมก็รีบไปวัดนั้น ตามที่เจ้าอาวาสบอก
พอไปถึงวัดนั้น ผมก็ได้ไปเจอกับ หลวงพี่ท่านหนึ่ง
พอสนทนาได้ใจความแล้ว
หลวงพี่ก็ หลับตา สวดมนต์อยู่พักหนึ่ง
แล้วหลวงพี่ก็บอกผมว่า
วิญญาณที่ตามผมมานั่น เขายังไม่ได้ไปไหน แต่แรกแล้ว
ที่ผมมองไม่เห็นวิญญาณเขา เพราะถูกอวิชชาสะกดปิดตาผมไว้
ไม่ให้มองเห็นเขาเท่านั้นเอง

"แต่เขาก็ยังตามโยมอยู่นะ"
พอหลวงพี่พูดจบเท่านั้นแหละ
ผมนี่ รู้สึกได้เลยว่า มีใครยืนอยู่ข้างหลังผม
ผมก็เลยถามหลวงพี่ไปว่า แล้วทำยังไง วิญญาณเพื่อนถึงจะเลิกตามผม
หลวงพี่ก็บอกว่า
"หลวงพี่ไม่สามารถขับไล่วิญญาณได้"
"รู้แต่ว่า เพื่อนโยมเขายังมีห่วงอยู่"
"เขาต้องการให้โยมกลับไปทำอะไรสักอย่างให้เขา"
"หลวงพี่บอกได้แค่นี้หละ"

แล้วหลังจากนั้น หลวงพี่ก็ สวดมนต์
ทำพิธีถอด อาคม ที่ปิดตาผมอยู่ออกให้

หลังจากนั้น
ตลอดทางขับรถกลับ
ผมได้แต่คิดไปมา
เพื่อนมันยังห่วงอะไรอยู่นะ
แล้วนี่ สรุปผมต้องกลับไปที่บ้านเกิดเพื่อนอีกหรือนี่

หลังจากอาการป่วยผมดีขึ้นแล้ว
ไม่นานผมก็ตัดสินใจไปที่บ้านเกิดเพื่อนที่เสียชีวิต
ถนนหนทางเปลี่ยนไปมาก จนแทบจำทางไม่ได้
เกือบๆพลบค่ำผมก็ไปถึงบ้านเพื่อน
สภาพบ้านเพื่อนดูทรุดโทรมลงไปมาก
ในบ้านดูเงียบเชียบ มีคนอยู่กันไม่กี่คน
พอได้พูดคุยกับน้าของเพื่อนที่ดูมีอายุขึ้นกว่าตอนนั้น
ก็ทราบว่า ยายได้เสียชีวิตไปแล้ว และเด็กๆก็ตามพ่อแม่ไปอยู่ในเมือง
เพราะไม่มีใครช่วยเลี้ยง
เลยเหลือแต่น้าผู้หญิงอยู่กันเพียงสองคน
พอได้คุยเกี่ยวกับคดีของเพื่อน
น้าก็เล่าให้ฟังว่า
คนร้ายถูกตัดสินจำคุกสองปี แต่ให้รอลงอาญา
ก็เลยรอดจากคุก เพราะทางคนร้ายมีญาติเป็นตำรวจหลายคน
น้าแกก็ได้แต่หวังว่า กฏหมายเล่นงานมันไม่ได้
ก็ขอให้กฏแห่งกรรมเล่นงานมันแทน

พอได้คุยกันมากขึ้น ผมก็ถึงรู้ว่า
แม่เพื่อนไปทำงานที่กรุงเทพ และก็ได้เลิกลากับพ่อเขา
ตั้งแต่เขายังตัวเล็กๆ แล้วสุดท้ายแม่เพื่อนก็เสียชีวิตจากการล้มป่วย
ทำให้เพื่อนกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กๆ

ผมถามน้าว่า ตอนเด็กๆเพื่อนเคยบอกไหมว่า อยากจะทำอะไรเป็นพิเศษ
หรือฝันอยากเป็นอะไร บ้างไหม
น้าก็บอกว่า จำไม่ได้ เพราะไม่ค่อยได้คุยเรื่องแบบนั้นกันเลย

แล้วผมก็บอกน้าไปว่า ที่ผมมาวันนี้
เพราะอยากจะมาหาบางสิ่งที่เพื่อนมันยังค้างคาใจ
หรือยังห่วงอยู่
พระท่านบอกว่าเพื่อนยังไม่ได้ไปไหนเพราะยังห่วงอะไรบางอย่างอยู่

แล้วหลังจากนั้นทุกคนก็เหมือนพากันนั่งเงียบคิดอะไรกัน
จนบรรยากาศในตอนนั้นเงียบไปเลย

สักพักน้าคนหนึ่งก็บอกว่า งั้นไปถาม  คนทรง ดีไหม
ผมก็เห็นด้วย

คืนนั้นน้าเอามุ้งมากางให้ผมนอนอยู่ตรงโถงหน้าบ้าน
เพราะ ห้องที่ผมเคยพัก
น้าบอกว่า ห้องนั้นกลายเป็นห้องเก็บของไปแล้ว
มันรกก็เลยไม่อยากให้นอนห้องนั้น
ส่วนห้องนอนเพื่อนก็มีน้าคนหนึ่งใช้เป็นห้องนอนไปแล้ว

ตื่นเช้ามา
น้าพาผมไปหาคนทรง ตามที่บอก
ที่นั่นเป็นบ้านธรรมดา ดูเหมือนไม่ใช่สำนักอะไร
ฟังจากที่น้าบอก
ก็ประมาณว่า นานๆทีถึงจะมีคนมาขอให้ทรง
เพื่อตามของหายบ้าง ตามคนหายบ้าง
ที่บ้านหลังนี้ก็เลยดูไม่เหมือน ยึดการทรงเป็นอาชีพเท่าไหร่

พอได้แนะนำตัว คุยความประสงค์อะไรกันเสร็จสัพ
ร่างทรงผู้ชายในวัยชรา นุ่งขาวก็เริ่มทำพิธี
หลังจากสวดคาถาไม่นาน ร่างก็สั่นเทา
สักพักก็กลายมาเป็นนั่งนิ่ง หลับตา
แล้วร่างนั้นก็ถามขึ้นมาว่า
เรียกข้ามาทำไม
น้ารีบถามว่า นั่นใช่ เพื่อนผมไหม
ร่างทรงก็บอกว่าใช่
แล้วก็มีการสนทนากันไปมา นานอยู่พักใหญ่ๆ
ยิ่งสักถามก็ยิ่งทำให้ผม ไม่เชื่อว่าเป็นเพื่อน
เพราะเพื่อนในร่างทรงนั้นบอกว่า
เรื่องอดีตมันแล้วไปแล้ว ยังไงก็กลับไปไม่ได้แล้ว
อย่าเอามาฝังใจเลย

สรุป  ก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลยครับ

ผมขับรถพาน้าทั้งสองกลับมาส่งที่บ้าน
คุยกันไปมาสักพัก ผมก็เลยขอตัวกลับก่อน
เพราะ ไม่รู้จะตามยังไงต่อ
แล้วน้าก็บอกว่า  เดี๋ยวทานข้าวด้วยกัน ค่อยกลับ
ผมก็เลยนั่งเล่นอยู่ตรงโถงหน้าบ้าน
น้าคนหนึ่งก็หายเข้าไปในครัว น้าอีกคนก็ขี่มอไซค์ออกไปซื้ออะไรสักอย่าง
สักพัก ก็เริ่มได้ยินเสียง น้า ตำครกเสียงดังอยู่ในครัว
ผมก็เลยเดินไปดู ในครัว
พอเดินไปดูน้ากำลังตำอะไรอยู่ ก็เห็นในครกเหมือนมีพริกกระเทียมอยู่
แล้วอยู่ๆน้าก็บอกว่า
อ้าว ลืม
แล้วแกก็ลุกเดินไปหน้าบ้าน
ผมก็เดินตามไปดู ถามแกว่า จะไปเก็บผักหรือ
น้าก็บอกว่า เดี๋ยวมา
แล้วแกก็ เดินออกไปทางหน้าบ้าน
ผมก็เลยนั่งรอแกอยู่ตรงโถงหน้าบ้าน
พออยู่ในบ้านคนเดียว ความเงียบก็เริ่มเข้าปกคลุม
จนผมได้ยินแต่เสียงพัดลม ส่ายไปมา
พอเริ่มเอามือถือ มานั่งดูอะไรเล่น
บรรยากาศรอบๆข้างก็เริ่มได้ยินเสียงอะไรตก ป๊อกแป๊ก ป๊อกแป๊ก อยู่ในครัว
แล้วผมก็รู้สึก เสี่ยวสันหลังวาบ ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
พยายามนั่งเล่นโทรศัพท์ไปแบบไม่ใส่ใจอะไรรอบข้าง
แต่ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงสังกะสี เหมือนมีอะไรขูด ดัง เอี๊ยด แว่วมาจากหลังบ้าน
ก่อนที่ลมจะพัดวูบเข้ามาในบ้าน อย่างประหลาด
ผมรีบหันไปมอง ช่องทางเดินที่มาจากในครัว
มองไปข้างในสุด เห็นในครัวเป็นแสงสลัวสลัว
ทุกอย่างที่แขวนอยู่กับผนัง ทุกอย่างที่ตั้งอยู่ในครัว
มันดูเก่า ดูโทรม ซะจน อดคิดไม่ได้ว่า นี่เป็นบ้านร้างหรือเปล่า
ขนหัวผมลุกซู่ขึ้นมาอีก รีบขยับถ่อยไปนั่งให้อยู่ห่างจากซอกทางเดินตรงนั้น
ผมนั่งหลังพิงผนัง มองไปทางหน้าบ้าน
พยายามไม่คิดอะไร
เมื่อไหร่น้าจะมาวะ
แล้วผมก็นั่งดูโทรศัพท์ต่อ
ซักพัก ขณะกำลังนั่งก้มดูโทรศัพท์เล่น
อยู่ๆหางตาผมก็รู้สึกเหมือนมีใคร กำลังเดินออกมาจากซอกข้างๆ อย่างแผ่วเบา
ผมชะงัก ค่อยๆชำเลืองไปมองว่าเป็นใคร ด้วยใจระทึก
พอมองไป ก็เห็นมันเป็น  แมวของเพื่อนครับ
เดินออกมาจากในครัว
พอมันเห็นผมหันไปมอง มันก็หันมามองผม
โห ใจหาย แว๊บ เลยเจ้าเหมียว
แล้วมันก็ร้องแมวขึ้น
ก่อนจะเดินไป
ผมก็มองตามมัน จนมันเดินเลี้ยวหายไปทาง ซอกที่แยกไปเข้าห้องนอน
ผมก็เลยกลับมาเล่นโทรศัพท์ต่อ
พอนั่งเล่นไปสักพัก  ผมก็ได้ยินเสียง แมว
ดังขึ้นมาอีก อย่างแผ่วเบา
ภาพเมื่อแปดปีที่แล้ว ในห้องเพื่อน แว๊บขึ้นมาในหัวผมทันที
รอบๆตัวหนาวๆร้อนๆ อย่างบอกไม่ถูก

ผมรีบลุกขึ้น กะว่า จะเดินออกไปนั่งรอน้าอยู่หน้าบ้านจะดีกว่า
เพราะบรรยากาศเริ่มไม่น่าไว้วางใจแล้ว
อาการหลอนๆผมเริ่มเข้าครอบงำความคิดผมอย่างหยุดไม่ได้แล้ว
พอรีบเดินออกมา แล้วผมก็ดันมองไปทางซอกที่แมวมันเลี้ยวไป
ก็เห็นแมวตัวนั้นมันกำลังเดินผ่านห้องเพื่อนไป อย่างช้าๆ
ผมยืนดูเจ้าเหมี่ยวเดินผ่านไป จนมันเลี้ยวหายไปอีกทางหนึ่ง
ตอนนั้นแสงตอนกลางวัน ยังสว่างอยู่ มันเลยทำให้ดูไม่น่ากลัวนัก
เลยทำให้ผมตัดสินใจเดินตามเจ้าเหมียวไป
พอเดินไป  แล้วผ่านห้องเพื่อน เห็นตรงประตูห้องมีสายยูใส่กุญแจล็อคไว้
ผ่านมาห้องข้างๆ เป็นห้องที่ผมเคยพัก ตรงประตูมีสายยูเหมือนกัน
แต่ไม่มีกุญแจล็อค
ผมก็เลยลองเอื้อมมือไปเปิดสายยูขึ้นมาจากช่องล็อค แล้วก็ลองเปิดประตูเข้าไป
ปรากฏว่า
มันเปิดได้ครับ พอชะโงกหน้าเข้าไปดูข้างใน
แสงในห้องสลัว สลัวเพราะ ปิดหน้าต่างอยู่
ผมเลยเอื้อมมือไปเปิดไฟในห้อง
สภาพในห้อง เตียงที่ผมเคยนอน กับตู้เสื้อผ้ายังอยู่เหมือนเดิม
แต่รอบๆข้าง แถวๆผนัง มีข้าวของต่างๆวางไว้เต็มไปหมด
ผมค่อยๆเดินเข้าไปดูช้าๆ ที่พื้นมีฝุ่นหนา มองไปที่กล่องรอบข้าง
ข้าวของต่างๆ ฝุ่นจับหนาเตอะ
ผมพยายามมองหาอะไรบางสิ่ง ที่เป็นของใช้ของเพื่อน
จนมาเจอลังกระดาษใบหนึ่ง วางทับกันอยู่กับของอื่นๆ
ผมเปิดดูข้างใน ก็เป็นหนังสือเรียนของเพื่อน
ผมเอาออกมาดูทีละเล่ม
ก็จำได้เลยว่า วิชานี้เคยเรียนด้วยกัน และก็มีอีกหลายๆเล่มที่เป็นวิชาที่เรียนด้วยกันมา
ผมได้แต่นึกในใจ
ป่านนี้แล้ว ยังเก็บไว้อยู่หรือ
พอค้นไปค้นมาตามซอกต่างๆ ก็ไปเจอเสื้อผ้าเพื่อน เจอกระเป๋าที่มันเคยสะพายมาเรียน

นี่น้า เก็บข้าวของเพื่อนไว้อยู่หรือ

พอดูไปรอบๆห้องอยู่พักหนึ่ง มันก็จะมีข้าวของคนอื่นๆป่นอยู่เหมือนกัน
ผมก็เลยรีบๆเก็บไว้ กลัวน้าจะกลับมาแล้ว
ได้แต่พูดไปว่า
เพื่อนเอ้ย.. ข้าไม่รู้จะช่วยเอ็งยังไงแล้ว

พอกำลังจะออกจากห้อง เอื้อมมือไปปิดสวิทช์ไฟ
อยู่ๆก็ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไร กลิ้งตกลงมา
ผมรีบหันหลังไปดูในห้องทันที ที่ได้ยินเสียง
เห็นกระเป๋า ใบหนึ่งตกลงมาจากหลังตู้ใหญ่
ผมรีบมองไปดูอีกที
เฮ้ย.. นี่มันกระเป๋า...

เมื่อแปดปีที่แล้ว วันที่ผมมาเที่ยวบ้านเพื่อน
จำได้ว่า มันใช้กระเป๋าใบนี้แหละ เดินทางมากับผม

ผมรีบเข้าไปหยิบมันขึ้นมาดู
ฝุ่นจับหนา เหมือนไม่มีใครแตะต้องมันมานาน
ผมค่อยๆรูดซิปดูข้างใน
มีเสื้อผ้าเพื่อนในนั้น มีสมุด มีของใช้ส่วนตัวต่างๆ
แล้วผมก็มาหยุดชะงักอยู่ที่
ห่อกระดาษอันหนึ่ง ครับ
มันเป็นถุงกระดาษแล้วมีของอะไรอยู่ข้างในอีกชั้น
ผมค่อยๆดึงของในนั้นออกมาดู
แล้วมันก็เป็น ถุงใส่เสื้อใหม่ครับ ยังไม่แกะออกจากถุง

เฮ้ย...

ผมมือไม้สั่น
รีบ ดึงออกมาดูทั้งถุง
แล้วมันก็มีการ์ดเล็กๆตกออกมาจากข้างในถุงกระดาษครับ
ผมรีบเอามาอ่านดูทันที
ข้อความนั้นเขียนว่า

สุขสันต์วันเกิดค่ะ

แล้วก็มีชื่อลงท้ายว่า
นานา

ผมได้แต่นิ่ง คิด ไปมา สักพัก

นานา เป็นใครวะ

พอออกมาจากห้องได้
ผมก็รีบโทรศัพท์ไปหาเพื่อนๆ ที่พอจะนึกออก
ถามว่ามีใครรู้จัก นานา ไหม
เขาเป็นใคร
เพื่อนๆก็ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่รู้จัก
จนสักพักน้าก็พากันกลับเข้ามาในบ้าน
แล้วก็พากันเข้าไปทำกับข้าวในครัวกันต่อ
ผมนั่งรออยู่ตรงโถงหน้าบ้าน
ได้แต่มองโทรศัพท์ พยายามเลื่อนหารายชื่อเพื่อน
เพื่อดูว่าใครที่ผมยังไม่โทรไปถามบ้าง
แต่ก็ไม่มีใครอีกแล้ว

สุดท้าย พอได้นั่งทานข้าวพร้อมกับน้าสองคน
ผมก็เลยตัดสินใจถามน้าไปว่า รู้จัก คนที่ชื่อ นานา ไหม

เพื่อนเขาเคยเล่าเรื่อง นานา ให้น้าฟังบ้างไหม

น้าก็ทำท่านึกอยู่พักหนึ่งก่อนจะบอกว่า
ไม่รู้จักเลย
ไม่เคยได้ยินนะ

ช่วงบ่ายสี่โมงเย็น
ผมขับรถจากบ้านเพื่อนออกมาอย่างคนจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก
ในหัวผมตอนนั้น มืดมนหนทางไปหมด
ไม่รู้ว่า คนที่ลงชื่อในการ์ดใบนั้น มีความสำคัญกับเพื่อนผมยังไงบ้าง
แล้วผมจะไปตามหาคนชื่อนานานี่ได้จากที่ไหน

ผมขับรถไปตามเส้นทางที่มีทุ่งหญ้าสองข้างทาง ด้วยใจเหม่อลอย
จนห่างไกลออกมาจากหมู่บ้านที่เพื่อนอยู่พอสมควร
ถึงรู้ตัวว่า ผมขับรถกลับออกมาคนละทางกับทางที่เคยมา

แต่พอคิดจะกลับรถ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า
เพื่อนเคยบอก ถนนเส้นนี้ มันจะสามารถไปทะลุ อีกหมู่บ้านหนึ่ง
และจะสามารถออกสู่ถนนใหญ่ได้เหมือนกัน
ผมเอาโทรศัพท์มาเปิด GPS นำทาง
แล้วตัดสินใจขับต่อไปตามที่  GPS บอก
และขับมาไกลพอสมควร ก็เริ่มตัดเข้ามาในเขตชุมชนเล็กๆ
เริ่มเห็นถนนลาดยาง พอเห็นมีผู้คนสัญจรกันบ้าง ผมก็เริ่มใจชื้นขึ้น
ขับมาได้สักพัก
เห็นมีร้านขายก๋วยจั๊บเล็กๆข้างทาง ผมก็เลยจอดแวะลงไปดู
ตอนนั้นเกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว
ผมเลยสั่งก๋วยจั๊บมากินถ้วยหนึ่ง
แม่ค้าก็บอกว่า กำลังจะเก็บร้านพอดี แต่ก็พอทำได้ซักถ้วยอยู่
ช่วงที่ผมนั่งกินก๋วยจั๊บอยู่นั้น
อยู่ๆก็มี มอไซค์ขับมาจอดที่หน้าร้าน สี่คัน
ยังไม่ได้ดับเครื่อง
ผมก็ได้ยินเสียงแม่ค้าตะโกนแทรกเสียงมอไซค์ขึ้นมาว่า
หมดแล้ว จะเก็บร้านแล้ว
แล้วมอไซค์พวกนั้นก็เบิ้นเครื่องเสียงดัง จนแสบแก้วหู
ผมก็เลยหันไปมองอีกที
ก็เห็นเหมือนคนขับมอไซค์พวกนั้น มองมาทางผม
อาการแบบ งอน ตาเขียวปั๊ด
แล้วสักพักก็พากันขับผ่านรถผมไป
บางคนก็ยังหันมามองหน้าผมแบบไม่พอใจอีก

ผมก็นึกในใจมันไปโกรธใครมา

พอทานก๋วยจั๊บเสร็จ จ่ายเงิน ผมก็เลยเดินทางต่อ
พอสตาร์ทรถได้กำลังจะ ออกตัว
ขับรถออกจากข้างทาง ปีนขึ้นถนนลาดยาง
อยู่ๆก็มีรถมอไซค์มาจากไหนไม่รู้ เร็วมาก จนผมไม่ทันได้มอง
มันพุงตรงมาแล้วมาโผล่อยู่ข้างๆรถผมอย่างไว
พอผมเห็นดังนั้น ผมก็รีบเหยียบเบรคอย่างกระทันหัน จนหัวแทบคะมำ
มอไซค์คันนั้นรีบหักหลบออกไปด้านข้างอย่างเร็ว
จนท้ายมอไซค์สบัดเล็กน้อย

ผมใจหายแว๊บ กลัวรถมอไซค์จะเสียหลักล้ม
พอรถหยุดนิ่ง มอไซค์คันนั้นก็ทรงตัวได้ แล้วก็วิ่งผ่านรถผมไป
คนขับหันหลังมามองหน้าผม แบบเอาเรื่อง
แต่ก็ไม่ได้หยุดรถ เบิ้นคันเร่งเสียงดังใส่ผมแล้วก็ขี่หายไปอย่างไว
ผมได้แต่ นิ่ง  งง  ปนตกใจเล็กน้อย
ไม่คิดว่าจะมีใครขับรถเร็วอย่างนี้ ในหมู่บ้านเล็กๆ

หลังจากขับออกมาได้สักพัก ดูเหมือน app แผ่นที่มันจะพาผม ขับรถวนไปมาอยู่แถวนั้น
จนผมก็ งง ว่า ทำไมมันต้องพาผมไปกลับรถตรงจุดนั้นด้วย จริงๆตรงไปเลยก็ได้
ผมก็เลยจอดรถเข้าข้างทาง ปรับเปลี่ยนเส้นทางอยู่พักหนึ่ง
พอรอมันประมวลผล ปรากฏว่ามือถือมันแฮ้งครับ
อ้าว ทำไงหละ

รอสักพักมัน ก็ยังประมวลผมไม่เสร็จ หมุนติ้วๆอยู่ ผมก็ตัดสินใจรีสตาร์ทโทรศัพท์
จนพอรีสตาร์ทเสร็จถึงรู้ว่า เครือข่ายอินเตอร์เน็ตมีปัญหาครับ
อ้าว แล้วจะไปยังไงหละคราวนี้

ผมเริ่มใจคอไม่ดี
แต่ก็คิดว่า ขับๆไปตามทาง มันน่าจะมีป้ายบอกทางอยู่หละ

แล้วผมก็ตัดสินใจขับไปตามทางเรื่อยๆ จนมาเจอทางโค้งให้เลี้ยวซ้าย
พอเลี้ยวไปทางซ้าย ก็มาเจอสี่แยกทางลูกรัง
คราวนี้ งง เลยครับ จะไปทางไหนดี
ตอนนั้นเกือบๆจะหกโมงเย็นแล้ว พระอาทิตย์ก็เริ่มอัสดง
บรรยากาศก็เริ่ม สะโหลสะเหล
ผมตัดสินใจเลือกไปทางซ้ายมือ เพราะคิดว่า ถนนใหญ่น่าจะอยู่ทางนี้
พอขับมาได้สัก สองสามกิโล  ทางมันก็เริ่มเปลี่ยว
จนผมนั่งไม่ติดเบาะ  พยายามขับรถให้ผ่านจากบริเวณตรงนั้นให้ไวที่สุด
แต่แล้วอยู่ๆ ผมก็รู้สึกว่า พวงมาลัยรถมันหนักๆครับ
ผมก็เลยรีบชะลอรถเข้าข้างทาง
พอลงมาดู ปรากฏว่า ล้อหน้ามันยาง เเบนข้างหนึ่งครับ
เอาหละสิ  งานเข้า
ผมได้แต่ ส่ายหัวไปมาอย่างคนอารมณ์เสีย ยิ่งรีบๆอยู่ด้วย
ทางก็เปลี่ยว แล้วนี่ก็ใกล้จะมืดค่ำอีก

พอเริ่มตั้งสติได้ ผมก็ไม่รอช้า รีบจัดแจงเอายางอะไหล่ลงมาเปลี่ยนทันที
กว่าจะเตรียมแม่แรง เครื่องไม้เครื่องมือเสร็จ ดึงยางอะไหล่ลงมาไว้ข้างๆรถ
ท้องฟ้าก็มืดแล้วครับ ผมรีบเอาไฟฉายมาส่อง
รีบก้มลงไปขันน๊อตที่ล้อ มือไม้สั่น อย่างคนรนราน
พอขันน๊อตได้สองสามตัว อยู่ๆผมก็เริ่มได้ยินเสียงมอไซค์แว่วมาแต่ไกล
ผมรีบลุกขึ้นมองไปตามทาง เห็นไฟหน้ารถมอไซค์วิ่งมาทางผมหลายคันเลยครับ
ผมค่อยโล่งใจคลายความวิตกลง
มีคนมาช่วยแล้วเรา

ไม่นาน มอไซค์หลายคันก็มาจอดอยู่แถวๆรถผม
ผมกำลังจะเดินไปพูดคุย อยู่ๆคนที่มาจอดมอไซค์คันแรก
ก็พูดขึ้นว่า ขับรถประสาอะไรวะเกือบชนรถกู

พอได้ยินเสียงพูดขึ้นแบบนั้น
ผมก็รู้เลยว่า มีเรื่องแน่
ผมรีบยกมือขอโทษ   แล้วก็บอกว่า ไม่ได้ตั้งใจ
เพราะมองไม่เห็น
ผู้ชายคนนั้นเดินมาหาผม กระชากไฟฉายไปจากมือผม
พวกมอไซค์ที่ตามมาดับเครื่องแล้วลงมายืนล้อมผมไว้
แล้วคนที่มันแย่งไฟฉายไป ก็เอาไฟฉายมาส่องหน้าผม
แล้วตอนที่แสงไฟมันสะท้อนจากหน้าผมไปโดนหน้าไอ้คนนั้น
ก็ทำให้ผมเห็นหน้ามัน
แล้วก็รู้สึกว่า หน้ามันคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน
สักพักมันก็พูดขึ้นว่า ขอโทษอย่างเดียวไม่ได้ ต้องจ่ายค่าทำขวัญมาด้วย
ผมไม่ได้ตอบอะไร
แล้วมันก็สั่งพวกมัน ว่า ค้นดูสิมันมีอะไรบ้าง
พวกคนที่มาด้วยก็ขยับเดินมาค้นตัวผมบ้าง บางคนก็เปิดประตูรถเข้าไปค้นของบ้าง
แล้วคนที่ค้นตัวผม ก็ดึงกระเป๋าสตางค์ผม ออกมา แล้วก็เอาไปให้คนที่สั่ง
พอมันดูเงินในกระเป๋าผมแล้ว มันก็หันมามองหน้าผมอีกที
แล้วก็พูดว่า
หน้าคุ้นๆ
ก่อนจะเดินมาดึงคอเสื้อผม
เอาหน้ามาใกล้ๆผม
แล้วก็เอามือมันเสยผมตัวเอง เปิดให้ดูรอยแผลที่โหนกแก้ม

กูจำได้แล้ว
หน้าเวทีลิเกวันนั้น
เพื่อน ม..ีง ไปลงนรกเพราะมันเอาสนับมือชกหน้ากู

พอผมได้ฟัง ภาพความทรงจำวันนั้นก็แว๊บขึ้นมาทันที
ใบหน้าหัวโจกของกลุ่มวัยรุ่นพวกนั้น ลอยเด่นขึ้นมาอีกครั้ง

พอผมนึกได้ ก็รีบด่ามันไป
แกนี่เอง ฆ่าเพื่อนกู

แล้วผมก็รีบกำหมัด ชกเข้าไปที่หน้ามันอย่างเร็ว
จนมันเซถอยหลังไป แบบไม่ทันตั้งตัว
พวกลูกน้องมันก็มาจับแขนผมไว้สองข้าง

แล้วไอ้หัวโจกคนนั้นก็ ชักมีดแล้วถือเข้ามาหาผม
ก่อนจะพูดว่า

ที่นี่กูฆ่าใครก็ได้
ไปเป็นผีตามเพื่อน ไปอีกคนเถอะ

พอมันกำลังจะแทงมีดมา ผมก็รีบกระโดดขึ้น ให้ขาสองข้างพ้นดิ้น
คนสองคนที่จับผมอยู่ มันก็เหมือน เซ ไปมา เพราะตัวผมหนัก
แล้วผมก็รีบเตะมีดในมือหัวโจกนั้น ก่อนจะดิ้นหลุดออกมาได้
แล้วผมก็รีบหันหลังวิ่งหนีเข้าป่าทันที

ได้ยินแต่ เสียงลูกพี่มันสั่งว่า จัดการมันเลย

ผมรีบวิ่งเข้าป่าไปท่ามกลางความมืด
มองไปดูข้างหลังเห็นพวกมันวิ่งตามหลังผมมาติดติด
วิ่งมาได้สักพัก เหมือนขาผม ก้าวตกลงไปในหลุมอะไรเล็กๆ
จนผมเสียหลักล้มลง
คนพวกนั้นก็วิ่งตามมาทัน
ใช้ไม้ฟาดเข้ามาที่ผม ผมรีบยกมือป้องกันตัว
แล้วท่อนแขนผมก็เจ็บแปล๊บขึ้นมาทันที จนผมต้องร้องเสียงดังออกมา
ยังไม่ทันตั้งตัว ก็มีเท้าคนมาถีบผม ไม่ให้ผมลุกขึ้น
จนผมเซ กลิ้งไปล้มนอนคว่ำไปกับกอหญ้า
ผมรีบตะเกียกตะกายลุก พยายามวิ่งต่อทั้งๆที่อยู่ในท่าคลาน
จนลุกขึ้นมาได้ ผมก็หันไปสู้กับพวกมัน ทั้งถีบทั้งเตะ
แลกหมัดกันไปมา จนพวกมันวิ่งตามมาทัน พยายามใช้ไม้ฟาดมาที่ผม
ผมก็รีบกระโดดหนี แล้วก็วิ่งต่อ
ตอนนั้น ข้างหน้าผมมีแต่ป่าเต็มไปหมด
ไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน ได้แต่ออกแรงวิ่งจนสุดชีวิต
สักพัก ก็รู้สึกว่า ไม่ได้ยินเสียงพวกมันตามมา
ผมเลยมองกลับไป
เห็นแต่จุดที่รถผมจอดอยู่ อยู่ห่างเกือบๆร้อยเมตร
แล้วก็ได้ยินเสียง มันปิดกระโปรงท้ายรถ ดัง ปึง
ก่อนจะได้ยินเสียง เหมือนของแข็งกระทบกัน ดัง แก๊งแก๊ง
แล้วก็เริ่มได้ยินเสียงพวกมัน ร้องตะโกนขึ้น
ก่อนพากันวิ่งมาทางผม
ผมเห็นดังนั้น ก็รีบ เร่งสปีดออกตัว วิ่งอย่างไว
นี่มันจะเล่นกันถึงตายเลยหรือนี่

พอวิ่งมาได้สักพักใหญ่ ผมก็รู้สึกเหนื่อยมาก
จึงหาที่ มืดๆ ที่พอจะซุกตัวเข้าไปซ่อนได้
ผมมุดตัวเข้าไปในพงหญ้า ใกล้ๆต้นไม้ใหญ่
แล้วก็นิ่งเงียบ
สักพัก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าพวกมัน เริ่มเดินเข้ามาใกล้ผม
ผมได้แต่นอนนิ่ง ตัวเกร็ง พยายามหายใจให้เบาที่สุด
จนกลุ่มคนพวกนั้น เดินผ่านมาทางผม
แล้วก็ คุยกันไปมา
มันหายไปไหนวะ

บางคนก็เอาเท้าเขี่ยๆไปตามกอหญ้า
บางคนก็เอาไม้ เอาเหล็ก แทงลงไปที่ดิน
ได้ยินเสียงดิน ดัง ฉับ ฉับ อยู่ใกล้ๆ
พอได้ยินเสียงพวกมันเดินผ่านไป ผมก็ค่อยๆจะขยับตัวหนี
พอจะขยับตัว ก็ได้ยินเสียงพวกมัน ย้อนกลับมาอีก
ผมก็หยุดนิ่งไว้
รอจนกระทั่งเสียงพวกมันเงียบ
ผมก็รีบลุกขึ้นมาแล้วก็ไปหาที่ซ่อนใหม่
คราวนี้ผมปีนขึ้นไปซ่อนอยู่บนต้นไม้
ผมนั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ ที่จุดตรงนั้นนานมาก ใจเต้นแรงตลอดเวลา
ภาวนาให้พวกมัน กลับไปทีเถอะ
แล้วสักพักก็ได้ยินเสียงพวกมันย้อนกลับมาอีก
เหมือนกับว่ามันพากันไปหาทางโน้นแล้วไม่เจอ
มันก็เลยวนมาทางนี้
จนพากันมาหยุดอยู่ตรงใต้ต้นไม้ที่ผมอยู่
ได้ยินมันพูดอะไรกันอยู่ไปมา ด้วยความโมโห
ผมได้แต่นั่งกลั้นหายใจอยู่เงียบๆ บนกิ่งไม้ มองลงมาดูพวกมัน
แล้วสักพักอยู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียง พรึ๊บ
อยู่ข้างๆผม
เท่านั้นหละ
พอหันไป ก็เห็นฝูงนกเแตกฮือ พากันบินออกจากต้นไม่ที่ผมอยู่
จนพวกที่ตามล่าผม มันฉายไฟส่องขึ้นมาดูบนต้นไม้
แล้วแสงไฟฉายมันก็โดนผมที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้พอดี
ผมตัดสินใจกระโดดลงจากกิ่งไม้ทันที
แล้วก็รีบวิ่งเข้าป่าต่อ
ได้ยินแต่เสียงพวกมัน ร้องเอะอะไล่ตามหลังผมมา
ผมรีบวิ่งหนีต่ออย่างไม่คิดชีวิต โซซัดโซเซ แบบคนจะหมดแรง
จนแทบจะกึ่งวิ่งกึ่งเดิน
ไม่ไหวแล้ว

ช่วงที่กำลังจะหมดแรงอยู่
ผมมองไปข้างหน้าแบบสุดสายตา
เห็นเหมือนข้างหน้าจะเริ่มมีบ้านคนแล้วครับ
ผมรู้สึกดีใจมาก
รีบวิ่งไปที่บ้าน เพื่อขอความช่วยเหลือ
ผมรีบกระ เส..ือกกระสน พาตัวเองออกมาจากป่า
ตรงไปที่บ้านหลังนั้น
พอเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นเป็นบ้านไม้ใต้ถุนยกสูง
รอบๆไม่มีแสงสว่าง จนดูเป็นบ้านดำๆมืดๆ
แล้วผม ก็รีบร้องเรียก ให้คนช่วย

มีใครอยู่ไหมครับ ช่วยผมด้วย มีคนจะฆ่าผม

พูดจบทุกอย่างก็เงียบ
ผมรีบหันหลังกลับไปมอง ทางที่ผมวิ่งมา
เห็นตรงป่า เริ่มมีพุ่งไม้ไหวๆ
ผมก็เลยรีบวิ่งขึ้นไปบนบ้าน
พอวิ่งขึ้นไป แล้วหันไปมองในตัวบ้าน
ปรากฏว่า มันเป็นเหมือนห้องโล่งๆ
พอมองไปที่ผนังบ้าน ก็เป็นผนังไม้มืดๆ
ตรงหน้าต่างก็มีแค่วงกบแต่ไม่มีบานหน้าต่าง
อ้าว..เฮ้ย บ้านร้าง

ผมชะงักอยู่ แป๊บหนึ่ง พอได้ยินเสียงคนพวกนั้นดังแว่วเข้ามา ใกล้
ผมก็เลยรีบวิ่งเข้าไปข้างในต่อ
วิ่งไปเปิดประตูที่อยู่ข้างใน อีกชั้น
แล้วก็เจอทางเดินยาวๆไปตามทางขวางของบ้าน ตรงหน้ามีประตูห้องอีกสองห้อง แง้มๆอยู่
ผมรีบวิ่งเข้าไปในห้องข้างๆ รีบปิดประตู แต่พอจะล็อคประตูปรากฏว่าไม่มีกลอนครับ
ผมรีบออกมาจากห้องนั้น ไปดูอีกห้องหนึ่ง ปรากฏว่าไม่มีกลอนเหมือนกัน

ผมรีบวิ่งออกมาตรงทางเดิน
ข้างหน้าผมมีประตูบานใหญ่ที่จะเปิดออกไปนอกบ้าน
หันกลับไปมองฝั่งตรงกันข้ามด้านหลังผม
เป็นช่องเปิดไม่มีผนัง คือถ้าเดินไปจนสุดทางนั้นก็จะตกลงไปเลย
ผมรีบวิ่งเข้าไปหาที่ซ่อนในหลืบข้างๆประตูบานใหญ่
รู้สึกมันจะมีกระสอบถ่านวางพิงผนังอยู่สองสามกระสอบ
กับมีโอ่งน้ำอยู่สองสามโอ่ง ผมวิ่งไปแอบอยู่ข้างๆโอ่งน้ำ ดึงถุงถ่านมาปิดตัวผมไว้
แล้วผมก็เงียบ จนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง
ผมพยายามฟังเสียงพวกมัน ว่ามาจากทางไหน
ตาก็พยายามมองลอดถุงถ่านเก่าๆขาดๆ ออกไป
รอบๆข้างมืดไปหมด แต่ก็พอเห็นอะไรรางๆตรงในห้องนั้น พอสมควร
ผมซ่อนอยู่ตรงนั้น สักครู่ใหญ่ๆ
ก็เริ่มได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันไดมา ที่ละคนสองคน
เริ่มได้ยินเสียงคน ค่อยๆ ย่องเดินอยู่บนบ้าน แถวตรงชานบ้าน ข้างนอก
แล้วสักพักก็เริ่ม ได้ยินเสียงคนเปิดประตู แอ๊ด...
ตอนนั้นเอง อยู่ๆ เสียงหมาก็เริ่มหอนขึ้น พร้อมๆกัน
เสียงมันเย็นยะเยือก เหมือนจะบอกว่าลางร้ายกำลังมาเยือน
ใจผมเริ่มเต้นแรงมากขึ้น

เสียงฝีเท้าไม่ต่ำกว่าเจ็ด แปดคน ค่อยๆ เดินเข้าไปสำรวจในห้องแรก
จนไม้พื้นกระดานลั่น ดัง เอี๊ยด อ๊าด
สักพักก็เงียบไป
แล้วเสียงไม้กระดานก็ลั่นขึ้นมาอีก
คราวนี้เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา มันดังอยู่ในห้องข้างๆนี่เอง
ผมได้แต่นิ่ง เงียบ  ฟังว่าพวกมันจะมาทางไหน
ได้ยินเสียงพวกมันรื้อของในห้องเสียงดังก๊อกแก๊ก อยู่สักพัก ก่อนจะเงียบไป
พอทุกอย่างเงียบไปนาน
ผมก็รีบ มองลอดช่องขาดของถุงถ่านออกไปดูรอบๆ อย่างคนตื่นกลัว

ทำไมมันเงียบแบบนี้

แล้วไม่นาน หัวใจผมก็แทบจะหยุดเต้น
เมื่อผมเริ่มเห็น เงาดำตะคุ่มตะคุ่ม
ค่อยๆเคลื่อนที่ผ่านเข้ามาอยู่ข้างหน้าผมทีละคนสองคน

พอเพ่งมองดูดีๆ ก็เห็นพวกมันถือไม้ ถือเหล็ก
เดินย่องๆเข้ามาแทบจะไม่ได้ยินเสียง
พวกมันยืนปิดล้อมทางออกไว้ทุกด้าน
ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงไม้ลั่นดังเอี๊ยดอ๊าดขึ้นมาอีก
แล้วก็เห็นไอ้หัวโจกหัวหน้าพวกมัน เดินถือมีดโผล่ออกมาจากทางเดิน
แล้วก็มาหยุดอยู่ตรงข้างหน้าผม ห่างไปไม่กี่เมตร
แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุม
ผมไม่กล้าแม้แต่จะขยับขา
ได้แต่คิดว่า จะทำยังไงดีถ้าพวกมันรุม เข้ามา
ตอนนั้นเอง อยู่ๆ ก็เริ่มได้ยินเสียงลมพัดกระโชกแรงไปมาอยู่รอบตัวบ้าน
เสียงฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ดังครืนๆ แทรกขึ้นมา
บวกกับเสียง หลังคาสังกะสี เริ่มปลิวขูดกันเป็นเสียงดังน่ากลัวอยู่ด้านบน

แล้วทันใดนั้นเอง อยู่ๆก็มีเสียงดัง ปั้ง ขึ้นอย่างแรง
จนผมตกใจ สะดุ้งสุดตัว
รีบมองไปข้างหน้า
เห็นแต่ประตูมันกระเด็นลอยมาฟาดเข้ากับร่างของไอ้คนที่ถือมีดเล่มใหญ่
จนตัวมันปลิวหายไปตามแรงปะทะ

เฮ้ย อะไรวะ
ผมตะลึงจนลืมตัว เผลอยืนขึ้นมาจากที่ซ่อน

แล้วเสียงพวกลูกน้องมันที่ยืนอยู่
ก็ร้องลั่นขึ้นมาพร้อมกัน อย่างคนตื่นกลัวอะไรบางอย่าง

ผมรีบมองไปตรงช่องที่ประตูหลุดกระเด็นออกมา
แล้วขนหัวผมก็ลุกซู่ขึ้นมา อย่างไม่ทันตั้งตัวเลยครับ
คุณพระช่วย

มีใครยืนอยู่ นอกช่องประตูตรงนั้น
มือหนึ่งถือลูกกลมๆอะไรบางอย่างอยู่ข้างลำตัว
พอฟ้าแลบส่องแสงมา
ก็เผยให้เห็นว่าร่างขาวซีดนั้นมีแต่คอตั้งอยู่บนไหล่
เลือดชุ่มแดงฉานเต็มไปตามรอบคอที่ถูกตัด
ลูกกลมๆที่ถืออยู่ในมือกลับกลายเป็นศรีษะหน้าขาวซีด
ในตาเบิกโพลง จนเปร่งประกาย สะท้อนวับไปกับแสงฟ้าแลบ

ผมได้แต่ตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
ร่างหัวขาดนั้นยืนประจันหน้ากับพวกนักเลง อย่างเด่นชัด
เสียงร้องโวกแวกโวยวายดังลั่น ขึ้นมาอย่างคนสติหลุด
พวกนักเลงพากันวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง
ร่างหัวขาด กลายเป็นเงาดำ เลือนหายวับ เข้าไปในบ้าน
ผมรีบวิ่งออกมาจากตรงข้างๆโอ่ง รีบวิ่งไปตรงช่องประตูที่เปิดอยู่
มองเข้าไปในบ้าน
เห็นแต่หลังพวกลูกน้องไอ้หัวโจก วิ่งหนีอะไรบางอย่างอยู่
ผมหันไปมองตรงช่องประตู มองไปก็เห็นบันไดอยู่นอกตัวบ้าน
เลยรีบวิ่งหนีลงบันไดมา
ช่วงที่กำลังก้าวเท้าลง
หูผมก็ได้ยินเสียงเหมือนไม้หัก แว่วออกมาจากในบ้าน
แล้วก็ตามด้วยเสียงคนร้องโหยหวนด้วยอาการเจ็บปวด
พอวิ่งลงบันไดมาได้
มองไปที่ใต้ถุนบ้าน ก็เห็นแต่ขาคนทะลุพื้นบ้านลงมา
แล้วสักพักก็ชักขาขึ้นไป
พอลงมาจากบ้านได้ผมกำลังจะวิ่งหนี
ลมก็พัดมาแรงมาก
จนได้ยินเสียงสังกะสีบนหลังคา ดัง เหมือนมันจะหลุด
พอก้าวเท้าวิ่งออกมาได้
ผมก็ได้ยินเสียง ดัง ฟิ้วส์
เหมือนสังกะสีมันหลุด
จนทำให้ผมต้องหยุดวิ่ง  ดูว่ามันปลิวไปทางไหน
แล้วพอมองไปทางหน้าบ้าน ก็เห็นคนคนหนึ่ง กำลังวิ่งหนีเข้าป่า
แล้วหันมามองแผ่นสังกะสีพอดี
แผ่นสังกะสีนั้น ปลิ้วไปเสียบเข้าตรงหัวชายคนนั้น
จนล้มหงายไปทั้งยืน
ผมร้อง เฮ้ย  ขึ้น อย่างตกใจ
ที่เห็นคนตายต่อหน้าต่อตา
แต่ไม่นาน ชายคนนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมานั่ง
พร้อมกับเอามือลูกหัวตัวเอง
แล้วฟ้าก็แลบมาพอดี
ก็ถึงเห็นว่าที่กลางหัว ถูกสังกะสีตัดผมออกจนโล้น
แล้วมันก็ลุกขึ้นวิ่งหนีเข้าป่าไป
ขณะเดียวกันผมก็ได้ยินเสียงคนร้อง เสียงดังอยู่บนบ้าน
จนเห็นคนคนหนึ่ง กระโดดลงมาจากหน้าต่าง
แล้วก็เหมือนกระดูกหักอะครับ ได้แต่นอนร้องครวญครางอยู่กับพื้นดิน
พอผมเห็นกลุ่มนักเลงพวกนั้นแตกหนีกระเจิงไปคนละทิศ
ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้วครับ รีบวิ่งไปทางที่มีแสงไฟจากบ้านคนที่อยู่ไกลๆ
จนกระทั่งวิ่งมาได้สักพักใหญ่ๆ
ผมก็มาเจอรั้ววัดครับ
ผมรีบวิ่งเข้าไป
จนมาเจอกุฏิพระ ผมก็เลยรีบวิ่งขึ้นไปดูทันที
รีบร้องเรียก ว่ามีใครอยู่ไหม
สักพักก็มีเสียงพระ ตอบกลับมา
พอท่านเดินออกมา ก็ถึงรู้ว่าเป็นหลวงพ่อ

หลวงพ่อช่วยผมด้วยครับ
"ช่วยด้วย มีคนตามฆ่าผม"

หลวงพ่อก็ถามว่า
"ใคร ใครจะฆ่าใครหรือโยม"

ผมก็บอกไปว่าเป็นพวกนักเลง
แล้วคืนนั้นหลวงพ่อก็หาที่  ให้ผมไปนอนหลบพวกนักเลงในวัดครับ

ตื่นเช้ามา
ได้ยินเสียงไก่ขัน
ผมก็เลยรีบตื่น เดินออกมานั่งเล่นอยู่ข้างๆศาลาที่ผมนอน
แล้วอยู่ๆผมก็ได้ยินเสียงเล็กๆเหมือนเด็กผู้ชาย พูดขึ้น
"หลวงตา ครับ"

ผมก็เลย ชะโงกหน้าไปมองด้านข้างศาลา
เห็นเณร อายุสักประมาณ 6-7 ขวบ
ตัวจั้มม่ำ น่ารัก
เดินกระเตาะกระแตะ จูงมือหลวงตาให้รีบเดินไปไหนสักที่
ผมก็เลยลุกขึ้น ค่อยๆเดินตามไปดู
แล้วก็เห็น เณรพาหลวงพ่อไปหยุดอยู่ตรงแถวๆรั้ววัด
แล้วเณรน้อยก็พูดว่า

"โยมแม่นานา มาหาอีกแล้ว"

ผมหูผึ่งขึ้นมาทันทีที่ได้ ยินชื่อนั้น
รีบเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
ได้ยินเสียง เณรพูดขึ้นแบบทีเล่นทีจริง
"โยมแม่  อยากกินอะไร เดี่ยวเณรจะบอก ตากับยาย ใส่บาตร ให้นะ"

ผมค่อยๆเดินอ้อมไปยืนดูอยู่ข้างๆ จนเริ่มเห็นหน้าเณร ถนัดขึ้น
ทันทีที่เห็นหน้า ผมก็แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เลยครับ

แววตาคู่นั้น ผิวสีแบบนั้น
โครงหน้าที่คุ้นตาอย่างนั้น มันเด่นชัด
จนชวนให้คิดถึงใบหน้าของเพื่อนขึ้นมาทันที ตั้งแต่แรกเห็น
มือเล็กๆของเณรค่อยๆปัด ฝุ่นที่อยู่ตรงฐานธาตุ ออกช้าๆ
แล้วเอาดอกไม้ที่ถือมา วางลงที่ฐานนั้นอย่างบรรจง
ผมน้ำตาไหลออกมา อย่างสุดกั้น

"นี่ใช่ไหมเพื่อน ที่แกห่วงอยู่"

ผมสะอื้นไห้ออกมา กับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า
แม้ผมจะยังไม่รู้อะไรมากนัก แต่ก็พอจะคาดเดาอะไรบางอย่างออก
นี่คงเป็นสายใยสุดท้ายที่เพื่อนผม มันคงอยากจะบอกให้ผมรับรู้

หลวงพ่อหันมาเห็นผมยืน สะอื้นอยู่
แล้วท่านก็พูดว่า
"อ้าว เป็นอะไรหรือโยม"

ผมรีบเอามือปาดน้ำตา แล้วนั่งลงอยู่ข้างๆหลวงพ่อ

"ผมทราบซึ้งในความกตัญญูของเณรครับ"

หลวงพ่อก็ ได้แต่ ตอบ "อืม  อืม"

หลังจากให้เณรไปทำกิจวัตรต่อแล้ว
ผมก็มีโอกาสได้คุยกับหลวงพ่อต่อครับ
ท่านเล่าเรื่องของเณรให้ฟัง ว่า
แม่ของเณรได้เสียชีวิตตั้งแต่ เมื่อสองปีก่อน
แล้วด้วยความที่ครอบครัวทางบ้าน มีฐานะยากจน
ตากับยาย ก็เลยเอามาฝากบวชเรียนไว้ที่นี่

พอผมถามถึงว่า พ่อของเณรเป็นใคร
หลวงพ่อก็บอกว่า
"ไม่รู้เหมือนกัน แต่เห็นชาวบ้านเขาลือกันว่า ท้องไม่มีพ่อ"

หลังจากถามถึงครอบครัว นานา ว่าอยู่ที่ไหน
หลวงพ่อก็ให้คนพาผมไปหา ครอบครัวของนานาครับ
โดยก่อนเดินทางไป เขาก็พาผมไปเอารถที่จอดอยู่ในที่เกิดเหตุ
โชคดีที่ พวกนักเลงพวกนั้นมันทิ้งกระเป๋าตังส์ไว้ให้ผม
แม้ว่าข้างในจะไม่มีเงินสดเหลืออยู่
เขาถามผมว่าจะไปแจ้งความไหม
ผมก็บอกคนที่มาส่งว่า
"กฏหมายคงเล่นงานอะไรมันไม่ได้หรอก "
"แจ้งความไปก็คง ป่วยการ"

หลังจากเปลี่ยนล้ออะไหล่เสร็จ ผมก็เดินทางไปบ้าน นานา ทันทีครับ
พอไปถึงบ้าน จนได้พบกับตากับยายแล้ว
ผมก็ถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ นานา ก่อนจะมีลูก

ตา ยาย ก็เล่าให้ฟังว่า
เมื่อแปดปีก่อน
นานา มาบอกกับทางบ้านว่า ตัวเองท้อง
แต่ตากับยาย ถามว่าท้องกับใคร
นานา ก็ไม่บอก
นานา บอกแต่ว่า เขาจะให้คนมาสู่ขอ ตามประเพณี
ตากับยายก็เลยได้แต่รอ
รอแล้วรอเล่า จนกระทั่ง นานา ก็คลอดลูกออกมา
แต่ก็ไม่เห็นผู้ชายคนนั้นมาสู่ขอ ตามที่บอกสักที
พอตากับยายจี้ถามหนักๆเข้า
วันหนึ่ง นานา ก็คิดสั้น จะฆ่าตัวตาย
แต่โชคดีที่ ยาย มาเห็นแล้วก็ห้ามไว้เสียก่อน
แล้วก็ได้แต่ทำใจ บอก นานา ไปว่า

"เขาไม่รักเรา เราก็อยู่กันตามประสาแม่ลูกไปเถอะนะ"
"ต่อจากนี้ไป ก็อย่าคิดถึงผู้ชายคนนั้นอีกเลย"

กระทั่งผ่านไปหลายปี แม้จะมีชายคนอื่นมาจีบ นานา
แต่ นานา ก็ไม่เคยสนใจใยดี
แต่ก็มีความสุขดี
จนเมื่อสองปีก่อน
นานาก็มาเจออุบัติเหตุ รถชนเสียชีวิต

"ฉันก็อยู่กันแค่สองตายาย ต้องออกไปทำงานทุกวัน"
"ใครจะเลี้ยงดูไอ้แดง"
"นึกได้แต่ หลวงพ่อเท่านั้นแหละ ที่เป็นที่พึ่งสุดท้าย"

แล้วตากับยายก็เอา รูป รูปหนึ่งมาให้ดู
หลังจากที่ นานา เสียชีวิต แล้วก็ไปเจอรูปนี้อยู่ใต้ที่นอนของ นานา

ผมได้แต่น้ำตาไหลออกมา ทันทีที่เห็นรูป
นานา กับ เพื่อนผมยืน ถ่ายรูปด้วยกัน
คนที่รักกันจริงขนาดนี้ ยังมีอยู่อีกหรือ

แล้วผมก็บอกตากับยายไปว่า
คนนี้คือเพื่อนผมเอง
ที่เขามาสู่ขอนานาไม่ได้
เพราะ เขาเสียชีวิตกระทันหันครับ
และก็ไม่มีใคร ทราบเรื่องนี้เลย

ว่าแล้วผมก็ก้มลงกราบ สองตายาย
ผมผิดเองครับ
ทั้งหมด มันเกิดจากผมเป็นต้นเหตุเอง
ผมขออโหสิกรรม ด้วยครับ ขอให้ ตา ยาย อภัยให้ผมด้วยครับ

พูดไปน้ำตาก็ไหลไป

หลังจากทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว
ผมก็กลับไปหาน้าๆของเพื่อน
แล้วก็เล่าทุกอย่างให้น้าของเพื่อนฟัง
พอน้ารู้เรื่อง เขาก็โทรบอกพวกญาติๆทุกคนเป็นการใหญ่

จากนั้นไม่นาน น้าๆและญาติๆของเพื่อน ก็พากันไปทำพิธี ขอขมาตายาย
แล้วก็สู่ขอ นานา กับตายาย ตามประเพณี
โดยขบวนเจ้าบ่าว
ก็มีผมกับกลุ่มเพื่อนๆที่เรียนมหาลัย
ช่วยกันถืออัฐิเพื่อน เดินทางไปด้วย


และแล้ว อัฐิเพื่อนก็ได้ไปอยู่ที่ธาตุเดียวกันกับนานา ที่วัดแห่งนั้น

ญาติๆเพื่อนบางคนที่เป็นผู้ชาย ต่างเข้าสวมกอด เณร ทันทีเมื่อรู้ความจริง
ราวกับเป็นคนสนิทในบ้าน
ทุกคนในงานต่างอิ่มเอิบไปด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มแต่เปื้อนไปด้วยน้ำตา
ไม่เว้นแม้แต่ผม ที่งานนี้น้ำตาไหลตลอดงาน เลยครับ
ยิ่งตอนที่ ทำพิธีเอา อัฐิเพื่อนมาไว้ด้วยกันในธาตุแล้ว
น้ำตาก็ยิ่งไหนออกมา ทั้งๆที่ยิ้มอยู่
แหละนี่เองละมั้ง
ที่เป็นเหตุผลที่แท้จริง ที่เพื่อนมันชวนผมมาบ้าน เมื่อแปดปีก่อน
มันคงอยากให้ผมมางานแต่งมันนี่เอง

หลังจากเสร็จพิธีแล้ว ช่วงที่เดินทางมาส่งน้าๆที่บ้านเพื่อน
มีชาวบ้านหลายคนแวะเวียนมาถามไถ่
แล้วผมก็ได้ยินชาวบ้านคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า
คนที่เขาฆ่าเพื่อนผม ตอนนี้นอนเป็นอัมพาตครึ่งซีก
ขยับตัวเองไม่ได้
ต้องนอนติดเตียงไปตลอดชีวิต

น้า ก็เลยถาม ชาวบ้านคนนั้นว่า
ทำไมถึงเป็นอัมพาตได้

ชาวบ้านคนนั้นก็ตอบว่า
"ตกจากบ้านร้างหลังหนึ่ง แล้วประตูก็ตกมาทับซ้ำอีกที
ไม่รู้ว่าพากันไปเสพยา หรือ เมาอะไรหรือเปล่า ถึงตกลงมาได้แบบนั้น"

พอได้ยินชาวบ้านเล่า
ผมก็รู้เลยว่า นั่น เป็นฝีมือของใคร

ครับ และนับแต่นั้นมา
ผมก็ไม่เคยเจออะไรแปลกๆอย่างที่เล่าให้ฟัง อีกเลยครับ

จบบริบูรณ์

จากพันทิป ศพหิ้วหัว
เรื่องโดย  LoyChinE FB ลอยชาย

ไม่มีความคิดเห็น