ผีป้าผู้ใจดี


     เรื่องผีๆ วิญญาณ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเจอแต่เรื่องหลอนๆเฮี้ยนๆ ซึ่งเราไม่ทราบแน่ชัดว่าทำไมจึงเป็นแบบนั้น เพราะดวงวิญญาณที่ตายนั้นมักอาลัยอาวรณ์ ตกอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ตัดใจไม่ได้ หรือ แค้นอาฆาต แต่จะมีสักเท่าไหรที่จะมาดี ไม่ได้มาหลอกหลอนหรือทำอันตรายใดๆ และยังพร้อมช่วยเหลือด้วยซ้ำ ลองมาฟังเรื่องราวหลอนๆดีๆที่เกิดขึ้นจริง จากประสบการณ์จริงนี้ได้เลยครับ

     หากจะพูดถึงเรื่องเร้นลับหรือลึกลับ ส่วนใหญ่เรามักจะคิดถึงเรื่องที่น่ากลัว สยดสยอง ชวนขนหัวลุก อีกทั้งผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้กับตัวเองมาก่อน มันจะเป็นไปในแนวทางสั้นเสียมาก

    ทว่าอันที่จริงมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป...

    เรื่องที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งสำหรับประสบการณ์แปลกประหลาดที่ได้พบ และมันก็เป็นเรื่องดีเพียงเรื่องเดียวเสียด้วยจากเรื่องทั้งหมด

    ในวันหยุดปิดเทอมระหว่างภาคการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ตอนนั้นผมเรียนอยู่ปีที่สาม เพื่อนๆ ซึ่งรวมตัวกันได้ประมาณสิบสามคนจึงนัดไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งในช่วงนั้น แน่นอนว่าทะเลย่อมเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ เพราะหาสถานที่ได้ง่าย มีกิจกรรมให้ทำค่อนข้างมาก หรือหากไม่มีอะไรให้ทำจริงๆ ก็ยังลงไปเล่นน้ำทะเลได้

    เลือกจากหลายๆ ที่แล้ว พวกเราสรุปกันว่าจะไปเที่ยวที่ทะเลแห่งหนึ่งในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เหตุผลง่ายๆ แค่พวกเรายังไม่เคยไปที่นี่ อีกทั้งหนึ่งในกลุ่มของพวกเรามีบ้านเกิดอยู่แถวๆ ที่พัก และรู้จักมักคุ้นกันพอควรกับเจ้าของรีสอร์ทที่พวกเรากำลังจะไปกัน

    เมื่อเราเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปถึงประจวบฯ ก็ต้องต่อรถสองแถวเข้าไปอีกด้วยระยะทางพอสมควรเพื่อไปยังที่พัก หลังจากเดินทางกันแต่เช้า ก็มาถึงที่พักจนได้ในช่วงบ่าย

    รีสอร์ทแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่ ตัวอาคารและห้องพักปลูกแบบล้อมรอบพื้นที่เอาไว้ และปล่อยให้ส่วนกลางเป็นสนามหญ้าโล่งๆ อาคารหน้าสุดที่เข้าไป คิดว่าเดิมทีเจ้าของคงตั้งใจใช้เป็นร๊อบบี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด

    พวกเราทั้งสิบสามคนเป็นเพียงคณะเดียวที่เดินทางมาพักผ่อนที่รีสอร์ทแห่งนี้ เจ้าของให้เช่าอาคารหน้าสุดทั้งหลังในราคาเหมือนได้เปล่า อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าเดิมทีเหมือนกับว่าอาคารนี้ตั้งใจจะใช้เป็นร๊อบบี้ ดังนั้น มันจึงถูกปลูกอยู่ชิดรั้วด้านหน้ามากที่สุด เดินจากตรงนี้ไปไม่กี่ก้าวก็ถึงชายหาด

    ลักษณะของตัวอาคารหลังนี้ จะเป็นผนังกระจกทั้งผืนสองด้าน อีกสองด้านเป็นกำแพงปูน เคาน์เตอร์อยู่ติดผนังฝั่งที่เป็นกำแพงปูน ด้านหลังเป็นห้องครัว ส่วนชั้นบนเป็นห้องพักจำนวนสองห้อง ขนาดนอนได้หลายคนอยู่

    แบ่งห้องชายหญิง เก็บข้าวของกันเรียบร้อย ต่างคนก็ต่างง่วนอยู่กับกิจกรรมของตัวเอง บางคนก็นอน บางคนก็เริ่มเข้าครัวทำอะไรกิน ผมและเพื่อนอีกส่วนหนึ่งเลือกที่จะออกมาเดินเล่นริมชายหาด

    เป็นทะเลที่ค่อนข้างสวยและคงความเป็นธรรมชาติอยู่มาก อาจเพราะที่นี่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม จึงไม่ค่อยมีคนรู้จัก และไม่ค่อยมีคนมาเยือนนัก บริเวณรอบๆ ชาดหาดจึงไม่มีการดัดแปลงใดๆ ไม่มีร้านค้า ไม่มีเตียงเช่า

    อันที่จริง นอกจากชายหาดเปล่าๆ แล้ว ที่นี่ไม่มีอะไรเลย

    พอฟ้าเริ่มมืด บริเวณชายหาดที่ไม่มีอะไรเลยก็มืดมิดจนน่ากลัว เสียงท้องเริ่มโอดโอยด้วยความหิว พวกเราจึงกลับเข้าที่พัก มานึกๆ ดูแล้ว ตั้งแต่เข้ามาถึงที่นี่ นอกจากคนที่มาเปิดบ้านพักให้แล้ว ผมว่าผมยังไม่เห็นพนักงาน คนสวน หรือคนทำความสะอาดของที่นี่สักคน

    อย่างที่บอกไปแล้วว่าที่นี่ไม่มีอะไรขายเลย เหลือเชื่อว่าแม้แต่ในรีสอร์ทก็ไม่มีอะไรให้ซื้อเช่นกัน นอกจากอาคารที่พวกเราพัก ทั้งรีสอร์ทเปิดไฟเพียงสลัวๆ ดูน่าวังเวงพิลึก

    เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ช่วยไม่ได้ พวกเราขอยืมมอเตอร์ไซด์จากทางรีสอร์ท ให้คนที่พอจะขับเป็น ขี่ออกไปซื้อของกินที่ร้านค้า ซึ่งทางรีสอร์ทบอกว่าอยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตร ส่วนที่เหลือก็เตรียมช้อนชาม ติดเตา หยิบจับอะไรกันไป

    จนทุกอย่างพร้อม พวกเราได้เริ่มตั้งวงกินมื้อค่ำกันเมื่อเวลาเลยช่วงที่ควรกินไปพอควรแล้ว พื้นที่ด้านหน้าตัวอาคารซึ่งมีการจัดเป็นสวนหย่อมเอาไว้ถูกเลือกใช้เป็นพื้นที่สำหรับกินมื้อนี้ นั่งกินไป คุยกันไป ลมพัดเย็นๆ ดูต้นไม้ใบหญ้าไป ก็เพลินดีเหมือนกัน

    หลังท้องอิ่ม พวกเราก็เริ่มหาความบันเทิงต่อไป เสียงดนตรีและของมึนเมาเป็นสิ่งที่จะขาดไม่ได้สำหรับคณะทัวร์ส่วนใหญ่ และพวกเราก็อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่าคณะทัวร์ส่วนใหญ่เสียด้วย

    ผมคว้ากีต้าร์ที่ใครคนหนึ่งในกลุ่มนำติดตัวมาด้วย ดีดบรรเลงเพลงที่คิดว่าทุกคนน่าจะร้องได้ ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง แต่ละคนตอบรับด้วยการส่งเสียงประชันคลอเคลียไปกับเสียงดนตรีอย่างรู้ใจ

    ดนตรี เสียงร้อง ของมึนเมา ในยามนี้จะมีอะไรดีเยี่ยมไปกว่านี้อีก ยิ่งดึกก็ยิ่งตะเบ็งเสียงลั่นราวกับคนหูตึง เสียงกีต้าร์เริ่มไม่จำเป็นสำหรับเหล่านักร้องที่ต่างก็ตะโกนแข่งกับเสียงดนตรีไปเสียแล้ว

    ความสนุกสนานล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วจนเกือบจะเที่ยงคืน หลายคนจึงเริ่มง่วงและแยกย้ายกันไปนอน ผมก็ง่วงเหมือนกัน จึงขอตัวไปนอนเหมือนกับคนอื่น แต่พอเข้าไปถึงห้องก็ปรากฏว่า พวกที่ขึ้นมาก่อนจับจองพื้นที่เตียงนอนไปจนเต็มแล้ว แถมยังเปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นเฉียบสุดทน

    พอผมปรับแอร์เพิ่มอุณหภูมิ พวกที่นอนก็สะดุ้งตื่นแล้วบอกว่าบ่นระงมว่าร้อน ทำเอาต้องจำใจปรับแอร์ให้เย็นตามเดิม พยายามที่จะหลับอยู่ครู่เดียวก็ทนไม่ไหว จึงเดินลงมานอนที่ชั้นล่างแทนดีกว่า

    ร้อนแล้วห่มผ้ากันทำไมฟะ...นึกค่อนขอดพวกคนขี้ร้อนในใจ

    พอกลับลงมาชั้นล่าง กลุ่มที่ดื่มกินกันอยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกง่ายๆ ผมจึงตัดสินใจนอนบริเวณเคาน์เตอร์ แต่เป็นด้านนอกของเคาน์เตอร์นะครับ เพราะด้านในมันออกจะน่ากลัวเกินไปหน่อย

    ทีแรกก็เหมือนจะนอนไม่ค่อยหลับเพราะแปลกที่ แต่พอนอนฟังเสียงเพื่อนๆ ร้องเพลงไป คุยกันไป ก็เพลินๆ จนเคลิ้มหลับไปในที่สุด

    ไม่รู้ว่าเวลาเท่าใด ผมสะลึมสะลือ ลืมตาขึ้นมา และพบว่าท้องฟ้าภายนอกเริ่มมีแสงสว่างรำไรแล้ว คะเนเอาจากความสว่าง น่าจะอยู่ในช่วงตีห้าครึ่งถึงหกโมงเช้า ชำเลืองดูหน้าอาคารว่าเพื่อนๆ ยังกินดื่มกันอยู่หรือไม่

    เพื่อนๆ ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว แต่ผมกลับเห็นป้าคนหนึ่ง แกมีรูปร่างท้วม ผิวขาว ผมสั้นหยักคล้ายคนดัดผม สวมแว่นตา สวมเสื้อคอกระเช้าและผ้าถุงแบบหญิงมีอายุทั่วๆ ไป

    ป้าที่เห็นกำลังเดินก้มๆ เงยๆ เก็บข้าวของจานชาม ซึ่งน่าจะเป็นของที่กินทิ้งกันเอาไว้เมื่อคืน ในขณะที่มองอย่างไม่แน่ใจ ป้าก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วหันมายิ้มให้ผม

    ในเวลานั้น ไม่มีความรู้สึกกลัว หรือนึกเอะใจอะไรสักนิด ผมนอนดูแกเก็บของอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เผลอหลับไปอีกครั้ง จนกระทั่งอากาศที่เริ่มร้อนปลุกให้ตื่นขึ้นมาในช่วงสิบโมงกว่า

    ผมลืมเรื่องที่เห็นช่วงเช้ามืดไปเสียสนิท

    เมื่อทำกิจวัตรตอนตื่นนอนกันเรียบร้อยหมดแล้ว ก็เริ่มหาอะไรใส่ท้องกันอีกรอบ และในตอนนั้นเอง เพื่อนที่อยู่ดื่มกินเป็นคนสุดท้ายของเมื่อคืนก็เดินไปหน้าอาคาร และตะโกนถามกลับเข้ามาว่า

    “เห้ย...เหล้าที่เหลือเมื่อวานไปไหน...”

    ประโยคนี้ทำให้ผมนึกถึงป้าคนเมื่อเช้าขึ้นมาได้ จึงตะโกนตอบกลับไป

    “เมื่อเช้าเห็นป้าแกมาเดินเก็บของให้อยู่นะ ไม่รู้ว่าแกนึกว่าพวกเราไม่กินแล้ว เลยเอาไปรึเปล่า”

    อย่างที่บอกว่าที่นี่หาของกินยากมาก พวกเราจึงเดินไปถามคนที่อยู่ด้านในของรีสอร์ท ซึ่งคือคนเดิมกับที่คุยกับเราเรื่องที่พักเมื่อวาน ผมเล่าเรื่องที่เห็น รวมถึงบอกรายละเอียด รูปพรรณสันฐานของป้าคนนั้นให้ฟัง แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำให้รู้สึกตกใจพอสมควร

    “ไม่มีหรอกน้อง ป้าที่น้องบอกน่ะ”

    เดินกลับมาที่ตึกแบบงงๆ จะไม่มีได้ยังไง ก็เมื่อเช้าผมยังนอนดูแกเก็บของอยู่ตั้งนาน และก่อนจะกลับเข้าไปในตัวอาคาร พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง หลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านในสุดสวนหย่อม

    มันเป็นศาลพระภูมิ

    ผมไม่ทันได้สังเกตมาก่อนเลย ตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาที่นี่ ว่ามีศาลพระภูมิตั้งอยู่ตรงนั้น และเมื่อเดินเข้าไปใกล้เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ เท้าก็ไปเตะโดนอะไรบางอย่างที่พุ่มไม้เตี้ยๆ ซึ่งปลูกไว้โดยรอบศาลพระภูมินั้น

    มันเป็นขวดและแก้วเหล้าที่เหลือจากการดื่มกินเมื่อคืนของพวกเรานั่นเอง

    ไม่รู้ว่าเพื่อนคนอื่นรู้สึกอย่างไร แต่ตัวผมซึ่งปกติเป็นคนกลัวผีมากๆ กลับไม่ค่อยรู้สึกกลัวเท่าใด ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ถึงจะบอกว่าไม่กลัวเท่าใดก็เถอะ คืนนี้ผมรีบขึ้นชั้นบน เข้าห้องนอนตั้งแต่สี่ทุ่ม ใครเรียกให้ลงไปสังสรรค์ผมก็ไม่ไป บอกแค่ว่าง่วงอย่างเดียว

    เมื่อครบวัน พวกเราก็เดินทางกลับถึงบ้านของแต่ละคนโดยสวัสดิภาพ ไม่มีสิ่งร้ายอะไรเกิดขึ้นครับ

    ตอนนี้ พอมานึกดูให้ดีแล้ว เป็นไปได้ไหมที่ป้าซึ่งไม่มีใครรู้จักท่านนั้น เห็นพวกเราซึ่งยังเป็นเพียงแค่นักศึกษา และยังอยู่แปลกถิ่น จึงไม่อยากให้กินของมึนเมา และโหวกเหวกโวยวายจนเกินไปเหมือนคืนแรก แกก็เลยเอาของพวกนี้ไปซ่อนไว้

    ก็แสดงว่า แกหวังดีกับพวกเราจริงๆ

ไม่มีความคิดเห็น