ผีค้อย(ภาคสอง)


ป่าดงพงไพรกับเรื่องลี้ลับมักคู่กันอยู่เสมอ
ยิ่งเป็นป่าลึกดึกดำ ต้นไม้ใหญ่โตหลายคนโอบขึ้นอยู่หนาแน่น
ก็ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวขึ้นเป็นทวีคูณ
หากไม่จำเป็นแล้ว คงไม่มีใครอยากจะค้างคืนในบรรยากาศแบบนี้เป็นแน่
หากแต่บางคนจำเป็นด้วยอาชีพ ต้องหาของป่าเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
ย่อมต้องมีบ้างที่ต้องนอนค้างอ้างแรมอยู่กลางป่ากลางดง
คนเฒ่าบ้านยางหลวงเคยเล่าให้ฟังว่า

เมื่อหลายสิบปีก่อน
มีชายวัยกลางคนเมืองแจ่มผู้หนึ่ง มีเหตุจำเป็นต้องค้างคืนอยู่กลางป่า
โชคดีว่ามีเพิงที่คนทำทิ้งไว้อยู่ก่อนแล้ว จึงอาศัยเป็นที่หลับนอนชั่วคราว
เพิงสี่เสาเปิดโล่งทั้งสี่ด้าน ใต้เพิงมีแคร่ไม้ไผ่ยกพื้นสูงถึงเอว
ก่อไฟไว้ข้างๆ เพื่อกันอันตรายจากสัตว์
พอขึ้นแคร่ได้ ก็เอาผ้าขาวม้าเหวี่ยงปัดพอลวกๆแล้วปูนอน
ดึกสงัดแต่ยังไม่หลับสนิทดี แกได้ยินเสียงเหมือนคนมาวิ่งรอบๆแคร่
เหลือบตาดูจากเงา เหมือนเป็นเด็กไม่ถึงสิบขวบกำลังวิ่งวนไปวนมา
สิ่งนั้นวิ่งมุดเข้าไปใต้แคร่ที่นอน
แกนึกในใจว่า ตัวเล็กเหมือนเด็กแบบนี้ ชะรอยจะเป็นผีค้อยเสียแล้ว
โชคดีที่เป็นคนไม่กลัวอะไร เลยนอนนิ่งๆปั้นหมัดเป็นการใหญ่
หมายใจว่า ถ้าโผล่ออกมาจะเอากำปั้นประเคนใส่หัวให้ไม่ยั้งเลย

แต่พอนึกเท่านั้น ร่างกายกลับขยับไม่ได้!

อึกอัก อึกอัก ได้แต่นอนกำหมัดอยู่อย่างนั้น
กระทั่งร่างเด็กนั้นวิ่งพรวดออกไป จึงค่อยขยับได้อีกที
หนอย ตัวแค่นี้ อำนาจฤทธีช่างร้ายนักนะ
ร่างเด็กนั้นหายไปแล้ว แต่คราวนี้เหมือนโดนสาดทรายใส่เพิง

ซ่า ซ่า........

มันจะชักเหิมเกริมไปหน่อยแล้ว เจอข้าวสารเสกหน่อยเป็นไง
กุลีกุจอไปคว้าเอาข้าวสารเต็มกำ แล้วปลุกเสกคาถาเป็นการใหญ่
สวดเสียเต็มตำราแล้วก็ซัดออกไปนอกเพิงหนึ่งห่าใหญ่ๆ

ขากกกก ถุด ถุด  !

โคลนมาจากไหนไม่รู้เปื้อนเต็มหน้าเต็มปากไปหมด
เหมือนยิ่งสู้ก็ยิ่งเสียเปรียบ สุดท้ายแกเป็นฝ่ายยอมแพ้
ต้องขออย่าศึกกลางคัน หาไม่แล้วคงต้องนอนเปรอะโคลนไปทั้งคืนเป็นแน่

"แล้วผีมันก็เงียบไปเสียเฉยๆ ไอ้หมอนี่มันกล้าดีแท้ๆ ฮ่าๆ"

พ่อเฒ่าบ้านยางหลวงเล่าไปหัวเราะไป
นั่งฟังไปก็นึกในใจว่า สงสัยอาคมของแกคงไม่แก่กล้าพอ
นี่ถ้าพกลูกเทพไปด้วยอาจจะเอาอยู่ก็ได้

หรือจะหนักกว่าเดิมก็ไม่รู้นะ

เรื่องจากพันทิป ผีค้อย(ภาคสอง)
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 1001408
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย

ไม่มีความคิดเห็น