เพื่อน....หมาๆ


   เรื่องประสบการณ์จริงสุดหลอนของสมาชิกพันทิปหมายเลข 3928237 ประวัติและการเดินทางของเขาที่พบกับเรื่องราวผจญภัยมากมาย เล่าเรื่องได้เป็นลำดับ สำนวนดีมาก อ่านแล้วสนุก เรื่องตื่นเต้น  ขอขอบคุณเรื่องราวสยองขวัญไว้ ณ ที่นี้ด้วย

มีคนจำนวนมากชอบบอกว่า  “เหนื่อยก็ต้องทน  เพราะความจนมันน่ากลัว”
แต่ตัวผมนั้น  ไม่เคยมองว่าความจนมันน่ากลัวตามคำพูดของใครหลายๆคน    เหตุผลไม่ใช่ว่าผมรวย  แต่เป็นเพราะ
ผมอยู่กับมันมาตั้งแต่เกิด  ความจนสำหรับผมเลยดูเหมือนว่าเรารักกันดี  เป็นมิตรแท้ที่ไม่เคยจากไปไหนไกล
ถึงทุกวันนี้  ผมจะอยู่ได้อย่างมีความสุข  แต่ผมก็ยังเป็นเพื่อนกับความจนอยู่ดี

ชีวิตคนหนึ่งคน  ที่ผ่านพ้นมาแต่ละปี  คุณเคยสำรวจตัวเองบ้างไหม  ว่าคุณมีเพื่อนมากี่มากน้อย  และเพื่อนเหล่านั้น  ตกหล่น
  หายไปจากชีวิต  และความทรงจำของคุณเป็นจำนวนเท่าไหร่
เพื่อนบางคนหายไปจากชีวิต  เราไม่รู้สึกคิดถึง
แต่มันต้องมีเพื่อนสักคน   ที่หายไป....แต่เราก็ยังคงคิดถึงแม้เวลาจะผ่านมานานแสนนานก็ตาม
บางเพื่อนหายหน้า  บางเพื่อนตายจาก  เหลือไว้เพียงนามให้เราเอ่ยถึง   แล้วเราก็จะนิ่งด้วยความสะอึกใจไปทุกครั้ง
เมื่อนึกถึงเพื่อนที่จากไปไกลแสนไกล  ในที่ ที่เราไม่สามารถไปพบเขาได้  แม้จะอยากไปแค่ไหนก็ตาม

ผมมีเรื่องราว  ของเพื่อนผมผู้หนึ่ง   ถึงแม้จะล่วงเลยเวลามานานหลายปี  แต่ผมยังจำได้เสมอไม่เคยลืม
ตั้งแต่เมื่อครั้งที่พ่อกับแม่ผมได้หย่าขาดจากกัน   พ่อผมนั้นได้เดินทางกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดที่เมืองสองแคว
ส่วนแม่ผมนั้น  ก็เดินทางไปทำงานที่กรุงเทพเป็นคนรับใช้ในบ้านคุณหมอท่านหนึ่ง
จนแม่ผมได้พบรักกับพ่อบุญธรรม  และตัดสินใจอยู่กินกัน
จนคราวที่ผมได้หนีออกจากบ้านของผู้เลี้ยงดูที่แม่ฝากผมไว้   กลายเป็นเด็กเร่ร่อนอยู่หลายวัน   เมื่อแม่รู้เรื่อง
แม่ก็ขึ้นมารับตัวผมลงไปอยู่ด้วยกัน  เพราะตอนนั้นแม่ผมได้ลาออกจากงานไปอยู่กับพ่อบุญธรรมแล้ว

ผมใช้ชีวิตที่บ้านพ่อบุญธรรมอย่างมีความสุขตามอัตภาพ
ผมกลายเป็นที่รักของครอบครัวพ่อบุญธรรม  เพราะผมไปอยู่  ก็ติดนิสัยขยันหากินไปพร้อมตัว
แล้วแถวบ้านพ่อบุญธรรมผม  ก็เป็นทุ่งนากว้างไกล    ซึ่งเข้าทางผมเป็นอย่างดี  เพียงแต่ไม่มีป่าเท่านั้น
ผมใช้ชีวิตที่นั่น  จนลืมพ่อแท้ๆไปเลย
แล้ววันนึง   แม่ผมก็คุยกับพ่อบุญธรรม  เรื่องต้องการไปย้ายชื่อผม  ออกมาจากบ้านของปู่ที่สองแคว  เพื่อความสะดวกในอนาคตของผม
พ่อบุญธรรมก็ตกลง  พาผมกับแม่ เดินทางไปบ้านปู่แท้ๆ  ที่สองแคว

ผมจากสองแควไปหลายปี  ไม่เคยติดต่อญาติฝ่ายพ่อ  เมื่อโผล่ไป เขาก็ดีใจกัน
ญาติๆบอกผมว่า  ที่ดินที่ผมเคยอยู่ตอนเด็กๆนั้น  พ่อได้ขายให้ญาติอีกคนไปเสียแล้ว  และพ่อผมก็อยู่บนบ้าน  เขาบอกให้ผมขึ้นไปเจอพ่อ
แต่ตอนนั้น  ผมกลายเป็นคนเกลียดพ่อไปแล้ว  จากสาเหตุหลายปัจจัยที่พ่อทำไม่ดีไม่งาม
ผมเลยไม่ใครจะอยากเจอ   เมื่อแม่และพ่อบุญธรรมผม  เจรจาเรื่องธุระ
ผมจึงขออนุญาตแม่  เดินเท้ากลับไปยังจุดที่เคยตั้งบ้านอยู่ซึ่งอยู่ในป่า  นอกหมู่บ้าน
แม่บอกผมว่า  อย่าไปนานนัก  ฟ้าครึ้มๆเหมือนฝนจะตก  มันจะเปียกฝน  ผมรับคำ  แล้วออกเดิน

ถึงจะจากไปหลายปี  แต่ผมก็ยังจำเส้นทางได้ไม่เคยลืม   ถึงแม้หลายสิ่งหลายอย่างมันจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาก็ตาม
ผมเดินผ่านบ้านญาติๆบางคน  ที่ผมเคยเที่ยวเล่นสมัยเด็กๆ  แต่ผมก็ไม่ได้สนใจจะแวะเข้าไปนัก
หมาพากันวิ่งออกมาเห่า   บางตัวใจกล้า  ทำท่าจะวิ่งมากัด ผมเพียงทำท่าก้มเก็บหินบนพื้น
ทั้งที่มันกลายเป็นถนนยางมะตอยไปแล้ว  เท่านั้น  หมามันก็กลัว  เพราะคิดว่าผมจะเก็บหินมาขว้างใส่มัน

มีใครบางคนเดินสวนผมมา  ผมสบตาแว้บนึง  เพราะจำใครไม่ได้เลย  มันนานเกินไป  ทุกคนเติบใหญ่กันหมด
แต่เหมือนเขาจะจำผมได้  เขาทักชื่อผม แล้วถามผม  ว่าไปยังไงมายังไงละนั่น  ด้วยสำเนียงเมืองสองแควเฉพาะถิ่น
ผมทำได้แต่เพียงตอบว่าจะกลับบ้านเก่า  แล้วก็ยิ้มให้ เพียงเท่านั้น ก็ไม่ได้สนใจกันอีก
ผมเร่งฝีเท้า  เมื่อพ้นจากจุดที่เป็นบ้านคนมาแล้ว  แม้ถนนจะราดยางมะตอย  แต่มันก็ราดไม่สุดสาย   เมื่อมาถึงจุดสิ้นสุดยางมะตอย
มันก็กลายเป็นถนนดินแบบเดิมๆ  เหมือนเมื่อ7-8ปีก่อนไม่เคยเปลี่ยน
ผมยิ้มกับตัวเอง  นี่แหล่ะ  ทางเส้นเดิม  ที่เราเคยเดิน    เลอะโคลนเปรอะเสื้อผ้าไปโรงเรียนทุกเช้า  นาทีนั้น ภาพวันเก่าๆย้อนมา
ตรงจุดนั้น เราเคยลื่นล้มลงในหลุมโคลน    ตรงจุดนั้นเราเคยลงจากรถไถนาพ่วงกระบะ  เพื่อช่วยกันดันรถเพราะตกหลุมโคลน
คนบังคับหัวเครื่องยนต์คูโบต้า  ต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก  เบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวา  เพื่อให้ล้อรถสลัดหลุดจากหลุมโคลนกลางถนน
ดูจากสภาพถนนในตอนนี้  7-8ปีผ่านไป  ก็น่าจะยังเหมือนเดิม  เพราะร่องรอยมันบ่งบอก  เห็นไปตามทางเป็นระยะ

ผมใช้เวลาเดินไปเท่าไหร่  ผมจำไม่ได้หรอก  รู้ตัวอีกที  ผมเดินผ่านที่ดินของพี่นาง  ที่ตอนนี้  กลายเป็นสวนมะขามหวานไปแล้ว
และบ้านหลังนั้นก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป     ผมเดินต่ออีกนิด  ก็มาถึงจุดที่เคยเป็นบ้านของผม
บ้านหลังน้อยที่เรียงร้อยชีวิตวัยเด็กของผมกับที่นี่   วัยเด็กที่เคยมีครอบครัวเหมือนคนอื่น
มีพ่อ  แม่ และผม   แต่ตอนนี้ภาพเหล่านั้นมันกลายเป็นเพียงสายลมและความว่างเปล่า
ที่ดินผืนนั้น มันไม่ใช่ของพ่อผมอีกต่อไป   จุดที่เคยเป็นบ้านของผม   กลายเป็นป่าหญ้าคา

สิ่งที่ยังอยู่ย้ำเตือนเหนือกาลเวลา  คือต้นขนุนข้างบ้าน  ที่ผมเป็นคนเพาะจากเมล็ดเองกับมือ
ตอนนี้  จากต้นขนุนขนาดเท่าโคนขาผู้ใหญ่ ตอนที่ผมจากไป  ตอนนี้  มันกลายเป็นต้นขนุนสูงใหญ่ไปแล้ว
ผมมองมันแล้วยิ้ม  โชคดีจัง  ที่ไม่มีใครตัดไป
ถัดไปนั้น  เป็นบ้านที่มาปลูกใหม่2หลัง    ที่นั่นก็เป็นบ้านของญาติๆผมเอง  ที่เป็นเจ้าของที่ดินคนใหม่
หลังหนึ่ง มาปลูกอยู่ ก่อนผมอพยพออกไปไม่นาน  ก่อนจากก็ยังได้ฝากฝังอะไรกันอยู่บ้าง

ผมเดินสำรวจไปรอบๆบ้าน  ไม่พบใครอยู่  ไม่มีใครเลย
อุปกรณ์ทำไร่ไถนาวางอยู่รอบบ้าน
จริงสิ  ตอนนี้มันหน้าฝน  เขาคงพากันเข้าไปในไร่ข้าวโพด  หรือทำนาตรงที่ดินที่อยู่ลึกไปในป่าละมัง
ผมเคยตามพ่อกับแม่ไปสมัยเด็กๆ
ผมคิดถึงเพื่อนผมที่ชื่อแดงเต็มที     ที่อุตส่าห์ดั้นด้นมานี้  ก็เพียงแค่อยากพบแดงเท่านั้น
แดงคงอยู่ในไร่ ในนาแน่ๆ

ผมเลยยอมเหนื่อยอีกอึดใจ  เพื่อเดินเข้าไปให้ถึงไร่ข้าวโพด  ที่อยู่ลึกไปในป่า
ผมเดินตัดป่าหลังบ้านไป  ผมจำได้  ผมเคยเดินมาก่อน
การเดินในป่า  ผมเพลินมากกว่าเหนื่อย  มีความสุขเหลือเกิน
เดินเพลินไปหน่อย  รู้สึกตัวอีกที   ผมหาทางไปต่อไม่เจอ     เส้นทางมันแปลกไป  มีแต่ต้นไม้ ป่าเต็งรังรอบตัว
ป่ามันโปร่งๆก็จริง  แต่จำทางไปต่อไม่ได้   ยิ่งเดินยิ่งหลง  ต้นไม้ยิ่งต้นใหญ่ขึ้น  จนรู้สึกว่า  “หลงป่าแล้วกู”

ผมพยายามคลำหาทางเดินกลับทางเดิน  แข่งกับท้องฟ้าที่มืดครึ้ม  และส่งเสียงฮึ่มๆข้างบนตลอดเวลา
ไม่นาน  พายุฝนซู่แรก ก็กระหน่ำลงมาไม่ยั้ง  เหมือนจะเยาะเย้ยผมที่มาหลงป่าที่ตัวเองเคยเดินหากินตั้งแต่เด็กเสียเอง
ผมไม่มีที่ให้หลบ  เพราะฝนเทมาทุกทิศทาง   มันหนักเสียจนผมต้องนั่งหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใบใหญ่ต้นนึง
เมื่อฝนซา  ผมออกก้าวเท้าต่อไป  หลายครั้ง  ผมพบว่าตัวเอง  เดินวนกลับมาที่เดิม
ผมเริ่มหนาว  เริ่มกังวล  จากทีแรกที่สบายๆ
ป่านนี้แม่ผมจะกำลังร้อนใจรอผมหรือเปล่า
ถ้าผมยังเดินหลงไปเรื่อยๆแบบนี้   ผมอาจจะตายในป่าได้เลย  เพราะป่าผืนนี้  มันเป็นป่าที่ติดต่อกับป่าผืนใหญ่ของภูหินร่องเกล้า

ผมนั่งพัก  จิตคิดกังวลไปต่างๆนาๆ  ป่าผืนนี้สมัยผมเด็กๆ  ผมเคยมากับเพื่อนที่ชื่อแดงบ่อยๆ  ยามมาหาเห็ดและหน่อไม้  ก็ไม่เคยหลง
เพราะผมจะมีแดงคอยช่วยนำทางเวลาจำทิศไมได้เสมอ   แดงเป็นเพื่อนที่เก่ง  ไม่เคยหลงป่า
และจะจำทางกลับบ้านได้ทุกครั้งเมื่อถึงเวลาเย็น   ผมคิดถึงแดงขึ้นมา  ถ้าแดงอยู่ด้วยผมคงไม่หมดสภาพแบบนี้หรอก
นั่งกังวลอยู่นาน  มองฟ้า ฟ้าก็มืดด้วยเมฆฝน  ที่พร้อมจะเทลงมาอีกได้ทุกเมื่อ
กำลังคิดหาหนทางว่าจะเอายังไงดี   เวลาไม่คอยผมด้วย  ถ้าจวบจนมืดไปแล้วผมยังหาทางออกจากป่าไม่ได้
ผมก็อาจจะตายอยู่ในป่าผืนนี้ได้เลย  จากความหนาวเหน็บ

ผมลองปีนขึ้นไปบนต้นไม้ต้นหนึ่ง  ซึ่งสูงพอสมควร   แต่ก็มองอะไรให้ชัดเจนไม่มากนัก  เพราะมีต้นไม้สูงพอๆกันบังสายตาอยู่
แต่พลันนั้นสายตาของผม  ก็ไปปะทะกับบางสิ่งบางอย่างเข้า  ที่ยืนอยู่อีกบนไหล่เขา   เป็นร่างของเพื่อนผมที่ชื่อแดงนั่นเอง
ผมกู่เสียงเรียก  วู้ๆๆๆๆ แดง  แดง  ทางนี้   รอด้วย   หลงป่าช่วยพาออกไปหน่อย
ผมรีบปีนลงจากต้นไม้อย่างไว  ก่อนจะวิ่งไปยังจุดที่มองเห็นแดง
ผมคิดว่าแดงน่าจะได้ยินเสียงผม  และคงหยุดรอ   ถ้าได้เจอแดงแบบนี้  ผมรอดตายแน่ๆแล้วล่ะ
ผมวิ่งไปยิ้มไป  ส่งเสียงเรียกแดงไม่หยุด  จนถึงจุดที่แดงน่าจะยืนอยู่

แต่...ผมไม่พบว่าแดงจะรอผม  ผมเห็นเพียงแต่รอยเท้าแดง  ที่เดินออกไปจากจุดนั้น  ซึ่งดินเป็นดินทรายละเอียดและฝนพึ่งเทลงมา
ผมรีบใช้แรงที่มีทั้งหมด  วิ่งตามรอยเท้าแดงไป  จนเห็นหลังของแดงอยู่ในระยะสายตาลิบๆ  แทรกตัวเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ไปตามต้นไม้ในป่า
ผมก็ยังวิ่งไปเรียกไปให้แดงหยุดรอ
แต่แดงเหมือนไม่ได้ยินผมเลย  เอาแต่เดินไปลิ่วๆไม่คอยกัน  เมื่อรู้ตัวอีกที  ผมก็หลุดทะลุมาบนถนนเส้นหนึ่ง
ที่เป็นถนนตัดผ่านป่าไปสู่ไร่ข้าวโพด  ที่ผมตั้งใจจะไป
ผมก้มมองถนน  รอยเท้าของแดง  มุ่งหน้ากลับไปทางไปบ้าน

ตอนนั้นก็เกือบจะค่ำอยู่แล้ว  เพราะผมเห็นดวงตะวันคล้อยลงไปมากทางทิศตะวันตก
ผมคิดว่าแดง  อาจจะเข้าป่ามา  แล้วรีบกลับบ้านเหมือนกัน
ผมจึงกลับบ้านดีกว่า  แดงคงจะรอผมอยู่ที่บ้านญาติแล้วล่ะตอนนี้
ผมไปอยู่ในเมืองมานาน  เลยอืดอาดตามแดงในป่าไม่ทันไปแล้ว

ผมกลับมาถึงบ้านญาติ2หลังนั้น  พวกเขากลับมาจากไร่ข้าวโพด  และกำลังหุงหาอาหารยามเย็น
ผมเข้าไปยกมือไหว้สวัสดีเขา  เขาตกใจ  ว่าผมมาได้ยังไง  มาจากทางไหน  ผมบอกผมมาจากในหมู่บ้าน
จากไปหลายปี  ที่ทนเหนื่อยเดินมาที่นี่เพราะอยากมาเจอแดงเพื่อนผม
ผมถามหาแดงว่าแดงไปไหนแล้ว
ญาติผมบอกกลับมาว่า  แดงตายไปได้2ปีแล้ว  ฝังมันไว้ที่ใต้ต้นขนุนนั่นไง  ญาติชี้จุดไปที่ต้นขนุนต้นนั้น

ญาติบอกว่า  ตั้งแต่ผมจากที่นี่ไป   แดงก็ชอบ  ไปนั่งรอตรงทางเข้าบ้าน  ตรงจุดที่แดงจะชอบไปส่งผม  เวลาผมต้องไปไหนมาไหนไกลๆ
แดงไปรอตรงนั้นทุกวัน  จนญาติผม  ต้องไปลากพาตัวกลับมาผูกไว้กับเสาบ้าน
เพราะถ้าไม่ทำ  แดงก็จะนั่งหูชัน  ชะเง้อมองทางอยู่แบบนั้น  ที่ตรงนั้น  ไม่ยอมกลับ
ญาติบอก  ญาติรู้  ว่าแดงคงคิดถึงผมมาก  เพราะแดงอยู่กับผมมาตั้งแต่เล็กๆ  และผมเป็นคนอุ้มแดงมาจากข้างทางเพราะมีคนทิ้งแดงไว้

ผมไม่เถียงญาติ  ว่าเมื่อสักครู่  ผมยังวิ่งตามแดงออกมาจากป่าอยู่เลย  แล้วแดงจะตายได้ยังไง
ผมเดินไปยืนข้างต้นขนุนอีกครั้ง
ผมร้องไห้
ผมเอามือจับต้นขนุน
น้ำตามันไหลนองหน้า  กลบไปถึงปาก

“ขอบใจนะแดง  ขอบใจที่ยังรอเพื่อนคนนี้เสมอมา  มืงไปเถอะนะ  เราได้กลับมาเจอกันแล้ว  ไม่มีพันธะอะไรอีกแล้ว”
“ขอโทษด้วย  ที่เคยกล่าวประโยคก่อนจะจากกันเมื่อวันนั้นว่า ให้รอกูกลับมา  มืงรอกู  แต่กูเองที่ลืมมืง  แถมมืงยังมาช่วยกูอีก”

ผมจากที่นั่นมาอีกครั้ง  ทิ้งทุกสิ่งไว้เป็นเพียงความหลังให้นึกถึง  แดงทำให้ผมรู้ว่า  แม้เป็นหมา ก็มีวิญญาณและหัวใจเหมือนคนเช่นกัน
จนทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ได้กลับไปที่นั่นอีก
แต่อย่างน้อยๆ  เวลามีใครถามว่าผมมีเพื่อนดีๆกับเขาบ้างหรือเปล่า
ผมก็จะตอบอย่างภูมิใจว่า

  “อ๋อ  มีสิ  แต่เพื่อนผมรายนี้ เค้ามี4ขานะ  เขารอผมจนเขาตายเลยล่ะ  เพื่อนหมาๆที่แสนซื่อสัตย์ของผม  แม้ลมหายใจดับ  เขาก็ยังรอผมเลย”

เรื่องจากพันทิป เพื่อน....หมาๆ

เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3928237

ไม่มีความคิดเห็น