เรื่องสอยงเด็กหอ
เราเคยนำเสนอเรื่องของเรื่องราวในหอพักมหาลัยกันมาแล้ว ครั้งนี้เป็นเรื่องเล่าของนักศึกษาสาวคนหนึ่งซึ่งเธอพักอาศัยอยู่ที่นาน ส่วนเธอนั้นพบเรื่องราวหลายอย่างที่เธอเจอมากับตัวเป็นเรื่องจริงทั้งหมดลองไปฟังเรื่องหลอนๆที่เธอเจอกันเลย
เมื่อปี 54 เราสอบติดและได้เข้าศึกษาที่ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในภาคอีสาน (เราเป็นคนอีสานค่ะ) และเป็นมหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างใหญ่ และมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง หลังจากที่เราได้เข้ารับการรายงานตัว ณ ตอนนั้น ทาง ม. ได้แจ้งว่า นักศึกษาปี 1 ทุกราย ต้องพักที่หอพักของ ม. เท่านั้น (ซึ่งภายหลังเรามาทราบจากเพื่อนๆ ว่า จริงๆ แล้วทาง ม. ก็ไม่ได้ฟิกซ์อะไรนะ เพื่อนๆ ก็พักหอนอกกัน เรางงเลย...ว่าทำไมตอนเราเจออาจารย์ อาจารย์ถึงบอกให้พักหอใน) แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าพักที่ไหนก็เหมือนกันแหละ แถมอีกอย่าง พักหอในก็ราคาถูกกว่าหอข้างนอกด้วยเลยปล่อยผ่าน และในระหว่างที่นักศึกษาใหม่กำลังมอบตัว ก็จะมีทั้งเจ้าหน้าที่ อาจารย์ และรุ่นพี่นักศึกษาอยู่บริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก เราเองก็น้องใหม่ ไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ เลยถามรุ่นพี่ที่เรากำลังจะเข้าศึกษาสาขาเดียวกันกับพี่เขาว่า “พี่คะ พี่ว่าหนูพักหอไหนดีคะ **พร้อมกับยื่นกระดาษให้ดู” เหตุผลที่เราถามไปแบบนั้น เพราะว่าระหว่างการรายงานตัว จะมีพี่ จนท. เอากระดาษที่มีลิสต์รายชื่อหอพัก พร้อมระบุด้วยว่าอยู่ ม.เก่า หรือ ม.ใหม่ (ทาง ม. เรา จะมีแบ่งเป็นสองส่วน โดยทั่วไป จะเรียกกันง่ายๆ ว่า ม.เก่า กับ ม.ใหม่ ที่พึ่งสร้างขึ้นมาทีหลังค่ะ) มาให้เราเลือก เพื่อที่จะให้เราทำการชำระเงินค่าหอพัก พร้อมมัดจำ ทาง จนท. จะได้จัดเตรียมห้องพักให้เราพร้อมอยู่ ตอนนั้นเราเองก็ตัดสินใจไม่ถูกว่าเลือกหอไหน เลยเลือกถามรุ่นพี่ รุ่นพี่เลยตอบว่า “ส่วนมากสาขาเราจะเรียน ม. เก่า นะ พี่ว่าพัก ม.เก่า ดีกว่า จะได้เดินทางสะดวก ไม่ไกล” หลังจากที่รุ่นพี่พูดจบ เราก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เราเลือกหอพักที่อยู่โซน ม.เก่า ซึ่งก็มีด้วยกันอยู่หลายหอพัก หลายอาคาร ตอนนั้นเราเลือกหอพักที่มีชื่อนำหน้าขึ้นด้วยตัว พ. ค่ะ พอเลือกเสร็จ และทำธุระในการรายงานตัวทุกอย่างเรียบร้อย เรากับแม่ก็เดินทางกลับบ้าน อ่อ...ลืมบอกไป ว่าตอนไปรายงานตัว แม่เราพาไปนะคะ ไม่ได้ไปคนเดียว และบ้านเรากับ ม. ก็อยู่คนละจังหวัด นั่งรถมินิบัส 3 ชม. ถึงค่ะ แล้วหลังจากกลับบ้าน เราก็รอวันที่จะต้องย้ายของเข้าหอพัก ....พอถึงเวลาที่จะต้องเข้าไปเป็นนักศึกษาอย่างเต็มตัว และนอนห่างบ้าน ตอนนั้นเราแอบดีใจนิดๆ นะคะ กะว่าพอออกไปเป็นเด็ก ม. ไกลพ่อไกลแม่ ก็จะได้เที่ยวตามใจฉัน 5555 (นิสัยไม่ดีเลย) ....แต่มันก็คิดแบบนั้นได้ไม่นาน.....เพราะอะไรน่ะหรอคะ? ลองอ่านต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ
วันแรกที่เราเข้าพักที่หอพักของ ม. แม่เรามานอนเป็นเพื่อน 1 คืน เพราะกลัวว่าเราจะกลัว แล้วเราเองก็ไม่เคยนอนทีไหนนอกจากบ้านของตัวเอง แม่ก็เลยค่อนข้างเป็นห่วง แต่คืนแรกก็ผ่านไปได้ด้วยดี จะมีก็แต่เพียงแค่เราฝัน ....คืนนั้นเราฝันว่าเรานอนอยู่ในหอพัก บรรยากาศภายในห้องเป็นแบบห้องจริงที่เราพักอยู่เลย สักพักมีผู้หญิงอายุราวๆ 35-40 ปี ผมสั้น ใส่ชุดสีขาวเหมือนชุดที่เขาใส่ปฏิบัติธรรมในวัด มายืนอยู่ข้างเตียงที่เรากำลังนอนอยู่ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ค่อยๆ ก้มหน้าเข้ามาใกล้ๆ กับหน้าเรา ก้มลงมาเรื่อยๆ จนเกือบชิดกับหน้าเรา ในความรู้สึกตอนนั้นเหมือนเขากำลังสงสัยว่าเราเป็นใคร สักพักร่างของเขาเปลี่ยนเป็นผู้ชายใส่ชุดดำ ตอนนั้นเราตกใจสะดุ้งตื่นทันที! แล้วภาพที่เราได้เห็นตอนที่เราตื่น คือเรานอนเอาแขนไขว้กันเหมือนกากบาท ทำท่าประมาณว่ากันไม่ให้อะไรเข้ามาใกล้ ตอนนั้นเราตกใจตัวเอง แต่พอตื่นมาก็เช้าแล้วเลยไม่ได้คิดอะไรมากคงเป็นแค่เพียงฝัน ....พอช่วงบ่ายแม่เราบอกว่าจะขอกลับบ้านก่อน เพราะห่วงบ้านแล้วก็พ่อที่อยู่คนเดียว เราเองก็โอเค ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไร เราเลยให้แม่กลับบ้าน พี่ จนท. ก็แจ้งมาก่อนหน้านั้นแล้วว่า จะมีคนมาพักด้วยอีก 2 คน (หอพักเรา พักห้องละ 4 คน เป็นเตียง 2 ชั้น) สรุปคือ ห้องที่เราพักอยู่ จะมีคนมาพักด้วยอีก 2 คน รวมเราด้วยเป็น 3 คน วันนั้นหลังจากที่แม่เรากลับบ้าน เราก็แอบคิดแล้วว่า คงต้องมีใครมาพักที่ห้องบ้างล่ะ (เพราะเราไม่เคยนอนหอพัก แล้วก็ไม่เคยนอนคนเดียว ใจแอบกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น) แต่ไม่เลยค่ะ ไม่เป็นอย่างที่คิดเลย คือ เราต้องนอนคนเดียวถึง 2 คืน กว่าจะมีคนเข้ามาพัก (ตอนนั้นเราค่อนข้างตื่นเต้น เลยเข้ามาพักที่หอพักก่อนมีเรียนและกิจกรรมต่างๆ และคิดว่าคนอื่นคงเป็นเหมือนเรา แต่เปล่า -_-) จะบอกว่าจำความรู้สึก 2 คืนนั้นได้แม่น คือไม่ได้เจอหรือได้ยินอะไรหรอกนะคะ แต่มันเป็น 2 คืนที่ยาวนานมากกกกก รู้สึกทรมาน อยากให้มีคนมาพักด้วยเร็วๆ กลัว หลอนตัวเองไปหมด เปิดไฟนอนทั้งคืน มีไฟกี่ดวง กี่หลอดเปิดหมด แม้กระทั่งไฟระเบียง ไฟห้องน้ำ 55555 ....พอหลังจาก 2 คืนนั้นผ่านพ้นไป ก็มีเพื่อนร่วมห้องเข้ามาพักด้วย ขอเรียกชื่อแทนว่า โบว์นะคะ วันนั้นมีแค่โบว์ที่เข้ามาพัก ส่วนอีกคนยังไม่มา .....วันนั้นเราเองก็ได้ถามไถ่โบว์ ว่าเรียนสาขาอะไร ปีไหน ชื่ออะไร บลาๆๆ คุยกันเรื่อยเปื่อย ตามประสาน้องใหม่ทั้งคู่ ได้ความว่าโบว์ เรียน การ รร. ปี 1 พอหลังจากอีก 1 วัน ก็มีคนเข้ามาพักเพิ่ม เขาเป็นรุ่นพี่ปี 2 เขาบอกว่าเขาพักห้องนี้ตั้งแต่ปี 1 แล้ว เรียน การ รร. เหมือนโบว์เลยค่ะ ขอแทนชื่อพี่เขาว่า ก้อย นะคะ หลังจากที่เราเข้ามาพักครบทั้ง 3 คนตามที่พี่ จนท. ได้แจ้งไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว พวกเราทั้ง 3 คน ก็ใช้ชีวิตเหมือนเด็กมหาลัยทั่วไป ไปเรียน ไปทำกิจกรรมต่างๆ วนอยู่อย่างนั้นในแต่ละวัน จนขึ้นปี 2 ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีอะไรผิดปกติ จะมีก็แต่พี่ก้อยที่เริ่มไม่ค่อยกลับห้อง นานๆ ทีจะกลับมาพักบ้าง ส่วนเรากับโบว์ก็ยังคงเหมือนเดิม ....แต่ไม่นาน หลังจากขึ้นปี 2 มันก็เริ่มไม่เหมือนเดิม ...คืนวันนั้นเป็นวันพระ(ที่เราจำได้ว่าวันพระ เพราะพอเช้ามาเราถามกันว่าเมื่อคืนวันพระหรือเปล่า) เรากับโบว์คุยกันเรื่อยเปื่อย เหมือนอย่างทุกๆ วัน ...สักพักมีกลิ่นแทรกเข้ามาในจมูก หือออออ!!! เรากับโบว์อุทาน “กลิ่นธูป” เรากับโบว์อยู่ในห้องกัน 2 คน ตอนนั้นพวกเราตกใจมาก!! ทั้งกลัว ทั้งสงสัย... หลังจากพูดจบโบว์ค่ะ โบว์วิ่งออกไปนอกห้องพร้อมกับกรี๊ดเสียงดัง เราเองก็บ้าจี้ตามกรี๊ดแล้วก็วิ่งตามโบว์ออกไป 55555 (ตอนนั้นคือทั้งอยากจะขำ ทั้งอยากจะร้องไห้) แต่เชื่อมั้ยคะ ว่าพอเราทั้ง 2 คนกรี๊ด และวิ่งออกไปนอกห้อง ไม่มีใครเปิดประตูออกมาดูเราเลยสักคน ....พอหลังจากที่เรากรี๊ดและยืนอยู่ตรงประตูห้องสักพัก เราทั้ง 2 คนก็ตั้งสติ เพราะคิดว่าที่นี่คือห้องพักของเรา ยังไงเราก็ต้องพักที่นี่ เราทั้ง 2 คน เลยรวบรวมความกล้า เดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง แต่ไม่ปิดประตู 5555 ...พร้อมกับดมไปทั่วห้อง เพื่อหากลิ่นว่ามาจากตรงไหน... แต่หายังไงก็หาไม่เจอ สักพักกลิ่นก็เริ่มจาง เราทั้ง 2 คน เลยคุยกันว่ามันคงไม่มีอะไร คนเค้าคงจุดธูปไหว้อะไรกันมั้ง (ซึ่งมันก็เป็นไปได้) หลังจากเหตุเกิดในคืนนั้นได้ไม่กี่เดือนโบว์บอกกับเราว่า เขาจะย้ายเข้าไปพักที่ ม. ใหม่ เพราะว่าวิชาที่เขาลงไว้ ส่วนมากเรียน ม. ใหม่ จะได้เดินทางสะดวก ซึ่งตอนนั้นเราเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเหตุผลนั้นจริงๆ หรือเปล่า เพราะเท่าที่เรารู้มา ตึก การ รร. อยู่ ม.เก่า แต่เขาอาจจะมีวิชาเลือกเรียนส่วนมากที่ ม. ใหม่ จริงๆ ก็ได้ เราเองก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรเขามาก ....ตอนนั้นเราเองก็แอบใจหายนิดๆ เพราะว่าถ้าโบว์ย้ายออกไป ก็เท่ากับว่า เราต้องพักที่นี่คนเดียว เพราะปกติพี่ก้อยก็ไม่ค่อยได้กลับห้องสักเท่าไหร่ ....พอหลังจากที่โบว์ย้ายออกไป เราก็ใช้ชีวิตปกติ เรียน ไปเที่ยวกับเพื่อน ทำกิจกรรม กินข้าว นอน ดูทีวี วนอยู่แบบนี้แบบไม่ได้คิดอะไร แต่แล้วไม่นานก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีกครั้ง วันนั้นเราเลิกเรียนช่วงเย็น กว่าจะกลับมาถึงห้องก็เกือบมืดเพราะว่ารถวิ่งช้ามากกกๆๆ **เรานั่งรถโดยสารไปเรียนค่ะ เพราะไม่มีมอเตอร์ไซค์ (ที่เราเรียนปี 1-2 ส่วนมากจะเรียน ม.ใหม่ค่ะ ทุกวันนี้ก็ยังงอยู่เลย ว่าทำไมวันนั้นรุ่นพี่ถึงบอกว่าส่วนมากเราเรียน ม.เก่า เห้อออ -_- **ม.เก่า กับ ม.ใหม่ ไกลกันเกือบ 10 ก.ม. ได้มั้งคะ) พอเข้ามาถึงห้องพักเราล้มตัวลงนอนเลยค่ะ เพราะรู้สึกเพลียและง่วงมากจนเผลอหลับไป แบบไม่ได้เปิดไฟ หรือเปิดทีวี โดยไม่รู้สึกกลัวเพราะอยู่ห้องนี้มาปีกว่าแล้ว เริ่มชิน ....พอเรานอนไปได้สักพัก เราได้ยินเสียงเหมือนผู้หญิงหัวเราะ แต่ในใจตอนนั้นก็คิดว่าคงเป็นเสียงคนในหอพัก (เริ่มสะลึมสะลือตื่น) สักพักได้ยินอีกรอบ รอบนี้คือชัดเลยว่าเป็นเสียงผู้หญิงหัวเราะเบาๆ อยู่ข้างหู หัวเราะแบบเนิบๆ ช้าๆ ออกแนวเหมือนคนหัวเราะเยาะ ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงเด็กหรือเปล่า เพราะเบามาก แต่มันก้องในหู วินาทีนั้นรีบลุกเลยค่ะ!!! เปิดทีวี เปิดไฟทุกดวง เหมือนวันแรกที่เข้ามาเลย... ตอนนั้น ทั้งงง ทั้งตกใจ ทั้งกลัว ทำอะไรไม่ถูกเลย เราเลยตัดสินใจโทรหาแม่ โทรคุยอะไรเรื่อยเปื่อย แต่ไม่ได้บอกแม่เรื่องที่เราได้ยินนะคะ เพราะเรากลัวว่าถ้าเราพูดแล้วเขา(สิ่งที่มองไม่เห็น)จะได้ยิน แล้วยิ่งโกรธ บ้ามั้ยล่ะคะ ^^ แต่พอได้คุยกับแม่ความรู้สึกก็เริ่มโอเคขึ้น เราไปอาบน้ำ ต้มมาม่ากิน แล้วก็นอนดูทีวี เล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อย จนเผลอหลับ พอตื่นมาอีกทีก็เช้าแล้ว เห้ออออ...โล่งงง >< เราก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนทุกวันทั่วไป ....เย็นของวันนั้นพี่ก้อยก็กลับมาพักที่ห้อง เรา 2 คนนอนคนละมุมของห้องพัก แต่จะวางทีวีไว้ตรงกลางของห้อง เพื่อให้ได้ดูด้วยกัน เรานอนดูทีวีและเล่นโทรศัพท์เหมือนที่เคยทำ ตอนนั้นเราเองยังคาใจเสียงที่ได้ยินเมื่อเย็นวาน(ตามประสาสัญชาตญาณมนุษย์ที่อยากรู้อยากเห็นไม่มีวันจบสิ้น) เลยตัดสินใจเอ่ยปากถามพี่ก้อยออกไปแบบกล้าๆ กลัวๆ เพราะใจนึงก็กลัวเขา(สิ่งที่มองไม่เห็น)จะโกรธ ว่า “พี่ก้อยคะ พี่ก้อยเคยได้ยิน หรือเห็นอะไรแปลกๆในห้องเรามั้ยคะ” พอพูดจบ พี่ก้อยหันมามองหน้าพร้อมกับยิ้มให้ แล้วก็ขำเบาๆ แล้วพี่ก้อยก็ถามกลับว่า “ทำไมหรอ เห็น หรือ ได้ยินล่ะ” เรายิ้มแบบแห้งๆ แล้วตอบกลับไปว่า “ได้ยินเสียงหัวเราะค่ะ” แล้วพี่ก้อยก็ยิ้มตอบกลับมาอีกครั้งพร้อมกับพูดว่า ....พี่ก็เคยได้ยิน แต่เป็นเสียงผู้หญิงร้องไห้นะ ไม่ใช่หัวเราะ.... ตอนนั้นเราขนลุก ทั้งตัว ทั้งหัว หื่มมมม... แล้วพี่ก้อยก็เสริมมาอีกว่า “ไม่มีอะไรหรอก ของแบบนี้มีอยู่ทุกที่แหละ อย่าคิดมาก” ตอนนั้นเรายิ้มตอบรับแทนคำขอบคุณไปให้พี่ก้อย แต่ในใจก็นึกกลัว... แล้วทุกอย่างก็ผ่านไปเหมือนทุกๆ วัน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก จนกระทั่ง!!!...
นนั้นเราเดินทางกลับบ้านค่ะ เพราะเป็นวันหยุดยาว(จำไม่ได้ว่าหยุดอะไร) พอตกกลางคืนประมาณตี 2 อยู่ดีๆ เราตื่นขึ้นมากลางดึก มีเสียงดัง อี๊ดดดดดดดดดด…อยู่ในหัวตลอด สักพักใจเริ่มสั่น สั่นแรงมากๆๆ พอหลังจากนั้นหายใจไม่ได้เลยค่ะ เหมือนกำลังจะตาย ตอนนั้นเราเหมือนคนบ้า เราวิ่งออกไปหน้าบ้าน แล้วก็ตะโกนเรียกแม่ ทุกคนในบ้านตกใจ รีบวิ่งออกมาดูเราว่าเราเป็นอะไร เราบอกแค่ว่า “หนูหายใจไม่ออก หนูจะตายแล้ว” ตอนนั้นมั่นใจเลยค่ะ ว่าตายแน่ ตายแน่ๆ กลัวมาก ...แม่ตัดสินใจเรียกรถพยาบาล เราเองก็หายใจพะงาบๆ เหมือนปลาที่อยู่บนบก เหมือนจะตาย ตัวสั่นแรงอยู่แบบนั้น ระหว่างรอรถพยาบาลมา ประมาณ 15 นาที พอรถพยาบาลมาถึง เราก็ถูกส่ง รพ. หมอเวรก็ตรวจดูอาการทั่วไป แล้วก็สรุปว่าเราเป็นโรคเครียด แล้วก็ให้ยามากิน วันนั้นเราเครียดกับการวินิจฉัยมาก กลับมาบ้านเราพูดกับแม่เราว่า “เป็นไปไม่ได้ หนูไม่ได้เครียด หนูต้องเป็นโรคหัวใจแน่ๆ พรุ่งนี้หนูจะไป รพ. ใหญ่ หนูไม่เอาแล้ว รพ. เล็ก” (พูดด้วยความโมโห) พอเช้าวันรุ่งขึ้น เรารู้สึกว่าเราดีขึ้นมาก เลยตัดสินใจว่าจะไม่ไปหาหมอ เราเลือกที่จะกลับมหาลัยแทน ตอนนั้นด้วยความที่แม่เป็นห่วง เลยอยากให้เราอยู่บ้านอีกสัก 1-2 วัน แต่เราแน่ใจแล้วว่าเราโอเค เราเลยขอกลับ แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร พูดแต่เพียงว่า “มีอะไรก็โทรหาแม่นะ แม่เป็นห่วง” เราก็ตอบตกลงไป ...พอกลับมาถึง ม. เย็นวันนั้นรู้สึกแปลกๆ มีความรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อย เศร้า อยากร้องไห้ โลกรอบข้างเป็นสีเทา มองอะไรก็เศร้าไปหมด... ตอนนั้นเราไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่ทน จะบอกแม่ก็ไม่กล้า เพราะแม่ก็บอกแล้วว่าให้อยู่บ้านก่อนเราก็ไม่ฟัง ...เราทนกับความรู้สึกนั้นเป็นอาทิตย์ ทรมานมาก จะบอกเพื่อนก็ไม่กล้า กลัวเค้าหาว่าบ้า **แต่ที่แปลกก็ตรงที่ว่า ช่วงกลางวันจะไม่มีอาการอะไรเลย จะมีช่วงเริ่มใกล้ค่ำ ไปจนถึงดึกหรือนอนหลับ** ....แต่พอเข้าอาทิตย์ที่ 2 เรารู้สึกว่าเราทนไม่ไหวแล้ว เรารีบโทรหาแม่เลยค่ะ แล้วเล่าอาการทุกอย่างให้แม่ฟัง แม่เราบอกให้เรารีบกลับบ้าน พอหลังจากคืนนั้นที่ได้คุยกับแม่ เช้าวันรุ่งขึ้นเราขอลากลับบ้าน 3 วัน แม่เราก็พาเราไปหาหมอที่ รพ. ใหญ่ในตัวจังหวัด ....หมอซักประวัติ>ถามอาการ>ตรวจเลือด>รอผลเลือด>เข้าฟังผล (ใช้เวลาทั้งวัน) = หมอบอกว่าเราเป็น Panic Disorder …หลังจากออกจาก รพ. เราก็รู้สึกเพลีย เพราะนั่งรถจากมหาลัยก็ออกตั้งแต่เช้า กว่าจะมาถึงจังหวัดที่เราอยู่ก็ 3 ชม. พอมาถึงแม่ก็นัดให้ไปเจอกันที่ รพ. ใช้เวลาตรวจก็ทั้งวัน คือเหนื่อยมาก จนไม่ได้สนใจที่หมอวินิจฉัย เราเลยรีบกลับบ้านพักผ่อน พอเช้าวันถัดมา เราจำได้ว่าหมอบอกว่าเราเป็น panic disorder เราก็เลยค้นหาคำนี้ในอินเตอร์เน็ต พอหลังจากค้นเจอแล้ว เราลองอ่านดู ข้อมูลค่อนข้างตรงกับอาการที่เราเป็นอยู่มาก ตอนนั้นเราโล่งใจสุดๆ เพราะข้อมูลเขาบอกมาว่าโรคนี้เป็นแล้วไม่ตาย ถึงเวลาอาการกำเริบ ดูเหมือนใกล้จะตาย แต่ก็ไม่ตายแน่นอน ...วู้วววว เย่... ตอนแรกคิดว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจ 5555
หลังจากวันที่เราพบหมอ และได้ยามาทาน 1-2 วัน เราก็กลับมาที่มหาลัยตามเดิม อาการเราก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ดีขึ้นได้ไม่นาน... เราก็กลับมารู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง แล้วครั้งนี้ก็ว่าเหมือนมันจะหนักกว่าเดิม ทั้งๆ ที่เราทานยาตามที่หมอสั่งมาตลอดไม่เคยขาด วันนั้นเราจำได้เลยว่าเรากลับมาเศร้า เหงา วังเวง อยากร้องไห้ เรานั่งทำใจอยู่สักพัก เลยตัดสินใจเดินไปอาบน้ำ เพราะคิดว่าอาบน้ำแล้วคงจะดีขึ้น ...แต่ไม่เลย... เรายืนร้องไห้ในห้องน้ำโดยไม่มีสาเหตุ เหมือนคนบ้า ร้องเหมือนใจจะขาด ตอนนั้นเรางงตัวเองมาก ว่าเราเป็นอะไร เราหาสาเหตุไม่ได้ เรารู้แค่ว่าเราเศร้า เศร้ามาก แต่เศร้าเรื่องอะไรไม่รู้ เรายืนร้องไห้แบบนั้นอยู่นานพอสมควร จนเราคิดแล้วว่า ไม่ได้! เราต้องใจแข็ง แล้วเราก็รีบอาบน้ำจนเสร็จ แต่งตัว นอนเล่นโทรศัพท์ ดูทีวี พยายามไม่คิดอะไร แล้วสักพักเราก็เริ่มง่วง zZzzZ อือ...เราเผลอหลับไป แบบที่ไฟเปิดไว้ทุกดวง ทีวีก็ยังเปิดอยู่ ...ราวๆ ประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ เราตื่น!!! หือออ...ตื่นมาทำไม? (เราถามตัวเองในใจ) แต่ตอนนั้นรู้เลยว่าตัวเองนอนต่อไม่ได้ เพราะไม่รู้สึกว่าง่วงเลยสักนิด เลยตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มาเล่นเพื่อรอเวลาง่วงนอน พร้อมกับปล่อยให้ทีวีมันดังอยู่อย่างนั้น สักพักเราเริ่มเศร้าขึ้นมาอีกครั้ง เศร้ามาก เศร้าแบบบอกไม่ถูก อธิบายออกมาเป็นประโยคไม่ได้ แล้วที่แย่ไปกว่านั้น เราเกิดความรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย ใช่ค่ะ “ฆ่าตัวตาย” (ในห้องเราจะมีอุปกรณ์ทำครัวเล็กๆ น้อยๆ เช่น หม้อหุงข้าว มีด จาน ชาม ช้อน ส้อม ฯ) เรากลัวใจตัวเองมาก เพราะมันมีความรู้สึกว่า เราต้องลุกขึ้นไปหยิบมีด แต่ในใจเรามันเหมือนมี 2 ด้านของความคิด ความคิดหนึ่งบอกว่า “อย่า” ส่วนอีกความคิดหนึ่ง กลับบอกว่าให้เรา “ลุกขึ้นไปหยิบมีด” ตอนนั้นเองเรามองไปที่มีด แล้วบอกกับตัวเองว่า ...“ให้เราเดินไปหยิบมีดมาปาดคอตัวเองซะ”...(จะบอกว่าตอนพิมพ์ประโยคนี้คือขนลุก) บ้าไปแล้วววววว...ตอนนั้นเราบ้าไปแล้ว เราคิดแบบนั้นไปได้ยังไง …ตอนนั้นเราลุกขึ้นยืน แต่ไม่ได้เดินเข้าไปหยิบมีด เรายืนมองดูมีดนั้นอยู่นาน ทั้งๆ ที่เปิดไฟสว่างทั่วห้อง เปิดทีวีเสียงดัง แต่สิ่งรอบกายเหล่านั้นกลับไม่ได้ช่วยดึงความคิดเราเลยแม้แต่น้อย แต่สักพักไม่รู้ว่าอะไรดลใจเรา ทำให้เราคิดถึงแม่แล้วบอกกับตัวเองว่า “เราจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ เรายังมีแม่ที่ต้องดูแล” (เรามีพี่สาว 1 คน แต่ว่าอยู่กับยายมาตั้งแต่เด็ก ยายก็เลยเลี้ยงไว้ให้อยู่กับยายไปเลยค่ะ เท่ากับว่าตอนนี้แม่มีเราแค่คนเดียว) หลังจากหลุดจากความคิดอันเลวร้ายนั้นมาได้ สักพักเรานั่งลงบนเตียงพร้อมกับร้องไห้ จะโทรหาแม่ก็กลัวแม่จะเป็นห่วง เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว ...คืนนั้นเราเลยตัดสินใจไม่นอน โทรคุยกับกิ๊กกั๊กไปเรื่อยเปื่อยจนเช้า 55555 (วัยรุ่นสามารถคุยกันจนถึงเช้าได้จริงๆ นะ) พอถึงช่วงเช้า เราก็วางสายจากโทรศัพท์ แล้วลุกจากที่นอนไปอาบน้ำ แปรงฟัน แล้วก็กลับมานอนแบบจริงจัง **วันนั้นเราไปเรียนไม่ได้เลย เพราะเพลียมากเลยขอลา** วันนั้นทั้งวันเราไม่ได้กินข้าวเลยค่ะ นอนอย่างเดียว เพราะมีความรู้สึกว่าช่วงนั้นตัวเองไม่หิวข้าวเลย แล้วพอกินข้าวก็จะอ้วกตลอด งงมาก... เราเลยตัดสินใจไม่กินมันซะเลย เราเป็นแบบนั้นอยู่เป็นเดือนๆ พอหิวหน่อยประมาณว่าไม่มีแรงจะเดิน ก็จะหาผลไม้หรือก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ กินแทน เพราะรู้สึกว่าพอกินได้บ้าง แต่ถ้าเป็นข้าวนี่แบบเหมือนว่าจะอ้วกตลอด ตอนนั้นน้ำหนักเราลดลงมา 7 กก. ภายใน 1 เดือน จนเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันทัก ตอนนั้นเราเองเหมือนสมองมันเบลอๆ ไม่ค่อยจะสนใจโลก เรียนเสร็จก็อยากจะรีบกลับห้องอย่างเดียว ไม่อยากไปไหนกับใคร ....จนวันนั้นเราทนไม่ไหว เรามีความรู้สึกว่าอยากจะฆ่าตัวตายอีกครั้ง(ตั้งแต่หมอให้ยามา เราทานมาตลอด ไม่เคยขาดค่ะ) เราเลยตัดสินใจโทรบอกแม่ แม่เราตกใจมาก!! แม่เราบอกให้เรารีบกลับบ้าน ....พอเช้าวันถัดมาเรารีบกลับบ้านทันที แต่ครั้งนี้แม่ให้เรากลับบ้านเลย โดยไม่ได้นัดให้ไปเจอกันที่ รพ. เหมือนครั้งก่อน พอกลับถึงบ้าน แม่เราบอกกับเราว่า “ต้องลองรักษาทั้ง 2 ทาง ทั้งวิทยาศาสตร์ และไสยศาสตร์” ตอนนั้นยอมรับเลยค่ะว่าเราตกใจ เพราะถึงแม้เราจะเคยได้ยินอะไรพวกนี้มาบ้าง แต่ส่วนตัวไม่เคยเข้าไปยุ่งอะไรกับของแบบนั้นเลย แต่ตอนนั้นเราหมดหนทางแล้วจริงๆ เพราะไปหาหมอก็ทำตามที่หมอสั่ง ส่วนยาก็กินตามที่ให้มาตลอด แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ดีขึ้นเลย เราเลยตอบตกลงแม่ไป ...หลังจากที่เราตอบตกลง แม่เราพาเราไปพบกับหญิงแก่อายุราวๆ 50 เกือบๆ 60 น่าจะได้ แม่เราเรียกหญิงแก่คนนั้นว่า “แม่หมอ” พอไปถึง แม่เราก็เอาจานที่ได้จัดดอกไม้ และเทียนไว้แล้ว 5 คู่ พร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งใส่เข้าไปในจาน เพื่อเป็นค่าครู (เท่าไหร่แล้วแต่เรา) หลังจากนั้นแม่หมอก็ถามเราว่า อาการมันเป็นยังไง ..เราเองก็เล่าไปตามที่เรารู้สึกจริงทั้งหมด ...สักพัก แม่หมอก็หยิบเอาไข่ 1 ใบ มาวางบนมีดพร้า แล้วก็ลูบวนลูบวนอยู่อย่างนั้น แต่จำไม่ได้ว่ากี่รอบ พร้อมกับท่องอะไรสักอย่าง หลังจากนั้นแม่หมอก็เอาไข่ที่ผ่านจากการลูบบนมีดพร้ามาวางตั้งบนพื้น เฮ้ยยยย!! ไข่มันตั้งได้จริงๆ (เราคิดในใจ) ตอนนั้นเราเองก็ตกใจ >>หลังจากนั้น แม่หมอก็ถามเราว่า “แถวที่พักมีศาลมั้ย” เราเลยตอบไปว่า “มีค่ะ มีหลายจุดเลย” แม่หมอถามต่อ “เคยไปไหว้หรือเอาอะไรไปถวายท่านบ้างมั้ย” เราใจสั่นพร้อมกับตอบไปทันทีว่า “ไม่เคยเลยค่ะ” หลังจากนั้นแม่หมอก็ยิ้ม พร้อมกับขำเบาๆ แล้วบอกเราว่า “ตรงที่หนูพักอยู่ จะมีศาลตรงทางเข้าประตู ตรงนั้นแหละ ท่านไม่พอใจ เพราะท่านเห็นตลอดว่าเราซื้อข้าวของ ขนม นม เนย กลับมากิน แต่ไม่เคยแวะไหว้ หรือถวายท่านเลย ท่านเลยมองว่าเราเป็นคนตระหนี่ถี่เหนี่ยว” ....หลังจากแม่หมอพูดจบ เรานี่คือขนลุกเลยค่ะ เพราะตรงทางเข้าประตูรั้วมหาลัย(ลืมบอกค่ะ ว่าหอพักเราอยู่ในรั้วมหาลัย ม.เก่าเลยค่ะ) จะมีศาลตั้งอยู่ คนแถวนั้นเรียกว่า “ศาลกระดิ่ง” ซึ่งจะมีลักษณะเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ไม่แน่ใจว่าต้นไทรหรือเปล่า และจะมีกระดิ่งแขวนอยู่ตามกิ่งก้านเต็มไปหมด เรียกได้ว่าแทบมองไม่เห็นใบกันเลยทีเดียว ส่วนใต้ต้นไม้จะมีศาลตั้งอยู่ และมีแท่นวางของไหว้ และที่ปักธูปเทียน เอาเป็นว่าใครที่ไม่เคยไปไหว้ แล้วไปไหว้ครั้งแรก ต้องมีขนลุกกันบ้างแหละ เพราะดูศักดิ์สิทธิ์มาก >>แล้วหลังจากนั้นเราก็บอกกับแม่หมอว่า “ขอบคุณนะคะ หนูจะกลับไปทำค่ะ” หลังจากที่เราไปพบแม่หมอแล้ว เราก็ไม่ได้หยุดพบหมอนะคะ ตอนนั้นเราเลือกรักษาทั้ง 2 ทางไปพร้อมๆ กัน ....พักอยู่บ้านได้ 2-3 วัน ก่อนเราจะเดินทางกลับมหาลัย รอบนี้แม่เราเอาสร้อยพระให้เราไว้ แม่บอกกับเราว่า ให้เราใส่สร้อยพระไปด้วยตลอด อย่าถอดออก แล้วก็บอกให้เราสวดมนต์ก่อนนอน จากนั้นเราก็ไหว้แม่กับพ่อ แล้วเดินทางกลับมหาลัย.... พอกลับถึง ม. เช้าวันถัดมาหลังเลิกเรียน เราได้ซื้อ กระดิ่ง ขนม นม น้ำแดง แล้วธูป เพื่อมาไหว้ และถวายท่านที่ศาล ...ตอนแรกที่เราเดินเข้าไป จะบอกว่าสิ่งแรกที่เรารู้สึกคือเย็นมาก เย็นจนออกหนาว แล้วหลังจากนั้นเราก็เริ่มถวายขนม นม น้ำแดง และจุดธูปไหว้ท่าน พร้อมกับขอขมาในสิ่งที่เราทำไม่ถูกไม่ควร พอหลังจากไหว้เสร็จ เราก็เอากระดิ่งมาแขวนที่กิ่งของต้นไม้เหมือนกับของคนอื่นๆ ที่เขาทำกัน แต่ตอนนั้นเราขวัญเสียมาก เพราะอะไรรู้มั้ยคะ.... **กระดิ่งเราหล่นลงมาแตกเลยค่ะ** (เราซื้อกระดิ่งแบบเป็นกระเบื้อง เหมือนของคนอื่น) หลังจากนั้นเรารีบเก็บกระดิ่งขึ้นมา แล้วก็ไหว้ท่านก่อนเดินออกไป ในใจคิดแล้วว่าจะซื้ออันใหม่มาแขวนอีกรอบ >> หลังจากวันนั้น วันพระเราก็กลับมาอีกรอบ รอบนี้เราเอาผลไม้ น้ำแดง มาถวาย พร้อมกับจุดธูปไหว้ท่านเหมือนครั้งแรก พร้อมกับเอากระดิ่งมาแขวนที่ศาลตามที่ตั้งใจไว้ก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้สำเร็จไม่หล่นลงมาแตกเหมือนรอบแรก ในระหว่างทางที่เรากำลังเดินกลับหอพัก เราพบว่ามีศาลอีก 2 แห่ง คือ ตรงทาง 3 แยกหลังคณะ การ รร. และศาลเก่า อยู่ในป่า ค่อนข้างน่ากลัวสำหรับเราเลยทีเดียว แต่ตอนนั้นในหัวเราก็คิดแล้วว่า ต่อไปเราจะเดินไปถวายอาหารกับจุดธูปที่ศาลกระดิ่งทุกๆ วันพระ แต่ทุกครั้งที่เราเดินไปก็จะผ่าน 2 ศาลที่เราพูดถึง ถ้าเราไม่ไหว้ท่านก็กลัวท่านจะโกรธ เลยตัดสินใจว่า จะไหว้ทั้ง 3 ศาลในทุกๆ วันพระ (แต่ก็มีบ้างที่ไม่ได้ไป) >>>พอหลังจากที่เรากินยาตามที่หมอสั่ง พร้อมกับไหว้ศาลทุกๆ วันพระ มาได้ระยะหนึ่ง เรารู้สึกได้เลยว่า เราโอเคขึ้น เชื่อมั้ยคะ!! แล้วหลังจากนั้นมา เราก็เริ่มมีความรู้สึกอยากทำบุญตักบาตร ความคิดเราเปลี่ยน จากที่เป็นคนที่ไม่ค่อยทำบุญ ไม่ค่อยคิดเรื่องเข้าวัดเข้าวา เรากลับมีความรู้สึกว่าอยากทำอะไรก็ได้สักอย่างที่ทำให้เราได้บุญ และได้แผ่บุญให้กับคนอื่น และสิ่งต่างๆ หลังจากที่เราไม่ค่อยทำบุญเราก็ทำ ไม่เคยสวดมนต์ข้ามปีเราก็สวด ไม่เคยกินเจเราก็กิน และอะไรอีกหลายๆ อย่าง ตอนนั้นเราค่อนข้างจะจริงจังกับเรื่องบุญมาก ถึงขั้นหาหนังสือธรรมะมาอ่าน คืออยากรู้ว่าทำอย่างไร ของที่เราทำบุญไปและอุทิศให้ แล้วเขาจะได้รับจริง ตามอ่านทุกอย่างที่อยากรู้เกี่ยวกับการทำบุญ เรียกได้ว่าตอนนั้น อยู่ในโลกของตัวเองค่อนข้างหนัก 555555
พอเริ่มขึ้นปี 3 เราก็ยังคงไปไหว้ศาล และทำบุญอยู่บ้าง แต่ไม่ค่อยบ่อยเหมือนช่วงแรกๆ แต่สิ่งที่เราสัมผัสได้เลยคือ เราชอบที่จะได้ช่วยเหลือคนอื่นที่ด้อยกว่าเราจริงๆ และเวลาได้ให้ หรือทำบุญ คือรู้สึกดีจากข้างในจริงๆ ไม่เหมือนสมัยเด็กๆ ที่แม่บังคับให้ไปวัด พอเราทำบุญก็รู้สึกว่ามันเฉยๆ ออกแนวขี้เกียจด้วยซ้ำ ไม่ได้รู้สึกอะไร เพียงแค่ว่าทำไปเพราะแม่ให้ทำเท่านั้น
ช่วงนั้นรู้สึกว่าตัวเองเริ่มกลับมามีความรู้สึกเหมือนคนปกติทั่วไป จนถึงขั้นสามารถนอนดูคนอวดผี แบบปิดไฟ คนเดียวได้ เฮ้ยยย!! คือเก่ง งงตัวเอง 5555 รู้สึกดีมาก หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบเจอกับอะไรอีกเลย ....จนพอจบปี 3 เราก็วางแผนว่าจะย้ายไปอยู่หอนอกแถวๆ ม.ใหม่ วันนั้นก่อนจะออกจากหอพัก เราจำได้แม่นจนถึงวันนี้ >>> เราจ้างรถโดยสารมาขนของเรา เพื่อย้ายไปที่หอพักแถวๆ ม.ใหม่ เราเองก็เก็บข้าวของไปเรื่อยๆ จนครบหมด โดยที่ไม่ได้คิดอะไร ....จะเหลืออยู่ก็แค่ตะกร้าผ้า กับพวกไม้แขวนเสื้อ ของจิปาถะเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่ในตะกร้า ก่อนออกจากหอพัก เราต้องเอากุญแจห้องไปคืนพี่ จนท. หอพัก แต่พอเรากำลังจะออกจากห้อง เรากลับหากุญแจไม่เจอ แต่ตอนนั้นเรามั่นใจแล้วว่าเราวางกุญแจไว้แถวโต๊ะข้างเตียง ซึ่งตอนนั้นเราก็เอาตะกร้าผ้าวางไว้ที่บนโต๊ะด้วย เราพยายามหาอยู่นาน หาในตู้เสื้อผ้า ในลิ้นชัก ในห้องน้ำ เทตะกร้าผ้าที่มีข้าวของอยู่เต็มไปหมดออก ค้นแล้วค้นอีก หายังไงก็หาไม่เจอ เราเลยตัดสินใจยกมือไหว้แล้วบอกกล่าวออกไปว่า “ท่านคะ ตอนนี้หนูกำลังจะย้ายออกไปพักหอนอกนะคะ ตอนนี้หนูหากุญแจไม่เจอ หนูมีความจำเป็นที่จะต้องนำกุญแจไปคืนพี่ จนท. ก่อนออก ช่วยดลบันดาลให้หนูหาเจอด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ” หลังจากพูดจบ เราลองรื้อของออกจากตะกร้าอีกครั้ง เฮ้ยยยย!!! กุญแจอยู่ในตะกร้าเลยค่ะ คือรอบนี้ไม่ต้องเท ไม้ต้องค้น หรือคุ้ยอะไร แค่ยกของบางอย่างออกจากตะกร้า เห็นเลยค่ะว่าวางอยู่ในตะกร้า นี่คือแบบเฮ้ยยย!! ตอนนั้นคือขนลุกมากกกกก!!!! หลังจากนั้น เราก็เอาของออกจากห้องจนหมด และนำกุญแจไปคืนพี่ จนท. พร้อมกับกล่าวขอบคุณ และก่อนออกจากหอพัก เราก็ไม่ลืมที่จะบอกกล่าวกับเจ้าที่เจ้าทางที่หอพัก และในรั้ว ม.เก่า ว่าเรากำลังจะไปพักที่หอนอก ขอให้ท่านจงช่วยปกปักรักษาคุ้มครองเราด้วย หลังจากนั้นมา เราก็ใช้ชีวิตตามปกติ จะมีอาการบ้างเป็นบางครั้งเวลาเครียดหนักๆ เพราะกลายเป็นโรคประจำตัวติดตัวมาเลย แต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร แค่นอนไม่หลับ ใจสั่นนิดหน่อย
Post a Comment