ทางลัดผ่านวัด
เด็กๆเคยมีประสบการณ์ที่จะต้องผ่านที่หลอนๆตอนกลางคืนเปลี่ยวๆเงียบๆบ้างไหม เคยไหมที่จะต้องผ่านวัดตอนดึกๆขี่ จจย เรียกได้ว่า หมดปอกบิดทีหีรย์กระพือ รถยนต์เหยียบมิดพิชิตความหงี่ กลั้นหายใจบ้าง หลับตายังไปถูกทาง เจอบ้างไม่เจอบ้างแต่ที่แน่ๆเจอง่ายกว่าถูกหวย ลองไปฟังเรื่องหลอนๆที่ชายคนหนึ่งเค้าโดนมากับตัวเลยครับ
หากนับตั้งแต่เหตุการณ์สยองขวัญที่เกิดขึ้นกับตัวเองครั้งแรก จนถึงเรื่องนี้ก็ประมาณสี่ถึงห้าปีแล้ว อันที่จริง ผมพบเห็นเหตุการณ์แปลกๆ เหล่านี้อยู่เป็นระยะ แต่ด้วยความที่มันเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยมาก ทำให้หลายๆ เรื่อง ตัวผมเองก็ลืมเลือนไปหมดแล้ว
แต่สำหรับเรื่องที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ ค่อนข้างมีความพิเศษอยู่นิดหน่อย ตรงที่เรื่องสยองครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่ผมยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ผมไม่ได้พบเห็นอะไรแบบนี้ในช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่น
ดังนั้น มันจึงกลายเป็นหนึ่งในหลายๆ เรื่อง ที่ติดตาชัดเจนมาจนทุกวันนี้
คืนก่อนวันพิลารัยของผู้ก่อตั้งสถาบันที่กำลังศึกษาอยู่ในขณะนั้น ผมและเพื่อนจำนวนหนึ่งที่ตอนนั้นกำลังเรียนอยู่ชั้นอุดมศึกษาปีที่สาม กำลังช่วยกันจัดซุ้มสอยดาวของเอก ซึ่งจัดกันเป็นประจำทุกปี เพื่อให้ผู้เข้าชมนิทรรศการในวันรุ่งขึ้นได้มาร่วมสนุกกัน อีกทั้งยังเป็นการหาเงินเข้าเอกสำหรับทำกิจกรรมของเอกในครั้งอื่นๆ ต่อไป
อันที่จริง ในคืนนี้พวกเราตกลงกันว่าจะค้างคืนกันที่สถาบัน เพราะคาดว่ากว่าทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยก็คงดึกเอาการแล้ว แต่ทว่า เนื่องจากพวกเราอยู่ค้างคืนเพื่อช่วยกันทำหลายคนนั่นเอง ทำให้งานที่คิดว่าจะยาวนาน กลับเสร็จเรียบร้อยเร็วเกินคาด
ยังไม่ถึงเที่ยงคืนดี ก็ไม่เหลืออะไรให้พวกเราทำกันแล้ว
อีกหกชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเช้า พวกเราจึงนั่งเล่นกีต้าร์ ร้องเพลงกัน เพื่อไม่ให้เงียบ วังเวง จนเกินไป แต่เพียงแค่สามชั่วโมงผ่านไปเท่านั้น แต่ละคนก็เริ่มง่วงจนนั่งอยู่ต่อไม่ไหว
ดังนั้น แต่ละคนจึงเริ่มหามุมเพื่อพักผ่อนตามแต่สะดวก บนโต๊ะอาหารในโรงอาหารบ้าง ใต้ต้นไม้บ้าง โต๊ะหินอ่อนบ้าง สุดท้ายแล้วจึงเหลือแต่ผมคนเดียวที่ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้
ไม่รู้ว่าในเวลานั้นกำลังคิดอะไร แต่ผมกลับตัดสินใจเดินกลับบ้านในเวลาตีสามนั่นเอง
บ้านผมอยู่ไม่ไกลจากสถานศึกษามากนัก สามารถเดินเท้ากลับบ้านได้อย่างเร็วสุดประมาณไม่เกินยี่สิบนาทีหากรีบเดินให้เร็วที่สุด เส้นทางให้เลือกเดินก็มีหลายเส้นทาง
หากเป็นในช่วงเวลาปกติ ผมคงจะเลือกเดินกลับด้วยเส้นทางเดิมที่ใช้อยู่เป็นประจำ
มันเป็นเส้นทางที่เดินตัดผ่านซอยเล็กๆ ซึ่งสองข้างทางเรียงรายไปด้วยบ้านเดี่ยวสมัยโบราณ อาณาเขตบ้านแต่ละหลังถูกโอบล้อมด้วยสังกะสึทึบสูงท่วมหัว จนทำให้ภายในซอยให้ความรู้สึกทึบ อึมครึม และแคบลงไปถนัดตา
ที่สำคัญกว่านั้น คือ ในซอยนั้นมีวัดซึ่งเคยมีเรื่องเล่าสยองขวัญจากบรรดาเพื่อนๆ และรุ่นพี่ร่วมสถาบัน เล่าผ่านหูให้ฟังถึงความเฮี้ยนต่างๆ นานา
นั่นเองที่ทำให้ผมตัดสินใจว่า คงจะเป็นการดีที่สุด ที่ในเวลาตีสามเช่นนี้ ผมควรจะต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางนี้ หากไม่อยากหัวใจวายไปเสียก่อน ถึงแม้จะเคยพบเห็นอะไรแปลกๆ มาบ้าง แต่ไม่น่าจะมีใครสามารถเคยชินกับเรื่องพวกนี้ได้
ผมเลี่ยงเส้นทางดังกล่าว โดยเดินเท้าไปตามถนนใหญ่สายหลักแทน ด้วยคิดว่า ถึงอย่างไรมันก็กว้างขวาง เห็นอะไรได้ชัดและไกลกว่าซอยแคบ อีกทั้งยังมีไฟทางให้ความสว่างอยู่บ้าง แม้บางดวงจะติดๆ ดับๆ จนดูน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมก็ตามที
เดินมาเรื่อยๆ ข้ามสะพานข้ามคลองขนาดใหญ่ นึกวังเวงในใจ เสียวสันหลังพิกลจนกระทั่งเดินข้ามมาอีกฝั่ง ก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าซอยที่เป็นทางลัด ซึ่งตัดผ่านไปยังบ้านของผมได้
มันเป็นซอยขนาดใหญ่ประมาณรถสองคันแล่นสวนกันได้ ซึ่งเชื่อมระหว่างถนนสายหลักสองเส้น เดินเข้ามาในซอยนี้ครู่เดียวเท่านั้น ผมก็นึกอะไรออก นึกด่าตัวเองในใจ ทั้งๆ ที่สัญจรผ่านซอยนี้ทุกวี่วันอยู่แล้วแท้ๆ แต่ทำไมดันลืมไปเสียได้ว่า ในซอยนี้ก็มีวัดอยู่อีกแห่งเหมือนกัน
วัดนี้ตั้งอยู่แทบจะกึ่งกลางซอย หากจะเดินไปที่อีกฝั่ง อย่างไรเสียก็ต้องเดินผ่าน แน่นอนว่าวัดนี้เองก็มีเรื่องเล่าสยองขวัญมากมายไม่แพ้ที่อื่นเหมือนกัน และที่แย่กว่านั้น เรื่องเล่าของวัดนี้ ผมได้ยินบ่อยๆ มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเสียด้วย
ความลึกของซอยประมาณสามกิโลเมตร ผมเดินอย่างหวาดระแวงจนกลายเป็นเชื่องช้าไปถนัด ใจหนึ่งก็คิดถึงที่นอนและหมอนที่บ้านเต็มแก่เพราะดึกมากแล้ว แต่อีกใจก็คิดแทรกขึ้นมาว่าให้หันหลัง และกลับไปนอนกับเพื่อนๆ ที่สถาบันดีกว่า
เท้ายังคงก้าวต่อไปอย่างหวาดหวั่น ใจคอเริ่มไม่ดี ความมืดสลัว บรรยากาศร้างผู้คน บ้านแบบโบราณสภาพทรุดโทรมสองข้างทาง ทั้งหมดทั้งมวลช่วยส่งเสริมให้เรื่องเล่าของวัดผุดแทรกเข้ามาในหัวสมองอย่างเกินสะกดกลั้น
รู้รึเปล่า วัดนี้น่ะนะ ตอนกลางคืนเคยมีคนเห็นเปรตยืนคร่อมกำแพงวัดอยู่ มันจะโก้งโค้งตัว ยื่นมาลงมาหาคนที่บังเอิญต้องสัญจรผ่านหน้าวัดในเวลาดึกๆ ทำเสียงร้อง วี๊ด วี๊ด ออกมาจากปากเล็กๆ เพื่อขอส่วนบุญ
นี่ๆ ใครเดินผ่านวัดนี้ตอนดึกๆ นะ บางคนจะเห็นผู้หญิงผมยาว สวมชุดนอนสีขาว นั่งส่งยิ้มให้อยู่บนกำแพงวัด
โธ่เอ๊ย แล้วผมจะมานึกถึงเรื่องพวกนี้เอาตอนนี้เพื่ออะไรเนี่ย นึกโทษตัวเอง อยากเขกหัวตัวเองให้สาสมจริงๆ รู้ก็รู้ว่ากลัว แต่ก็ดันไปนึกถึงเรื่องชวนเสียวสันหลังขึ้นมาได้
พยายามขับไล่ความคิดแปลกๆ ออกไปจากหัวสมองโดยด่วนที่สุด แต่ดูเหมือนไม่ได้ผลเท่าที่ควร ในเมื่อพวกมันยังคอยวนเวียนล่องลอยอยู่ในห้วงความคิด
เข้าข่ายยิ่งพยายามไม่คิดมากเท่าไหร่ ก็กลายเป็นยิ่งทำให้คิดถึงมันมากเท่านั้นเสียจริงๆ
กำแพงวัดเห็นมาแต่ไกล ถึงแม้ว่าในเวลาตีสามกว่าเช่นนี้ ความมืดจะทำให้สีของกำแพงวัดถูกบิดเบือนไปจากความเป็นจริง แต่จินตนาการของผมกลับทำหน้าที่แต่งแต้มสีเหลืองมอๆ ที่เห็นอยู่ทุกวี่วันเข้าไปเรียบร้อยแล้ว
ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการก้มหน้าก้มตา จ้ำอ้าวเดินไม่คิดชีวิต
ผมเคลื่อนกายอย่างรวดเร็วเต็มกำลังบนทางเท้าฝั่งตรงข้ามกับกำแพงวัดสีทึมๆ มีเพียงถนนขนาดสองช่องทางที่กั้นระหว่างตัวผมกับวัดเท่านั้น
ในขณะที่ผมกำลังหวาดระแวงผีเปรตและผีสาวบนกำแพงในหัวสมอง ทันใดนั้นสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในจุดที่ผมไม่สนใจมันเลยสักนิด ใครคนหนึ่งเคลื่อนกายออกมาจากซอยเล็กๆ อันมืดสนิท ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูเล็กของวัดพอดิบพอดี ซึ่งนั่นก็คือฝั่งเดียวกันกับที่ผมกำลังใช้สัญจรอยู่นั่นเอง
เขาคนนั้นอยู่ห่างไปเพียงไม่เกินสิบเมตรเท่านั้น ความมืดสลัวทำให้เห็นได้ไม่ถนัด แต่จากรูปร่าง ท่าทาง ทำให้คาดเดาเอาว่า เจ้าของเงาที่กำลังขวางทางผมอยู่ เป็นชายแก่ ตัวเล็กและผอม แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ผมชะงัก ไม่กล้าเดินต่อไปได้แล้ว
และแล้วเงานั้นก็หมุนตัวอย่างเชื่องช้า หันมาเผชิญหน้ากับผม ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่พอรู้ตัวอีกที ที่ปลายเท้าของชายชราตรงหน้าก็ปรากฏเงาดำของสุนัขตัวใหญ่กำลังนอนหมอบอยู่
เอาแล้วไง ซวยแล้ว ไม่น่าเลย เจอดีเข้าให้แล้ว ทำยังไงดี...ความคิดมากมายตีกลับไปมาในหัวสมองที่แทบว่างเปล่า ทว่ายังไม่จบเพียงแค่นั้น เมื่อผมพบว่า จู่ๆ เงาชายชราที่กำลังประจันหน้ากันอยู่นั้นกำลังกวักมือเรียก
ในคืนนี้ อาการขนหัวลุกเป็นอย่างไร ผมได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเลย มันเป็นความรู้สึกเหมือนมีคลื่นลมเย็นเยือกพัดผ่านช่วงสันหลัง ลูกไล้มาจนถึงท้ายทอย วูบวาบเป็นระลอก และส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการหนาวสะท้านขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ
รู้สึกเหมือนสติกำลังจะหลุดลอยไปได้ทุกเมื่อ ในหัวกำลังประมวลผลอย่างหนัก จะหันหลังแล้ววิ่งกลับทางเดิมดีหรือเปล่า อ้อมไปทางถนนใหญ่ที่ไม่ต้องผ่านวัดแน่ๆ เลยดีกว่าไหม
แต่ตอนนี้ก็ตีสามกว่าแล้ว หากเดินย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อที่จะหลบไปอีกทางแบบนั้น ระยะทางที่ต้องเดินกลับบ้านจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว ผมอาจกลับถึงบ้านตอนตีสี่กว่า ซึ่งมันน่าจะนานเกินไป
ในขณะกำลังคิด สายตาก็ไม่กล้าละจากเงาร่างสยองตรงหน้า ชายชราปริศนายังคงกวักมือเรียกผมด้วยจังหวะคงที่สม่ำเสมอ สุนัขตัวโตยังหมอบอยู่ที่เดิม ไม่มีอาการไหวติง หรือเสียงร้องครางใดๆ ให้ได้เห็นได้ยิน
แต่ถ้าหันหลังเดินกลับ แล้วมันเกิดตามมาล่ะ ตอนนั้นจะทำยังไง พยายามนึกถึงความเป็นไปได้ทุกทาง ในขณะที่ตัวเองก็ยังไม่กล้าขยับไปไหน
คิดสิ คิดเข้าไป จะทำยังไง รับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวแรง เม็ดเหงื่อผุดจนเต็มแผ่นหลัง ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังรู้สึกหนาววูบวาบอยู่แท้ๆ จนในที่สุดก็ดูเหมือนว่าสติการคิดหาเหตุผลของผมจะขาดผึงลงไป ความง่วงที่เกิดขึ้น และการพยายามคิดหาทางออกในเรื่องที่ไร้เหตุผล ทำให้ทุกอย่างกลับกลายเป็นศูนย์
เอาไงเอากัน จะเกิดอะไรก็ต้องเกิด คนจะเจอ หนียังไงก็คงไม่พ้น รีบกลับไปนอนดีกว่า...จู่ๆ ผมก็คิดแบบนี้ขึ้นมาดื้อๆ
ผมจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นมัน แล้วเดินผ่านมันไปเฉยๆ ต่างคนต่างอยู่ก็แล้วกัน ว่าแล้วก็ตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปหาเงาสยองตรงหน้า หลังจากที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ไม่ต่ำกว่าสองถึงสามนาที
ระยะสวนที่ห่างกันไม่เกินสองถึงสามฟุต ทำให้สายตาอดที่จะชำเลืองมองไปยังเงาร่างนั้นไม่ได้ในขณะที่ผมกำลังจะเดินผ่านไป ความใกล้ขนาดนี้ ทำให้เห็นอะไรได้อย่างชัดเจนเหลือเชื่อทีเดียว เงาที่ขวางทางกลับบ้านของผมเป็นชายแก่จริงๆ ร่างกายของเขาผอมแห้งจนเหลือเพียงแค่หนังหุ้มกระดูก
หน้าตาเป็นอย่างไรผมไม่ทราบ เพราะความมืดทำให้สังเกตได้ไม่ถนัดนัก และที่สำคัญ ผมไม่กล้ามองหน้าเขาคนนั้นตรงๆ เพราะกลัวว่าเขาจะกำลังมองมาที่ผมเช่นกัน ชายแก่ยังคงกวักมือเรียกอะไรบางอย่างตรงหน้าของเขาต่อไปในขณะที่ผมกำลังจะเดินลับหลังไปแล้ว เงาสุนัขที่หมอบอยู่ก็ยังคงหมอบอยู่เช่นเดิมอย่างไม่ไหวติงใดๆ
เมื่อเดินลับหลัง ผ่านร่างชายแก่ปริศนาไปเรียบร้อยจนแทบอย่างจะตะโกนออกมาดังๆ ด้วยความดีใจ จู่ๆ ก็กลับมีลมเย็นพัดผ่านจากทางด้านหลัง ลูบไล้ท้ายทอยและผ่านไปทางด้านหน้า ที่ประตูใหญ่ของวัดปรากฏสุนัขกลุ่มใหญ่ที่วิ่งกรูกันออกมา และพร้อมใจกันหอนต่อกันเป็นทอดๆ อย่างไม่ขาดระยะ
และแล้วเส้นขนทั่วกายของผมก็พร้อมใจกันลุกเกรียวขึ้นมาอีกครั้ง
กลั้นใจเดินจนผ่านบริเวณรั้ววัดได้สำเร็จ กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างดูเหมือนจะเข้าสู่ภาวะปกติ บรรยากาศแปลกๆ เสียวสันหลัง และหนักหน่วงเมื่อสักครู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง ราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาก่อน
สุนัขที่พร้อมใจกันหอนเมื่อสักครู่ก็เงียบเสียงไปเสียเฉยๆ อย่างนั้นเอง
หลังจากนั้นพอถึงบ้าน ผมรีบอาบน้ำและข่มตาให้หลับทันที
ตอนเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ ฟังในเช้าวันรุ่งขึ้น บางคนก็ถามว่า ทำไมไม่หันกลับไปมองให้รู้แน่กันไปเลย ว่าชายชราคนนั้นเป็นอะไร ซึ่งแน่นอนว่าเหตุผลที่ผมไม่ทำอย่างนั้นย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือผมกลัว และกลัวมากจนถึงขนาดทำให้ผมสติแตกขนาดนั้น ถ้าหันกลับไปแล้วเจออะไรมากกว่านี้จะเป็นอย่างไรก็ยังนึกไม่ออก
Post a Comment