เสือเย็น (เสือสมิง)
เสียงเท้าย่ำใบไม้ในดงหนาดังสวบสาบ พรานหนุ่มหน้าใหม่เดินตามพรานผู้เฒ่าอย่างกระฉับกระเฉง วันนี้เขาดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ ด้วยเหตุที่พรานเฒ่าอนุญาตให้ตามมาขึ้นห้างยิงสัตว์เป็นครั้งแรก ทั้งข้าวสาร เกลือ น้ำพริกตาแดงยัดกระบอกไม้ และลูกปืนถูกจัดเตรียมมาจนเต็มอัตรา
หลังจากเดินมาหลายชั่วโมง พรานเฒ่าผู้นำหน้าก็หยุดเดินแล้วยืนนิ่งเหมือนพิจารณาอะไรบางอย่าง น่าแปลกที่ผู้เฒ่าหายใจทอดยาวสม่ำเสมอ มีอาการเหนื่อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผิดกับเขาผู้ตามหลัง ที่ตอนนี้หอบจนหน้าอกยกขึ้นยกลง
“บนต้นนี้แหละ เหมาะดี ดินโป่งมันมีอยู่ใกล้ๆนี่ พวกสัตว์ทั้งหลายคงลงมากินตอนกลางคืน เอ้าไปตัดไม้มาทำห้าง ชักช้าตะวันจะตกดินเสียก่อน”
ยังไม่ทันจะหายเหนื่อยก็ต้องรีบไปตัดไม้เสียแล้ว ชะรอยถ้าทำเสร็จ คงต้องนอนสลบไสลอยู่บนห้างด้วยความเหนื่อยอ่อนไม่ทันจะได้ยิงสัตว์อย่างแน่นอน แต่ก่อนที่จะไปตัดไม้ พรานผู้เฒ่าก็เอาผ้าขาวม้าขมวดแล้วผูกเป็นก้อนกลมแล้วโยนขึ้นๆลงๆ
“ทำอะไรน่ะพ่อเฒ่า”
“เอ้า เอ็งนี่ไม่รู้อะไร รู้มั้ยว่าป่ากลางคืนอันตรายแค่ไหน ที่ข้าโยนผ้านี่ก็เพื่อจะดูว่าเสือมันกระโดดได้สูงแค่ไหน จะได้ผูกห้างให้สูงเลยขึ้นไป ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าทำไว้ต่ำเดี๋ยวก็โดนมันลากลงไปกินกันพอดี ไป อย่าถามมาก ไปตัดไม้มา”
ไม้ไผ่และไม้เนื้อตันถูกตัดมากอง สองคนหนุ่มเฒ่าช่วยกันลำเลียงขึ้นต้นไม้โดยผูกเชือกแล้วดึงขึ้นไป คนหนึ่งอยู่ข้างบนทำหน้าที่ทั้งดึงและรับ ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ๆจึงลำเลียงไม้ขึ้นมามากพอที่จะเริ่มผูกทำห้าง พรานเฒ่าปีนตามขึ้นมาพร้อมไม้ตอกเหน็บเอว ตอกคือไม้ไผ่เส้นบางที่ผ่าตามยาวราวศอกกว่าๆ กลายเป็นเชือกสารพัดประโยชน์ ใช้มัดอะไรก็ได้ที่อยากมัด ถ้าไม่เกินที่เส้นตอกจะโอบถึง เมื่อพรานเฒ่าขึ้นมาถึง ก็แบ่งเส้นตอกให้คนหนุ่มช่วยกันมัดนั่งร้าน สักพักใหญ่ๆห้างยิงสัตว์ก็เสร็จเรียบร้อย
ตอนนี้รอคอยให้ถึงเวลากลางคืนเท่านั้น
...............
เดือนแจ้งแสงขาวสาดลงยอดไม้ยามค่ำคืน เป็นกิ่งเป็นง่า เป็นเงาอึมครึมคล้ายสัตว์คล้ายคนเอนเฟือนเลือนไหว ชวนจิตใจพรานใหม่ให้หวั่นไหวมิใช่น้อย พลันเสียงผู้เฒ่าก็ทำให้เขาต้องตกใจอีกครั้ง
“มันแปลกนัก ปกติเวลานี้สัตว์ต้องลงมากินโป่งดินบ้างแล้ว ตั้งแต่ก่อนมืดจนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นอะไรสักตัว แม้แต่เสียงจิ้งหรีดก็ไม่ได้ยิน มันเงียบผิดปกตินะ”
คนหนุ่มนั่งฟังไม่ขานตอบใดๆ แต่เขาเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ด้านล่าง
“โอ๊ย ข้าเจ็บท้องเหลือเกินพี่เหย ข้าเจ็บท้อง ข้าจะคลอดแล้ว ลงมาช่วยข้าทีพี่เหย”
เสียงโหยหวนเจ็บปวดน่าสงสารดังขึ้นมา พรานหนุ่มจำได้ว่าเป็นเสียงของเมียตน
“นั่นเสียงเมียข้า พ่อเฒ่า นั่นเมียข้ามาตาม มันกางร่มแดงเข้ามา มันท้องใกล้จะเกิดแล้ว” พูดไม่พูดเปล่า พรานหนุ่มทำท่าจะไต่ไม้ลงไปตามเสียงภรรยาเดี๋ยวนั้นให้ได้
“หยุดเดี๋ยวนี้ เอ็งฟังข้า นั่นไม่ใช่เมียเอ็ง กลางป่าลึกขนาดนี้ ใครที่ไหนเขาจะมาตามถึงได้”
เหมือนหูของเขาจะไม่ได้ยินเสียงพ่อเฒ่าเสียแล้ว เหมือนโดนอำนาจอะไรบางอย่างครอบงำ เขาทำท่าจะลงไปให้ได้ มือหนึ่งของพ่อเฒ่ารั้งแขนเขาไว้ ตาก็ไปเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวตรงมุมห้าง
มันคือตะขาบหลายสิบตัวกำลังไต่ยั้วเยี้ยเข้ามา!
พรานเฒ่าตกใจคว้ามีดจะยกขึ้นฟัน แต่ด้วยสังหรณ์บางอย่างจึงลดมีดลง
“โอ๊ย ข้าเจ็บเหลือเกิน พี่ลงมามาหาข้าที”
พรานหนุ่มได้ยินเสียงภรรยาก็ยิ่งดิ้นรนจะลงไปให้ได้ ลำพังแค่กำลังของผู้เฒ่าคงไม่อาจต้านทานเขาได้นาน มันเป็นคนหนุ่มเพิ่งออกเรือน ใจมันยังไม่ตั้งมั่น อำนาจอย่างอื่นจึงกุมใจมันได้ง่าย กับข้างล่างอย่างเดียวนั้นพอไหว แต่มาสองทางแบบนี้เห็นทีจะไม่รอด หนนี้ชะรอยจะพากันมาตายเสียแล้วกระมัง
ท่ามกลางความตึงเครียดและวิตกกังวลของพรานเฒ่า ก็มีเสียงนกตัวหนึ่งมาร้องอยู่บนหัวว่า
“ยิงจิกจ้อง ยิงจิกจ้อง” (ยิงยอดร่ม ยิงยอดร่ม)
เสียงนกบอกให้ยิงยอดร่ม คงเป็นจุดอ่อนของมัน มือไวเท่าความคิด ทิ้งแขนจากพรานหนุ่มก็คว้าปืนยาวขึ้นประทับบ่าเล็งตรงยอดของร่มไม่รีรอ
พรานใหม่ตะกายจากห้างลงไปครึ่งค่อนต้นไม้แล้ว ตะขาบไต่มาถึงเท้าแล้ว
เปรี้ยง!
หลังเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ทุกอย่างเหมือนจะสงบลง ไม่มีเสียงเรียก ไม่มีเสียงนก ไม่มีตะขาบ พรานหนุ่มไต่ขึ้นห้างมาหน้าเหรอหรา แล้วถามว่าผมเป็นอะไรไป
“เกือบตายไปแล้วมั้ยล่ะเอ็ง นอนซะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เอ็งก็จะได้รู้”
...........
รุ่งสางตะวันยก เสียงไก่ป่าขันอยู่เจื้อยแจ้ว สรรพสัตว์น้อยใหญ่ส่งเสียงตามวิสัยเป็นปกติ เหมือนอยู่คนละป่ากับเมื่อคืน เหมือนไม่ใช่ป่าเดียวกัน ตรงโคนไม้ใต้ห้าง เสือตัวเท่าวัวนอนตายตัวยาวเหยียด กลางหน้าผากมันมีรอยกระสุนเข้าไปฝังใน ขนาดตายแล้วยังดูน่าหวาดหวั่นเกรงขาม หากไอ้หนุ่มนี่ลงไปเมื่อคืน คงไม่ใช่แค่มันที่จะตาย
“นี่เสือเย็นไงล่ะ” พรานคนหนุ่มยืนอึ้งกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า
“ทำไมมันถึงกลายร่างเป็นเมียข้ามายืนร้องเรียกได้ล่ะ”
“มันรู้ว่าเมียเอ็งท้องน่ะสิ มันรู้จุดอ่อนของเอ็ง มันถึงได้จำแลงร่างเป็นเมียของเอ็ง ล่อหลอกเอ็งลงไปให้มันงาบ”
พรานเฒ่าพูดจบ ก็นึกขึ้นได้ถึงอะไรบางอย่างที่ค้างคาใจ
“ตอนกลางวันเอ็งมัดตอกวนขวาใช่มั้ย” พรานเฒ่าถามด้วยความสงสัย
“ใช่ มีอะไรอย่างนั้นหรือผู้เฒ่า”
“ตะขาบเมื่อคืนยังไงล่ะ มัดตอกเกี้ยวไปทางขวามักอาถรรพ์ เสือเย็นทำให้ตอกเกี้ยวขวากลายเป็นตะขาบ คนแต่เก่าก่อนจึงให้มัดตอกเกี้ยวซ้าย ดีนะที่ข้ายั้งมือไว้ทัน ถ้าฟันตะขาบก็เท่ากับฟันตอก ถ้าตอกผูกห้างขาด เอ็งกับข้าคงได้เป็นอาหารมันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ เป็นไงทีนี้ เข็ดรึยังล่ะอยากจะตามมาดีนัก เจอของดีเลยมั้ยล่ะ”
“แค่นี้ยังไม่เข็ดหรอกพ่อเฒ่า ฉันก็อยากจะเก่งเหมือนพ่อเฒ่าบ้าง คราวหน้าขอตามมาอีกนะ”
“ถ้ามากับเอ็งข้าไม่มาแล้วโว้ย ไอ้ตัวซวย ไปๆ เก็บข้าวเก็บของกลับบ้าน อะไรก็ไม่ได้ ยังมาเจอเสือเย็นนี่อีก วู๊”
เมื่อสัมภาระถูกเก็บเรียบร้อย พรานเก่าใหม่ทั้งสองก็ออกเดินทางกลับสู่หมู่บ้าน ทว่าคล้อยหลังราวห้าสิบวา เท้าหนาๆขนลายเหลืองดำ กำลังยืนคร่อมรอยเท้าของทั้งคู่ มันก้มหัวลงดมฟุดฟิด แล้วเหย่าเท้าไปตามกลิ่นและรอยที่มันรู้ว่าอยู่ไม่ไกล
.....................
( หมายเหตุ : เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ จะเล่าตรงๆก็กลัวว่าจะจืดชืด เลยผูกเป็นเรื่องสั้นแทน คงไม่ว่ากันนะครับ)
เรื่องจากพันทิป เสือเย็น (เสือสมิง)
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 1001408
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย
Post a Comment