เจ้าที่แรง


     อาคารบ้านเรือน มีผีเจ้าที่เจ้าทาง ปกปักรักษาอยู่ เพื่อปกป้องคุ้มครองดูแล รักษาสถานที่บ้านเรือนที่อยู่อาศัย ให้มีความเป็นสิริมงคล เรื่องของความเชื่อที่มีมาแต่โบราณครับและทำกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษแล้วถือเป็นจารีตประเพณีอย่างหนึ่งก็ว่าได้ อีกอย่างที่นิยมกราบไหว้บูชาก็คือ ผีบ้านผีเรือน หากผู้ใดต้องการที่จะพบกับความรุ่งเรืองและความสุข ความกราบไหว้บูชาท่านอย่าได้ขาด ด้วยการปฏิบัติบูชา คือ การทำความดี หมั่นทำบุญกุศลแล้วอุทิศไปให้ท่านเหล่านั้น

     ช่วงฤดูร้อนที่ผมกำลังศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษาชั้นปีที่สี่ ในวันศุกร์หนึ่งที่ทั้งเพื่อนทั้งชั้นต้องรวมตัวกัน เพื่อทำรายงานส่งอาจารย์ในเช้าวันจันทร์ที่กำลังจะมาถึง

    การร่วมมือร่วมใจในครั้งนี้เกิดขึ้นในบ้านพักหลังหนึ่ง ซึ่งเจ้าของให้เช่าทั้งหลังในราคาถูกจนน่าเหลือเชื่อ คืนนั้น พวกเราจึงตัดสินใจยึดบ้านหลังนี้เป็นฐานปฏิบัติการชั่วคราว

    อันที่จริงบ้านพักหลังนี้ ก็เป็นบ้านที่พวกเราค่อนข้างคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เพราะก่อนหน้านี้ มันถูกเช่าโดยรุ่นพี่ของพวกเราเอง พอพวกเขากำลังจะเรียนจบ ก็ติดต่อกับเจ้าของบ้าน แล้วก็ส่งต่อบ้านเช่าหลังนี้มาให้รุ่นน้องในลำดับถัดลงไป ซึ่งก็คือพวกเรา

    ชั้นล่างประกอบด้วยหนึ่งห้องนอน ซึ่งไม่แน่ว่าคนออกแบบบ้านอาจตั้งใจให้เป็นห้องเก็บของก็ได้ เนื่องจากมีขนาดค่อนข้างเล็ก ด้านหลังเป็นห้องครัวและห้องน้ำขนาดย่อมๆ อย่างละหนึ่งห้อง

    ส่วนชั้นบนมีหนึ่งห้องนอนขนาดใหญ่มาก และหนึ่งห้องน้ำ การแบ่งพื้นที่ใช้สอยในส่วนของชั้นบน ให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างแปลกพอสมควร เพราะพอเดินสุดขั้นบันได ก็เป็นประตูห้องนอนเลย และทางขวามือก็เป็นประตูห้องน้ำ เรียกได้ว่าชั้นบนไม่เหลือพื้นที่ส่วนกลางสักนิดไว้ให้ใช้ทำอะไรเลย

    ในคืนนั้น เวลาประมาณหนึ่งทุ่ม เมื่อทุกคนมารวมตัวกันพร้อมแล้ว ต่างคนจึงต่างจัดแจงเร่งมือค้นคว้าเพื่อทำรายงานในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบกันอย่างตั้งอกตั้งใจ

    แต่ความตั้งอกตั้งใจนั้น กลับเกิดขึ้นได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น สุดท้ายก็เป็นเหมือนกับทุกครั้งเมื่อพวกเรามารวมตัวกัน คือ งานเอาไว้ก่อน วันนี้เพิ่งวันศุกร์ ยังมีเวลาอีกตั้งสองวัน

    ไม่เป็นไร พักสมองกันหน่อย วันนี้ก็ยังมีเวลาอีกทั้งคืน คิดได้ดังนั้น จึงพร้อมใจกันหยุดมือ ทั้งๆ ที่เพิ่งเริ่มไปได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น บางคนก็ไปหาของกิน บางคนก็ไปดูโทรทัศน์ บางคนก็ไปหยิบกีตาร์มาบรรเลง

    คืนนั้น ผมและเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งจับกลุ่มกับเล่นไพ่ครับ ห้องที่พวกเราเล่นกัน เป็นห้องใหญ่ที่อยู่บนชั้นสอง ในความคิดของผม รู้สึกว่าห้องนี้เป็นห้องที่แปลกดี เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าประตูอยู่ตรงและใกล้กับบันไดบ้านมาก หากเราอยู่ในห้องและเปิดประตูออกมา ก็จะเจอบันไดทันที แถมบันไดของบ้านหลังนี้มีช่วงสั้นและชันมาก

    ในขณะที่กำลังเล่นกันอยู่นั้น มือของใครบางคนก็เกาะกุมและฉุดกระชากไหล่ของผมจนหงายหลังไม่เป็นท่า

    “โอ๊ย...” ตกใจจนร้องเสียงหลง เพราะไม่ทันระวังตัว อีกทั้งผมนั่งอยู่บริเวณปากประตูห้อง ห่างจากขั้นบันไดไปเพียงไม่เมตร ก็ทำให้รู้สึกหวาดเสียวว่าอาจจะร่วงลงไปได้

    นึกโมโหในใจว่าใครมาเล่นอะไรพิเรนทร์แบบนี้ แต่พอหันกลับไปเตรียมตัวจะจัดการเจ้าจนที่เล่นอะไรไม่เข้าท่า ก็กลับพบแต่ความว่างเปล่า

    ไม่มีใครอยู่เลย ซึ่งอันที่จริงก็ควรจะเป็นอย่างนั้น บันไดของบ้านหลังนี้เป็นไม้ ซึ่งหากมีใครเดินขึ้นมาจะเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดให้ได้ยิน แต่เมื่อครู่ผมก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร

    แล้วใครที่ดึงไหล่ผมจนหงายหลังกันล่ะ

    “เห้ย เป็นอะไร” เพื่อนในวงถาม หลังจากเห็นท่าทีแปลกๆ ของผม หันกลับไปมอง พยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด

    “เปล่า” ผมตอบ และเริ่มเล่นต่อ

    เวลาซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดระแวงในใจเคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสี่ทุ่ม

    “เห้ย กลับก่อนนะ ง่วงแล้ว”  ผมบอกเพื่อนๆ ในวง เตรียมพร้อมกลับบ้านเต็มที่ เนื่องจากหากจะกลับบ้าน จากที่นี่ ผมต้องเดินผ่านวัดสองแห่ง คือวัดที่ได้เล่าไปแล้วในเรื่องเล่าตอนที่สี่ก่อนหน้านี้ ซึ่งหากปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปมากกว่านี้ ผมคงจะไม่กล้ากลับ

    “อ้าว เห้ย กลับทำไม อยู่เล่นกันก่อน แล้วรายงานจะไม่ทำแล้วเรอะ” เสียงทักท้วงดังขึ้นรอบวง

    “ไม่เอา ง่วงแล้ว แล้วรายงานก็ไม่เห็นทำกันเลย ไว้พรุ่งนี้เช้ามาทำก็คงเหมือนกันล่ะ” บอกเพื่อนๆ ไป และลุกขึ้นกลับบ้านทันที

    “อะไรว้า” เสียงในวงยังคงดังไล่หลังอย่างหัวเสีย

    ในคืนนั้น ขณะที่กำลังนอน ใจก็นึกไปถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น วนไปวนมาจนกระทั่งหลับไปในที่สุด

    เช้าวันใหม่ ผมรีบตื่นนอน ทำกิจวัตรประจำวันอย่างเร่งด่วน และเดินทางกลับไปหาเหล่าเพื่อนๆ ทันที ในขณะนั้น ในใจก็คิดอยู่สองเรื่อง คือ เรื่องรายงานที่ต้องทำ ซึ่งเดาเอาว่าเมื่อคืนคงไม่ได้ทำกันแน่ๆ และอีกเรื่องก็คือเรื่องที่ผมเจอเมื่อคืนในบ้านหลังนั้นนั่นเอง

    พอไปถึงบ้านพักหลังนั้น เหล่าเพื่อนๆ ตื่นกันหมดแล้ว ซึ่งนั่นสร้างความแปลกใจให้ผมไม่น้อย เนื่องจากในยามปกติเจ้าพวกนี้ตื่นสายกันเป็นประจำ ทว่า สีหน้าของแต่ละคนยังงัวเงีย บางคนก็ยังนั่งหลับ เหมือนไม่ค่อยเต็มใจตื่นกันสักเท่าใด

    และก่อนที่ผมจะถามเรื่องรายงาน หรือเรื่องสิ่งลี้ลับที่คิดอยู่ในใจ ใครคนหนึ่งก็พูดขึ้นมา

    “เมื่อคืนนอนอยู่ดีๆ ใครมาลากขาก็ไม่รู้ว่ะ ลากจนหล่นลงมาจากเตียงนอนเลย”

    ได้ยินแค่นั้น ความสนใจของผมก็วิ่งไปหาเพื่อนคนนี้ทันที

    “นอนไม่หลับเลย”

    เพื่อนคนเดิมยังพูดต่อ ซึ่งพอได้ยินแบบนั้น ผมก็เลยเล่าเรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้นกับตัวเองก่อนกลับบ้านให้ฟังบ้าง และเมื่อเพื่อนที่เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ออกเงินเช่าบ้านหลังนี้มาได้ยินเข้า ก็เลยเล่าให้ฟังบ้าง

    “ถูกลากขาเหรอ ตอนมาอยู่ใหม่ๆ ก็เคยโดนเหมือนกัน แต่ไม่มีใครโดนมานานแล้วนะ”

    ทุกคนหันไปมองเพื่อนคนนั้นทันที

    “ตอนนั้นนอนอยู่ในห้องเล็กชั้นล่าง ไม่รู้กี่โมง แต่น่าจะดึกมากแล้ว รู้สึกเหมือนมีคนมาดึงขา เลยสะดุ้งตื่นขึ้นมา ตอนนั้นตัวหล่นจากเตียงมาครึ่งตัวแล้ว”

    สิ่งที่เกิดขึ้นคล้ายๆ กับเพื่อนที่เพิ่งถูกดึงแทบไม่ผิดเพี้ยน

    “ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร อาจจะนอนดิ้นก็ได้ นึกแปลกใจนิดๆ ล่ะ เพราะคนนอนดิ้น จะนอนดิ้นในแนวขึ้นลงได้ยังไง ก็ช่างมัน ลุกขึ้นมานอนให้เข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม แต่พอเคลิ้มๆ จะหลับ ก็รู้สึกว่าถูกดึงอีก คราวนี้เลยแน่ใจว่าถูกดึงแน่ๆ เพราะยังไม่หลับ ก็เลยตะโกนโวยวายออกมา แรงดึงก็หยุดไปเฉยๆ”

    ไม่รู้ว่าคนอื่นที่ได้ฟังรู้สึกยังไง แต่ผมเริ่มมีอาการหวาดๆ นิดหน่อย

    “แต่เพราะดึกแล้ว ก็เลยหลับมันที่เดิมอีกนั่นล่ะ ทีนี้ พอหลับไปแล้ว ดันฝันว่ามีผู้หญิงมายืนอยู่ที่ปลายเท้า หน้าตาเกรี้ยวกราด กำลังยืนชี้หน้าอยู่ เหมือนคนกำลังโมโหยังไงยังงั้นเลย แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนใกล้สว่างแล้ว”

    ได้ฟังแค่นั้น บรรดาขาจรของบ้านหลังนี้ โดยเฉพาะคนที่ถูกดึงขาเมื่อคืนถึงกับหน้าถอดสี ส่วนผมก็แอบนึกในใจว่า ช่างโชคดีจริงๆ ที่เมื่อคืนไม่ได้อยู่ค้างที่นี่

    ไม่เช่นนั้น คนที่ถูกดึงขา อาจจะกลายเป็นผมก็ได้

ไม่มีความคิดเห็น