สะกอม
เรื่องประสบการณ์จริงสุดหลอนของสมาชิกพันทิปหมายเลข 3928237 ประวัติและการเดินทางของเขาที่พบกับเรื่องราวผจญภัยมากมาย เล่าเรื่องได้เป็นลำดับ สำนวนดีมาก อ่านแล้วสนุก เรื่องตื่นเต้น ขอขอบคุณเรื่องราวสยองขวัญไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เมื่อครั้งที่ผมเข้ารับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารเรือนั้น ผมได้มีโอกาสพบเพื่อนชาวใต้ผู้เป็นมุสลิมน้ำใจงาม ผู้หนึ่ง ผมเรียกเขาสั้นๆว่าบังดีน
บังดีนเป็นคนนิสัยดี โอบอ้อมอารี และเป็นคนมีน้ำใจต่อคนรอบข้างสูง ผมชื่นชมในวิถีชีวิต และความคิดของบังดีน
จึงเข้าทำการพูดคุยผูกมิตรด้วยไมตรีจิต จนเป็นที่สนิทสนมชอบพอกันในนิสัย
สิ้นการฝึกในศูนย์ฝึกทหารใหม่ เหล่าทหารล้วนถูกปล่อยให้กลับไปเยี่ยมบ้าน
ผมเองไม่ค่อยจะมีเงิน จึงไม่คิดจะกลับบ้านเช่นคนอื่นๆ ตั้งใจจะอยู่กองร้อย ทำงานแลกข้าวกินไปเพื่อรอย้ายหน่วย
บังดีน มาคุยกับผม ว่าไม่กลับบ้านหรือ ถึงไม่เก็บของ
ผมก็บอกตรงๆว่า ผมมีเงินอยู่น้อยนิดจากเงินเดือนทหารใหม่ที่ได้ใน ศูนย์ฝึก ทั้งผมเองนั้นก็ไม่มีบ้าน มีแต่บ้านแม่ที่อาศัยอยู่กับพ่อบุญธรรม
ผมก็ไม่อยากกลับบ้านไปให้เกิดภาระใคร กลับไปทั้งทีนอกจากจะไม่มีอะไรไปให้เขาแล้ว อาจจะต้องเอาของเขามาอีก ขออยู่แบบนี้ดีกว่า
บังดีนจับบ่าผม
“เห้ย!!เราฝึกเหนื่อยกันมามากแล้ว ควรจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง เดี๋ยวเราก็ต้องมาเหนื่อยกันต่อไปอีก”
ผมยิ้มเจื่อนๆ บอกตามสบายเถิด อยากออกไปข้างนอกผมก็อยากอยู่หรอก แต่ไม่รู้จะกลับไปไหนจริงๆ
เอาอย่างนี้ไหม ลงใต้ ไปเที่ยวจะนะ สงขลาบ้านผมกัน เผื่อจะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง
ผมลังเลเล็กน้อย เหมือนบังดีนจะรู้ว่าผมกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย บังบอกไปเถอะ นั่งรถไฟไปกัน ไม่กี่บาทหรอก รถไฟฟรีก็มี
ผมก็เลยเก็บเสื้อผ้ายัดกระเป๋าเดี๋ยวนั้นเลย
เราเดินทางลงใต้ด้วยรถไฟชั้น3 ไปกัน4คน มีผม บังดีน บังยา บังลัน ทั้ง3คนนั้น ล้วนเป็นคนบ้านเดียวกัน
เพียงแต่ถูกแยกไปอยู่คนละกองร้อย พอได้ปล่อยกลับบ้าน ก็นัดกลับพร้อมกัน เพียงแต่หนนี้ มีคนแปลกหน้าอย่างผมไปด้วย
“อัสลามูอาลัยกุม” มือสัมผัสมือ แล้วประทับที่หัวใจ เป็นการทักทายแบบมุสลิม อันตัวผมนั้นเป็นไทยพุทธ แต่ก็ทำตามบังดีน
บังดีนบอกผมว่า “ให้ผมเนียนๆไปว่าเป็นมุสลิมนะ จะได้อยู่ง่าย”
ผมเป็นคนสอนง่าย ก็เนียนกับเขาไป โชคดีอยู่บ้าง ที่กลุ่มบังดีน ไม่ได้ใช้ภาษายาวีในการพูดคุย ถ้าเจอแบบนั้นผมเองก็หมดท่า
เคยได้ยินมุสลิมจาก3จังหวัด เขาพูดยาวีต่อกัน ผมเองก็ฟังไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ได้กลับบ้าน10วัน ก็เสียเวลาเดินทางไป1วัน1คืนแล้ว เราไปต่อรถตู้ ที่หาดใหญ่ เป็นรถตู้สาย หาดใหญ่-ปัตตานี
ทีแรกผมก็ตกใจอยู่บ้าง ถามบังว่า เราจะไปปัตตานีหรือ
บังว่า ป่าวหรอก รถสายนี้มันผ่านทางเข้าบ้านบัง ไม่ต้องต่อรถหลายทอด เพราะบ้านบังอยู่ใกล้กับหาดสะกอม
เรานั่งรถตู้มาลงที่หน้าปากทางเข้าหมู่บ้าน
เพื่อนบังถาม จะโทรให้คนมารับไหม
บังดีนว่า ไม่เอาสิ ใส่ชุดกะลาสีมาเต็มยศ เราควรจะเดินโชว์ตัวเข้าไปจะเท่กว่า
เราเดินแบกถุงทะเลที่ได้รับแจกขึ้นสะพายบนบ่า สวมหมวกกะลาสีทหารเรือ การเดินทางไกล ทำให้ชุดสีขาวที่เท่มากๆ
กลายมาอยู่ในสภาพดำๆด่างๆ เพราะเลอะฝุ่นและสิ่งสกปรกทั้งหลาย คราบเหงื่อไคลที่ไหลย้อยอีก
เมื่อเราเดินผ่านบ้านใคร ซึ่งก็คงเป็นหมู่บ้านมุสลิมทั้งหมด พวกเขาจำบังดีนและเพื่อนได้
ก็จะออกมายิ้มให้ มาทักทายถามไถ่กัน ว่าไปไหนมาไหน เป็นยังไงบ้างไปทหาร
บังดีนยิ้มแย้มแจ่มใส ภาคภูมิใจที่ได้ตอบใครๆถึงการไปใช้ชีวิตในเครื่องแบบ
แต่ตัวผมเองนั้นก็ต้องรับแรงกดดันมหาศาล จากสายตาคนในถิ่น ที่มองผมแล้วไปถามบังดีนเบาๆว่า นั่นใครล่ะ
อ๋อ นี้คือเพื่อนผมเอง เขาอยากมาเที่ยวที่นี่น่ะ
หมู่บ้านของบังดีนนั้นอยู่ใกล้ทะเล ตัวหมู่บ้าน สร้างติดริมลำคลองทั้ง2ฝั่ง มีสะพานสร้างคร่อมคลอง ที่ไหลออกทะเล ในลำคลองเต็มไปด้วยเรือประมงกอและ
ตามบ้านหลายๆบ้าน เลยมักเห็นการตากปลาอยู่เต็มไปหมด ที่นี่ไม่มีหมา แต่มีแมวและแพะ บางบ้านก็มีแกะด้วย
ผมเองก็เกร็ง ไม่กล้าฉีกแข้งฉีกขา ทำตัวตามใจชอบ เพราะรู้มาว่า มุสลิม เขาค่อนข้างมีชีวิตที่เรียบง่าย และสงบเสงี่ยม
และจากที่ปรากฏต่อสายตา ก็คงเป็นแบบนั้น ผมไม่ได้ยินเสียงเพลงดังมาจากบ้านหลังไหนเลย
เป็นหมู่บ้านที่เงียบวังเวงดีจัง ทั้งๆที่เป็นตอนกลางวัน
แต่สิ่งที่ทำให้ผม พอชุ่มชื่นหัวใจอยู่มากคือ “สาวๆมุสลิมที่คลุมผ้าฮิญาบ” ที่หน้าตาดูสวยคม บางคนคล้ำ บางคนขาว
บังเห็นผมมองสาวๆระหว่างเดิน ก็สะกิดผมว่า ดูแต่ตา วาจาอย่าไปต้องเขานะ
บางคนเขามีสามีแล้ว แล้วเขาก็ไม่ชอบให้ใครแซวสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะคนต่างถิ่น ผมก็พยักหน้ารับคำ เป็นอันเข้าใจกัน
พวกเพื่อนๆของบังดีน แยกย้ายเข้าบ้านของตัวเองไป
ส่วนผมนั้นเดินซอกแซกจนมาถึงบ้านของบังดีน ที่สร้างอยู่ติดคลอง
ก็เป็นบ้านปูนสมัยใหม่ แต่เรียบง่าย
ผมเจอป๊ะกับม๊ะของบัง ผมกำลังจะยกมือไหว้ตามความเคยชิน
บังดีนยั้งมือผมไว้ บอกผม “มุสลิม เราไม่ไหว้กัน กล่าวทักทายแบบมุสลิมก็พอ”
ผมก็ทำตามที่บังแนะนำ บ้านบังอยู่กัน4คน มีบังดีน ป๊ะ กับม๊ะ (พ่อ-แม่) และ อาเด๊ะ (น้องสาว) หน้าตาแฉล้มไม่น้อย อายุราวๆ15-16
ผมทักทายแนะนำตัวแบบวิถีของมุสลิม บังดีนขอให้ผมกลายเป็นมุสลิมก่อนชั่วคราว เพื่อให้อยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุข
ผมต้องร่วมละหมาด และต้องแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าของบังดีน เพื่อความกลมกลืน
บังดีนก็นั่งหัวเราะว่าผมนี้ แต่งแบบนี้ก็ดูเหมาะดี สนใจอยากอยู่ที่นี่ตลอดไปก็บอกได้นะ จะหาเมียให้สักคน
ผมก็ได้แต่ยิ้ม และกระซิบเบาๆว่า ไม่ไหวหรอกบัง สาวที่นี่สวยคม น่ารักถูกใจผมก็จริง
แต่ชีวิตผมโลดโผนเกินกว่าจะเป็นมุสลิมที่ดีได้ บังก็หัวเราะเปื้อนยิ้มให้ผม
โชคดีอยู่บ้าง ที่ผมเป็นคนที่ไม่ได้คลั่งไคล้ ในแสงสีหรือของมึนเมาอยู่แล้ว การได้ใช้ชีวิตอันเรียบง่ายตามวิถีมุสลิม สำหรับผมเลยไม่ยากอะไร
ผมกินง่าย อยู่ง่าย เพียงแต่รสชาติอาหารอาจจะไม่ถูกปากสักเท่าไหร่นัก
บังพาผมเดินเที่ยวไปทั่วหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านที่คนค่อนข้างเยอะ และแออัด คล้ายๆสลัมของภาคกลาง
แต่บ้านแต่ละหลัง จะมีความมั่นคง และดูภูมิฐานกว่าสลัมค่อนข้างเยอะ มีสุเหร่า ติดเครื่องกระจายเสียงอยู่ในหมู่บ้าน
ผมเอาแต่เดินตามบังดีน เพราะผมไม่รู้จักใครเลย เขาชวนคุยก็ตอบบ้างเล็กน้อย ไม่กล้าพูดเยอะ กลัวไปพูดไม่เข้าหูเขา
เพราะเนื้อแท้เราไม่ใช่มุสลิม แต่ผมก็รู้สึกดี ที่ได้มาศึกษาชีวิตและวัฒนธรรมของพวกเขาแบบนี้
บังดีนบอกผมว่า ขับรถไปอีกไม่ไกล ก็ถึงปัตตานีแล้ว แต่ผมอยู่ที่นี่ขอให้สบายใจได้ มุสลิมที่นี่มีแต่ความรัก ไม่มีความรุนแรงต่อใคร
เราอยู่กันแบบเครือญาติ ช่วยเหลือกัน และปฏิบัติตนเป็นมุสลิมที่ดี หากมีคนไม่ดีเข้ามาจะต้องถูกลงโทษและขับออกทันที
มุสลิมที่นี่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ออกทะเลจับปลา จับปู จับหอย สอยใบจากมาทำงานหัตถกรรม ค้าขายพอมี
ขาดอย่างเดียวคือ ไม่มี7-11ใกล้ๆบ้าน
ตลอด3วันแรก ผมตัวติดกับบังดีนตลอด แต่พอหลังจากนั้นผมเริ่มคุ้นเคยสถานที่บ้างแล้ว และมีอีกหลายจุดที่ผมหมายตาไว้และอยากเดินไปดู
ผมไปบอกป๊ะกับม๊ะของบังดีน ว่าจะขอออกไปเดินเล่นรอบๆหมู่บ้านเพียงลำพัง
ป๊ะกับม๊ะก็บอกให้ผมตามสบายเลย แต่อย่าเดินเพลินเกินไปนัก จะหลงทาง เพราะป่าแสม ต้นเสม็ดขาว รอบๆหมู่บ้าน มันก็กว้างไกลอยู่
ผมออกเดินเล่นไปยังจุดที่หมายตาเพียงลำพัง ออกไปทางด้านนึงของหมู่บ้าน เลียบลำคลองออกไปเรื่อยๆ จนไปถึงชายทะเล
มันรกเพราะเป็นภูเขาติดทะเล ไม่มีใครมาทำกิน หรือว่าเป็นที่ดินของใครก็ไม่ทราบได้
ผมเป็นคนโตมากับป่าอยู่แล้ว พอเจอป่ารกๆก็ยิ่งเดินสนุก ผมบุกแหวกดงกระถิน ต้นไม้เตี้ยๆ เถาวัลย์นาๆ
จนเดินทะลุมาถึงโขดหินหลายๆโขดที่อยู่ริมหาดได้สำเร็จ ธรรมชาติแปลกตาน่าตื่นใจ ผมขึ้นไปนั่งมองทะเลบนโขดหินใหญ่
ผมมองไปตามแนวชายหาด เห็นต้นมะพร้าวอยู่หลายต้น
มันเงียบเพราะไม่มีคนเลย เหมือนผมได้มาอยู่บนชายหาดส่วนตัว ผมเอนตัวลงนอน สูดไอทะเลเข้าปอด
เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังซ่าๆ ลมก็เย็น แดดก็ไม่มี เลยเผลอหลับไปชั่วครู่
ผมตื่นมา มองเห็นท้องฟ้ามืดครึ้มจากเมฆฝน ลมเริ่มพัดจนต้นมะพร้าวและหูกวางริมทะเล ใบโบกไหวๆอย่างรุนแรง
ผมมองฟ้า แลท่าฝนจะตกใส่หัวแล้วกระมัง จะกลับหลังออกไปจากตรงนี้ ก็คงไม่ทันถึงบ้าน คงจะเปียกจนหนาวก่อนพอดี
ตอนที่ผมกำลังคิดว่า จะเอายังไงดีอยู่นั้น ผมมองไปที่แนวชายหาดอันยาวเหยียด
เห็นมุสลิมคนหนึ่ง ยืนอยู่ไกลๆ ผมป้องมือที่หน้าเพื่อบังลม จ้องมองไปจนเห็นชัดๆว่า
เป็นมุสลิมผู้หญิงสวมผ้าคลุมสีดำ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำหม่นๆทั้งชุด ยืนอยู่ริมทะเลใกล้ๆต้นมะพร้าว
สักพักเธอก็เดินผลุบหายเข้าไป
ผมคิดว่าตรงนั้นอาจจะมีร้านค้า หรือบ้านคนละกระมัง อย่ากระนั้นเลย ผมจะไปขอหลบฝนที่นั่นคงจะดีกว่าแหวกป่ากลับบ้าน
ผมไม่มีเวลาคิดมากอีกแล้ว เพราะเม็ดฝนเริ่มลงดอก บางจุดที่มองเห็นไกลๆในทะเลคือมืดไปด้วยเม็ดฝน
ลมพัดตึงๆๆๆ ใบไม้ปลิวว่อน ผมรีบเร่งกึ่งวิ่งกึ่งเดินเหยาะๆไปบนผืนทราย
จนมาถึงต้นมะพร้าวต้นที่เห็นว่ามีสตรีมุสลิมคนนั้นยืนอยู่เมื่อกี้
ผมมองหาบ้านคน แต่ผมไม่พบว่ามี พบแต่เพียงช่องทางที่น่าจะเป็นทางเดินของคน ให้เดินเข้าสู่ป่าด้านใน
ผมคิดในใจว่า หญิงสาวคนนั้น คงเดินหายเข้าไปในนี้ เลยวิ่งตามเข้าไปทันที
เดินๆอยู่หลายนาที จนรอบตัวมีแต่ต้นไม้ขึ้นสูงลิบลิ่ว มองแทบไม่เห็นท้องฟ้า เพราะใบบัง เป็นป่าที่รกมากจริงๆ
ผมยังเดินไม่หยุด ตอนนั้น ฝนเริ่มเทหนักลงมากระทบใบไม้ด้านบนแล้ว น้ำฝนเริ่มหยดลงมาตามใบ
โชคดีที่ความหนาของมันช่วยบรรเทาสายฝนให้คนที่เดินอยู่เบื้องล่างอย่างผม
ผมเริ่มงงๆและสับสน รุกลี้รุกลน เพราะเมฆฝนก็ทำให้โดยรอบมืดคล้ายๆกลางคืนไปเหมือนกัน
น้ำฝนที่เริ่มลงมาถึงพื้นดิน ทำให้ตัวผมเริ่มชื้น
ผมว่าผมก็เดินมาไกลด้วยความเร็วมากๆแล้ว ทำไมยังตามมุสลิมสาวคนนั้นไม่ทันก็ไม่เข้าใจ
ผมเลยคิดว่า กลับดีกว่า ทางนี้พาไปไหนก็ไม่รู้ ยิ่งเดินก็ยิ่งวังเวงพิลึก ชักจะกลัว
ผมเลยเดินกลับออกมา จนถึงทางเข้า ท้องฟ้าก็เริ่มสว่าง เพราะฝนได้ถูกลมพัดผ่านไปแล้ว
ผมเดินกลับทางเดิม มาจนถึงบ้าน พบบังดีนนั่งอยู่หน้าบ้านพอดี บังดีนก็ถามผมว่าไปไหนมาเสียนานหรือ
ผมก็เล่าให้ฟังหมดทุกสิ่งที่ผมทำ
บังดีนทำหน้าฉงน และดูเหมือนแปลกใจ
“ทางเข้าไปในป่าริมชายหาดหรือ เอ๊ะ? ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด มันมีตรงไหน หรือผมไม่เคยเห็นเอง”
บังดีนหันไปถามน้องสาว น้องสาวบอกไม่เคยเห็นนะ
พอถามป๊ะกับม๊ะ ท่านก็ดูๆตกใจอยู่บ้าง
แล้วทวนถามผมซ้ำๆว่าผมเจอตรงไหน ยังไง
ผมเล่าให้ฟังถึงมุสลิมสาวผ้าคลุมดำ และชุดดำหม่นๆทั้งตัวให้ฟัง ว่าผมพยายามเดินตามเขาเข้าไปในทางเดิน ที่มุดเข้าไปในป่ารกๆริมทะเล
พวกท่านก็บอกผมว่า ตรงนั้น มันไม่มีทางอะไรที่ว่าหรอก แล้วสิ่งที่ผมเห็นก็ไม่ใช่คน
แต่เป็น “ญิณ”ตนนึง
เขาอยู่ที่นั่นมานานแล้ว ไม่รู้ว่าอยู่มาตั้งแต่สมัยไหน ตอนป๊ะกับม๊ะยังเด็กๆ ก็ได้รับรู้เรื่องราวของญิณตนนั้นแล้ว
ชอบออกมาให้เห็นบ้างในบางที และบางคนเท่านั้นที่จะเห็น
ส่วนแส้นทาง ที่ผมบอกว่าเป็นช่องเดินเข้าไปแล้วมีต้นไม้สูงๆท่วมหัวรอบตัวนั้น
วันรุ่งขึ้น บังดีน ก็พาผมไปอีก เพราะอยากเห็นเหมือนกัน เรานั่งเรือไป ไวกว่าเดิน ออกจากคลองไปก็อ้อมโขดหินเข้าไปถึงเลย
ผมจำต้นมะพร้าวต้นนั้นได้ดี ผมบอกให้บังจอด
บังเข้าไปจอด ผมแปลกใจหนัก ผมหาทางเข้าที่ว่านั้นไม่เจอ เจอแต่รีสอร์ทร้าง ที่สร้างอยู่บนไหล่เขา สภาพเก่ามากๆแทน
ผมบอกกับบังดีนว่า เมื่อวานมันมีทางเข้าตรงกับต้นมะพร้าวนี้จริงๆนะบัง
บังบอกบังเชื่อผม แต่สิ่งที่ผมเจอ คงไม่ใช่เรื่องปกติ คงจะเป็นทางที่ญิณตนนั้น สร้างขึ้นเพื่อล่อลวงให้ผมเดินตามเข้าไป
บังดีนบอกผมว่า
ญินสามารถหลอกล่อหรือหลอกลวงมนุษย์ให้หลงผิดไปด้วย หากใครที่พยายามติดต่อหรือสื่อสารกับญินจะสุ่มเสี่ยงมากต่อการผิดต่อหลักศาสนาหรือกลายเป็นผู้นอกรีต เนื่องจากเป็นการเข้าไปสู่ไสยศาสตร์
ผมบอกบัง หรือเขาจะไม่พอใจ ที่ผมเป็นคนนอกศาสนาแล้วเข้ามาอยู่ในเขตของเขา
บังว่าบังก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นไปได้ตามว่า ผมจึงขึ้นเรือกลับออกมา สำหรับอิสลาม เขาอาจจะไม่มีผี แต่ถ้าถามตัวผมแล้ว สิ่งที่ผมเจอ
ผมก็ขอเรียกว่าผีนั่นล่ะครับ ผมยังคิดไม่ตกเลยว่า ถ้าผมยังเดินตามเข้าไปไม่ยอมกลับออกมาผมจะไปเจออะไร
อาจจะเป็นผีสาวมุสลิม ยืนน้ำเลือดน้ำหนองเน่าเฟะรอผมอยู่ก็ได้ มันก็เป็นเรื่องที่ลี้ลับอีกเรื่อง ที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟัง
(รีสอร์ทร้างที่ว่านี้ ปัจจุบันยังอยู่ครับ อยู่สุดหาดสะกอม วังเวงและเงียบสงบดีเหลือเกิน เชิญไปเที่ยวกันได้ครับ)
เรื่องจากพันทิป สะกอม
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3928237
Post a Comment