เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงคนนั้น


ฝนตกติดต่อกันไม่กี่วัน น้ำแม่ปิงเริ่มมามากขึ้น
ทำให้นึกถึงเรื่องหนึ่งที่ยายเคยเล่าให้ฟัง
ย้อนกลับไปเมื่อสมัยหมู่บ้านไฟฟ้าเพิ่งเข้าถึงเป็นปีแรก
ยังไม่ทุกหลังคาที่มีไฟฟ้าใช้ ที่ยังติดตั้งไม่ถึงหรือยังไม่ต้องการ
ก็ใช้วิธีจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดเอาแบบเดิมๆ
ยายว่าคืนหนึ่งจะว่าข้างขึ้นหรือข้างแรมไม่แน่ชัด
ดึกสงัดราวตีสองตีสาม ยายสะดุ้งตื่นเพราะเสียงร้องไห้ที่แว่วมาแต่ไกล
แกยันตัวขึ้นดูจากทางหน้าต่าง หนทางพอมองเห็นได้เลือนลาง
ก็พบกับต้นเสียงที่วิ่งมาตามถนนทางด้านทิศเหนือ

ฮือ...ฮือ....ฮือ.....

ร่างและเสียงนั้นดังใกล้เข้ามาก็เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้น
ปรากฏเห็นเป็นเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบสี่ นุ่งผ้าซิ่นใส่เสื้อแบบพื้นเมือง
กำลังวิ่งหนีอะไรมาสักอย่างที่น่ากลัว
แต่แปลกตรงที่เวลาเธอวิ่งกลับไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าแม้แต่นิดเดียว
พอเธอวิ่งมาถึงตรงสามแยก ซึ่งตรงกับหน้าต่างพอดี
ก็หักเลี้ยวไปทางทิศตะวันออกตามถนน
ตรงดิ่งไปทางแม่น้ำพร้อมกับเสียงร้องไห้โหยหวน
ไปไกลจนได้ยินแค่เสียงแว่วๆ
ถัดจากนั้นยังมีเด็กผู้ชายไม่นุ่งเสื้อ วิ่งตามเด็กหญิงคนนั้นไปแบบติดๆ
ยายมองผ่านหน้าต่างก็ได้แต่ฉงนสนเท่ห์ ว่าลูกเต้าเหล้าใคร
ดึกป่านนี้วิ่งหนีอะไรกันมา ได้แค่สงสัยแล้วก็หลับไปจนรุ่งเช้า

รุ่งสางยังไม่ถึงกับสาย ยายเล่าเรื่องนี้ให้กับเพื่อนบ้านฟัง
เพื่อบ้านกลับบอกว่า เจอแล้วเรอะ ดึกดื่นค่อนคืนหน้าน้ำหลาก
หากใครนอนไม่หลับมักได้ยินอย่างนี้แหละ
มันจะร้องไห้แบบนี้ทุกครั้งก่อนน้ำจะหลากนองเต็มสองฝั่ง
ว่ากันว่า เด็กทั้งสองคนคงตกน้ำตายบริเวณใดบริเวณหนึ่งแถวคุ้งน้ำนี้
เมื่อรู้ว่าน้ำกำลังจะมา ก็เกิดความหวาดกลัวเพราะสัญญาเดิมเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์
ได้เสียชีวิตเพราะน้ำ จึงวิ่งหนีและร้องไห้ไปตามถนนด้วยความหวาดกลัว

เรื่องราวที่ว่าผ่านไปแล้วตั้งสี่ห้าสิบปี
สองเด็กน้อยคงหมดเวรหมดกรรมไปสู่สุคติกันหมดแล้วละ
ก็หวังว่าจากเสียงร้องไห้ที่อ้างว้างและหวาดกลัว เมื่อครั้งดวงจิตยังติดอยู่กับวิบากกรรมกลางคุ้งน้ำนั้น
จะกลายเป็นหัวเราะเสียงใส วิ่งเล่นประสาพี่น้องในวิมานอันเกิดจากบุญของตนแทน
หวังว่าคงเป็นเช่นนั้นนะ

ไม่มีความคิดเห็น