เจาะลึกตำนาน ศุกร์ 13


      ศุกร์ 13 หลายคนคงได้ยินมามากมายหลายเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความซวย อาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดี และยังเป็นเลขอันไม่เป็นมงคล วันศุกร์ที่ 13 ถือเป็นวันโชคร้ายในความเชื่อตะวันตก ด้วยความเชื่อนี้ทำให้ หลายโรงแรมหรืออาคารหรือสำนักงานในตึกสูงๆไม่มีชั้น 13  ซึ่งหากขึ้นลิฟต์จะสังเกตได้ว่าชั้น 13 นั้นทำการแก้เคล็ดโดยเปลี่ยนชื่อเป็น ชั้น 12 ครึ่งบ้างต่างๆนานา


       สำหรับคนที่ไม่ใช่คริสต์อาจจะทราบคร่าวๆ นะครับว่าเลขสิบสามชาวคริสต์เขาถือว่าเป็นเลขโชคร้าย แค่สำหรับรายละเอียดที่มานั้น เพื่อความกระจ่างในเชิงข้อมูล และถือเป็นความรู้รอบตัวน่ารู้อีกเรื่องหนึ่ง ตามมาดูกันได้เลยครับ


      หมายเลข 13 ถือเป็นตัวเลขที่โชคร้ายมานานกว่าหลายศตวรรษแล้ว กฎหมายฮัมมูราบีของชาวบาบิลอนในสมัยโบราณไม่แสดงเลข 13 ดังนั้น ความเชื่อเกี่ยวกับเลข 13 อาจจะโยงไปได้ไกลถึง 1700 ก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว ส่วนชาวอียิปต์โบราณถือว่าเลข 13 เป็นสัญลักษณ์แห่งความตาย

       วันศุกร์ ก็ถือว่าเป็นวันโชคร้ายของชาวคริสเตียน บางคนเชื่อว่าพระเยซูถูกตรึงกางเขนในวันศุกร์ บางความเชื่อก็ว่า วันศุกร์เป็นวันที่ อีฟชักจูงให้อดัมกินผลไม้ต้องห้ามในสวนอีเดน ชาวคริสเตียนเชื่อว่าเลข 13 เป็นตัวเลขแห่งความโชคร้าย เพราะเลข 13 ไปคล้องกับจำนวนคน 13 คนที่รับประทานอาหารมื้อสุดท้ายกับพระเยซู ความเชื่อดังกล่าว ผูกความเชื่อของความโชคร้ายของทั้งวันศุกร์และวันที่ 13 เข้าด้วยกัน


       ใน ค.ศ. 1881 มีองค์กรที่ชื่อว่า Thirteen Club พยายามที่จะแก้ไขชื่อเสียให้เลข 13 ในการประชุมครั้งแรกของพวกเขา สมาชิกทั้ง 13 คน ได้เดินผ่านใต้บันไดเพื่อเข้าไปยังห้องที่มีเกลือโปรยปรายไปทั่ว กลุ่มนี้มีอายุยืนยาวอยู่หลายปีและมีสมาชิกเพิ่มถึง 400 คน รวมทั้งสมาชิกที่เป็นประธานาธิบดีถึงห้าคน ได้แก่ Chester Arthur, Grover Cleveland, Benjamin Harrison, William McKinley และ heodore Roosevelt ถึงแม้ว่าองค์กรนี้จะพยายามเท่าไร แต่โรค triskaidekaphobia (โรคกลัวเลข 13) ก็ยังคงอยู่ ในปัจจุบันนี้ ตึกสูงๆ ส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีชั้น 13

       ส่วนเรื่องที่เลข 13 เกี่ยวข้องกับวันศุกร์นั้น เกิดในช่วงศตวรรษที่ 20 ใน ค.ศ. 1907 นักค้าหุ้นแห่งบอสตัน ชื่อ Thomas Lawson ได้ตีพิมพ์หนังสือที่ชื่อว่า Friday the Thirteenth  ซึ่งเป็นเรื่องราวของนักธุรกิจที่ชั่วร้ายที่พยายามจะล้มตลาดหุ้นในวันที่โชคร้ายที่สุดของเดือน ต้องขอบคุณการโฆษณาที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ขายดี สัปดาห์แรกก็ขายได้ถึง 28,000 เล่ม ใน ค.ศ. 1916 หนังสือเรื่องนี้ก็ถูกทำเป็นหนังเงียบ ตลาดหุ้นที่วอลสตรีทยังคงถือเรื่อง วันศุกร์ที่ 13 จนกระทั่งปี 1925 หนังสือพิมพ์ New York Times บอกไว้ว่า ผู้คนจะไม่ซื้อหรือขายหุ้นในวันศุกร์ที่ 13

       จุดเริ่มต้นความเชื่อเรื่องศุกร์ 13 นั้น เชื่อมโยงกับความเชื่อที่ว่ามีคน 13 คนร่วมทานอาหารมื้อสุดท้ายกับพระเยซู (The Last Supper) ก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนในวันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday) กระนั้น ไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่า ประชาชนถือเอาว่าวันศุกร์ที่ 13 เป็นวันโชคร้ายจนเมื่อมาถึงศตวรรษที่ 19

       อย่างไรก็ตาม หมายเลข 13 มีประวัติว่ามีความเกี่ยวข้องกับเรื่องโชคร้ายมายาวนาน เนื่องจาก ตามปฏิทินจันทร์สุริยคติแล้ว ในบางปีต้องมีเดือน 13 เดือน ขณะที่ตามปฏิทินเกรกอเรียนและปฏิทินของศาสนาอิสลามจะมี 12 เดือนเสมอ

       บางตำราเชื่อว่าอาถรรพ์ศุกร์ 13 มาจากตำนานของ ชาวนอร์ส ที่อาศัยอยู่ในแถบสแกนดิเนเวีย เป็นเรื่องของเทพ 12 องค์ มารวมจัดงานเลี้ยงในห้องโถงเอกีร์ (เทพแห่งมหาสมุทร) แล้ว เทพแห่งไฟ โลกิ ซึ่งไม่ได้รับเชิญมาร่วมงาน จึงพังประตูรั้วเข้ามาในฐานะแขกคนที่ 13 และให้เทพฮอด (เทพแห่งความมืดมิด เพราะตาบอด) โยนกิ่งพืชกาฝากใส่บาลเดอร์ (เทพแห่งความสุขความยินดี) จนบาลเดอร์เสียชีวิตในที่สุด

       เลข 13 ถือเป็นเลขแห่งความโชคร้าย ใครที่เกี่ยวข้องกับเลขนี้ก็เชื่อกันว่าจะมีแต่ความวิบัติในชีวิต ถือเป็นเลขที่สร้างความหวาดกลัวอย่างมาก จนมีคนคิดบัญญัติศัพท์เลยทีเดียว โดยเรียกคนที่หวาดกลัวอาถรรพ์ศุกร์ 13 ว่า Paraskevidekatriaphobia มาจากภาษากรีก 3 คำคือ วันศุกร์ (Paraskevi) สิบสาม (dekatreis) และความหวาดกลัว ( Phobos)  ดร.โดนัลด์ ดอสซีย์ นักจิตวิทยาบำบัดที่ชำนาญด้านการรักษาอาการกลัวบอกว่า เฉพาะในสหรัฐฯ ประเทศเดียวมีคนเป็นโรคผวาศุกร์ที่ 13 เป็นจำนวนมากถึง 21 ล้านคน

       ในวันศุกร์ที่ 13 อเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงินเกือบพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากประชาชนจำนวนหนึ่งไม่กล้าเดินทางไปไหน ไม่กล้าทำอะไรไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน

       นอกจากเป็นตำนานอาถรรพ์ที่สร้างความเชื่อจนฝังรากลึกแล้ว หลายครั้งก็มีเหตุการณ์ที่ตอกย้ำถึงความอาถรรพ์อยู่เรื่อยๆ อย่างการเกิดอุบัติเหตุที่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีการทำสถิติเกี่ยวกับอัตราการเกิดอุบัติเหตุไว้ในแต่ละวันศุกร์ ซึ่งวันศุกร์ที่ 13 นั้นจะมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าวันอื่นๆ ถึง 52%

        ความอาถรรพ์ที่ดูแล้วจะเห็นแต่เรื่องโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างโดยเฉพาะที่สร้างภาพยนตร์เรื่อง “ศุกร์ 13 ฝันหวาน” หรือ Friday 13 th ออกมาสร้างความหวาดกลัวนั้น ไม่ว่าจะทำภาคไหนก็มีคนสนใจแห่ไปดูกันอย่างไม่น่าเชื่อ

       อีกเรื่องเล่าที่แปลงมาจากตำนานของชาวสแกนดิเนเวีย บอกว่า การที่มีคนที่ 13 มาร่วมรับประทานอาหารในโต๊ะเดียวกัน คนที่จะต้องตายเป็นคนแรกคือคนที่ลุกจากโต๊ะก่อนคนอื่น ไม่ใช่อย่างตำนานในข้อที่ 5

       เหตุผลที่วันศุกร์เป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้น เพราะเชื่อกันว่านอกจากการที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนในวันศุกร์แล้ว ตามตำรายังบอกว่า วันศุกร์เป็นวันที่ใช้ประหารนักโทษ อีกทั้งยังถือเป็นวัน Tip Top Day หรือว่า วันปีศาจ นั่นเอง ชาวประมงส่วนใหญ่จึงไม่นิยมออกทะเลในวันศุกร์กันเลย

       ในสมัยโบราณชาวตะวันตกมีความเชื่อว่าห้ามตัดเล็บในวันศุกร์ เพราะแม่มดจะขโมยเล็บเอาไปเสกให้เจ้าของกลายเป็นแม่มด

        ตามตำนานเรื่องพระเจ้าสร้างโลกบอกว่า เมื่อครั้งพระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาใหม่ๆ อดัมและอีฟได้ละเมิดคำสั่งพระเจ้า กัดกินผลไม้ต้องห้ามของสวนอีเดนในวันศุกร์ จึงถูกพระเจ้าลงโทษให้ลงมาชดใช้กรรมในโลกมนุษย์ ซึ่งเป็นวันศุกร์เช่นกัน

        และตามข้อมูลในวิกิพีเดียบอกไว้ว่า ถ้าเดือนใดก็ตามที่เริ่มต้นวันแรกเป็นวันอาทิตย์ เดือนนั้นจะมีวันศุกร์ที่ 13 เกิดขึ้น แต่ทั้งนี้ในแต่ละปีจะเกิดขึ้นไม่เกิน 3 ครั้ง

        ในขณะที่เมืองไทยก็ไม่น้อยหน้า หลายโรงแรมและตึกหลายแห่งก็ไม่มีชั้นที่ 13  เนื่องจากกลัวความอาถรรพ์ กระทั่งตัวลิฟต์หลายสำนักงานก็จะไม่มีปุ่มกดชั้นที่ 13 เช่นกัน     

      ที่อังกฤษมีการบันทึกเอาไว้ในศตวรรษที่ 18 ว่ามีความเชื่อว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่คน 13 คนมานั่งทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกันแล้ว คนที่ลุกจากโต๊ะไปเป็นคนแรกจะเป็นคนแรกที่ต้องตาย
       
      ทั้งนี้ เรื่องที่น่าแปลกเกี่ยวกับวันศุกร์ที่ 13 คือ มีหลักฐานที่ยืนยันว่า วันศุกร์ที่ 13 เป็นวันโชคร้ายสำหรับใครบางคนจริงๆ โดยนักจิตวิทยาพบว่า ในบางคนจะมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือล้มป่วยในวันศุกร์ที่ 13 ซึ่งมีการให้เหตุผลเอาไว้ว่าเป็นเพราะบางคนรู้สึกวิตกจริตเป็นอย่างมากในวันศุกร์ที่ 13 โดยทางศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันอาบำบัดการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเมินว่าในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงิน 800 – 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน

       13 ถือเป็นเลขแห่งความโชคร้ายและอัปมงคลตามความเชื่อของชาวตะวันตก โดยมีที่มาจากหลายๆ ตำนานในศาสนาคริสต์ เช่น ตำนานอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูคริสต์ที่ชื่อว่า เดอะลาสต์ซัปเปอร์ The Last Supper มีผู้ร่วมโต๊ะพร้อมหน้ากับพระองค์รวม 13 คนและจูดาร์ซึ่งเป็นศิษย์ทรยศก็นั่งในตำแหน่งที่ 13 ทำให้หมายเลขนี้กลายเป็นอาถรรพณ์ที่ชาวตะวันตกเกลียดกลัว และนำไปตีความถอดรหัสมากมาย เช่น โรงแรมส่วนใหญ่มักไม่มีห้องหมายเลข 13 หลายเมืองมักไม่มีถนนหมายเลขที่ 13 วงการรถแข่งไม่เคยปรากฏรถหมายเลขที่ 13 แต่ที่หลุดโลกที่สุด เห็นจะเป็นในประเทศตุรกี ที่ถึงขนาดตัดเลข 13 ออกจากสารบบของตัวเลขเลยทีเดียว

เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นใน “ศุกร์สิบสาม”

วันศุกร์ ที่ 13 ตุลาคม 1307 พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศสจับกุมตัวบรรดาอัศวินเทมพลาร์หลายร้อยคนไปทรมานและสังหาร เพื่อนำทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของฝรั่งเศส

วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1869 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในอเมริกา

วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1929 ตลาดหุ้นอเมริกาล่ม

วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1939 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในออสเตรเลีย

วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1945 เกิดสงครามทางอากาศครั้งสำคัญในนอร์เวย์

วันศุกร์ที่ 13 ปี ค.ศ. 1970 เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ พายุกระหน่ำมายังประเทศบังกลาเทศมีผู้เสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก

วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1978 เกิดการสังหารหมู่ในอิหร่าน 13 ศพ

วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1982 อาร์เจนติน่ายกกองกำลังยึดเกาะฟอร์คแลนด์ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ

วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1989 บริษัทคอมพิวเตอร์ IBM เสียหายอย่างหนักเพราะโดยไวรัสคอมพิวเตอร์โจมตีระบบ

วันศุกร์ ที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 2006 พายุหิมะชื่อ “Aphid” พัดถล่มเมืองบัฟฟาโล่ รัฐนิวยอร์

วันศุกร์ ที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2007 เกิดทอร์นาโดหลายลูกพร้อมกันในทางเหนือของเท็กซัส

ไม่มีความคิดเห็น